คำนำ คำว่า “ความรัก” ปรากฏอยู่ในแทบทุกแง่มุมของชีวิตทั้งภาพยนตร์ เพลง หรือแม้แต่งานเขียน มนุษย์เรามักจะเปรียบความรักเป็นสิ่งต่าง ๆ มากมาย อีกหนึ่งสิ่งที่ผู้คนมักจะนิยามว่าเป็นตัวแทนของ ความรักนั่นก็คือ “ดอกกุหลาบ” และดอกกุหลาบแต่ละสีนั้นมีความหมายสื่อถึงความรักแตกต่างกัน ออกไป กุหลาบแห่งรักเป็นการรวบรวมเรื่องราวรักแรกโดยนิยามผ่านการเล่าเรื่องโดยดอกกุหลาบแต่ ละสี ประกอบด้วย สีดำ สีม่วง สีขาว สีแดง และสีฟ้า พวกเราจึงได้นำความหมายของดอกกุหลาบแต่ ละสีมาแต่งเป็นเรื่องราวความรักผ่านมุมมองของนักเขียนแต่ละคน ผู้จัดทำ นางสาวทิพวรรณ รองสำลี นางสาวนริสรา บุตนิตย์ นางสาวภรณ์ทิพย์ แซ่ลี นางสาวรัชนิดา พิเชฐพงศ์ทวี นางสาวสุทัตตา แสนสินธุ์
สารบัญ เรื่อง หน้า จากนิจถึงนิรันดร์ 1 Dairy 2002 ถึงจากลาแต่รักยังคงอยู่ 8 ดวงใจบริสุทธิ์ 18 หลงพันธนาการ 25 กว่าจะรู้…ว่ารัก 36
1
2 จากนิจถึงนิรันดร์ รถเก๋งสีขาวคันหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวบนถนนสายเล็ก ๆ ที่ทอดยาวไปข้างหน้า แม้จะขับช้าเอื่อยแต่ลม หนาวที่พัดอยู่รอบคันก็ทำให้เส้นทางที่ขับผ่านฟุ้งเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้สีชมพูของต้นชมพูภูพิงค์ ต้นไม้สีชมพูนี้ เรียงรายไปจนสุดสายของถนน หากก้มมองดูบนพื้นก็จะพบว่าสีสันของมันคล้ายกับจะย้อมพื้นถนนให้เป็นสีชมพู สวยสดแทนสีดำสนิทของยางมะตอยเสียอย่างนั้น เมื่อมองเข้าไปในรถจะพบว่าคนขับคือหญิงสาวคนหนึ่ง เธอสวมชุดประโปรงสีขาวกึ่งเก่ากึ่งใหม่ แต่ ลวดลายที่ขาดหายไปด้านหน้าทำให้พอคาดเดาได้ว่าคงจะต้องเป็นชุดโปรดเป็นแน่ หญิงสาวขับรถด้วยใบหน้าที่นิ่ง สนิท ยากที่จะคาดเดาอารมณ์ของเธอ ผู้หญิงเสื้อขาวคนนี้ก็คือคุณนั่นเอง ขับรถไปได้สักพัก คุณก็ชะลอความเร็วของรถลงเพื่อที่จะเอื้อมมือไปเปิดแผ่นเสียงสุดโปรดของคุณ ความ เก่าของแผ่นเสียงบ่งบอกถึงสภาพการใช้งาน แม้ว่าจะเป็นครั้งที่ร้อยแล้วที่คุณฟังแผ่นเสียงนี้ แต่มันก็เหมือนเป็น ความเคยชินที่คุณจะต้องเปิดมันเมื่อขับรถผ่านถนนสายสีชมพูนี้เครื่องเล่นเริ่มส่งเสียงออกมาเป็นสัญญาณของการ เริ่มเล่น เสียงที่ได้ยินพาคุณเหม่อมองออกไปด้านนอกคล้ายพัดพาให้ตกอยู่ในภวังค์อันแสนไกล ‘รักแรกสำหรับคุณคืออะไรคะ’ ‘รักแรกสำหรับผมคือคนแรกที่เราอยากให้เขามีความสุข คนที่ทำให้เราอยากตื่นแต่เช้าเพื่อเจอหน้าเขา คนที่ทำให้เข้าใจประโยคที่ว่า หัวใจเต้นแรงหน้าแดงทุกที’ ‘ว้าว ลึกซึ้งมากค่ะ แล้วตอนนี้ได้เจอหรือยังคะรักแรกของคุณ’ ‘ผมเจอแล้วล่ะครับ...’
3 ดวงอาทิตย์ลอยอยู่เหนือศีรษะ บอกถึงเวลาเที่ยงตรงของวันแล้ว รถยนต์คันสีขาววิ่งเข้ามาถึงบริเวณวัด ความเงียบสงบบอกได้ว่าวัดนี้เป็นวัดเล็ก ๆ บริเวณเชิงเขาเท่านั้น ส่วนใหญ่จึงมีแต่คนในพื้นที่ที่จะรู้จัก คุณกับแฟน เจอวัดนี้โดยบังเอิญในตอนที่หลงทางระหว่างการมาเที่ยวต่างจังหวัด แฟนของคุณตกหลุมรักธรรมชาติอันสงบและ งดงามนี้เข้าอย่างจัง หลังกลับจากการมาเที่ยวครั้งนั้นเขาก็เอาแต่พูดถึงจนคุณอดขำไม่ได้ ‘ชอบอะไรขนาดนั้น’ คุณถามแฟนที่เอาแต่พูดถึงวัดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นราวกับเจอสมบัติล้ำค่า ‘ชอบมากสิ รู้ไหมทุกวันนี้ความสงบแบบนั้นหายากจะตาย ผมชอบจนอยากจะอยู่ที่นั่นไปตลอดกาลเลย’ คุณมองรอยยิ้มของเขาและเริ่มหัวเราะไปด้วยกัน แม้เขาไม่ได้ตั้งใจจะหมายความอย่างนั้นแต่คำพูดนี้ก็ได้กลายเป็น ความจริงที่ยากจะปฏิเสธ วัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนเชิงเขา เพราะฤดูหนาวจึงทำให้อากาศเย็นเป็นพิเศษ ถึงเป็นช่วงเที่ยงวันแล้วก็ยังมีหมอก หนาอยู่รอบนอกของเขตวัด เมื่อมองเข้าไปในวัดก็พบหลวงพี่ยืนกวาดลานวัดอยู่สองสามรูป ยังไม่ทันที่คุณจะก้าว ลงจากรถ หลวงพี่ก็ได้กล่าวทักทายคุณ “โยมมาเยี่ยมเขาหรือ” “ใช่เจ้าค่ะหลวงพี่” คุณตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้บ่งบอกถึงอารมณ์ใด ๆ “ไปสิ ช่วงนี้หลวงพี่ก็วานเด็กในวัดช่วยดูแลให้ เห็นว่าเจริญเติบโตเต็มที่ทีเดียว” หลวงพี่กล่าวด้วยน้ำเสียง ที่มีเมตตา สายตามองหญิงสาวผู้นี้ด้วยความเวทนา แต่คุณเอาแต่ก้มหน้าและไม่ได้สบตาหลวงพี่จึงไม่ได้เห็นสายตา แห่งความเวทนานี้ แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ไม่ได้อยากเห็นมัน ไม่ได้ต้องการเลยสักนิด “ขอบคุณเจ้าค่ะหลวงพี่ ลาแล้วเจ้าค่ะ” คุณกล่าวลาและเดินแยกออกมา ปล่อยให้หลวงพี่กลับไปกวาด ลานวัดต่อ คุณไปที่บริเวณด้านหลังของวัด แม้บริเวณนั้นจะมีรูปของผู้คนอยู่มากมายแต่สายตาของคุณกลับมุ่งไปมุมหนึ่งของรั้วปูน ตรงนั้นมีพุ่ม กุหลาบหลากสีสันขึ้นอยู่โดยรอบ ดอกของมันชูช่อสวยงามคล้ายกับแข่งกันอวดโฉมความงามต่อสายลมและ แสงแดด คุณค่อย ๆ ก้าวเข้าไปพร้อมกับช่อกุหลาบสีดำในมือ หากใครที่ผ่านมาเห็นก็คงรับรู้ถึงความสำคัญของ ดอกไม้สายพันธุ์นี้ กุหลาบดำเป็นดอกไม้ที่เขาชอบ แต่ในความคิดของคุณ สีดำเป็นสีที่ไม่มงคล คุณไม่เคยแม้แต่จะ ชอบสีนี้จึงไม่ค่อยซื้อมาฝากเขานัก แน่นอนเขามักจะพร่ำบ่นเสมอว่าเขาอยากได้กุหลาบดำจากคุณบ้าง เขาไม่เคย ได้จากคุณเลย วันนี้คุณนำมาให้เขาแล้ว เขาจะดีใจไหมนะ
4 อารมณ์ที่หลากหลายปนเปทำให้น้ำตาเริ่มตีตื้นขึ้นมาจนเอ่อขอบตา ความรู้สึกแสบร้อนดวงตาเป็นตัวพร่ำ บอกว่าทุกสิ่งตรงหน้าคือความจริง หลังจากที่ไม่ได้เจอกันเขาจะคิดถึงคุณบ้างไหมนะ เขาจะลืมเลือนคุณไปหรือยัง คุณจะยังเป็นคนสำคัญของเขาอยู่ไหม... พุทธศักราช 2562 ‘เป็นแฟนกันไหม’ เสียงกระซิบของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นข้าง ๆ หูขณะที่คุณกำลังออกเดตอยู่ที่ สวนสาธารณะกับผู้ชายที่คอยตามจีบคุณมาราวปีเศษ แม้จะรู้แผนเซอร์ไพรส์ของเขาอยู่แล้วแต่ใจเจ้ากรรมก็ยัง เผลอเต้นระรัวอยู่ดีถ้าหากนี่เป็นช่วงกลางวันเขาก็คงสังเกตเห็นหูเล็ก ๆ ที่แดงแจ๋ของคุณเป็นแน่และคงเป็นเพราะ คุณนิ่งเงียบไป เขาจึงเริ่มที่จะร้อนใจขึ้นมา สีหน้าบอกถึงความกังวลของเขาทำเอาคุณหลุดขำ ‘ถ้าเรายอมเป็นแฟนเธอ เธอจะยอมให้เราไหม’ คุณถามออกไปเพื่อลองใจเขา ‘ได้ทุกเรื่องเลย’ คำตอบของเขาทำให้ใจของคุณเริ่มฟู ‘งั้น...ถ้าเป็นเวลาเรางอน เธอจะยังง้อเราตลอดไหม’ คุณลองใจเขาอีกครั้ง ‘เราจะง้อตลอด ไม่ยอมให้เธอต้องเสียใจเลย’ เขายังคงยืนยันคำตอบ ‘แล้วเธอจะมีเวลาให้เราเยอะ ๆ ไหม เธอก็รู้นี่ว่าขี้เหงามาก’ คล้ายจะยังไม่แน่ใจ คุณจึงถามคำถามในเรื่องที่สำคัญกับตัวคุณ คำถามนี้เป็นสิ่งที่ดูจะน่ารำคาญสำหรับ หลาย ๆ คน ความเจ็บปวดของเรื่องที่ผ่านมายังคงชัดเจนอยู่ในห้วงความคิด ‘แน่นอน เป็นแฟนกับเราแล้วเธอจะไม่เห็นคำว่าเหงาอยู่ในพจนานุกรมเลย’ คุณแอบอมยิ้มขวยเขินกับคำ กล่าวของเขา แต่พลันรอยยิ้มก็ชะงักเมื่อเห็นดอกไม้สีดำในกำมือ ‘เอาดอกกุหลาบดำมาทำไม มันไม่ดีนะ’ ‘โถ่เธอ สีดำมันความหมายดีจะตาย ความรักอันเป็นนิรันดร์และมั่นคงตลอดกาล เหมือนความรักที่เรามีให้ เธอไง’ ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไร อาจจะเป็นดวงตากลมโตที่ดูมั่นคงคู่นั้น หรือจะเป็นหมู่ดาวที่ช่วยพยักหน้า สายลม ช่วยกระซิบคำมั่น หมู่ไม้ต่างช่วยคุณวาดฝันถึงวันที่มีเขา ทุกสิ่งในบริเวณนั้นคล้ายจะช่วยยืนยันคำตอบของคุณ คุณ จึงตัดสินใจที่จะตอบรับความพยายามของเขา ‘บ้า! ตกลง เราเป็นแฟนกันก็ได้’
5 ‘เย้! เราดีใจที่สุดเลย’ เขากระโดดโลดเต้นไปทั่วราวกับกระต่ายน้อยที่พึ่งกระโดดได้ครั้งแรก แล้วกระโดด เข้ามากอดคุณอย่างแรงจนเสียหลักล้มลงกับพื้นหญ้า ดอกกุหลาบในมือหล่นกระจายไปทั่วบริเวณ แต่แทนที่จะ โกรธคุณกลับร่วมหัวเราะไปกับเขา คุณทั้งคู่สบตาที่ต่างเปล่งประกายวาววับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าในค่ำคืนนี้ วันนี้มีความสุขจริง ๆ พุทธศักราช 2563 เสียงเปิดประตูดังขึ้น บอกให้รู้ว่าแฟนของคุณกลับมาถึงบ้านแล้ว คุณเหลือบดูเวลาที่ข้อมือก็ทำให้ความไม่ พอใจที่กำลังคุกรุ่นโหมกระหนำขึ้นไปอีก คล้ายรู้ตัวเขาจึงรีบวางสัมภาระและเข้ามากอดคุณที่ยืนหันหลังอยู่ริม ระเบียง ‘ที่รัก ผมขอโทษนะที่ผมกลับช้า วันนี้งานที่ทำงานยุ่งมาก’ คำขอโทษของเขาเริ่มทำให้ไฟในใจของคุณเย็น ลง แต่คุณก็ยังน้อยใจเขาอยู่มากนัก ‘แต่วันนี้วันครบรอบของเรานะคะ’ คุณกล่าวออกไปด้วยความน้อยใจ ‘ผมรู้ ผมก็เลยเอาขนมเค้กร้านโปรดของคุณมาง้อไง มีช่อกุหลาบดำแสนสวยด้วยนะ’ เขาเดินกลับไปเอาขนมและช่อดอกไม้ที่กระเป๋าจากนั้นชูขึ้นมาให้คุณดูคุณเห็นความตั้งใจที่จะขอโทษของ เขาจึงได้แต่ถอนหายใจ เอาเถอะนะ ยังไงเขาก็ผิดสัญญาครั้งแรก ให้อภัยสักหน่อยก็คงไม่ทำให้เปลืองเงินที่ซื้อของ มาหรอกกระมัง ‘ไม่ต้องเลย ทีหลังไม่ต้องซื้อแล้วนะ’ คุณกล่าวในขณะที่ก้าวเข้าไปคว้าขนมจากมือเขา คล้ายรู้ทันเขาจึงยก ขนมขึ้นสูง ไม่ให้คุณคว้าได้คุณทั้งคู่หยอกล้อกันไปมา แล้วจึงชักชวนกันไปทานอาหารมื้อเย็นที่คุณได้ตระเตรียมไว้ ดูมีความสุขราวกับความไม่พอใจเมื่อครู่นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นี่เป็นอีกวันที่ช่างมีความสุขจริง ๆ พุทธศักราช 2564 ‘ที่รักจะไปไหน!’ คล้ายไม่ได้ยินเสียง คุณยังคงก้าวไปที่ประตู ‘ผมถามว่าคุณจะออกไปไหน’ เขารีบเดินมาคว้าคุณไว้ด้วยความโกรธคุณพยายามสะบัดมือออกของเขา ออก แต่เรี่ยวแรงที่ต่างกันทำให้คุณยังคงถูกตรึงแน่น
6 ‘จะถามทำไม ทำงานสนุกมากไม่ใช่เหรอ ก็กลับไปทำงานต่อสิ’ ถึงจะบอกออกไปแบบนั้น ใจของคุณก็ยัง อยากให้เขาทำในสิ่งตรงกันข้าม ‘ฟังผมก่อนได้ไหม ผมมีเรื่องสำคัญจะบอกด้วยนะ’ เขาคลายมือและพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน คุณเลือกที่จะไม่ฟังเขาและวิ่งออกไปข้างนอกด้วยความรวดเร็ว ความมืดทำให้คุณนึกหวาดกลัว แต่เมื่อหัน กลับไปมองก็ไม่เห็นเขาแต่อย่างใด คล้ายความโกรธและความน้อยใจมีชีวิต มันผลักให้คุณเลือกที่จะไม่หันหลัง กลับไป ให้วิ่งต่อไปโดยไม่รีรอแฟนของคุณ เรื่องราวในอดีตผุดขึ้นมาในห้วงความคิด เขาผิดสัญญาหลายต่อหลายครั้ง ในทุกครั้งคุณให้อภัยเขาและไม่ รื้อฟื้นสิ่งใดอีก ในความคิดของคุณ เขากำลังทำในสิ่งที่คุณตราหน้ามันว่าความย่ามใจ คุณเกลียดมันนัก มันทำให้ เขาที่รักเปลี่ยนใจไปทุกครั้ง ความโศกเศร้าและน้ำตาทำให้คุณวิ่งต่อไปไม่หยุด คุณวิ่งมาจนถึงบริเวณสี่แยก เพราะบริเวณนี้ไร้ผู้คน คุณจึงตัดสินใจที่จะชะลอฝีเท้าลง เดินไปริมฟุตบาทได้สักพัก ถนนที่ร้างผู้คนก็มีเสียงเครื่องยนต์เข้ามาใกล้ เมื่อหัน กลับไปมองก็พบว่าเป็นรถของแฟนคุณนั่นเอง เขาขับออกมาเพื่อตามหาคุณ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความร้อนรน และความเป็นห่วง หากเป็นเวลาที่คุณยังไม่มีความน้อยใจเข้าครอบงำ คุณก็คงเดินเข้าไปหาเขาเพื่อปรับความเข้าใจกัน แต่ ในตอนนี้เจ้าความน้อยใจกำลังแผลงฤทธิ์ คุณไม่อยากฟังในสิ่งที่เขากำลังจะอธิบาย คุณจึงวิ่งข้ามถนนไปทางฝั่งตรง ข้าม เมื่อเขาเห็นคุณวิ่งไปจึงเปิดประตูและวิ่งตามมาโดยที่คุณทั้งคู่ไม่ได้คาดคิดถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น โครม! คุณได้แต่ตกตะลึงกับฉากที่เกิดตรงหน้า ในขณะแฟนของคุณวิ่งตามมา ด้วยความประมาทและความรีบ ร้อนเขาจึงวิ่งออกมาโดยที่ไม่ทันเห็นรถยนต์อีกคันที่วิ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง ไม่! ไม่! ไม่! เสียงกรีดร้องดังก้องขึ้นในหัว ตาของคุณเบิกโพลง ภายในใจของคุณปวดร้าวราวกลับโดนใครสักคนกรีดมีด ลงอย่างโหดเหี้ยม รถยนต์สองคันพังยับเยินอยู่กลางถนน กลิ่นเหม็นและเศษซากความเสียหายกระจายไปทั่ว คุณรีบวิ่งเข้าไปในเศษซากของรถ คว้าร่างที่ชุ่มไปด้วยเลือดของเขาขึ้นมากอดแน่นเสียจนชุดกระโปรงสีขาวที่สวม ใส่วันนี้แดงฉาน
7 คุณพยายามไขว้คว้าหาสัญญาณของการมีชีวิตอยู่ แต่พยายามจนคุณแทบเสียสติสักเพียงใดก็ไม่พบแม้แต่ น้อย ทุกอย่างในหัวของคุณอื้ออึงไปหมด น้ำตาเอ่อล้นจนแสบร้อนไปทั่วกระบอกตา ในใจยากที่จะยอมรับ เหลือเกินว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นความจริง วันนี้มีความสุขจริง ๆ น่ะหรือ พุทธศักราช 2565 - ปัจจุบัน เบื้องหน้าคือธาตุที่บรรจุอัฐิของเขาไว้ ดอกกุหลาบหลากสีสันรอบ ๆ ธาตุกำลังเบ่งบานอย่างเต็มที่ นี่คงจะ เป็นดังหลักฐานยืนยันว่าเขามีความสุขบนสรวงสรรค์สักเพียงใด “ที่รัก ช่วงเดือนก่อนฉันงานยุ่งมาก ไม่ว่างมาเยี่ยมคุณเลย ตอนนี้คุณเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม ” คุณวางช่อกุหลาบไว้ที่ฐานด้านล่างของธาตุ เริ่มหยิบไม้กวาดที่วางอยู่ข้าง ๆ มาปัดกวาดพื้นรอบธาตุ พลางถาม ความเป็นไปของคนรักแม้จะรู้ว่าเขาตอบคุณไม่ได้อีกแล้วตลอดกาล แม้จะทำความสะอาดเสร็จแล้วคุณก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นจนเริ่มค่ำ นั่นเป็นเพราะคุณมีเรื่องที่จะเล่าให้เขาฟัง มากมาย บอกเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่เจอมาในแต่ละวันให้เขาฟัง บอกเขาว่าคุณไม่ได้ร้องไห้ก่อนนอนจนดึกดื่นอีกแล้ว ไปไหนมาไหนคนเดียวโดยไม่กลัวอีกแล้ว ไปที่ที่คุณทั้งสองคนเคยไปโดยที่ไม่ได้น้ำตาซึมอีกแล้ว คุณแข็งแกร่งขึ้น แล้วล่ะ เขาไม่ต้องห่วงคุณแล้ว ขอแค่เขาคอยเป็นกำลังใจอยู่บนฟ้าให้คุณก้าวเดินต่อไปด้วยความเข้มแข็งก็เท่านั้น และที่สำคัญคุณยังรักและคิดถึงเขาอยู่เสมอ นี่คือสิ่งที่คุณพร่ำบอกเขา รถยนต์ที่จอดอยู่ด้านหน้าวัด จู่ ๆ ภายในรถก็มีเสียงของเครื่องเล่นแผ่นเสียงดังขึ้น คงเป็นเพราะรถคันนี้ เก่ามากแล้วหรืออาจจะเพราะเคยประสบอุบัติเหตุ ไม่อาจมีใครรู้สาเหตุแน่ชัด แต่สิ่งที่ชัดเจนและเป็นความจริงชั่ว กาลคือแผ่นเสียงยังคงเล่นต่อไปจนจบและเล่นวนอยู่อย่างนั้นคล้ายกับใจของคุณที่เสียงนี้จะยังคงเล่นวนและดังก้อง อยู่ในใจนิรันดร์ ‘ช่วงนี้มีแพลนอะไรที่สำคัญ ๆ ในชีวิตบ้างไหมคะ’ ‘ช่วงนี้เหรอครับ... ผมกำลังจะขอแฟนของผมแต่งงานครับ’ ‘ยินดีด้วยนะคะ ขออนุญาตถามต่อนะคะ ตอนนี้แพลนไปถึงไหนแล้วคะ’ ‘ใกล้จะสำเร็จแล้วล่ะครับ แต่ผมยังหาโอกาสบอกเขาไม่ได้เลย...’ รอยเขียน
8
9 Diary 2002 ถึงจากลาแต่รักยังคงอยู่ การพบกันคือโชคชะตา.. การจากลาคือฟ้ากำหนด.. เป็นเหมือนกันไหม ? “ความรักสำหรับฉันเหมือนข้อยกเว้น เพราะแม้วันเวลาผ่านไปเนิ่นนาน บางความทรงจำย่อมลืมเลือนหรือ หลงลืมไป แต่บางความทรงจำกลับฝังลึกแม้เวลาจะผ่านไป หนึ่งปี ห้าปีหรือสิบปี.. พอนึกถึงใจยังคงเต้นระรัวเร็ว ขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ เหมือนพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน” ใช่ สิ่งที่ฉันหมายถึงคือ ความรัก ถึงมันจะเป็นรักที่ไม่สมหวังก็ตามนะ ฮ่าฮ่าฮ่า แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่เคยแอบ รักเขา และแอบหวังเสมอว่าเขาคนนั้นจะมีชีวิตรักที่ดีกับคนที่เขาต้องการ แม้เธอคนนั้นจะไม่ใช่ฉันก็ตาม.. รักแรกของฉันนั้นเกิดขึ้นเมื่อสิบปีที่แล้ว ในมุมของเด็กสาววัย 17 ปีที่กำลังย่างเข้า 18 ไม่มีอะไรจะชัดเจนไป กว่าความรู้สึกที่มันเรียกว่าความรัก ความรู้สึกที่ว่านั่น ฉันรัก หลงใหลและใฝ่ฝันถึงสิ่งต่าง ๆ มากมาย ฉันเขียน ไดอารี่บันทึกเรื่องราวความรักแทบทุกวัน บรรยายความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ท่าทีของเขา สายตาของเขา และ บ่อยครั้งที่ฉันวาดฝันถึงวันแต่งงาน มันแปลกนะ..ที่ฉันกลับมีความสุขเมื่อนึกถึงเรื่องราวนี้หรือเพราะว่านั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันรู้จักความรักกันนะ
10 ปี 2012 “ ซ่า~~ซ่าา~เปรี้ยง !! ” ในคืนที่ฝนตกกระหน่ำ ฟ้ามืดสงัดไร้ซึ่งแสงดาวแต่พระจันทร์กลับเต็มดวงสง่า สายลมพัดผ่านมาปะทะกับ ละอองฝนที่ยังคงตกอยู่ตามยอดใบไม้ ให้ความรู้สึกหนาวเหน็บที่เย็นยะเยือก ตอนนี้..ใจของฉันกลับรู้สึกสับสนอีก ครั้งเพราะอะไรไม่รู้ดลใจให้มือเล็กขาวเนียนของฉันเปิดอ่านสมุดไดอารี่ของตัวเองที่เคยบันทึกเรื่องราวความทรงจำ ต่าง ๆ เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ฉันเรียนอยู่ชั้นมัธยม บันทึกความทรงจำ เรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้ พานพบมา โดยเฉพาะเรื่องของเขาคนนั้น คนที่เคยเป็นรักแรกของฉัน.. ย้อนกลับไปเมื่อปี 2002 ถึง ไดอารี่ที่รัก 1 ธันวาคม 2002 ครั้งแรกกับคุณไดอารี่เล่มใหม่ “ สวัสดีค่ะคุณไดอารี่ฉันชื่อนะโม นะโม ที่หมายถึง ความนอบน้อม หรือ หัวใจ ” ปีนี้ฉันอายุ 17 ปี กำลังย่างเข้า 18 ฉันเป็นผู้หญิงที่ไม่ได้สวยเลิศเลออะไรหรอก มิหนำซ้ำเป็นผู้หญิงโก๊ะ ๆ จอมซุ่มซ่ามคนนึงเลยด้วยซ้ำ ฉันมีใบหน้ารูปหัวใจ ตากลมสีดำปนน้ำตาลตามภาษาหญิงสาวเอเชียทั่วไป สีผิวขาว เหลืองนวลเสมือนพระจันทร์ในยามค่ำคืน มีตำหนิปานและไฝเล็ก ๆ ที่ปลายหางคิ้ว คิ้วโก่งเล็กน้อย หน้าผากมีรอย สิว ริมฝีปากล่างใหญ่กว่าริมฝีปากบน และเส้นผมหนายอมสีน้ำตาลเข้มพลิ้วยาวถึงกลางหลัง ซึ่งโดยรวมแล้วก็ดู น่ารักนะ ฮ่าฮ่าฮ่า ส่วนนิสัยฉันน่ะเหรอ คนรอบข้างไม่ว่าจะพ่อแม่ เพื่อนสนิทหรือแม้แต่ญาติๆ ก็มักจะบอกว่าฉันมีนิสัยที่ต่าง กับเด็กสาววัยรุ่นทั่วไป คือ มีความสดใสแต่ก็โลกส่วนตัวสูง เพราะเมื่อมีเรื่องเครียดหรือหนักใจฉันมักจะชอบเก็บตัว เงียบอยู่คนเดียวในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ของตนเอง นอนขดตัวบนเตียงและไม่ค่อยออกไปพบหน้าใครสักเท่าไหร่ แต่ ยังมีนิสัยแปลกๆอีกที่คนอื่นอาจจะไม่รู้คือ เมื่อฉันได้ฟังเพลงโปรด ความเครียดที่มีอยู่กลับจางหายไปเหมือนไม่เคย มีเรื่องคิดมากอยู่ในหัวมาก่อน มันมหัศจรรย์มาก ๆ เลยว่าไหม ฉันชอบความรู้สึกนี้มาก ความรู้สึกที่ไม่ต้องคิดอะไร..
11 หลังจากเปิดกระดาษหน้าแรกของไดอารี่เล่มเก่า แสดงให้เห็นดอกกุหลาบม่วงเข้มแห้ง ๆ ถูกทับด้วยหน้าปก เก่า ๆ ทำให้ปรากฏรอยยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้าอันขาวเนียนของนะโม ขณะที่ไล่สายตามองการเขียนเรื่องราวต่าง ๆ และ รูปวาดตลก ๆ ของตนที่วาดประกอบเอาไว้ ทั้ง ๆ ที่ภาพนั้นดูแทบไม่ออกเลยว่าคือภาพอะไร มองไม่ออกเลย ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้างแต่มันกลับซ้อนทับเข้ากับความทรงจำของนะโมได้อย่างพอดิบพอดี นะโมเงยหน้าขึ้นจากสมุดไดอารี่เล่มเก่าของเธอที่อยู่ในมือ นึกระลึกย้อนไปถึงวัยเรียนทีเหมือนพึ่งผ่านมาไม่ นาน แต่เหมือนนานจนเหลือไว้แค่เพียงความทรงจำที่ไม่มีวันย้อนคืนได้อีก เธอใจลอยไล่มือตามรูปวาดของตัวเอง บนหน้ากระดาษที่ขาวเก่า ๆ นี้ มีใครคนหนึ่งที่ถูกเขียนบรรยายถึงอย่างพิเศษแตกต่างไปจากคนอื่น ๆ มีเพียงแค่ เธอเท่านั้นที่รู้ว่าเขาพิเศษกว่าใครซ่อนอยู่ เรื่องราวในช่วงวัยเรียนที่เกี่ยวข้องกับผู้คนของนะโมมักมีเขาคน ๆ นี้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ แต่หลังจากแยก ย้ายกันเขาก็หายไปจากเรื่องราวของเธอ ถึง ไดอารี่ที่รัก 10 ธันวาคม 2002 ครั้งที่สองกับคุณไดอารี่ หลังจากไม่ได้เขียนถึงคุณไดอารี่มากลายวัน คุณรู้ไหมว่าหลายวันที่ผ่านมานี้ หัวใจของฉันเบ่งบานเหมือน ดอกไม้กำลังโตขึ้นในหัวใจทั้งสี่ห้องยังไงอย่างนั้นเลย อยากรู้ใช่ไหมล่ะ คือเรื่องมีอยู่ว่า… ช่วงเช้าของวันอาทิตย์ที่อากาศสดใส ลมพัดเย็น ๆ เสียงใบไม้กระทบกัน และมีกลิ่นหอมของดอกไม้โชยมา เหมือนทุก ๆ วัน ฉันออกไปเดินเล่นกับสุนัขของฉันชื่อ ไข่ขาว แถวรางรถไฟเก่า ๆ ใกล้บ้านตามปกติ แต่มีบางสิ่งที่ ไม่เหมือนทุกวัน คือฉันได้พบชายหนุ่มคนหนึ่ง น่าจะอายุมากกว่าฉันราว ๆ 2-3 ปี ยืนอยู่หน้าร้านกาแฟเล็ก ๆ เหมือนกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่ฉันยืนอยู่ ฉันเดินข้ามถนนไปอีกฟากนึงแล้วสั่งกาแฟมาหนึ่งแก้ว บรรยากาศในร้านสมัยก่อนทีคุ้นเคย ฉันนั่งรอตรงโต๊ะ ไม้หน้าบ้านที่เขาพึ่งเช็ดไปเมื่อครู่ ชายหนุ่มคนนั้นเดินมาเสิร์ฟกาแฟให้ฉันหันขึ้นไปสบตาอีกครั้ง เด็กหนุ่มผิวขาว จมูกไม่โด่งมากนัก ดวงตาเรียวชั้นเดียว เขายิ้มให้ผมหลังจากยกแก้วกาแฟวางบนโต๊ะ หลังจากวันนั้นฉันก็มาทราบ ภายหลังว่าชายหนุ่มคนนี้ชื่อ ธนิน เป็นลูกชายของอาเจ๊กเจ้าของร้านกาแฟฝั่งตรงข้าม
12 แต่แล้วก็พบว่า !! ธนิน คือรุ่นพี่โรงเรียนเดียวกันนั่นเอง แต่ก็แปลกใจแต่ฉันไม่เคยเห็นเขาเลยสักครั้งเดียว ถึงแม้จะอยู่โรงเรียนเดียวกันนั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันเจอเขาบ่อยสักเท่าไหร่หรอก ถึง ไดอารี่ที่รัก 12 ธันวาคม 2002 ครั้งที่สามกับคุณไดอารี่ หลายวันมานี้ฉันมักจะข้ามทางรถไฟบ่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ฉันไม่ชอบดื่มกาแฟเลยสักนิด แต่แค่นี้ฉันไม่สนใจหรอก เพราะการได้เห็นอะไรที่ชอบถือว่าเป็นกำไรชีวิต แต่ถ้ามันมากไปเมื่อไหร่ มนุษย์ก็จะอยากได้สิ่ง ๆ นั้นมาเป็นของ ตัวเอง ฉันคิดว่าถ้าความถูกใจเกิดขึ้นฉับพลัน เราก็มักจะหาเรื่องเข้าไปอยู่ในชีวิตของใครบางคนมากขึ้นเท่านั้น ฉันเลยนั่งเฝ้าสังเกตตัวเองว่าอะไรถึงทำให้ชอบผู้ชายคนนี้ สิ่งนั่นคือ “ หน้าตาของธนินเป็นในแบบที่ฉันชอบ เขามีใบหน้าที่หล่อแต่ก็ปนความน่ารักของชายหนุ่มวัย 20 ปี กิริยาท่าทางมารยาทเขาชวนมอง เหมือนจบจากโรงเรียนเจ้าชายในฝัน ผมสีดำไร้น้ำยาเซ็ตผม ปลิวพลิ้วไสว ตามแรงลมของธรรมชาติ น่าหลงใหลมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะนิสัยของเขาที่สดใส น่ารัก ผู้คนสามารถตกหลุมรัก เขาได้โดยง่ายเลยแหละ ” หลังจากอ่านจบบรรทัดนี้นะโมที่กำลังนั่งอ่านไดอารี่ของเธออยู่กลับรู้สึกใจเต้นขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนได้ย้อน เวลากลับไปในเหตุการณ์วันนั้น เพราะนั่นเป็นครั้งแรกที่เธอตกหลุมรักและรู้สึกรักใครเป็นครั้งแรก ถึง ไดอารี่ที่รัก 13 ธันวาคม 2002 ครั้งที่สี่กับคุณไดอารี่ ครั้งแรกที่พี่ธนินรู้จักฉัน เรื่องมีอยู่ว่า ตอนเย็นวันนั้นที่แสงพระอาทิตย์ตอนเย็นรำไร.. ฉันเดินเข้าร้านขายของ ชำเพื่อซื้อน้ำ ยืนต่อแถวเพื่อรอจ่ายเงิน เขาก็อยู่ในร้านด้วย อยู่ด้านซ้ายมือของฉัน และนั่นแหละใครจะไม่อยาก มองคนที่แอบชอบ ใช่! ฉันหันไปมองทางซ้ายมือ พี่ธนินกำลังมองฉันอยู่และยิ้มให้ฉัน กรี๊ดดดดด เขาจำฉันได้หรือเปล่านะ!!
13 นะโมที่กำลังนั่งอ่านไดอารี่เปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว พร้อมกับพูดออกมาว่า “ฉันเคยแอบชอบเขา ขนาดนี้เลยเหรอ ตลกดีแฮะ” แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เธอก็จำความรู้สึกตอนนั้นได้ไม่ลืม รอยยิ้มของเขาดูจริงใจและ ดูมีความสุขมาก..ฉันคงพรรณนาไม่ได้มากนักเพราะในช่วงเวลานี้ความรู้สึกดีเมื่อตอนนั้นมันจางหายไปแล้วแต่เรา ยังคงไม่ลืมเหรอกว่าตอนนั้นมันรู้สึกอย่างไร.. เพราะเวลาเปลี่ยนความรู้สึกย่อมเปลี่ยนเป็นธรรมดา ถึง ไดอารี่ที่รัก 18 ธันวาคม 2002 ครั้งที่ห้ากับคุณไดอารี่ หลายวันถัดมา.. ฉันที่กำลังครุ่นคิดสงสัยมานับหลายวันว่า “ จะมีเหตุผลอะไร ? ที่เขาต้องชอบเรา ? ” หรือเพราะว่าพี่เขาคงจำฉันได้เพราะไปร้านกาแฟเขาบ่อย ใช่สิ.. ไปบ่อยขนาดนั้นใครจะจำไม่ได้กัน คิดมาก ไปสินะ มากจนเผลอหลงคิดไปว่า เขาคงจะชอบเราบ้าง คนอื่น ๆ มีอีกเยอะแยะเหลือคณาที่ดูดีกว่าเรา พี่เขาทั้งหล่อสมาร์ต เฟรนด์ลี่ แถมยังนิสัยดีต่อคนรอบข้าง ซะขนาดนั้น ดูเป็นคนที่มีอนาคตให้เขาเลือกมากมาย ผู้คนนับหลายก็ดูจะตกหลุมรักเขาได้โดยง่าย จึง “ ไม่มีเหตุผลเลยที่เขาต้องชอบเรา ” ถึง ไดอารี่ที่รัก 22 ธันวาคม 2002 ครั้งที่หกกับคุณไดอารี่ ผ่านไปหลายวันแล้วที่ฉันไม่ได้ข้ามทางรถไฟนั่น..บางครั้งเจอหน้ากัน ก็ได้แค่เผลอสบตาและยิ้มให้กัน อย่าง น้อยก็ยังดีที่ได้ทักทายกันในความหมายของ “คนรู้จัก” บางครั้งมีโอกาสดี ๆ ก็อยากซื้อของขวัญให้ เผื่อจะได้มี โอกาสให้ตัวเรานั้นอยู่ใน “สายตาเขา” บ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าให้อยู่ดีเพราะไม่มีข้ออ้างว่าเราให้ “เนื่องจากอะไร” จะบอกว่าชอบตรง ๆ ก็คงจะไม่ได้ ขืนบอก ไปพี่เขาคงคิดว่าเป็นพวกให้ของขวัญหวังสิ่งตอบแทนจนทำให้พี่เขาอึดอัดใจ
14 ถึง ไดอารี่ที่รัก 25 ธันวาคม 2002 ครั้งที่เจ็ดกับคุณไดอารี่ วันคริสต์มาสแล้วสินะ !! เนื่องจากโรงเรียนฉันเป็นโรงเรียนที่นับถือศาสนาคริสต์ จึงมีการจัดงานวันคริสต์มาส ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อเฉลิมฉลองแด่พระเยซู มีเครื่องเล่นและกิจกรรมมากมาย น่าเล่นมากเลยแหละ !! แต่ใจของฉันมันกลับตรงข้ามกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า..สิ่งที่ฉันชอบและมีความสุขกับมันมากที่สุด ตอนนี้ใจมันกลับ ว่างเปล่า คุณไดอารี่คงเดาได้ใช่มั้ยว่าเรื่องอะไร.. ตอนนี้ฉันพยายามตัดใจจากพี่เขาอยู่ เพราะสิ่งที่ฉันหวัง..มันสูงเกินเอื้อมถึง การตัดใจคงเป็นทางออกที่ดีที่สุด สำหรับใจของฉันในขณะนี้ ก่อนที่มันจะถลำลึกไปมากกว่านี้ แต่ทำไมนะ..ทำไมใจฉันยังคงเฝ้าคิดถึงเขา ความรู้สึกที่ฉันหลอกตัวเองว่าลืมเขาแล้ว จริง ๆ แล้วมันยังเก็บซ่อน อยู่เบื้องลึกของหัวใจ แม้ปัจจุบัน นะโมที่กำลังนั่งอ่านอยู่ก็ยังคงจำความรู้สึกนั้นได้ดีว่า แสนเจ็บปวดและทรมานเพียงใด แม้จะผ่าน มา 10 ปี แล้วก็ตาม.. ถึง ไดอารี่ที่รัก 27 ธันวาคม 2002 ครั้งที่แปดกับคุณไดอารี่ หลังจากได้เฉลิมฉลองเทศกาล ตอนนี้ชีวิตของฉันก็กลับมาวนลูปเหมือนในทุก ๆ วัน คือ กิน เรียน นอน และ คิดถึงเขา.. ใช่ คิดถึงพี่ธนิน คิดถึงมากกกกก ถ้าเป็นไปได้เราเองก็อยากจะรู้ว่าเขาคิดอย่างไรกันแน่ ? เราจะได้ เดินทางที่ถูก ว่าจะ “อยู่” หรือ จะ “ไป” แต่ถ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวก้าวก่ายตัวของพี่เขามากเกินไปจะถูกรำคาญ จะถูก หาว่ารบกวนเขาหรือเปล่านะ ? ตอนนี้เหล่าเพื่อน ๆ ฉัน ก็ดันให้เราพยายามเข้าหาเขาแต่ดูเหมือนยิ่ง “ใกล้”กลับยิ่ง “ไกล”... ถ้าบอกไปว่า “ชอบ” บางทีอาจจะถูกเกลียดหรือเขาอาจจะหายไปจากชีวิตเราตลอดไปเลยก็ได้นะ! มันไม่คุ้มเลยที่ จะเสี่ยง!
15 คงต้องอยู่แบบนี้ต่อไป แบบนี้คิดดูดีมันก็ดีอยู่แล้ว ได้ส่งยิ้มทักทายกันบ่อย ๆ ในตอนที่สบตากัน ถึงไม่ได้ ครอบครองแต่ก็เหมือนได้ดูแลอยู่ห่าง ๆ “ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือเข้าไปวุ่นวายอะไร” แบบนี้ดีแล้วแหละ ถึงอาจจะดูแสร้งว่าดีก็เถอะนะ เพราะเรา “ทำอะไรไม่ได้” เขาเองจะเห็นเราอยู่ในสายตาหรือเปล่านะ? เขาจะคิดแบบเดียวกับเราหรือเปล่านะ? ทั้ง ๆ ที่ไม่มีพันธะใด ๆ ให้รักกันแท้ๆ แต่เราเองก็ยังมีหวัง หวังว่าสักวันเขาจะหันมามองเราบ้าง อยากจะรอแต่ทว่า คนเราไม่สามารถรออะไรได้ตลอดไปหรอกนะ ถึงสักวันไม่ใช่“เรา” ก็เป็น “เขา” ที่ต้องจากไป... ล่วงเวลาไปเกือบ 2 สัปดาห์.. ถึง ไดอารี่ที่รัก 10 มกราคม 2003 ครั้งที่เก้ากับคุณไดอารี่และครั้งสุดท้ายที่ฉันจะบันทึกเรื่องราวของเขา… ขอโทษด้วยนะคะคุณไดอารี่ที่ทำให้รอนาน ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ฉันยุ่งมากทำให้ไม่ค่อยได้เขียนถึงคุณเลย ทั้งทำงาน อ่านหนังสือ และสอบ แทบไม่มีเวลาพักเลย ไม่มีเวลาคิดถึงใครเลยด้วยซ้ำ.. และต้องขอโทษด้วยเพราะ ครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว..ที่จะเล่าเรื่องราวให้คุณฟัง “ วันนี้เป็นวันจบปีการศึกษา....” เราเองก็เดินกลับบ้านตามปกติเพื่อไปขึ้นรถประจำทางสาธารณะใกล้กับโรงเรียน แต่ระหว่างเดินนั้นเราได้ เหลียวมองไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ติดกับโรงเรียน เหมือนมีบางอย่างที่มองไม่เห็นกระตุ้นตัวเราและสายตาของ เราให้มองเข้าไปที่สวนสาธารณะนั้น... เมื่อหันไปมองกลับพบว่า... เขา..พี่ธนิน..คนที่เราชอบได้นั่งอยู่กับผู้หญิงที่เราไม่รู้จัก ท่าทางสนิทสนมกันดี มือของเธอกับเขานั้นสัมผัสแนบ นิด ติดกันวางอยู่บนที่นั่งของเขา รอยยิ้มที่ส่งให้เรานั้นต่างกับที่ส่งให้เขาราวฟ้ากับเหว รอยยิ้มที่สดใสที่เคยส่งมาที่ เรา คิดว่าสดใสแล้ว สุดแต่ทว่ารอยยิ้มที่เธอส่งให้เขานั้นสดใสยิ่งกว่า จิตใจหดหู่ไปหมดทั้ง ๆ ที่เราเองก็ไม่เคย ไม่ เคยคาดหวังอะไรจากเขาอยู่แล้วแท้ๆ แต่ทำไมมันถึงเจ็บได้ถึงขนาดนี้!
16 น้ำตาเริ่มหลั่งคลอ...ไหลรินออกมาจากดวงตาดั่งเมฆที่โปรยปรายหยาดน้ำฝน น้ำตาที่แอบกลั้นจาก ความรู้สึกมาโดยตลอดสุดท้ายก็ระบายออกมาเสียที! สุดท้ายแล้วเราเองก็คงได้แต่ภาวนา ภาวนาให้เธอกับเขาไปกันได้ด้วยดี ส่วนเรานั้นจะคอยเป็น “ผู้ชมที่ดี” ใน ฐานะของคนที่รอคอยว่า “สักวันหนึ่งจะมีคนที่เรารักและคนที่รักเราเข้ามาในชีวิตเพื่อต่อเติมจิ๊กซอว์หัวใจของเรา” ณ ปัจจุบัน ช่วงเดือนธันวาคม ปี 2012 แสงแดดยามเช้าที่เล็ดลอดผ่านผ้าม้านสีชมพูอ่อน ค่อยๆ ทอดแสงจากระเบียงมายังปลายเตียงของนะโม ปลุก เธอที่นอนอยู่บนเตียงนอนสีชมพูเข้มทุก ๆ เช้า ตาที่เริ่มเบิกกว้างรับแสงจากดวงอาทิตย์ก็ค่อย ๆ ลืมขึ้นอย่างช้า ๆ “ ก๊อก..ก๊อกกก! ” เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ทำให้นะโมต้องแบกร่างบางลุกจากเตียงไปเปิดประตู “มีอะไรพี่ ร้อยวันพันปีไม่เคยจะมาสนใจน้อง” พอสิ้นสุดเสียงคำตอบของพี่ที่ยืนตรงหน้า ทำให้นะโมนิ่ง.. พี่สาวของฉันมาถามว่า “ ถามหน่อยสิ คิดยังไงกับรักครั้งแรก? ” สิ้นสุดเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย มันทำให้นะโมชะงักไปชั่วขณะเมื่อได้ยินคำถามนี้ทำให้ความง่วงของเธอ หายไปทันที “ คิดอย่างไรเหรอ? มาถึงตอนนี้เศษซากความเสียใจในหัวใจของฉันมันไม่เหลืออีกแล้ว ฉันเดินทางผ่านเส้นทาง ความรักมาหลายครั้ง เพื่อที่จะเจ็บปวดซ้ำ ๆ และพบว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ไม่มีความรักครั้งไหนหรอกที่ไม่ ทิ้งความเสียใจไว้ให้ แต่หากมองอีกด้านหนึ่ง ยิ่งเสียใจแค่ไหน ฉันก็ยิ่งได้บทเรียนกลับมา ” กับความรักครั้งแรกก็เช่นกัน ความเสียใจแทบเป็นแทบตายราวกับตัวเองไม่มีค่าพอกับโลกใบนี้ หายไปไม่ เหลือร่องรอย แปลกดีที่ความรักซึ่งครั้งหนึ่งฉันเคยยึดเป็นที่พึ่งทางใจ เป็นจุดหมายของชีวิตที่เรายอมทุ่มเททุกสิ่งให้ ตอนนี้เหลือแค่เงาจางๆในความทรงจำ ไม่เจ็บปวด ไม่เสียดาย..เขาอีกแล้ว ฉันยิ้มให้พี่สาวอีกครั้ง มันเป็นรอยยิ้มจากใจจริงไม่ได้ฝืน และตอบกลับไปด้วยเสียงที่ไร้ความกังวลและเสียใจ อีกแล้วว่า “เคยมีความรักครั้งแรกกับคนที่เคยรักเป็นคนแรก..แค่นั้นเอง”
17 เขา “เคย” เป็นคนที่ฉันรักและจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป ณ ตอนนี้สำหรับฉัน ..ความรักก็เปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ของหัวใจที่คอยต่อเติมชีวิตให้เรา ถึงบางครั้งความรัก นั้นอาจจะไม่สมหวังแต่อย่างน้อยก็ยังดีที่เราก็เคยแอบรักคน ๆ นั้นและก็คอยแอบหวังว่าเขาคนนั้นจะมีชีวิตรักที่ดี กับคนที่เขาต้องการ... ความรักเล็ก ๆ ที่ผ่านมาจากอดีตนั้น ถึงมันจะมีความสุขเพียงใด... เจ็บเพียงใด... แต่มันก็เป็นหลักฐาน ที่ แสดงว่าเราสามารถก้าวเดินต่อไปได้ เราจะสามารถเติบโตขึ้นได้เปรียบดั่งสายลมที่พัดผ่านมาแล้วผ่านไป นั่นเอง! รู้สึกเย็น รู้สึกร้อน รู้สึกมีความสุข รู้สึกเสียใจ รู้สึกรัก รู้สึกชอบ มีน้ำตา อกหัก ความเจ็บปวด... ล้วน เป็นสิ่งที่ เข้ามาเพื่อทดสอบเรา แม้ว่าความรู้สึกเหล่านี้จะผ่านไปอย่างรวดเร็วดั่งสายน้ำเชี่ยว แต่เราก็สามารถพูดได้เต็มปาก ว่า “ ขอบคุณนะที่เข้ามาในชีวิตของเรา ”... แว่นกลม
18
19 ดวงใจบริสุทธิ์ ท่ามกลางบรรยากาศอันน่ายินดีที่ถูกรายล้อมด้วยดอกกุหลาบสีขาวสด รูปคู่รักบ่าวสาวได้จัดวางอย่างเป็น ระเบียบอยู่ทั่วทั้งงาน ผู้คนมากมายในชุดราตรีและชุดสูทพร้อมใจกันมาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง ในงาน มีกลิ่นหอมอบอวลของดอกไม้สดกระจายทั่วบริเวณโดยรอบ พร้อมทั้งวงดนตรีคลาสสิคที่บรรเลงคลอในห้องโถง ขนาดใหญ่ เสริมให้งานออกมาเป็นดังงานแต่งในฝัน “พะพาย” หญิงสาวในวัยยี่สิบห้าปี วันนี้เธอมาในชุดเดรสยาว สีชมพูหวาน ทรงผมเกล้าขึ้นอย่างเป็นระเบียบ ใบหน้าแต่งแต้มด้วยสีชมพูอ่อน เธอยืนปรบมือให้แก่บ่าวสาวที่ยืน เคียงกันบนเวทีขนาดใหญ่ ด้วยรอยยิ้มและน้ำตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความยินดี พร้อมกับภาพเหตุการณ์ในอดีตที่ สะท้อนขึ้นมาในหัวของเธอทำให้เธอย้อนรำลึกถึงความทรงจำที่งดงามระหว่างเธอกับเจ้าบ่าว “ภูผา” ผู้ที่เป็นดังรัก แรกของเธอ เด็กหญิงมอต้นผมสั้นเท่าติ่งหู รูปร่างผอมบางแต่มีแก้มกลมที่พอเหมาะ เธอมีผมสีดำสนิท ดวงตาสีน้ำตาล กลมโตเป็นประกาย ใบหน้ามีเพียงครีมกันแดด แป้งฝุ่นและลิปมันเท่านั้น แต่กลับมีแก้มสีชมพูระเรื่อ ปากสีชมพู อ่อนอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยส่วนผสมที่ลงตัวนี้ทำให้เธอนั้นน่ารักน่าเอ็นดูแก่ผู้พบเห็นอย่างมาก แต่เธอนั้นไม่สนใจ ในเรื่องของความรักเพราะเธอนั้นถือคติ “รักไม่ยุ่ง มุ่งแต่เรียน”
20 “น้องพะพาย เมื่อไหร่จะใจอ่อนให้พี่เนี่ย” เสียงของเด็กชายมอปลายที่ชื่อ “ภูผา” พูดขึ้นกับเธอ เขาคนนี้ เป็นอีกคนที่ตามจีบพะพายมาร่วมเดือน ถึงแม้ว่าเขาจะผิวขาวร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมจมูกโด่งเป็นสัน ผมสีน้ำตาล ทองธรรมชาติพร้อมดวงตาสีดำเข้มแต่ความหล่อเหลาทั้งหมดก็ไม่สามารถทำเธอใจอ่อนได้ “หนูบอกพี่ไปแล้วไง ว่าหนูยังไม่อยากมีแฟนตอนนี้” พะพายตอบอย่างจริงจังเมื่อภูผานั้นเดินมาดักเธอที่ หน้าโรงเรียนจนเธอเริ่มชักจะรำคาญ “ไม่เป็นไร ยังไงพี่ก็จีบน้องต่อ น้องเคยได้ยินทฤษฎีจีบยี่สิบเอ็ดวันไหม พี่จะจีบหนูด้วยการเอาดอกกุหลาบ สีขาวไปให้น้องทุกวันถ้าครบยี่สิบเอ็ดวันแล้วน้องยังไม่ชอบพี่ พี่จะเลิกยุ่งกับน้องเลย” ภูผาพูดขึ้นอย่างมุ่งมั่น “ทำไมต้องกุหลาบสีขาวขาวด้วยละ” พะพายถามด้วยความสงสัยเพราะเธอเองนั้นไม่ได้ชื่นชอบดอกไม้ ชนิดใดเลยบนโลกนี้ “เพราะดอกกุหลาบสีขาวมีความหมายถึงความรักที่บริสุทธิ์ เหมือนที่พี่มีให้น้องพะพายไง” เขาตอบเธอ พร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้มและมีความหวัง พะพายไม่โต้ตอบอะไรเพียงแต่เดินหนีเขาไปทันที “ทฤษฎีจีบอะไรไร้สาระ” พะพายพึมพำในใจพร้อมอดยิ้มไม่ได้กับความมุ่งมั่นของเขา พะพายเดินมาถึงห้องเรียนสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่มีเพื่อนร่วมชั้นกำลังนั่งเล่นพูดคุยอยู่ประจำบนเก้าอี้ของ ตนเอง แต่เธอนั้นเหลือบไปเห็นบนโต๊ะเรียนของเธอมีดอกกุหลาบสดสีขาวหนึ่งดอกวางอยู่ พร้อมกับกระดาษโน้ตที่ มีข้อความที่เขียนไว้ว่า “วันนี้เป็นวันที่หนึ่งนะคะ น้องพะพาย” เธออ่านจบก็อดยิ้มไม่ได้เพราะเธอไม่นึกว่าภูผานั้นจะทำจริง เธอหยิบดอกไม้ใส่กระเป๋าอย่างระมัดระวัง เพราะเกรงว่าดอกไม้นั้นจะช้ำ โดยเธอไม่รู้ว่าฉากนี้มีภูผายืนหลบอยู่นอกมุมห้องเพื่อแอบดูสีหน้าของเธอในตอนที่ ได้รับดอกกุหลาบจากเขา พร้อมทั้งยิ้มและดีใจที่พะพายนั้นไม่ทิ้งลงถังขยะดังความคิดเขาในครั้งแรก ภูผายังคงสม่ำเสมอมอบดอกกุหลาบสีขาวสดให้กับพะพายในทุก ๆ วัน และยังไม่ลืมที่จะมีข้อความโน้ตไว้ กำกับ “วันนี้วันที่สองแล้ว ชอบพี่ได้ยัง” “หนึ่งอาทิตย์แล้วเร็วมาก ๆ น้องพะพายใจอ่อนยังครับ” “สองอาทิตย์แล้ว ดอกกุหลาบขาดตลาดแต่พี่ก็หามาได้” “วันนี้วันที่ยี่สิบแล้วชอบพี่หรือยังนะ” ทุกข้อความของเขาทำให้หัวใจดวงน้อย ๆ ของพะพายค่อย ๆ เปลี่ยนไปทีละนิดเพราะความพยายามของ เขาที่ทำให้หัวใจของพะพายเริ่มหวั่นไหวให้กับภูผามากขึ้นทุกวัน
21 วันที่ยี่สิบเอ็ด พะพายมองหาดอกกุหลาบสดสีขาวที่โต๊ะดังเดิมแต่แปลกที่เช้านี้ไร้ทั้งดอกไม้และข้อความ เธอคิดว่าเขาคงถอดใจจากเธอไปแล้วแต่ตอนนี้เป็นใจเธอเองที่ว้าวุ่นแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในการเรียนภาคเช้า ใจของเธอเหม่อลอยเพราะมัวนึกถึงภูผาจนเวลาล่วงเลยถึงพักกลางวัน พะพายเดินลงไปที่โรงอาหารเพื่อ รับประทานอาหารที่ร้านข้าวแกงป้าเจี๊ยบเจ้าประจำของเธอ เมื่อเธอได้รับอาหารจึงเดินไปยังโต๊ะรับประทานอาหารมุมหลบกับเพื่อนสาวของเธอเช่นเดิม แต่ขณะที่เธอ กำลังจะยกช้อนที่มีต้มพะโล้เมนูโปรดเข้าปากนั้น เธอก็ได้ยินเสียงกรี๊ดกร้าดของนักเรียนสาวดังขึ้น ทุกคนในโรง อาหารต่างพากันจ้องมองอะไรบ้างอย่างด้วยความตื่นเต้นและมันก็ดึงดูดความสนใจเธอให้มองหาต้นตอของ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อเธอมองไปตามเสียงนั้นพบว่า เป็นภาพของภูผากำลังเดินเหมือนจะมุ่งหน้ามายังโต๊ะอาหารของเธอ พร้อมช่อดอกไม้กุหลาบสีขาวที่มองด้วยตาเปล่าคาดว่าน่าจะประมาณห้าสิบดอก ในตอนนั้นเองร่างกายเธอแข็งทื่อ อาจจะด้วยความตื่นเต้นกับภาพด้านหน้าจนรู้ตัวอีกทีภูผานั้นได้เดินหอบดอกไม้กุหลาบสีขาวมาตรงหน้าเธอแล้ว “น้องพะพายครับ วันนี้วันที่ยี่สิบเอ็ดแล้ว เป็นแฟนพี่ได้ไหมครับ” ชายหนุ่มในชุดนักเรียนมอปลายเอ่ย ขึ้นกับเธอ หลังเขาพูดจบเสียงกรี๊ดกร้าดของนักเรียนหญิงดังขึ้นอีกครั้งกับคำพูดของเขา ตอนนี้หัวใจพะพายเต้น ระรัวอย่างไม่เป็นจังหวะ เธอรู้ว่าภูผาชอบเธอแต่มีคิดว่าเขาจะลงทุนทำเพื่อเธอขนาดนี้ “อือ” พะพายตอบอย่างสั้น ๆ แต่ในสมองเธอนั้นมีคำจะพูดอีกพันล้านคำ ทั้งเขินคนรอบข้าง ทั้งปลื้มใจ กับความพยายามที่ภูผาได้ทำให้แก่เธอ หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นพะพายกับภูผาได้ขยับความสัมพันธ์อย่างสนิทสนมกันมากขึ้น ทั้งสองคอย ช่วยเหลือกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนหรือการดูแลกันและกันในทุกเรื่องอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ความรักของทั้ง สองยังไม่สามารถเปิดเผยกับพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายได้เนื่องจากพะพายเป็นเพียงแค่นักเรียนมอต้นแถมแม่ของเธอยัง เข้มงวดกับการมีแฟนอย่างมาก ทุกครั้งที่ทั้งสองอยากไปเที่ยวหรืออยากมีเวลาร่วมกันมักจะใช้ข้ออ้างว่าไปทำ รายงานบ้านเพื่อนเป็นประจำอยู่เสมอเฉกเช่นวันนี้ “แม่ วันนี้หนูไปทำรายงานบ้านเพื่อนนะ” พะพายตะโกนบอกผู้เป็นแม่ที่กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หลังบ้าน “อย่ากลับดึกนะลูก” แม่ของพะพายตะโกนตามหลังของลูกสาวที่รีบวิ่งแจ้นปั่นจักรยานไปแล้ว โดยที่ไม่รู้ ว่าความจริงแล้วนั้น มีภูผาคอยรับเธออยู่ที่ปากทาง
22 วันนี้เป็นเช้าวันเสาร์ทั้งสองนัดกันไปนั่งที่สวนสาธารณะที่ห่างไกลจากหมู่บ้านเพราะเกรงว่าแม่จะมาเห็น บรรยากาศยามเช้าเวลาแปดนาฬิกายังคงมีแสงแดดอ่อนส่องให้ความอบอุ่น ภูผาจัดปูเสื่อขนาดพอสองคนนั่งใน บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ริมสระน้ำ ส่วนพะพายเธอก็จัดเสบียงขนมและผลไม้ที่เธอเตรียมมาเพื่อปิกนิกและอ่านหนังสือ ไปพร้อมกัน เมื่อจัดของเสร็จแล้วทั้งสองกันพากันนั่งรับกับบรรยากาศโดยรอบที่มีลมอ่อนพัดมากระทบหน้าอย่าง เบา ๆ พร้อมหมู่ผีเสื้อที่บินวนรอบสวนดอกไม้ด้านข้างที่ทำให้หัวใจของเขาทั้งสองรู้สึกเพลิดเพลินพร้อมคุยเล่าถึง เรื่องในอนาคตของกันและกัน “ถ้าในอนาคตเราแต่งงานกัน น้องพะพายอยากจัดงานแต่งแบบไหน” ภูผาเอ่ยถามเธออย่างจริงจัง “หนูอยากให้งานแต่งของเราตกแต่งด้วยดอกกุหลาบสีขาว มีรูปของเราตกแต่งทั่วงาน ให้คนที่มาร่วมงาน ใส่ชุดสีชมพูและก็ต้องมีวงดนตรีบรรเลงเพลงคลาสสิกด้วย เพราะหนูชอบฟัง” เธอตอบพร้อมดวงตาที่เป็นประกาย “พี่จดไว้หมดแล้วว่าหนูชอบอะไร งานแต่งของเราต้องออกมาดีแน่ ๆ” ภูผาพูดเสร็จทั้งสองหันมามองกัน ด้วยสายตาที่มีความสุขและให้คำมั่นสัญญากันว่าเมื่อทั้งสองเติบโตขึ้นจะแต่งงานกัน เวลาล่วงเลยถึงบ่ายสี่โมงเย็นภูผาและพะพายเดินทางกลับบ้านโดยที่ทั้งคู่แยกกันที่ปากทางดังเดิม เมื่อกลับถึงบ้านพะพายยิ้มอิ่มเอมอย่างมีความสุขจนแม่จับสังเกตได้ “ไปทำรายงานอะไรมา ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว” แม่เธอเอ่ยพร้อมสายตาที่จับผิดลูกสาวคนเดียวของเขา “ยะ ยิ้มอะไรละแม่ ก็ปกติ๊” เธอพยายามตอบแม่ด้วยน้ำเสียงที่ปกติแต่กลับมีพิรุธมากกว่าเดิม “เอาละ ๆ ว่าแต่พรุ่งนี้ไม่มีทำรายงานอะไรใช่ไหม ลืมไปหรือเปล่าว่าพรุ่งนี้วันเกิดแม่” ผู้เป็นแม่ถามลูก สาวอย่างน้อยใจเพราะช่วงนี้เธอตัวไม่ติดบ้านจนเธอคิดว่าลูกสาวนั้นลืมวันเกิดของตนไปเสียแล้ว “ไม่มีค่ะ ใครจะจำวันเกิดคุณแม่สุดที่รักของตัวเองไม่ได้กัน” พะพายตอบพลางเข้าไปสวมกอดแม่ด้านหลัง ด้วยความขี้อ้อนเพราะเธอรู้ว่าแม่กำลังน้อยใจ “พรุ่งนี้อย่าลืมตื่นแต่เช้ามาจัดของช่วยแม่ละ ป้าเพ็ญกับลูกชายจะมาหาแม่ด้วย” แม่ของเธอกำชับ “ได้ค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูตื่นตั้งแต่ตีห้าเลย” พะพายตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมหอมแก้มผู้เป็นแม่และวิ่งขึ้น บนบ้านไปที่ห้องของเธอ “พะพายตื่นยังลูก พะพาย” เสียงของแม่ปลุกพะพายแต่เช้าตรู่ เธอเดินลงบันไดบ้านด้วยตาที่ยังไม่เปิดดี เพื่อมาช่วยแม่ทำอาหารที่ห้องครัว วันนี้แม่ของเธอทำมัสมั่นไก่ ต้มยำกุ้ง ปลานิลนึ่งพร้อมขนมคัพเค้กที่ลงมือทำกับ พะพาย ทำให้กลิ่นหอมของอาหารและขนมส่งกลิ่นฟุ้งไปทั่วบ้าน แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น
23 “สงสัยป้าเพ็ญจะมาแล้ว เดี๋ยวแม่ไปรับป้าก่อน หนูถือคัพเค้กตามมาทีหลังนะลูก” แม่ของเธอเอ่ยพร้อม วางผ้ากันเปื้อนและยกสำรับอาหารออกไปด้านนอก พะพายยังคงเพลิดเพลินกับการตกแต่งคัพเค้กด้วยสีสันสดใสและเป็นรูปต่าง ๆ เมื่อเธอตกแต่งแล้วก็รู้สึก ภูมิใจในผลงานของตนเองที่สามารถตกแต่งครั้งแรกออกมาสวยงามเพียงนี้ เธอรีบนำขนมคัพเค้กใส่ถาดและรีบเดิน ออกไปอวดผู้เป็นแม่ แต่ทว่าเธอเดินไปถึงห้องนั่งเล่นภาพที่เธอเห็นคือแม่ของเธอที่กำลังนั่งคุยกับหญิงสาวที่คาดว่า จะเป็นป้าของเธอ แต่สิ่งที่แปลกคือทำไม “ภูผา” แฟนของเธอถึงได้มานั่งตรงนี้ด้วย “อ้าวพะพาย นี่ป้าเพ็ญพี่สาวที่แม่เล่าให้ฟังอยู่บ่อย ๆ และนี่พี่ภูผาลูกชายป้าเพ็ญ ลูกพี่ลูกน้องของหนู” สิ้นสุดเสียงของแม่ ถาดคัพเค้กที่อยู่ในมือของเธอตกลงพื้นด้วยมือที่อ่อนแรงทันที ทำให้ภูผาที่ตกใจกับเหตุการณ์ ด้านหน้านี้เช่นกันวิ่งมาเก็บของช่วย ตอนนี้เธอตกใจกับทุกอย่าง ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้ได้อย่างไร แต่ต้องจำใจทำตัวปกติเก็บของที่หล่นพื้นและมา นั่งข้างแม่ของเธอ บรรยายกาศงานวันเกิดของวันนี้ภูผาและพะพายทำตัวไม่ถูกสายตามองกันอย่างเป็นระยะ เหมือนที่อยากจะเคลียร์ความในใจทุกอย่าง เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ ป้าเพ็ญจึงขอตัวลาไปพร้อมลูกชายของเขา พะพายรีบบอกว่าแม่ของเธอว่า เธอรู้สึกปวดหัวและไม่สบายจึงอยากไปนอนพัก เธอรีบวิ่งขึ้นไปบนห้องสี่เหลี่ยมสีขาวขนาดพอดีทิ้งตัวพร้อมหยด น้ำตาที่ไหลอาบทั้งสองแก้ม สมองเธอขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก เพราะเหตุการณ์วันนี้มันทำให้เธอรู้ว่าเธอและภูผา เป็นญาติกันและไม่อาจรักกันได้ เธอจมอยู่กับเหตุการณ์และความเศร้าจนเผลอหลับไป เช้านี้ของพะพายเธอไม่มีอารมณ์ที่จะผุดลุกจากที่นอนด้วยซ้ำ แต่หากวันนี้เป็นวันจบการศึกษาระดับมัธยม ต้นของเธอ เธอจึงจำเป็นที่จะต้องไปโรงเรียนพร้อมร่างกายและสภาพจิตใจที่อิดโรย เสียงดังเจื้อยแจ้วของนักเรียน และผู้ปกครองดังทั่วบริเวณลานกิจกรรมซึ่งเป็นที่สำหรับการร่วมแสดงความยินดีกับนักเรียนผู้จบการศึกษา หลาย ๆ คนหอบหิ้วทั้งช่อดอกไม้และตุ๊กตากันอย่างล้นมือ หนึ่งในนั้นก็คือพะพายที่มีคนมาร่วมแสดง ความยินดีกับเธอจนแทบถือของไม่ไหวแต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงมองหา “ภูผา” ผู้ที่เธอหวังว่าจะมาร่วมยินดีกับเธอ แต่รอแล้วรอเล่าจนจบงานเธอก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของภูผา เธอคิดว่าเขายังคงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกันกับเธอ
24 ในระหว่างทางที่พะพายกำลังกลับบ้านนั้น มีเสียงของชายหนุ่มที่คุ้นเคยตะโกนเรียกเธอ “น้องพะพาย” ภูผาที่อยู่ในชุดนักเรียนพร้อมใบหน้าที่อาบน้ำตาและอีกมือถือดอกกุหลาบสีขาวไว้ ตะโกน เรียกเธอจากด้านหลัง พะพายเดินหันหลังไปหาเขา ทั้งสองโอบกอดกันด้วยน้ำตา แม้จะไม่มีคำพูดสักคำแต่ทั้งสองก็ รับรู้ถึงความรู้สึกของกันและกันได้เป็นอย่างดี “พี่เอาดอกไม้มาร่วมแสดงความยินดีกับน้องสาวของพี่ครับ” เขายื่นดอกกุหลาบสีขาวในมือให้แก่เธอ พะ พายรับไว้และโอบกอดเขาอีกครั้ง “ขอบคุณนะคะพี่ภูผาที่ยังมาหา ขอบคุณสำหรับทุกอย่างจริง ๆ จากนี้หนูคงเป็นได้เพียงน้องสาวของพี่” เธอตอบด้วยน้ำเสียงสะอื้น “ถึงแม้เราจะไม่ได้เป็นแฟนกันแต่พี่ยังคงรักและหวังดีกับพะพายเสมอ ความรักของพี่จะเป็นดังดอก กุหลาบสีขาวที่แปลว่ารักบริสุทธิ์ที่จะมีให้น้องตลอดไปนะ” “น้องพะพาย” เสียงชายหนุ่มในชุดสูทเจ้าบ่าวเอ่ยเรียกเธอด้วยความดีใจ ที่เห็นน้องสาวมาร่วมแสดงความ ยินดีในงานแต่งของเขา “สวัสดีค่ะพี่ภูผา” พะพายรีบเช็ดคราบน้ำตาและแสดงสีหน้ายิ้มแย้มตอบพี่ชายของเธอ “เป็นไงบ้างไม่เจอกันตั้งสิบปี น้องสาวพี่สวยขึ้นหรือเปล่า” ภูผาเอ่ยแซวน้องสาวที่ไม่ได้เจอกันมาสิบปีได้ “พี่ภูผาเองก็ดูดีขึ้นมากค่ะ เผลอแป๊บเดียวแต่งงานก่อนน้องซะแล้ว” พะพายแซวกลับ “พี่ต้องขอบคุณมาก ๆ นะ ที่น้องสละเวลามาในงานแต่งของพี่” ภูผาพูดด้วยน้ำเสียงขอบคุณ “ไม่เป็นไรเลยค่ะ งานของพี่ชายหนูต้องมาอยู่แล้ว” เธอเอ่ยตอบภูผาด้วยความจริงใจ ทั้งสองแลกเปลี่ยน สอบถามสารทุกข์สุกดิบอย่างมีความสุข จนทำให้พะพายนั้นหัวเราะยิ้มแย้มและสัมผัสได้ว่าภูผายังเป็นคนอารมณ์ดี เช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยน “ภูผาคะ ถึงเวลาตัดเค้กแล้วค่ะ” หญิงสาวใบหน้าสวยที่สวมชุดแต่งงานสีขาวลูกไม้เดินมากระซิบกับภูผา อย่างเบาเสียง ภูผาจึงขอตัวกับพะพายเพื่อไปทำพิธีในงานแต่งของเขาต่อ พะพายมองบ่าวสาวจูงมือขึ้นไปบนเวที ด้วยความยินดี ยินดีที่เขาได้พบรักแท้ ยินดีที่งานแต่งในฝันของเขาเป็นจริง และยินดีกับเขาที่เจอความรักบริสุทธ์ที่ แท้จริงของตนเอง และสำหรับดวงใจของพะพายที่มีให้ภูผานั้นเปรียบเสมือนดอกกุหลาบสีขาวที่ซื่อตรง อ่อนโยน จริงใจและบริสุทธิ์แม้นว่าเป็นความรักในรูปแบบใด เธอก็จะยังคงหวังดีกับเขาตลอดไป.... สีชมพู
25
26 หลงพันธนาการ “เอ่อ ขอโทษนะคะ ที่ตรงนี้ว่างไหมคะ” เสียงหวานของใครสักคนดังขึ้นข้าง ๆ หูฉัน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ ไม่ได้สนใจว่าเจ้าของเสียงได้พูดกับฉันหรือเปล่า “คุณ ตรงนี้ว่างไหมคะ”เป็นอีกครั้งที่เสียงนี้ดังขึ้นจนฉันนึกขึ้นได้ ว่าที่ข้าง ๆ ฉันนั้นว่าง และนี่เป็นเพียงแค่คำพูดสั้น ๆ ประโยคเดียวกลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตฉันไปโดยปริยาย… สิ้นเสียงหวานและมีคำสั่งจากสมองที่สั่งให้ฉันหันหน้าไปหาเจ้าของเสียง จนได้พบกับผู้หญิงร่างเล็กที่กำลัง ยืนรอตำตอบจากฉันอยู่ ฉันมองไปรอบ ๆ ห้องเพื่อดูว่าสถานการณ์ตอนนี้เขาทำอะไรกัน สายตาของฉันหยุดอยู่ที่ คุณครูประจำชั้นที่กำลังพยักพเยิดหน้าขอให้ฉันตอบรับคำตอบของผู้หญิงคนนี้ “ว่าง นั่งสิ” สิ้นเสียงของฉัน ร่างเล็กก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ไม้อย่างแรงเหมือนรอคอยโอกาสนี้มานาน เสียง หวานเอ่ยแจ้ว ๆ แนะนำตัวเองจนรู้ว่าเป็นเด็กนักเรียนใหม่ที่ย้ายเข้ามากลางเทอม เพราะที่บ้านย้ายเข้ามาทำธุรกิจ และรู้ว่าเธอชื่อ “เพลงรัก” ชื่อเพราะจังเลยนะแม่คุณ จะว่าไปเพลงรักก็จัดว่าเป็นผู้หญิงที่หน้าตาเข้าขั้นน่ารักเลยก็ ว่าได้ เธอมีผมสีน้ำตาลอ่อน ดวงตากลมโตสีดำส่องประกายแวววาวเหมือนลูกแก้ว แก้มนวลถูกแต่งแต้มด้วย เครื่องสำอางราคาแพง จมูกเชิดรั้นและริมฝีปากเล็กได้รูป ผิวขาวอมชมพู
27 ลืมแนะนำตัวไป ฉันชื่อนับเก้า ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2 เรียนโรงเรียนหญิงล้วน ฉันก็ไม่ได้เข้าขั้นหน้าตาดี หรือเป็นที่รู้จักของใคร ๆ ออกแนวเนิร์ดใส่แว่นหนาเตอะ ฉันสีดำที่ถูกมัดอย่างลวก ๆ จนดูไม่เป็นทรง และใส่ แมสก์สีดำปิดหน้าจนมันกลายเป็นเอกลักษณ์ของตัวฉันไปเสียแล้ว วันเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์ของฉันกับเพลงรักก็พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน เหมือนฉัน ต้องกลายเป็นบอดี้การ์ดจำเป็นของเพลงรักเลย เพราะว่าเจ้าตัวดูฮอตในหมู่สาวหล่อเป็นอย่างมาก มีคนมาขาย ขนมจีบไม่เว้นวัน อาจจะเพราะหน้าตาที่น่ารักเหมือนตุ๊กตา เรียนเก่งและมีนิสัยที่ตามคนไม่ค่อยทันจึงกลายเป็น เสน่ห์ที่ดึงดูดผู้คนรอบข้างเช่นนี้รวมถึงตัวฉันเอง ยิ่งใกล้ชิด ยิ่งอยากรู้จักให้มากขึ้น ยิ่งอยากเป็นเจ้าของรอยยิ้มที่ สดใสนั้น... เช้าในวันนี้ ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ไม่มีแม้แต่เงาของปุยเมฆ มีเพียงอากาศที่ร้อนเหมือนตกนรกทั้งเป็น ตอนนี้ ฉันกำลังขับรถมอเตอร์ไซค์เพื่อมุ่งหน้าไปที่โรงเรียนอย่างเร่งรีบเพื่อให้ทันเข้าแถว ในขณะที่ขับรถอย่างเพลิดเพลิน มองมองดูพ่อค้าแม่ขายข้างถนนที่กำลังจัดเตรียมของเพื่อออกไปขายอย่างเร่งรีบ และในที่สุดก็เดินทางมาถึงโรงเรียนในเวลาฉิวเฉียด แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็รีบวิ่งออกไปซื้อหมูปิ้งหน้าโรงเรียน มาไว้กินหลังเลิกแถว กลิ่นหอมของหมูปิ้งนมสดลอยตลบอบอวลมาแตะจมูกของฉัน ทันหมูปิ้งชุดสุดท้ายพอดี “อ้าว เจ้าเก้าวิ่งหอบมาเชียว ชุดสุดท้ายเอาไหมลูก” เสียงของป้านวล แม่ค้าร้านหมูปิ้งเจ้าประจำทักขึ้น “เอาค่ะ นี่ค่ะ”ว่าแล้วก็ยื่นเงินให้แล้วหันหลังวิ่งเข้าโรงเรียนอย่างรวดเร็ว “วิ่งก็ระวังล้มด้วยโว้ย” เสียงตะโกนของป้านวลไล่ตามหลังมา ฉันหันกลับไปยิ้มและโบกมือว่าไม่เป็นไร กริ๊งงงงง!!! เสียงออดของโรงเรียนดังขึ้น ‘ขณะนี้เวลา 08:00 น. ขอให้นักเรียนทุกคนไปรวมตัวที่หน้าเสาธง เพื่อเข้าแถวเคารพธงชาติด้วยค่ะ’ เสียงประกาศตามสายดังขึ้น “วิ่งหอบมาเชียว ไปไหนมาทำไมเหงื่อซ่กแบบนี้” เพลงรักเอ่ยทักเมื่อเห็นฉันวิ่งหน้าตั้งมาแต่ไกล เสียงหอบ ของฉันดังขึ้นเป็นระยะ ๆ ทำไมเหนื่อยแบบนี้นะ พลางเอามือดันกรอบแว่นที่ไหลให้กลับไปอยู่ที่เดิม ฉันไม่ได้ตอบ อะไรเธอไป ถึงกระนั้นเพลงรักก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ หลังจากที่ทำกิจกรรมหน้าเสาธงเสร็จ เสียงหวานของคนตัวเล็ก ที่ยืนอยู่ข้างฉันก็ดังขึ้น
28 “เก้าไปกินข้าวกัน” สิ้นเสียนั้น ฉันถึงกับทำหน้าเหลอหลาออกมาโดยไม่รู้ตัว ‘แล้วหมูปิ้งป้านวลล่ะ’ ฉันแต่คิดในใจเงียบ ๆ เสียงหัวเราะของเพลงรักดังขึ้น ทำไมคนตรงหน้าถึงได้ยิ้มสดใสเพียงนี้นะ แค่ยิ้มทุกอย่างก็ดี ขึ้นงั้นเหรอ “ทำไมทำหน้าแบบนั้น ไปเป็นเพื่อนเพลงหน่อยหิวข้าวมาก ๆ เลย” ร่างบางส่งเสียงอ้อนและจับมือของฉัน แกว่งไปมา คิดว่าจะใจอ่อนเหรอ ใช่ ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น ส่วนหมูปิ้งป้านวล... เก็บไว้กินตอนเย็นแล้วกัน ขอโทษ นะคะป้านวลแต่หนูทนแรงอ้อนของตัวเล็กนี่ไม่ไหว “เดินนำไปสิ” “เย่ เราไปกินกันเลย” เสียงที่แสดงถึงความดีใจก็ดังขึ้นจนฉันตกใจ มือขาวจับมือของฉันให้ เดินตามอย่างเร่งรีบ “เก้ารีบเดิน เดี๋ยวขึ้นห้องเรียนสาย” แหม แม่คุณ ตัวเองหิวแท้ ๆ ฉันได้แต่ส่ายหัวให้กับคำพูดของเพลง รัก และแล้วก็ถึงเวลาที่เธอรอคอย บะหมี่น้ำใสชามโตตั้งอยู่ตรงหน้าเธอ เพลงรักบรรจงตักเครื่องปรุงต่าง ๆ มาปรุง ให้ได้รสชาติตามที่เจ้าตัวกิน ส่วนอาหารของฉันคือ แกงเขียวหวานไก่ราดข้าว กลิ่นของมันชวนน้ำลายสอเสียจริง กลิ่นของเครื่องเทศแสดงถึงเอกลักษณ์และรสชาติที่กลมกล่อมบ่งบอกฝีมือของคนทำได้เป็นอย่างดี “ขอชิมหน่อยได้ไหม จะมีคนให้เราชิมแกงเขียวหวานไหมนะ” คนตรงหน้าส่งสายตาอ้อนมาให้ฉัน ไม่ต้อง พูดพร่ำสิ่งใด มือเรียวยาวก็เลื่อนจานข้าวไปหาคนตรงหน้า เพื่อที่เธอจะตักถึง คนตัวเล็กตักแกงเขียวหวานไปชิม แล้วทำตาโต จากนั้นก็ยกนิ้วโป้งขึ้นเพื่อสื่อว่าสิ่งที่ชิมไปนั่นอร่อยถูกปาก แก้มตุ่ยเชียวเจ้ากระต่าย แชะ เสียงกด ชัตเตอร์กล้องดังขึ้น ปรากฏรูปของเพลงรักกำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ‘น่ารัก’ ฉันเผลอยิ้มออกมาอีกแล้ว จากนั้นฉันก็รีบเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าดังเดิม หลังจากที่เราทั้งคู่ต่างคนต่างกินอาหารของตนและรีบวิ่งขึ้นห้องเรียน จะว่าไปการเป็นเด็กมัธยมนี่ก็ดีอย่าง หนึ่งเลยนะ ได้ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นได้เต็มที่โดยที่ไม่ต้องเครียดอะไร เว้นเสียแต่การสอบเข้ามหาวิทยาลัย ฉันยังไม่รู้ เลยว่าตัวเองอยากเป็นอะไร ทั้งที่อีกไม่กี่เดือนก็ถึงช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว “นี่เพลง โตขึ้นอยากเป็นอะไรแล้วจะเข้ามหาลัยไหม” เมื่อเราทั้งคู่ขึ้นมานั่งที่เรียบร้อยแล้ว ฉันก็ได้เอ่ย ถามคนข้าง ๆ ว่ามีความฝันอยากเป็นอะไร
29 “อยากเป็นแฟนเก้ามั้ง” และแล้วคำตอบที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ฉันในตอนนี้นิ่งงันไปกับคำตอบของเพลงรัก อย่างมาก ดีใจจนรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดง เธอรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ไหมนะ ทำไมหัวใจเต้นแรงจัง เก็บอาการหน่อยเก้า เดี๋ยวเขารู้ว่าเราแอบชอบ “ล้อเล่น อยากเป็นหมอน่ะแต่ที่บ้านคงไม่สนับสนุน เพลงอยากช่วยคนอื่น ๆ ให้หายจากการเจ็บป่วยและ โรคภัย มันคงจะดีมาก ๆ เลยนะถ้าคนที่เรารักได้อยู่กับเราตลอดไปโดยที่ไม่เจ็บป่วยใด ๆ ” สิ้นเสียงเพลงรักก็ทำ หน้าเศร้า รู้สึกสงสารคนตัวเล็กจัง แต่การเป็นหมอท่ามกลางตระกูลนักธุรกิจใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว “เก้าล่ะ อยากเป็นอะไร” เสียงหวานเอ่ยถาม “ไม่รู้สิ เรียนเถอะ” จากนั้นบทสนทนาของเราทั้งคู่ก็จบลง อย่างรวดเร็ว ฉันได้แต่มองหน้าของเพลงรักอย่างหลงใหล เวลาที่เธอตั้งใจทำอะไรสักอย่างมันน่ามองอย่างบอก ไม่ถูก ได้เวลาพักกลางวันแล้วในขณะที่เราทั้งคู่กำลังจะเดินไปที่โต๊ะกินข้าว ที่นั่งประจำของเราทั้งคู่ จู่ ๆ ก็มีรุ่น พี่ผู้หญิงฉันสั้นวิ่งมาดักทางตรงหน้าเราทั้งคู่และได้ยื่นดอกกุหลาบสีชมพูให้กับเพลงรัก “พี่ชอบเรามานานแล้วนะน้องเพลง รับดอกไม้พี่ไว้หน่อยนะคะ” เจ้าของเสียงก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล พี่หลิน สาวหล่อขวัญใจโรงเรียนมาส่งดอกไม้จีบเพลงรัก มือขาวก็ได้แต่รับมาอย่างงง ๆ ฉันได้แต่มองตาม มือของเพลงรัก รู้สึกว่าตัวเองทำหน้าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด พี่หลินไปแล้วเหลือเพียงเราทั้งคู่ที่ยืนเงียบอยู่ “พี่เขาหล่อจัง เขามีแฟนหรือยังอะเก้า” “ไม่รู้ดิ อยากรู้ก็ไปหาข้อมูลเอา” ฉันตอบร่างบางไป “แล้วทำไมต้องทำเสียงหงุดหงิดใส่ด้วย ช่วยหน่อยก็ไม่ได้” ร่างบางข้างกายทำหน้ามุ่ยแล้วรีบเดินจากไป ทิ้งให้ฉันยืนอยู่คนเดียวกับอารมณ์ที่กำลังหงุดหงิดในตอนนี้ “ชอบมากปะดอกไม้อะ ไม่เห็นจะสวย” ฉันเอ่ยถามออกไปแม้จะรู้ว่ายิ้มหวานให้กับดอกไม้แค่ไหน หึงหวง เธอจัง ตัวแค่นี้โปรยเสน่ห์ความน่ารักไปทั่ว “ชอบสิ พรุ่นี้ก็วาเลนไทน์แล้วไม่รู้เหรอ” ลืมไปเลยมัวแต่คิดเรื่องเจ้าตัวจนลืมวันลืมคืน อยู่กับเพลงรักที่ไร ใจเราไม่เคยอยู่กับเนื้อกับตัวเลย ฉันไม่ได้ตอบอะไรกลับไป สงสัยพรุ่งนี้คงต้องซื้อดอกกุหลาบมาจีบแสดงความเป็น เจ้าของเสียแล้ว กลัวนกจัง
30 “วันนี้ทำหน้าเครียดบ่อยนะ เป็นอะไรหรือเปล่า” เพลงรักเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ฉันได้แต่ส่ายหน้าแล้วตอบกลับไปว่า “เปล่า เครียดเรื่องเรียนต่อ” อยากเรียนต่อกับเธอน่ะสิยัยบ๊อง “ค่อย ๆ คิดยังมีเวลา สู้ ๆ เจ้าโย่งมีอะไรก็บอกเพลงรักคนนี้ได้นะ” เสียงที่ถูกเปล่งออกมาอย่างร่าเริงสร้าง ความเอ็นดูให้กับฉันเป็นอย่างมาก พิสูจน์แล้วว่าแค่เพลงรักยิ้ม ทุกอย่างก็ดีขึ้นจริง ๆ แล้วอย่างนี้เราจะก้าวข้าม เฟรนด์โซนได้ไหมนะ จะไหนรอดล่ะแบบนี้ วันต่อมาฉันซื้อดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ ตั้งใจว่าจะมอบให้กับเพลงรักในวันนี้ ซึ่งเป็นวันที่ 14 กุมภาหรือ วันวาเลนไทน์นั่นเอง ตั้งใจว่าจะขอเพลงรักเป็นแฟนด้วยสิ ไม่อยากเป็นเพื่อนกับร่างบางแล้ว ฉันอยากเป็นเจ้าของ รอยยิ้มนั้นแต่เพียงผู้เดียว แต่จะให้เพลงรักเห็นกุหลาบช่อโตนี้ตอนนี้ไม่ได้ ขอเอาไปไว้ในล็อคเกอร์ก่อนแล้วกัน ทำไมฉันถึงเลือกดอกกุหลาบสีแดงนี้มามอบให้เพลงรักอะเหรอ เพราะว่าความหมายของดอกกุหลาบสีแดงก็คือ การตกหลุมรักหรือการแอบชอบใครสักคนน่ะสิ เหมาะกับการสารภาพรักมาก ๆ เลยล่ะ ว่าแล้วก็นัดเพลงรัก ออกมาดีกว่าตื่นเต้นจัง ฉันก็หวังว่าเพลงรักจะตอบรับความรู้สึกของฉันบ้างนะ ไม่อยากผิดหวังในความรักอีกแล้ว “เพลงรักอยู่ไหนมีเรื่องจะคุยด้วย” หลังจากที่คิดไว้แล้วว่าจะนัดออกมาคุยฉันก็ได้ทำการนัดเพลงรัก ออกมาด้วยการโทรเข้ามือถือจของร่างบาง “มาแล้ว ๆ รอนานไหมไปช่วยครูพิเภกถือของมา เก้าจะคุยอะไรอะ” เอายังไงดีจะบอกออกไปดีไหมนะ สองมือของฉันกำเข้าหากันและบีบมือของตัวเองแน่น พลางกัดริมฝีปากใช้ความคิดอย่างเคร่งเครียด กดดันเสียยิ่ง กว่าตอนออกไปพูดหน้าเสาธงอีก “เอ่อ... เพลงคิดยังไงกับคู่รักเลสเบี้ยนที่ขอกันคบในวันวาเลนไทน์ เพลงรับไหมถ้าผู้หญิงกับผู้หญิงคบหา กัน” สุดท้ายสมองกับความรู้สึกก็ไปคนละทางกันจนได้ แต่เอาเถอะอย่างน้อย ๆ ก็ถือว่าเป็นการถามลองเชิง “โลกเปิดกว้างแล้วนะเก้า เราไม่ได้รังเกียจคนกลุ่มนี้ด้วยซ้ำกลับกันเรายินมาก ๆ ที่ทุกคนกล้าแสดงจุดยืน ในความรักของตนและแสดงออกอย่างเปิดเผย มันสิทธิ เสรีภาพ และความชอบส่วนบุคคลนี่นา จริงไหม น่ารักออก เราว่า ” พอได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกใจฟูขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เหมือนดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวพอถูกรดน้ำเข้าหน่อยก็ชูดอก หาแสงอย่างสดใสต่อไป “ทำไมถามแบบนั้น เก้าชอบใครเหรอบอกหน่อยได้ไหม” ชอบแกนั่นแหละฉันตอบในใจ “เอ่อ..คือว่า” ฉันแต่อ้ำอึ้งไม่กล้าบอกออกไป
31 “ว่า” “ชอบ..” “...” “ชอบแกอะเพลง พอจะรับรักฉันได้ไหม” “เอ่อ.. ชอบเราเหรอ ทะ..ทำไมล่ะ” “อยากเป็นเจ้าของรอยยิ้มของแกไง” ได้ตอบออกไปแล้ว แต่พอเห็นสีหน้าที่ดูตกใจของเพลงรัก และท่าที่ ที่ดูถอยห่างออกไปเมื่อได้ยินคำตอบของฉัน ใจแป้วอย่างบอกไม่ถูกลึก ๆ ก็รู้สึกเสียใจ ถ้าหากได้บอกออกไปแล้ว ไม่ เป็นตามที่หวังก็ถือว่าได้ทำอย่างดีที่สุดแล้วแต่ก็นะ... ในใจลึก ๆ ก็ยังแอบหวังว่าเขาจะรับรัก “ขอเราเก็บไปคิดก่อนได้ไหม” เอาล่ะ อย่างน้อยก็ยังมีโอกาส “อืม ไม่เร่งหรอกถ้าไม่ฝืนใจก็รับไปพิจารณาหน่อยนะ สัญญาจะดูแลอย่างดี” ฉันกล่าวความในใจออกไป อีกครั้ง แล้วก็เดินจากไปปล่อยให้อีกคนอยู่กับตัวเอง เพลงรักเป็นคนแรกเลยที่ฉันอยากจะรัก อยากจะปกป้องและดูแลตลอดไป ถึงแม้ว่าตอนนี้จะอยู่ใน สถานะเฟรนด์โซนก็ตาม ถ้าถามว่าทำไมฉันถึงอยากเป็นแฟนเธอน่ะเหรอ ก็เพราะว่าเธอคอยดูแลเอาใจใส่ฉันอยู่ ข้าง ๆ ในวันที่ฉันไม่มีใครเลย จำได้ว่าวันแรกที่เราเจอกันฉันเหม่อลอยและละเลยการเรียนเอามาก ๆ เพราะฉันเพิ่ง เลิกกับแฟนคนก่อนด้วยเหตุผลที่ว่า เขาไม่ชอบเด็กเนิร์ด ไม่ชอบที่ฉันใส่แมสหรือแว่นตาที่หนาเตอะ เหมือนคน ปกปิดความขี้ริ้วขี้เหร่เอาไว้ แฟนเก่าของฉันบอกมาแบบนั้น แต่เพลงรักกลับบอกอย่างตรงกันข้ามอีกทั้งที่ยังมีปัญหากับคนที่บ้านอีก เพลงรักก็คอยฮีลใจฉันเสมอมาจน กลายเป็นความรู้สึกดี ๆ ที่เกิดขึ้น ตลอดจนคอยช่วยเหลือเรื่องเรียน หรือบางครั้งก็คอยให้คำปรึกษาในตอนที่ฉันไม่ สบายใจ ทั้งร่วมทุกข์ร่วมสนุกด้วยกันมาถึงแม้ว่ามันเป็นเพียงแค่เวลาสั้น ๆ แต่ฉันก็มั่นใจและอยากที่จะดูแล ดอกไม้ดอกนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในตอนนี้ฉันได้แต่ถอนหายออกมา พลางมองคุณครูที่กำลังเขียนกระดานสอนอย่างเบื่อหน่าย “นพเก้า เพลงรักไปไหนจ๊ะครูยังไม่เห็นเขาเลย ช่วยไปตามให้ครูหน่อยนะครูจะเช็คชื่อแล้ว” ฉันได้แต่พยัก หน้าและเดินลงไปตามหาบุคคลดังกล่าว
32 “หายไปไหนของเธอนะตัวเล็ก” ฉันมองหาเพลงรักอย่างห่วง ๆ หรือว่าที่ไม่ขึ้นมาเรียนเพราะไม่อยากเจอ หน้าฉันนะ นั่นเสียงของเพลงรักหนิฉันเดินตามเสียงไปก็ได้เจอกับร่างบางที่ยืนคุยโทรศัพท์อย่างออกรส “ใช่ เนิร์ดมันบอกชอบฉันแล้ว ไหนล่ะรางวัล” “...” “โอนเข้าบัญชีเลย” “บัญชีเพลงรัก ใช่ ถูกต้อง ส่งสลิปไว้ในไลน์ด้วยนะ” “...” “ขอบคุณสำหรับเกมสนุก ๆ วันหลังมาเดิมพันใหม่นะ” เสียงหัวเราะของเพลงรักดังขึ้นเหมือนกับว่าเป็น เสียงหัวเราะของคนที่ได้รับชัยชนะและมีความสุขกับมัน เนิร์ดที่ว่านั่น ใช่เราหรือเปล่า ทำไมล่ะทำไม เพลงรักทำกับเราแบบนี้ แกมาทำให้เรารู้สึกดีกับแกเพื่อเงินเดิมพันเหรอ เห็นความรู้สึกเราเป็นเกมหรือไง มาเล่นสนุกอยู่ได้ ในหัวของฉันคิดไปต่าง ๆ นานา หัวใจของฉันในตอนนี้รู้สึกวูบโหวง อยากร้องไห้แล้วเหมือนโลก ทั้งใบพังทลายลงกับตา สุดท้ายก็มีแค่เราที่รู้สึกดีและคิดไปเองทั้งหมด ดอกกุหลาบในวันนี้คงเป็นเพียงแค่ความทรง จำอันน่าผิดหวังในชีวิตของฉันสินะ ในขณะที่ทุกอย่างในหัวของฉันกำลังตีกันอย่างยุ่งเหยิง ทั้งเสียใจ สับสนและโกรธแค้นที่มาหลอกให้รัก ‘เพล้ง!!!’ ฉันเผลอเตะขวดแก้วที่อยู่บนพื้นจนแตก เงยหน้ามองก็เห็นเพลงรักกำลังมองมาที่ฉันอย่างตกใจ สุดขีด ฉันเลิกสนใจขวดแก้วที่แตกแล้วหันหลังกลับแล้ววิ่งขึ้นไปห้องเรียนดังเดิม ตอนนี้ฉันอยู่ที่นั่งประจำ ‘กึก กึก’เสียงของฝีเท้ามาสิ้นสุดที่โต๊ะของฉันแค่มองรองเท้าก็รู้ว่าเป็นใคร ‘เพลงรัก’ “ขอนั่งด้วยได้ไหม” เสียงหวานเอ่ยขึ้นเหมือนวันแรกที่เราเจอกัน “ออกไป บอกให้ออกไปไง” ฉันตะโกนไล่เธอโดยไม่สนว่าใครกำลังทำอะไร เมื่อเพลงรักเก็บของออกจาก โต๊ะย้ายไปนั่งที่อื่น เดจาวูอีกครั้ง ฉันกลับมานั่งคนเดียวและโดดเดี่ยวเหมือนอย่างที่เคยเป็น พลางฟุบหน้าลงกับ โต๊ะไม้เก่า ๆ ที่อยู่ตรงหน้า ทำไมฉันต้องเป็นผู้ที่ถูกเลือกให้ผิดหวังอยู่เสมอ
33 ตกเย็นฉันไม่ได้ออกไปเล่นกับเพลงรักเหมือนอย่างที่เคยทำ แต่เปลี่ยนมาอยู่ที่ร้านเหล้าเมืองแทน ฉันเคย ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมเวลาคนอกหักถึงต้องกินเหล้าในวันนี้ฉันรู้แล้วล่ะ ว่ามันเสียใจมากแค่ไหน มีเพียงแค่ เหล้าที่ช่วยให้ลืมได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น สีอำพันจากน้ำในขวดแก้วถูกรินแล้วรินเหล้า กระดกจนรู้สึกร้อนวูบวาบใน คอ รู้สึกเสียใจที่เราเป็นผู้ที่ไม่เคยสมหวังในความรักเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่า ฉันอยากจะรักใคร สักคนแบบจริงใจ ตอบแทนที่เขาดูแลใจของฉัน แต่นั่นแหละ คาดหวังก็ต้องมีผิดหวังบ้าง ถึงแม้ฉันจะบอก กับตัวเองว่า ดีแล้วอย่างน้อยก็ได้บอกความในใจ ดีกว่าไม่ได้บอกเลยผลจะเป็นอย่างไรก็ถือว่าได้ตั้งใจทำแล้ว แต่มัน ก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่ดี ตัวฉันในตอนนี้อยู่ในคราบของนักท่องราตรีขี้เมาที่กำลังถูกฤทธิ์ของสุรากลืนกิน เสียงเพลงและ บรรยากาศในร้านก็เข้ากับอารมณ์ของฉันเหลือเกิน “เธอเข้ามาทำให้ใครได้รู้สึกดีแล้วเธอก็ไป เธอมาขโมยรอยยิ้มทุกครั้ง ยังทำให้ต้องหวั่นไหว แค่ เพียงชั่วคราวแล้วเธอก็หายวับราวกับดอกไม้ไฟ สวยงามแค่ไหน ไม่เคยจะได้หัวใจ” เพลงดอกไม้ไฟท่อนนี้ช่างตรง กับความรู้สึกเหลือเกิน “ไอ้เก้า!!!” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้น อ่านมาถึงตอนนี้หลายคนคงคิดว่าฉันไม่มีเพื่อนเหรอ จริง ๆ แล้วฉันมีเพื่อน เพียงแต่ว่าเราอยู่คนละห้องกัน ยังไปมาหาสู่กันเสมอ แนะนำเลยแล้วกัน “อาร์มและก้อย” เพื่อนสนิทของฉันเอง “ไงพวก มาเที่ยวเหรอ” ฉันยกมือเอ่ยทักเพื่อนทั้งสองคนและผายมือชวนให้ทั้งสองทั้งโต๊ะเดียวกัน “ได้ข่าวว่าอกหัก เขาลือกันว่าแกถูกอกหักจากเพลงรักนี่จริงเปล่า” “เขาไม่ได้ตอบรับรัก เขาแค่เอาความรู้สึกเราไปเดิมพันนี่นับว่าอกหักไหม” “ร้องเลยเก้า เจ็บปวดก็แค่ร้องเพื่อนอยู่ข้าง ๆ ” สิ้นเสียงของอาร์ม ฉันก็ร้องไห้ฟูมฟายออกมาอย่างกลั้น ไม่อยู่ น้ำตาไหลพรากนองแก้มทั้งสองข้าง มันยังไม่เทียบเท่ากับความรู้สึกที่ฉันเสียไปเลยสักนิด “อยากดูแลดอกไม้ให้เติบโต แต่เราไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ ฉันตกหลุมรักเขาเข้าเต็มเปาเลยวะ ถอนตัว ออกมาก็ไม่ได้กลับใจก็ไม่ทัน ดันเป็นรักแรกที่ตั้งใจจะรักอีก เจ็บหัวใจชะมัด” ฉันร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาให้ เพื่อนฟัง “หลงรักมันเข้าไป ดอกไม้ที่ไม่มีวันได้ครอบครองน่ะ” เพียงแค่ประโยคเดียวที่หลุดออกมาจากปากก้อยก็ ทำให้ฉันรู้สึกเจ็บลึกไปถึงทรวง มันผิดเหรอที่ฉันทุ่มเทรักให้แบบไม่เผื่อใจเลยสุดท้ายก็เป็นฉันที่ต้องเจ็บ
34 ผิดไหมที่คิดว่ามันจะมีสักเสี้ยวหนึ่งที่เธอชอบเรา เราผิดหรือเปล่าที่อยากข้ามเส้นไป เพราะอยากเลือก ความสุขให้กับตัวเอง สุดท้ายแล้วเราก็ต้องตัดใจไป เพราะนี่คือทางออกที่ดีที่สุด “พวกเราขอให้แกเจอคนที่รักแกจริง ๆ นะ ได้เวลาพวกเรากลับแล้วล่ะ ดูแลตัวเองดี ๆ นะ” ฉันโบกมือลาเพื่อน “ต้องนานเท่าไร ที่เรื่องราวนี้มันถึงจะผ่านพ้นไป กลิ่นกาแฟในตอนสาย ภาพสุดท้ายที่เธอเดินจากไป เคยบอกเธอไว้ว่ายังไง ว่าถ้าเธอต้องไปก็ไม่เป็นไรแต่พอเอาเข้าจริง เป็นฉันที่ไม่ไปไหน ภาวนาให้ฉันไม่ฝัน ถึงเธอ ให้เพลงรักที่ฟังไม่พูดถึงเธอ ทำได้เพียงปล่อยเบลอ แต่สุดท้ายก็ยังคิดถึงเธอ” เสียงเพลงในร้านยังคงเล่นไปเรื่อย ๆ และความรู้สึกของฉันในตอนนี้ได้ดำดิ่งลงไปให้เหวลึกเสียแล้ว สามเดือนผ่านไป หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นฉันกับเพลงรักก็ไม่ได้คุยหรือติดต่อกันเลย เจอหน้ากันก็เดิน ผ่านกันไปเหมือนดังอากาศและในวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ในรั้วโรงเรียนมัธยมศึก ษาปีที่6ทำการ เดินขบวนเพื่อรอรับของปัจฉิมจากน้อง ๆ ที่มอบให้เป็นของที่ระลึก รู้สึกปลื้มปริ่มและภูมิใจในตัวเองที่เรียนจบ กับเขาเสียที บรรยากาศในวันนี้เต็มไปด้วยเสียงเพลงและผู้คนมากมายที่มาร่วมยินดีกับงานปัจฉิมในครั้งนี้ ทุกคนเต็มไป ด้วยรอยิ้ม เสียงหัวเราะหรือแม้แต่เสียงร้องไห้ที่ไม่ได้เสียใจแต่มันแสดงถึงความดีอกดีใจ จะว่าไปแล้วก็รู้สึกใจหายที่ ต้องจากโรงเรียนนี้ไปสู่การเข้าไปในรั้วมหาลัย ต้องเติบโตแบบที่ไม่มีครูคอยบอกคอยเตือน ที่แห่งนี้ยังคงกลิ่นอาย ความเป็นวัยรุ่นไว้อยากเต็มเปี่ยมไม่ลืมเลือนแน่นอน คุณครูหลายท่านก็มาร่วมแสดงความยินดีกับพวกราและผูก แขนบายศรี เป็นอันจบพิธีทุกคนแยกย้ายกันไปมอบของหรือถ่ายรูปตามอัธยาศัย และในวันนี้ฉันก็ได้เตรียมดอก กุหลาบสองดอกเพื่อมามอบให้กับ “เพลงรัก” ผู้หญิงที่ฉันเคยรักและตั้งใจว่าจะดูแล อย่างน้อยก็ขอเห็นหน้าเป็น ครั้งสุดท้ายก่อนแยกจากกัน “ฉันให้ ยินดีด้วยนะที่เรียนจบ ขอให้เจอแต่คนที่ดีเข้ามาในชีวิต อย่าไปทำแบบนั้นกับใครอีกนะขอให้ได้ทำ ตามความฝัน” ฉันยื่นช่อดอกกุหลาบสีแดงให้กับเพลงรัก โดยไม่สนว่าเธอจะรู้ความหมายของมันหรือเปล่า
35 “ขอบคุณนะคะ ขอโทษที่ทำแบบนั้นกับเก้านะ ขอให้โชคดีค่ะ” มือบางยื่นมือมารับดอกกุหลาบจากมือฉัน ไปกอดแนบอกไว้และกล่าวอวยพร เธอจะรู้หรือเปล่านะว่าเธอนั่นแหละเป็นความโชคดีของเรา ถึงเราจะต้องแยกจากกันแต่ฉันก็ขอให้ดอกกุหลาบช่อนี้เป็นตัวแทนในความรักของฉัน กุหลาบสีแดงที่ สื่อ ถึงการตกหลุมรักและแอบชอบ มันเป็นความรู้สึกทั้งหมดของฉันที่มีต่อเธอ การแอบรักเพื่อนเป็นอะไรที่เจ็บปวด และไม่มั่นคงเอาเสียเลย สุดท้ายแล้ว ถ้าหากเราทั้งคู่เป็นคู่ของกันและกันก็ขอให้วนกลับมาเจอกันอีกนะ ฉันจะ คิดถึงรอยยิ้มของเธอเสมอยัยกระต่าย “คุณหมอนพเก้าคะ มีเคสด่วนค่ะ” และใช่นั่นคือชื่อของฉันที่ถูกเรียกโดยคุณพยาบาล ฉันทำงานเป็นหมอ ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ตั้งใจว่าจะเป็นหมอเพื่อเธอคนนั้น...ตามที่เธอเคยบอกไว้ ยิ่งนึกถึงรอยยิ้มและ ใบหน้าของเธอก็รู้สึกเหมือนถูกพันธนาการไว้ด้วยความรักและความหลงใหล ยากที่จะหาทางแก้มัดออกจากเขา วงกตความรักและความเจ็บปวดนี้ จีจี้
36
37 กว่าจะรู้…ว่ารัก สิบทิศสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นจากความฝัน ทั้งร่างเหมือนถูกกระชากตกจากที่สูง เปิดเปลือกตาพรึบเลิกลั่ก สอด ส่ายสายตาไปโดยรอบพบว่าร่างของตนเองนอนอยู่บนเตียง หยาดเหงื่อผุดซึมล้อมกรอบหน้า ชายหนุ่มใช้มือเรียว ยาวยันที่นอนผลักร่างให้แผ่นหลังกว้างที่เห็นกล้ามเนื้อได้อย่างชัดเจนแนบไปกับหัวเตียง ยกมือขวาแนบสนิทกับ หน้าอกข้างซ้าย ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ! เสียงของหัวใจเต้นถี่หอบราวกับจะกระเด็นออกนอกอกให้ได้ ใช้เล็บหยิกที่แขน ของตนเองเพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อกี้ฝันไปจริง ๆ “โอ๊ยยยยย เจ็บเป็นบ้าเลย ที่แท้ก็ฝันไปจริง ๆ นี่เอง” สิบทิศพูดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เฮ้ออออ ไม่อยากให้มันเป็นแค่ความฝันเลย” ร่างสูงใหญ่ลุกพรวดจากที่นอนด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง ที่เรื่องที่ฝันนั้นไม่ได้เป็นความจริง สองเท้าก้าวไป หยุดที่ริมหน้าต่าง เห็นสีทองระเรื่อจากดวงตะวันยามเช้าสาดแสงไปทั่วพื้นดิน รวมไปถึงสระน้ำที่ถูกปูด้วยกระเบื้อง สีฟ้า ไร้ร่องรอยการใช้งานของผู้เป็นเจ้าของบ้าน จนทำให้น้ำในสระเกิดประกายระยิบระยับเมื่อสะท้อนกับ แสงแดด
38 “เธอหายไปจากชีวิตฉันตั้ง 15 ปี พอจะมาเจอก็มาเจอกันในฝันนี่นะ” ชายหนุ่มพูดคนเดียวถึงเรื่องราว ความฝันที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อตอนเช้า แกร๊ก!!! เสียงลิ้นชักที่ไม่ได้เปิดใช้งานเป็นเวลานานดังขึ้น เมื่อชายหนุ่มพยามดึงมันออกมา จนก้นของเขา กระแทกกับพื้นเข้าอย่างจัง เมื่อเปิดลิ้นชักออกมาพบกับสมุดหน้าปกสีน้ำตาลที่เต็มไปด้วยหยากไย่เกาะไปทั่ว หน้าปก หน้าปกเขียนด้วยภาษาไทย “ตะวันทอแสง” พร้อมด้วยกลีบดอกทานตะวันที่แห้งกรอบจนดูไม่ออกว่าเป็น ดอกไม้มาก่อนนอกเสียจากผู้ที่เป็นคนติดมันเองเท่านั้น “ไม่สิ เธอไม่เคยหายไปจากใจฉันเลย” “ป่านนี้เธอจะเป็นไงบ้าง อยากเจอเธออีกสักครั้งจัง” ผู้เป็นเจ้าของสมุดสีน้ำตาล ใช้นิ้วปัดหยากไย่ พร้อมทั้งรวบรวมลมจากช่องปากจากใบหน้าที่ตอบคม ตอนนี้กลายเป็นแก้มป่อง ดวงตาเบิกโตเป่าลมไปที่หน้าปกสมุด จนหยากไย่ปลิวกระจัดกระจายตามแรงลมไป ทั่ว ห้อง เมื่อเปิดเข้าไปในสมุดพบกับข้อความที่เขียนด้วยลายมือตัวบรรจง บรรยายถึงหญิงสาวที่ตกหลุมรักตั้งแต่ แรกพบ ชายหนุ่มนั่งจินตนาการถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อ 18 ปีก่อน เมื่อครั้นเปิดเทอมวันแรกของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ริมฝีปากค่อยๆยกตัวสูงขึ้น ใบหน้าและหูค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ วันนี้เปิดเรียนวันแรก แต่พระเจ้ากับเล่นตลกกับฉันซะแล้ว เปาะ แปะ เปาะ แปะ ๆๆๆ เสียงฝนกระทบ หลังคา ค่อย ๆ ดังขึ้น ท้องฟ้าที่เคยสดใสถูกปกคลุมไปด้วยเมฆที่หนาครึ้ม สองขายาวเดินสลับกับวิ่งลงจากตึกสูง แต่ไม่ทันซะแล้วสายฝนกระหน่ำลงมาทั่วพื้นดิน หากจะรอจนฝนหยุดตกก็ไม่รู้เมื่อไหร่ ต้องรีบไปขึ้นรถโดยสาร ประจำทาง กลับบ้านก่อนที่จะถึงเวลาที่คนอื่นจะเลิกงานไม่งั้นคงต้องยืนจนตะคริวกินกว่าจะถึงบ้านเป็นแน่ สิบทิศเดินจ้ำอ้าวเพื่อที่จะไปถึงจุดรอขึ้นรถให้เร็วที่สุด เมื่อพ้นจากหลังคาสายฝนกระหน่ำลงมาที่ตัวจนเสื้อสีขาวที่ สวมใส่แนบชิดจนเห็นแผงอก “ฝนหยุดตกแล้วเหรอนี่” สิบทิศพูดออกมาด้วยความตกใจ “ยังไม่หยุดหรอกจ้ะ” เสียงใสแจ๋วของหญิงสาววัย 15 ปี เจ้าของใบหน้ารูปไข่ แก้มนวลสีชมพูระเรื่อแทบ จะเห็นเส้นเลือดฝอย นัยน์ตาดำขลับ ผมดำเงายาวถึงกลางหลังถูกมัดด้วยหนังยางเป็นแกละสองข้าง “เป็นเพราะกลางร่มต่างหากที่ทำให้ไม่เปียกฝน”
39 สายตาของสิบทิศกวาดตามองจนไปสะดุดตากับพวงกุญแจรูปดอกทานตะวันที่ถูกถักด้วยไหมพรม ขยับไป มาตามแรงเหวี่ยงกระเป๋าของผู้เป็นเจ้าของที่กลางร่มให้ตน ยังไม่ทันได้ถามชื่อ สองขายาวก็ต้องรีบวิ่งแจ้น เมื่อ พบว่ารถโดยสารขับผ่านหน้าประตูโรงเรียนไปแล้ว “ยังไม่ทันได้ถามอะไรเขาเลย รถมาทำไมตอนนี้เนี้ย” สิบทิศได้แต่คิดอยู่ในใจขณะที่รถกำลังแล่นบนถนนที่ สองฟากฝั่งเต็มไปด้วยแมกไม้ เสื้อที่เปียกชุ่มปะทะเข้ากับสายลมจากการเคลื่อนตัวของรถทำเอาสิบทิศหนาวสั่น หากแต่คิดถึงเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นนั้นกลับทำให้อบอุ่นหัวใจจนลืมความหนาวสิ้นไป เมื่อถึงบ้านไม่รอช้าหยิบปากกาที่ไล่ระดับเฉดสีบนโต๊ะหนังสือ บอกเล่าเรื่องราวของวันนี้ผ่านตัวอักษรลง ในสมุดสีน้ำตาล พร้อมกับตั้งชื่อ “ตะวันทอแสง” ที่มากพวงกุญแจของหญิงสาวผู้นั้น ตลอดระยะเวลา 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา สิบทิศพยายามมองหาหญิงสาวผู้ที่เป็นเจ้าของพวงกุญแจดอกแทน ตะวันผู้นั้น แต่กลับไร้เงาของเธอราวกับว่าไม่ได้อยู่ที่นี่ “เฮ้ย สิบทิศดูนั่นดิ” เสียงของลมเหนือพูดพลางชี้นิ้วไปที่หญิงสาวคนหนึ่ง สิบทิศกำลังจะฉีกยิ้ม เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือเจ้าของพวงกุญแจดอกทานตะวันที่เธอตามหา เธอจำ เจ้าของใบหน้ารูปไข่ ผมเปียแกละของสองข้างได้เป็นอย่างดี ใบหน้าของสิบทิศก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเมื่อเพื่อน สนิทคนเดียวในชีวิตที่คบกันมา 12 ปี อย่างลมเหนือบอกว่า “เราชอบช่อตะวันว่ะ เราจะจีบเธอ” สิบทิศยืนนิ่งราวกับรูปปั้นอยู่ตรงนั้นนานเกือบสิบนาที ก่อนจะกลั้นใจสูดลมหายใจเข้าลึก เก็บความรู้สึกที่มีไว้โดย ไม่ปริปากพูด รอยยิ้มบนใบหน้าค่อย ๆ หุบลง เหลือเพียงนัยน์ตาที่มีแต่ความเศร้าหมองที่ปรากฏบนใบหน้าที่สัน เป็นคมเท่านั้น หลังจากวันนั้นมาลมเหนือเดินหน้าจีบช่อตะวันทุกวัน จนช่อตะวันเองก็ใจอ่อนแลละยอมตกลงที่จะคบหา ดูใจกับลมเหนือ ความรักของลมเหนือและช่อตะวันจะมีสิบทิศผู้ที่เป็นเพื่อนสนิทกับลมเหนือคอยติดตามไปด้วยทุก ครั้ง เพราะไม่อยากปฏิเสธคำเชิญชวนของเพื่อนสนิท ในทุกครั้งที่ต้องเจอกันทั้งสามคน สิบทิศได้แต่นั่งห่างออกไป จากพวกเขาทั้งสองคน แอบมองบ้างเล็กน้อย เพราะภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้เขาเจ็บปวดเหลือเกิน ความสัมพันธ์ของลมเหนือกับช่อตะวันก็ดำเนินมาเรื่อย ๆ จนเป็นระยะเวลา 2 ปี ตอนนี้ทั้งคู่กำลังเรียนอยู่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สิ่งที่เกิดขึ้นกับความรักของทั้งสองคนมาเรื่อย ๆ คือ ลมเหนือที่มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคน อื่นไปเรื่อย ๆ ทั้งที่กำลังคบหากับช่อตะวันอยู่ แต่เพราะความรักที่ช่อตะวันมีให้กับลมเหนือจนทำให้เธอไม่ยอมเอ่ย
40 ปากพูดถึงเรื่องนี้ เพราะกลัวที่จะเสียลมเหนือไป ฝั่งสิบทิศที่รู้เรื่องราวการกระทำของลมเหนือมาตลอด เขาก็ เจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าช่อตะวัน ในแต่ละวันที่เจอกับช่อตะวันจากหญิงสาวที่เป็นความสดใสทำให้หัวใจเขาพองโต ในทุก ๆ วัน แต่ทุกวันนี้เหลือเพียงช่อตะวันผู้ที่มีแต่ใบหน้าเศร้าหมอง ทุกข์ทรมานจากพิษของความรัก “นี่แกรู้ปะ ว่าพี่ลมเหนือ 6/3 ทำพี่ ม่านฟ้า 6/5 ท้อง” เสียงคุยกันของเด็กสาวกลุ่มหนึ่ง “พี่ลมเหนือ แกมีแฟนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ไปทำพี่ม่านฟ้าท้องได้ไงวะ” “นี่แกไม่รู้จักกิตติศัพท์เรื่องความเจ้าชู้ของพี่แกซะแล้ว คนนี้เสือตัวพ่อสุด ๆ ” ช่อตะวันที่ยืนอยู่ข้างหลังของเด็กผู้หญิงกลุ่มนี้ หลังจากที่ได้ยินทุกประโยคที่เขาพูดคุยกัน ดวงหน้างาม หวานซึ้งตรึงใจของหญิงสาวมีหยาดน้ำตาไหลอาบสองแก้ม ความสัมพันธ์ของลมเหนือและช่อตะวันจบลงตั้งแต่วันนั้น เหลือไว้เพียงปมในใจเรื่องความรักที่ทิ้งไว้ในใจ ให้กับหญิงสาวที่ศรัทธากับความรัก กลายเป็นหัวใจที่ปิดตายตลอดกาล ชีวิตของสิบทิศ ช่อตะวัน ลมเหนือ ทุกคนต่างใช้ชีวิตจนไม่ได้วนกลับมาเจอกัน มีเพียงสิบทิศกับลมเหนือที่ ยังพอติดต่อกันอยู่บ้าง หลังจากที่ต่างคนต่างจบจากโรงเรียนการติดต่อก็ขาดหายไปจากวงโคจรชีวิตของกันและกัน เหลือเพียงความรู้สึกของสิบทิศที่มีต่อช่อตะวันยังคงหนักแน่นเหมือนเดิม แต่ไม่มีโอกาสได้แสดงออกให้เธอรับรู้ “ทำไมอยู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมานะ” ชายหนุ่มที่นั่งมองสมุดไดอารี่ที่ตัวเองเป็นผู้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับ หญิงสาวที่ตกหลุมรักตั้งแต่แรกเจอ สายตาเหลือบไปเห็นมองนาฬิกาที่ติดอยู่มุมห้องสีขาวนวล “ ตายแล้ว นี่ถึงเวลาที่นัดกับเทรนเนอร์ไว้แล้ว มัวแต่นั่งคิดอะไรจนลืมเวลาไปเลย” ช่วงเวลาอันเร่งด่วนในตอนเช้า บนท้องถนนเต็มไปด้วยรถอย่างหนาแน่น ระหว่างที่สัญญาณไฟจราจรเป็น สีแดง รถยนต์มากมายจอดเรียงรายกันเป็นแถวยาว ชายหนุ่มผู้ที่เร่งรีบนั่งอยู่หลังพวงมาลัยของรถหรู ในหัวของเขา ยังไม่วายที่จะคิดวนเวียนถึงเรื่องหญิงสาวที่เป็นรักแรกของเขา ราวกับว่าจะได้เจอกันในเร็ว ๆ นี้ สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถยนต์และจักรยานยนต์ทยอยเคลื่อนตัวไปข้างหน้า รถหรูคนสีดำ ของชายหนุ่มก็เคลื่อนตัวออกไปด้วยความเร็วเพื่อจะรีบไปให้ถึงเป้าหมาย โครม!!! ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของชายหนุ่ม คือรถเก๋งคันสีขาวที่พลิกคว่ำอยู่ในภาพพังยับเยิน หัว ใจเต้นไม่เป็นจังหวะพยายามควบคุมสติ นำรถไปจอดไหล่ทาง ขายาวก้าวลงจากรถเดินจ้ำอ้าวไปยังรถที่พลิกคว่ำ
41 พร้อมกับมือที่กดโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล ชายหนุ่มเดินไปยังฝั่งคนขับรถพบว่าเป็นผู้หญิงใบหน้าและลำตัวของ เธอเต็มไปด้วยเลือด มือขวาคว้าแว่นกันแดดสีดำที่สวมบนใบหน้า เอาใบหน้าแนบที่กระจกมองหน้าผู้หญิงคนนั้น อีกครั้งชัด ๆ “ช่อตะวัน” ชายหนุ่มร้องออกมาด้วยความตกใจ แม้จะไม่ได้เจอกันนานหลายสิบปี แต่เขาก็จำใบหน้านี้ได้ ไม่เคยลืม ใบหน้าแรกและใบหน้าเดียวที่เขาตกหลุมรักและรอคอยที่จะพบเจอมาตลอด “ทำไมต้องเป็นเธอด้วย ฉันไม่ได้อยากเจอเธอในสภาพนี้สักหน่อย” หลังจากนั้นร่างของหญิงสาวก็ถูกยกไว้บนเตียง จมูกถูกครอบไว้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ ชายหนุ่มใช้มือสอด ประสานกับนิ้วเรียวยาวของหญิงสาวไปตลอดทางจนถึงโรงพยาบาล หญิงสาวที่สวมใส่ชุดสีขาววิ่งกรูเข้ามายังรถ เตียงที่มีร่างของหญิงสาวนอนสลบอยู่ถูกเข็นไปอย่างรวดเร็ว หายเข้าไปในห้องที่ติดไว้ด้วยแผ่นป้าย “ห้องฉุกเฉิน” สองขายาวของสิบทิศวิ่งมาหยุดที่หน้าห้องฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว ก้นหย่องลงบนเก้าอี้ มือทั้งสองข้างปิด ใบหน้าพร้อมกับสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก “ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม เป็นเธอจริง ๆ เหรอช่อตะวัน” “อยากเจอเธอ แต่ไม่ใช่เจอแบบนี้สิ” สิบทิศเฝ้าดูแลช่อตะวันไม่ห่าง ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาล 2 วันผ่านไป…….. เปลือกตาที่ปิดอยู่ของหญิงสาวค่อยๆเปิดขึ้น ค่อย ๆ ขยับแขนขาเบา ๆ สิบทิศที่นั่งอยู่โซฟาในสภาพที่ขอบ ตาดำคล้ำ พุ่งตัวมายังเตียงที่หญิงสาวนอนอยู่ สายตาพร่ามัวค่อย ๆ มองเห็นชัดขึ้นจนปรากฏให้เห็นชายหนุ่มร่าง สูงโปร่ง แม้จะไม่ได้เจอกันมานาน แต่เขาก็จำเจ้าของใบหน้านี้ได้เป็นอย่างดี “สิบทิศ ใช่ไหม” หญิงสาวเอ่ยถามทันทีที่มองเห็น “ใช่เราสิบทิศเอง เดี๋ยวเราเรียกคุณหมอให้นะ” “แล้วสิบทิศมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” สิบทิศเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้กับช่อตะวันฟัง “ขอบคุณสิบทิศมาก ๆ นะ ไม่น่าต้องมาลำบากเพราะเราเลย” “ไม่ลำบากเลย เรายินดีมาก ๆ ช่อตะวันไม่ต้องคิดมากนะ”
42 คุณหมดเข้ามาตรวจเช็กร่างกายของช่อตะวันทุกอย่างโอเคมีเพียงแผลจากศีรษะที่โดนกระแทก และแขน ข้างซ้ายที่ใส่เฝือก อีกประมาณ 4-5 วันก็น่าจะกลับบ้านได้ ตลอดระยะเวลาที่ช่อตะวันพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล จะมีสิบทิศคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง ทุกครั้งที่หันไปมองจะ เจอกับร่างสูงนอนขดตัวอยู่บนโซฟาที่มีขนาดสั้นกว่าลำตัว หญิงสาวผู้ที่มองเห็นก็อดสงสารไม่ได้ ได้แต่รู้สึกผิดในใจ 5 วันผ่านไป……… สิบทิศเข็นรถเข็นที่มีหญิงสาวผู้ที่เป็นรักแรกของเขานั่งอยู่ จอดอยู่ที่แผ่นป้าย “จุดชำระเงิน” “คุณช่อตะวันใช่ไหมคะ” พยาบาลสาวเอ่ยถาม “ใช่ครับ” สิบทิศตอบไปในทันที “สามแสนห้าหมื่นเจ็ดพันบาทค่ะ” “นี่ครับ” สิบทิศเอ่ยพร้อมกับยื่นบัตรเครดิตในมือให้ “เรียบร้อยแล้ว” “ขอบคุณครับ” พร้อมกับก้มศีรษะลงเล็กน้อย “ขอบคุณและขอโทษสิบทิศด้วยนะที่ต้องมาลำบากเพราะเรา ขอเลขบัญชีสิบทิศด้วยนะเดี๋ยวเราโอนค่า รักษาพยาบาลคืน” “ไม่เป็นไร เราตั้งใจจ่ายให้ช่อตะวัน” “ไม่เอาแบบนี้สิ แค่นี้เราก็เกรงใจสิบทิศจะแย่แล้ว” “งั้นเปลี่ยนเป็นเลี้ยงข้าวเราแทนแล้วกัน ไว้เดี๋ยวช่อตะวันหายดีเราไปกินข้าวกัน” “ได้เลย ถ้าสิบทิศอยากกินข้าววันไหน บอกเราเลยนะ เลี้ยงไปตลอดชีวิตยังทดแทนไปไม่หมดกับสิ่งที่สิบ ทิศทำให้เราเลย” มือเรียวยาวดึงประตู รอให้ร่างบางเข้าไปนั่งในรถพร้อมกับปิดประตู ทั้งสองคนถามไถ่ถึงช่วงเวลาที่ขาด หายการติดต่อไปจากช่วงชีวิตของกันและกัน “แล้วหนุ่มสุดเพอร์เฟค แบบสิบทิศนี่มีหวานใจรึยัง” ช่อตะวันเอ่ยถาม “5555555” สิบทิศหลุดขำทันทีเมื่อได้ยินคำถามนี้ “ไม่มีใครเลย แอบชอบคนๆนึงมาสิบแปดปี จนไม่กล้าชอบใครเลยถ้าไม่ใช่คนนี้” “โห สิบแปดปีเลยเหรอ ทำไมไม่บอกเค้าไปล่ะ เค้าอาจจะชอบสิบทิศเหมือนกันก็ได้ สิบแปดปีนี่ตั้งแต่มอ
43 ปลายเลยใช่ไหมเนี้ย” “น่าจะใกล้ได้บอกเค้าแล้วล่ะ ใช่เราแอบชอบคนนี้ตั้งแต่มอสี่ เรียกได้ว่าเป็นรักแรกและรักเดียวที่ติดอยู่ใน ใจเรามาตลอด” เมื่อพูดจบใบหน้าของสิบทิศค่อย ๆ เปลี่ยนสีเป็นสีแดงระเรื่อ และหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ความรู้สึกเหมือนกับที่เจอกับช่อตะวัน ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าคนที่เขารอคือช่อตะวันคนเดียวเท่านั้น “คนนั้นน่าจะเป็นคนที่โชคดีมากเลยเนาะ ที่ได้เป็นรักแรกและรักเดียวของสิบทิศ” “ถ้าเราบอกไป คนนั้นจะรู้สึกโชคดีแบบนี้จริง ๆ ใช่ไหม” สิบทิศเอ่ยถามช่อตะวัน “ใช่สิ เลี้ยวซอยข้างหน้าเลยนะ” รถหรูเลี้ยวเข้ามาในหมู่บ้านที่บ้านแทบทุกหลังเหมือนกัน แต่ก็สามารถเดาได้โดยง่ายว่าบ้านหลังไหนคือ บ้านของหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขา บ้านที่ปลูกดอกทานตะวันเรียงรายเต็มหน้าบ้าน “หลังนี้ใช่ไหมครับ” “ใช่แล้ว ขอบคุณสิบทิศอีกครั้งนะ” ทั้งสองคนต่างแลกไลน์กันเพื่อที่จะเอาไว้ติดต่อพูดคุยกัน สิบทิศทำหน้าที่เปิดประตูรถ พร้อมกับพยุงร่างหญิงสาวเข้าไปในบ้าน “มีอะไรโทรหาเราได้ตลอดเวลาเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจเราเข้าใจไหม” หญิงสาวพยักหน้าตอบพร้อมกับส่ง ยิ้มและโบกมือให้กับชายหนุ่มที่กำลังเดินออกไปพ้นประตูบ้าน หลังจากวันนั้นทั้งสิบทิศและช่อตะวันก็คุยกันมาเรื่อย ๆ สิบทิศรู้และมั่นใจกับหัวใจของตัวเองว่าต้องเป็น คนนี้คนเดียวเท่านั้นคนที่รอคอยมาครึ่งชีวิต ช่อตะวันสงสัยกับความรู้สึกกับตัวเองเพราะที่ผ่านมาเธอไม่เคยรู้สึก แบบนี้ แม้กับลมเหนือที่เคยเรียกว่าแฟน ใบหน้าขาวเปลี่ยนสีเป็นสีแดงระเรื่อ พร้อมกับหัวใจที่เต้นเร็วไม่เป็น จังหวะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เธอกำลังตกหลุมรักชายหนุ่มคนนี้เข้าแล้ว 14 กุมภาพันธ์ 2566 “เย็นนี้ว่างไหม ไปกินข้าวกัน” สิบทิศเอ่ยถามช่อตะวันขณะที่กำลังคุยโทรศัพท์กันอยู่ “ว่างสิ ว่าจะชวนอยู่พอดี” “เดี๋ยวตอนเย็นไปรับที่บ้านนะครับ” หลังจากวางสายจากช่อตะวัน สิบทิศทำการเตรียมโทรจองร้านอาหารชั้นดาดฟ้าอยู่ใจกลางเมืองหลวงเห็น วิวตึกสูงเรียงสลับกัน อย่างสวยงาม พร้อมกับสั่งช่อดอกไม้ที่ประกอบไปด้วยดอกทานตะวัน ที่หมายถึงช่อตะวัน
44 ผู้หญิงที่เขากำลังจะขอเลื่อนสถานนะจากเพื่อน และดอกกุหลาบสีฟ้า ที่หมายถึงตัวของสิบทิศเองที่รอคอยความรัก ด้วยความอดทน มั่นคงในความรักที่มีต่อเธอแต่เพียงผู้เดียว ชายหนุ่มและหญิงสาวต่างใช้เวลาในการเลือกสรรเสื้อผ้า หยิบเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ในตู้ออกมาเป็นสิบ ๆ ตัว ลองใส่และถอด จนใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ส่องกระจกเป็นร้อย ๆ ครั้ง “ความรักทำให้ฉันเป็นได้ขนาดนี้เลย เหรอเนี้ย” สิบทิศกล่าวพร้อมทั้งหัวเราะตัวเองในกระจกที่เส้นผมเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ รถหรูแล่นอยู่บนถนนด้วยความเร็ว ค่อย ๆ ลดความเร็วลงเพราะมีเป้าหมายต้องข้ามไปอีกฟากฝั่งของ ถนน รถจอดนิ่ง ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำซึ่งตัดเย็บอย่างประณีตก้าวลงจากรถ สายตาจดจ้องไปยังป้าย “ฟิลาเดเฟีย” ที่อยู่อีกฟากของถนนร้านดอกไม้ที่เขาสั่งเพื่อจะมอบให้กับหญิงสาวและขอเลื่อนสถานะความสัมพันธ์ในค่ำคืนนี้ ร่างสูงผลักประตูเข้าไปพบกับดอกไม้ช่อใหญ่ที่ประกอบไปด้วยดอกทานตะวันและดอกกุหลาบสีฟ้าที่แสดง ถึงความเป็นช่อตะวันและสิบทิศเอง ช่อดอกไม้อยู่ในมือของชายหนุ่มแล้วเหลือแค่เพียงมอบให้กับเจ้าของเท่านั้น ปั้ง! ร่างสูงลอยขึ้นไปพร้อมกับช่อดอกไม้ที่กอดแน่น ก่อนที่จะลงมากระแทกกับพื้นทั่วบริเวณสาดกระจาย ไปด้วยเลือด ร่างสูงนอนหายใจรวยรินจมกองเลือด สายตาพร่ามัวเหลือบไปเห็นช่อดอกไม้เปลือกตาค่อย ๆ ปิดลง พร้อมกับลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่หมดไป กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง! หญิงสาวในชุดเดรสสีชมพูบานฟูฟ่องวิ่งไปรับโทรศัพท์ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “สิบทิศ” หน้าจอโทรศัพท์แสดงรายชื่อของบุคคลที่เธอกำลังจะได้เจอเร็ว ๆ นี้ “คุณช่อตะวันใช่ไหมครับ” ปลายสายเอ่ยถาม “ใช่ค่ะ” หญิงสาวตกใจนิดหน่อยเมื่อพบว่าไม่ใช่น้ำเสียงที่เธอคุ้นเคย “ผมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนะครับ ตอนนี้คุณสิบทิศ เจ้าของโทรศัพท์เกิดอุบัติเหตุกำลังส่งตัวไปที่ โรงพยาบาล xxxx” หลังสิ้นเสียงเจ้าหน้าที่ตำรวจเหมือนกับโลกทั้งใบหยุดหมุน หูดับสนิท ร่างบางทรุดตัวลงกับพื้นปล่อยน้ำตา แห้งความเจ็บปวดไหลทะลักลงมา พอได้สติคว้ากุญแจตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาล ร่างบางทรุดลงกับพื้นอีกครั้งน้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหล ทะลักออกมาเหมือนทำนบแตกอย่างอดกลั้นไม่ไหวเมื่อพบว่าร่างของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอถูกคลุมด้วยผ้าสี ขาวตลอดทั้งตัว ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำเอาเธอวูบดับไป
45 ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในห้องสี่เหลี่ยมสีขาว พบว่าร่างของเธอได้ถูกเปลี่ยนชุดไป “นี่คือของที่พบในรถของคุณสิบทิศครับ” ชายหนุ่มในเครื่องแบบพูดพลางยื่นให้กับหญิงสาว นิ้วเรียวยาวคว้ามาไว้ตรงหน้า เธอสะดุดตากับสมุดสีน้ำตาลเล่มนี้ “ตะวันทอแสง” หญิงสาวเปิดเข้าไป พร้อมกับอ่านข้อความทั้งหมดในสมุดที่ผู้เขียนตอนนี้ไม่ได้อยู่บนโลกนี้กับเธอแล้ว ข้อความสุดท้ายที่ถูกเขียนขึ้นใน วันนี้ “เป็นแฟนกันนะ” หญิงสาวพยักหน้าตอบ หยาดน้ำตายังคงร่วงเผาะดุจดังไข่มุกอยู่บนใบหน้างดงามของเธอ “เป็นฉันเองเหรอที่เธอรอคอยมาสิบแปดปี อุตส่าห์ได้เจอกันแล้วแท้ๆ แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตด้วยกัน” เหมือนฝัน