The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Dam Rangsiman, 2023-09-13 03:26:04

ตัวมอม

ตัวมอม

ตัตัว ตัตั มอม


มอมนั้น นั้ เป็นเทพบุตรบริวารของเทพปัชชุนนะ เทพ แห่งสวรรค์ชั้น ชั้ จาตุมหาราชิกา ผู้ดูแลเมฆและฝน โดยท่านเป็นเทพบริวารของพระวรุณอีกทีหนึ่ง (ชื่อ ของท่านมีปรากฏในมหาสมัยสูตร ซึ่งถือเป็น ทำ เนียบรายนามของเทวดาแห่งสมัยพุทธกาล) เมื่อ ครั้ง รั้ เกิดภัยแล้งในแคว้นโกศล พระพุทธองค์และ เหล่าพุทธสาวกก็ได้เจริญพุทธมนต์และเปล่งพุทธ โองการให้ปัชชุนนะเทวบุตรบันดาลฝนแก่ชาวเมือง ตำ นานทางล้านนากล่าวว่า ครั้ง รั้ หนึ่ง เทวบุตรผู้เป็น บริวารแห่งพระปัชชุนนะองค์นี้ ได้รับเทวโองการลง มาบันดาลฟ้าฝนแก่เมืองมนุษย์ เมื่อเทวบุตรนี้ล นี้ งมา สู่เมืองมนุษย์ก็ย่อมต้องนิรมิตกายเป็นร่างตัวมอม เช่นเดียวกันกับการจำ แลงร่างของเหล่านาค ครุฑ และช้างเอราวัณเมื่อมาสู่เมืองมนุษย์ เมื่อเห็นว่า เหล่ามนุษย์ต่างร่าเริงเบิกบานมีความสุขกับฝนที่ บันดาลให้ ก็รู้สึกฮึกเหิมในเทวฤทธิ์ หลงสำ คัญตน ว่าเหล่ามนุษย์นั้น นั้ ช่างต่ำ ต้อยที่ต้องอ้อนวอนขอให้ ตนช่วยเหลือบันดาลฝนให้ ด้วยกิเลสอัตตาเพียงชั่ว แว่บนั่นเอง ถึงกับทำ ให้เทวฤทธิ์ของตนเสื่อมลง คง สภาพการเป็นตัวมอมไม่อาจกลับคืนสู่ร่างเทพบุตร และไม่อาจกลับสู่สวรรค์ได้ จึงร้องขอความช่วย เหลือจากพระปัชชุนนะผู้เป็นนาย พระปัชชุนนะเทพ บุตรก็ไม่อาจช่วยเหลือได้ เพราะเป็นวิบากกรรมอัน


เกิดแต่ตัวของเทพบริวารผู้นี้เ นี้ อง “เจ้าจงเฝ้าอยู่หน้าพุทธสถานทั้ง ทั้ หลาย เพื่อฟังธรรม แห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรื่อยไป จนกว่าจะละ กิเลส ความยึดถือในอัตตาตัวตน เมื่อใดที่เจ้าละ อัตตาได้ด้วยรสพระธรรม เจ้าจึงจะได้กลับคืนสู่เทว สภาพดังเดิม” ด้วยเหตุนี้ มอมจึงต้องเฝ้าอยู่หน้าโบสถ์วัดวาอาราม สืบมา และพยายามลดละอัตตาตัวตนด้วยการเป็น จิตอาสา ในการเป็นตัวสื่อกลางขอฟ้าขอฝนให้ตก ต้องตามฤดูกาลแก่มวลมนุษย์อย่างไม่รู้จัก เหน็ดเหนื่อย และไม่ดูถูกมนุษย์อีกต่อไปดังที่เคย พลาดมาก่อน การที่ตัวมอมถูกประดับไว้เป็นเทพเฝ้าบันไดวัดก็ ย่อมแฝงกุศโลบายให้สาธุชนทั้ง ทั้ หลาย ต่างวางจิต นอบน้อมละอัตตาตัวตนก่อนเข้าสู่เขตพุทธสถาน เพื่อฟังธรรม เพราะหากอัตตาตัวตนใหญ่คับจิต ย่อมไม่มีที่ว่างเหลือให้พระธรรมใดๆไหลเติมให้เต็ม ได้ ก็จะเติมเต็มได้อย่างไร หากปราศจากที่ว่าง ชาวล้านนามีประเพณีสืบทอดแต่โบราณในการขอ ฝน โดยใช้ตัวมอมแกะสลักจากไม้นำ ขึ้น ขึ้ เสลี่ยงแห่ ขอฝนจากเทวดา ระหว่างการแห่ก็ใช้น้ำ สาดให้ตัว มอมเปียกไปตลอดทาง ดูแล้วก็คล้าย


ประเพณีการแห่นางแมวของทางอีสาน อีกทั้ง ทั้ ตัว มอมกับตัวแมวก็มีรูปร่างคล้ายคลึงกันอีกด้วย คงมี ความเชื่อมโยงทางประเพณีที่ถ่ายทอดต่อกันอยู่ คน เฒ่าคนแก่เล่าให้ฟัง ว่าการแห่นางแมวหรือการแห่ มอมนี้ ไม่ใช่เรื่องงมงายไร้สาระคร่ำ ครึ แต่เป็น กุศโลบายให้ชาวบ้านได้ออกมามีปฏิสัมพันธ์ร่วม แรงร่วมใจกัน ระหว่างนั้น นั้ พวกเขาก็จะได้พูดคุย ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบแลกเปลี่ยนภูมิปัญญากัน ผู้ เฒ่าผู้แก่ได้พูดคุยกับผู้น้อยผู้เยาว์ ผู้บ่าวผู้สาวได้ เกี้ย กี้ วแก้กันภายใต้การสอดส่องดูแลจากผู้หลัก ผู้ใหญ่ นี่คือ กุศโลบายสร้างความกลมเกลียวเป็นน้ำ หนึ่งในเดียวกันของคนโบราณ ซึ่งฝนจากฟ้าที่ว่า อาจหมายถึงสิ่งอื่นที่ที่ชุ่มฉ่ำ จากภายในจิตใจก็เป็น ได้ ฟ้าฝนแห้งแล้ง แต่อย่าแล้งน้ำ ใจกัน นี่ล่ะ "มนุสสเท โว" ปัจจุบัน ประเพณีการแห่มอมขอฝนแทบไม่เหลือ แล้วทางภาคเหนือ เช่นเดียวกันกับประเพณีแห่นาง แมวที่สูญหายไปแล้ว ตามกาลเวลาที่ชุมชนเริ่มไม่ เป็นหนึ่งเดียว คนหนุ่มคนสาวทิ้ง ทิ้ ถิ่นฐานบ้านเกิดไป หางานทำ ในเมือง ปล่อยให้คนเฒ่าคนแก่อยู่กันตาม ยถากรรมอย่างเดียวดาย พร้อมๆกับความเชื่อถือใน พลังของเทคโนโลยีและวัตถุ กายภาพว่าตอบสนอง ความสุขได้ดีกว่า ความสุข


ทางจิตใจของวิถีชุมชนศิลปะเกี่ยวกับมอมมิได้ จำ กัดแค่การเป็นสัตว์เทพเฝ้าหน้าวัด แต่ปรากฏอยู่ ในลายสักของชาวล้านนาโบราณอีกด้วย ชายล้าน นาโบราณต่างนิยมสักกันเพื่อแสดงออกถึงความเข้ม แข็งห้าวหาญ น่าเกรงขาม นั่นคือ ความอดทนอด กลั้น ลั้ มิใช่สักเพื่อแสดงอวดโอ่ความเป็นนักเลงหัวไม้ หมายจะข่มขวัญผู้อื่นในชุมชน มีแต่ผู้ที่มีความ อดทนอดกลั้น ลั้ สะกดตนอยู่เหนือทุกขเวทนาทางกาย ใจเท่านั้น นั้ จึงเหมาะจะเป็นผู้นำ เป็นที่พึ่งพาแก่ผู้คน ในชุมชนได้ เพราะนั่นคือผู้ที่กามกิเลสไม่อาจโยก คลอนจิตใจให้หวั่นไหวโดยง่ายก็กี่ครั้ง รั้ กี่หนเล่า ที่ บ้านเมืองมักพ่ายศึกเพราะสินบนผลประโยชน์ ทำ ให้คนยอมทรยศหักล้างได้แม้บ้านเกิดลายสัก สิงห์มอม ของชาวล้านนาแฝงความหมายนัยยะว่า "จงอ่อนน้อมถ่อมตน อย่าหยิ่งผยองทะนงนัก " นั่น ล่ะ ผู้กล้าจริง การสักสำ หรับคนโบราณนั้น นั้ ศักดิ์สิทธิ์ มาก ไม่ใช่ใครจะสักก็ได้สัก อย่างน้อยต้องมีครูบา อาจารย์ถ่ายทอดวิชาในแบบส่งตรง จากใจถึงใจ มิใช่จากตำ ราสู่ท่องจำ หรือ ครูพักลักจำ ถ่ายสำ เนา เอากันแบบเด็กสมัยนี้ ลายสักจึงเป็นเหมือน ประกาศนียบัตรจากครูผู้อารี ว่าศิษย์ผู้นี้เ นี้ จนจบใน ศาสตร์และศิลป์ใด เป็นผู้มีวุฒิภาวะและบารมี ภูมิธรรมน่าเชื่อถือหรือมีเครดิตรับรองจากครูแห่ง สำ นักสถาบันใด นักรบบางคนเห็นรอยสักของกัน และกันก็รู้ว่าเป็นศิษย์ครูสายเดียวกัน ก็จะไหว้สา ยกโทษไม่เอาความกัน พิจารณาดูเถิดสังคมโบราณ เขาอยู่กันสุขสงบด้วยพระธรรมเพียงใด


Click to View FlipBook Version