The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การใช้ Capcut

การใช้ Capcut

การใช้ Capcut กับการสร้าง / ตัดต่อ VDO Content อย่างง่าย จัดทำโดย นายนันท์ธร แต้มโคกสูง รหัสนักศึกษา 6551754651001 นายอภิชิจ คล่องการยิง รหัสนักศึกษา 6551754651003 นายธนัช ชอบชื่น รหัสนักศึกษา 6551754651005 เสนอ อาจารย์ ชัชญาภา วัฒนธรรม รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา 4125101 คอมพิวเตอร์สำหรับบัณฑิตศึกษา ตามหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร พ.ศ. 2566


การใช้ Capcut กับการสร้าง / ตัดต่อ VDO Content อย่างง่าย CapCut เป็นแอปพลิเคชันบนมือถือและยังมีโปรแกรมที่ติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งเหมาะสำหรับตัด ต่อวิดีโอในขนาดสั้น ๆ และเป็นโปรแกรมสร้างวิดีโอแบบออล-อิน-วัน ที่สามารถใช้งานได้ฟรี แถมมีฟีเจอร์ มากมายให้เลือกใช้โดยที่เราสามารถสร้างคลิปได้ในเวลาไม่กี่วินาทีสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ถ้าใครเป็นมืออาชีพ ก็ เลือกใช้งานฟังก์ชันขั้นสูงได้เป็นอย่างดี การนำเสนอวิดีโอคลิปยังเป็นสื่อที่ได้รับความนิยม เพราะสามารถสื่อสารกับผู้ชมให้เข้าใจได้ง่ายมาก ที่สุด และสามารถจดจำเราได้ดี เนื่องจากได้เห็นทั้งภาพและได้ยินทั้งเสียง ซึ่งในปัจจุบันการทำวิดีโอคลิป มีการ นำมาเผยแพร่อย่างหลากหลาย เนื่องจากมีขนาดไฟล์เล็กไม่กินพื้นที่ โดยในการทำคลิปวีดีโอให้น่าสนใจและ ประสบความสำเร็จประกอบด้วย คุณสมบัติของ Capcut • เป็นโปรแกรมตัดต่อสำหรับสาย Content ต่างๆ • ใช้งานง่ายพร้อมลูกเล่น Effect มากมาย • มีพื้นที่จัดเก็บบน Cloud Storage สูงสุด 1 GB • Download ลงเครื่องโดยไม่มีลายน้ำของโปรแกรม • รองรับทุก Platform • สมัครสมาชิกด้วยบัญชี TikTok / google และ Facebook • เหมาะกับการทำเป็นคลิปสั้น ๆ • สามารถส่งออก VDO ไปยังบัญชีของ TikTok ได้อย่างง่ายดาย การใช้งานของ Caput • สามารถใช้งานผ่าน Online ได้ที่เว็บไซต์ www.capcut.com • ติดตั้งโปรแกรมสำหรับ Windows ได้ที่เว็บไซต์ www.capcut.com • ติดตั้งโปรแกรมสำหรับ Mac ได้ที่ AppStore • Smartphone ที่ใช้บน Android ติดตั้ง application ได้ที่ Google Play • Smartphone ที่ใช้บน iOS ติดตั้ง application ได้ที่ AppStore วิธีการใช้งานมีขั้นตอนดังนี้


1.เข้าสู่ Capcut ด้วยบัญชีของ Tiktok / facebook หรือ อีเมล Google 2. เลือกคำอธิบายที่เกี่ยวข้องกับตัวเองสำหรับการใช้งาน 3. หน้าต่างของโปรแกรม (เป็นหน้าต่างของโปรแกรมที่ติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์


4. เมนู Media สำหรับการเพิ่มไฟล์เนื้อหา เช่นไฟล์ภาพ ไฟล์วิดีโอ และไฟล์เสียง 5. เมนู Audio สำหรับการเพิ่มเสียงเพลง เสียง effect เสียงจากVDO และเสียงเพลงใน Tiktok 6. เมนู Text ไว้สำหรับการแทรกข้อความ effect ของข้อความ รูปแบบข้อควา รวมถึงการใส่ Captions ให้กับ VDO


7. เมนู Stickers สำหรับการเพิ่มรูปร่าง หรือภาพการ์ตูนต่าง ๆ 8. เมนู Effect ไว้สำหรับการเพิ่มลูกเล่นให้กับภาพและ VDO ให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น 9. เมนู Transitions ไว้สำหรับการเพิ่มลูกเล่นในการเปลี่ยนภาพ หรือเปลี่ยน VDO หรือการเปลี่ยนฉากใหม่ ของเนื้อหาถัดไป


10. เมนู Filters ไว้สำหรับการตกแต่งความสวยงามของภาพหรือวิดีโอ ให้มีความสวยตามเฉดต่าง ๆ 11. ไอคนสำหรับการตัดต่อ ทั้งการเลือกวัตถุ การแบ่งวิดีโอเป็นส่วน ๆ เพื่อใช้ในการตัด ตกแต่งหรือลบในส่วน ที่ไม่ต้องการออกไป 12. เมนู Video > Basic จะแสดงก็ตต่อเมื่อหลังจากที่ได้ทำการเลือก VDO ที่อยู่ใน Timeline เหมือนในข้อ 11 โดยเมนูนี้จะไว้ปรับขนาด จัดตำแหน่งของภาพหรือวิดีโอ


13. เมนู Video > Cutout สำหรับลบฉากหลัง หรือภาพพื้นหลังออกให้เหลือแค่ภาพวัตถุ เช่นหากต้องการลบ พื้นหลังเอาเฉพาะตัวคน ก็สามารถใช้ Cutout ในการลบได้ทันทีโดยโปรแกรมจำดำเนินการเลือกให้อัตโนมัติ และที่สำคัญตัดออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ 14. เมนู Video > Mask สำหรับปรับภาพหรือวิดีโอให้เป็นตามรูปร่าง เช่น วงกลม สีเหลี่ยม หรือรูปหัวใจ


15. เมนู Video > Enhance ปรับรูปหน้าของภาพและวิดีโอให้มีความนวล ใส มากยิ่งขึ้น และยังสามารถ แต่งเสริมหน้าให้สวยงาม 16. เมนู Audio ไว้สำหรับ ปรับเสียง ปรับลูกเล่นของเสียง ลด Noise ของเสียง


17. เมนู Speed ไว้สำหรับปรับความช้า ความเร็วของวิดีโอ 18. เมนู Animation ไว้สำหรับเพิ่มลูกเล่นให้กับภาพและวิดีโอ ให้ตื่นตาตื่นใจมากยิ่งขึ้น


19. เมนู Adjustment สำหรับปรับความเข้มความจาง ปรับสีต่าง ๆ ของภาพและวิดีโอแบบด้วยตนเอง 20. เมนู Export การส่งออกไฟล์ที่สมบูรณ์เพื่อนำไปใช้และยังสามารถส่งออกไฟล์ไปยังบัญชี TikTok ได้ง่าย อีกด้วย หรือสามารถ download เป็นไฟล์สมบูรณ์แบบไว้สำหรับการเผยแพร่ในแพลตฟอร์มอื่น ๆ


1.เริ่มใช้งาน CapCut ในโทรศัพท์มือถือ 1.ดาวน์โหลดแอป. คุณดาวน์โหลด CapCut ได้ทั้งใน iPhone และ Android โดยเข้าไปที่ app store ตาม ระบบที่ใช้งาน (Apple App store หรือ Google Play Store) 2.แตะไอคอน ‘Search’ มุมขวาล่าง. แตะแถบค้นหาด้านบน แล้วพิมพ์ ‘CapCut’ • ถ้าเป็น Android แล้วใช้ Google Play ให้แตะแถบค้นหาด้านบนที่เขียนว่า ‘Google Play’ จากนั้น พิมพ์ ‘CapCut’ • แตะแอป ‘CapCut - Video Editor’ ในผลการค้นหาที่โผล่มา


3.แตะปุ่ม Download/Install. แอปนี้ดาวน์โหลดได้ฟรีเลย! 4.อนุญาตให้CapCut เข้าถึง camera roll. เพื่อให้ใส่คลิปที่จะตัดต่อได้นั่นเอง! เปิดแอปแล้วแตะปุ่ม “New Project” ด้านบนของหน้าจอได้เลย


5.แตะปุ่ม ‘Confirm’ สีเขียว. เพื่อยอมรับว่า CapCut ต้องเข้าถึงรูปของคุณได้ ในหน้าต่าง pop-up ถัดไป ให้แตะปุ่มอนุญาตการเข้าถึงรูปทั้งหมด • เราจะทำขั้นตอนนี้แค่เฉพาะครั้งแรกที่เปิดแอปเท่านั้น! 2.ทำความรู้จักเมนูต่างๆ 1.สร้าง New Project. พอเปิดแอปแล้ว ให้แตะปุ่ม “New Project” หน้าจอใหม่จะโผล่มา เห็นคลิปต่างๆ ใน camera roll ของเรา


2.เลือกคลิปที่ต้องการ. หาคลิปที่จะเพิ่มเข้าโปรเจกต์ โดยเลื่อนไปตามหน้าใหม่นี้ที่แสดงคลิปที่มีใน camera roll จากนั้นแตะ thumbnail ของคลิปที่ต้องการ แล้วแตะปุ่ม “Add” มุมขวาล่างของหน้าจอ • ตอนนี้ให้เลือกแค่คลิปเดียวก่อน เดี๋ยวเราจะแนะนำวิธีเพิ่มคลิปในขั้นตอนต่อๆ ไป 3.ทำความคุ้นเคยกับเมนูต่างๆ ของแอป. CapCut จะเปิดหน้าเมนูสำหรับตัดต่อคลิปขึ้นมาทันทีหลังอัปโหลด คลิปแรกแล้ว เป็นหน้าที่เดี๋ยวจะเห็นจนชินเวลาใช้แอป จากด้านบนลงไปที่ด้านล่าง จะเห็น preview panel (กรอบแสดงตัวอย่างคลิป) timeline ของคลิป และ toolbar


5.สำรวจ preview panel. หรือก็คือครึ่งบนของหน้าจอ จะเห็นตัวอย่างของคลิปว่าตัดต่อแล้วจะออกมาเป็น ยังไง 3.ตัดต่อเบื้องต้น 1.ตัดบางส่วนของคลิป. "Trimming" ในการตัดต่อวิดีโอ ก็คือตัดต้นคลิปหรือท้ายคลิป เพื่อให้คลิปสั้นลง ถ้า จะตัดต้นคลิป ให้ลากนิ้วบน timeline จากขวาไปซ้าย จน playhead ไปอยู่ตรงจุดที่อยากให้คลิปเริ่ม ตัว playhead ที่ว่า ก็คือเส้นสีขาว ล่างปุ่ม play นั่นเอง ต่อไปให้แตะคลิป แล้วลากเส้นขาวทึบทางซ้าย มา บรรจบกับ playhead ที่ปรับไว้ เท่านี้คลิปก็จะเริ่มตรงจุดที่คุณลาก playhead มาไว้ • การ trim ที่ว่า ก็คือการตัดส่วนของคลิปที่เคยอยู่ระหว่างเส้นทึบขาวกับ playhead ที่ปรับแล้ว ออกไป ทั้งหมดนั่นเอง • ถ้าจะตัดท้ายคลิป ให้ทำแบบเดียวกัน แต่เป็นด้านขวาแทน โดยลาก timeline ไปยังจุดที่อยากให้คลิปจบ (กำหนดโดย playhead) แล้วแตะคลิป จากนั้นลากเส้นขาวทึบทางขวา มาบรรจบกับ playhead


2.ต่อคลิปเข้าด้วยกัน. ถ้าจะเพิ่มคลิปในโปรเจกต์ ให้ใช้ ‘Join’ tool โดยแตะปุ่ม "plus" (เครื่องหมายบวก) สี ขาว ทางขวาของ timeline แล้วเลือกอีกคลิป โดยแตะ thumbnail จากนั้นคลิก "Add" มุมขวาล่าง เท่านี้ก็จะ เห็นคลิปใหม่ทางขวาของคลิปเก่า ใน timeline! • ถ้าจะสลับลำดับเวลาของแต่ละคลิป ก็แค่กดค้างไว้ แล้วลากคลิปใน timeline เรียงตำแหน่งตามต้องการ (เช่น ลากคลิปใหม่ไปอยู่ทางซ้ายของคลิปเก่า เพื่อให้เล่นก่อน) 3.แบ่งคลิป. ถ้าจะ split หรือแบ่งออกเป็นคลิป ให้ลาก timeline จน playhead ไปอยู่ตรงที่อยาก split จากนั้นแตะคลิป แล้วแตะไอคอน “Split” ใน toolbar เท่านี้ก็จะแบ่งคลิปออกเป็น 2 คลิป ไม่ใช่คลิปเดียว • เหมาะสำหรับเวลาจะแปะคลิปใหม่ตรงกลางระหว่าง 2 คลิป โดย split คลิปเดิมตรงจุดที่อยากแบ่ง แล้ว ใช้ Join tool ใส่คลิปใหม่เข้าไป เท่านี้ก็ลากคลิปใหม่ระหว่างคลิปที่เพิ่ง split ได้เลย!


4.ตัดต่อขั้นสูง 1.ปรับความเร็วของคลิป. การทำให้ภาพในคลิปเล่นเร็วขึ้นหรือช้าลงนั้น เป็นฟีเจอร์ฮิตที่หลายคนชอบใช้ เวลาทำคลิป TikTok ให้แตะคลิปใน timeline แล้วแตะปุ่ม "Speed" ใน toolbar ที่ไอคอนเป็นวงกลมเล็กๆ ในวงกลมใหญ่ • เตือนกันก่อนว่าเวลาทำให้คลิปเล่นช้าลง อาจจะกระทบคุณภาพคลิปได้ แล้วแต่ว่า frame rate ของคลิป ต้นฉบับคือเท่าไหร่ แต่แนะนำว่า frame rate ของคลิปควรจะเป็น 60 fps หรือมากกว่า คลิปที่ได้หลัง ปรับความเร็ว จะได้ยังคมชัดอยู่


2.ใช้ตัวปรับความเร็วแบบ "Normal". CapCut จะมีตัวปรับความเร็วคลิป 2 แบบด้วยกัน คือ "Normal" กับ "Curve" ให้แตะ "Normal" เพื่อทำให้ทั้งคลิปเร็วขึ้นหรือช้าลง จะเห็นแถบเลื่อนปรับความเร็วตั้งแต่ 0.1x ถึง 100x ก็ลากวงกลมสีฟ้าไปตามแถบนี้ จนได้ความเร็วคลิปที่ต้องการ แล้วแตะติ๊กถูกด้านขวาล่างได้เลย • อะไรที่ต่ำกว่า 1.0x จะทำให้คลิปช้าลง ส่วนอะไรที่มากกว่า 1.0x จะทำให้คลิปเร็วขึ้น 3.ใช้ตัวปรับความเร็วแบบ "Curve". ให้แตะ "Curve" ถ้าจะปรับความเร็วแต่ละส่วนของคลิปไม่เท่ากัน จะ แตะเลือกเทมเพลตที่มีอยู่แล้วของ CapCut หรือทำ curve เองก็ได้ • ถ้าจะทำ custom curve ให้แตะ "Custom" แล้วปรับเส้นสีเหลือง โดยลากจุดไหนก็ได้ใน 4 จุด ขึ้นหรือ ลง ถ้าจุดขึ้นไปสูง (curve โค้งขึ้น) คลิปส่วนนั้นก็จะเร็วขึ้น ถ้าจุดต่ำลง (curve โค้งลง) ความเร็วคลิปจะ ช้าลง เสร็จแล้วแตะติ๊กถูกขวาล่างได้เลย


4.เล่นคลิปแบบย้อนกลับ. ถ้าอยากให้ภาพในวิดีโอเล่นย้อนกลับ ให้แตะคลิป แล้วเลือก “Reverse” ใน toolbar ไอคอนจะเป็นสามเหลี่ยมในวงกลม 5.แตะ "Audio" ใน toolbar เพื่อใส่เสียงประกอบ. CapCut ให้คุณใส่เสียงได้ 4 แบบด้วยกัน คือแตะ “Sounds" ถ้าจะใส่เพลง แตะ "Effects" ถ้าจะใส่ sound effects แตะ "Extracted" ถ้าจะใช้เสียงจากคลิป อื่นใน camera roll และแตะ "Voiceover" ถ้าจะอัดเสียงทับ 6.ดาวน์โหลด sound effects หรือเพลง. ถ้าเป็น "Effects" กับ "Sounds" จะเลือกเสียงตามหมวดหมู่ใน CapCut ได้ แล้วแตะ sound effect หรือเพลง เพื่อฟังตัวอย่าง พอเจอเสียงที่ต้องการแล้ว ให้แตะปุ่ม download ข้างเสียงที่เลือก เสร็จแล้วแตะปุ่มเครื่องหมายบวก ที่จะโผล่มาหลังดาวน์โหลดเสร็จ


• ลองฟังเสียงหลายๆ แบบได้เลย จนกว่าจะเจอเสียงที่ใช่! 7.ใส่ sound effects หรือเพลง. ถ้าเลือก "Effects" หรือ "Sounds" ก็เลือกเสียงจากในหมวดหมู่ต่างๆ ของ CapCut ได้เลย แล้วแตะ sound effect หรือเพลง เพื่อฟังตัวอย่าง จะทดลองฟังกี่อันก็ได้ จนกว่าจะเจอเสียง ที่ใช่!


8.ดึงเสียงมาจากคลิปอื่นใน camera roll. พอแตะ "Extracted" แล้ว จะเห็นหน้ารวมคลิปใน camera roll ก็แตะคลิปที่อยากดึงเสียงมาใช้ได้เลย เสร็จแล้วแตะ "Add" ที่มุมขวาล่าง เท่านี้เสียงจากคลิปนั้นก็จะกลายเป็น เสียงของคลิปในโปรเจกต์ 9.อัดเสียงทับ. ขั้นแรกให้ลาก playhead ไปยังจุดที่อยากเริ่มอัดเสียง แตะ "Voiceover" แล้วแตะไอคอน วงกลมสีฟ้า มีไมโครโฟน ค้างไว้เพื่อเริ่มอัดเสียง พอจะเลิกอัด ก็แค่ปล่อยนิ้ว เสร็จแล้วแตะติ๊กถูกที่ด้านขวาล่าง


10.ขยับตำแหน่งเสียง. เสียงที่เพิ่มเข้ามา จะโผล่มาล่างคลิป ใน timeline ให้แตะค้างไว้ แล้วลากส่วนของ เสียงไปไว้ตำแหน่งที่ต้องการใน timeline จะ trim คลิปอีกก็ได้ ตามต้องการ อ่านรายละเอียดได้ที่หัวข้อ “ตัด บางส่วนของคลิป” ในบทความนี้ได้เลย! 11.ใส่ฟิลเตอร์ข้อความ หรือสติกเกอร์ให้คลิปยิ่งดูดี!. ถึงเวลาระดมสมอง ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ลองตกแต่ง คลิปด้วยไอเท็มต่างๆ ดู ใน toolbox ให้แตะไอคอน เช่น “Text”, “Stickers”, "Effects" หรือ “Filters” ได้ เลย[2] • CapCut ให้คุณขยับลูกเล่นพวกนี้ไปมาใน timeline เพื่อเปลี่ยนจุดที่ตกแต่ง และระยะเวลาที่ปรากฏได้ แค่แตะไอเท็มนั้นใน timeline แล้วจัดการหน้าตาคลิปตามต้องการ


12.พิมพ์ข้อความ. แตะ "Text" แล้วพิมพ์ข้อความ จากนั้นแตะข้อความในหน้าตัวอย่าง (preview screen) เท่านี้ก็ปรับเปลี่ยนหน้าตาข้อความได้ โดยแตะไอคอนไหนก็ได้ใน toolbar รวมถึง "Style" (เปลี่ยนสี ฟอนต์ ขนาด เป็นต้น), "Effects", "Bubble" และ "Animation" • ถ้าจะเปลี่ยนจุดที่ปรากฏ แค่แตะข้อความในกรอบ preview แล้วลากไปไว้ตำแหน่งที่ต้องการได้เลย 13.เลือกสติกเกอร์. CapCut มีสติกเกอร์ให้เลือกใช้ตกแต่งคลิปได้สารพัดแบบ พอแตะ "Stickers" แล้ว ก็ เลือกหมวดหมู่ที่สนใจได้โดยปัดส่วนนี้ไปทางซ้ายหรือขวา จะได้เห็นสติกเกอร์ทั้งหมด เวลาจะติดสติกเกอร์ ให้ แตะสติกเกอร์นั้น แล้วแตะติ๊กถูกทางด้านขวาของหน้าจอ • CapCut ให้คุณเปลี่ยนตำแหน่งและขนาดสติกเกอร์ได้ด้วย โดยแตะสติกเกอร์ในกรอบ preview แล้วลาก เปลี่ยนตำแหน่ง และ/หรือขยายหรือย่อ โดยใช้สองนิ้ว


14.ใส่ลูกเล่นอื่นๆ. ลูกเล่นของ CapCut จะแบ่งเป็น "Video effects" และ "Body effects" ถ้าเป็น "Video effects" ลูกเล่นจะซ้อนอยู่ตลอดทั้งคลิป แต่ "Body effects" จะสแกนหาร่างกายในคลิป (มีลูกเล่นเฉพาะ ตอนมีคนโผล่เข้ามา) ก็ลองเล่นดู เลือกได้แล้วค่อยแตะติ๊กถูกด้านขวาล่าง เท่านี้ก็เรียบร้อย! 15.ใส่ฟิลเตอร์. CapCut มีฟิลเตอร์เป็นตันให้เลือกใช้ปรับเปลี่ยนหน้าตาของคลิป สีคลิปเปลี่ยน อารมณ์ก็ เปลี่ยน เริ่มจากเลือกหมวดหมู่ (สไตล์ต่างๆ เช่น "Food", "Movies" และ "Retro") แล้วแตะเลือกฟิลเตอร์ใน หมวดหมู่นั้นๆ เสร็จแล้วแตะติ๊กถูกด้านขวาล่างได้เลย


16.ยกเลิกอะไรที่ทำ. ถ้าแต่งคลิปไปแล้วอยากเปลี่ยน ก็ undo หรือยกเลิกได้ง่ายๆ แค่แตะลูกศรย้อนกลับ (back) ด้านบนของ timeline เท่านี้ก็ยกเลิกอะไรที่ทำไปได้แล้ว


ข้อดีของโปรแกรม Capcut • เป็นเครื่องมือที่มีคุณภาพสูงในการตัดต่อวิดีโอทำให้สามารถตัดต่อวิดีโอได้อย่างง่ายในการใช้งาน • เป็นครื่องมือสำหรับปรับแต่งภาพนิ่งที่ช่วยให้สามารถปรับแต่งภาพนิ่งในวิดีโอ ช่วยเพิ่มความสวยงามและ คุณค่าให้กับวิดีโอ • ฟังก์ชั่นการสร้างวิดีโออัตโนมัติที่ช่วยให้สามารถสร้างวิดีโอได้โดยไม่ต้องใช้เวลานานในการตัดต่อวิดีโอ ทำ ให้ประหยัดเวลาและสามารถสร้างวิดีโอได้อย่างรวดเร็ว • การบันทึกวิดีโอในความละเอียดสูงในความละเอียดสูงสุดถึง 4K ซึ่งจะช่วยให้สามารถสร้างวิดีโอที่มี คุณภาพสูงได้อย่างง่าย • การแชร์วิดีโอที่ได้สร้างขึ้น ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น YouTube หรือ Facebook ข้อเสียของโปรแกรม Capcut • การบันทึกวิดีโอในความละเอียดสูงสามารถทำให้ขนาดของไฟล์วิดีโอมีขนาดใหญ่กว่าไฟล์วิดีโอที่บันทึกใน ความละเอียดต่ำกว่า ซึ่งอาจทำให้มีปัญหาในการบันทึกและแชร์ไฟล์วิดีโอในอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็ว อินเตอร์เน็ตต่ำ • การใช้งานในบางครั้งอาจจะมีความล่าช้าในการตัดต่อหากข้อมูลที่ใช้ในการตัดต่อมากเกินไป


Click to View FlipBook Version