The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พายุฝนฟ้าคะนอง ดินถล่ม คืออะไร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2021-09-15 11:46:10

พายุฝนฟ้าคะนองและดินถล่ม

พายุฝนฟ้าคะนอง ดินถล่ม คืออะไร

พายุฝนฟ้าคะนอง

เป็นพายุชนิดหนึ่งที่ถูกจัดลักษณะโดยปรากฏการณ์จากผลกระ
ทบของ แสง และ เสียง บนบรรยากาศของโลก ที่รู้จักกันในชื่อ ฟ้าร้อง
อุตุนิยมวิทยาได้กำหนดชนิดของ เมฆ ที่เกี่ยวข้องกับพายุฝนฟ้าคะนองว่า
เป็นคิวมูโลนิมบัส ปกติแล้วพายุฝนฟ้าคะนองจะมาพร้อมกับลมแรง, ฝน
ตกหนัก และบางครั้งมี หิมะ ฝนหิมะ ลูกเห็บ หรืออาจจะตกลงสู่พื้นดิน
เลยก็ได้ ทั้งหมดนั้นอาจเป็นสาเหตุให้เกิดลูกเห็บตกซึ่งเรียกปรากฏการณ์
นี้ว่า พายุลูกเห็บ พายุฝนฟ้าคะนองอาจจะตกหนักเป็นหย่อม ๆ หรือ
ตกหนักแบบกระจายตัวที่เรียก ซูเปอร์เซลล์ ก็ได้ พายุฝนฟ้าคะนองอย่าง
หนักหรือรุนแรงอาจเกิดการหมุนตัวซึ่งเรียกว่าเปอร์เซลล์ ในขณะที่พายุ
ฝนฟ้าคะนองส่วนใหญ่เคลื่อนที่ด้วยแรงลมปกติผ่านชั้นบรรยากาศโทรโพ
สเฟียร์ ที่มันสถิตย์อยู่ เมื่อเกิดแรงลมพัดเฉือนในแนวตั้งเกิดขึ้นจะก่อให้
เกิดการหันเหเบี่ยงเบนในทิศทางที่ลมพัดเฉือนนั้นพัดมาเป็นสาเหตุให้พายุ
เคลื่อนตัว

พายุฝนฟ้าคะนองเกิดจาก

พายุฝนฟ้าคะนอง เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นเป็น
ประจำทุกวันเหนือ พื้นผิวโลก โดยการก่อตัวที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่จะเป็น
ไปตามฤดูกาล ในบริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตร มีโอกาสที่จะเกิดพายุฝนฟ้า
คะนองได้ตลอดปี เนื่องจากมีสภาพอากาศในเขตร้อนจึงมีอากาศร้อน
อบอ้าว ซึ่งเอื้อต่อการก่อตัวของพายุฝนฟ้าคะนองได้ตลอดปี เนื่องจากมี
สภาพอากาศในเขตร้อนจึงมีอากาศร้อนอบอ้าว ซึ่งเอื้อต่อการก่อตัวของ
พายุฝนฟ้าคะนอง ส่วนบริเวณขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ที่อยู่ในละติจูดที่
สูงขึ้นไป มักจะเกิดขึ้นในฤดูร้อน สำหรับประเทศไทยพายุฝนฟ้าคะนอง
สามารถก่อตัวได้เกือบตลอดเวลาและในทุกพื้นที่ เนื่องจากมีภูมิอากาศใน
เขตร้อน (TROPIC) โดยเฉพาะในเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม พายุ
ฝนฟ้าคะนองที่เกิดขึ้นจะมีความรุนแรงกว่าปกติ จนเกิดเป็นลักษณะที่
เรียกว่า “พายุฤดูร้อน”

ผลของพายุฝนฟ้าคะนองที่เกิดจากการเคลื่อนตัวขึ้นลงอย่าง
รวดเร็วของอากาศที่อุ่นและชื้น มันก่อให้เกิดมวลอากาศที่อุ่นและชื้นขึ้น
ภายในและด้านหน้าของกลุ่มพายุฝนฟ้าคะนองนั้น ในขณะที่มวลอากาศ
อุ่นและชื้นเคลื่อนตัวขึ้นลงนั้น ทำให้เกิดความเย็น , กลั่นตัวจนควบแน่น
และก่อตัวเป็นกลุ่มก้อนเมฆที่แผ่ตัวต่ำปกคลุมทั่วท้องฟ้าจนมาถึงความ
สูงเกิน 20 กม. ในขณะที่อากาศซึ่งลอยตัวสูงขึ้นจนมาถึงจุดที่กลั่นตัว
เป็นหยดน้ำ, เม็ดหยดน้ำและน้ำแข็งก่อตัวและเริ่มตกลงครอบคลุมระยะ
ทางไกลผ่านก้อนเมฆแล้วจึงตกลงสู่ผืนโลก ในขณะที่เม็ดฝนตกลงมานั้น
มันปะทะกันกับเม็ดฝนอื่นและเริ่มใหญ่ขึ้นๆ เม็ดฝนที่ตกลงมายังเบื้อง
ล่างก่อให้เกิดอากาศเย็นและชื้นซึ่งแผ่กระจายบนพื้นผิวโลก ก่อให้เกิดลม
พัดแรงซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับพายุฝนฟ้าคะนองและเกิดหมอกบ้างใน
บางโอกาส

ชนิดของพายุฝนฟ้าคะนอง

พายุฝนฟ้าคะนองชนิดซูปเปอร์เซลล์ เป็นชนิดที่รุนแรงที่สุดและ
เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์สภาวะอากาศรุนแรงและอันตรายที่สุด
เมื่อสื่อกลางในการนำพาความร้อนถูกพัดพาเข้ามาร่วมด้วยอย่าง
เป็นระบบและเหมาะเจาะ เฮอริเคนจะถูกก่อตัวขึ้นจากแรงลมที่พัด
เฉือนเข้ามาภายในเขตร้อนและพื้นที่ใกล้เขตร้อนนั้นๆ

พายุฝนฟ้าคะนองชนิดซิงเกอร์เซลล์ มักมีกำลังอ่อน ช่วงเวลาที่เกิด
น้อยกว่า 1ชั่วโมง มีกลไกการเกิดและสลายตัวด้วยตัวเอง เกิดขึ้นได้
ตลอดทั้งปี และมักเกิดในช่วงฤดูร้อน มักเกิดลักษณะอากาศที่
รุนแรง แต่ก็สามารถเกิดลมแรงจัด ลูกเห็บตก และเกิด ฟ้าแลบ
ฟ้าร้อง และฟ้าผ่าได้

พายุฝนฟ้าคะนองชนิดมัลติเซลล์แบบแถว เป็นแนวแถวพายุฝนฟ้า
คะนองที่ต่อเนื่องกัน ( ส่วนมากเป็นแนวตั้ง ) มีกระแสลมแรงด้าน
หน้าของแนว จึงเรียกว่า squall lines สามารถทำให้เกิดลูกเห็บ
ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหล
หลาก และ พายุทอร์นาโด ขนาดเล็กที่มีกำลังอ่อนได้ในบางครั้ง

พายุฝนฟ้าคะนองชนิดมัลติเซลล์แบบกลุ่ม ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ที่
เคลื่อนที่เป็นหน่วยเดียว โดยแต่ละเซลล์อยู่ในระยะที่ต่างกันของ
วงจรชีวิตของพายุฝนฟ้าคะนอง เมื่อมัลติเซลล์แบบกลุ่มวิวัฒนาการ
เซลล์แต่ละเซลล์ผลัดกันมีอำนาจเหนือกว่ามากที่สุด เซลล์ใหม่มีแนว
โน้มที่จะก่อตัวตามแนวเหนือลม ( โดยทั่วไปคือทิศตะวันตกหรือทิศ
ตะวันตกเฉียงใต้ ) ของกระจุกดาว โดยเซลล์ที่เจริญเต็มที่ตั้งอยู่ตรง
กลางและเซลล์ที่กระจายตัวไปพบตามส่วนด้านล่างของกระจุกลม (
ตะวันออกหรือตะวันออกเฉียงเหนือ )

ข้อสังเกตหรือสิ่งบอกเหตุ

อากาศร้อนอบอ้าว
ลมสงบ หรือลมสงบ
ความชื้นในอากาศสูง จนรู้สึกเหนียวตามร่างกาย
เมฆก่อตัวเป็นรูปทั่งสีเทาเข้ม ยอดเมฆสูงกว่า 10 กม.

การป้องกันพายุฝนฟ้าคะนอง

ติดตามสภาวะอากาศ ฟังคำเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยา
สอบถาม แจ้งสภาวะอากาศร้าย โทร 053-277919 ตลอด 24
ชั่วโมง
ติดตั้งสายล่อฟ้าสำหรับอาคารสูงๆ
ปลูกสร้าง ซ่อมแซม อาคารให้แข็งแรง เตรียมป้องกันภัยให้สัตว์
เลี้ยงและพืชผลการเกษตร
ไม่ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด ขณะมีฟ้าคะนอง
ไม่ใส่เครื่องประดับโลหะ และอยู่กลางแจ้ง ขณะมีฝนฟ้าคะนอง

แผ่นดินถล่ม

ดินถล่ม (LANDSLIDE OR MASS MOVEMENT) คือการ
เคลื่อนที่ของมวลดิน หรือหิน ลงมาตามลาดเขาด้วยอิทธิพลของแรงโน้ม
ถ่วงของโลก โดยปรกติ ดินถล่มที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ส่วนใหญ่ “น้ำ" จะ
มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดดินถล่มเสมอ โดยน้ำจะเป็นตัวลดแรงต้านทานใน
การเคลื่อนตัวของมวลดินหรือหิน และน้ำจะเป็นตัวที่ทำให้คุณสมบัติของดิน
ที่เป็นของแข็งเปลี่ยนไปเป็นของไหลได้

แผ่นดินถล่มเกิดจาก

สภาพธรณีวิทยา โดยปกติชั้นดินที่เกิดการถล่มลงมาจากภูเขา เป็นชั้น
ดินที่เกิดจากการผุกร่อนของหิน ดินที่ผุพังมาจากหินต่างชนิดกันจะให้
ดินต่างชนิดกัน และความหนาต่างกัน คุณสมบัติของดินในการยึด
เกาะระหว่างเม็ดดินและค่าแรงต้านทานการไหลของดินก็จะแตกต่าง
กันตามชนิดของดินนั้นๆด้วย ทำให้ไหล่เขามีความลาดชันไม่เท่ากัน
และต้นไม้ที่ขึ้นตามธรรมชาติบนภูเขาต่างชนิดกันตามชนิดของชั้นดิน
และความสูงของภูเขา นอกจากชนิดของหินแล้ว ลักษณะโครงสร้าง
ทางธรณีวิทยาเช่น รอยเลื่อน รอยแตก และทิศทางการวางตัวของชั้น
หินให้เกิดเป็นดิน โดยหินแต่ละชนิดเวลาผุจะให้ชนิดและความหนาของ
ดินที่แตกต่างกันออกไป
สภาพภูมิประเทศ ลักษณะภูมิประเทศเป็นผลที่เกิดจากขบวนการ
เปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก การผุพังที่แตกต่างกันของชั้นหินและ
ลักษณะการวางตัวของโครงสร้างชั้นหิน ซึ่งเป็นปัจจัยอีกตัวที่มีผลต่อ
เสถียรภาพของดินบนภูเขา ค่าความลาดชันจะมีความสัมพันธ์โดยตรง
กับเสถียรภาพของดินที่อยู่บนภูเขา กล่าวคือยิ่งบริเวณใดที่มีความ
ลาดชันสูง ยิ่งมีโอกาสที่ดินจะเกิดการสูญเสียเสถียรภาพและเคลื่อนที่
ลงมาตามลาดชันของภูเขาได้สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชั้นดินทรายร่วนที่
ไม่มีแรงยึดเกาะระหว่างเม็ดดินมีโอกาสจะถล่มลงมาได้สูงเมื่อผนวก
เข้ากับปัจจัยตัวอื่นๆ

ปริมาณน้ำฝน ดินถล่มที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย จะเกิดขึ้นเมื่อฝน
ตกหนักเป็นเวลานาน โดยน้ำฝนจะไหลซึมลงไปในชั้นดินจนกระทั่งชั้น
ดินชุ่มน้ำ ไม่สามารถอุ้มน้ำไว้ได้ เนื่องจากความดันของน้ำในดินเพิ่ม
ขึ้น ( PIEZOMETRIC HEAD ) เป็นการเพิ่มความดันในช่องว่าง
ของเม็ดดิน ( PORE PRESSURE ) ดันให้ดินมีการเคลื่อนที่ลงมา
ตามลาดเขาได้ง่ายขึ้น และนอกจากนี้แล้วน้ำที่เข้าไปแทนที่ช่องว่าง
ระหว่างเม็ดดินทำให้แรงยึดเกาะระหว่างเม็ดดินลดน้อยลง ส่งผลให้
ดินมีกำลังรับแรงต้านทานการไหลของดินลดลงทำให้ความปลอดภัย
ของลาดดินลดลงไปด้วย และถ้าหากปริมาณน้ำในมวลดินเพิ่มขึ้นจน
มวลดินอิ่มตัวไปด้วยน้ำ และระดับน้ำในชั้นดินสูงขึ้นมาที่ระดับผิวดิน
จะเกิดการไหลบนผิวดินและกัดเซาะหน้าดิน ความปลอดภัยของลาด
ดินจะลดลงไปครึ่งหนึ่งของสภาวะปกติ ( GLAWE , 2004)
หมายความว่าลาดดินเริ่มมีการเคลื่อนตัวตามระนาบของการเคลื่อน
ตัวของดิน และถ้าฝนตกต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานออกไป น้ำจะไหล
ลงไปในระนาบของรอยการเคลื่อนตัวและชะล้างเม็ดดินที่เป็นดิน
เหนียวออกไปตามแนวระนาบทำให้ค่าแรงยึดเกาะระหว่างเม็ดดิน
บริเวณระนาบการเคลื่อนตัว ลดลงไปอย่างมาก ก่อให้เกิดดินถล่มลง
มาตามความลาดชันของไหล่เขา
สภาพแวดล้อม พื้นที่เกิดดินถล่มส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภูเขาสูงชัน ดินที่
มีรากไม้ยึดเกาะจะมีค่าแรงยึดเหนียวระหว่างเม็ดดินมากกว่าดินที่ไม่มี
รากไม้ ซึ่งทำให้ค่ากำลังรับแรงต้านทานการไหลของดินมีค่าสูงขึ้น
เนื่องจากว่ารากพืชที่แทรกตัวในเนื้อดิน จะแทรกซอนผ่านแนวระนาบ
เฉือนของพื้นราบ ซึ่งจะช่วยรับแรงดึงและยึดโครงสร้างดินทำให้ดินมี
ค่ากำลังรับแรงต้านทานการไหลของดินสูงขึ้น

ชนิดของแผ่นดินถล่ม

การร่วงหล่น ( Falls ) เป็นการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วลงมาตามลาด
เขาหรือหน้าผาสูงชัน โดยอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงของโลก อาจเกิด
การตกอย่างอิสระ หรือมีการกลิ้งลงมาตามลาดเขาร่วมด้วย โดยมีน้ำ
เข้ามาเกี่ยวข้องน้อย หรือไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้นตะกอนดินหรือหินที่
พังทลายลงมาจะกองสะสมกันอยู่บริเวณเชิงเขาหรือหน้าผานั้นเอง ถ้า
เป็นหน้าผาหินและตะกอนที่ตกลงมาส่วนมากเป็นหิน เรียกว่า “Rock
fall” ส่วนถ้าเป็นหน้าผาดินและตะกอนที่ตกลงมาเป็นดินเม็ดหยาบ
เรียกว่า “Debris fall” และถ้าตะกอนที่ตกลงมาเป็นดินเม็ดละเอียด
เรียกว่า “Earth fall”

การล้มคว่ำ ( Topples ) การเกิดดินถล่มชนิดนี้ เป็นการเคลื่อนที่โดย
มีการหมุน หรือล้มคว่ำลงมาตามลาดเขา มักพบว่าเกิดบริเวณเชิง
หน้าผาดินหรือหิน ที่มีรอยแตกรอยแยกมาก โดยกระบวนการเกิดดิน
ถล่ม มีน้ำเข้ามาเกี่ยวข้องน้อย หรือไม่มีน้ำเข้ามาเกี่ยวข้องเลย

การลื่นไถล ( SLIDES ) การเกิดดินถล่มชนิดนี้ มีน้ำเข้ามา
เกี่ยวข้องเสมอ สามารถจำแนกตามลักษณะของระนาบการเคลื่อนที่
ได้เป็น 2 ลักษณะ คือ
- ROTATIONAL SLIDE เป็นการลื่นไถลของวัตถุลงมาตามระนาบ
ของการเคลื่อนที่ ที่มีลักษณะโค้งครึ่งวงกลม คล้ายช้อน ( SPOON-
SHAPED ) ทำให้มีการหมุนตัวของวัตถุขณะเคลื่อนที่ โดยที่การ
เคลื่อนที่จะเป็นไปอย่างช้าๆ ซึ่งลักษณะดังกล่าวมักเกิดขึ้นในบริเวณ
ที่ดินมีความเป็นเนื้อเดียวกัน ( HOMOGENEOUS MATERIAL ) เช่น
บริเวณที่ชั้นดินหนามาก หรือ ดินที่นำมาถม เป็นต้น
- TRANSLATIONAL SLIDE เป็นการลื่นไถลลงมาตามระนาบการ
เคลื่อนที่มีลักษณะค่อนข้างตรง ส่วนใหญ่เป็นการเคลื่อนที่ตามระนาบ
ของโครงสร้างทางธรณีวิทยา เช่น ตามระนาบรอยแตก (JOINT)
ระนาบทิศทางการวางตัวของชั้นหิน ( BED )

การไหล (FLOWS) กระบวนการเกิดดินถล่มมีน้ำเข้ามาเกี่ยวข้อง
มากที่สุด โดยน้ำทำให้ตะกอนมีลักษณะเป็นของไหล และเคลื่อนที่
ไปบนพื้นระนาบลาดเขา ลงไปกองทับถมกันที่ช่วงล่างของลาดเขา
หรือเชิงเขา ตะกอนอาจเคลื่อนที่ไปได้เป็นระยะทางไกล และ
ความเร็วในการเคลื่อนที่อาจสูงมากถ้าลาดเขามีความชันสูง

การแผ่ออกทางด้านข้าง ( LATERAL SPREAD ) ดินถล่ม
ลักษณะนี้ ส่วนใหญ่จะเกิดบนพื้นราบ หรือพื้นที่ที่มีความลาดชัน
น้อย โดยชั้นดินจะประกอบด้วย ตะกอนขนาดละเอียดมาก การเกิด
ส่วนมากเกี่ยวข้องกับกระบวนการ LIQUEFACTION เมื่อชั้น
ตะกอนละเอียดที่อิ่มตัวด้วยน้ำมีพฤติกรรมเหมือนของไหลเนื่องจาก
อิทธิพลของแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว หรือจากการที่มีหินหรือ
ดินที่แข็งและไม่อุ้มน้ำวางตัวทับอยู่บนชั้นดินที่อุ้มน้ำ เมื่อชั้นดินที่อุ้ม
น้ำถูกทับด้วยน้ำหนักที่มากก็จะไหลออกด้านข้าง ทำให้ชั้นดิน ชั้นหิน
ที่อยู่ด้านบนแตกออกและยุบตัว

ข้อสังเกตหรือสิ่งบอกเหตุ

มีฝนตกหนักถึงหนักมาก (มากกว่า 100 มิลลิเมตรต่อวัน)
ระดับน้ำในห้วยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
สีของน้ำเปลี่ยนเป็นสีของดินบนภูเขา
มีเสียงดัง อื้ออึง ผิดปกติดังมาจากภูเขาและลำห้วย
น้ำท่วมหมู่บ้าน และเพิ่มระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว

การป้องกันแผ่นดินถล่ม

หลีกเลี่ยงการสร้างบ้านอาศัยอยู่ในบริเวณที่เคยมีเหตุการณ์ดิน
ถล่ม หรือบริเวณหุบเขา พื้นที่มีความลาดชันสูง พื้นที่ลาบลุ่มแอ่ง
กระทะ
พื้นที่ร่องน้ำ พื้นที่ถมดินใหม่ที่มีความลาดชัน
หากท่านอยู่ในพื้นที่บริเวณอันตราย ให้สำรวจพื้นที่โดยรอบ เพื่อ
เตรียมการหนีภัย
ควรปลูกพืชยึดหน้าดินบริเวณเชิงเขา และพื้นที่ลาดชัน เพื่อลด
ความเสี่ยงของแผ่นดินถล่ม
สังเกตุอากาศหากฝนตกหนัก ควรอพยพไปสู่พื้นที่ปลอดภัยโดยเร็ว
สังเกตุพื้นที่รอบที่อยู่อาศัยหากพบสิ่งบอกเหตุที่มีโอกาสเกิดดิน
ถล่มให้แจ้งหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการแก้ไขโดยเร็ว


Click to View FlipBook Version