The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนเครื่องเสียง 63

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by preecha1906, 2021-03-23 00:14:38

แผนเครื่องเสียง 63

แผนเครื่องเสียง 63

แผนการสอน/การจัดการเรยี นรู้แบบมงุ่ เน้นสมรรถนะอาชพี และ
บูรณาการตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง

รหัส 20105-2008 วชิ า เครื่องเสยี ง
หลักสตู ร ประกาศนียบัตรวชิ าชีพ(ปวช.) พ.ศ.2562
ประเภทวิชา/หมวดวิชา ชา่ งอุตสาหกรรม
สาขาวิชา ชา่ งอิเลก็ ทรอนกิ ส์
สาขางาน อเิ ล็กทรอนกิ ส์อตุ สาหกรรม

จดั ทาโดย
นายปรชี า มะโนมัย
ครูประจาแผนกวชิ า ชา่ งอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์

ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2563
ฝ่ายวิชาการ วทิ ยาลัยการอาชพี สวา่ งแดนดนิ

อาชีวศึกษาจังหวัดสกลนคร
สงั กัดสานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา

แบบคาขออนุมตั ใิ ชแ้ ผนการสอน/การจดั การเรยี นรู้แบบมุ่งเน้นสมรรถนะอาชีพ
และบูรณาการตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
รหัสวิชา 20105-2008 วชิ า เคร่อื งเสียง

ผู้จดั ทา

ลงช่ือ..............................................
(นายปรชี า มะโนมยั )
ตาแหน่ง ครู

ผ้ตู รวจสอบแผนการจดั การเรยี นรู้

ลงชื่อ.............................................. ลงชือ่ ..............................................
(นายสาโรช กลา่ มอญ) (นายคุมดวง พรมอินทร)์
หัวหน้างานพัฒนาหลกั สตู รฯ
หัวหน้าแผนกวิชาช่างอิเล็กทรอนกิ ส์

ความเห็นรองผู้อานวยการฝา่ ยวิชาการ
..........................................................................................

ลงช่อื ..............................................
(นายทนิ กร พรหมอนิ ทร์)
รองผู้อานวยการฝา่ ยวิชาการ

ความเหน็ ผู้อานวยการวทิ ยาลัยการอาชีพสว่างแดนดิน
 อนมุ ัติ  ไม่อนุมตั ิ เพราะ....................................

ลงชอ่ื ..............................................
(นางวรรณภา พ่วงกลุ )

ผ้อู านวยการวิทยาลยั การอาชีพสว่างแดนดนิ

คานา

แผนการสอนวชิ าเคร่ืองเสยี ง รหสั 20105-2008 จดั ทาขนึ้ เพ่อื เป็นแนวทางในการเรียนการ
สอนหลกั สตู รประกาศนียบตั รวิชาชีพ(ปวช.)พุทธศักราช2562 ประกอบด้วยขนั้ ตอนและวิธกี ารสอน
เนอ้ื หาสาระ กิจกรรม คาถาม ใบงาน ที่ครอบคลุมจดุ ประสงค์ และคาอธบิ ายรายวิชา และแผนการ
เรียนร้บู รู ณาการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง ไม่เคร่งครดั รูปแบบของการเขียนหน่วย /แผนการเรียนรู้
สามารถปรบั ได้ตามธรรมชาติของวิชา ตามบรบิ ทของวทิ ยาลัย แตค่ งหวั ข้อสาคัญไว้ ได้แก่

(1) ผลการเรยี นรทู้ ีค่ าดหวงั (2) สาระการเรียนรู้ (3) กิจกรรมการเรยี นรู้ (4) ส่ือ /
แหลง่ การเรียนรู้ (5) การวดั และประเมินผล ท้งั น้ผี ใู้ ชต้ ้องทาความเข้าใจความหมายหลักปรชั ญา
ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ใน 3 หลักการ คือ ความพอประมาณ ความมเี หตุมีผล และการสร้างภมู คิ ุ้มกัน
ในตัวท่ีดี โดยใช้ ๒ เงอื่ นไข คือ คุณธรรมและความรู้ ในการสรา้ งความพอเพียงใหเ้ กิดขึ้นใน 4 มิติ
ไดแ้ ก่ ด้านวตั ถุหรอื เศรษฐกจิ สงั คม ส่ิงแวดลอ้ ม และวัฒนธรรม(จริยธรรม)

ลงช่ือ………………..
(นายปรชี า มะโนมัย)

สารบญั 1
3
เรื่อง 4
หน้า 5
คานา 6
ลักษณะรายวชิ า 7
วิเคราะห์ชื่อเร่ือง 8
วเิ คราะห์หนว่ ยการเรยี รู้ 9
รายละเอียดหัวข้อการเรียนร้ขู องแตล่ ะหน่วย 11
รายละเอียดหวั ข้อเรื่อง 12
รายการวเิ คราะห์ เน้ือหาวชิ า จดุ ประสงคร์ ายวชิ า มาตรฐานรายวชิ า 37
ตารางวิเคราะห์ระดับพทุ ธพิสัย ทักษะพิสยั จติ พสิ ยั 38
ตารางวเิ คราะหร์ ะดับพุทธพสิ ัย ทักษะพสิ ยั จติ พสิ ยั เวลาเรยี น 40
กาหนดการเรียนรู้ 42
แผนการเรียนรู้ 45
ใบช่วยสอน
ใบความรู้
ใบงาน
ใบปฏิบัติงาน
ใบมอบหมายงาน

1

ลักษณะรายวชิ า

ท-ป-น(1-3-2)
รหสั วชิ า20105-2008 ชอ่ื วิชาเครือ่ งเสียง หน่วยกิต2 (ช่ัวโมง) 72)
หลกั สูตรประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ประเภทวิชา ช่างอุตสาหกรรม
สาขาวิชาชา่ งอเิ ล็กทรอนกิ ส์ สาขางานอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์

จดุ ประสงค์รายวิชา เพ่ือให้
1. เข้าใจการทางานของวงจรภาคต่าง ๆ ในเครื่องขยายเสียง
2. มีทักษะเกย่ี วกับการประกอบวงจรเคร่ืองขยายเสยี งแบตา่ ง ๆ
3. มที ักษะในการใช้เคร่ืองมอื วัด และทดสอบคณุ สมบัตขิ องเคร่อื งขยายเสียง
4. มีกจิ นสิ ัยในการทางานด้วยความประณีต รอบคอบและปลอดภยั

สมรรถนะรายวิชา
1. แสดงความร้เู ก่ียวกบั การใชง้ านเคร่อื งมือ
2. ประกอบ ทดสอบ ปรับแต่งและใชง้ านวงจรเครอื่ งเสียง

คาอธิบายรายวชิ า
ศกึ ษาและปฏิบัติเกี่ยวกับสัญญาณเสียง บล็อกไดอะแกรมของเคร่ืองขยายเสียง วงจรขยายเสียงคลาส A,

AB, B, C และ D วงจรเพาเวอร์ซัพพลาย วงจรขยายแรงดันไฟฟ้าและวงจรกลับเฟสวงจรขยายกาลังแบบ OT,
OTL OCL และวงจรขยายแบบไดเร็กคัปปลิง วงจรลิมิตเตอร์ วงจรป้อนกลับโทนคอนโทรล ปรีแอมปลิฟายเออร์
มิกเซอร์ วงจรเครื่องขยายเสียงแบบโมโน สเตอริโอ วงจรครอสโอเวอร์เน็ทเวิร์ค วงจรป้องกันลาโพง อุปกรณ์
ประกอบเครื่องขยายเสียง ลาโพง ไมโครโฟนสายสัญญาณ แมตชิงแบบ Balance และแบบ Unbalance ปลั๊ก
แจ๊ค การประกอบ ทดสอบและปรับแต่งวงจรเครอื่ งขยายเสียง การใชเ้ คร่ืองมอื วดั และทดสอบคุณสมบัตขิ องวงจร
และอุปกรณ์เคร่ืองเสียง หลักการบันทึกเสียงบนแถบเทปและ CD เพอื่ หาคุณลักษณะการตอบสนองความถ่ี กาลัง
วัตตค์ ่าอิมพีแดนซแ์ ละคา่ อืน่ ๆ การต่อเครือ่ งขยายเสียงกับระบบอื่น ๆ

2

ลักษณะรายวชิ า

ท-ป-น(1-3-2)
รหัสวิชา20105-2008 ชอ่ื วิชาเคร่ืองเสยี ง หน่วยกิต2 (ช่ัวโมง) 72)
หลักสูตรประกาศนยี บัตรวิชาชีพ ประเภทวิชา ชา่ งอตุ สาหกรรม
สาขาวชิ าช่างอิเลก็ ทรอนิกส์ สาขางานอเิ ลก็ ทรอนิกส์

คาอธิบายรายวชิ า (ปรับปรุง)

คาอธิบายรายวิชา

ศึกษาและปฏิบัติเก่ียวกับสัญญาณเสียง บล็อกไดอะแกรมของเครื่องขยายเสียง วงจรขยายเสียงคลาส A,
AB, B, C ,D, G,H และวงจรเพาเวอร์ซัพพลาย วงจรขยายแรงดันไฟฟ้าและวงจรกลับเฟสวงจรขยายกาลังแบบ
OT, OTL OCL และวงจรขยายแบบไดเร็กคัปปลิง วงจรลิมิตเตอร์ วงจรป้อนกลับโทนคอนโทรล ปรีแอมปลิฟาย
เออร์ มิกเซอร์ วงจรเคร่ืองขยายเสียงแบบโมโน สเตอริโอ วงจรครอสโอเวอร์เน็ทเวิรค์ วงจรป้องกนั ลาโพง อปุ กรณ์
ประกอบเคร่ืองขยายเสียง ลาโพง ไมโครโฟนสายสัญญาณ แมตชิงแบบ Balance และแบบ Unbalance ปล๊ัก
แจ๊ค การประกอบ ทดสอบและปรับแต่งวงจรเครอ่ื งขยายเสียง การใชเ้ ครื่องมือวดั และทดสอบคุณสมบัตขิ องวงจร
และอุปกรณ์เครื่องเสียง หลักการบันทึกเสียงบนแถบเทปและ CD เพ่ือหาคุณลักษณะการตอบสนองความถี่ กาลัง
วัตต์คา่ อิมพแี ดนซ์และค่าอ่ืน ๆ การตอ่ เครื่องขยายเสยี งกบั ระบบอน่ื ๆ

3

วิเคราะหช์ ื่อเรอื่ ง
ท-ป-น(1-3-2)

รหัสวชิ า20105-2008 ชือ่ วิชาเคร่ืองเสียง หน่วยกิต2 (ช่ัวโมง) 72
หลักสูตรประกาศนยี บัตรวิชาชีพ ประเภทวิชา ช่างอุตสาหกรรม
สาขาวิชาช่างอิเล็กทรอนิกส์ สาขางานอิเล็กทรอนิกส์

การวิเคราะห์หวั ขอ้ เร่ือง แบบแผนภูมิ

1. บทท่ี 1 คล่ืนเสียงและเคร่ืองเสียง

2. บทท่ี 2 อุปกรณ์ในระบบเสียง

3. การจดั ไบอสั สาหรับวงจรขยายเสียง

เครื่องสียง 4. การจดั วงจรขยายสัญญาณเสียง
(2105-2008) 5. การเช่ือมต่อสัญญาณ
6.วงจรขยายกาลงั ของเคร่ืองขยายเสียง
7.ภาคการทางานของเครื่องขยายเสียง
8.อปุ กรณ์ประกอบในระบบเสียง
9.การประกอบเครื่องขยายเสียง
10.การทดสอบคณุ สมบตั เิ คร่ืองขยายเสียง

4

วเิ คราะห์หน่วยการเรียนรู้

ท-ป-น(1-3-2)

รหัสวิชา20105-2008 ช่อื วิชาเครื่องเสยี ง หน่วยกิต2 (ชั่วโมง) 72

หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ ประเภทวิชา ช่างอตุ สาหกรรม

สาขาวชิ าชา่ งอิเลก็ ทรอนกิ ส์ สาขางานอิเล็กทรอนกิ ส์

หวั ข้อหลัก(Main Element) / แหลง่ ข้อมูล
หนว่ ยการเรยี นรู้ ( Learning Unit) ABCDE

1.คลน่ื เสยี งและเครื่องเสียง // //

2.อุปกรณ์ในระบบเสยี ง // //

3.การจัดไบอสั สาหรบั วงจรขยายเสียง // //

4.การจัดวงจรขยายสญั ญาณเสียง // //

5.การเชอื่ มต่อสัญญาณ /////

6.วงจรขยายกาลงั ของเคร่ืองขยายเสียง /////

7.ภาคการทางานของเคร่ืองขยายเสียง /////

8.อุปกรณป์ ระกอบในระบบเสียง /////

9.การประกอบเครอ่ื งขยายเสียง /////

10.การทดสอบคุณสมบตั เิ ครื่องขยายเสียง /////

แหล่งข้อมูล (Sources) A : หลักสตู รรายวชิ า (Course Description)
B : ตาราและเอกสาร (Literatures)

C : ประสบการณ์ (Experiences)

D : ผเู้ ชีย่ วชาญ (Experts)

E : อ่ืนๆ (Other)

5

การวิเคราะหห์ วั ขอ้ การเรียนรู้ของแตล่ ะหนว่ ยการเรยี นรู้

ท-ป-น(1-3-2)
รหัสวิชา20105-2008 ช่ือวิชาเครอื่ งเสยี ง หน่วยกิต2 (ชั่วโมง) 72
หลักสูตรประกาศนยี บัตรวชิ าชพี ประเภทวิชา ช่างอตุ สาหกรรม
สาขาวิชาช่างอเิ ลก็ ทรอนิกส์ สาขางานอิเล็กทรอนิกส์

หน่วยที่ ชือ่ หน่วยการเรียนรู้ สมรรถนะ
1
2 คลื่นเสียงและเคร่ืองเสยี ง -แสดงความรู้เกยี่ วกับคล่นื เสียงและเครื่องเสียงได้
3
4 อุปกรณ์ในระบบเสียง -แสดงความรเู้ กย่ี วกับอุปกรณ์ในระบบเสยี งได้

5 การจดั ไบอัสสาหรบั วงจรขยายเสยี งการจัด -จัดไบอสั แบบต่างๆให้กับวงจรขยายเสยี งได้
6
วงจรขยายสญั ญาณเสียง -เขยี นจดุ การทางานและคุณสมบตั ขิ องวงจรขยาย
7
8 คลาสเอ,บ,ี เอบี,ซีได้

9 การเชอื่ มต่อสญั ญาณ -เชอ่ื มต่อสัญญาณด้วยอิมพีแดนซ์ได้
10
วงจรขยายกาลังของเครือ่ งขยายเสียง -ตอ่ วงจรขยายเสยี งแบบคอมพลเี มนตารีชนดิ

OTL,OCL ได้

ภาคการทางานของเคร่ืองขยายเสียง -ต่อวงจรมกิ เซอรเ์ บื้องต้นแบบ 2 อนิ พตุ ได้

อปุ กรณ์ประกอบในระบบเสียง -แยกแยะชนดิ และการทางานของอุปกรณ์ในระบบ

เสียงได้

การประกอบเคร่ืองขยายเสยี ง -ประกอบและทดสอบเคร่ืองขยายเสยี งได้

การทดสอบคณุ สมบตั เิ ครื่องขยายเสยี ง -วัดคา่ กาลงั วัตต์เอาตพ์ ตุ ได้

6

รายละเอียดหัวข้อเรื่อง

ท-ป-น(1-3-2)

รหสั วิชา20105-2008 ชอ่ื วิชาเครื่องเสยี ง หน่วยกิต2 (ชั่วโมง) 72

หลกั สตู รประกาศนียบตั รวชิ าชีพ ประเภทวิชา ชา่ งอตุ สาหกรรม

สาขาวิชาชา่ งอิเลก็ ทรอนิกส์ สาขางานอเิ ลก็ ทรอนิกส์

หัวข้อหลัก (Main Element) / หัวข้อย่อย (Element)

หนว่ ยการเรยี นรู้ ( Learning Unit)

1.คลื่นเสยี งและเคร่ืองเสียง 1.1คล่นื เสียง

1.2คุณสมบตั ิและสว่ นประกอบของคลน่ื เสียง

2.อุปกรณ์ในระบบเสียง 2.1จนู เนอร์,เคร่ืองเลน่ เทป

3.การจดั ไบอัสสาหรบั วงจรขยายเสียง ,cd,poweramp,equalizer

3.1วงจรเบสร่วม,วงจรคอลเลคเตอรร์ ว่ ม,วงจร

4.การจดั วงจรขยายสญั ญาณเสียง อิมเิ ตอร์ร่วม

4.1วงจรขยายคลาสเอ,วงจรขยายคลาสบี,วงจรขยาย

5.การเชื่อมต่อสัญญาณ คลาสเอบี

5.1การเช่ือมต่อสญั ญาณโดยตรง,การเชอื่ มต่อ

สญั ญาณด้วยอารซ์ ี,การเช่อื มต่อสัญญาณดว้ ย

6.วงจรขยายกาลังของเครื่องขยายเสียง อิมพีแดนซแ์ ละหม้อแปลง

6.1วงจรขยายเสยี งแบบพชุ พูล,วงจรขยายเสยี งแบบ

7.ภาคการทางานของเครื่องขยายเสยี ง คอมพลเี มนตารี่,OTL,OCL

8.อปุ กรณ์ประกอบในระบบเสยี ง 7.1ภาคต่างๆของเคร่อื งขยายเสียง

8.1ไมโครโฟน,สายสญั ญาณ,ลาโพง,สายลาโพง,ปลกั๊

9.การประกอบเคร่ืองขยายเสียง และแจ้ค,ครอสโอเวอร์เน็ทเวิร์ค

9.1เทคนิคการบดั กรี,การอ่านค่าอุปกรณ์,การประกอบ

10.การทดสอบคุณสมบตั ิเครื่องขยายเสยี ง และทดสอบเครื่องขยายเสยี ง

10.คา่ ความตา้ นทานของเครื่องขยายเสียง,คา่ กาลัง

วัตตเ์ อาท์พทุ ของเครอื่ งขยายเสยี ง

ตารางวเิ คราะห์หลักสตู ร

รหสั วิชา 2105-2102 ช่อื วิชา ระบบเสยี ง
จานวนหนว่ ยกิต 3 หน่วยกิต จานวนช่วั โมงตอ่ สัปดาห์ 4 ชว่ั โมง รวม 72 ช่วั โมงตอ่ ภาคเรียน
ช้ัน ปวช.2 สาขาวชิ า/กลุ่มวิชา/ ชา่ งอิเลก็ ทรอนิกส์ หอ้ ง 3

พฤตกิ รรมการเรียนรู้ ดา้ นพทุ ธพิ ิสยั

ชอื่ หน่วยการสอน ความรู้ (5)
ความเ ้ขาใจ (5)
/การเรียนรู้ นาไปใ ้ช (5)
ิวเคราะ ์ห (5)
ัสงเคราะห์ (5)
ประเ ิมนค่า (5)
ด้านทักษะ ิพสัย (5)
ด้าน ิจต ิพ ัสย (5)
รวม (40)
ลาดับความสาคัญ
จานวน ่ัชวโมง

1.คลนื่ เสียงและเครื่องเสียง 21- - - -24 6 4 4

2.อปุ กรณ์ในระบบเสยี ง 212- - -24 8 1 4

3.การจดั ไบอัสสาหรับวงจรขยาย 1122- -24 7 2 12
เสียง

4.การจดั วงจรขยายสญั ญาณเสยี ง 1 1 2 - - - 2 4 7 3 4

5.การเชอื่ มต่อสัญญาณ 111- - -24 6 5 8

6.วงจรขยายกาลังของเคร่ืองขยาย 1 1 1 - - - 2 4 6 6 8
เสยี ง

7.ภาคการทางานของเครื่องขยาย 1 1 3 4 4 - 2 4 5 7 8
เสียง

8.อปุ กรณ์ประกอบในระบบเสียง 1 1 3 4 4 - 2 4 5 8 8

9.การประกอบเคร่ืองขยายเสียง 1 1 3 4 4 - 2 4 5 9 8

10.การทดสอบคุณสมบัตเิ คร่ือง 1 1 3 3 4 - 2 4 5 10 8
ขยายเสยี ง

รวมคะแนน 20 18 8 15 16 0 36 40 100 72

ลาดบั ความสาคญั 23576 14

ตารางวเิ คราะห์สมรรถนะรายวชิ าโดยบูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง

ทางสายกลาง

3ห่วง 2 เง่อื นไข
ความรู้ คุณธรรม
ชื่อหน่วยการสอน/
สมรรถนะรายวชิ า พอประมาณ(5)
มีเห ุตผล(5)
มีภูมิคุ้มกัน(5)
รอบ ู้ร(5)
รอบคอบ(5)
ระมัดระ ัวง(5)
ื่ซอ ัสตย์ ุสจริต(5)
ขยันอดทน(5)
มีส ิต ัปญญา(5)
แ ่บง ัปน(5)
รวม(50)
ลา ัดบความสาคัญ

1.คลืน่ เสยี งและเคร่ืองเสยี ง 2 3 3 3 4 3 4 4 4 4 34 4
2.อปุ กรณ์ในระบบเสยี ง 2 3 3 3 4 3 4 4 4 5 35 3
3.การจดั ไบอสั สาหรับวงจรขยายเสียง 2 3 3 3 4 3 4 4 4 4 34 5
4.การจดั วงจรขยายสัญญาณเสยี ง 2 3 3 3 4 3 4 4 4 4 34 6
5.การเชื่อมต่อสัญญาณ 2 3 3 3 4 3 4 4 4 4 34 7
6.วงจรขยายกาลังของเครื่องขยายเสยี ง 2 3 3 4 4 3 4 4 4 4 34 8
7.ภาคการทางานของเคร่ืองขยายเสียง 2 4 3 3 4 5 4 4 4 4 37 1
8.อุปกรณป์ ระกอบในระบบเสยี ง 2 3 3 3 4 5 4 4 4 4 36 2
9.การประกอบเคร่อื งขยายเสียง 2 3 3 3 4 3 4 4 4 4 34 9
10.การทดสอบคุณสมบตั ิเคร่ืองขยายเสยี ง 2 3 3 3 4 3 4 4 4 4 34 10

รวม 20 30 30 31 40 34 40 40 40 41
ลาดับความสาคัญ 10 9 8 7 2 6 3 4 5 1

7
รายการวิเคราะห์ เน้ือหาวิชา จุดประสงค์รายวิชา มาตรฐานรายวชิ า

ท-ป-น(1-3-2)

รหัสวชิ า20105-2008 ชอื่ วิชาเครือ่ งเสียง หน่วยกิต2 (ช่ัวโมง) 72

หลักสตู รประกาศนยี บัตรวิชาชีพ ประเภทวิชา ช่างอุตสาหกรรม

สาขาวชิ าชา่ งอเิ ล็กทรอนกิ ส์ สาขางานอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์

หวั ข้อ เน้อื หาวชิ า จุดประสงค์ มาตรฐานรายวิชา/
หลัก/ รายวชิ า สมรรถนะรายวชิ า
หน่วยการ
เรียนรู้ 1 2345612 345 6

1 1.คลน่ื เสียงและเคร่ืองเสียง ../ ... .. .... ... .... /. ../ ../ ... ... ...
2 2.อปุ กรณ์ในระบบเสียง
3 3.การจัดไบอัสสาหรบั วงจรขยายเสียง ./. /.. /. .... ... .... .. ../ ... ... ... ...
4 4.การจดั วงจรขยายสญั ญาณเสยี ง
5 5.การเช่ือมต่อสญั ญาณ ... ./. /. .... ... .... /. ./. /.. ... ... ...
6 6.วงจรขยายกาลงั ของเครื่องขยายเสียง
7 7.ภาคการทางานของเคร่ืองขยายเสียง /.. ./. ./ .... ... .... ./ ... /.. ... ... ...
8 8.อปุ กรณ์ประกอบในระบบเสียง
9 9.การประกอบเคร่อื งขยายเสียง /.. .... ... .... ... .... ... ... .... ... ... ...
10 10.การทดสอบคณุ สมบตั เิ ครื่องขยายเสยี ง
./. .... ... .... ... .... ... ./. .... ... ... .

/ ./. ... ... ./. ./.

./. ../ /. .... ... .... /. /.. ../ ... ...

.... ... /. .... ... .... ./ / ... ./ /

../ / ./ ../ ./ ./ ./ ./ / ./ / /

8

ตารางวเิ คราะหร์ ะดบั พุทธิพสิ ัย ทักษะพสิ ัย จิตพิสัย
ท-ป-น(1-3-2)

รหสั วิชา20105-2008 ชื่อวิชาเครอ่ื งเสียง หน่วยกิต2 (ช่ัวโมง) 72
หลักสตู รประกาศนยี บตั รวิชาชีพ ประเภทวิชา ชา่ งอตุ สาหกรรม
สาขาวิชาช่างอิเล็กทรอนิกส์

วเิ คราะหร์ ะดับพฤติกรรมทีพ่ งึ ประสงค์รายวิชา

1)พทุ ธิพสิ ยั 3 ระดับ

2)ทักษะพิสัย 3 ระดับ

3)จิตพสิ ัย 5 ระดับ

4)นอ้ มนาหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงมาปฏิบัติ

9

ตารางวิเคราะห์ระดบั พุทธิพสิ ัย ทักษะพสิ ัย จติ พิสัย เวลาเรียน
ท-ป-น(1-3-2)

รหสั วิชา20105-2008 ชื่อวิชาเครื่องเสียง หน่วยกิต2 (ชั่วโมง) 72

หลักสตู รประกาศนยี บตั รวชิ าชีพ ประเภทวิชา ชา่ งอตุ สาหกรรม

สาขาวชิ าช่างอิเล็กทรอนิกส์

ระดบั พฤตกิ รรมทพ่ี ึงประสงค์

หน่วยที่ ช่อื หน่วยการเรียนรู้ พทุ ธิพสิ ยั ทักษะพสิ ัย จิตพสิ ัย เวลา

1 2 3 4 5 6 1 2 3 4 5 1 2 3 4 5 (ชม.)

1 1.คลน่ื เสียงและเครื่องเสียง // / /// ///// 4
// / /// ///// 4
2.อปุ กรณ์ในระบบเสยี ง /////
/// ///// 12
3.การจดั ไบอัสสาหรบั วงจรขยาย /// ///// 4
/// ///// 8
เสยี ง / / / /// /////
/// ///// 8
4.การจดั วงจรขยายสญั ญาณเสียง / / / /// /////
/// ///// 8
5.การเช่ือมต่อสัญญาณ // / /// ///// 8
/// ///// 8
6.วงจรขยายกาลงั ของเครื่องขยาย // /// ///// 8

เสียง / / /

7.ภาคการทางานของเครอ่ื งขยาย / / /

เสยี ง / / /

8.อุปกรณป์ ระกอบในระบบเสยี ง / / /

9.การประกอบเคร่ืองขยายเสยี ง / / /

10.การทดสอบคุณสมบตั ิเครื่อง / / /

ขยายเสยี ง

พุทธิพิสัย ทักษะพิสยั จติ พิสยั

1 = ความรู้ 1 = เลยี นแบบ 1 = รบั รู้

2 = ความเขา้ ใจ 2 = ทาได้ตามแบบ 2 = ตอบสนอง

3 = การนาไปใช้ 3 = ทาไดถ้ ูกต้อง 3 = เหน็ คณุ คา่

4 = การวิเคราะห์ แม่นยา 4 = จัดระบบคณุ คา่

5 = การสังเคราะห์ 4 = ทาไดต้ ่อเนอ่ื ง 5 = พฒั นาเปน็ ลักษณะ

6 = การประเมินค่า ประสานกนั นสิ ัย

5 = ทาไดอ้ ย่าง

เปน็ ธรรมชาติ

นอ้ มนาหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติ

10

การวเิ คราะหเ์ วลาท่ีใชใ้ นการจัดการเรียนรู้ของแต่ละหัวขอ้ การเรยี นรู้

ท-ป-น(1-3-2)

รหสั วชิ า20105-2008 ช่อื วิชาเครอ่ื งเสยี ง หน่วยกิต2 (ช่ัวโมง) 72

หลกั สตู รประกาศนียบัตรวิชาชพี ประเภทวิชา ช่างอตุ สาหกรรม

สาขาวิชาชา่ งอิเลก็ ทรอนกิ ส์

หน่วยที่ ชือ่ หน่วยการเรียนรู้ สปั ดาหท์ ี่ ชัว่ โมงท่ี
1
2 1.คลน่ื เสยี งและเคร่ืองเสียง 14
3
4 2.อปุ กรณ์ในระบบเสยี ง 24
5
6 3.การจัดไบอัสสาหรับวงจรขยายเสียง 3-5 12
7
8 4.การจดั วงจรขยายสัญญาณเสียง 64
9
10 5.การเชอ่ื มต่อสญั ญาณ 7-8 8

6.วงจรขยายกาลังของเครื่องขยายเสยี ง 9-10 8

7.ภาคการทางานของเคร่ืองขยายเสียง 11-12 8

8.อุปกรณ์ประกอบในระบบเสยี ง 13-14 8

9.การประกอบเครอ่ื งขยายเสียง 15-16 8

10.การทดสอบคุณสมบัติเครื่องขยายเสยี ง 17-18 8

รวม 18 72
11

แผนการจดั การเรียนรู้

รหสั วชิ า 20105-2008 ชื่อวิชา เคร่อื งเสียง

ช่ือหน่วย คล่ืนเสยี งและเครอื่ งเสียง

เร่ือง คลืน่ เสยี งและเครอ่ื งเสียง จานวนช่วั โมงสอน (4)

หัวข้อเร่อื ง

1. คลืน่ เสียง

2. คุณสมบตั แิ ละส่วนประกอบของคลน่ื เสยี ง

3. หูและการได้ยนิ
4. หนว่ ยวดั ความดัง
5. เครอื่ งเสยี งชนิดไฮ-ไฟ
6. สว่ นประกอบของเคร่ืองเสียงชนิดไฮ – ไฟ

7. ความผดิ เพยี้ นที่มผี ลต่อเคร่อื งเสยี งชนิดไฮ – ไฟ

สาระสาคัญ

คลื่นเสยี งเป็นคลืน่ ชนดิ หน่งึ ทีก่ าเนดิ ไดจ้ ากการสัน่ ของอากาศและมีความถอ่ี ยู่ในชว่ ง 20เฮริ ตซ์ -20 กโิ ลเฮริ ตซ์ ซึง่ เป็นชว่ ง
ความถ่ที ี่หมู นษุ ย์เราสามารถได้ยินได้ ซ่ึงจะได้กล่าวถงึ นยิ ามของเสียง คณุ สมบตั ิและสว่ นประกอบของเสียง หูกับการไดย้ นิ รวมไปถงึ
หน่วยวดั ความดังทีน่ ิยมใชใ้ นปัจจุบัน ในสว่ นที่สองเรอ่ื งเครอื่ งเสียงชนิดไฮ-ไฟนน้ั จะกลา่ วถงึ นิยามของคาว่าไฮ-ไฟ ส่วนประกอบที่ทาให้
เครื่องเสยี งเป็นชนิดไฮ-ไฟ ความผดิ เพ้ยี นทีม่ ผี ลต่อเคร่ืองเสียงไฮ-ไฟ

สมรรถนะอาชพี ประจาหนว่ ย

- แสดงความรู้เกย่ี วกบั คล่นื เสยี งและเครอ่ื งเสยี ง

จุดประสงค์การสอน/การเรียนรู้

 จุดประสงค์ท่ัวไป / บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง

1. เพ่อื ใหม้ ีความรเู้ ก่ยี วกับการเกิดเครอ่ื งเสยี ง (ด้านความรู้)

2. เพื่อให้มีทักษะในการจาแนกโครงสรา้ งของหแู ละการได้ยนิ (ด้านทักษะ)

3. เพ่ือให้มเี จตคติที่ดใี นการจาแนกองค์ประกอบของระบบไฟฟ้า (ด้านจติ พิสัย)

4. เพ่ือสรปุ แหล่งกาเนดิ ไฟฟา้ กระแสสลบั ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม (ดา้ นด้านคุณธรรม จริยธรรม/บูรณา

การเศรษฐกิจพอเพียง)

 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม / บรู ณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง

1. อธิบายการเกิดคลน่ื เสียงได้ (ดา้ นความร)ู้

2. บอกคุณสมบัติและส่วนประกอบของเคร่ืองเสียงได้ (ดา้ นความร)ู้

3. จาแนกโครงสรา้ งของหแู ละการไดย้ ินได้ (ดา้ นทักษะ)

4. คานวณหนว่ ยวัดและความดังได้ (ด้านทักษะ)

5. เขยี นความแตกต่างระหว่างเคร่อื งเสียงทั่วไปได้ (ดา้ นทักษะ)

6. แยกแยะส่วนประกอบของเครอื่ งเสยี งชนิดไฮ-ไฟได้ (ด้านทักษะ)

7. ช้ีให้เหน็ ถงึ ความผิดเพ้ียนท่ีมผี ลตอ่ เคร่ืองเสียงชนดิ ไฮ-ไฟได้ (ดา้ นจติ พิสัย)

8. สรุปคลื่นเสียงและเครื่องเสียง ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม (ด้านด้านคณุ ธรรม จริยธรรม/บรู ณาการ

เศรษฐกจิ พอเพยี ง)
เน้ือหาสาระการสอน/การเรยี นรู้
• ดา้ นความรู้(ทฤษฎ)ี
1.1 คล่นื เสียง

คล่นื เสยี งเปน็ คลื่นชนิดหน่ึงทีก่ าเนดิ ขึน้ ไดจ้ ากการสน่ั ของอากาศโดยรอบและมคี วามถ่ตี าจึงถูกเรยี กวา่
ความถีเ่ สยี ง (Audio Frequency) อยู่ในชว่ งความถี่ประมาณ 20 Hz – 20 KHz เปน็ ช่วงความถท่ี ี่มนุษย์อย่างเรา ๆ
สามารถรับฟังและไดย้ นิ ได้ คลนื่ เสยี งนน้ั เดนิ ทางไปได้ไมไ่ กลเน่ืองจากคลน่ื เสยี งน่นั เกิดการจางหายหรือถูกดูดกลืนได้
งา่ ย คล่ืนเสียงเกดิ ขึ้นไดจ้ ากแหลง่ กาเนดิ เสยี งต่าง ๆ หลายชนดิ แตกต่างกนั เมอ่ื คลน่ื เสยี งมาจากแหล่งกาเนดิ ที่ตา่ งกนั
คลืน่ เสียงและความถ่ีของเสยี งท่ไี ด้กจ็ ะแตกตา่ งกนั ไปด้วย แต่ยงั คงเป็นคลืน่ รูปไซนเ์ หมือนกนั การเดินทางของเสยี งไป
ในตัวกลางต่าง ๆอัตราเรว็ ในการเดนิ ทางของเสียงข้นึ อยู่กับคณุ สมบัตติ ัวกลางท่เี สียงเคลอ่ื นที่ผา่ น ไดแ้ ก่ ความ
หนาแนน่ ความยืดหยุน่ เป็นต้น โดยปกตเิ สียงเดินทางในของแข็งได้ดีท่ีสดุ รองลงมาคือของเหลวและก๊าซ นอกจากน้ี
อตั ราเร็วเสียงยงั ขึ้นอยกู่ บั อณุ หภูมิของตวั กลางที่เสียงเคล่ือนท่ผี ่าน โดยพบวา่ เมื่ออณุ หภูมสิ ูงข้ึน อัตราเร็วเสยี งจะมีค่า
มากขนึ้ สาหรบั ตัวกลางทีเ่ ปน็ อากาศ ในขณะทเ่ี สียงเคลื่อนท่จี ะมีการถ่ายทอดพลังงานไปใหก้ บั วตั ถุทีเ่ สยี งตกกระทบ
โดยอตั ราการถ่ายทอดพลังงานของเสยี งต่อพ้ืนทท่ี ต่ี ้ังฉากกับทิศการเคล่ือนท่ขี องเสยี ง เรียกวา่ ความเข้มเสยี ง
(Intensity) หรอื อาจกลา่ วได้ว่า ความเขม้ เสียง หมายถงึ กาลังของเสียงจากแหล่งกาเนดิ ทต่ี กกระทบบนพน้ื ที่ 1 ตาราง
หนว่ ยในแนวตัง้ ฉากท่ีพิจารณา เน่ืองจากเสียงแผ่ออกทุกทิศทางเหมือนกนั คือ ลกั ษณะของคล่ืนเสยี งจะเป็นรูปคลื่น
ไซน์ (Sine Wave) เหมือนกัน กลา่ วคือจะมสี ว่ นของสญั ญาณแรงสดุ (Maximum Signal)และสว่ นของสญั ญาณทเ่ี บา
สดุ (Minimum Signal)และจะมกี ารเปล่ยี นแปลงเพ่ิมหรอื ลดเป็นไปตามลาดับสลับกนั ไปมา

คลน่ื เสยี งเปน็ คลืน่ ตามยาวเกิดจากการสัน่ ของวตั ถุ ความถี่ของเสยี งจะมีคา่ เทา่ กบั ความถี่ของแหล่งกาเนดิ
และในขณะท่มี ีการสนั่ โมเลกุลของตวั กลางจะมีการถา่ ยทอดพลังงานทาให้เกิดความดนั อากาศท่ีเปลีย่ นแปลงไปตาม
ตาแหน่ง ทาใหเ้ กิดเป็นชว่ งอัดและช่วงขยายโดยท่ีช่วงอดั คอื บรเิ วณทีอ่ นุภาคของตัวกลางอดั เข้าหากนั บรเิ วณนม้ี จี ะมี
ความดันสูงสุดโดยเทยี บกับความดนั ทีต่ าแหน่งสมดลุ ของอนุภาค โดยการขจดั ของอนุภาคนอ้ ยท่สี ดุ ส่วนช่วงขยายคือ
บริเวณทีอ่ นุภาคตวั กลางแยกหา่ งจากกนั บรเิ วณนี้มีความดันตา่ สดุ โดยเทยี บกับความดนั ท่ตี าแหนง่ สมดลุ ของอนุภาค
การขจดั ของอนุภาคมากทส่ี ุด อตั ราเร็วเสยี งขนึ้ อยู่กับคุณสมบัตติ วั กลางที่เสียงเคล่อื นทีผ่ า่ น ไดแ้ ก่ ความหนาแน่น
ความยดื หยนุ่ เป็นตน้ โดยปกตเิ สียงเดนิ ทางในของแข็งไดด้ ีท่สี ุด รองลงมาคอื ของเหลวและก๊าซ

13

แผนการจดั การเรียนรู้
รหสั วชิ า 20105-2008 ชื่อวิชา เครือ่ งเสียง

ชอ่ื หน่วย คลน่ื เสียงและเคร่อื งเสยี ง จานวนชั่วโมงสอน (4)
เรอื่ ง คลืน่ เสยี งและเคร่ืองเสียง

4. สื่อการเรียนรู้
4.1 ใบความรู้
4.2 ใบงาน
4.3 ของจรงิ

5. กระบวนการจดั การเรยี นรู้ กิจกรรมการเรียนของนกั ศกึ ษา
กจิ กรรมการสอนครู
- เตรยี มเอกสาร สมดุ บนั ทึก หนังสือเรียน
ข้ันเตรยี ม
- เตรียมเอกสารประกอบการสอน สอื่ การสอน การวัดและ - ฟงั คาอธิบายรายวิชา แนวทางการเรยี น
ประเมนิ ผล เปา้ หมาย คุณลักษณะที่พึงประสงค์
-แนะนาเข้าสู่บทเรียน แนวทางการเรยี น เป้าหมาย และ
คณุ ลกั ษณะทพี่ ึงประสงค์

ขน้ั สาธิต

- จดั เตรยี มเคร่ืองมอื ทเี่ กี่ยวข้องในงานอุตสาหกรรม สอ่ื การสอน - เตรยี มเครื่องมอื อุปกรณต์ ามใบงาน

เอกสารตา่ งๆ

- อธิบายวธิ ีการใช้งาน - ฟงั การอธบิ ายการใช้งาน และการทาใบงาน

-เปดิ โอกาสใหน้ ักศึกษาได้ซักถาม - ซกั ถามข้อสงสยั

- เช็คเครอื่ งมือให้อยู่ในสภาพใชง้ านได้ - ดกู ารสาธิตการใชเ้ ครื่องมือวัดแบบต่างๆ

- สาธิตวธิ กี ารใช้เครื่องมอื

- ให้นกั ศึกษาแบง่ กลุ่มทาการวดั และทดลอง

ขัน้ ฝึกปฏิบัติ

-อธิบายขนั้ ตอนการทาใบงาน

-สังเกตการณฝ์ ึกปฏบิ ัตงิ าน

-สอบ ถามปญั หาท่ีเกิดจากการปฏบิ ตั งิ าน

14

แผนการจดั การเรยี นรู้

รหัสวชิ า 20105-2008 ช่อื วิชา เครือ่ งเสียง จานวนชัว่ โมงสอน (4)

ชอ่ื หน่วย คลน่ื เสียงและเครื่องเสยี ง
เร่ือง คล่ืนเสยี งและเครือ่ งเสียง

5. กระบวนการจดั การเรยี นรู้ กิจกรรมการเรยี นของนักศกึ ษา
กจิ กรรมการสอนครู - ซกั ถามขอ้ สงสัย

ขนั้ ตรวจสอบผลงาน - ทาแบบทดสอบ
- ส่งใบงาน - ส่งใบงาน
-ให้นกั ศกึ ษาเขา้ ทาแบบทดสอบ - ปรบั ปรงุ ผลงาน
-ตรวจแบบทดสอบ
- ฟังปญั หาทีเ่ กิดระหว่างการทางาน
ข้ันสรุปผล - ผลการประเมิน
- ปัญหาทีเ่ กิดจากการทาใบงาน - เตรยี มขอ้ มลู ในงานต่อไป
- ผลการวัดและประเมนิ ผล
- ขอ้ เสนอแนะในครัง้ ต่อไป

15

แผนการจัดการเรียนรู้

รหสั วิชา 20105-2008 ชอ่ื วิชา เครอื่ งเสียง จานวนชั่วโมงสอน (4)

ชอ่ื หน่วย คลื่นเสียงและเคร่ืองเสียง
เรอ่ื ง คล่ืนเสียงและเคร่อื งเสียง

6. กระบวนการวดั ผลและประเมินผล
6.1 แบบฝกึ หัด
6.2 แบบทดสอบ
6 .3 การรายงานหนา้ ช้นั เรียน
6.4 ทฤษฎผี า่ นเกณฑ์ไมน่ ้อยกว่ารอ้ ยละ 60 ปฏบิ ัติไม่นอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 80

7.แหล่งการเรียนรู้
7.1 คาอธบิ ายรายวชิ า
7.2 ประสบการณค์ รผู ู้สอน
7.3 เอกสาร ตารา

8. บนั ทกึ หลังการเรยี นรู้
8.1 วัตถปุ ระสงค์( มีผผู้ ่านกค่ี น)
8.2 สาเหตุและปญั หา( ผู้ไมผ่ า่ นก่คี น)
8.3 ขอ้ เสนอแนะและแก้ไข ( การทาวจิ ัยในช้นั เรียน)

แผนการจัดการเรียนรู้ 16
ชื่อวชิ า เครือ่ งเสียง
ชอื่ หนว่ ย อุปกรณ์ในระบบเสยี ง บทที่ 2
สอนสปั ดาห์ท่ี 2
คาบรวม 8

ชอ่ื เรื่อง อปุ กรณใ์ นระบบเสียง จานวนคาบ 4

หวั ขอ้ เรื่อง

1. จนู เนอร์

2. เครื่องเลน่ เทป

3 เคร่ืองเลน่ คอมแพ็กดิสก์

4 .เครือ่ งขยายเสียง

5. กราฟฟิกอีควอไลเซอร์

6. เพาเวอรแ์ อมป์

สาระสาคญั

อปุ กรณ์ต่าง ๆ ในระบบเสียงแบ่งออกเป็นภาคการทางานได้ 3 ภาค ได้แก่ ภาคกาเนดิ สัญญาณเสียง เป็น

ส่วนที่กาเนิดสัญญาณเสียงเพื่อป้อนให้กับเคร่ืองขยายเสียง เช่น จูนเนอร์เครื่องเล่นแผ่นเสียง เครื่องเล่นเทป

เครื่องเล่นซีดี ไมโครโฟน เป็นต้น ภาคแต่งเสียงและขยายเสียง เป็นภาคการทางานที่ทาหน้าท่ีปรับแต่งเสียงให้

ไพเราะเหมาะสมกับการฟัง อุปกรณ์ท่ีใช้เช่น ปรีแอมป์ โทรคอนโทรล อีควอไลเซอร์ เพาเวอร์แอมป์ เป็นต้น และ

ภาคเปล่ยี นสัญญาณไฟฟ้าใหเ้ ป็นสญั ญาณเสยี ง อปุ กรณท์ ่ีใชก้ ค็ ือลาโพง

สมรรถนะอาชีพประจาหนว่ ย

- แสดงความรเู้ กย่ี วกบั อุปกรณ์ในระบบเสยี ง

จุดประสงคก์ ารสอน/การเรยี นรู้

 จดุ ประสงค์ทวั่ ไป / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพียง

1. เพอื่ ให้มคี วามรเู้ กยี่ วกับความหมายของคาวา่ จูนเนอร์ (ดา้ นความร)ู้

2. เพื่อใหม้ ที กั ษะในการแยกแยะลักษณะการทางานของเคร่ืองเลน่ คอมแพ็กดิสก์ (ดา้ นทักษะ)

3. เพ่อื ให้มีเจตคติทดี่ ใี นการช้แี จงชนิดของเพาเวอร์แอมป์ (ด้านจิตพิสัย)

4. เพ่ือสรุป อุปกรณ์ในระบบเสียง ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม (ด้านด้านคุณธรรม จริยธรรม/บูรณา

การเศรษฐกิจพอเพียง)

 จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม / บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง

1. อธิบายความหมายของคาวา่ จูนเนอรไ์ ด้ (ดา้ นความร)ู้ 17
2. บอกลักษณะและหน้าท่ขี องเคร่ืองเลน่ เทปได้ (ดา้ นความร)ู้

3. แยกแยะลกั ษณะการทางานของเคร่ืองเล่นคอมแพ็กดสิ ก์ได้ (ด้านทกั ษะ)

4. จาแนกหนา้ ท่แี ละความสาคญั ของเครื่องขยายเสียงได้ (ดา้ นทกั ษะ)

5. จัดลาดับหนา้ ท่ขี องกราฟฟกิ อคี วอไลเซอร์ได้ (ด้านทกั ษะ)

6. ช้ีแจงชนิดของเพาเวอรแ์ อมปไ์ ด้ (ดา้ นจติ พสิ ยั )
7. สรุป อุปกรณ์ในระบบเสียง ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม (ด้านด้านคุณธรรม จริยธรรม/บูรณาการ

เศรษฐกจิ พอเพียง)

เนือ้ หาสาระการสอน/การเรยี นรู้

• ด้านความรู้(ทฤษฎ)ี

เคร่ืองขยายเสียง (Amplifier) มีรูปแบบการใช้งานท่ีหลากหลายท้ังใช้งานในบ้าน ในรถยนต์ในห้อง

ประชุม โรงภาพยนตร์ หรือระบบเคร่ืองเสียงกลางแจ้ง ซ่ึงแต่ละระบบท่ีกล่าวมานั้นก็จะมีการออกแบบวงจรที่

แตกต่างกันแต่ทุกแบบนั้นจะมสี ิ่งทเี่ หมือนกันคือตอ้ งการขยายสญั ญาณเสยี งใหเ้ กิดความดังตามท่ตี อ้ งการโดยไมใ่ ห้

เกิดสัญญาณรบกวน (Noise) จะต้องตอบสนองความถี่ท่ีหูมนุษย์สามารถรับฟังได้อยู่ที่ความถ่ี 20 Hz ถึง 20 kHz

ได้อย่างดีเย่ียมและต้องมีเปอร์เซ็นต์ความผิดเพ้ียนต่า เพราะฉะน้ัน ระบบเสียงท่ีสมบูรณ์แบบจะประกอบด้วย

สว่ นประกอบที่จะต้องปรุงแต่งสัญญาณเสยี งใหไ้ ดค้ ุณภาพครอบคลุมย่านความถเ่ี สียงและปราศจากความผิดเพ้ียน

ซ่ึงสามารถแบง่ เป็นภาค

การทางานไดด้ ังนี้

1. ภาคกาเนิดเสยี ง ประกอบดว้ ย

1.1 จนู เนอร์

1.2 เครือ่ งเล่นแผน่ เสียง

1.3 เครอื่ งเล่นเทป

1.4 เครอ่ื งเลน่ คอมแพ็กดสิ ก์

1.5 ไมโครโฟน

1.6 เครื่องเล่นวีซดี ีและดีวดี ี

1.7 เครอ่ื งเล่นวดี ิทศั น์

1.8 โทรทัศน์

2. ภาคการปรบั แตง่ เสียงและขยายเสียง ประกอบดว้ ย

2.1 เครอ่ื งขยายปรี-โทน

2.2 กราฟฟกิ อีควอไลเซอร์ 18
2.3 เพาเวอรแ์ อมป์

3. ภาคเปลย่ี นสัญญาณไฟฟา้ เป็นสญั ญาณเสยี งหรอื ลาโพงในการเชอื่ มต่ออปุ กรณ์และภาคการทางานต่าง ๆ ไมว่ ่า

จะเปน็ ภาคกาเนิดเสยี งภาคการปรับแตง่ และขยายเสียง รวมไปถึงภาคเปลี่ยนสัญญาณเสียงเปน็ สัญญาณไฟฟา้ การ

เช่ือมตอ่ แต่ละภาคนั้นจะแสดงให้เห็นในรูปท่ี 2.1 ซง่ึ ในบทนี้จะกลา่ วถงึ จนู เนอร์, เคร่อื งเล่นเทป, เครื่องเล่น

คอมแพ็กดิสก์, เคร่ืองขยายปรี-โทน, กราฟฟกิ อีควอไลเซอร์และเพาเวอรแ์ อมป์

2.1 จนู เนอร์

จูนเนอร์คือเคร่ืองรับวิทยุ AM, FM, FM สเตอริโอมัลติเพล็กซ์ท่ีไม่มีภาคขยายเสียงในตัว ในส่วนของ
เคร่ืองรับวิทยุ AM จะมีย่านความถ่ีที่สามารถรับคลื่นวิทยุได้อยู่ที่ 540 -1600 kHz คล่ืนวิทยุแบบ AM นั้นจะเป็น
การผสมระหว่างสัญญาณเสียงกับคลื่นวิทยุทางด้านความแรงหรือความสูง(Amplitude Modulation) ใน
เคร่ืองรับวิทยุส่วนท่ีรับคลื่นวิทยุระบบ AM เข้ามาเรียก คอนเวอร์เตอร์โดยคอนเวอร์เตอร์น้ันจะเป็นตัวที่เลือกรับ
สัญญาณวิทยุเพียงสถานีเดียวแล้วแปลงสัญญาณที่ได้ให้เป็นความถ่ี IF หรือค่าความถ่ีปานกลาง (Intermediate
Frequency) ของวิทยุ ในระบบ AM นั้นค่าIF จะอย่ทู ี่ 455 kHz จากนน้ั ความถ่ี IF จะถูกขยายแลว้ สง่ ไปเข้าภาคดี
เทคเตอร์เพ่ือแยกสญั ญาณเสียงออกจากคลื่นพาหะแล้วส่งสญั ญาณเสยี งที่ได้ออกท่ีเอาท์พุตจากรูปที่ 2.2 เอาต์พุต
ท่ีได้จะไปอยู่ที่ S1-1 และ S1-2 เสียงท่ีได้จะเป็น Mono และไม่มีการขยาย ส่วนของเครื่องรับวิทยุ FM จะมีย่าน
ความถี่ท่ีสามารถรับคล่ืนวิทยุได้อยู่ที่ 88-108 MHz คล่ืนวิทยุแบบ FM น้ันจะเป็นการผสมระหว่างสัญญาณเสียง
กับคลื่นวิทยุทางด้านความถ่ี (Frequency Modulation) ในเครื่องรับวิทยุส่วนที่รับคล่ืนวิทยุระบบ FM เข้ามา
เรียกว่า ฟร้อนเอนด์ โดยฟร้อนเอนด์นั้นจะเป็นตัวท่ีเลือกรับสัญญาณวิทยุเพียงสถานีเดียวแล้วแปลงสัญญาณที่ได้
ให้เป็นความถ่ี IF หรือค่าความถ่ีปานกลางของวิทยุในระบบ FM นั้นค่า IF จะอย่ทู ่ี 10.7 MHz จากน้ันความถ่ี IF
จะถูกขยายแล้วส่งไปเข้าภาคดีเทคเตอร์เพ่ือแยกสัญญาณเสียงออกจากคลื่นพาหะภาคดีเทคเตอร์ของระบบ FM
จะเป็นแบบเรโซดีเทคเตอร์หรือแบบเฟสล็อคลูปดีเทคเตอร์ (PLL Detector) เมื่อดีเทคสัญญาณแล้วจะส่ง
สัญญาณเสียงที่ได้ออกท่ีเอาต์พุตจากรูปท่ี 2.2 เอาต์พุตที่ได้จะไปอยู่ท่ี S1-1 และ S1-2 เสียงที่ได้จะเป็น Stereo
แยกข้างซ้ายและข้างขวาชัดเจนโดยไม่มีการขยายสัญญาณเสียงเลย จะเห็นได้ว่าท้ังระบบ AM และระบบFM นั้น
จะไม่มีภาคขยายสัญญาณเสียง จูนเนอร์ในปัจจุบันมี 2 แบบคือ แบบหน้าปัดหมุนคลื่นเป็นชนิดเข็มบอกความถี่
ของสถานีการเปลีย่ นสถานีจะต้องใชม้ ือหมนุ ปุ่มหรือลกู บิดเปล่ยี นความถแ่ี ละแบบทสี่ องคือแบบดิจิตอลจะมีตัวเลข
บนหน้าปัดบอกช่องความถ่ีที่รบั ฟังอยู่ แบบนี้จะพิเศษกว่าแบบแรกตรงท่ีการเปล่ียนแปลงทุกอย่างใช้การกดปุ่มไม่
ว่าจะเปลี่ยนช่องสถานหี รอื การเปล่ียนการรับวิทยุ AM หรือ FM และยังสามารถจดจาช่องสถานีได้ 5-10 ช่องหรือ
มากกวา่ น้นั อีกทั้งยงั คน้ หาสถานีแบบอัตโนมัติอีกดว้ ย
2.2 เคร่ืองเลน่ เทป

เคร่ืองเล่นเทปจะมีการทางานสองลกั ษณะคือ ทาหน้าท่เี ป็นเคร่ืองเล่นเทปโดยจะเปลย่ี นสญั ญาณเสยี งที่
ถูกเก็บไว้ในรปู แม่เหล็กถาวรในตลบั เทปออกมาเป็นสัญญาณเสยี งในรปู สัญญาณไฟฟา้ และทาหน้าท่บี ันทึกเทปหรือ
ถ่ายข้อมูลจากเทปม้วนหน่ึงไปยังอีกม้วนหน่ึง โดยการบันทึกน้ันสามารถเลือกแหล่งกาเนิดเสียงต่าง ๆ ที่จะบันทึก
ได้ เช่น จากจูนเนอร์ เคร่ืองเล่นเทปเครื่องอื่นเครื่องเล่นคอมแพ็กดิสก์ เป็นต้น โดยเครื่องบันทึกเทปจะทาการ
เปล่ียนสัญญาณเสียงที่เข้ามาให้อยู่ในรูปของสัญญาณแม่เหล็กถาวร เคร่ืองเล่นเทปท่ีใช้ในปัจจุบันจะมีอยู่ 2 แบบ
คือ แบบเทปคาสเซ็ท (Casette Tape) และแบโอเพ่นรีล (Open Reel Tape) โดยเทปแบบโอเพ่นรีลน้ันจะมี
คณุ ภาพดีกวา่ เทปคาสเซ็ทเพราะการเคลื่อนทข่ี องเทปโอเพ่นรีลจะเคล่ือนทเ่ี ร็วกว่าเทปคาสเซท็ จงึ ทาให้เก็บ 19
สัญญาณเสียงความถ่ีสูงได้ดีกว่าเทปคาสเซ็ท เทปแบบโอเพ่นรีลนั้นนิยมใช้ในการบันทึกและการเล่นในงานที่
ต้องการคุณภาพของเสียงมาก ๆ เช่น ในห้องบันทึกเพลง ห้องทารายการวิทยุ หรือการทารายการแสดงต่าง ๆ ที่
ต้องการคุณภาพเสียงส่วนเทปคาสเซ็ทจะใช้กับงานท่ัวไป ความเร็วในการเคลื่อนท่ียิ่งเร็วย่ิงตอบสนองความถ่ีได้
กวา้ งและคณุ ภาพเสยี งจะดีความเร็วของเทปโอเพ่นรลี จะมีความเร็วอยู่ 3 ระดับคือ 19 ซม./วินาที, 9.5 ซม./วินาที

, 4.8 ซม./วนิ าที สว่ นเทปคาสเซ็ทน้นั จะมคี วามเรว็ เพียงระดับเดยี วคอื 4.8 ซม./วนิ าที

ส่วนประกอบที่สาคัญของเทปมีอยู่ 2 อย่างคือ ส่วนท่ีเป็นฐานท่ีมีไว้รองรับสารเฟอร์โรแมกเนติกจะเป็น

สารจาพวกโพลีเอสเตอร์ (Polyester) มีคุณสมบัติเหนียวและยืดหยุ่นได้ดี ส่วนที่สองจะเป็นเนื้อสารเฟอร์โรแมก

เนติกที่ใช้ฉาบบนเทปผลิตจากวสั ดหุ ลายชนดิ เชน่ มิตัล, โครเมยี มไดอ๊อกไซด์,เฟอร์ริคออกไซด์, เฟอริคโครม ฯลฯ

ชนิดของเนือ้ เทปทีแ่ บง่ ตามมาตรฐานของ IEC (International Electronic Commission)

ชนิด 1 Premium Grade Ferric Oxide (Fe2O3) เทปชนิดพรีเมยี ม เกรดเฟอร์ริคออกไซด์หรือเรียกอีก

อย่างหน่ึงว่าโลว์นอยส์ไฮเอาท์พุต (Low Noise Hi Output) แปลว่ามีเสียงรบกวนต่าสัญญาณที่ออกเอาต์พุตมี

ความแรง เทปน้ีเปน็ เทปทีเ่ หน็ กันท่ัวไป ราคาถูก ตอบสนองต่อความถต่ี ่าแต่ไมต่ อบสนองความถ่สี งู

ชนิด ท่ี 2 Chromium Dioxide (CrO2) เทปชนิดโครเมียมไดออกไซด์เปน็ เทปท่ีตอบสนองได้ดีกับ

ความถ่สี ูงเทปชนิดน้ีสามารถบันทึกสัญญาณเสียงเพลงได้เป็นอย่างดีและสามารถรักษาความเป็นแม่เหล็กไว้ไดด้ ีจึง

มีความทนทานเล่นได้หลายคร้ังโดยคุณภาพเสียงไม่ลดลงมากนัก ข้อเสียของเทปชนิดน้ีคือหัวเทปจะสึกมาก และ

เสยี งแหลมจะออกมากหากเคร่ืองเลน่ ไมม่ ีอคี วอไลเซอร์หรือระบบดอลบไ้ี ม่ควรใช้

ชนิดที่ 3 Ferric Chrome (FeCr) เป็นชนิดเฟอร์ริคโครมเป็นเทปท่ีผสมระหว่างเฟอร์ริคออกไซด์กับ

โครเมียมไดออกไซด์โดยฉาบสองชั้น ชั้นล่างฉาบด้วยเฟอร์ริคออกไซด์ทาให้ตอบสนองความถ่ีเสียงต่าและเสียง

กลาง ช้ันบนฉาบด้วยโครเมียมไดออกไซด์เพ่ือการตอบสนองความถ่ีสูงเทปชนิดนี้จะให้เสียงท่ีนิ่มนวล ชัดเจนมาก

และสัญญาณรบกวนต่า ข้อเสียอยู่ที่ขบวนการในการผลิตยุ่งยาก ราคาแพง ต้องมีวงจรชดเชยให้สารแม่เหล็กเกิด

ประโยชน์มากท่ีสุด ปจั จบุ นั ไม่นิยมใชแ้ ล้ว

ชนิดที่ 4 Metal Particle Tape (Metal) ใช้สารแม่เหล็กที่เป็นผงเหล็กบริสุทธิ์ฉาบบนเทปทาให้รักษา

ความเป็นแม่เหล็กไว้ได้ดีท่ีสุดคือรับสัญญาณได้แรงท่ีสุดมีเพดานของสัญญาณเสียงท่ีสูงที่สุดโดยเฉพาะความถ่ีสูง

สามารถเก็บรายละเอียดของสัญญาณเสียงได้ดีที่สุดในบรรดาเทปท่ีกล่าวมาใช้ได้ดีกับสัญญาณที่มีความช่วงกว้าง

ความดัง (Dynamic Range) มาก เช่น สัญญาณจากแผ่นเสียงที่มีทั้งเสียงดังมากและเสียงค่อยมาก ๆ เสียงจาก

เคร่ืองเล่นคอมแพ็กดิสก์หรือเลเซอร์ดิสก์ไม่นิยมใช้กับการบันทึกเสียงท่ีมีช่วงความดังแคบๆเสียงรบกวนมาก ๆ
20
สญั ญาณที่ไม่มคี วามถีส่ ูงเชน่ สญั ญาณจากวทิ ยหุ รอื โทรทศั น์และเครอ่ื งเล่นเทปทีไ่ ม่มคี ุณภาพ

เคร่ืองเล่นเทปทั่วไปการบันทึกเสียงลงในตลับจะบันทึกเป็นสัญญาณอนาล็อก (Analog Recording) จะ

ให้สัญญาณเสียงท่ีคุณภาพไม่ดีเท่าท่ีควรและมีสัญญาณรบกวนแทรก เข้ามามากมาย ปัจจุบันจึงมีเครื่อง

บันทึกเสียงในระบบดิจิตอล (Digital Recording) เรียกว่า แดต(DAT) ย่อมาจากคาว่าดิจิตอลออดิโอเทป (Digital

Audio Tape) โดยการบันทึกและเล่นเป็นระบบดิจิตอลทาให้สัญญาณเสียงที่ออกมามีคุณภาพมีความสมบูรณ์ข้ึน

ลดความผิดเพ้ียนลงได้มาก ลดสัญญาณเสียงรบกวนและตอบสนองความถ่ีเสียงได้ดีครอบคลุมย่านความถ่ีเสียง

ท้ังหมดนิยมนาไปบันทึกเสียงต้นฉบับเพื่อนาไปบันทึกเสียงลงในแผ่นคอมแพ็กดิสก์ ในตลับเทปคาสเซ็ทน้ันจะมี

ความยาวในการเลน่ ท่ีไม่เท่ากันโดยท่ีตลับเทปจะมีสัญลกั ษณ์บอกเช่น C60 (A60), C90 (A90), C120(A120) โดย

ความหมายน้ันให้สังเกตท่ีตัวเลขถ้าเป็น C60 แสดงว่าเทปม้วนนี้มีเวลาในการบันทึกหรือเล่นได้ 60 นาทีหรือ 30

นาทตี ่อ 1 หนา้ และ C120 แสดงวา่ เทปมว้ นนีม้ ีเวลาในการบันทกึ หรือเล่นได้ 120 นาทหี รือ 60 นาทีตอ่ 1 หนา้

2.3 เครือ่ งเล่นคอมแพก็ ดิสก์

เคร่ืองเล่นคอมแพ็กดิสก์ (Compack Disc Player) หรือเคร่ืองเล่นซีดี (CD Player) เครื่องเล่นคอมแพ็กดิสก์ถูก

สร้างขึ้นมาเนื่องจากข้อด้อยของการบันทึกเสียงลงแผ่นเสียงแบบอนาล็อกน้ันมีขีดจากัดในการบันทึกด้วยการกัด

รอ่ งแผ่นเสยี งตามสญั ญาณ ร่องของแผน่ เสียงนั้นเปน็ รอ่ งท่ีแคบหากเกิดมีฝุน่ ลงไปอุดตนั รอ่ งเสียงหรอื รอ่ งแผน่ เสียง

ลึกเกินไปจะทาให้คุณภาพของเสียงลดลง ส่วนการบันทึกเสียงลงแผ่นเสียงนั้นจะแปลงสัญญาณเสียงท่ีเป็น

อนาล็อกให้เปน็ สัญญาณดิจติ อล กลา่ วคือสญั ญาณจะถูกจดั ให้อย่ใู นรปู รหัสเลขฐานสองคือ “0” และ “1” จากน้ัน

จะทาการบันทึกลงแผ่นคอมแพ็กดสิ ก์ในลักษณะหลุมเล็ก ๆ การบันทึกสัญญาณเสียงในรปู สัญญาณดิจิตอลนท้ี าให้

การผิดเพ้ียนของสัญญาณลดลงขั้นตอนการบันทึกแสดงอยู่ในรูปที่ 2.4 เม่ือบันทึกเสร็จแล้วน้ันขั้นตอนต่อไปคือ

การเล่นแผ่นเสยี งการเลน่ ของแผน่ คอมแพ็กดิสก์น้ันจะอาศยั แสงเลเซอร์จากหัวอา่ นแผน่

คอมแพก็ ดิสกส์ ัมผัสรอ่ งรหสั ดิจิตอลบนแผ่นวีซดี แี ล้วสะทอ้ นกลับมาท่ีโฟโต้ไดโอด (Photo Diode)

จากนั้นตัวเคร่ืองจะรับสัญญาณแสงสะท้อนกลับนาไปแปลงเป็นสัญญาณเสียงโดยไม่มีการสัมผัสหลุมเล็ก ๆ

บนแผ่นคอมแพ็กดิสก์เลยทาให้ที่แผ่นคอมแพ็กดิสก์น้ันไม่เกิดรอยขีดข่วนเลย หากบนแผ่นคอมแพ็กดิสก์ไม่มีรอย

ขีดข่วนที่ลึกเกินไปหรือแผ่นไม่สกปรกจนเกินไปก็จะไม่มีผลต่อการเล่นของคอมแพ็กดิสก์เลย ขนาดของแผ่นคอม

แพ็กดิสก์น้ันมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเพียงแค่ 12 ซม.เวลาในการเล่นคอมแพ็กดิสก์น้ันใช้เวลาประมาณ 1 ช่ัวโมง

จึงท ำให้แผ่นคอมแพ็กดิสก์มาแทนที่แผ่นเสียงลองเพลย์ ตารางท่ี 2.1 จะเป็นการเปรียบเทียบระหว่างแผ่นคอม

แพก็ ดิสก์และแผ่นเสยี งลองเพลย์

ในปัจจุบันเคร่ืองเล่นคอมแพ็กดิสก์ได้ถูกพัฒนาข้ึนให้สามารถเล่นได้หลายระบบ เช่นเครื่องเล่นวีซีดี

(Video Compact Disc Player) และดีวีดี (Digital Video Disc Player) ทั้งสองระบบเป็นแผ่นคอมแพ็กดิสก์ท่ี

สามารถเล่นไดท้ ง้ั สญั ญาณภาพและสัญญาณเสียง

2.4 เคร่ืองขยายเสยี ง

เครื่องขยายเสียงเป็นอุปกรณ์ช่วยเพ่ิมขยายเสียงให้มีระดับความดังเสียงมากข้ึนพร้อมกับเพ่ิมคุณภาพ

ของเสียงให้ตอบสนองความต้องการของผู้ฟัง โดยเสียงท่ีทาการขยายจะต้องมีความชัดเจนและไพเราะไม่มีความ

ผิดเพย้ี น ครอบคลมุ ยา่ นความถ่ีเสียง สามารถปรับแต่งเสียงได้ตามต้องการ สญั ญาณเสยี งที่ถกู ขยายออกมาจากแต่

ละอินพตุ ท่ปี อ้ นเขา้ ไปตอ้ งถูกขยายให้มีระดับความดังใกล้เคยี งกัน ส่วนประกอบของเครื่องขยายเสยี งมดี งั น้ี

2.4.1 วงจรอินพุต มักจะเป็นขั้วต่อ RCA ซ็อกเก็ต (ตัวเมีย) โดยแยกแต่ละอินพุตเฉพาะไม่ใช้ร่วมกัน ชื่ออินพุต

หน้าทีแ่ ละความเหมาะสมในการตอ่ ใช้งานพอสรุปได้ดังน้ี

2.4.1.1 ช่องวิดโี อ (Video) ไวต้ อ่ กับเครอ่ื งเล่นวดิ โี อเพื่อเพ่มิ ความดังของสญั ญาณเสียงใหม้ ากข้นึ

2.4.1.2 ชอ่ งคอมแพ็กดิสก์ (Compacdisc) ไวต้ ่อกบั เครอ่ื งเล่นคอมแพ็กดสิ ก์(CD)

2.4.1.3 ช่องจูนเนอร์ (Tuner) ไว้ตอ่ กับเครื่องรับวทิ ยุ AM, FM, FM สเตอริโอมัลติเพล็กท่ีไมม่ ีภาคขยาย 21

2.4.1.4 ชอ่ งเทป (Tape) ไวต้ อ่ กับเครือ่ งเล่นเทปไมว่ า่ จะเปน็ เทปคาสเซ็ทหรือเทปโอเพนรีล

2.4.1.5 ช่องโฟโน (Phono) เป็นช่องต่ออินพุตที่ไม่เจาะจงใช้ต่อสาหรับอินพุตท่ีมีระดับสัญญาณต่า ๆ จาก

ไมโครโฟนหรือเคร่อื งเล่นแผน่ เสียง

2.4.1.6 ชอ่ งออ๊ ก (Aux) หรือเรียกอีกชอ่ื หนง่ึ วา่ อ๊อกซิลาล่ี (Auxilary) เป็นช่องตอ่ อินพุตที่ไมเ่ จาะจงใช้เช่นเดียวกัน

ต่อส ำหรับอนิ พตุ ท่ีมรี ะดบั สัญญาณที่มคี วามแรงอยแู่ ล้วและต้องการขยายสัญญาณเพิ่มอีกไม่มากนัก เช่น เครอ่ื ง

ขยายเครอื่ งอน่ื , เทปหรอื วิทยุท่ีมภี าคการขยายในตวั

ขั้วต่อต่าง ๆ ที่กล่าวมาท้ังหมดน้ันต่อมาที่สวิตช์เลือก (Selecter) เพื่อเลือกอินพุตที่ต้องการส่งต่อไป

เข้าวงจรปรแี อมปส์ วิทชเ์ ลอื กนี้จะอยูท่ ่ีหนา้ ปัดของเคร่ืองขยายเสียงปรี-โทน

2.4.2 วงจรปรีแอมป์ รับสัญญาณต่อจากวงจรอินพุตโดยผ่านสวิตช์เลือกโดยเลือกเพียงอินพุตเดียวแล้วท ำการ

ขยายโดยไม่ให้เกิดความผิดเพี้ยนคุณสมบัติของวงจรปรีแอมป์คือสัญญาณที่ถูกขยายด้วยวงจรปรีแอ มป์ระดับ

สัญญาณท่ีออกจากวงจรปรแี อมป์จะมีระดับความแรงใกลเ้ คยี งกันและไม่มคี วามผดิ เพ้ียน ดังนั้นที่อินพตุ ทุกช่องไม่

ว่าระดับความแรงของสัญญาณจะมีระดับความแรงท่ีต่างกันหากสัญญาณที่เข้ามามีความแรงน้อยก็จะขยาย

สัญญาณให้มคี วามแรงของสัญญาณมากขึน้ หากอนิ พุตใดมีระดบั สญั ญาณแรงกจ็ ะถูกขยายดว้ ยอัตราการขยายท่ี

ตา่ ซึ่งอัตราการขยายของปรีแอมป์จะแตกต่างกันข้ึนอยู่กับแต่ละอินพุตและการออกแบบปรีแอมป์เม่ือสัญญาณถูก

ขยายด้วยปรแี อมปแ์ ล้วจากนนั้ จะถูกส่งต่อให้วงจรโวลลุ่ม ลาวด์เนสและบาลานซ์ตอ่ ไป

2.4.3 วงจรโวลลุ่ม ลาวดเ์ นสและบาลานซ์ ในเคร่ืองขยายเสียงปรีโทนแบบสเตอริโอหน้าทข่ี องส่วนตา่ ง ๆ ในวงจร

มีดงั น้ี

2.4.3.1 วงจรโวลลุ่ม เปน็ วงจรเร่งหรอื ลดความแรงของสัญญาณทีส่ ง่ มาจากวงจรโทนคอนโทรล

2.4.3.2 วงจรลาวด์เนส เป็นวงจรช่วยยกระดับสัญญาณเสียงทุ้มและเสียงแหลมให้ดังออกเอาต์พุตแรงมากขึ้นใน

ขณะท่ีเราปรับปุ่มโวลลมุ่ ระดับต่าๆ เสียงทุ้มและเสียงแหลมที่ออกมาก็จะน้อยทาให้ขาดความไพเราะปุ่มลาวด์เนส

จะช่วยยกระดับสัญญาณเสียงทุ้มและเสียงแหลมให้มากข้ึนโดยปุ่มลาวด์เนสมักจะอยู่ที่หน้าปัดของเคร่ืองขยาย

เสียง

2.4.3.3 วงจรบาลานซ์ วงจรบาลานซ์เป็นวงจรท่ีเข้ามาช่วยในการปรับความสมดุลย์ของความดังเสียงที่จะออก

เอาตพ์ ุตใหส้ มดุลกนั หรือใหด้ งั ออกลาโพงมคี วามแรงเทา่ กันทงั้ สองขา้ งทงั้ ด้านซ้าย (L) แลว้ ด้านขวา (R)

2.4.4 วงจรโทนคอนโทรล (Tone Control) เป็นวงจรท่ีรับสัญญาณมาจากวงจรวงจรโวลลุ่ม ลาวด์เนสและบา

ลานซ์วงจรโทนคอนโทรลจะทาหน้าท่ีเพ่ิมหรือลดความดังของความถี่เสียงต่า (เสียงทุ้ม) ความถ่ีเสียงสูง (เสียง

แหลม) และความถ่ีเสยี งกลางในระดับต่าง ๆ ตามความตอ้ งการของผ้ใู ชง้ านปุ่มปรบั มักจะมี 3 ปมุ่ ดงั นี้

2.4.4.1 ป่มุ ปรับเสยี งทมุ้ หรือเบส (BASS) ทาหน้าทเี่ พ่ิมหรือลดความแรงของสญั ญาณเสียงความถ่ตี า่ (เสยี งทุ้ม) ให้

สง่ ออกเอาตพ์ ุตมากหรือนอ้ ย

2.4.4.2 ปุ่มปรับเสียงกลางหรือมิด (MID) ทาหน้าที่เพิ่มหรือลดความแรงของสัญญาณเสียงความถี่กลางให้ส่งออก

เอาตพ์ ตุ มากหรือนอ้ ย

2.4.4.1 ปุ่มปรับเสียงแหลมหรือทริบเบ้ิล (TREBLE) ทาหน้าท่ีเพ่ิมหรือลดความแรงของสัญญาณเสียงความถี่สูง

(เสยี งแหลม) ใหส้ ง่ ออกเอาต์พตุ มากหรอื นอ้ ย 22
2.5 กราฟฟกิ อคี วอไลเซอร์

กราฟฟิกอีควอไลเซอร์ (Graphic Equalizer) เป็นส่วนช่วยปรับแต่งความถี่เสียงเสียงมีหน้าคล้ายส่วน

ของโทนคอนโทรลแตกต่างกันตรงทีโทนคอนโทรลนั้นจะเป็น การปรับย่านความถี่เสียงทุ้มเสียงกลางและเสี ยง

แหลมแบบไม่ละเอยี ด แต่ในกราฟฟิกอีควอไลเซอร์จะมีรายละเอยี ดในการปรบั แตง่ ความถเ่ี สียงท่ีมากกว่าด้วยการ

แบ่งซอยย่านความถ่ีเสียงที่ต้องการปรับออกเป็นช่วงเท่า ๆ กัน อย่างน้อย 5 ย่านถึง 21 ย่านในการแบ่งความถ่ี

เสียงท่ีจะปรับจะต้องแบ่งจากความถ่ีต่า ไปหาความถ่ีสูงโดยเรียงตามลาดับโดยการเพ่ิมจานวนความถ่ีน้ันจะ

เพม่ิ ข้ึนทีละ 0.5 เทา่ , 1 เทา่ , 2 เท่า, 3 เทา่ หรือ 4 เท่า เป็นตน้ ตามจานวนยา่ นความถเ่ี สยี งท่ีต้องการ การปรับแต่ง

ในแต่ละช่วงความถี่ถูกเรียกว่า ออฟเตฟ (Octave) เช่นความถี่ต่าสุดที่ 100 Hz ความถ่ีแต่ละช่วงเพ่ิมข้ึน 4 เท่า

ดงั นนั้ ย่านความถ่ีถัดไปจะเป็นดงั น้ี 400 Hz

ก าร ป รับ แ ต่ งเพิ่ ม ห รื อ ล ด ค ว า ม ถี่ เสี ย งแ ต่ ล ะ ย่ าน ป รั บ ด้ ว ย ตั ว ต้ าน ท าน ป รับ ค่ าได้

(Potentionmeter)หรือพ็อต (Pot) แบบสไลด์เล่ือนข้ึนลง ซึ่งอาจปรับเพิ่มหรือลดความดังของความถี่เสียงแต่ละ

ย่านได้ถึง ± 10dB หรือมากกว่า การปรับเพิ่มความดังของความถ่ีเสียงให้มากกว่าปกติเรียกว่าการบูสต์ (Boost)

ส่วนการปรับลดความดังของความถี่เสียงให้น้อยกว่าปกติ เรียกว่าการคัต (Cut)ในการปรับปุ่มพ็อตสไลด์ของ

กราฟฟิกอีควอไลเซอร์ท่ีด้านหน้าเครื่องท่ีเรียงลาดับกันขึ้น ๆ ลง เหมือนรูปกราฟ จึงเรียกอุปกรณ์น้ีว่า กราฟฟิก

อีควอไลเซอร์

2.6 เพาเวอร์แอมป์

เพาเวอร์แอมป์ (Power Amp) หรือจะเรียกเต็มก็ได้ว่าเพาเวอร์แอมปลิไฟเออร์ (Power Amplifier) คือ

ภาคขยายกาลังภาคสุดท้ายก่อนที่จะส่งสัญญาณเสียงไปท่ีลาโพง หน้าท่ีของเพาเวอร์แอมป์จะทาหน้าท่ีขยาย

สัญญาณเสียงให้มีกาลังแรงมากขึ้นท่ีละขั้นไปจนถึงระดับเสียงที่ดังที่สุดโดยไม่ให้เสียงท่ีทาการขยายเกิดความ

ผิดเพ้ียนหากเกิดความผิดเพ้ียนก็จะต้องให้ความผิดเพ้ียนน้ันอยู่ระหว่าง 0.5 - 0.003% การแบ่งประเภทของ

เครื่องขยายเสียงน้ันจะแบ่งตามอุปกรณ์ท่ีทาหน้าที่ขยายเสียงแบ่งออกเป็น 4 ชนดิ คือ ชนดิ ใช้ทรานซิสเตอร์, ชนิด

ใช้มอสเฟต, ชนดิ ใชว้ งจรรวมและชนดิ ใช้หลอดสญุ ญากาศ

2.6.1 ชนิดใช้ทรานซิสเตอร์ เป็นเคร่ืองขยายท่ีนิยมใช้งานกันมาก เพราะทรานซิสเตอร์กาลัง (Power Transister)

ท่ีผลิตข้ึนมาในปัจจุบันมีมากมายหลายเบอร์ทาให้การออกแบบวงจร ขยายกาลังด้วยทรานซิสเตอร์เป็นไปอย่าง

กว้างขวาง สามารถกาหนดอัตราการขยายได้ตามต้องการ มีความผิดเพี้ยนต่า ปัญหาการซ่อมแซมไม่ยุ่งยาก

อะไหล่หาได้งา่ ย คณุ ภาพของเสียงดี ขอ้ ดขี องเคร่ืองขยายกาลังโดยใช้ทรานซิสเตอร์คือ จัดคลาสการขยายได้กว้าง

เพม่ิ กาลงั การขยายได้ง่ายราคาของตวั เคร่อื งถูกและหาซื้อได้ง่าย

2.6.2 ชนิดมอสเฟต เปน็ เคร่อื งขยายอีกชนิดหน่ึงที่ถกู พัฒนาข้นึ มาใชง้ าน ด้วยคุณสมบตั ิที่ดีกว่าทรานซสิ เตอร์ เช่น

ค่าความต้านทานทางด้านอินพุตสูงมากทาให้สัญญาณรบกวนมีผลต่อการขยายน้อยลง ต่อขยายสัญญาณแบบ

หลายภาคได้ดีกว่าทรานซิสเตอร์ อัตราการขยายสูงสัญญาณรบกวนต่า อีกท้ังเร่ืองของอุณหภูมิมีผลน้อยต่อการ

ขยายของเฟต เพียงแต่ว่ามอสเฟตกาลัง(Power Mosfet) มีเบอร์ที่ถูกผลิตข้ึนมาใช้งานไม่มากนักเท่า

ทรานซิสเตอร์กาลังแต่ด้วยคุณสมบัติที่ดีกว่าของทรานซิสเตอร์กาลังทาให้เครื่องขยายกาลังแบบมอสเฟตเป็น ท่ี

นิยมโดยพัฒนาไปใช้ในระบบเคร่อื งขยายกาลงั เสียงในรถยนต์ 23

2.6.3 ชนิดใช้วงจรรวมหรอื IC เป็นเคร่อื งขยายกาลังอีกชนิดหนึ่งท่ีถูกพัฒนาขึ้นโดยการนาเอาทรานซิสเตอร์กาลัง

หรอื มอสเฟตกาลังมาสร้างรวมกันไวใ้ นวงจรรวม (IC) จึงเรียกเคร่อื งขยายชนิดน้ีวา่ เครือ่ งขยายกาลงั IC (IC Power

Amplifier) ขอ้ ดีของเครื่องขยายกาลงั IC อย่ทู ี่ใช้อุปกรณ์ในการต่อขยายกา ลงั นอ้ ย ซอ่ มแซมง่าย คณุภาพเสยี ง

ทีข่ ยายออกมาดีข้ึนลดความผิดเพ้ียนของสัญญาณให้ต่าลง ข้อเสียของเครื่องขยายกาลัง IC อยู่ตรงที่หาก IC ท่ีใช้

ขยายกาลังชารุดเราต้องนาเบอร์เดิมมาเปล่ียนไม่สามารถหาเบอร์อ่ืนมาเปล่ียนแทนกันได้ทาให้หาอะไหล่ยากและ

การสรา้ งเคร่อื งขยายกาลงั IC ใหม้ ีกาลงั ขยายเสียงสงู ๆ ทาได้ยาก
2.6.4 ชนิดใช้หลอดสุญญากาศ เป็นเครื่องเสียงที่มีใช้งานรุน่ แรกก่อนท่ีจะมีทรานซิสเตอร์เมื่อทรานซิสเตอร์เข้ามา
แทนที่หลอดสุญญากาศ เนื่องจากทรานซิสเตอร์มีขนาดที่เล็กกว่าทางานได้รวดเร็วกว่าและไม่ต้องใช้แรงดันไฟสูง
จึงทาให้ในช่วงหน่ึงเคร่ืองขยายกาลังชนิดใช้หลอดสุญญากาศก็ได้หายไป แต่ในปัจจุบันเคร่ืองขยายเสียงชนิดใช้
หลอดสุญญากาศได้กลับมารับนิยมอกี คร้ังเพราะคณุ สมบตั ทิ ีด่ หี ลายประการจงึ มกี ารกลบั มาพฒั นาเครอื ่ งข
ยายชนดิ ใชห้ ลอดสญุ ญากาศนีอ้ กี เครือ่ งขยายชนิดใช้หลอดสุญญากาศน่ีเป็นเคร่ืองขยายคุณภาพดีมากชนิด
หนงึ่ มคี วามทนทาน อตั ราการขยายกาลังสูงๆ ไดด้ กี ารดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก ซ่อมแซมแก้ไขงา่ ย และด้วยเทคโนโลยี
ท่ีทนั สมยั ชว่ ยให้เคร่อื งขยายกาลงั ชนิดน้ีมีคณุ ภาพและประสิทธภิ าพของเสียงท่ขี ยายออกมาดมี าก

• ดา้ นทักษะ(ปฏิบัต)ิ

1. แบบประเมนิ หลงั การเรยี นบทท่ี 2
2. ใบงานท่ี 2

• ด้านคุณธรรม/จรยิ ธรรม/จรรยาบรรณ/บรู ณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง

(จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมขอ้ ท่ี 7)

1. สรุป อปุ กรณ์ในระบบเสยี ง ไดอ้ ย่างถูกต้องและเหมาะสม

กิจกรรมการเรยี นการสอนหรือการเรยี นรู้

ข้ันตอนการสอนหรอื กิจกรรมของครู ข้นั ตอนการเรยี นรหู้ รือกิจกรรมของนกั เรียน

1. ข้นั นาเขา้ สบู่ ทเรียน ( 15 นาที ) 1. ขั้นนาเข้าสบู่ ทเรยี น ( 15 นาที )

1. ผูส้ อนแจ้งจุดประสงค์การเรียนของหน่วยท่ี 2 1. ผู้เรียนทาความเข้าใจเก่ียวกับจุดประสงค์การ

เรอื่ ง อุปกรณใ์ นระบบเสียง เรียนของหน่วยเรยี นท่ี 2 เรอื่ ง อุปกรณใ์ นระบบเสยี ง

2. ผู้สอนให้ผู้เรียนอธิบายความหมายของจูน 2. ผ้เู รยี นอธบิ ายความหมายของจนู เนอร์ พรอ้ มให้

เนอร์พร้อมให้เหตผุ ลประกอบ เหตุผลประกอบ

2. ขั้นใหค้ วามรู้ ( 120 นาที ) 2. ขั้นใหค้ วามรู้ ( 120 นาที )

1. ผู้สอนให้ผู้เรียนศึกษาเอกสารประกอบการ 1. ผู้เรียนศึกษาเอกสารประกอบการสอน วิชา

สอน วิชา เคร่ืองเสียง หน่วยที่ 2 เร่ือง อุปกรณ์ใน วงจรไฟฟ้ากระแสสลับ หน่วยท่ี 2 เรื่อง อุปกรณ์ใน

ระบบเสียง หน้าที่ 23-36 ระบบเสียง หนา้ ท่ี 23-36 พรอ้ มทาความเขา้ ใจ

2. ผู้สอนเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนถามปัญหา และ 2. ผเู้ รียนถามปัญหา และข้อสงสัยจากเน้อื หา โดย

ข้อสงสัยจากเน้อื หา ครเู ป็นสงั เกต

3. ขนั้ ประยุกต์ใช้ (60 นาที ) 3. ข้นั ประยุกตใ์ ช้( 60 นาที )

1. ผ้สู อนให้ผู้เรียนทาแบบประเมินหลังการเรียน 1. ผู้เรยี นทาแบบประเมนิ หลงั การเรียนบทที่ 2

บทท่ี 2 2. ผูเ้ รยี นทาใบงานท่ี 2 หนา้ 229-233

2. ผู้สอนให้ผู้เรียนทาใบงานท่ี 2 หน้าที่ 229- 3. ผเู้ รยี นสบื ค้นขอ้ มลู จากอินเทอรเ์ น็ต

233

3. ผ้สู อนใหผ้ ู้เรียนสบื ค้นขอ้ มูลจากอนิ เทอร์เนต็

25

กิจกรรมการเรยี นการสอนหรือการเรียนรู้

ขัน้ ตอนการสอนหรอื กิจกรรมของครู ขั้นตอนการเรียนร้หู รอื กิจกรรมของนักเรยี น

4. ข้ันสรุปและประเมนิ ผล ( 45 นาที ) 4. ข้นั สรุปและประเมนิ ผล( 45 นาที )

1. ผู้สอนและผู้เรียนรว่ มกันสรุปเน้อื หาท่ีได้เรียนให้ 1. ผูส้ อนและผู้เรยี นร่วมกันสรปุ เนือ้ หาท่ไี ด้เรยี นให้

มคี วามเข้าใจในทศิ ทางเดียวกัน มคี วามเขา้ ใจในทิศทางเดยี วกัน

2. ผู้สอนให้ผู้เรียนศึกษาเพิ่มเติมนอกห้องเรียน 2. ผูเ้ รยี นศึกษาเพ่ิมเติมนอกหอ้ งเรียน ด้วยเอกสาร

ด้วยเอกสารประกอบการสอนทจี่ ดั ทาข้นึ ประกอบการสอนทีจ่ ดั ทาข้ึน

(บรรลุจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมขอ้ ท่ี 1-7) (บรรลุจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมขอ้ ท่ี 1-7)

(รวม 240 นาที หรอื 4 คาบเรียน)

งานทีม่ อบหมายหรือกจิ กรรมการวัดผลและประเมินผล

ก่อนเรยี น

1. จดั เตรยี มเอกสาร สื่อการเรียนการสอนบทที่2

2. ทาความเข้าใจเก่ียวกบั จุดประสงคก์ ารเรยี นของบทท่ี 2 และใหค้ วามร่วมมอื ในการทากจิ กรรมใน บท
ท่ี 2

ขณะเรียน

1. ทาแบบประเมนิ หลังการเรยี นบทที่ 2
2. ร่วมกันสรุป “อุปกรณ์ในระบบเสียง”

หลังเรียน

1. ทาใบงานที่ 2

ผลงาน/ช้นิ งาน/ความสาเร็จของผู้เรียน

แบบประเมนิ หลงั การเรยี นบทท่ี 2
ใบงานท่ี 2

ส่อื การเรยี นการสอน/การเรยี นรู้

ส่อื สง่ิ พมิ พ์
1. เอกสารประกอบการสอนวชิ า เคร่ืองเสียง(ใช้ประกอบการเรียนการสอนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อท่ี
1-7)
2. แบบประเมินหลงั การเรยี นบทที่ 2 ขน้ั ประยุกต์ใช้ ขอ้ 1

สอ่ื โสตทศั น์ (ถา้ มี)
1. เคร่ืองไมโครคอมพวิ เตอร์
2. PowerPoint เร่อื ง อุปกรณ์ในระบบเสียง

ส่อื ของจริง
1. อปุ กรณใ์ นระบบเสยี ง (ใช้ประกอบการเรยี นการสอนจดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรมข้อท่ี 1-7)

27

แหล่งการเรียนรู้

ในสถานศึกษา 28
1. หอ้ งสมุดวิทยาลยั เทคนิคสมุทรสาคร
2. หอ้ งปฏิบตั กิ ารคอมพิวเตอร์ ศกึ ษาหาข้อมลู ทางอนิ เทอร์เน็ต

นอกสถานศกึ ษา
ผู้ประกอบการ สถานประกอบการ ในทอ้ งถิ่นจงั หวัดสมุทรสาคร

การบูรณาการ/ความสมั พนั ธ์กบั วิชาอื่น

1. บรู ณาการกบั วชิ าวงจรไฟฟ้ากระแสตรง
2. บูรณาการกบั วิชาไฟฟา้ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
3. บรู ณาการกบั วชิ าไฟฟ้าเบื้องต้น

การประเมนิ ผลการเรียนรู้
 หลักการประเมินผลการเรยี นรู้

กอ่ นเรยี น
1. ความรู้ความเข้าใจกอ่ นการเรียนการสอน

ขณะเรียน
1. ตรวจแบบประเมนิ หลงั การเรียนรบู้ ทที่ 2
2. สังเกตการทางาน

หลังเรยี น
1. ตรวจใบงานที่ 2

ผลงาน/ชิ้นงาน/ผลสาเรจ็ ของผเู้ รียน

ตรวจแบบประเมินหลังการเรียนบทท่ี 2

สมรรถนะทีพ่ งึ ประสงค์

ผ้เู รยี นสร้างความเข้าใจเกีย่ วกบั อุปกรณ์ในระบบเสยี ง
1. วิเคราะหแ์ ละตคี วามหมาย
2. ต้ังคาถาม
3. อภิปรายแสดงความคดิ เหน็ ระดมสมอง
4. การประยุกต์ความรู้สงู่ านอาชีพ

สมรรถนะการปฏิบตั ิงานอาชพี

1. ดาเนินเกย่ี วกบั อปุ กรณใ์ นระบบเสยี ง

สมรรถนะการขยายผล

ความสอดคล้อง
จากการเรียน เรือ่ ง อปุ กรณใ์ นระบบเสียง ทาให้ผเู้ รยี นมีความรูเ้ กย่ี วกบั จนู เนอร์ เครอื่ งเลน่ เทป

เคร่อื งเล่นคอมแพ็กดสิ ก์ เคร่ืองขยายเสยี ง กราฟฟกิ อีควอไลเซอร์ เพาเวอร์แอมป์

29

รายละเอยี ดการประเมนิ ผลการเรยี นรู้

 จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม ข้อท่ี 1 อธิบายความหมายของคาวา่ จนู เนอรไ์ ด้

1. วิธกี ารประเมิน : ทดสอบ

2. เครือ่ งมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑ์การให้คะแนน : อธิบายความหมายของคาว่าจนู เนอรไ์ ด้ จะได้ 1 คะแนน

 จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ข้อท่ี 2 บอกลกั ษณะและหนา้ ทข่ี องเครื่องเล่นเทปได้

1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ

2. เครอื่ งมอื : แบบทดสอบ

3. เกณฑ์การให้คะแนน : บอกลกั ษณะและหน้าทข่ี องเครือ่ งเล่นเทปได้ จะได้ 2 คะแนน

 จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ข้อท่ี 3 แยกแยะลกั ษณะการทางานของเคร่ืองเล่นคอมแพ็กดสิ ก์ได้

1. วิธีการประเมนิ : ทดสอบ

2. เครือ่ งมอื : แบบทดสอบ

3. เกณฑ์การให้คะแนน : แยกแยะลักษณะการทางานของเคร่ืองเลน่ คอมแพ็กดสิ กไ์ ด้ จะได้ 1

คะแนน

 จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม ข้อที่ 4 จาแนกหน้าทแี่ ละความสาคัญของเคร่ืองขยายเสยี งได้

1. วิธีการประเมนิ : ทดสอบ

2. เครอ่ื งมอื : แบบทดสอบ

3. เกณฑ์การใหค้ ะแนน : จาแนกหนา้ ที่และความสาคญั ของเคร่ืองขยายเสยี งได้ จะได้ 1

คะแนน

 จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม ขอ้ ท่ี 5 จัดลาดับหน้าที่ของกราฟฟิกอีควอไลเซอร์ได้

1. วธิ ีการประเมิน : ตรวจผลงาน

2. เครอื่ งมอื : แบบประเมินกระบวนการทางานกลมุ่

3. เกณฑ์การให้คะแนน : จดั ลาดบั หนา้ ทข่ี องกราฟฟิกอีควอไลเซอร์ได้ จะได้ 2 คะแนน

30

 จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม ข้อที่ 6 ชีแ้ จงชนดิ ของเพาเวอร์แอมป์ได้

1. วธิ ีการประเมนิ : ทดสอบ

2. เครอ่ื งมอื : แบบทดสอบ

3. เกณฑ์การให้คะแนน : ช้ีแจงชนิดของเพาเวอร์แอมป์ได้ จะได้ 2 คะแนน

 จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม ข้อท่ี 7 สรปุ อปุ กรณ์ในระบบเสียง ไดอ้ ยา่ งถูกต้องและเหมาะสม

1. วิธีการประเมิน : ทดสอบ

2. เครื่องมอื : แบบทดสอบ

3. เกณฑ์การให้คะแนน : สรุป อปุ กรณ์ในระบบเสียง ไดอ้ ย่างถกู ต้องและเหมาะสม จะได้ 2

คะแนน

31

แบบประเมินหลงั การเรียนบทท่ี 2

ตอนท่ี 1 จงเตมิ คาในชอ่ งว่างให้ถูกต้อง
1. ภาคปรบั แต่งสัญญาณเสยี งและขยายเสียงประกอบไปดว้ ย...................................................

2. ....................................................คอื เครอ่ื งรบั วิทยุ AM, FM, FM สเตอริโอมัลตเิ พลก็ ซ์
3. ความถี่ IF ของ FM คือ.............................และความถ่ี IF ของ AM คือ..................................
4. เทปคอื วสั ดุทฉี่ าบดว้ ยสาร......................................................... บนฐานทเี่ ปน็ พลาสติก
5. ................................................เปน็ อุปกรณท์ รี่ ับแสงเลเซอรท์ ่สี ะท้อนจากแผน่ CD กลบั มายงั
เคร่อื งเลน่ CD
6. วงจรขยายเสยี งปรี-โทนประกอบไปด้วยส่วนประกอบ...............สว่ นคือ.................................
...............................................................................................................................................
7. วงจรบาลานซเ์ ป็นวงจรทช่ี ่วย................................................................ใหม้ ีความสมดุลกัน
8. .................................มีหน้าที่เหมอื นวงจรโทนคอนโทรลแต.่ ................................................
9. ...........................................................เป็นเครอ่ื งขยายกาลงั ท่ีมีอนิ พุตอิมพีแดนซ์สงู
10. ...................................................................ใชใ้ นการขยายกาลังระดับปานกลางและไมต่ อ้ ง
ใชอ้ ปุ กรณห์ ลายตัวในการประกอบขน้ึ เป็นวงจรขยายเสยี ง

32

ตอนที่ 2 กากบาทลงหนา้ คาตอบทถ่ี กู ตอ้ งที่สุดเพียงข้อเดยี ว
1. จนู เนอร์ท่ใี ช้ประกอบในระบบเสยี งน้นั จะไม่มกี ารรบั สถานยี ่านใด?
ก. SW ข. AM
ค. FM ง. FM STEREO

2. สญั ญาณทส่ี ่งออกมาจากภาคฟรอ้ นเอนด์จะเปน็ สัญญาณอะไร?
ก. IF ข. AF ค. RF ง. AC
3. แผน่ ซดี มี ีรศั มียาวเทา่ ไหร่?
ก. 12 ซม. ข. 10 ซม. ค. 6 ซม ง. 4 ซม.
4. เหตผุ ลใดที่ไม่ใช่ขอ้ ดขี องเทปโอเพน่ รีลท่ีดีกว่าเทปคาสเซ็ท?
ก. เก็บสญั ญาณเสียงได้แรงมากกวา่ ข. เกบ็ สัญญาณความถ่ีสูงได้สูงกว่า
ค. บนั ทกึ เพลงและทารายการวิทยุ ง. ใช้ไดก้ บั งานทวั่ ๆ ไป
5. ความเร็วในการเคลือ่ นท่ีของเทปคัสเซ็ทข้อไหนถูกตอ้ ง?
ก. 2.4 ซม./วินาที ข. 4.8 ซม./วินาที
ค. 9.5 ซม./วินาที ง. 24 ซม./วนิ าที
6. ขอ้ ไหนไม่ใช่วัสดจุ าพวกสารเฟอรโ์ รแมกเนตกิ ?
ก. ฟอสเฟอร์ ข. โคบอลท์ ค. เฟอร์ไรท์ ง. แอลนโิ ก
7. ขอ้ ใดไม่ใช่คณุ สมบตั ิของเครอ่ื งเล่นคอมแพ็กดสิ ก์?
ก. สัญญาณเกบ็ ไวใ้ นรูปสัญญาณดิจิตอล
ข. สัญญาณถูกบนั ทกึ ลงบนแผ่นเปน็ หลุมเล็ก ๆ
ค. รหสั ทใ่ี ชเ้ ป็นเลขฐานสอง
ง. ขณะเลน่ หัวอ่านจะสัมผสั กับแผน่ คอมแพ็กดสิ ก์?
8. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ส่วนประกอบของภาคปรี-โทน แอมป์
ก. โวลลมุ่ ข. ไดเวอร์ ค. ลาวดเ์ นส ง. โทนคอนโทรล
9. ปุ่มปรับเสยี งทุ้ม เสยี งกลางและเสยี งแหลมจะอยู่สว่ นไหนของวงจร?
ก. โวลลุ่ม ข. ปรี แอมป์ ค. ลาวด์เนส ง. โทนคอนโทรล
10. ย่านการปรบั เสยี งของกราฟฟิกอีควอไลเซอร์อยา่ งน้อยมีก่ียา่ น?
ก. 5 ข. 6 ค. 7 ง. 7
11. เครอ่ื งขยายเสียงท่ีนยิ มใช้มากทส่ี ุดคอื เคร่ืองขยายเสยี งแบบใด?
ก. ทรานซิสเตอร์ ข. มอสเฟต ค. ไอซี ง. โทนคอนโทรล
12. เคร่อื งขยายเสียงท่ีใหป้ ระสทิ ธภิ าพของวงจรขยายสูงทสี่ ุดคือเครื่องขยายเสียงแบบใด?
ก. ทรานซิสเตอร์ ข. มอสเฟต
ค. ไอซี ง. โทนคอนโทรล

13. การปรับความดงั ของความถ่เี สียงใหเ้ พม่ิ มากข้นึ เรยี กวา่ อะไร?
ก. ไฮเออร์ ข. เพาเวอร์ ค. คตั ง. บูสต์
14. การบนั ทึกข้อมูลลงในระบบเสยี งดจิ ิตอลรหสั ที่บันทกึ ลงจะเป็นเลขฐานใด?
ก. 2 ข. 8 ค. 10 ง. 16

33

15. การแบง่ ความถ่เี สียงออกเป็นล ำดบั ของกราฟฟิกอีควอไลเซอรน์ น้ั แตล่ ะช่วงความถ่ี
เรยี กว่าอะไร
ก. กราฟฟิก ข. บสู ต์ ค. อ๊อกเตฟ ง. คตั

ตอนท่ี 3 จากโจทยจ์ งอธิบายให้ได้ความหมายทีส่ มบรู ณ์
1. จงอธบิ ายถึงความแตกต่างระหวา่ งเทปคาสเซ็ทและเทปแบบโอเพ่นเรยี ลมาพอสงั เขป?
2. สารแมเ่ หล็กท่ใี ช้เคลือบบนเนอ้ื เทปตามมาตรฐานของ IEC มีกชี่ นิดอะไรบ้าง?
3. เครื่องเล่นเทปทีเ่ รยี กว่าแดตคอื อะไร แตกต่างจากเคร่ืองเล่นเทปทว่ั ไปอยา่ งไร?
4. C90 และ C60 ท่ีเขยี นอยู่บนกล่องเทปมคี วามหมายว่าอะไร?
5. จงอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างแผน่ ซดี ีและแผ่นเสียงลองเพลยม์ าพอสงั เขป?
6. จงอธิบายความแตกต่างระหว่างคลน่ื วิทยุ AM และคลืน่ วทิ ยุ FM?
7. จงใหค้ วามหมายของคาวา่ จนู เนอรม์ าพอสังเขป?
8. เครอื่ งขยายปรี-โทนแบ่งการทางานออกเปน็ กส่ี ่วน อะไรบ้าง จงอธบิ ายมาพอสังเขป?
9. หน้าทขี่ องกราฟฟิกอีควอไลเซอรค์ ืออะไร
10. เครื่องขยายกาลงั หรือเพาเวอรแ์ อมปลไิ ฟเออรน์ น้ั มีกช่ี นิด อะไรบ้าง จงอธบิ ายพอสังเขป?

34

แบบประเมินผลการนาเสนอผลงาน
ช่อื กลุ่ม……………………………………………ชัน้ ………………………หอ้ ง...........................

รายชือ่ สมาชิก

1……………………………………เลขท…ี่ …. 2……………………………………เลขที่…….

3……………………………………เลขท…่ี …. 4……………………………………เลขท่ี…….

ท่ี รายการประเมนิ คะแนน ข้อคดิ เห็น

32 1

1 เนอ้ื หาสาระครอบคลุมชัดเจน (ความรเู้ กี่ยวกับเนื้อหา ความถกู ตอ้ ง

ปฏภิ าณในการตอบ และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า)

2 รปู แบบการนาเสนอ

3 การมสี ่วนร่วมของสมาชกิ ในกลมุ่

4 บคุ ลิกลักษณะ กิริยา ท่าทางในการพูด น้าเสียง ซ่ึงทาให้ผู้ฟังมีความ

สนใจ

รวม

ผู้ประเมิน…………………………………………………

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน

1. เน้อื หาสาระครอบคลุมชดั เจนถกู ตอ้ ง 35
3 คะแนน = มีสาระสาคัญครบถ้วนถกู ต้อง ตรงตามจดุ ประสงค์
2 คะแนน = สาระสาคญั ไม่ครบถ้วน แตต่ รงตามจุดประสงค์
1 คะแนน = สาระสาคญั ไมถ่ ูกต้อง ไมต่ รงตามจดุ ประสงค์

2. รปู แบบการนาเสนอ
3 คะแนน = มรี ปู แบบการนาเสนอท่เี หมาะสม มกี ารใชเ้ ทคนิคท่แี ปลกใหม่ ใชส้ ่ือและเทคโนโลยี
ประกอบการ นาเสนอท่ีน่าสนใจ นาวัสดุในทอ้ งถิ่นมาประยกุ ต์ใช้อย่างคุ้มค่าและประหยัด
2 คะแนน = มีเทคนิคการนาเสนอทแ่ี ปลกใหม่ ใช้สื่อและเทคโนโลยีประกอบการนาเสนอที่น่าสน ใจ
แต่ขาด การประยกุ ตใ์ ช้ วสั ดุในทอ้ งถ่ิน
1 คะแนน = เทคนิคการนาเสนอไม่เหมาะสม และไมน่ ่าสนใจ

3. การมีสว่ นร่วมของสมาชกิ ในกลุ่ม
3 คะแนน = สมาชกิ ทกุ คนมบี ทบาทและมีสว่ นร่วมกจิ กรรมกลมุ่
2 คะแนน = สมาชิกสว่ นใหญ่มีบทบาทและมีส่วนร่วมกจิ กรรมกลมุ่
1 คะแนน = สมาชกิ ส่วนนอ้ ยมีบทบาทและมีสว่ นร่วมกจิ กรรมกลมุ่

4. ความสนใจของผูฟ้ งั
3 คะแนน = ผู้ฟงั มากกวา่ รอ้ ยละ 90 สนใจ และให้ความร่วมมือ
2 คะแนน = ผฟู้ ังรอ้ ยละ 70-90 สนใจ และให้ความรว่ มมือ
1 คะแนน = ผู้ฟังน้อยกวา่ รอ้ ยละ 70 สนใจ และให้ความร่วมมอื

แบบประเมินกระบวนการทางาน

ช่อื กลุ่ม……………………………………………ชน้ั ………………………หอ้ ง...........................

รายชื่อสมาชิก

1……………………………………เลขท…่ี …. 2……………………………………เลขท่ี…….
3……………………………………เลขท…่ี …. 4……………………………………เลขที่…….

ที่ รายการประเมิน คะแนน ข้อคดิ เห็น

1 การกาหนดเปา้ หมายรว่ มกนั 321
2 การแบง่ หน้าท่รี ับผดิ ชอบและการเตรียมความพรอ้ ม
3 การปฏบิ ตั หิ น้าท่ที ี่ไดร้ ับมอบหมาย
4 การประเมนิ ผลและปรับปรุงงาน

รวม

ผู้ประเมนิ …………………………………………………
วันที่…………เดือน……………………..พ.ศ…………...

เกณฑก์ ารให้คะแนน

1. การกาหนดเป้าหมายรว่ มกนั
3 คะแนน = สมาชิกทกุ คนมสี ว่ นรว่ มในการกาหนดเปา้ หมายการทางานอย่างชดั เจน
2 คะแนน = สมาชกิ ส่วนใหญ่มสี ว่ นรว่ มในการกาหนดเปา้ หมายในการทางาน
1 คะแนน = สมาชิกส่วนนอ้ ยมีสว่ นร่วมในการกาหนดเป้าหมายในการทางาน

2. การมอบหมายหน้าที่รบั ผิดชอบและการเตรยี มความพรอ้ ม
3 คะแนน = กระจายงานได้ทั่วถงึ และตรงตามความสามารถของสมาชิกทกุ คน มีการจัดเตรียมสถานท่ี สือ่ /
อปุ กรณ์ไวอ้ ยา่ งพรอ้ มเพรียง
2 คะแนน = กระจายงานไดท้ ว่ั ถงึ แตไ่ ม่ตรงตามความสามารถ และมีส่ือ / อปุ กรณไ์ วอ้ ยา่ งพรอ้ มเพรียง แตข่ าด
การจัดเตรียมสถานท่ี
1 คะแนน = กระจายงานไมท่ วั่ ถงึ และมีสอ่ื / อปุ กรณ์ไม่เพียงพอ

3. การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีทไี่ ด้รับมอบหมาย
3 คะแนน = ทางานไดส้ าเรจ็ ตามเปา้ หมาย และตามเวลาทีก่ าหนด
2 คะแนน = ทางานได้สาเร็จตามเป้าหมาย แต่ชา้ กว่าเวลาทีก่ าหนด
1 คะแนน = ทางานไมส่ าเรจ็ ตามเปา้ หมาย

4. การประเมนิ ผลและปรับปรงุ งาน
3 คะแนน = สมาชิกทกุ คนร่วมปรึกษาหารอื ตดิ ตาม ตรวจสอบ และปรบั ปรงุ งานเป็นระยะ
2 คะแนน = สมาชกิ บางส่วนมสี ่วนรว่ มปรึกษาหารอื แต่ไม่ปรบั ปรงุ งาน
1 คะแนน = สมาชิกบางส่วนไมม่ สี ว่ นรว่ มปรึกษาหารือ และปรบั ปรุงงาน

บนั ทกึ หลังการสอน

บทท่ี 2 อุปกรณ์ในระบบเสียง

36

ผลการใช้แผนการสอน

1. เนอ้ื หาสอดคลอ้ งกบั จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
2. กิจกรรมการสอนเหมาะสมกับเนอื้ หาและเวลาที่กาหนด
3. ส่อื การสอนเหมาะสมดี

ผลการเรยี นของนกั เรยี น

1. นักศึกษาส่วนใหญ่มีความเข้าใจในบทเรียน อภิปรายตอบคาถามในกลุ่ม และร่วมกันปฏิบัติงานที่ได้รับ
มอบหมาย

2. นกั ศกึ ษากระตือรอื รน้ และรับผิดชอบในการทางานกลุ่มเพ่ือใหง้ านสาเรจ็ ทนั เวลาทีก่ าหนด

ผลการสอนของครู

1. สอนเนื้อหาไดค้ รบตามหลักสูตร
2. แผนการสอนและวิธกี ารสอนครอบคลุมเน้ือหาการสอนทาใหผ้ ู้สอนสอนได้อยา่ งมัน่ ใจ
3. สอนทันตามเวลาที่กาหนด

ใบชว่ ยสอน
(Instruction Sheets)

38

ใบความรู้ (Information Sheet)
รหสั วชิ า 20105-2008 ชอ่ื วิชา เครือ่ งเสียง

ชือ่ หน่วย คลน่ื เสยี งและเคร่ืองเสียง

เรื่อง คลื่นเสยี งและเครอ่ื งเสียง จานวนชว่ั โมงสอน (4)

จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้

• จดุ ประสงค์ทั่วไป / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง

1. เพอื่ ให้มคี วามรู้เกย่ี วกับการเกิดเครื่องเสียง (ดา้ นความรู้)

2. เพ่ือใหม้ ีทักษะในการจาแนกโครงสร้างของหแู ละการไดย้ ิน (ด้านทกั ษะ)

3. เพือ่ ใหม้ ีเจตคติที่ดใี นการจาแนกองค์ประกอบของระบบไฟฟา้ (ดา้ นจิตพสิ ัย)

4. เพอื่ สรปุ แหล่งกาเนดิ ไฟฟา้ กระแสสลบั ไดอ้ ย่างถูกต้องและเหมาะสม (ดา้ นดา้ นคุณธรรม จริยธรรม/บูรณา

การเศรษฐกิจพอเพียง)

• จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม / บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพียง

1. อธบิ ายการเกิดคลืน่ เสยี งได้ (ด้านความร)ู้

2. บอกคณุ สมบตั ิและสว่ นประกอบของเคร่ืองเสียงได้ (ด้านความรู้)

3. จาแนกโครงสร้างของหูและการไดย้ นิ ได้ (ด้านทกั ษะ)

4. คานวณหน่วยวัดและความดังได้ (ด้านทกั ษะ)

5. เขียนความแตกตา่ งระหวา่ งเครือ่ งเสยี งทว่ั ไปได้ (ดา้ นทกั ษะ)

6. แยกแยะสว่ นประกอบของเครื่องเสยี งชนิดไฮ-ไฟได้ (ด้านทักษะ)

7. ชใี้ ห้เห็นถึงความผดิ เพี้ยนท่ีมีผลตอ่ เคร่ืองเสียงชนิดไฮ-ไฟได้ (ด้านจติ พิสยั )

8. สรปุ คลืน่ เสียงและเคร่ืองเสียง ไดอ้ ย่างถูกต้องและเหมาะสม (ด้านดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม/บูรณาการ

เศรษฐกิจพอเพียง)

เนอื้ หาสาระ
1.1 คลน่ื เสยี ง

คลื่นเสียงเป็นคลื่นชนิดหนึ่งที่กาเนิดขึ้นได้จากการสั่นของอากาศโดยรอบและมีความถี่ตาจึงถูกเรียกว่า
ความถ่ีเสียง (Audio Frequency) อยู่ในช่วงความถี่ประมาณ 20 Hz – 20 KHz เป็นช่วงความถี่ท่ีมนุษย์อย่างเรา ๆ
สามารถรับฟังและได้ยินได้ คลื่นเสียงน้ันเดินทางไปได้ไม่ไกลเนื่องจากคลื่นเสียงน่ันเกิดการจางหายหรือถูกดูดกลืนได้
ง่าย คลื่นเสียงเกิดข้ึนได้จากแหลง่ กาเนิดเสียงต่าง ๆ หลายชนิดแตกต่างกนั เมื่อคลน่ื เสียงมาจากแหล่งกาเนิดท่ีต่างกัน
คล่ืนเสียงและความถ่ีของเสียงที่ได้ก็จะแตกต่างกันไปด้วย แต่ยังคงเป็นคล่ืนรูปไซน์เหมือนกัน การเดินทางของเสียงไป
ในตัวกลางต่าง ๆอัตราเร็วในการเดินทางของเสียงข้ึนอยู่กับคุณสมบัติตัวกลางที่เสียงเคลื่อนท่ีผ่าน ได้แก่ ความ
หนาแน่น ความยืดหยุ่น เป็นต้น โดยปกติเสียงเดินทางในของแข็งได้ดีท่ีสุด รองลงมาคือของเหลวและก๊าซ นอกจากนี้
อัตราเรว็ เสียงยังขนึ้ อยู่กับอุณหภูมขิ องตัวกลางที่เสยี งเคลื่อนท่ีผา่ น โดยพบว่า เม่ืออณุ หภูมสิ งู ขึ้น อัตราเรว็ เสียงจะมคี ่า
มากขึ้น สาหรับตัวกลางท่ีเป็นอากาศ ในขณะที่เสียงเคลื่อนที่จะมีการถ่ายทอดพลังงานไปให้กับวัตถุที่เสียงตกกระทบ
โดยอัตราการถ่ายทอดพลังงานของเสียงต่อพ้ืนท่ีท่ีตั้งฉากกับทิศการเคล่ือนท่ีของเสียง เรียกว่าความเข้มเสียง
(Intensity) หรอื อาจกลา่ วได้ว่า ความเข้มเสียง หมายถึง กาลังของเสยี งจากแหลง่ กาเนิดทต่ี กกระทบบนพนื้ ที่ 1 ตาราง
หน่วยในแนวต้ังฉากที่พิจารณา เนื่องจากเสียงแผ่ออกทุกทิศทางเหมือนกันคือ ลักษณะของคล่ืนเสียงจะเป็นรูปคล่ืน

ไซน์ (Sine Wave) เหมือนกัน กล่าวคือจะมีส่วนของสัญญาณแรงสุด (Maximum Signal)และส่วนของสัญญาณท่ีเบา
สุด (Minimum Signal)และจะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มหรือลดเป็นไปตามลาดับสลับกนั ไปมา

คลื่นเสียงเป็นคลื่นตามยาวเกิดจากการสั่นของวัตถุ ความถ่ีของเสียงจะมีค่าเท่ากับความถ่ีของแหล่งกาเนิด
และในขณะที่มีการส่ัน โมเลกุลของตัวกลางจะมีการถ่ายทอดพลังงานทาให้เกิดความดันอากาศที่เปล่ียนแปลงไปตาม
ตาแหน่ง ทาให้เกิดเป็นช่วงอัดและชว่ งขยายโดยท่ีช่วงอัดคือบรเิ วณที่อนุภาคของตัวกลางอัดเข้าหากัน บริเวณนี้มีจะมี
ความดันสูงสุดโดยเทียบกับความดนั ที่ตาแหน่งสมดุลของอนุภาค โดยการขจัดของอนุภาคน้อยที่สุด ส่วนช่วงขยายคือ
บริเวณที่อนุภาคตัวกลางแยกห่างจากกัน บริเวณน้ีมีความดันต่าสุดโดยเทียบกับความดันที่ตาแหน่งสมดุลของอนุภาค
การขจัดของอนุภาคมากท่ีสุด อัตราเร็วเสียงข้ึนอยู่กับคุณสมบัติตัวกลางที่เสียงเคล่ือนท่ีผ่าน ได้แก่ ความหนาแน่น
ความยืดหยุ่น เปน็ ตน้ โดยปกตเิ สยี งเดนิ ทางในของแข็งไดด้ ที ่ีสดุ รองลงมาคอื ของเหลวและก๊าซ
• ด้านทกั ษะ(ปฏิบตั ิ)

3. แบบประเมนิ หลังการเรยี นบทที่ 1
4. ใบงานที่ 1
• ด้านคุณธรรม/จริยธรรม/จรรยาบรรณ/บรู ณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง
(จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรมขอ้ ที่ 9)

สรปุ คล่นื เสยี งและเครื่องเสยี ง ไดอ้ ยา่ งถูกต้องและเหมาะสม
เอกสารอ้างองิ

1. หนังสืออิเล็กทรอนิกสอ์ ตุ สาหกรรม ( พนั ธศ์ ักดิ์ พฒุ ิมานติ พงศ์)

40

ใบงาน (Job Sheet)
รหสั วชิ า 20105-2008 ชอื่ วิชา เครื่องเสียง

ชอ่ื หน่วย คลนื่ เสียงและเครอื่ งเสียง

เร่อื ง คลืน่ เสียงและเครอ่ื งเสียง จานวนช่ัวโมงสอน (4)

จุดประสงค์การเรียนรู้

จดุ ประสงค์ทว่ั ไป / บรู ณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง เครอ่ื งมอื /วัสดุ-อปุ กรณ์
1.เพือ่ ใหม้ คี วามรู้เกย่ี วกับการเกดิ เครอ่ื งเสียง (ดา้ นความรู้) 1. โปรเจคเตอร์ พร้อมจอ
2.เพอ่ื ใหม้ ีทกั ษะในการจาแนกโครงสรา้ งของหูและการไดย้ นิ 2. คอมพวิ เตอรห์ รือโน้ตบคุ
(ดา้ นทกั ษะ)

3.เพ่อื ให้มีเจตคตทิ ด่ี ีในการจาแนกองคป์ ระกอบของระบบไฟฟา้

(ด้านจิตพิสยั )

4.เพือ่ สรุปแหลง่ กาเนิดไฟฟา้ กระแสสลับ ได้อยา่ งถูกต้องและ

เหมาะสม (ด้านด้านคณุ ธรรม จริยธรรม/บรู ณาการเศรษฐกจิ

พอเพยี ง)

•จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม / บรู ณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง

1.อธบิ ายการเกิดคล่ืนเสยี งได้ (ดา้ นความรู้)

2.บอกคณุ สมบตั ิและสว่ นประกอบของเคร่ืองเสยี งได้ (ด้าน

ความรู)้

3.จาแนกโครงสร้างของหูและการไดย้ นิ ได้ (ด้านทกั ษะ)

4.คานวณหน่วยวัดและความดังได้ (ดา้ นทักษะ)

5.เขียนความแตกตา่ งระหวา่ งเครอื่ งเสียงทวั่ ไปได้ (ด้านทกั ษะ)

6.แยกแยะสว่ นประกอบของเครอื่ งเสียงชนิดไฮ-ไฟได้ (ดา้ น

ทักษะ)

7.ชี้ให้เห็นถงึ ความผิดเพยี้ นทม่ี ีผลต่อเครือ่ งเสยี งชนดิ ไฮ-ไฟได้

(ดา้ นจิตพสิ ยั )

8.สรปุ คลื่นเสยี งและเครือ่ งเสยี ง ไดอ้ ย่างถกู ต้องและเหมาะสม

(ดา้ นด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม/บรู ณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง

- ขัน้ ตอนการปฏบิ ตั งิ าน (มีภาพประกอบ) ขอ้ ควรระวัง.

1. ข้ันนาเขา้ สู่บทเรียน (15 นาที ) ระวังไฟรว่ั ในระหวา่ งใช้คอมพิวเตอร์

1. ผู้สอนจัดเตรียมเอกสาร พร้อมกับแนะนา

รายวิชา วิธีการให้คะแนนและวิธีการเรียนเร่ือง คลื่น มอบงาน

เสียงและเครื่องเสยี ง นกั ศกึ ษาคน้ คว้าข้อมลู เกย่ี วกับคลื่นเสียง

2. ผู้สอนแจ้งจุดประสงค์การเรียนของบทท่ี 1 วัดผล/ประเมนิ ผล
และขอใหผ้ ู้เรียนร่วมกนั ทากจิ กรรมการเรยี นการสอน
ก่อนเรียน

2. ขัน้ ให้ความรู้ (120 นาท)ี 2. ความรู้ความเข้าใจกอ่ นการเรยี นการสอน
1. ผู้สอนให้ผู้เรียนเปิด PowerPoint บทท่ี 1 ขณะเรยี น

เร่ือง คลื่นเสียงและเคร่ืองเสียง และให้ผู้เรียนศึกษา 3. ตรวจแบบประเมินหลังการเรียนรูบ้ ทท่ี 1
เอกสารประกอบการสอน วิชา เคร่ืองเสียง หน้าท่ี 1-- 4. สงั เกตการทางาน
14โดยใหผ้ ู้เรยี นเรียนรู้ด้วยตนเอง และสามารถสอบถาม
หลังเรียน

ขอ้ สงสยั ระหวา่ งเรยี นจากผสู้ อน 2. ตรวจใบงานท่ี 1

2. ผูส้ อนให้ผู้เรียนอธิบายคลื่นเสียงและเคร่ืองเสียง ผลงาน/ช้ินงาน/ผลสาเรจ็ ของผเู้ รยี น

ได้ ศึกษาจาก PowerPoint

ตรวจแบบประเมนิ หลงั การเรยี นบทท่ี 1

3. ขน้ั ประยกุ ต์ใช้ ( 60 นาที ) ตรวจใบงานท่ี 1

4. ผู้สอนให้ผู้เรียนทาแบบประเมินหลังการเรียน

บทที่ 1

5. ผู้สอนให้ผู้เรียนทาใบงานท่ี 1 หน้า 222-228

6. ผสู้ อนใหผ้ ู้เรียนสบื ค้นขอ้ มลู จากอนิ เทอรเ์ นต็

4. สรุปผลการทดลอง

42

ใบปฏิบตั ิงาน (Operation Sheet)
รหัสวิชา 20105-2008 ชือ่ วิชา เครื่องเสียง

ชอ่ื หน่วย คลน่ื เสียงและเครอื่ งเสยี ง

เรอ่ื ง คล่นื เสยี งและเคร่อื งเสียง จานวนชัว่ โมงสอน (4)

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
- จุดประสงค์ทั่วไป

1.เพอื่ ใหม้ ีความรเู้ กยี่ วกบั การเกดิ เครื่องเสียง (ด้านความรู)้
2.เพ่อื ให้มีทกั ษะในการจาแนกโครงสรา้ งของหูและการไดย้ นิ (ด้านทกั ษะ)
3.เพื่อให้มีเจตคติทีด่ ีในการจาแนกองคป์ ระกอบของระบบไฟฟ้า (ดา้ นจติ พิสัย)
4.เพอ่ื สรุปแหลง่ กาเนดิ ไฟฟ้ากระแสสลบั ไดอ้ ย่างถูกตอ้ งและเหมาะสม (ดา้ นด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม/บูรณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง)
•จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม / บรู ณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง
1.อธบิ ายการเกิดคลืน่ เสยี งได้ (ด้านความรู้)
2.บอกคุณสมบตั ิและส่วนประกอบของเคร่อื งเสยี งได้ (ด้านความร)ู้
3.จาแนกโครงสร้างของหแู ละการได้ยินได้ (ดา้ นทักษะ)
4.คานวณหนว่ ยวดั และความดงั ได้ (ด้านทกั ษะ)
5.เขียนความแตกต่างระหว่างเครอ่ื งเสยี งทว่ั ไปได้ (ดา้ นทกั ษะ)
6.แยกแยะส่วนประกอบของเคร่อื งเสียงชนิดไฮ-ไฟได้ (ดา้ นทกั ษะ)
7.ชใี้ หเ้ หน็ ถึงความผดิ เพ้ียนทมี่ ีผลต่อเครื่องเสียงชนดิ ไฮ-ไฟได้ (ดา้ นจิตพิสัย)
8.สรปุ คลื่นเสยี งและเคร่ืองเสียง ได้อยา่ งถกู ตอ้ งและเหมาะสม (ดา้ นดา้ นคุณธรรม จริยธรรม/บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง

เครอ่ื งมือ-อุปกรณ์-วสั ดุ
1. โปรเจคเตอร์ พร้อมจอ
2. คอมพิวเตอรห์ รือโน้ตบคุ

ขน้ั ตอนการปฏิบัติงาน
1. ขั้นนาเข้าส่บู ทเรียน (15 นาที )

-ผู้สอนจัดเตรียมเอกสาร พร้อมกับแนะนารายวิชา วิธีการให้คะแนนและวิธีการเรียนเร่ือง คล่ืนเสียงและเคร่ือง
เสยี ง
-ผู้สอนแจ้งจดุ ประสงค์การเรยี นของบทท่ี 1 และขอให้ผูเ้ รียนรว่ มกันทากจิ กรรมการเรยี นการสอน

2. ข้ันให้ความรู้ (120 นาท)ี
-ผู้สอนให้ผู้เรียนเปิด PowerPoint บทที่ 1 เร่ือง คลื่นเสียงและเครื่องเสียง และให้ผู้เรียนศึกษาเอกสาร
ประกอบการสอน วชิ า เคร่ืองเสียง หนา้ ท่ี 1--14โดยให้ผู้เรียนเรยี นรู้ด้วยตนเอง และสามารถสอบถามข้อสงสัย
ระหว่างเรียนจากผู้สอน
-ผูส้ อนให้ผเู้ รียนอธิบายคลน่ื เสียงและเครอื่ งเสียงได้ ศกึ ษาจาก PowerPoint

3. ขั้นประยุกต์ใช้ ( 60 นาที )
1.ผู้สอนให้ผู้เรยี นทาแบบประเมินหลังการเรียนบทท่ี 1
2.ผสู้ อนให้ผูเ้ รยี นทาใบงานท่ี 1 หนา้ 222-228
3.ผสู้ อนใหผ้ เู้ รียนสบื ค้นขอ้ มูลจากอนิ เทอร์เนต็

4. สรปุ ผลการทดลอง

ใบปฏิบตั ิงาน (Operation Sheet)
รหัสวชิ า 20105-2008 ชอ่ื วิชา เครอื่ งเสียง

ชื่อหน่วย คล่ืนเสยี งและเครือ่ งเสยี ง

เรือ่ ง คล่ืนเสยี งและเครอื่ งเสียง จานวนช่วั โมงสอน (4)

ขอ้ ควรระวัง
ระวังไฟรว่ั ในระหว่างใช้คอมพิวเตอร์

ขอ้ เสนอแนะ
ควรศกึ ษาก่อนเรียนล่วงหน้า

การประเมินผล
ทฤษฎผี า่ นเกณฑ์ไม่น้อยกว่ารอ้ ยละ 60 ปฏบิ ัตไิ ม่น้อยกวา่ ร้อยละ 80

เอกสารอ้างอิง
หนังสือเครื่องเสียง ( พันธ์ศักดิ์ พฒุ ิมานติ พงศ์)

45

ใบมอบหมายงาน (Assignment Sheet)
รหัสวิชา 20105-2008 ชอื่ วิชา เคร่อื งเสียง

ช่อื หน่วย คลืน่ เสยี งและเคร่อื งเสียง


Click to View FlipBook Version