ทรัพยากรธรรมชาติ
นางสาว นีรภา ฟองสุจันทร์
รหัส 65181100315
1
คํานํา
เนื้ อหาในรายงานนี้จะเป็ นเนื้ อหาเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ
ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น ทรัพยากร นํ้า ดิน แร่ รวมไปถึง
สัตว์ป่ าและป่ าไม้ต่างๆซึ่งจะมีเนื้ อหาที่สามารถมาศึกษาดูได็
ผ่าการศึกษาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุท
เว็บไซต์ และสื่ออิเล็กเทอร์นิกซึ่งเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านแน่นอน
ผู้ทำหวังเป็ นอย่างมากว่าจะเกิดประโยชน์แก่ผุ้อ่าน
หากผิดผลาดประกันใดขออภัย ณ ที่นี้
ผู้จัดทำ
นางสาว นีรภา ฟองสุจันทร์
สารบัญ 2
เรื่อง _ หน้ า
คำนำ 1
สารบัญ 2-3
4
ทรัพยากรธรรมชาติ 5
6
ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้ไม่หมดสิ้น 7
8
ทรัพยากรที่ใช้แล้วยังคงบำบรุงอยู่ได้ 9
10
ทรัพยากรที่ใช้แล้วสิ้นเปลื่อง 11
12
ทัพยากรนํ้า 13
14
ประเภคของนํ้ า 15
16
ผิวดิน
17
ใต้ดิน 18
ทรัพยากรดิน
ประเภคของดิน ดินทราย
ดินเหนี่ยว
ดินร่วน
ทรัปพยากรป่ าไม้
ป่ าประเภคไม่ผลัดใบ
ป่าดงดบ ป่าดิบเขา
ป่าสนเขา ป่าชายเลน
ป่าพรุ ป่าชายหาด
ป่ าประเถคพลัดใบ 3
ป่ าเบญจพรรณ
ป่าเต็งรัง ป่าหญ้า 19
ทรัพยากรแร่ธาตุ 20
ทรัพยากรสัตว์ป่ า 21
ประเถคของสัตว์ป่า สัตว์ป่าสงวน 22
สัตว์ป่ าคุ้มครอง 23
24
สถาณการณ์ ปัญหา
25
กรณี 26
คลิป
แบบทดสอบ 27
อ้างอิง 28
ข้อมูลส่วนตัว 29-30
ปกหลัง 31
32
33
4
ทรัพยากรธรรมชาติ
ทรัพยากรธรรมชาติ (natural resources) หมาย
ถึง สิ่งที่ได้มาจากธรรมชาติซึ่งมีประโยชน์ต่อความเป็นอยู่ของ
มนุษย์โดยเฉพาะเป็นปัจจัยสี่ที่มีความจำเป็นในการดำรงชีวิตที่
มนุษย์สามารถเสาะแสวงหามาใช้ เช่น พืช สัตว์ แร่ธาตุ ป่าไม้
ถ่านหิน และน้ำมัน เป็นต้น สามารถแบ่งทรัพยากรธรรมชาติ
ออกเป็น 3 ประเภทใหญ่
1.ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้ไม่หมดสิ้น (non-exhausting
natural resource)
2.ทรัพยากรธรรมชาติที่บำรุงรักษาให้คงสภาพอยู่ได้
3.ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วสิ้นเปลือง
5
1.ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้ไม่หมดสิ้น (non-exhausting natural
resource) เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่มาก พบได้ทุกแห่งในโลก มีความ
จำเป็นในการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดทรัพยากรเหล่านี้หากใชไม่ดี ไม่มี
การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ ทรัพยากรที่มีค่ามหาศาลเหล่านี้
อาจเสื่อมสภาพไปจนไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ถ้าใช้อย่างไม่ระมัดระวัง
ได้แก่ น้ำ อากาศ แสงสว่างจากดวงอาทิตย์
6
2.รัพยากรธรรมชาติที่บำรุงรักษาให้คงสภาพอยู่ได้
เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู นผิวโลกตามแหล่งต่าง ๆ ถ้ามนุษย์ใช้ทรัพยากร
เหล่านี้อย่างถูต้องและมีการบำรุงรักษาแล้วทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้จะยังคงอยู่
และใช้ประโยชน์ได้ตลอดไป ได้แก่ ดิน ป่าไม้ ทุ่งหญ้า สัตว์ป่า พลังงานมนุษย์
7
3.ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วสิ้นเปลือง
เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป ไม่สามารถสร้างขึ้นมาใหม่
ได้หรือไม่สามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้
หรือถ้าทำได้ก็กินเวลานานนับพันนับหมื่นปีทรัพยากรเหล่านี้ ได้แก่
แร่ธาตุ (รวมทั้งน้ำมันถ่านหิน) และทิวทัศน์ที่สวยงาม
สำหรับทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อการดำเนิน
ชีวิตของมนุษย์ ได้แก่ น้ำ ดิน อากาศ ป่าไม้และสิ่งมีชีวิตต่างถิ่น
ดังนั้น เพื่อให้การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
และยาวนานที่สุดและได้ประโยชน์สูงสุด จึงต้องมีวิธีใช้วิธีอนุรักษ์บูรณะฟื้ นฟู
ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่ยาวนานที่สุด
8
ทรัพยากรน้ำ หมายถึง แหล่งต้นตอของน้ำที่เป็นประโยชน์หรือมีศักยภาพที่จะก่อให้เกิด
ประโยชน์แก่มนุษย์ ทรัพยากรน้ำมีความสำคัญเนื่องจากน้ำเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต
ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ได้มีการนำน้ำมาใช้ในด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม บ้านเรือน
นันทนาการและกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม น้ำที่มนุษย์นำมาใช้ในกิจกรรม
ต่างๆ ดังกล่าวนั้นจะเป็นน้ำจืด แต่น้ำจืดในโลกเรามีเพียงร้อยละ 2.5 เท่านั้น และปริมาณ
2 ใน 3 ของน้ำจืดจำนวนนี้เป็นน้ำแข็งในรูปของธารน้ำแข็งและน้ำแข็งที่จับตัวกันอยู่ที่ขั้ว
โลกทั้งสองขั้ว ปัจจุบันความต้องการน้ำมีมากกว่าน้ำจืดที่มีอยู่ในหลายส่วนของโลก และใน
อีกหลายพื้นที่ในโลกกำลังจะประสบปัญหาความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทานของน้ำใน
อนาคตอันไม่ไกลนัก กรอบปฏิบัติเพื่อการจัดสรรทรัพยากรน้ำให้แก่ผู้ใช้น้ำ (ในพื้นที่ที่มี
กรอบปฏิบัติแล้ว) เรียกว่า "สิทธิการใช้น้ำ" (Water rights)
9
ประเภทของน้ำ
มหาสมุทร เป็นแหล่งน้ำตามธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่เนื่องจากมีพื้นที่ถึง 3 ใน
4 ส่วนของพื้นที่ผิวโลก ทะเลแบ่งออกเป็นทะเลลึก หรือมหาสมุทรและทะเล
บริเวณชายฝั่ ง เพราะว่าน้ำในทะเลมีความเค็ม เนื่องจากมีเกลือ และแร่ธาตุ
ละลายอยู่ จึงมีข้อจำกัดในการนำน้ำทะเลมาใช้ประโยชน์ เช่น การนำมาใช้ใน
การเพาะปลูก ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม หรือนำมาใช้ในการดื่มกิน ซึ่งถึง
แม้ว่ามนุษย์สามารถเปลี่ยนน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืดได้ แต่ก็ไม่เป็นที่นิยม เพราะว่า
ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่น้ำทะเลก็ยังมีประโยชน์มากมาย ในแง่ของเส้น
ทางคมนาคมขนส่งในทะเล แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งผลิตอ่าหาร
โปรตีนแหล่งใหญ่ที่สุดให้แก่ชาวโลก ตัวผลิตก๊าซออกซิเจนให้แก่มนุษย์ใน
ปริมาณร้อยละ 75 เป็นปัจจัยตัวหนึ่งที่ทำให้เกิดฝนตก เป็นแหล่งที่มาของ
ความชื้นของผิวโลกทั้งหมด และเป็นตัวช่วยสร้างความสวยสดงดงาม
ธรรมชาติ
10
น้ำผิวดิน
แหล่งน้ำผิวดินตามธรรมชาติประกอบด้วย แม่น้ำ คำคลอง หนอง บึง
น้ำตก ส่วนอ่างเก็บน้ำหรือเขื่อนกักเก็บน้ำต่าง ๆ จัดเป็นแหล่งน้ำที่ถูก
สร้างขึ้นด้วยมนุษย์ เมื่อดูอย่างผิวเผินแล้ว จะเห็นว่าเรามีน้ำจืดอยู่มากมาย
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปริมาณน้ำจืดที่มีอยู่และสามารถนำมาใช้ประโยชน์
สำหรับการดำรงชีวิตได้นั้นมีน้อย เมื่อเทียบกับปริมาณของน้ำทะเล
11
น้ำใต้ดิน
เป็นแหล่งน้ำอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งมีปริมาณของน้ำน้อยกว่าแหล่งน้ำ
2 ประเภทกล่าวคือ แหล่งน้ำนี้เกิดจากการที่น้ำผิวดินซึมผ่านพื้นดินลง
สู่ระดับที่ต่ำกว่าแม่น้ำ ลำคลอง และทะเล ไปสะสมปริมาณน้ำอยู่ด้านล่าง
ของแหล่งน้ำ ดังกล่าวนี้ การนำน้ำจากแหล่งน้ำประเภทนี้ขึ้นมาใช้
จะทำโดยการขุดบ่อลงไปจนถึงชั้นน้ำและสูบน้ำขึ้นมา
12
ทรัพยากรดิน
ดินหมายถึง เทหวัตถุธรรมชาติที่ปกคลุมผิวโลก เกิดจากการแปรสภาพหรือสลายตัวของ
หินแร่ธาตุ และอินทรีย์วัตถุผสมคลุกเคล้ากันตามธรรมชาติรวมกันเป็นชั้นบาง ๆ
เมื่อมีน้ำและอากาศที่เหมาะสมก็จะทำให้พืชเจริญเติบโตและยังชีพอยู่ได้
เนื่องจากภาคตะวันตกส่วนใหญ่เป็นเขตเทือกเขาสูง เพราะฉะนั้นวัตถุแม่ดิน หรือ
แหล่งกำเนิดดินต้องเกิดจากการสลายตัวของหินที่เป็นกรด ดังนั้นดินจึงมีความอุดม
สมบูรณ์ ค่อนข้างต่ำ ดินชนิดนี้ เรียกว่า ดินเรดเยลโล-พอดโซลิก (Red-yellow
Podzolic Soils) ดินชนิดนี้ มีในเขตภูเขาที่เป็นกรด ส่วนในเขตที่มีหินปูน เช่น บริเวณ
เทือกเขาในเขตอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก และบริเวณปลายเทือกเขาถนนธงชัยระหว่าง
แม่น้ำแควใหญ่กับแควน้อยจะเป็นพวกเรด-บราวด์ เอิท (Red-Brown earth) นอกจาก
นั้นยังมีดินที่เกิดจากการสลายตัวของสารหรือ หินภูเขาไฟ เราเรียกว่า ดินภูเขาไฟ ได้แก่
พื้นที่บริเวณจังหวัดตาก เขตอำเภออุ้มผาง ที่ราบลุ่มน้ำแควน้อย เขตอำเภอสังขละบุรี
อำเภทองผาภูมิ อำเภอไทรโยค และบริเวณแก่งกระจาน เป็นต้น
ในด้านสมรรถนะของที่ดินในภาคตะวันตกปรากฏว่าพื้นที่เหมาะสำหรับการปลูกพืชไร่ มี
ประมาณ 25 % ของเนื้อที่ภาค ทำนา 5% ที่เหลือ 70 % ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก
เพราะเป็น ที่ลาดชันมาก หรือ มีดินเป็นทรายจัด
13
ประเภทของดิน
ในประเทศไทยเราสามารถแบ่งประเภทของดินได้ดังนี้ ดินทราย (Sandy soil)
ดินเหนียว (Clay Soil)และดินร่วน (Loamy Soil)
ซึ่งดินแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไปดังรายละเอียด
ดังนี้
ดินทราย (Sandy soil)
ดินประเภทแรกคือดินทรายประกอบด้วยอนุภาคขนาดเล็กของหินผุกร่อน มีแนวโน้มที่จะ
เป็นกรดและมีสารอาหารต่ำ ดินทรายมักเรียกว่าดินเบา เนื่องจากมีน้ำหนักเบา มีการ
ระบายน้ำอย่างรวดเร็วและมีแร่ธาตุที่พืชต้องการต่ำเนื่องจากถูกฝนชะล้างออกไป เป็นดิน
ประเภทหนึ่งที่ยากที่สุดสำหรับการปลูกพืชเพราะมีธาตุอาหารต่ำมากและความสามารถใน
การกักเก็บน้ำต่ำ ซึ่งทำให้รากพืชดูดซับน้ำได้ยาก
ดินประเภทนี้ดีต่อระบบระบายน้ำมาก ดินทรายมักเกิดจากการแตกตัวของหิน
เช่น หินแกรนิต หินปูน และควอตซ์ การเติมอินทรียวัตถุสามารถช่วยให้พืช
ได้รับสารอาหารเพิ่มเติมโดยการปรับปรุงความสามารถในการกักเก็บ
ธาตุอาหารและน้ำของดิน
14
ดินเหนียว (Clay Soil)
ดินเหนียวเป็นดินที่ประกอบด้วยอนุภาคแร่ที่ละเอียดมากและมีสารอินทรีย์ไม่มากมีช่องว่างระหว่าง
อนุภาคดินไม่มากทำให้ระบายได้ไม่ดีเลย อนุภาคในดินนี้ถูกอัดแน่นเข้าด้วยกัน ดินนี้มีคุณสมบัติใน
การกักเก็บน้ำได้ดีมาก และทำให้ความชื้นและอากาศซึมเข้าไปได้ยาก ดินนี้มีความเหนียวมากเมื่อ
สัมผัสเมื่อเปียก แต่เรียบและแตกร้าวเมื่อแห้ง ดินเหนียวเป็นดินประเภทที่หนาแน่นและหนักที่สุด
หากคุณสังเกตว่าน้ำมีแนวโน้มที่จะขังเป็นแอ่งน้ำบนพื้นดินมากกว่าที่จะซึมเข้าไป เป็นไปได้ว่าพื้นดิน
ของคุณประกอบด้วยดินเหนียว เพื่อตรวจสอบว่าคุณมีดินเหนียวหรือไม่ คุณสามารถทำการทดสอบ
ดินอย่างง่าย หากดินของเปียกและเกาะติดกับรองเท้าและเครื่องมือทำสวน เกิดก้อนขนาดใหญ่ที่ไม่
สามารถแยกออกได้ง่าย และเกิดรอยแตกร้าวในสภาพอากาศแห้ง แสดงว่าเป็นดินเหนียว
15
ดินร่วน (Loam Soil)
ดินร่วนเป็นดินประเภทที่สามเป็นส่วนผสมของทราย ตะกอนและดินเหนียวในสัดส่วนที่
เหมาะสมซึ่งรวมคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์จากแต่ละอย่างไว้ด้วยเช่นมีคุณสมบัติในการกัก
เก็บความชื้นและสารอาหารจึงเหมาะแก่การทำการเกษตรมากกว่า ดินนี้เรียกอีกอย่างว่า
ดินเกษตร
ดินร่วนเป็นดินในอุดมคติสำหรับการปลูกพืชเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของดินเหนียว ทราย และ
ตะกอนที่จะสร้างพื้นที่ว่างที่ช่วยให้แร่ธาตุ อินทรียวัตถุ น้ำ และอากาศหล่อเลี้ยงชีวิตพืช
เนื่องจากมีความสมดุลของวัสดุดินทั้งสามประเภทได้แก่ทราย ดินเหนียว และตะกอนและ
ยังมีซากพืชอีกด้วย นอกจากนั้น ยังมีระดับแคลเซียมและ pH ที่สูงขึ้นเนื่องจากมีแหล่ง
กำเนิดอนินทรีย์
16
ทรัพยากรป่าไม้
ทรัพยากรป่าไม้ป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะ
เป็นมนุษย์หรือสัตว์อื่น ๆ เพราะป่าไม้มีประโยชน์ทั้งการเป็นแหล่งวัตถุดิบของปัจจัยสี่
คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรคสำหรับมนุษย์ และยังมีประโยชน์
ในการรักษาสมดุลของสิ่งแวดล้อม ถ้าป่าไม้ถูกทำลายลงไปมาก ๆ ย่อมส่งผลกระทบต่อ
สภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น สัตว์ป่า ดิน น้ำ อากาศ ฯลฯ เมื่อป่าไม้ถูก
ทำลาย จะส่งผลไปถึงดินและแหล่งน้ำด้วย เพราะเมื่อเผาหรือถางป่าไปแล้ว พื้นดินจะ
โล่งขาดพืชปกคลุม เมื่อฝนตกลงมาก็จะชะล้างหน้าดินและความอุดมสมบูรณ์ของดินไป
นอกจากนั้นเมื่อขาดต้นไม้คอยดูดซับน้ำไว้น้ำก็จะไหลบ่าท่วมบ้านเรือน และที่ลุ่มในฤดูน้ำ
หลากพอถึงฤดูแล้งก็ไม่มีน้ำซึมใต้ดินไว้หล่อเลี้ยงต้นน้ำลำธารทำให้แม่น้ำมีน้ำน้อย ส่งผลก
ระทบต่อมาถึงระบบเศรษฐกิจและสังคม เช่น การขาดแคลนน้ำในการการชลประทาน
ทำให้ทำนาไม่ได้ผลขาดน้ำมาผลิตกระแสไฟฟ้า
ประเภทของป่าไม้ในประเทศไทย
ประเภทของป่าไม้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการกระจายของฝน ระยะเวลาที่ฝนตก
รวมทั้งปริมาณน้ำฝนทำให้ป่าแต่ละแห่งมีความชุ่มชื้นต่างกัน สามารถจำแนกได้เป็น 2
ประเภทใหญ่ ๆ คือ
ก. ป่าประเภทที่ไม่ผลัดใบ (Evergreen)
ข. ป่าประเภทที่ผลัดใบ (Deciduous)
17
ป่าประเภทที่ไม่ผลัดใบ (Evergreen)
ป่าประเภทนี้มองดูเขียวชอุ่มตลอดปี เนื่องจากต้นไม้แทบทั้งหมดที่ขึ้นอยู่เป็น
ประเภทที่ไม่ผลัดใบ ป่าชนิดสำคัญซึ่งจัดอยู่ในประเภทนี้ ได้แก่
1. ป่าดงดิบ (Tropical Evergreen Forest or Rain Forest)
ป่าดงดิบที่มีอยู่ทั่วในทุกภาคของประเทศ แต่ที่มีมากที่สุด ได้แก่ ภาคใต้และภาคตะวัน
ออก ในบริเวณนี้มีฝนตกมากและมีความชื้นมากในท้องที่ภาคอื่น ป่าดงดิบมักกระจายอยู่
บริเวณที่มีความชุ่มชื้นมาก ๆ เช่น ตามหุบเขาริมแม่น้ำลำธาร ห้วย แหล่งน้ำ และบน
ภูเขา ซึ่งสามารถแยกออกเป็นป่าดงดิบชนิดต่าง ๆ ดังนี้
1.1 ป่าดิบชื้น (Moist Evergreen Forest)
เป็นป่ารกทึบมองดูเขียวชอุ่มตลอดปีมีพันธุ์ไม้หลายร้อยชนิดขึ้นเบียดเสียดกันอยู่มักจะพบ
กระจัดกระจายตั้งแต่ความสูง 600 เมตร จากระดับน้ำทะเล ไม้ที่สำคัญก็คือ ไม้ตระกูล
ยางต่าง ๆ เช่น ยางนา ยางเสียน ส่วนไม้ชั้นรอง คือ พวกไม้กอ เช่น กอน้ำ กอเดือย
1.2 ป่าดิบแล้ง (Dry Evergreen Forest)
เป็นป่าที่อยู่ในพื้นที่ค่อนข้างราบมีความชุ่มชื้นน้อย เช่น ในแถบภาคเหนือและภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือมักอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 300-600 เมตร ไม้ที่สำคัญ
ได้แก่ มะคาโมง ยางนา พยอม ตะเคียนแดง กระเบากลัก และตาเสือ
สวนปาล์ม
1.3 ป่าดิบเขา (Hill Evergreen Forest)
ป่าชนิดนี้เกิดขึ้นในพื้นที่สูง ๆ หรือบนภูเขาตั้งแต่ 1,000-1,200 เมตร ขึ้นไปจาก
ระดับน้ำทะเล ไม้ส่วนมากเป็นพวก Gymonosperm ได้แก่ พวกไม้ขุนและสนสามพันปี
นอกจากนี้ยังมีไม้ตระกูลกอขึ้นอยู่ พวกไม้ชั้นที่สองรองลงมาได้แก่ เป้ง สะเดาช้าง และ
ขมิ้นต้น
18
2. ป่าสนเขา (Pine Forest)
ป่าสนเขามักปรากฎอยู่ตามภูเขาสูงส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ซึ่งมีความสูงประมาณ
200-1800 เมตร ขึ้นไปจากระดับน้ำทะเลในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ บางทีอาจปรากฎในพื้นที่สูง 200-300 เมตร จาก
ระดับน้ำทะเลในภาคตะวันออกเฉียงใต้ ป่าสนเขามีลักษณะเป็นป่าโปร่ง ชนิด
พันธุ์ไม้ที่สำคัญของป่าชนิดนี้คือ สนสองใบ และสนสามใบ ส่วนไม้ชนิดอื่นที่
ขึ้นอยู่ด้วยได้แก่พันธุ์ไม้ป่าดิบเขา
เช่น กอชนิดต่าง ๆ หรือพันธุ์ไม้ป่าแดงบางชนิด คือ เต็ง รัง เหียง พลวง
เป็นต้น
3. ป่าชายเลน (Mangrove Forest)
บางทีเรียกว่า "ป่าเลนน้ำเค็ม" หรือป่าเลน มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นแต่ละ
ชนิดมีรากค้ำยัน และรากหายใจ ป่าชนิดนี้ปรากฎอยู่ตามที่ดินเลนริมทะเล
หรือบริเวณปากน้ำแม่น้ำใหญ่ ๆ ซึ่งมีน้ำเค็มท่วมถึงในพื้นที่ภาคใต้มีอยู่
ตามชายฝั่ งทะเลทั้งสองด้าน
ตามชายทะเลภาคตะวันออกมีอยู่ทุกจังหวัดแต่ที่มากที่สุดคือ
บริเวณปากน้ำเวฬุ อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี
พันธุ์ไม้ที่ขึ้นอยู่ตามป่าชายเลน ส่วนมากเป็นพันธุ์ไม้ขนาดเล็กใช้ประโยชน์
สำหรับการเผาถ่านและทำฟืนไม้ชนิดที่สำคัญ คือ โกงกาง ประสัก ถั่วขาว
ถั่วขำ โปรง ตะบูน แสมทะเล ลำพูนและลำแพน ฯลฯ ส่วนไม้พื้นล่างมัก
เป็นพวก ปรงทะเลเหงือกปลายหมอ ปอทะเล และเป้ง เป็นต้น
19
4. ป่าพรุหรือป่าบึงน้ำจืด (Swamp Forest)
ป่าชนิดนี้มักปรากฎในบริเวณที่มีน้ำจืดท่วมมาก ๆ ดินระบายน้ำไม่ดีป่าพรุในภาค
กลาง มีลักษณะโปร่งและมีต้นไม้ขึ้นอยู่ห่าง ๆ เช่น ครอเทียน สนุ่น จิก โมกบ้าน
หวายน้ำ หวายโปร่ง ระกำ อ้อ และแขม ในภาคใต้ป่าพรุมีขึ้นอยู่ตามบริเวณที่มีน้ำขัง
ตลอดปีดินป่าพรุที่มีเนื้อที่มากที่สุดอยู่ในบริเวณจังหวัดนราธิวาสดินเป็นพีท ซึ่งเป็น
ซากพืชผุสลายทับถมกัน เป็นเวลานานป่าพรุแบ่งออกได้ 2 ลักษณะ คือ ตามบริเวณ
ซึ่งเป็นพรุน้ำกร่อยใกล้ชายทะเลต้นเสม็ดจะขึ้นอยู่หนาแน่นพื้นที่มีต้นกกชนิดต่าง ๆ
เรียก "ป่าพรุเสม็ด หรือ ป่า เสม็ด" อีกลักษณะเป็นป่าที่มีพันธุ์ไม้ต่าง ๆ มากชนิดขึ้น
ปะปนกั ชนิดพันธุ์ไม้ที่สำคัญของป่าพรุ
ได้แก่ อินทนิล น้ำหว้า จิก โสกน้ำ กระทุ่มน้ำภันเกรา โงงงันกะทั่งหัน ไม้พื้นล่าง
ประกอบด้วย หวาย ตะค้าทอง หมากแดง และหมากชนิดอื่น ๆ
5. ป่าชายหาด (Beach Forest)
เป็นป่าโปร่งไม่ผลัดใบขึ้นอยู่ตามบริเวณหาดชายทะเล น้ำไม่ท่วมตามฝั่ งดินและชาย
เขาริมทะเล ต้นไม้สำคัญที่ขึ้นอยู่ตามหาดชายทะเล ต้องเป็นพืชทนเค็ม และมักมี
ลักษณะไม้เป็นพุ่มลักษณะต้นคดงอ ใบหนาแข็ง ได้แก่ สนทะเล หูกวาง โพธิ์ทะเล
กระทิง ตีนเป็ดทะเล หยีน้ำ มักมีต้นเตยและหญ้าต่าง ๆ ขึ้นอยู่เป็นไม้พื้นล่าง ตามฝั่ ง
ดินและชายเขา มักพบไม้เกตลำบิด มะคาแต้ กระบองเพชร เสมา และไม้หนามชนิด
ต่าง ๆ เช่น ซิงซี่ หนามหัน กำจาย มะดันขอ เป็นต้น
20
ป่าประเภทที่ผลัดใบ (Declduous)
ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ในป่าประเภทนี้เป็นจำพวกผลัดใบแทบทั้งสิ้น ในฤดูฝนป่าประเภทนี้
จะมองดูเขียวชอุ่มพอถึงฤดูแล้งต้นไม้ ส่วนใ
หญ่จะพากันผลัดใบทำให้ป่ามองดูโปร่งขึ้น
และมักจะเกิดไฟป่าเผาไหม้ใบไม้และต้นไม้เล็ก ๆ ป่าชนิดสำคัญซึ่งอยู่ในประเภทนี้ ได้แก่
1. ป่าเบญจพรรณ (Mixed Declduous Forest)
ป่าผลัดใบผสม หรือป่าเบญจพรรณมีลักษณะเป็นป่าโปร่งและยังมีไม้ไผ่ชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่
กระจัดกระจายทั่วไปพื้นที่ดินมักเป็นดินร่วนปนทราย ป่าเบญจพรรณ ในภาคเหนือมักจะ
มีไม้สักขึ้นปะปนอยู่ทั่วไปครอบคลุมลงมาถึงจังหวัดกาญจนบุรี ในภาคกลางในภาคตะวัน
ออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก มีป่าเบญจพรรณน้อยมากและกระจัดกระจาย พันธุ์ไม้
ชนิดสำคัญได้แก่ สัก ประดู่แดง มะค่าโมง ตะแบก เสลา อ้อยช้าง ส้าน ยม หอม
ยมหิน มะเกลือ สมพง เก็ดดำ เก็ดแดง ฯลฯ นอกจากนี้มีไม้ไผ่ที่สำคัญ เช่น ไผ่ป่า
ไผ่บง ไผ่ซาง ไผ่รวก ไผ่ไร เป็นต้น
21
2. ป่าเต็งรัง (Declduous Dipterocarp Forest)
หรือที่เรียกกันว่าป่าแดง ป่าแพะ ป่าโคก ลักษณะทั่วไปเป็นป่าโปร่ง ตามพื้น
ป่ามักจะมีโจด ต้นแปรง และหญ้าเพ็ก พื้นที่แห้งแล้งดินร่วนปนทราย หรือ
กรวด ลูกรัง พบอยู่ทั่วไปในที่ราบและที่ภูเขา ในภาคเหนือส่วนมากขึ้นอยู่บน
เขาที่มีดินตื้นและแห้งแล้งมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีป่าแดงหรือป่าเต็ง
รังนี้มากที่สุด ตามเนินเขาหรือที่ราบดินทรายชนิดพันธุ์ไม้ที่สำคัญในป่าแดง
หรือป่าเต็งรัง ได้แก่ เต็ง รัง เหียง พลวง กราด พะยอม ติ้ว แต้ว มะ
ค่าแต ประดู่ แดง สมอไทย ตะแบก เลือดแสลงใจ รกฟ้า ฯลฯ ส่วนไม้
พื้นล่างที่พบมาก ได้แก่ มะพร้าวเต่า ปุ่มแป้ง หญ้าเพ็ก โจด ปรงและ
หญ้าชนิดอื่น ๆ
3. ป่าหญ้า (Savannas Forest)
ป่าหญ้าที่อยู่ทุกภาคบริเวณป่าที่ถูกแผ้วถางทำลายบริเวณพื้นดินที่ขาดความ
สมบูรณ์และถูกทอดทิ้ง หญ้าชนิดต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นทดแทนและพอถึงหน้า
แล้งก็เกิดไฟไหม้ทำให้ต้นไม้บริเวณข้างเคียงล้มตาย พื้นที่ป่าหญ้าจึงขยายมาก
ขึ้นทุกปี พืชที่พบมากที่สุดในป่าหญ้าก็คือ หญ้าคา หญ้าขนตาช้าง หญ้า
โขมง หญ้าเพ็กและปุ่มแป้ง บริเวณที่พอจะมีความชื้นอยู่บ้าง และการระบาย
น้ำได้ดีก็มักจะพบพงและแขมขึ้นอยู่ และอาจพบต้นไม้ทนไฟขึ้นอยู่ เช่น ตับ
เต่า รกฟ้าตานเหลือง ติ้วและแต้ว
22
ทรัพยากรแร่ธาตุ
แร่ธาตุเป็นทรัพยากรธรรมชาติประเภทใช้แล้วหมดไป แม้ว่าแร่ธาตุบางชนิด
อาจจะนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เช่น แร่โลหะต่างๆ แต่ก็ใช้ระยะเวลาในการเกิด
ทดแทนยาวนานมาก จึงถือว่าเป็นทรัพยากรธรรมชาติประเภทใช้แล้วหมดไป
แร่ธาตุที่มนุษย์นำมาใช้ประโยชน์มิได้มีอยู่ทั่วไปทุกหนแห่งในโลก แต่จะมี
จำกัดอยู่เฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น ทำให้แต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันทั้งใน
ด้านปริมาณและคุณภาพของทรัพยากรแร่ แต่อย่างไรก็ตามทรัพยากรแร่จะ
ถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้มากน้อยเพียงไร ย่อมขึ้นอยู่กับความเจริญก้าวหน้า
ทางเทคโนโลยีของประเทศผู้เป็นเจ้าของ และทรัพยากรแร่จะถูกนำมาใช้
อย่างคุ้มค่าหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับการบริหารการจัดการทรัพยากรแร่ที่ถูก
ต้องและเหมาะสม
23
ทรัพยากรสัตว์ป่า
สัตว์ป่า คือ สัตว์ทุกชนิดไม่ว่า สัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์ปีก แมลง หรือแมง ซึ่ง
โดยภาพธรรมชาติย่อมเกิดและดำรงชีวิตอยู่ในป่าหรือในน้ำและให้
หมายความรวมถึงไข่ของสัตว์ป่าเหล่านั้นทุกชนิดด้วย แต่ไม่หมายความรวม
ถึงสัตว์พาหนะที่ได้จดทะเบียนทำตั๋วรูปพรรณตามกฎหมาย ว่าด้วยสัตว์
พาหนะแล้วและสัตว์พาหนะที่ได้มาจากการสืบพันธุ์ของสัตว์พาหนะ ดัง
กล่าว ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ป่าไม้ อันเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า
ได้ถูกทำลายลงไปมาก ตลอดจนการไล่ล่าของมนุษย์จึงทำให้ปริมาณสัตว์
ป่ามีจำนวนลดน้อยลงทุกปีจนบางชนิดสูญพันธุ์บางชนิดก็ใกล้จะสูญพันธุ์
เพื่อรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ จึงจำเป็นที่เราจะต้องช่วยกันอนุรักษ์
สัตว์ป่าไว้โดยเร่งด่วน
24
ประเภทของสัตว์ป่า
เพื่อเป็นการปกป้องรักษาสัตว์ป่าให้มีชีวิตสืบต่อไปถึงอนุชนรุ่นหลังจึงมีการออก
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ภูมิพลอดุลเดช ป.ร. ให้ไว้
ณ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2535 เป็นปีที่ 47 ในรัชกาลปัจจุบัน แบ่งสัตว์ป่าออก
เป็น 2 ประเภท คือ
1. สัตว์ป่าสงวน เป็นสัตว์ป่าที่หายากและปัจจุบันมีจำนวนน้อยมากบางชนิด
สูญพันธุ์ไปแล้วมีอยู่ 15 ชนิด คือ นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร แรด กระซู่ กูปรีหรือ
โคไพร ควายป่า ละองหรือละมั่ง สมันหรือ เนื้อสมัน เลียงผา นกแต้วแล้วท้องดำ
นกกระเรียน แมวลายหินอ่อน สมเสร็จ เก้งหม้อและพะยูนหรือหมูน้ำ
25
2. สัตว์ป่าคุ้มครอง เป็นสัตว์ทั้งที่ปกติไม่นิยมใช้เป็นอาหารและใช้เป็นอาหาร
ทั้งที่ไม่ใช่ล่าเพื่อการกีฬาและล่าเพื่อการกีฬา ตามที่กฎกระทรวงเกษตรและ
สหกรณ์กำหนดไว้ มากกว่า 200 ชนิด เช่น ค่าง ชะนี อีเห็น ไก่ฟ้า เหยี่ยว ช้าง
ป่า แร้ง กระทิง กวาง หมีควาย อีเก้ง นกเป็ดน้ำ เป็นต้น
บทลงโทษ ทั้งสัตว์ป่าสงวนสัตว์ป่าคุ้มครองและซากของสัตว์ป่าสงวนหรือ
ซากของสัตว์ป่าคุ้มครอง ห้ามมิให้ผู้ใดทำการล่ามีไว้ในครอบครอง ค้าขายและนำ
เข้าหรือส่งออก หากผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสี่ปีหรือปรับไม่เกินสี่
หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
26
สถารณการณ์
สถานการณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ในประเทศไทย ปัจจุบันสถานการณ์ด้าน
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไทยได้
เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วทั้งทรัพยากรดิน
ทรัพยากรน้ำ ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า แร่พลังงาน
เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ส่งผมกระทบต่อ
การดำเนินชีวิตของคนไทยเป็ นอย่างมาก
ภารกิจ 27
ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลแล้วสรุปผลงานออกเป็ นแนปั ง
ความคิดตามความเข้าใจของตัวเองและให้จับกลุ่มกันกล่มล่ะ
5-6คน ให้ไปศึกษาข้อมูลแต่ล่ะข้ออย่างละเอียดแล้วเสนอ
หน้ าชั้นเรียนให้ดพื่อนๆฟังโดยให้เวลาทำอาทิตย์นี้แล้วเสนองาน
อาทิตย์หน้ า
28
แบบทดสอบ 29
1.ทรัพยากรธรรมชาติมีความหมายตรงกับข้อใด
ก.สิ่งที่เกิดกากฝื อมือมนุษย์
ข.สิ่งที่ได้จากธรรมชาติและให้ประโยชน์แก่มนุษย์
ค.เป็ นปั จจัยสำคัญที่มนุษย์ใช้ในการดำรงชีวิต
ง.สิ่งที่ไม่มีประโยชน์และเป็ นอัตรายต่อมนุษย์
2. สามารถแบ่งทรัพยากรธรรมชาติได้เป็นกี่ชนิด
ก.มี3ชนิด
ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้ไม่หมดสิ้น
ทรัพยากรธรรมชาติที่บำรุงรักษาให้คงสภาพอยู่ได้
ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วสิ้นเปลือง
ข.มีสองชนิด
ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้ไม่หมดสิ้น
ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วสิ้นเปลือง
ค.1ชนิด
ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้ไม่หมดสิ้น
ง.ผิดทุกข้อ
3.นั้ามีกี่ประเภค
ก.1ประเภค
ข.2ประเภค
ค.4ประเภค
ง.3ประเภค
30
4.แร่ธาตุเป็ นทรัพยากรประเภคใด
ก.ทรัพยากรธรรมชาติประเภทใช้แล้วหมดไป
ข.ทรัพยากรที่ใช้แล้วไม่หม
ค.ทรัพยากรที่ใช้แล้วทดแทนได้
ง.ทรัพยากรที่สามารถหาได้ง่าย
5สัตว์ป่ าสงวนมีกีชนิดในประเทศไทย
ก 15
ข 20
ค 23
ง 16
31
แหล่งอ้างอิง
: http://ebook.nfe.go.th/ebook/html/011/115.htm
13/02/2008
32
ประวัติส่วนตัวผู้จัดทำ
ชื่อ นีรภา ฟองสุจันทร์
อายุ 19 ปี
เกิด 2546
ที่อยู่ ต. แม่เหาะ อ.แม่สะจ.แม่อ่องสอน 58110
จกการศึกษา จากโรงเรียน พระหฤทัย เชียงใหม่
33