Classical period
ดนตรี
ยุคคลาสสิก
สมาชิก
นางสาวชนัญชิดา ถิระผจญ นางสาวต่วนอิมตินาน คาเว็ง นางสาวนภกุล ปริเปรมกุลข
ม.4/5 เลขที่17 ม.4/5 เลขที่18 ม.4/5 เลขที่19
ดนตรีสมัยคลาสสิค
เป็นยุคของดนตรีระหว่าง ค.ศ. 1750–1820 ดนตรีมีการเปิดกว้างสู่
ประชาชนเป็นดนตรีนอกโบสถ์ (secular music) มากขึ้น ดนตรีสมัยคลาสสิกมี
ลักษณะความเป็นจริง มีความสมดุล และชัดเจนในรูปแบบ ในยุคนี้ดนตรีบรรเลงมี
ความเด่นกว่าเพลงร้อง ดนตรีสมัยคลาสสิกเป็นดนตรีบริสุทธิ์ (absolute music) คือ
ดนตรีที่ไม่มีจินตนาการอยู่เบื้องหลัง ไม่มีบทกวีประกอบ เป็นดนตรีที่มีแต่เสียงดนตรี
บริสุทธิ์
ลักษณะดนตรีคลาสสิค
ในสมัยคลาสสิกนิยมการใส่
เสียงประสานแบบสหศัพท์ (homophony)
คือการเน้นทำนองหลักเพียงแนวเดียว โดย
มีแนวเสียงอื่นประสานให้ทำนองไพเราะมาก
ขึ้น มีแนวประสานเป็นคอร์ดหรืออาร์เปจโจ
(arpeggio) หลายแนวที่มีจังหวะคล้ายก้น
และดนตรีส่วนมากมีการเขียนเสียงประสาน
ครบถ้วน คีตกวีจะระบุวิธีการบรรเลงอย่าง
ชัดเจน
บทเพลงยุคคลาสสิค
บทเพลงลักษณะใหม่ ๆ ขึ้นในยุคนี้ คือ ซิมโฟนี คอนแชร์โต และโซนาตา ลักษณะ
การผสมวงมีกำหนดแน่นอนว่าเป็นวงเล็กหรือวงใหญ่ คือเป็นวงดนตรีเชมเบอร์หรือวงออร์
เคสตรา ผู้ประพันธ์หลายคนจึงประพันธ์แต่อุปรากรเป็นส่วนใหญ่ ลักษณะของโอเปร่าในยุคนี้
จะเน้นเรื่องศิลปะการแสดงมากขึ้น มิใช่เน้นเพียงการร้องเท่านั้น
• SYMPHONY NO.104 - ไฮเดิน • SONATA IN D MAJOR, K.119 - สกาลัตตี
• ORFEO AND EURYDICE - กลุค • REQUIEM MASS, K.626 - โมทซาร์ท
• SYMPHONY NO.1,2 - เบทโฮเฟิน • DON GIOVANNI (OPERA) - โมทซาร์ท
• THE CREATION (ORATORIO) - ไฮเดิน
เครื่องดนตรียุคคลาสสิค
คลาริเน็ต เปียโน
ฟลูต บาสซูน
คีตกวียุคลาสสิค ลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน
ฟรันทซ์ โยเซ็ฟ ไฮเดิน
คริสท็อฟ วิลลีบัลท์ กลุค
ว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท
ดนตรีคลาสสิกจะใช้เครื่องดนตรีทั้งหมด 4 กลุ่ม คือ
1. เครื่องสาย เช่นไวโอลีนวิโอลาเชลโลและดับเบิลเบส
2. เครื่องลมไม้ เช่น ฟลูตคลาริเน็ตโอโบบาสซูนปิคโค
3. เครื่องลมทองเหลือง เช่นทรัมเป็ตทรอมโบนทูบาเฟรนช์ฮอร์น
4. เครื่องกระทบ เช่นกลองทิมปานีฉาบกลองใหญ่ กิ๋ง
เมื่อเล่นรวมกันเป็นวงจะเรียกว่า วงดุริยางค์หรือออร์เคสตรา รวมถึงการร้องเพลงประสานเสียง หรือการร้องเพลงเป็น
หมู่คณะ จะมีหลักของการร้องเพลงประสานเสียง คือต้องมีความก้องกังวาน มีพลัง และต้องเข้าใจถึงความเข้าทำนอง ในเนื้อ
เพลงของการร้องเป็นหมู่คณะอีกด้วย อีกวงที่ได้รับความนิยมคือ โมสาร์ท กับเพลงที่คุ้นเคยกันดี คือเพลง Eine Kleine
Nachtmusik เป็นเพลงจังหวะเร็วเร้าใจ ทรงพลัง ซึ่งปัจจุบันจะนำเพลงเหล่านี้ รวมเพลงคลาสสิค มาประกอบโฆษณายี่ห้อ
สินค้าดังๆ จึงทำให้คุ้นหูจนทุกวันนี้
สรุปลักษณะสำคัญของดนตรีสมัยคลาสสิก
1. ฟอร์ม หรือคีตลักษณ์ (Forms)
มีโครงสร้างที่ชัดเจนแน่นอน และยึดถือปฏิบัติมาเป็นธรรมเนียมนิยมอย่างเคร่งครัดเห็นได้จากฟอร์มโซนาตาที่เกิด
ขึ้นในสมัยคลาสสิก
2. สไตล์ทำนอง (Melodic Style)
มีความแจ่มแจ้งและความเรียบง่ายซึ่งมักจะทำตามกันมา มีสไตล์ใช้กลุ่มจังหวะตัวโน้ตในการสร้างทำนอง
(Figuration Style) ซึ่งนิยมกันมาก่อนในสมัยบาโรกในดนตรีแบบ Polyphony
3. สไตล์แบบโฮโมโฟนิค (Homophonic Style)
ความสำคัญอันใหม่ที่เกิดขึ้นแนวทำนองพิเศษในการประกอบทำนองหลัก (Theme) ก็คือลักษณะพื้นผิวที่ได้รับ
ความนิยมมากกว่าสไตล์พื้นผิวแบบโพลี่โฟนีเดิม สิ่งพิเศษของลักษณะดังกล่าวนั่นก็คือ Alberti bass ซึ่งก็คือ
ลักษณะการบรรเลงคลอประกอบแบบ Broken Chord ชนิดพิเศษ
ดนตรีคลาสสิคสมัยปัจจุบัน
นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์ดนตรีคลาสสิคให้น่าสนใจมากขึ้น ด้วยการลดกรอบต่างๆ
ที่เคยเป็นเกราะอันแข็งแกร่งของบทเพลงให้น้อยลง แล้วเติมความคิดสร้างสรรค์ให้
มากขึ้นเรื่อยๆ บางคนก็ปรับจังหวะใหม่ ลองบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีแบบใหม่ หรือ
แม้แต่เอาเพลงคลาสสิคหลายๆ เพลงมาผสมผสานกันก็มีให้เห็นอยู่บ้าง จุดที่น่าสนใจ
มากและน่าจะเป็นการปลุกให้เพลงคลาสสิคฟื้ นคืนชีพอย่างถาวรก็คือ การเอาดนตรี
คลาสสิคมารวมกับเทคนิคในการพัฒนาตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่คนยุคใหม่ต้องการมากๆ
ทั้งยังไม่ได้เป็นการกล่าวขึ้นมาลอยๆ แต่มีงานวิจัยสมัยใหม่มารองรับแนวความคิดนี้
อีกด้วย จากดนตรีคลาสสิคที่มีเฉพาะในโรงละครหรือพระราชวัง ก็กระจายสู่ทุก
หลังคาเรือนอย่างรวดเร็ว
จบการนำเสนอ