The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานการวิจัยในชั้นเรียน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by buddyrungfa11, 2023-09-18 06:59:13

รายงานการวิจัยในชั้นเรียน

รายงานการวิจัยในชั้นเรียน

รายงานการวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การแก้ปัญหาการขาดทักษะการวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาด โดยใช้ชุดแบบฝึก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์นครศรีธรรมราช โดย นางสวรรยา วงค์วิวิชพัฒนา ตำแหน่ง ครูชำนาญการ โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ นครศรีธรรมราช อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 12


บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาคะแนนก่อนเรียนและคะแนนหลังเรียนของทักษะ การวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาด โดยใช้ชุดแบบฝึก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2. เพื่อ เปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและคะแนนหลังเรียนของทักษะการวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาด โดยใช้ ชุดแบบฝึก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังจากที่เรียนโดยใช้ชุดแบบฝึก การวิเคราะห์ ส่วนประสมทางการตลาด จำนวน 10 คน ใช้ระยะเวลา ตลอดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ในรายวิชา งานธุรกิจ สัปดาห์ละ 2 คาบเรียน รวมทั้งสิ้น 40 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ซึ่งสร้างขึ้นโดยผู้วิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียน 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 10 คน ด้วยกิจกรรม การเรียนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง การลงมือปฏิบัติจริงทุกคน มีผลการเรียน ระดับดีขึ้นคิดเป็น 100 %


กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยในครั้งนี้สามารถสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี ผู้วิจัยต้องกราบขอบพระคุณ ผู้อำนวยการโรงเรียน ที่ให้ ความกรุณาเมตตา ให้การอบรม สั่งสอน ชี้แนะ ช่วยเหลือในการศึกษาทำวิจัย ตลอดจนให้การแนะนำในการ เขียนรายงานการวิจัย สนับสนุนส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญการศึกษาค้นคว้าด้วย ตนเองและการลงมือปฏิบัติจริง ให้แก่คณะครูและนักเรียนอย่างเต็มศักยภาพ กราบขอบพระคุณบิดา มารดา ที่กรุณาอุปการะเลี้ยงดู ตลอดจนส่งเสริมให้ได้รับการศึกษา และให้ กำลังใจเป็นอย่างดีเสมอมาขอบคุณครอบครัวและเพื่อนร่วมงานทุกคนที่ช่วยสนับสนุนให้กำลังใจจนกระทั่ง งานวิจัยฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยดี นางสวรรยา วงค์วิวิชพัฒนา


สารบัญ หน้า บทคัดย่อ ก บทที่ 1 บทนำ 1 บทที่ 2 ทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง 6 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย 15 บทที่ 4 ผลการวิจัย 17 บทที่ 5 สรุปผล และข้อเสนอแนะ 21 เอกสารอ้างอิง ภาคผนวก


บทที่ 1 บทนำ ความสำคัญและที่มาของปัญหา การเปลี่ยนแปลงของโลกเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ถือเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพราะธุรกิจ ในอดีต ได้ถูกแทนที่ด้วยเศรษฐกิจและบริการที่ขับเคลื่อนด้วย ข้อมูล ความรู้และนวัตกรรม มีการนําเทคโนโลยี ไปใช้ในการเพิ่มผลผลิต แทนการใช้แรงงานแบบเดิมจากสถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นวาคนที่จะประสบ ความสำเร็จได้จะต้องมีทักษะ ในการเผชิญกบโลกที่ซับซ้อนขึ้น แต่ปัจจุบันระบบการศึกษาของรัฐยังไม่ได้ ส่งเสริมให้นักเรียน มีความรู้ ความสามารถและมีทักษะในการประยุกต์ให้เข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เพราะยังยึดติดอยู่กับการถ่ายทอดความรู้ป้อนสู่ผู้เรียน อันไม่เหมาะกบการสอนในศตวรรษที่ ั21 ที่ไม่ได้เน้น ที่ความรู้ แต่เน้นที่ทักษะ (Skill) การเรียนที่ทำให้เด็กรู้สึก ท้าทาย มีกิจกรรมให้ทำ เรียกว่าเป็นการเรียน แบบ Action Learning คือหาความรู้ด้วยตนเอง เป็นการเรียนรู้จากการได้ลงมือทำจริง ซึ่งจะทำให้เด็กไม่เบื่อหน่าย ในการเรียน แต่เวลานี้การศึกษาไทยยังเดินไปไม่ถึงจุดนั้น ครูจะมีบทบาทสำคัญกว่าเดิมแต่ไม่ใช่ในฐานะผู้สอน ครูต้องเปลี่ยนความคิด ต้องละทิ้งความยึดมันถือว่ามั่นใจในเนื้อหาวิชา แล้วปรับตัวมาสู่การเป็นผู้ออกแบบการ เรียนรู้ ตั้งคําถาม เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิดและลงมือปฏิบัติ เพราะการลงมือทำจะช่วยสนับสนุนให้เด็กได้เกิด ทักษะที่เกิดการเรียนรู้(Learning skill) เพื่อให้เด็กสามารถนําความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เอง (วิจารณ์ พานิช, 2555) การศึกษานับว่ามีความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากร ดังจะเห็นได้จากแนวการจัด การศึกษาที่ได้ระบุไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552:6) ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติ ที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อการ ประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถ เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ อีกทั้งหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ยัง มีความประสงค์ที่จะให้เยาวชนไทยมีความรู้อันเป็นสากล และ มีความสามารถในการสื่อสาร การคิด การ แก้ปัญหาใช้เทคโนโลยีและมีทักษะชีวิต ผู้วิจัยได้สังเกตพฤติกรรมของของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ส่วนใหญ่ขาดความเข้าใจเรื่อง ส่วนผสมทางการตลาด Marketing Mix หรือ 7P’s ปัญหาดังกล่าวอาจส่งผลให้นักศึกษาเกิดปัญหาการเรียน ในระดับชั้นที่สูงขึ้นและวิชาอื่นที่เกี่ยวข้อง จากการสังเกตพฤติกรรมของของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ขณะการทาการเรียนการสอนนักศึกษาไม่สามารถอธิบายหรือยกตัวอย่างประกอบได้ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษา วิธีการ การเรียนการสอน โดยใช้ชุดแบบฝึก วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาคะแนนก่อนเรียนและคะแนนหลังเรียนของทักษะการวิเคราะห์ส่วนประสมทาง การตลาด โดยใช้ชุดแบบฝึก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2. เพื่อเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและคะแนนหลังเรียนของทักษะการวิเคราะห์ส่วนประสมทาง การตลาด โดยใช้ชุดแบบฝึก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2


3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังจากที่เรียนโดยใช้ชุดแบบฝึก การ วิเคราะห์ ส่วนประสมทางการตลาด สมมติฐานการวิจัย 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเรียนด้วยชุดแบบฝึก การวิเคราะห์ ส่วนประสมทางการตลาด 2. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังจากที่เรียนโดยใช้ชุดแบบฝึก การวิเคราะห์ ส่วนประสมทางการตลาด ขอบเขตการวิจัย ขอบเขตของการวิจัยครั้งนี้ แบ่งเป็น 3 ด้าน ประกอบด้วยขอบเขตด้านเนื้อหา ขอบเขตด้านประชากร และกลุ่มตัวอย่างและขอบเขตด้านตัวแปรซึ่งแต่ละด้านมีรายละเอียดดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็น นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเฉลิม พระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ นครศรีธรรมราช จำนวนทั้งสิ้น 10 คน 2. ตัวแปรที่ศึกษา 2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ (Independent Variable) ได้แก่ ชุดแบบฝึก 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ 2.2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.2.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องส่วนผสมทางการตลาด Marketing Mix หรือ 7P’s 2.2.3 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยกิจกรรมการเรียน เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษา ศึกษาเกี่ยวกับหลักการตลาดบริการ คุณสมบัติของพนักงานบริการ ส่วนประสมการตลาดบริการ คุณภาพบริการตลาดเป้าหมาย พฤติกรรมความต้องการของลูกค้า กระบวนการตัดสินใจซื้อ กลยุทธ์การตลาด บริการ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อลูกค้า ระยะเวลาที่ใช้ในการทดลอง ระยะเวลาตลอดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ในรายวิชา การงานอาชีพ สัปดาห์ละ 2 คาบ เรียน รวมทั้งสิ้น 40 ชั่วโมง วัน / เดือน / ปี กิจกรรม หมายเหตุ ตุลาคม 2565 - ศึกษาสภาพปัญหาและวิเคราะห์หาแนวทาง แก้ปัญหา พฤศจิกายน 2565 - เขียนเค้าโครงงานวิจัย


วัน / เดือน / ปี กิจกรรม หมายเหตุ - ศึกษาการทำสื่อประกอบการเรียน พฤศจิกายน 2565 - ออกแบบเครื่องมือที่จะใช้ในงานวิจัย ธันวาคม 2565 - ดำเนินการวิจัย ผู้วิจัยบันทึกผล มกราคม 2565 - เก็บรวบรวมข้อมูล กุมภาพันธ์ 2565 - วิเคราะห์ข้อมูล มีนาคม 2565 - สรุปและอภิปรายผล - จัดทำรูปเล่ม นิยามศัพท์เฉพาะ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือผลสาเร็จที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้ จำแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตามลักษณะของวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่แตกต่างกัน ชุดแบบฝึกทักษะ หมายถึง เป็นชุดการเรียนรู้ที่ครูจัดทาขึ้น ให้ผู้เรียนได้ทบทวนเนื้อหาที่เรียนรู้มาแล้ว เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจจะช่วยเพิ่มทักษะความชานาญ และช่วยฝึกทักษะการคิดให้มากขึ้น ทั้งยังมี ประโยชน์ในการลดภาระให้กับครู อีกทั้งพัฒนาความสามารถของ ผู้เรียนทาให้ผู้เรียนมองเห็น ความก้าวหน้า จากผลการเรียนรู้ของตนเองได้ การคิดวิเคราะห์ หมายถึง แสวงหาข้อเท็จจริงด้วยการระบุ จำแนก แยกแยะ ข้อมูลในสถานการณ์ที่ เป็นแหล่งคิด วิเคราะห์ ทั้งที่เป็นข้อเท็จจริงกับความคิดเห็น หรือจุดเด่น จุดด้อย ในสถานการณ์เป็นการจัด ข้อมูลให้เป็น ระบบเพื่อไปใช้เป็นพื้นฐานในการคิดระดับอื่นๆ ความจา หมายถึง ความสามารถที่จะทรง ไว้ซึ่งสิ่งที่รับรู้ไว้ แล้วระลึกออกมา อาจระลึกออกมาในรูป ของรายละเอียด ภาพ ชื่อ สิ่งของ วัตถุ ประโยค และแนวคิด ฯลฯ ความจามี 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ จาอย่างมี ความหมายและ จาอย่างไม่มีความหมาย ผลิตภัณฑ์ (Product) หมายถึง สิ่งที่เสนอขายโดยธุรกิจเพื่อสนองความต้องการของ ลูกค้าให้พึง พอใจ ผลิตภัณฑ์ที่เสนอขายอาจจะมีตัวตน หรือไม่มีตัวตนก็ได้ ผลิตภัณฑ์จึง ประกอบด้วย สินค้า บริการ ความคิด สถานที่ องค์กรหรือบุคคล ผลิตภัณฑ์ต้องมีอรรถประโยชน์ (Utility) มีค่า (Value) ในสายตาของลูกค้า จึงจะมีผลทาให้ผลิตภัณฑ์สามารถขายได้ ราคา (Price) หมายถึง คุณค่าผลิตภัณฑ์ในรูปตัวเงิน ราคาเป็น P ตัวที่สองที่เกิดขึ้นมา ถัดจาก Product ราคาเป็นต้นทุน (Cost)ของลูกค้าผู้บริโภคจะเปรียบเทียบระหว่างคุณค่า (Value) ผลิตภัณฑ์กับราคา (Price) ถ้าคุณค่าสูงกว่าราคาเขาก็จะตัดสินใจซื้อ ช่องการจัดจาหน่าย (Place หรือ Distribution) หมายถึง ช่องทางการจัดจาหน่าย หมายถึง ช่องทาง ในการทาให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงและเลือกใช้บริการได้ ซึ่งมักจะทาโดยผ่านตัวกลางต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน ตลาด เช่น บริษัทนาเที่ยว (Tour Operator) และบริษัทตัวแทนท่องเที่ยว (Tour Agent) ต่าง ๆ โดยช่อง


ทางการจัดจาหน่ายต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่ได้เป็นเพียงช่องทางในการขายสินค้า หรือ บริการเท่านั้น แต่ยังเป็น ช่องทางในการกระจายข้อมูลข่าวสาร การส่งเสริมการขาย การจอง และ การชาระเงินอีกด้วย การส่งเสริมการตลาด (Promotion) หมายถึง เป็นการติดต่อสื่อสารเกี่ยวกับข้อมูลระหว่างผู้ซื้อ และ ผู้ขาย เพื่อสร้างทัศนคติ และพฤติกรรมการซื้อ การติดต่อสื่อสารอาจใช้พนักงานขาย ทาการขาย (Personal Selling)และการติดต่อสื่อสารโดยไม่ใช้คน (Non -Personal Selling) เครื่องมือใน การติดต่อสื่อสารมีหลาย ประการ ซึ่งอาจใช้เครื่องมือการสื่อสารแบบประสมประสานกัน (Integrated Marketing Communication) โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมกับลูกค้า ผลิตภัณฑ์ คู่แข่งขัน โดยบรรลุจุดมุ่งหมายร่วมกันได้ ด้านบุคคล ( People ) หรือพนักงาน ( Employee ) หมายถึง เป็นการคัดเลือก การฝึกอบรม การจูงใจ เพื่อ ให้สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้แตกต่างเหนือคู่แข่งขันเป็นความ สัมพันธ์ระหว่าง เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการต่าง ๆ ขององค์กร เจ้าหน้าที่ต้องมีความสามารถ มีทัศนคติที่สามารถ ตอบสนองต่อผู้ใช้บริการ มีความคิดริเริ่ม มีความสามารถในการแก้ไขปัญหา สามารถสร้างค่านิยมให้กับ องค์กร ด้านกระบวนการ ( Process) หมายถึงเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับระเบียบวิธีการและงานปฏิบัติใน ด้านการบริการ ที่นาเสนอให้กับผู้ใช้บริการเพื่อมอบการให้บริการอย่างถูกต้องรวดเร็ว และทาให้ผู้ใช้บริการ เกิดความประทับใจ ด้านการสร้างและนาเสนอลักษณะทางกายภาพ (Physical Evidence and Presentation) หมายถึงเป็นการสร้างและนาเสนอลักษณะทางกายภาพให้กับลูกค้า โดยพยายามสร้างคุณภาพโดยรวม ทั้งทาง ด้ายกายภาพและรูปแบบการให้บริการเพื่อสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นด้านการแต่งกายสะอาด เรียบร้อย การเจรจาต้องสุภาพอ่อนโยน และการให้บริการที่รวดเร็ว หรือผลประโยชน์อื่น ๆ ที่ลูกค้าควรได้รับ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. คะแนนก่อนเรียนและคะแนนหลังเรียนของทักษะการวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาด โดยใช้ ชุดแบบฝึก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สูงขึ้น 3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังจากที่เรียนโดยใช้ชุดแบบฝึก การวิเคราะห์ ส่วนประสมทาง การตลาดมีความพึงพอใจมากขึ้น


บทที่ 2 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษา เอกสาร ตาราและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นแนวทางในการ วิจัย ดังนี้ 1. แนวคิดเกี่ยวกับส่วนประสมทางการตลาด 2. แนวคิดเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3. ความหมายทักษะการคิดวิเคราะห์ 4. ความสำคัญทักษะการคิดวิเคราะห์ 5. แนวคิดและหลักการที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึกทักษะ 6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับส่วนประสมทางการตลาด ความหมายของส่วนประสมทางการตลาด (Marketing Mix) คอตเลอร์(Kotler, 2000, p. 14) ได้ให้ ความหมายของส่วนประสมทางการตลาดไว้ว่าเป็น กลุ่ม ของเครื่องมือทางการตลาดที่องค์กรใช้ในการปฏิบัติ ตามวัตถุประสงค์ทางการตลาดกลุ่มเป้าหมาย ธงชัย สันติวงษ์ (2540, หน้า 34) ได้ให้ความหมายของส่วนประสมทางการตลาดว่า หมายถึง การ ผสมที่เข้ากันได้อย่างดีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของการกาหนดราคา การส่งเสริมการ ขายผลิตภัณฑ์ที่เสนอขาย และระบบการจัดจาหน่ายซึ่งได้มีการจัดออกแบบเพื่อใช้สาหรับการเข้าถึง กลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการ ศิริวรรณ เสรีรัตน์และคณะ (2546, หน้า 53) ได้ให้ความหมายของส่วนประสมทาง การตลาดว่า เป็น ตัวแปรทางการตลาดที่ควบคุมได้ซึ่งบริษัทใช้ร่วมกันเพื่อตอบสนองความพึง พอใจแก่กลุ่มเป้าหมาย เสรี วงษ์มณฑา (2542, หน้า 17) ได้ให้ความหมายของส่วนประสมทางการตลาด (Marketing Mix หรือ4Ps) ไว้ว่า ส่วนประสมทางการตลาด หมายถึง ตัวแปรทางการตลาดที่ควบคุม ได้ ซึ่งบริษัทใช้ร่วมกันเพื่อ ตอบสนองความพึงพอใจแก่กลุ่มเป้าหมาย หรือเป็นเครื่องมือที่ใช้ ร่วมกันเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการ ติดต่อสื่อสารขององค์การ จากความหมายข้างต้น พอจะสรุปได้ว่าส่วนประสมทางการตลาด หมายถึง ตัวแปรทาง การตลาดที่ ควบคุมได้ ซึ่งเป็นกลุ่มของเครื่องมือทางการตลาดที่องค์กรใช้ร่วมกันเพื่อตอบสนอง ความต้องการแก่กลุ่มลูกค้า เป้าหมาย ทฤษฎีส่วนประสมทางการตลาด ส่วนประสมการตลาด (Marketing Mix) คือ องค์ประกอบที่สำคัญในการดาเนินงานการตลาด เป็น ปัจจัยที่กิจการสามารถควบคุมได้ กิจการธุรกิจจะต้องสร้างส่วนประสมการตลาดที่เหมาะสมในการวางกล ยุทธ์ ทางการตลาด ( ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ, 2541: 35-36, 337 ) ส่วนประสมการตลาด ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ (Product) การจัดจาหน่าย (Place) การกำหนดราคา (Price) การส่งเสริมการตลาด (Promotion) เราสามารถเรียกส่วนประสมทางการตลาดได้อีก อย่างหนึ่งว่า 4’Ps ส่วนประกอบทั้ง 4 ตัวนี้ ทุกตัวมีความเกี่ยวพันกัน P แต่ละตัวมีความสำคัญเท่าเทียมกัน แต่ขึ้นอยู่กับ ผู้บริหารการตลาดแต่ละคนจะวางกลยุทธ์ โดยเน้นน้าหนักที่ P ใดมากกว่ากัน เพื่อให้สามารถ ตอบสนองความ ต้องการของเป้าหมายทางการตลาด คือ ตัวผู้บริโภค


1. ผลิตภัณฑ์ (Product) ปัจจัยแรกที่จะแสดงว่ากิจการพร้อมจะทาธุรกิจได้ กิจการนั้น จะต้องมีสิ่งที่ จะเสนอขาย อาจเป็นสินค้าที่มีตัวตน บริการ ความคิด (Idea) ที่จะตอบสนองความต้อง การ ได้ การศึกษา เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นั้น นักการตลาด มักจะศึกษาผลิตภัณฑ์ในรูปของผลิต ภัณฑ์เบ็ดเสร็จ (Total Product) ซึ่ง หมายถึง ตัวสินค้า บวกกับความพอใจและผลประโยชน์อื่นที่ผู้บริโภคได้รับจากการซื้อสินค้านั้น ผู้บริหาร การตลาดจะต้องมีการปรับปรุงสินค้าหรือบริการที่ผลิตขึ้นมาให้สอดคล้องกับความต้องการของ กลุ่มเป้าหมาย โดยเน้นถึงการสร้างความพอใจให้แก่ผู้ บริโภคและสนองความต้องการของผู้บริโภคเป็นสำคัญ ในการศึกษา เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ จะต้องศึกษาปัญหาต่างๆ ที่ครอบคลุมถึงการเลือกตัวผลิตภัณฑ์ หรือ สาย ผลิตภัณฑ์ การ เพิ่มหรือลดชนิดของสินค้าในสายผลิตภัณฑ์ ลักษณะของผลิตภัณฑ์ ในเรื่องคุณภาพ ประสิทธิภาพ สี ขนาด รูปทรง การให้บริการประกอบการขาย การรับประกัน ฯลฯ ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมา จาหน่ายตอบสนองความ ต้องการของผู้บริโภคกลุ่มใด วงจรผลิตภัณฑ์ของสินค้ามีระยะเวลานานเท่าใด ในแต่ ละช่วง เวลาของวงจร ผลิตภัณฑ์นั้น นักบริหารการตลาดควรจะใช้กลยุทธ์ทางการตลาดอย่างไร และเมื่อ ต้องการที่จะสร้างความ เจริญก้าวหน้าให้แก่กิจการ ธุรกิจจะต้องมีการวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้สอด คล้องกับความต้องการของ ตลาดได้อย่างไร 2. การกำหนดราคา (Price) เมื่อธุรกิจได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้นมารวมทั้งหาช่องทางการจัดจา หน่ายและวิธีการแจกจ่ายตัวสินค้าได้แล้ว สิ่งสำคัญที่ธุรกิจจะต้องดาเนินการต่อไป คือ การกาหนดราคา ที่ เหมาะสมให้กับผลิตภัณฑ์ที่จะนาไปเสนอขายก่อนที่จะกาหนดราคาสินค้า ธุรกิจต้องมีเป้าหมายว่าจะตั้งราคา เพื่อต้องการกาไร หรือเพื่อขยายส่วนถือครองตลาด (Market Share) หรือเพื่อเป้าหมายอย่างอื่น อีกทั้งต้องมี การใช้กลยุทธ์ในการตั้งราคาที่จะทาให้เกิดการยอมรับจากตลาดเป้า หมายและสู้กับคู่แข่งขันได้ในการแข่งขัน ในตลาด กลยุทธ์ราคาเป็นเครื่องมือที่คู่แข่งขันนามาใช้ได้ ผลรวดเร็วกว่าปัจจัยอื่นๆ เช่น การลดราคา หรืออาจ ตั้งราคาสินค้าให้สูงสาหรับสินค้าที่มีลักษณะพิเศษในตัวของมันเองเพื่อแสดงภาพพจน์ที่ดีอาจใช้ผลทาง จิตวิทยามาช่วยเสริมการตั้งราคา การตั้งราคาสินค้าอาจมีนโยบายการให้สินเชื่อหรือนโยบายการให้ส่วนลดเงิน สดส่วนลดการค้า หรือส่วน ลดปริมาณ ฯลฯ นอกจากนั้นธุรกิจจะต้องคานึงถึงกฎข้อบังคับทางกฎหมายที่จะมี ผลกระทบต่อราคาด้วย ราคามูลค่าผลิตภัณฑ์ในรูปตัวเงิน ราคาเป็นต้นทุนของลูกค้า ผู้บริโภคจะเปรียบเทียบ ระหว่างคุณค่าของผลิตภัณฑ์กับราคาผลิตภัณฑ์นั้น ถ้าคุณค่าสูงกว่าราคา เขาจะตัดสินใจซื้อ ดังนั้น ผู้กาหนด กลยุทธ์การตลาดด้านราคาต้องคานึงถึงประเด็นต่างๆ ดังนี้ 2.1 คุณค่าที่รับรู้ ในสายตาของลูกค้า ซึ่งต้องพิจารณาว่าการยอมรับของลูกค้าใน คุณค่าของ ผลิตภัณฑ์ว่าสูงกว่าราคานั้น ผลิตภัณฑ์นั้น 2.2 ต้นทุนสินค้าและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง 3.3 การแข่งขัน 3.4 ปัจจัยอื่นๆ 3. การจัดจำหน่าย (Place or Distribution) ผลิตภัณฑ์ที่ผู้ผลิตผลิตขึ้นมาได้นั้น ถึงแม้ว่า จะมี คุณภาพดีเพียงใดก็ตาม ถ้าผู้บริโภคไม่ทราบแหล่งซื้อและไม่สามารถจะจัดหามาได้เมื่อเกิดความต้องการ ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นมาก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้ ดังนั้น นักการตลาดจึงจาเป็นต้อง พิจารณาว่าที่ไหน เมื่อไร และโดยใครที่จะเสนอขายสินค้า การจัดจาหน่ายเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่ก็เป็นสิ่งจา เป็นที่ต้องศึกษา การจัดจาหน่ายแบ่งกิจกรรมออกเป็น 2 ส่วน คือ ช่องทางจาหน่ายสินค้า ( Channel of Distribution) เน้นการศึกษาถึงชนิดของช่องทางการจาหน่ายว่าจะใช้วิธีการขายสินค้าให้กับผู้บริโภค โดยตรง หรือการขายสินค้าผ่านสถาบันคนกลางต่างๆ บทบาทของสถาบันคนกลางต่าง ๆ เช่น พ่อค้า ส่ง (Wholesalers ) พ่อค้าปลีก (Retailers) และตัวแทนคนกลาง (Agent Middleman) ที่มีต่อตลาด อีก ส่วนหนึ่งของกิจกรรม


การจัดจาหน่ายสินค้า คือ การแจกจ่ายตัวสินค้า (Physical Distribution) การกระจาย สินค้าเข้าสู่ตัวผู้บริโภค การเลือกใช้วิธีการขนส่ง Transportation) ที่เหมาะสมในการช่วยแจกจ่ายสินค้า สื่อ การขนส่งได้แก่ การ ขนส่งทางอากาศ ทางรถยนต์ ทางรถไฟ ทางเรือ และทางท่อ ผู้บริหารการตลาดจะต้อง คานึงว่าจะเลือกใช้สื่อ อย่างใดถึงจะดีที่สุด โดยเสียค่าใช้จ่ายตและสินค้านั้นไปถึงลูกค้าทันเวลา ขั้นตอนที่ สำคัญอีกประการหนึ่งใน การแจกจ่ายตัวสินค้า คือ ขั้นตอนของการจัดเก็บรักษาสินค้า (Storage) เพื่อรอการ จาหน่ายให้ทันเวลาที่ ผู้บริโภคต้องการ 4. การส่งเสริมการตลาด (Promotion) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการติดต่อสื่อสารไป ยัง ตลาดเป้าหมาย การส่งเสริมการตลาดเป็นวิธีการที่จะบอกให้ลูกค้าทราบเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เสนอขาย วัตถุประสงค์ของการส่งเสริมการตลาด เพื่อบอกให้ลูกค้าทราบว่ามีผลิตภัณฑ์ออกจาหน่ายใน ตลาดพยายาม ชักชวนให้ลูกค้าซื้อและเพื่อเตือนความทรงจากับตัวผู้บริโภค การส่งเสริมการตลาดจะต้องมีการศึกษาถึง กระบวนการติดต่อสื่อสาร (Communication Process) เพื่อเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้รับกับผู้ส่ง การ ส่งเสริมการตลาดมีเครื่องมือสำคัญที่จะใช้อยู่ 4 ชนิดด้วยกัน ที่เรียกว่าส่วนผสมของการส่งเสริมการตลาด (Promotion Mix) ได้แก่ 4.1 การขายโดยใช้พนักงาน (Personal Selling) เป็นการเสนอขายสินค้าแบบ เผชิญหน้ากัน (Faceto-Face) พนักงานขายต้องเข้าพบปะกับผู้ซื้อโดยตรงเพื่อเสนอขายสินค้า การส่งเสริม การตลาดโดยวิธีนี้เป็น วิธีที่ดีที่สุด แต่เสียค่าใช้จ่ายสูง 4.2 การโฆษณา (Advertising) หมายถึงรูปแบบของการจ่ายเงินเพื่อการส่งเสริม การตลาด โดยมิได้ อาศัยตัวบุคคลในการนาเสนอหรือช่วยในการขาย แต่เป็นการใช้สื่อโฆษณาประเภทต่างๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ป้ายโฆษณา อินเตอร์เน็ท (Internet) สื่อโฆษณาเหล่านี้จะสามารถ เข้าถึงผู้บริโภคเป็น กลุ่มใหญ่ เหมาะสาหรับสินค้าที่ต้องการกระจายตลาดกว้าง 4.3 การส่งเสริมการขาย (Sales Promotion) หมายถึงกิจกรรมที่ทาหน้าที่ช่วย พนักงานขายและการ โฆษณาในการขายสินค้า การส่งเสริมการขายเป็นการกระตุ้นผู้บริโภคให้เกิดความ ต้องการในตัวสินค้า การ ส่งเสริมการขายจัดทาในรูปของการแสดงสินค้า การแจกของตัวอย่าง แจกคูปอง ของ แถม การใช้แสตมป์เพื่อ แลกสินค้าการชิงโชคแจกรางวัลต่างๆ ฯลฯ 4.4 การเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ (Publicity and Public Relation) ใน ปัจจุบันธุรกิจมักสนใจ ภาพพจน์ของกิจการ ธุรกิจได้ใช้เงินจานวนมากเพื่อสร้างชื่อเสียงและภาพพจน์ของ กิจการ ปัจจุบันองค์กร ธุรกิจส่วนใหญ่ไม่ได้เน้นที่การแสวงหากาไร (Maximize Profit) เพียงอย่าง เดียว ต้องเน้นที่วัตถุประสงค์ของ การให้บริการแก่สังคมด้วย (Social Objective) เพราะความอยู่รอดของ องค์การธุรกิจจะขึ้นอยู่กับการยอมรับ ของกลุ่มผู้บริโภคในสังคม ถ้าหากกลุ่มผู้บริโภคต่อ ต้านหรือมีความคิด ว่าองค์การธุรกิจแสวงหาผลประโยชน์ ให้กับตนมากจนไม่คานึงถึงสังคม หรือผู้บริโภค เช่น การผลิตสินค้า แล้ว ปล่อยน้าเสียลงแม่น้าหรือทาให้อากาศ เป็นพิษ ก่อให้เกิดผลเสียแก่ส่วนรวม โดยมิได้หาวิธีแก้ไข จะสร้าง ภาพพจน์ที่ไม่ดีขององค์การธุรกิจ หรือตัวอย่างของ บริษัทบุญรอดบริเวอรี่ จากัด เป็นกิจการขายเบียร์ ซึ่งมีส่วนในการเสนอสิ่งที่เป็นพิษ ภัยต่อประชาชน จึงพยายามทาป้ายโฆษณาเพื่อเสริมสร้างภาพพจน์ ด้วยการเสนอเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติ อนุรักษ์วัฒนธรรมไทย เป็นการชดเชย เบี่ยงเบนความรู้สึกต่อต้านของสังคม หากกลุ่มผู้บริโภคไม่พอใจและไม่ ต้องการซื้อสินค้าและบริการของผู้ผลิต ย่อมเป็นสาเหตุที่จะจากัดการเจริญเติบโตของธุรกิจได้


4.5.กระบวนการ (Process) เป็นการสร้างสรรค์และการส่งมอบส่วนประกอบของ ผลิตภัณฑ์โดย อาศัยกระบวนการที่วางแผนมาเป็นอย่างดี กลยุทธ์ที่สำคัญสาหรับการบริการ คือ เวลาและประสิทธิภาพในการ บริการ ดังนั้นกระบวนการบริการที่ดีจึงควรมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในกาส่งมอบ รวมถึงต้องง่ายต่อ การปฏิบัติการ เพื่อที่พนักงานจะได้ไม่เกิดความสับสน ทางานได้อย่างถูกต้องและมีแบบแผน เดียวกันและงาน ที่ได้ต้องดีมีประสิทธิภาพและคุณภาพ 5. ด้านบุคคล (People) หรือบุคลากร หมายถึง พนักงานที่ทางานเพื่อก่อประโยชน์ให้แก่ องค์กร ต่างๆ ซึ่งนับรวมตั้งแต่เจ้าของกิจการ ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารระดับกลาง ผู้บริหารระดับล่าง พนักงานทั่วไป แม่บ้าน เป็นต้น โดยบุคลากรนับได้ว่าเป็นส่วนผสมทางการตลาดที่มีความสำคัญ เนื่องจากเป็นผู้คิด วางแผน และปฏิบัติงาน เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นไปในทิศทางที่วางกลยุทธ์ไว้ นอกจากนี้บทบาทอีกอย่างหนึ่งของ บุคลากรที่มีความสำคัญ คือ การมีปฏิสัมพันธ์และสร้างมิตรไมตรี ต่อลูกค้า เป็นสิ่งสำคัญที่จะทาให้ลูกค้าเกิด ความพึงพอใจ และเกิดความผูกพันกับองค์กรในระยะยาว 6. ด้านกระบวนการ (Process) หมายถึง เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับระเบียบวิธีการและงาน ปฏิบัติ ในด้านการบริการที่นาเสนอให้กับผู้ใช้บริการเพื่อมอบการให้บริการอย่างถูกต้องรวดเร็ว โดยใน แต่ละ กระบวนการสามารถมีได้หลายกิจกรรม ตามแต่รูปแบบและวิธีการดาเนินงานขององค์กร ซึ่ง หากว่ากิจกรรม ต่างๆ ภายในกระบวนการมีความเชื่อมโยงและประสานกัน จะทาให้กระบวนการ โดยรวมมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจ ทั้งนี้กระบวนการทางานในด้านของการ บริการ จาเป็นต้องมีการออกแบบ กระบวนการทางานที่ชัดเจน เพื่อให้พนักงานภายในองค์กรทุกคน เกิดความเข้าใจตรงกัน สามารถปฏิบัติให้ เป็นไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างถูกต้องและราบรื่น เช่นเดียวกับที่ กนกพรรณ สุขฤทธิ์ (2557, น. 33) ได้ กล่าวไว้ 7. ด้านลักษณะทางกายภาพ (Physical Evidence) หมายถึง สิ่งที่ลูกค้าสามารถสัมผัสได้จากการ เลือกใช้ สินค้าและ/หรือบริการขององค์กร เป็นการสร้างความแตกต่างอย่างโดดเด่น และมีคุณภาพ เช่น การ ตกแต่งร้าน รูปแบบของการจัดจานอาหาร การแต่งกายของพนักงานในร้าน การพูดจาต่อลูกค้า การบริการที่ รวดเร็ว เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จาเป็นต่อการดาเนินธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจทางด้าน การบริการ ที่ควรจะต้อง สร้างคุณภาพในภาพรวม ซึ่งก็คือในส่วนของสภาพทางกายภาพที่ลูกค้า สามารถมองเห็นได้ ลักษณะทาง กายภาพที่ลูกค้าให้ความพึงพอใจ และความแปลกใหม่ของสภาพทาง กายภาพที่แตกต่างไปจากผู้ให้บริการราย อื่น เช่นเดียวกันกับ สมวงศ์ พงศ์สถาพร (2546, น. 106) กล่าวไว้ว่า ลักษณะกายภาพเป็นสิ่งที่ลูกค้าสามารถ สัมผัสจับต้องได้ในขณะที่ยังใช้สินค้าและ/หรือ บริการ อยู่ นอกจากนี้ อาจหมายความถึง สัญลักษณ์ที่ลูกค้า เข้าใจความหมายในการรับข้อมูล จาก การทาการสื่อสารทางการตลาดออกไปในสาธารณะ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พิมพันธ์ เตชะคุปต์ (2544 : 20) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ (Learning Achievement In Science) หมายถึง ความรู้ความสามารถที่ผู้เรียนได้รับหลังการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะ ทราบว่ามีปริมาณมากน้อยเพียงใด ก็อาจจะกระทาได้โดยวัดได้จากการสอบแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ พรรณี ชูทัย เจนจิต (2545 : 58) ให้ความหมายว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นคุณลักษณะและ ความสามารถของบุคคลที่พัฒนาการดีขึ้น อันเกิดจากการเรียนการสอน การฝึกอบรม ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถทางสมอง ความรู้ ทักษะ ความรู้สึก และค่านิยมต่าง ๆ


ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Academic Achievement) หมายถึง คุณลักษณะและความสามารถของ บุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอน เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกิดจาก การศึกษาอบรม หรือจากการสอบ การวัดผลสัมฤทธิ์จึงเป็นการตรวจสอบความสามารถหรือระดับความ สัมฤทธิ์ผล 1. การวัดด้านปฏิบัติ เป็นการตรวจสอบระดับความสามารถในการปฏิบัติหรือทักษะของผู้เรียน โดย มุ่งเน้นให้ผู้เรียนแสดงความสามารถดังกล่าวในรูปการกระทาจริงให้ออกเป็นผลงาน เช่น วิชาศิลปศึกษา พล ศึกษา การช่าง เป็นต้น ซึ่งการวัดต้องใช้“ข้อสอบภาคปฏิบัติ” (Performance Test) 2. การวัดด้านเนื้อหา เป็นการตรวจสอบความสามารถเกี่ยวกับเนื้อหาความรู้ (Content) อันเป็น ประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนรวมถึงพฤติกรรมความสามารถในด้านต่าง ๆ สามารถวัดได้โดยใช้“ข้อสอบ วัดผลสัมฤทธิ์” (ไพศาล หวังพานิช. 2523 : 137) จากที่กล่าวมาแล้วเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลของ ความสามารถของบุคคลที่ต้องอาศัยทักษะ ความรอบรู้ ทัศนคติที่ได้จากการเรียนการสอน การฝึกฝน อบรมสั่ง สอน ทาให้เกิดความสาเร็จหรือความสามารถในด้านต่าง ๆ 2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์ (2542 : 34) ได้ให้ความหมายแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ว่าเป็นแบบทดสอบที่ วัดความรู้ความสามารถด้านต่าง ๆ เมื่อได้รับประสบการณ์เฉพาะอย่างไปแล้ว ซึ่งจะเป็นการวัดความสามารถ ทางวิชาการต่าง ๆ โดยมุ่งวัดว่านักเรียนมีความรู้หรือมีทักษะในวิชานั้นมากน้อยเพียงใด ชาตรี เกิดธรรม (2542 : 16) ได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ว่าหมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดปริมาณความรู้ ความสามารถ ทักษะเกี่ยวกับด้านวิชาการ ที่ได้เรียนรู้มาในอดีตว่ารับรู้ไว้ได้ มากน้อยเพียงไร โดยทั่วไปแล้วมักใช้วัดหลังจากทากิจกรรมเรียบร้อยแล้วเพื่อประเมินการเรียนการสอนว่า ได้ผลอย่างไร จากที่กล่าวมาแล้วเกี่ยวกับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สรุปได้ว่าแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ความเข้าใจจากการเรียนรู้ ซึ่งเป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ ทางวิชาการของผู้เรียนที่ได้รับจากการเรียนรู้ในเนื้อหาวิชานั้น ๆ 4. ความสำคัญทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดวิเคราะห์เป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้และการดาเนินชีวิต บุคคลที่มี ความสามารถในการ คิดวิเคราะห์ จะมีความสามารถด้านอื่น ๆ เหนือกว่าบุคคลอื่น ๆ ทั้ง ทางด้านสติปัญญาและการดาเนินชีวิต การคิดวิเคราะห์เป็นพื้นฐานของการคิดทั้งมวล เป็น ทักษะที่ทุกคนสามารถพัฒนาได้ ซึ่งประกอบด้วยทักษะที่ สำคัญ คือ การสังเกต การ เปรียบเทียบ การคาดคะเนและการประยุกต์ใช้ การประเมิน การจาแยกแยะ ประเภท การจัด หมวดหมู่ การสันนิษฐาน การสรุปผลเชิงเหตุผล การศึกษาหลักการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ ของสิ่งต่าง ๆ โดยใช้เกณฑ์ในการตัดสินใจด้วยเหตุผล ทักษะการคิดวิเคราะห์ จึงเป็นทักษะ การคิดระดับสูง ที่ เป็นองค์ประกอบสำคัญของกระบวนการคิดทั้งมวล ทั้งการคิด วิจารณญาณ และการคิดแก้ปัญหา สุวิทย์ มูลคา (2555 : 13) กล่าวว่า การคิดวิเคราะห์จะเกิดขึ้นเมื่อเราต้องการทา ความเข้าใจโดย การพยายามตีความข้อมูลที่ได้รับ เมื่อเกิดข้อสงสัยสมองจะพยายามคิดหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลมาอธิบายถึง เหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น หรือเพื่อประเมิน สิ่งต่างๆ ที่ต้องตัดสินใจเลือกสิ่งที่เหมาะสมหรือเมื่อ ต้องการเห็นภาพรวมทั้งหมด นอกจากนั้น ยังได้กล่าวถึงการวิเคราะห์ (Analysis) หมายถึง การจำแนก แยกแยะองค์ประกอบของสิ่งใด สิ่งหนึ่งออกเป็นส่วน ๆ เพื่อค้นหาว่ามีองค์ประกอบย่อย ๆ อะไรบ้าง ทามา


จากอะไร ประกอบขึ้นมาได้อย่างไรและมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันอย่างไรและกล่าวโดยสรุปว่าการคิด วิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการจำแนก แยกแยะองค์ประกอบต่าง ๆ ของสิ่งใดสิ่ง หนึ่งซึ่งอาจจะเป็น วัตถุ สิ่งของ เรื่องราวหรือเหตุการณ์ และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล ระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้น เพื่อค้นหา สภาพความเป็นจริงหรือสิ่งสำคัญของสิ่งที่กาหนดให้ ดังนั้น การคิดวิเคราะห์ จึงมีความสาคัญต่อการจาแนก แยกแยะองค์ประกอบของสิ่งใดสิ่ง หนึ่งออกเป็นส่วน ๆ เพื่อค้นหาว่ามีองค์ประกอบย่อย ๆ อะไรบ้าง มีความ สอดคล้องและ สัมพันธ์ ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ (2551 : 3-4) กล่าวถึงประโยชน์ของการคิดวิเคราะห์ไว้ว่า ระบบการศึกษาของ ประเทศไทยภายหลังการปฏิรูปการศึกษาได้เริ่มให้ความสำคัญในการ ส่งเสริมความคิดให้แก่เด็กและเยาวชน โดยกาหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ และกาหนดเป็นมาตรฐานในการประกันคุณภาพของ สถานศึกษาอันจะส่งผลให้ ประชาชนมี คุณภาพมากขึ้นดังนั้นการปูพื้นฐานการคิดและการส่งเสริมการคิดให้แก่ เด็กและเยาวชนซึ่ง เป็นสิ่งที่มีความจาเป็นอย่างยิ่งนับตั้งแต่ปฐมวัยจนถึงระดับสูง การได้รับการพัฒนาการคิด ตั้งแต่เยาว์วัยจะช่วยพัฒนาความคิดให้ก้าวหน้า ส่งผลให้สติปัญญาเฉียบแหลม เป็นคน รอบคอบ ตัดสินใจได้ ถูกต้องสามารถแก้ไขปัญหา สรุปได้ดังนี้ 3.1 สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีระบบมีหลักการและมีเหตุผล ผลงานที่ได้รับมี ประสิทธิภาพ 3.2 สามารถพิจารณาสิ่งต่าง ๆ และประเมินผลงานโดยใช้หลักเกณฑ์อย่าง สมเหตุสมผล 3.3 รู้จักประเมินตนและผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง 3.4 ได้เรียนรู้เนื้อหาได้รับประสบการณ์ที่มีคุณค่า มีความหมายและเป็นประโยชน์ 3.5 ได้ฝึกทักษะการทางานการใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา 3.6 มีความรู้ความสามารถ มีกระบวนการทางานอย่างมีระบบขั้นตอน นับตั้งแต่ กาหนดเป้าหมาย รวบรวมข้อมูลเชิงประจักษ์ ค้นความรู้ ทฤษฎี หลักการ ตั้งข้อสันนิษฐาน ตีความหมายและลงข้อสรุป 3.7 ส่งเสริมความสามารถในการใช้ภาษาและสื่อความหมาย 3.8 เกิดความสามารถในการคิดอย่างชัดเจน คิดอย่างถูกต้อง คิดอย่างแจ่มแจ้ง คิดอย่างกว้างขวาง คิด ไกล และคิดอย่างลุ่มลึกตลอดจนคิดอย่างสมเหตุสมผล 3.9 ทาให้เป็นผู้มีปัญญา มีคุณธรรมจริยธรรม ความรับผิดชอบ มีระเบียบวินัย มีความเมตตา กรุณา และเป็นผู้มีประโยชน์ต่อสังคม 3.10 มีทักษะและความสามารถในการอ่าน เขียน พูด ฟัง และมีทักษะการสื่อสารกับ ผู้อื่นได้เป็นอย่าง ดี 3.11พัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างต่อเนื่องในสถานการณ์ที่โลก มีการ เปลี่ยนแปลง สรุปได้ว่า การพัฒนาความสามารถการคิดวิเคราะห์ ถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการพัฒนา สติปัญญาของ เด็กและเยาวชนเพื่อจะเติบโต เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ และเป็นกาลังสำคัญใน การพัฒนาประเทศต่อไป 5. แนวคิดและหลักการที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึกทักษะ ความหมายของแบบฝึก แบบฝึกมีความจาเป็นต่อการเรียนการสอนวิชาทักษะ การใช้แบบฝึกพัฒนาการเรียนการสอนจะช่วย ให้ครูและนักเรียนพบข้อบกพร่องทางการเรียนการสอนและแก้ไขข้อบกพร่องนั้นมีผู้กล่าวถึงความหมายของ แบบฝึกไว้ ดังนี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2525 ได้ให้ความหมายของแบบฝึกไว้ว่า “แบบฝึกหมายถึง แบบ ตัวอย่าง ปัญหา หรือ คาสั่งที่ตั้งขึ้นเพื่อให้นักเรียนฝึกตอบ” ส่วน


ชัยยงค์ พรหมวงศ์ กล่าวถึงความหมายของแบบฝึกสรุปได้ว่า แบบฝึกหมายถึง สิ่งที่นักเรียนต้องใช้ ควบคู่กับการเรียน มีลักษณะเป็นแบบฝึกหัดที่ครอบคลุมกิจกรรมที่นักเรียนพึงกระทาจะแยกกันเป็นหน่วยหรือ จะรวมเล่มก็ได้ แบบฝึกทางภาษาหมายถึง สิ่งที่สร้างขึ้นเสริมสร้างความเข้าใจทางภาษาตามแนวหลักสูตรของ กระทรวงศึกษาธิการ และเสริมเพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วนที่ช่วยให้นักเรียนนาความรู้ไปใช้ได้อย่างถูกต้อง จากความหมายของแบบฝึกดังกล่าว สรุปได้ว่า แบบฝึก หมายถึง สิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อเสริมสร้างทักษะ ให้แก่นักเรียน มีลักษณะเป็นแบบฝึกหัดให้นักเรียนได้กระทากิจกรรมโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนา ความสามารถของนักเรียนให้ดีขึ้น ความสำคัญของแบบฝึก เชาวนี เกิดเพทางค์ (2524 : 23) ได้กล่าวถึงความสำคัญของแบบฝึกไว้ว่า “แบบฝึกเป็นเครื่องมือที่ ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ ทาให้นักเรียนเกิดความสนใจ และช่วยให้ครูทราบผลการเรียนของนักเรียนอย่างใกล้ชิด” ส่วน ได้กล่าวถึงความสำคัญของแบบฝึกสรุปได้ว่า แบบฝึกเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่เกิดจากการ กระทาจริง เป็นประสบการณ์ตรงที่ผู้เรียนมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน ทาให้นักเรียนเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียน สามารถเรียนรู้ และจดจาสิ่งที่เรียนได้ดีและนาไปใช้ในสถานการณ์เช่นเดียวกันได้ แบบฝึกเป็นส่วนเพิ่มหรือเสริมจากหนังสือเรียนในการเรียนทักษะ เป็นอุปกรณ์การสอนที่ช่วยลดภาระของครู ได้มาก เพราะแบบฝึกเป็นสิ่งที่ทาขึ้นอย่างเป็นระเบียบ ระบบ ช่วยให้นักเรียนฝึกทักษะการใช้ภาษาดีขึ้น และ ช่วยเสริมทักษะทางภาษาให้คงทน นอกจากนี้แบบฝึกยังใช้เป็นเครื่องมือวัดผลการเรียนหลังจากบทเรียนในแต่ ละครั้ง แบบฝึกเป็นสื่อการเรียนชนิดหนึ่งที่ทาขึ้นอย่างเป็นระบบสามารถพัฒนาการเรียนของนักเรียนได้ เป็น ประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอน คือ เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้เป็นเครื่องมือวัดผลและ ประเมินผลการเรียน ช่วยให้ครูทราบความก้าวหน้าหรือข้อบกพร่องของนักเรียน และช่วยให้นักเรียนประสบ ผลสำเร็จในการเรียน ประโยชน์ของแบบฝึก 1. ใช้เสริมหนังสือแบบเรียนในการเรียนทักษะ 2. เป็นสื่อการสอนที่ช่วยแบ่งเบาภาระของครู 3. เป็นเครื่องมือที่ช่วยฝึกฝนและส่งเสริมทักษะการใช้ภาษาให้ดีขึ้น แต่จะต้องได้รับการดูแลและเอา ใจใส่จากครูด้วย


บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยเพื่อการแก้ปัญหาการขาดทักษะการวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาด โดยใช้ชุดแบบฝึก ของของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์นครศรีธรรมราช การครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) เพื่อศึกษาความสามารถในการวิเคราะห์ นักศึกษาวิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการโดยผู้วิจัยได้ดาเนินการเกี่ยวกับกลุ่มประชากรและกลุ่ม ตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูล ดังต่อไปนี้ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์นครศรีธรรมราช รวมจำนวนทั้งสิ้น 10 คน โดยผู้วิจัยได้ดาเนินการตามขั้นตอนดังนี้ 1. ขั้นตอนการดาเนินการวิจัย 2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การเก็บรวมรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล ขั้นตอนการดาเนินการวิจัย ผู้วิจัยได้กาหนดขั้นตอนในการวิจัยไว้ดังนี้ 1. ศึกษาหลักการทฤษฎีแนวคิดเกี่ยวกับ แนวคิดเกี่ยวกับส่วนประสมทางการตลาด แนวคิดเกี่ยวกับ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความหมายทักษะการคิดวิเคราะห์ ความสำคัญทักษะการคิดวิเคราะห์ หลักการที่ เกี่ยวข้องกับแบบฝึกทักษะ 2. กำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัยเพื่อทาการศึกษาวิธีการเรียนการสอนโดยใช้ชุดแบบฝึก 3. กำหนดวัตถุประสงค์ 4. กาหนดกลุ่มประชากรในการวิจัยครั้งนี้ได้กาหนดกลุ่มประชากร 5. สร้างเครื่องมือการวิจัยโดยผู้วิจัยศึกษาจากหลักการ ทฤษฎี แนวคิด วัตถุประสงค์ เพื่อจำแนกว่า ควรสร้างเครื่องมือวัดด้านใดบ้างให้เหมาะสมกับสภาพของนักเรียน 6. เก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดาเนินเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองโดยการใช้ชุดแบบฝึกและให้กลุ่ม ตัวอย่างได้ทำการทดสอบการวิเคราะห์ 7. สรุปผลการวิจัยและนาเสนอผลการวิจัยโดยนาข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผลการ วิเคราะห์ข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้ชุดแบบฝึกเพื่อนาไปวิเคราะห์โดยใช้กระบวนการใช้แบบฝึกในรายวิชา การงาน อาชีพเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยมีแนวทางในการสร้างชุดแบบฝึกทักษะเพื่อการวิเคราะห์ ดังนี้ ส่วนที่ 1 เป็นชุดแบบฝึกเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ส่วนผสมทางการตลาด


การเก็บรวมรวมข้อมูล การศึกษาวิจัยครั้งนี้ได้เก็บรวบรวมข้อมูล การท่องจาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ นครศรีธรรมราช จำนวน 10 คน โดย ดำเนินการดังนี้ 1. แจ้งการศึกษาการทำวิจัยให้กับนักเรียนในชั้นเรียนทราบ 2. ดาเนินการเก็บข้อมูลและรวบรวมข้อมูล 3. ตรวจแบบทดสอบชุดแบบฝึกการวิเคราะห์ 4.ให้นักเรียน ทำชุดแบบฝึก 5. อาจารย์จดบันทึก 6. สรุปผลการวิเคราะห์จากแบบทดสอบชุดฝึกการวิเคราะห์ การวิเคราะห์ข้อมูล 1.วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าสถิติพื้นฐาน คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ค่าสถิติ t-test dependent 2. นำข้อมูลมาวิเคราะห์และประมวลผลแล้วจึงทาการสรุปผลการวิจัยการศึกษาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ ของนักศึกษาจากวิธีการเรียนการสอนโดยใช้ชุดแบบฝึกในรายวิชาการงานอาชีพและเสนอแนะข้อมูลที่เป็น ประโยชน์ต่อการปรับปรุงแก้ไขในการวิเคราะห์ให้ดียิ่งขึ้น


บทที่ 4 ผลการวิจัย การศึกษาเรื่อง การแก้ปัญหาการขาดทักษะการวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาด โดยใช้ชุดแบบฝึก ของนักศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ นครศรีธรรมราช จำนวนนักศึกษา 10 คน ในรายวิชาการงานอาชีพ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 มีผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตามวัตถุประสงค์ของการศึกษาวิจัยดังนี้ ตอนที่1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 10 คน ที่เรียนด้วย ด้วยการแก้ปัญหาการขาดทักษะการวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาด โดยใช้ชุดแบบฝึก นักเรียนคนที่ คะแนนก่อนเรียน (20 คะแนน) คะแนนหลังเรียน (20 คะแนน) ผลต่าง 1 8 15 7 2 9 16 7 3 12 18 6 4 15 18 3 5 13 17 4 6 7 13 6 7 10 15 5 8 12 19 7 9 11 15 4 10 8 12 4 n 10 10 10 Sum 105 158 53 Mean 10.50 15.80 5.30 S.D. 2.55 2.25 1.49 จากตาราง 1 พบว่า นักเรียนมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 10 คน ที่เรียนด้วยด้วยการแก้ปัญหาการขาดทักษะการวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาด โดยใช้ชุดแบบฝึก คะแนนเฉลี่ยโดยรวมจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนโดยเฉลี่ยเท่ากับ 10.50 ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนเรียนโดยเฉลี่ยเท่ากับ 15.80 และผลต่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลัง เรียนโดยเฉลี่ยเท่ากับ 5.30


ตอนที่ 2 ผลการศึกษาพฤติกรรมการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 10 คน ที่เรียนด้วย ด้วยการแก้ปัญหาการขาดทักษะการวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาด โดยใช้ชุดแบบฝึก ข้อ การประเมินทักษะปฏิบัติการวาดภาพระบายสี x S.D ระดับคุณภาพ 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. เตรียมวัสดุอุปกรณ์ มีลำดับขั้นตอนในการปฏิบัติงาน ตอบคำถามจากกิจกรรมที่กำหนดให้ มีความสนใจ ความตั้งใจ ในการปฏิบัติกิจกรรม การออกแบบแปลกใหม่ มีความคิดสร้างสรรค์เป็นไปอย่างอิสระ การจัดภาพ การจัดองค์ประกอบของภาพ และการระบายสี ผลงานมีความประณีต และตกแต่งได้สวยงาม กล้าแสดงออก ชื่นชมยินดีสนุกสนาน และร่วมแสดงความคิดเห็น การสรุปขั้นตอนของการทำงาน การเก็บรักษา ทำความสะอาดเครื่องมือ เครื่องใช้และสถานที่ ส่งงานตามเวลาที่กำหนด 3.66 3.69 3.63 3.69 3.77 3.60 3.60 3.69 3.77 3.80 0.176 0.146 0.090 0.133 0.108 0.164 0.185 0.115 0.074 0.04 ดีมาก ดีมาก ดีมาก ดีมาก ดีมาก ดีมาก ดีมาก ดีมาก ดีมาก ดีมาก โดยรวม 3.69 0.606 ดีมาก จากตาราง 2 พบว่า นักเรียนมีทักษะการเรียนรู้ที่เรียนด้วยด้วยการแก้ปัญหาการขาดทักษะ การวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาด โดยใช้ชุดแบบฝึก โดยรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.69 คิดเป็นร้อยละ 92.25 อยู่ในระดับดีมากและรายข้ออยู่ในระดับดีมากทุกข้อ ตอนที่ 3 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 16 คน ที่เรียนด้วยด้วย การแก้ปัญหาการขาดทักษะการวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาด โดยใช้ชุดแบบฝึก ข้อ S.D ระดับความพึง พอใจ 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. รูปแบบของบทเรียนสื่อประสม เหมาะสมน่าสนใจ สื่อชนิดอื่นที่นำมาประกอบบทเรียนเหมาะสมและน่าสนใจ มีคำแนะนำในการใช้บทเรียน กิจกรรมมีลำดับขั้นตอนเหมาะสม เวลาและการปฏิบัติกิจกรรมแต่ละขั้นตอนเหมาะสม เนื้อหาสาระมีความเหมาะสมและน่าสนใจ ผู้เรียนมีความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียน การจัดลำดับเนื้อหาเป็นไปอย่างต่อเนื่องเข้าใจง่าย ผู้เรียนได้ร่วมกิจกรรมอย่างสนุกสนานในทุกขั้นตอนและ ทั่วถึง ครูผู้สอนอธิบายเพิ่มเติมและตอบข้อสงสัยได้เข้าใจชัดเจนทุก ครั้ง 4.00 3.86 4.00 3.91 3.91 3.89 3.80 4.00 4.00 3.93 0.000 0.253 0.000 0.288 0.179 0.233 0.375 0.000 0.000 0.073 มากที่สุด มากที่สุด มากที่สุด มากที่สุด มากที่สุด มากที่สุด มากที่สุด มากที่สุด มากที่สุด มากที่สุด รวม 3.93 1.07 มากที่สุด


จากตาราง 3 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียน ที่เรียนด้วยด้วยการแก้ปัญหาการขาด ทักษะการวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาด โดยใช้ชุดแบบฝึก โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และรายข้ออยู่ใน ระดับมากที่สุดทุกข้อ


บทที่ 5 สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ สรุปผลการวิจัย 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 10 คน ด้วยกิจกรรมการ เรียนที่เรียนด้วยด้วยการแก้ปัญหาการขาดทักษะการวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาด โดยใช้ชุดแบบฝึก ทุก คนมีผลการเรียนระดับดีขึ้น คิดเป็น 100 % ทั้งนี้เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนที่เรียนด้วยด้วยการ แก้ปัญหาการขาดทักษะการวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาด โดยใช้ชุดแบบฝึก ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้ทั้ง จากภาคทฤษฎี ทำให้การเรียนมีความต่อเนื่องส่งผลให้ความรู้ที่ได้มีความคงทน และให้นักเรียนได้เรียนรู้ใน การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้ผู้เรียนสอนกันเองผู้เรียนจะเรียนรู้อะไรต่าง ๆ ได้จากเพื่อนสู่เพื่อน และการ เรียนรู้เช่นนี้จะทำให้ผู้เรียนที่เรียนรู้ช้าเกิดการเรียนรู้ได้ เนื่องจากภาษาที่ผู้เรียนใช้พูดจากสื่อสารกัน นั้น สามารถสื่อความหมายระหว่างกันและกันได้เป็นอย่างดี ดังที่สุคนธ์ สอนธพานนท์ และคณะ (2545,หน้า31- 33) วิธีสอนแบบกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นวิธีการสอนวิธีหนึ่งทีสืบทอดเจตนารมณ์ของปรัชญาการศึกษาที่ว่า Learning by doing ตามแนวทฤษฎีของจอห์น ดิวอี้ โดยเน้นการให้นักเรียนมีการรวมกลุ่มเพื่อการท างาน ร่วมกัน หรือ การปฏิบัติในกิจกรรมการเรียนการสอน อาจกล่าวได้ว่าการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนนั้นเป็นการ ส่งเสริม ระบอบประชาธิปไตย และยังมุ่งให้ผู้เรียนที่มีผลสัมฤทธิ์อยู่ในเกณฑ์ต่ำได้รับประโยชน์ จากเพื่อน นักเรียนที่เก่ง กว่าหรือมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่เกณฑ์ นอกจากนี้การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) เป็นการเรียนการสอนที่อาศัยสื่อหลาย ๆ ชนิดผสมผสานกัน ตั้งแต่ด้านเทคโนโลยี กิจกรรมการเรียนการสอน และเหตุการณ์ที่เหมาะสมเพื่อสร้างรูปแบบการเรียนการสอนที่เหมาะสมสำหรับ ผู้เรียน การผสมผสานเป็นการน า รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์และสื่อสมัยใหม่ เข้ามาเสริมการเรียนการสอนตาม รูปแบบปกติในชั้นเรียน ดังที่นวลพรรณ ไชยมา (2554, หน้า 12-13 ) กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอน แบบผสมผสานเป็นการผสมผสานวิธีการหลาย ๆ วิธีเข้าด้วยกัน ทั้งวิธีสอน สื่อและเทคโนโลยีการสอน ผ่าน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในชั้นเรียนแบบดั่งเดิม หรือการเรียนการสอนแบบเผชิญหน้ากัน (Face to Face) และการเรียนการสอนแบบออนไลน์ (Online) โดย เน้นให้ผู้เรียนได้รับการฝึกฝนและลงมือปฏิบัติจริง เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนมีความยืดหยุ่นและทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพบรรลุ เป้าหมายของการเรียนรู้ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของพลอยไพลิน ศรีอ่ำดี (2556) ได้ศึกษาผลการจัดการ เรียนรู้แบบผสมผสานด้วยกิจกรรมการเรียนแบบแก้ปัญหาวิชาเทคโนโลยี สารสนเทศ 2ที่มีต่อความสามารถใน การแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสิรินธรราชวิทยาลัย ผลการวิจัยพบว่า1) ผลคะแนนความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนแบบ ผสมผสานด้วยกิจกรรมการเรียนแบบแก้ปัญหา อยู่ในระดับดีมาก 2) ผลการ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนักเรียนที่เรียนแบบผสมผสานด้วยกิจกรรมการเรียนแบบแก้ปัญหาหลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2. ผลการศึกษาพฤติกรรมการเรียนของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ที่เรียนด้วยด้วยการ แก้ปัญหาการขาดทักษะการวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาดโดยใช้ชุดแบบฝึก พบว่านักเรียนมีพฤติกรรม การตอบคำถามมากที่สุด (ร้อยละ 97.70) ผู้วิจัยพบว่านักเรียนมีพฤติกรรมการตอบ คำถามมากที่สุด เนื่องจากคำถามจะเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ผู้เรียนอยากเรียนรู้ โดยสิ่งที่อยากเรียนรู้ดังกล่าวจะต้อง เริ่มมาจาก ปัญหาที่เด็กสนใจหรือพบในชีวิตประจำวันที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับบทเรียน


3. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อที่เรียนด้วยด้วยการ แก้ปัญหาการขาดทักษะการวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาด โดยใช้ชุดแบบฝึก โดยภาพรวม มีความพึง พอใจ อยู่ในระดับมาก ( X ̅=5.30, S.D.= 1.49) ทั้งนี้เนื่องจากการเรียนด้วยที่เรียนด้วยด้วยการแก้ปัญหา การขาดทักษะการวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาด โดยใช้ชุดแบบฝึก เป็นการเรียนในรูปแบบที่แปลกใหม่ ผลการวิจัยพบว่าความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการเรียนรู้โดยใช้วิธีการแบบร่วมมือกันด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิดผ่าน เครือข่ายสังคมอยู่ในระดับมาก ข้อเสนอแนะ จากผลการวิจัยเรื่อง การแก้ปัญหาการขาดทักษะการวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาด โดยใช้ชุด แบบฝึกของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผู้วิจัยมีข้อค้นพบและแนวความคิดมาใช้เป็นข้อเสนอแนะ ดังนี้ ข้อเสนอแนะเพื่อนำผลการวิจัยไปใช้ 1. ผู้สอนควรชี้แจงรูปแบบลักษณะขั้นตอนของกิจกรรมที่เรียนด้วยการแก้ปัญหาการขาดทักษะ การวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาด โดยใช้ชุดแบบฝึก ให้กับผู้เรียนอย่างละเอียดเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจและ ทำการศึกษาบทเรียนได้ อย่างถูกวิธี ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรมีการวิจัยเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ที่เรียนด้วยด้วยการแก้ปัญหาการขาดทักษะ การวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาด โดยใช้ชุดแบบฝึกรูปแบบอื่น เช่น ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (constructivist) การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) เป็นต้น


บรรณานุกรม กนกพรรณ สุขฤทธิ์. (2557). ส่วนประสมการตลาดบริการและพฤติกรรมการใช้บริการร้านอาหาร ญี่ปุ่นย่าน Community Mall ของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร. สารนิพนธ์บริหารธุรกิจ มหาบัณฑิต สาขาการตลาด บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. (2546). ภาพอนาคตและคุณลักษณะของคนไทยที่พึงประสงค์. กรุงเทพฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. เชาวนี เกิดเพทางค์. (2524). เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านอย่างมีวิจารญาณโดยใช้แบบฝึกกับไม่ ใช้แบบฝึกของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. กรุงเทพฯ : วิทยานิพนธ์ปริญญาโท มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. มาสเตอร์อัครัช ขันธปรีชา .( 2557). วิจัย การศึกษาพัฒนาการในการจาคาศัพท์ของนักเรียน Grade 4A,B โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ม.ปัณณวัฒน์ เทียนสวัสดิ์ .(2546). วิจัยการส่งเสริมการท่องคาศัพท์ในวิชา Social Studies ใน เรื่องอาชีพและสถานที่ต่างๆ ในชุมชน โรงเรียนอัสสัมชัญระยอง ภารดี สุขอนันต์. (2557). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้แบบ ฝึกทักษะเรื่องตรรกศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4. งานวิจัยชั้นเรียน โรงเรียน จุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย นครศรีธรรมราช. วิตรี รุญเจริญและนางสาวบญจมาภรณ์ ช้อยเครือ. (2548). วิจัย การจัดกิจกรรมการเรียน การสอนที่มีผลต่อการเรียนรู้ด้านความจาของเด็กออทิสติกตามความคิดเห็นของครูผู้สอน โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น ณภัทริน เภาพาน ลดาวัลย์ สุณี สาธิตานันต์ วัฒนบุตรและสกล สรเสนา . (2554). วิจัยการ ศึกษาผลของการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนเน้นความจาจาก ภาพประกอบ ตามแนวทฤษฎีพหุปัญญา สาหรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ โรงเรียนธีรภาดาเทคโนโลยี จังหวัดร้อยเอ็ด ทองจันทร์ ปะสีรัมย์. (2555). ผลการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องการบวกลบเศษส่วน สาหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชา หลักสูตรและการสอน, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์. เทพสถิตย์ มะโนรัตน์ .(2555), วิจัยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะแคลคูลัส เรื่อง การหาอนุพันธ์ของฟังก์ชันพีชคณิต ชั้น ปวส 1/6 วิทยาลัยเทคโนโลยียานยนต์วิทยาลัย เทคโนโลยียานยนต์ จังหวัดกรุงเทพ


ภาคผนวก


ชุดแบบฝึกการวิเคราะห์ด้านการตลาด ตัวอย่างธุรกิจฟาร์มสุกร การวิเคราะห์ด้านการตลาด ตลาดเป้าหมาย/ส่วนแบ่งตลาด เนื่องจากกิจการดาเนินธุรกิจในลักษณะของผู้รับจ้างเลี้ยงสุกรพันธุ์ให้กับบริษัทผู้ว่าจ้าง คือ บริษัท xxxxx ดังนั้นลูกค้ากิจการ คือ บริษัทผู้ว่าจ้าง ที่จะเป็นผู้กำหนดตลาดเป้าหมาย ในปัจจุบันธุรกิจการผลิตสุกร พันธุ์ยังสามารถขยายได้ เนื่องจากการสนองความต้องการผู้บริโภคยังไม่สนองได้เต็มที่ การแข่งขันทางการตลาด กิจการไม่มีการแข่งขันกับผู้เลี้ยงสุกรรายอื่น ๆ แต่ต้องควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐาน เพื่อป้อนให้กับ บริษัทฯ ส่วนเป้าหมายการตลาด คือ ผลิตลูกสุกรอย่างน้อย 400 ตัวต่อเดือน ให้มีคุณภาพตามมาตรฐานและ ได้รับราคารับซื้อตามราคารับประกันขั้นต่ำตัวละ 250 บาท


ตัวอย่างธุรกิจโรงน้ำแข็ง การวิเคราะห์ด้านการตลาด กลุ่มลูกค้าตลาดเป้าหมาย / ส่วนแบ่งการตลาด กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของน้าแข็งใสสะอาด ได้แก่ ตัวแทนจำหน่าย และร้านค้าปลีกทั่วไปในเขตอำเภอเฉลิมพระ เกียรติอ.เชียรใหญ่ อ.เมือง อ.ชะอวด และ อ.ปากพนัง โดยมีส่วนแบ่งตลาดในจังหวัดคิดเป็น 5% ของ ยอดขายน้ำแข็งทั้งหมดในจังหวัดนครศรีธรรมราช ในอนาคตคาดว่าจะมีเพิ่มตลาดโรงแรมขนาดใหญ่ และรี สอร์ต ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 10% การวิเคราะห์การแข่งขันของสินค้า / บริการ (วิเคราะห์โดยใช้ Five-Forces Model) ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน 1. น้ำแข็งสะอาดและถูกสุขอนามัยกว่าคู่แข่ง 2. ส่งสินค้าเต็มปริมาณที่สั่งซื้อ 3. จัดส่งรวดเร็ว ตรงเวลา รวดเร็ว ข้อเสียเปรียบในการแข่งขัน 1. ยังไม่มีการทาการตลาดอย่างจริงจัง 2. คู่แข่งบางรายขายตัดราคา ระบุรายชื่อคู่แข่งทางตรงและทางอ้อม 1. พื้นที่……………………………….. ชื่อกิจการ ........ จุดแข็ง (ตัวอย่าง) 1. กำลังการผลิตสูง 2. โรงงานอยู่ใกล้ลูกค้า ไปรับน้าแข็งง่าย 3. ให้เครดิตลูกค้า 4. มีตัวแทนจาหน่ายมาก


5. เปิดมานานกว่า 40 ปี เป็นที่รู้จักทั่วไป 6. ทำเลอยู่หน้าตลาด 7. มีถังบรรจุน้าแข็งไว้บริการ 8. บริการจาหน่ายเครื่องดื่มร่วมด้วย 9. ใกล้ชิดลูกค้าในพื้นที่ 10. มีสินค้าโชวห่วยพ่วงขาย 11. บริการรวดเร็ว 12. ราคาถูกที่สุด 13. ทาการตลาดอย่างต่อเนื่อง 14. ปริมาณการขายมาก 15. น้ำแข็งใส 16. ระยะบริการ 50 กิโลเมตร จุดอ่อน (ตัวอย่าง) 1. น้ำแข็งไม่ใส 2. น้ำแข็งแหลกเมื่อส่งถึงลูกค้า/น้ำแข็งกลวง จึงมักป่นง่าย 3. ไม่มีบริการส่งด่วน 4. ไม่ทำการตลาด 5. เน้นการขายหน้าร้าน 6. กำลังการผลิตน้อย 7. ขายราคาแพง 8. บริการล่าช้า 9. ปริมาณบรรจุน้าแข็งไม่เต็ม 10. บริการไม่สม่ำเสมอ 11. น้ำแข็งขุ่น 12. ผลิตได้เต็มกาลังการผลิตแล้ว 13. ปริมาณน้าแข็งที่ผลิตบ่อยครั้งที่ไม่พอที่จะส่งให้ลูกค้า การกำหนดตำแหน่งทางการตลาด ตำแหน่งทางการตลาดของน้าแข็งใสสะอาด คือ น้าแข็งสะอาด ปริมาณเต็ม ราคายุติธรรม เมื่อเทียบ กับคู่แข่งรายอื่น ๆ แล้ว ถือได้ว่าอยู่ในระดับกลางค่อนข้างสูง คือ คุณภาพดี ราคาปานกลาง


กลยุทธ์ทางการตลาด กลยุทธ์ด้านสินค้า /บริการ 1. เน้นการให้บริการ ส่งตรงเวลา รวดเร็ว 2. น้ำแข็งสะอาด เต็มปริมาณที่สั่งซื้อ กลยุทธ์ด้านราคา 1. ราคากิโลกรัมละ 1 บาท (ส่งฟรี) ถ้ามารับเองหน้าโรงงานลดให้ 25% 45 กลยุทธ์ด้านการจัดจำหน่าย 1. ขายตรง และขายผ่านตัวแทน กลยุทธ์ด้านส่งเสริมตลาดและการขาย 1. ลูกค้าที่เป็นขาประจาจะมีสินค้าพิเศษแจกให้ในช่วงเทศกาล เป้าหมายตามแผนกลยุทธ์ 1. ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 10% ในอีก 3 ปีข้างหน้า ขยายตลาดไปสู่โรงแรมขนาดใหญ่ และรีสอร์ท


ชื่อธุรกิจ................................ การวิเคราะห์ด้านการตลาด กลุ่มลูกค้าตลาดเป้าหมาย / ส่วนแบ่งการตลาด ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… การวิเคราะห์การแข่งขันของสินค้า / บริการ (วิเคราะห์โดยใช้ Five-Forces Model) ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน 1. ………………………………………………………………………… 2. ………………………………………………………………………… 3. ………………………………………………………………………… ข้อเสียเปรียบในการแข่งขัน 1. ………………………………………………………………………… 2. ………………………………………………………………………… 3. ………………………………………………………………………… ระบุรายชื่อคู่แข่งทางตรงและทางอ้อม 1. พื้นที่……………………………….. ชื่อกิจการ ........


จุดแข็ง (ตัวอย่าง) 1. ………………………………………………………………………… 2. ………………………………………………………………………… 3. ………………………………………………………………………… 4. ………………………………………………………………………… 5. ………………………………………………………………………… 6. ………………………………………………………………………… 7. ………………………………………………………………………… 8. ………………………………………………………………………… 9. ………………………………………………………………………… 10. ……………………………………………………………………… จุดอ่อน (ตัวอย่าง) 1. ………………………………………………………………………… 2. ………………………………………………………………………… 3. ………………………………………………………………………… 4. ………………………………………………………………………… 5. ………………………………………………………………………… 6. ………………………………………………………………………… 7. ………………………………………………………………………… 8. ………………………………………………………………………… 9. ………………………………………………………………………… 10. ………………………………………………………………………


การกำหนดตำแหน่งทางการตลาด …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… กลยุทธ์ทางการตลาด กลยุทธ์ด้านสินค้า /บริการ 1. ………………………………………………………………………… 2. ………………………………………………………………………… กลยุทธ์ด้านราคา 1. ………………………………………………………………………… กลยุทธ์ด้านการจัดจำหน่าย 1. ………………………………………………………………………… กลยุทธ์ด้านส่งเสริมตลาดและการขาย 1. ………………………………………………………………………… เป้าหมายตามแผนกลยุทธ์ 1. …………………………………………………………………………


แบบทดสอบวิชาธุรกิจและการเป็นผู้ประกอบการ 1.ธุรกิจหมายถึงข้อใด 1. การจัดตั้งองค์กรหรือกิจการ 2. กระบวนการนำทรัพยากรธรรมชาติผ่านกรรมวิธีการผลิต 3. ความต้องการซื้อของผบู้ริโภค 4. การดำเนินงานโดยกลุ่มบุคคลที่มีความต้องการคล้ายคลึงกัน 5. กิจการการโอนย้ายสินคา้และบริการ 2. ข้อใดเป็นความสำคัญของธุรกิจ 1. สร้างความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี 2. เพิ่มผลประโยชน์หรือกำไร 3. เพื่อสร้างความมั่นคงให้กิจการ 4. เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และธุรกิจ 5. เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 3. องค์ประกอบธุรกิจขอ้ใดเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจ 1. การเงิน 2. การผลิต 3. การตลาด 4. การค้าปลีก 5. การค้าส่ง 4. กลุ่มบุคคลที่มีความสำคัญมากต่อธุรกิจคือข้อใด 1. ผู้ขาย 2. รัฐบาล 3. ผู้ซื้อ 4. ลูกจ้าง 5. ผู้ลงทุน 5. “กาแฟลดน้ำหนักเพรียว สามารถลดน้ำ หนักได้5 กิโลกรัม ภายใน 1 สัปดาห์” ขัดกับ จรรยาบรรณของผู้ประกอบการข้อใด 1. จรรยาบรรณต่อผู้หุ้น 2. จรรยาบรรณต่อลูกค้า 3. จรรยาบรรณต่อคู่แข่งขัน 4. จรรยาบรรณต่อพนักงาน 5. จรรยาบรรณต่อรัฐบาล 6. ขอ้ใดต่อไปนี้เป็น “จริยธรรมของผปู้ระกอบการที่มีต่อสิ่งแวดล้อม” 1. การบำบัดน้ำเสียก่อนการปล่อยลงสู่แม่น้าลำคลอง 2. การให้ความร่วมมือในการแข่งขนั ในทางที่เป็นประโยชน์ 3. การปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมาย


4. การเอาใจใส่ในสวัสดิการของบุคลากรในองค์กร 5. การละเว้นการติดสินบนเจ้าพนักงานเพื่ออำนวยความสะดวก 7. ข้อใดต่อไปนี้เป็นจริยธรรมของผู้ประกอบการ 1. มีความอดทนและขยัน 2. มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 3. มีความรับผดิชอบต่อสงัคม 4. มีเหตุผลในการตัดสินใจ 5. มีความคิดรวบยอดที่ดีเยี่ยม 8. “คู่แข่งขันเพิ่มมากขึ้น”จัดเป็นการวิเคราะห์ SWOT ข้อใด 1. จุดแข็ง 2. จุดอ่อน 3. โอกาส 4. อุปสรรค 5. สิ่งแวดล้อม 9. ภาษีมูลค่าเพิ่มตรงกบัขอ้ใด 1. VET 2. VAT 3. TAX 4. TEX 5. VAX 10. ข้อใดเป็นความหมายของความพอเพียง 1. แนวทางการดำเนินชีวิตโดยเน้นความอดทน ความเพียร และความรอบคอบ 2. การตดัสินใจในการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่อยู่ระดับพอเพียง 3. ความพอประมาณ ความมีเหตุผลรวมถึงมีพฤติกรรมภูมิคุ้มกันที่ดี 4. ความพอดีไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป 5. การเตรียมความพร้อมเพื่อรับผลกระทบที่คาดวา่ จะเกิดขึ้น


Click to View FlipBook Version