คำนำ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กำหนดจัดประกวดดนตรีและการแสดง พื้นบ้านถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีพุทธศักราช 2566 “รวมศิลป์ แผ่นดินสยาม” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ เทิดพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราช กุมารี ในฐานะที่ทรงเป็นวิศิษฎศิลปิน และเพื่ออนุรักษ์ส่งเสริม เผยแพร่ ดนตรีและการแสดง พื้นบ้านให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง สร้างความสนใจ และเกิดกระแสอนุรักษ์สืบสาน ศิลปวัฒนธรรมไทย เปิดพื้นที่ในการสืบสานวัฒนธรรมให้แก่เด็ก เยาวชน และประชาชนยกระดับ ขีดความสามารถของดนตรีและการแสดงพื้นบ้าน ตลอดจนสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ ศิลปวัฒนธรรมไทย คณะช้างเผือกสามัคคี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ใหม่ ได้ศึกษา ค้นคว้า เพื่อนำเอา มรดกภูมิปัญญาด้านต่าง ๆ ของชาวเหนือ มาผนวก ร้อยเรียง ผสานศาสตร์และศิลป์ เพื่อสร้างสรรค์การแสดงขึ้นมาใหม่ ซึ่งการประกวดในครั้งนี้ คณะช้างเผือกสามัคคี มหาวิทยาลัย ราชภัฏเชียงใหม่ใหม่ มีแนวคิดหลักของการสร้างสรรค์การแสดงโดยนำเอา “ประเพณีใส่ขันดอก บูชาเสาอินทขิล” มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์การแสดงสะท้อนความรู้สึกนึกคิด กิจกรรมทางวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ มาผสมผสาน บูรณาการ ให้เกิดเป็นการแสดงชุดใหม่ ภายใต้เกณฑ์การประกวดที่กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ได้กำหนดขึ้น ขอกราบขอบพระคุณกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ที่ได้จัดประกวดดนตรี และการแสดงพื้นบ้านถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีพุทธศักราช 2566 “รวมศิลป์ แผ่นดินสยาม” ในครั้งนี้ กราบขอบพระคุณ คณาจารย์หลักสูตรดนตรีศึกษา และคณาจารย์หลักสูตรนาฏศิลป์ศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ที่คอยแนะนำ ให้กำลังใจ ด้วยดีมาโดยตลอด ขอบคุณศิษย์เก่า นักศึกษาสาขาวิชาดนตรีศึกษา และสาขานาฏศิลป์ศึกษา ทั้งเบื้องหน้า และเบื้องหลังทุกคน ที่เป็นแรงขับเคลื่อนในการช่วยเหลือทุกอย่าง เพื่อให้การประกวดในครั้งนี้ สำเร็จไปด้วยดี คณะช้างเผือกสามัคคี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ก
สารบัญ หน้า คำนำ ก สารบัญ ข ประวัติคณะช้างเผือกสามัคคี 1 แนวคิดหลักในการสร้างสรรค์การแสดง 2 รูปแบบการแสดง 5 ดนตรีประกอบการแสดง 6 เครื่องแต่งกายประกอบการแสดง 9 บทสรุป 14 เอกสารอ้างอิง 17 ภาคผนวก 18 ภาคผนวก ก นักดนตรี 19 ภาคผนวก ข นักแสดง 20 ภาคผนวก ค ผู้ควบคุมดนตรีและการแสดง 21 ข
1 ประวัติคณะช้างเผือกสามัคคี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ใหม่ หลักสูตรดนตรีศึกษา และนาฏศิลป์ศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ มุ่งหวังให้ “ช้างเผือกสามัคคี” เป็นวงดนตรีทางการของหลักสูตร ทำหน้าที่สร้างโอกาสในการเล่น ดนตรี - แสดง และพื้นที่ฝึกประสบการณ์ในสถานการณ์จริง พัฒนาทักษะ และสนับสนุนกิจกรรม การเรียนการสอนของภาควิชาดนตรีศิลปะการแสดง และศูนย์ความเป็นเลิศด้านดนตรี และนาฏศิลป์ล้านนา (CMRU CENMDS) มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ โดยภายใต้ชื่อ “ช้างเผือกสามัคคี” ประกอบด้วยวงดนตรีและการแสดงหลาก ชนิด ตามบริบทงาน และความสามารถของนักศึกษา โดยภาควิชาจะสนับสนุนกิจกรรมผ่าน คณะทำงานที่ประกอบด้วยนักศึกษาเป็นผู้ดำเนินการ และอาจารย์ในภาควิชาเป็นที่ปรึกษา ซึ่งตลอดการดำเนินงานมีวงดนตรีและการแสดงนานาชนิด อาทิ วงดุริยางค์ซิมโฟนิค วงดนตรี พื้นเมืองประยุกต์ (สะล้อซอซึง พาทย์ค้อง และโฟล์คซองคำเมือง) วงปี่พาทย์ล้านนา วงสะล้อซอ ซึง ขับซอ ขับซอประยุกต์ กลองตึ่งโนง วงปี่พาทย์ไทย วงเครื่องสายไทย และการฟ้อนต่าง ฯลฯ ทั้งนี้ชื่อวง “ช้างเผือกสามัคคี” ตั้งขึ้นโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์บูรณพันธุ์ ใจหล้า ประธานหลักสูตรดนตรีศึกษา ภายใต้แนวคิดที่สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์กับทั้งตัวนักศึกษา วัฒนธรรมดนตรี และพื้นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย มีนัยยะตามวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยข้อที่ว่า “เป็นมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาท้องถิ่น” โดยคำว่า “ช้างเผือก” มีที่มาจาก ตำแหน่งที่ตั้งของ มหาวิทยาลัย คือตำบลช้างเผือก ทั้งซึ่งคำว่าช้างเผือกนี้ยังเป็นการเปรียบศักยภาพของนักศึกษาที่ มีคุณค่าเสมือน “ช้างเผือก” ช้างสำคัญตามความเชื่อมาแต่โบราณอีกด้วย ส่วนคำว่า “สามัคคี” หมายถึง การร่วมแรงร่วมใจกันสืบทอดงานด้านดนตรี การแสดง และศิลปะวัฒนธรธรรมให้คงอยู่ ท้องถิ่นคู่ท้องถิ่นต่อไป
2 แนวคิดหลักในการสร้างสรรค์การแสดง คณะช้างเผือกสามัคคีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ประจำปี 2566 คณะช้างเผือกสามัคคีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เข้าร่วมประกวดดนตรีและการ แสดงพื้นบ้านถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีพุทธศักราช 2566 “รวมศิลป์ แผ่นดินสยาม” จัดโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม คณะช้างเผือกสามัคคีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้สร้างสรรค์การแสดง เข้าร่วมการประกวดครั้งนี้ มีแนวคิดหลักคือ “ประเพณีใส่ขันดอกบูชาเสาอินทขิล” ซึ่งเป็น ประเพณีที่สืบทอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แสดงออกถึง ศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ภูมิปัญญา และเรื่องราวที่มีคุณค่าทางจิตใจของมนุษย์ จึงเรียกว่า “เทศกาลงานแสดง ศิลปวัฒนธรรมประเพณีทั่วไทย” ที่สำคัญต่อชุมชน ประเทศ และอาจเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งหมายถึง มรดกของมวลมนุษยชาติ ที่ทุกคนสามารถเข้าไปเรียนรู้ ท่องเที่ยว และชื่นชมได้ อนึ่ง ประเพณีที่งดงามส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นจากความศรัทธา จากการศึกษาทางด้านเอกสาร ตำราวิชาการ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และการลงพื้นที่ เก็บข้อภาคสนาม เพื่อเป็นการรวบรวมข้อมูล ประเด็นข้อศึกษา เพื่อใช้วิเคราะห์ พิจารณา และสนับสนุนข้อมูล เพื่อสร้างสรรค์การแสดงและองค์ประกอบอื่น ๆ อย่างมีระบบ “ประเพณีเข้าอินทขิล” พิธีบูชาเสาอินทขิลหรือเสาหลักเมือง ซึ่งชาวเชียงใหม่เชื่อว่าเป็น เสาหลักที่สร้างความมั่นคง การอยู่ดีมีสุขให้คนเชียงใหม่ อินทขิลหรือเรียกว่า เสาหลักเมือง เชียงใหม่ ชาวเชียงใหม่ทราบดีว่า ทุก ๆ ปีจะต้องมีพิธีสักการะบูชาเสาอินทขิล เพื่อสร้างขวัญ และกำลังใจเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ให้แก่ชาวบ้านชาวเมืองรวมทั้งผู้ที่ทำเกี่ยวกับเกษตรโดยการ เพาะปลูก โดยงานดังกล่าวได้อัญเชิญพระเจ้าฝนแสนห่าอันเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่บันดาลให้ ฝนตก มาเป็นประธานในขบวนแห่ และมีการสวดคาถาอินทขิลของคณะสงฆ์ด้วย ชาวเชียงใหม่ จะทำพิธีบูชาอินทขิลในตอนปลายเดือน 8 ต่อเดือน 9 หรือระหว่างเดือนพฤษภาคม ต่อเดือน มิถุนายน โดยเริ่มในวันแรม 3 ค่ำ เดือน 8 เรียกว่า วันเข้าอินทขิล การเข้าอินทขิลจะมีไปจนถึงใน วันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 9 ซึ่งเป็นวันออกอินทขิล จึงเรียกว่า เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก (สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2563 )
3 ตำนานอินทขิล หรือตำนานสุวรรณคำแดงที่พระมหาหมื่น วุฑฒิญาโณ วัดหอธรรม เชียงใหม่ เล่าความเป็นมาของเสาอินทขิลไว้ว่า บริเวณที่ตั้งเมืองเชียงใหม่ศูนย์กลางอาณาจักร ล้านนานั้น เป็นที่ตั้งบ้านเมืองของชาวลัวะ ในเมืองนี้มีผีหลอกหลอนทำให้ชาวเมืองเดือดร้อน ไม่เป็นอันทำมาหากิน อดอยากยากจน พระอินทร์จึงได้ประทานความช่วยเหลือ บันดาลบ่อเงิน บ่อทอง และบ่อแก้วไว้ในเมือง ให้เศรษฐีลัวะ 9 ตระกูล แบ่งกันดูแลบ่อทั้ง 3 บ่อละ 3 ตระกูล โดยชาวลัวะต้องถือศีลรักษาคำสัตย์ เมื่อชาวลัวะอธิษฐานสิ่งใดก็จะได้ดังสมปรารถนา ซึ่งชาวลัวะ ก็ปฏิบัติตามเป็นอย่างดี บรรดาชาวลัวะทั้งหลายต่างก็มีความสุขความอุดมสมบูรณ์ ข่าวความสุข ความอุดมสมบูรณ์ของเวียงนพบุรี ซึ่งเป็นตระกูลของชาวลัวะเลื่องลือไปไกล และได้ชักนำให้เมือง อื่นยกทัพมาขอแบ่งปัน ชาวลัวะตกใจจึงขอให้ฤๅษีนำความไปกราบทูลพระอินทร์ พระอินทร์จึงให้ กุมภัณฑ์ หรือยักษ์ 2 ตน ขุดอินทขิล หรือ เสาตะปูพระอินทร์ ใส่สาแหรกเหล็กหาบไปฝังไว้กลาง เวียงนพบุรี เสาอินทขิลมีฤทธิ์มากดลบันดาลให้ข้าศึกที่มากลายร่างเป็นพ่อค้า พ่อค้าเหล่านั้นต่าง ตั้งใจมาขอสมบัติจากบ่อทั้งสาม ชาวลัวะแนะนำให้พ่อค้าถือศีลรักษาคำสัตย์และอย่าละโมบ เมื่อขอสิ่งใดก็จะได้ พ่อค้าบางคนทำตาม บางคนไม่ทำตาม บางคนละโมบ ทำให้กุมภัณฑ์ 2 ตน ที่เฝ้าเสาอินทขิลโกรธพากันหามเสาอินทขิลกลับขึ้นสวรรค์ไป และบ่อเงิน บ่อทอง บ่อแก้ว ก็เสื่อมลง มีชาวลัวะผู้เฒ่าคนหนึ่งไปบูชาเสาอินทขิลอยู่เสมอ ทราบว่ายักษ์ทั้งสองนำเสาอินทขิล กลับสวรรค์ไปแล้ว ก็เสียใจมากจึงถือบวชนุ่งขาวห่มขาว บำเพ็ญศีลภาวนาใต้ต้นยางเป็นเวลานาน ถึง 3 ปี ก็มีพระเถระรูปหนึ่งทำนายว่า ต่อไปบ้านเมืองจะถึงกาลวิบัติ ชาวลัวะเกิดความกลัวจึง ขอร้องให้พระเถระรูปนั้นช่วยเหลือ พระเถระบอกว่า ให้ชาวลัวะร่วมกันหล่ออ่างขาง หรือกระทะ ขนาดใหญ่ แล้วใส่รูปปั้นต่าง ๆ อย่างละ 1 คู่ ปั้นรูปคนชายหญิงให้ครบร้อยเอ็ดภาษาใส่กระทะ ใหญ่ลงฝังในหลุมแล้วทำเสาอินทขิลไว้เบื้องบนทำพิธีสักการบูชา จะทำให้บ้านเมืองพ้นภัยพิบัติ การทำพิธีบวงสรวงสักการบูชาจึงกลายเป็นประเพณีสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน (สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2563 ) เดิมทีเสาอินทขิลประดิษฐานอยู่ ณ วัดสะดือเมือง หรือวัดอินทขิล ซึ่งตั้งอยู่ ณ กลางเวียง เชียงใหม่ ปัจจุบันคือ บริเวณหอประชุมติโลกราช ข้างศาลากลางจังหวัดเก่า ในตำนานกล่าวว่า เสาอินทขิลเดิมนั้นหล่อด้วยโลหะ จนกระทั่งสมัยพระเจ้ากาวิละ ราวปี พ.ศ.2343 ได้ย้าย เสาอินทขิลไปไว้ที่วัดเจดีย์หลวง โดยบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่เป็นเสาปูน และทำพิธีบวงสรวงเป็น ประเพณีสืบกันมา ปัจจุบันนี้เสาอินทขิลที่อยู่ในวิหาร เป็นเสาปูนปั้นติดกระจกสี บนเสาเป็น บุษบกประดิษฐานพระพุทธรูปปางรำพึง เสาอินทขิลนี้สูง 1.30 เมตร วัดรอบได้ 67 เมตร แท่นพระสูง 0.97 เมตร วัดโดยรอบได้ 3.40 เมตร (สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2563 )
4 “เครื่องสักการะล้านนา” วิถีชีวิตของชาวล้านนามีประเพณีและวัฒนธรรมมากมายที่ เชื่อมโยงกับความเชื่อทางพุทธศาสนา ในการประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแสดงความ เคารพบูชา เช่น งานทำบุญ งานขบวนประเพณีต่าง ๆ หรือการรดน้ำดำหัว จึงมี “เครื่องสักการะ ล้านนา” เข้ามามีบทบาทอยู่เสมอ (เทศบาลนครเชียงใหม่, มปป) เครื่องสักการะล้านนาทั้ง 6 ประกอบด้วย 1. หมากสุ่ม พุ่มหมาก(หมากไหม) หมากสุ่มคือ การนำผลหมากที่ใช้เคี้ยวของชาวบ้านมา ร้อยใส่ในเส้นหมาก หมากที่ผ่าเป็นซีก ๆ เสียบร้อยในเส้นปอใส้ใช้กินตลอดปี เรียกว่า หมากไหม ซึ่งเป็นสิ่งที่ใช้กันในล้านนากันอยู่แล้ว โดยนำมาประกอบกับโครงให้มีลักษณะ เป็นทรงกลมบ้าง ทรงพีระมิดบ้าง เป็นต้น 2. หมากเบ็ง หรือพุ่มหมาก(หมากดิบ) คือ ใช้หมากสดจำนวน 24 ลูก หรือ 21 ลูก มาติด โยงกัน โดยทางภาคเหนือ จะเรียกว่า หมากเบ็ง สำหรับหมาก 24 ลูกนั้นหมายถึงปัจจัยทั้ง 24 ใน พระอภิธรรม 7 คำภีร์ ส่วนหมาก 21 ลูกหมายถึง อายุของผู้บวช (เมื่อประดิษฐ์ในงานบวช) 3. ต้นพลูใบพลูถือว่าเป็นสิ่งที่คู่อยู่กับหมากอยู่แล้ว แต่ความเชื่อเกี่ยวกับพลูของคน ล้านนา คนล้านนาโบรานเชื่อถือเกี่ยวกับพลูหลายประการ เช่น - เมื่อออกเรือนให้พกหมากคำพลูคำสำหรับเคี้ยวพกใส่กระเป๋าไปด้วย เชื่อว่าจะเป็น สิริมงคล - ถ้าเอาก้านพลูเขียนคิ้วให้ทารก เชื่อว่าถ้าเด็กโตขึ้นเด็กจะมีคิ้วสวยดังวาด - ถ้าพบเจอใบพลู 2 แฉก หรือ พลู2 หาง ถ้านำติดตัวไปค้าขายจะร่ำรวย 4. ต้นผึ้ง หรือพุ่มดอกผึ้ง การทำพุ่มดอกผึ้ง หรือดอกจากขี้ผึ้งเป็นของบริสุทธิ์ได้มาจาก เกสรดอกไม้ เหมาะในการนำมาประดิษฐ์ดอกไม้ถวายแด่พระสงฆ์องค์เจ้า และใช้แทนดอกไม้ ต่าง ๆได้ด้วยเครื่องสักการะล้านนา ชาวบ้านถือว่าเป็นของสูง เครื่องสักการะล้านนาใช้บูชา เบื้องสูง มีพระพุทธศาสนา ครูอาจารย์ 5. ต้นดอก หรือพุ่มดอก เป็นต้นที่ใช้ไม้หรือทองเหลืองมาทำพุ่มเป็นถาวรไว้ ลักษณะ 3 เหลี่ยมมีโพรงอยู่ตรงกลางสำหรับเอาดอกไม้สอดเข้าไปโดยมากจะนำเอาใบเล็บครุฑบ้าง ใบดอกใหม่ มาอัดใส่จนเต็ม ตัดจนราบเรียบทั้ง 3 ด้าน ในกรณีนี้ชาวบ้านจะนำเอาดอกไม้มีหลาย ชนิดมารวมกันทำเป็นต้นดอก 6. ต้นเทียน หรือพุ่มเทียน โดยมีวิธีทำการนำเทียนเล่มเล็ก ๆ มาผูกห้อยกับโครง หรือ ไม้เสียบลูกชิ้น และไปปัก หรือติดกับพาน หรือพาชนะที่นำมาประดิษฐ์ เพื่อให้พระสงฆ์เก็บ นำไปใช้สอยเพื่อหล่อเทียน (สาวนุ่งซิ่นถิ่นล้านนา, 2562)
5 รูปแบบการแสดง คณะช้างเผือกสามัคคี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ประจำปี 2566 คณะช้างเผือกสามัคคี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ นำเสนอรูปแบบการแสดงโดยศึกษา กระบวนท่าฟ้อนฟ้อนเมืองของชาวล้านนา การศึกษากระบวนท่ารำทางนาฏศิลป์ไทย และ เอกลักษณ์ของประเพณีการใส่ขันดอกบูชาอินทขิล นำมาปรับเข้าสู่ชุดการแสดงเพื่อเข้าร่วม ประกวดดนตรีและการแสดงพื้นบ้านถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีพุทธศักราช 2566 “รวมศิลป์ แผ่นดินสยาม” ในการสร้างสรรค์ท่าฟ้อน ประกอบการแสดง สร้างสรรค์ขึ้นโดยนำเอาท่าทางการ เคลื่อนไหวของประชาชนชาวเชียงใหม่ในการเข้าร่วมประเพณีการส่ขันดอก นำมาสร้างสรรค์เป็น กระบวนท่ารำ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของประเพณีการใส่ขันดอกบูชาอินทขีล รวมทั้งอากัปกิริยาการ ใส่ขันดอกบูชาอินทขีล มาประดิษฐ์เป็นท่าฟ้อน ซึ่งการแสดงแบ่งออกเป็น 3 ช่างการแสดง ช่วงที่ 1 สื่อถึงขบวนเทิดพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีภายในริ้วขบวนนั้นจะประกอบไปด้วยขบวนช่างฟ้อน ขันเชิญ ผู้หาบ ข้าวตอก ดอกไม้ และเครื่องสักการระล้านนา ประกอบไปด้วย ต้นผึ้ง ต้นเทียน ต้นหมากสุ่ม ต้นหมากเบ็ง ต้นพลู และต้นดอก ซึ่งเป็นเครื่องสักการะล้านนาอันเป็นสิริมงคลยิ่ง ของชาวล้านนา ช่วงที่ 2 สื่อถึงวิถีชีวิตของประชาชนที่ได้เข้าร่วมงานบุญใหญ่ประจำเมือง ทั้งยังมีมหรสพ สมโภชน์ ประกอบด้วย ฟ้อนเจิง และฟ้อนแง้น ซึ่งเป็นความสนุกสนานภายในงานบุญนี้ อีกทั้งยัง เห็นถึงความสุขสำราญของประชาชนที่ได้มาทำบุญ ด้วยความปิติยินดี ช่วงที่ 3 สื่อถึงประชาชนที่น้อมนำมาซึ่ง “สวยดอก(กรวยดอกไม้)” ซึ่งทำมาจากใบตอง ที่บรรจุด้วย ข้าวตอก ดอกไม้ ธูป เทียน มาสักการบูชาเสาอินทขีล(ใส่ดอกขันดอก) และถือเป็น นิมิตรหมายอันดีที่ประชาชนทั้งเมืองได้มีโอกาสทำบุญสรงน้ำพระฝนแสนห่า ซึ่งเป็นพระพุทธ ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวเชียงใหม่ รับศีลรับพร อีกทั้งถวายพระราชกุศล และพระพรชัย มงคล เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 6 5
6 ดนตรีประกอบการแสดงรูปแบบการแสดง คณะช้างเผือกสามัคคี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ประจำปี 2566 คณะช้างเผือกสามัคคี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จึงได้ประพันธ์บทเพลงประกอบการ แสดงใหม่ เพื่อเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระผู้ทรงคุณอันประเสริฐต่อวงการศิลปวัฒนธรรมไทยโดยใช้ฐานคิดจาก วัฒนธรรมล้านนา สะท้อนอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม แสดงถึงความหลากหลาย และสามารถบูรณา การร่วมกันในทางดนตรี ดังต่อไปนี้ บทเพลง บทเพลงที่ประพันธ์ขึ้นใหม่นั้น ใช้ทฤษฎีดนตรีล้านนา คือการใช้ “ลูกตั้ง - ลูกควบ” เป็น โน้ตหลักสำหรับการประพันธ์ กล่าวคือ ใช้กลุ่มเสียง ดรม X ซล X กลุ่มเสียง ฟซล X ดร X และ กลุ่มเสียง ทดร X ฟซ X ทำให้ทุกเพลงที่ประพันธ์ แม้จะเป็นเพลงที่ประพันธ์ขึ้นใหม่ แต่หากไม่มี ประสบการณ์ทางวัฒนธรรมจะไม่ทราบเลยว่าประพันธ์ขึ้นใหม่ เนื่องจากทุกเพลงนั้นให้อารมณ์ ความรู้สึก สำเนียง และสุ้มเสียงที่มีความเป็นดนตรีล้านนา จำนวน 3 เพลง ดังนี้ เพลงฝนแสนห่า เพลงฝนแสนห่า ตั้งชื่อสามพระเจ้าฝนแสนห่า พระพุทธรูปสำคัญของเมืองเชียงใหม่ที่จะมี การอาราธนาเชิญในงานอินทขีล หรือการบูชาเสาหลักเมืองเชียงใหม่ เป็นพระพุทธรูปที่แสดงถึง ความ “บ้านชุ่มเมืองเย็น” เริ่มต้นด้วยด้วยโน้ตคู่ 5 เคลื่อนที่ทำนองขึ้น (Ascending) จำนวน 3 ครั้งเสมือนกับการกราบพระพุทธรูปจำนวนสามครั้ง เพื่ออาราธนาคุณแห่งพระศรีรัตนตรัย และ พลานุภาพแห่งพระเจ้าฝนแสนห่าได้อภิบาล และถวายพระพรแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ท่วงทำนองจึงมีความช้า สง่างาม และ เคลื่อนที่จากกลุ่มเสียงหนึ่งไปยังกลุ่มเสียงหนึ่งอย่างหลากหลาย เพลงนี้มีจำนวน 2 ท่อน ท่อนแรกเค้าโครงของเพลงได้รับอิทธิพลมาจากเพลงก๋ำบี้ (แมลงปอ) ส่วนท่อนที่ 2 มีการใช้ เทคนิคการล้อ ซึ่งปกติมักจะให้สะล้อ และขลุ่ยเป็นผู้นำก่อน แต่การประพันธ์ครั้งนี้ประสงค์ให้ซึง เป็นผู้นำ เนื่องจากเสียงซึงเมื่อบรรเลงแล้วสามารถเกิดจินตภาพของเสียงฝนที่กระทบกับ ผืนแผ่นดิน
7 เพลงกลองบ่าย เพลงกลองบ่าย เป็นเพลงที่ประพันธ์ขึ้นใหม่เพื่อให้ได้สำเนียงการฟ้อนผีบรรพบุรุษของ ชาวล้านนา เปรียบเสมือนกับเมื่อได้อัญเชิญความเป็นมงคลของพระเจ้าฝนแสนห่าเพื่อ ถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แล้ว เทพยดาตลอดจนผีอารักษ์ก็ได้อนุโมทนา และถวายพระพรไปพร้อมกัน สำหรับเพลงนี้ได้รับ อิทธิพลมาจากสำเนียงเพลงที่ใช้จริง ๆ ในพิธีฟ้อนผีบรรพบุรุษของชาวล้านนาโดยเฉพาะแอ่ง วัฒนธรรมเชียงใหม่ - ลำพูน มีจำนวน 2 ท่อน เพลงล้านนา เพลงล้านนาเป็นเพลงท่อนเดียว ได้รับจินตนาการมาจากทำนองสวดเบิกของชาวล้านนา เพื่อให้สำเนียงนั้นแสดงถึงความศักดิ์สิทธิ และความพื้นเมือง ท่วงทำนองเมื่อบรรเลงจบแล้วจะ จบด้วยเสียงลูกตั้ง เพื่อให้เกิดความรู้สึกถึงความลงจบแบบสมบูรณ์ อัตลักษณ์กลองล้านนา สำหรับจังหวะกลองที่ใช้กำกับจังหวะในเพลงที่ประพันธ์ขึ้นใหม่นั้น มีความหมายที่ สอดคล้องกับวัฒนธรรมดนตรีล้านนา ดังนี้ กลองจุม วงกลองจุมเป็นวงดนตรีสำหรับประกอบเกียรติยศ ปรากฏการใช้ในวัฒนธรรมล้านนามา ตั้งแต่ พ.ศ.2100 โดยเฉพาะใช้ประกอบเกียรติยศกษัตริย์และขุนนางล้านนาเมื่อเดินทางไป บำเพ็ญกุศล หรือกิจกรรมอื่นใดที่เป็นกรณีพิเศษ ด้วยความเป็นเครื่องดนตรีประกอบยศนั้นจึง ตกทอดอยู่เพียงบางวัดที่มีการเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ชาวล้านนาปฏิบัติต่อพระบรมสารีริกธาตุ ตามจารีตยศกษัตริย์ (จากพุทธประวัติคือเจ้าชายสิทธัตถะ) ตามธรรมเนียมปัจจุบันใช้บรรเลง สำหรับเชิญพระพุทธรูปและพระบรมธาตุสำคัญ เช่น พระพุทธสิหิงส์ พระเจ้าฝนแสนห่า พระธาตุศรีจอมทอง สำหรับครั้งนี้ใช้กลองจุมทำนองวัดพวกแต้ม ซึ่งเป็นทำนองโบราณแบบ เมืองเชียงใหม่ และทำนองดังกล่าวใช้บรรเลงประกอบขบวนเชิญพระพุทธสิหิงส์และพระเจ้า ฝนแสนห่า มามากกว่า 5 ทศวรรษ
8 กลองป่งป้ง - กลองเต่งถิ้ง กลองป่งป้งเป็นกลองที่ใช้ในวงดนตรีพื้นเมือง(วงสะล้อ ซอ ซึง) ใช้บรรเลงคู่กันกับกลอง เต่งถิ้งสำหรับการบรรเลงวงป้าดก๊อง หรือวงปี่พาทย์ล้านนา ซึ่งมีบทบาทในเชิงพิธีกรรม โดยเฉพาะทั้งพุทธศาสนา และความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษ สำหรับการประพันธ์เพลงกลองบ่าย ได้กำหนดให้ใช้วงสะล้อ ซอ ซึง ประสมกลองเต่งถิ้ง ใช้หน้าทับผีมดกินน้ำมะพร้าว ซึ่งมีความ กระชับ เหมาะสมสำหรับการฟ้อน ไม่เร็ว และไม่ช้าจนเกินไป ตลอดจนตัวหน้าทับนั้นมีความ ซับซ้อน ซึ่งบรรเลงคู่กันทั้งกลองป่งป้ง และกลองเต่งถิ้ง วงกลองตึ่งโนง วงกลองตึ่งโนงเป็นวงดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการฟ้อนเล็บ จังหวะที่มีความช้า และสง่า งามได้แสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของการฟ้อนล้านนา ตลอดจนวิธีคิดในการจัดการเสียงดนตรีที่ เกิดขึ้น ทั้งเรื่องคู่เสียงของฆ้องอุย และฆ้องโหย้ง เสียงลูกปลายของกลองแอวที่จะเกิดเสียง คุณภาพได้ต้องมีการถ่วงหน้ากลองอย่างพิถีพิถัน สำหรับเพลงล้านนาได้กำหนดให้กำกับด้วยหน้า ทับกลองตึ่งโนง เพื่อแสดงถึงความงดงาม ความอ่อนช้อยอ่อนหวาน และภูมิปัญญาด้านเสียง เครื่องดนตรีดังกล่าวมาข้างต้น
9 เครื่องแต่งกายประกอบการแสดง คณะช้างเผือกสามัคคี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ประจำปี 2566 คณะช้างเผือกสามัคคี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้ศึกษาการแต่งกายของชาว ไทยยวน โดยศึกษาจากตำรา เอกสาร หนังสือ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง คณะช้างเผือกสามัคคี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จึงได้นำการแต่งกายมาปรับปรุงให้เหมาะสม กับการแสดง 1.เครื่องแต่งกายนักแสดง และนักดนตรี การแต่งกายยุคฟื้นฟูวัฒนธรรม - ปัจจุบัน ชาวเชียงใหม่ได้มีการฟื้นฟูวัฒนธรรม การแต่งกายพื้นเมืองขึ้น ซึ่งมีหลายรูปแบบตามเผ่าพันธุ์ของกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในอาณาจักร ล้านนาในอดีตเป็นการประยุกต์รูปแบบของเสื้อผ้าในชุดดั้งเดิมมาแต่ง โดยพยายามรักษาความ เป็นเอกลักษณ์ของชาวพื้นเมืองเชียงใหม่ไว้ ดังนั้นจึงได้มีการพิจารณาให้ความเห็นชอบในรูปแบบ การแต่งกายพื้นเมืองโดยคณะอนุกรรมการวัฒนธรรม จังหวัดเชียงใหม่เมื่อปีพุทธศักราช 2534 มีรายละเอียดดังนี้ 1.1 เครื่องแต่งกายผู้ชาย แบบที่ 1 เสื้อคอกลม หรือคอพระราชทาน แขนสั้น หรือแขนยาว ผ่าหน้าตลอด ผูกเชือก มีกระเป๋าปะทั้ง 2 ข้าง หรือไม่มีก็ได้ สีของผ้าเป็นสีขาวของใยฝ้าย หรือ แบบย้อมครามที่เรียกว่า ม่อฮ่อม แบบที่ 2 เสื้อคอกลมผ่าครึ่งอกติดบ่าต่อม(กระดุม) หอยสองเม็ด มีกระเป๋า หรือไม่มีก็ได้ กางเกงชายจะมีรูปแบบคล้ายกางเกงจีน มีทั้งเตี๋ยวสะคอขาสั้น (ครึ่งหน้า แข้ง) และเตี่ยวยาวถึงข้อเท้า เรียกว่า เตี่ยวยาว ทั้งสองแบบนี้ตัดเย็บด้วยผ้าฝ้าย ทอมือ
10 1.2 เครื่องแต่งกายผู้หญิง แบบที่ 1 เสื้อคอกลมแขนกระบอกต่อแขนต่ำ ผ่าอกตลอด ผูกเชือกหรือ ติดบ่าต่อมแต็บ(กระดุมแป๊ก หรือกระดุมสแน็ป) มีกระเป๋าสองข้าง ส่วนผ้านุ่งจะ เป็นซิ่นลายขวางต่อตีน ต่อเอวสีดำเฉพาะช่วงเอวจะต่อด้วยผ้าฝ้ายขาวอีก ประมาณฝ่ามือปัจจุบันจะเป็นซิ่นตีนรวด คือจะทอทั้งเชิงเอวครั้งเดียวกัน ไม่มีการ เย็บต่อเหมือนที่ผ่านมา และเชิงจะมีลวดลายสลับสีอีกด้วย แบบที่ 2 เสื้อหญิงแบบคอกลม ตัวหลวมแขนกระบอกต่อแขนต่ำ ผ่าครึ่งอกติด บ่าต่อมแต็บ(กระดุมแป๊ก หรือกระดุมสแน็ป) แบบที่ 3 เสื้อหญิงแบบคอกลม ตัวหลวมเข้ารูปเล็กน้อยจับเกล็ดเอวด้านหน้า และด้านข้าง และเกล็ดฝ่าอกดลอด ติดกระดุมอัดเม็ด แขนเสื้อเป็นแขนกระบอก สั้นหรือยาว แต่การต่อแขนจะต่อโดยการตัดเว้าตรงปุ่มไหล่แบบเสื้อปัจจุบัน แบบที่ 4 เสื้อคอยี่หวา มีระบายตรงสาบเสื้อปลายแขน และชายนิยมใช้ผ้าเป็น ขาวหรือแพรสีส่วนเสื้อชั้นในจะเป็นเสื้อดอกระเช้าอกติดบ่าต่อมแต็บ(กระดุมแป๊ก หรือกระดุมสแน็ป) 2. การสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายนักแสดง และนักดนตรี จากการศึกษาตำรา เอกสาร หนังสือ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง คณะช้างเผือกสามัคคี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จึงได้สร้างสรรค์เครื่องแต่งผู้แสดงชาย หญิง และนักดนตรี ดังนี้ 2.1 เครื่องแต่งกายนักแสดงชาย สวมเสื้อคอจีนแขนยาว นุ่งเตี่ยวสะดอ มัดเอวด้วยผ้าฝ้ายทอลาย ติดเข็มกลัด 2.2 เครื่องแต่งกายนักแสดงหญิง สวมเสื้อคอยี่วา นุ่งผ้าถุงตีนจก รัดเข็มขัด สวมเครื่องประดับ ต่างหู กำไล เกล้าผมทรงญี่ปุ่น ประดับดอกไม้ ปักปิ่นที่มวยผม 2.3 เครื่องแต่งกายนักดนตรี สวมเสื้อคอกลมแขนสั้น นุ่งเตี่ยวสะดอ มัดเอวด้วยผ้าฝ้ายทอลาย
11 เครื่องแต่งกายนักแสดงชาย
12 เครื่องแต่งกายนักแสดงหญิง
13 เครื่องแต่งกายนักดนตรี
14 บทสรุป การสร้างสรรค์การแสดง คณะช้างเผือกสามัคคีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ประจำปี 2566 จากการศึกษา “ประเพณีเข้าอินทขิล” เป็นการแสดงที่ได้แนวคิด มาจากประเพณีเข้า อินทขีล ซึ่งคือการสักการะบูชาสาหลักเมือง ที่เป็นปูชนียสถานสำคัญ ของเมืองเชียงใหม่ การทำ พิธีดังกล่าวนี้เป็นประเพณีที่เกี่ยวกับความเชื่อโบราณ โดยมีความเชื่อว่า การสักการะบูชาสาหลัก เมืองนี้จะช่วยสร้างความมั่นคง การอยู่ดี มีสุข สร้างขวัญกำลังใจ เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ในวันพิธีนั้น พวกชาวบ้านชาวเมือง ทั้งคนเฒ่าคนแก่ หนุ่มสาวจะนำเอาดอกไม้ธูปเทียน น้ำขมิ้น ส้มป่อยใส่พาน หรือภาชนะไปทำการสะสรวง สักการะบูชา คณะช้างเผือกสามัคคี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้ใช้กระบวนท่าฟ้อนของชาว ล้านนา กับกระบวนทำรำทางนาฏศิลป์ไทย และเอกลักษณ์ของประเพณีการใส่ขันดอกบูชาเสา อินทขิล นำมาสร้างสรรค์เป็นกระบวนท่าฟ้อนตามรูปแบบแนวคิด ของคณะช้างเผือกสามัคคี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ โดยทำการศึกมาจากตำรา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง อย่าง มีขอบเขต ก่อนการสร้างสรรค์การแสดง คณะช้างเผือกสามัคคี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้ศึกษาข้อมูลจากตำรา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาตลอดจน องค์ประกอบต่าง ๆ ของประเพณีการใส่ขันดอกเพื่อบูชาเสาอินทขีล เพื่อให้ใด้ข้อมูลที่เป็นจริง สำหรับเป็นแนวทางในการสร้างสรรค์การแสดง เพื่อเข้าร่วมประกวดดนตรีและการแสดงพื้นบ้าน ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีพุทธศักราช 2566 “รวมศิลป์ แผ่นดินสยาม” ในการสร้างสรรค์การแสดงครั้งนี้ คณะช้างเผือกสามัคคี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้ประดิษฐ์เพลงที่ใช้ประกอบการแสดงขึ้นใหม่ โดยใช้ฐานคิดจากวัฒนธรรมล้านนา สะท้อนอัต ลักษณ์ทางวัฒนธรรมและแสดงถึงความหลากหลาย ให้อารมณ์ ความรู้สึก สำเนียง และสุ้มเสียงที่ มีความเป็นดนตรีล้านนา ประพันธ์โดย ผู้ช่วยศาสตร์จารย์สงกรานต์ สมจันทร์หัวหน้าโครงการ หอจดหมายเหตุดนตรีล้านนาเจอรัลด์ ไดค์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ โดยได้แบ่งเนื้อหา ท่วงทำนองออกเป็น จำนวน 3 เพลง ดังนี้
s 15 ช่วงแรก เพลงฝนแสนห่า (ช้า) เพลงฝนแสนห่า ตั้งชื่อสามพระเจ้าฝนแสนห่า พระพุทธรูปสำคัญของเมือง เชียงใหม่ที่จะมีการอาราธนาเชิญในงานอินทขีล หรือการบูชาเสาหลักเมืองเชียงใหม่ เป็น พระพุทธรูปที่แสดงถึงความ “บ้านชุ่มเมืองเย็น” เริ่มต้นด้วยด้วยโน้ตคู่ 5 เคลื่อนที่ทำนอง ขึ้น (Ascending) จำนวน 3 ครั้งเสมือนกับการกราบพระพุทธรูปจำนวนสามครั้ง เพื่ออาราธนาคุณแห่งพระศรีรัตนตรัยและพลานุภาพแห่งพระเจ้าฝนแสนห่าได้อภิบาล และถวายพระพรแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ท่วงทำนองจึงมีความช้า สง่างาม ใช้จังหวะใช้กลองจุมทำนอง วัดพวกแต้ม ซึ่งเป็นทำนองโบราณแบบเมืองเชียงใหม่ และทำนองดังกล่าวใช้บรรเลง ประกอบขบวนเชิญพระพุทธสิหิงส์และพระเจ้าฝนแสนห่า มามากกว่า 5 ทศวรรษ ช่วงที่สอง เพลงกลองบ่าย (เร็ว) เพลงกลองบ่าย เป็นเพลงที่ประพันธ์ขึ้นใหม่เพื่อให้ได้สำเนียงการฟ้อนผีบรรพบุรุษ ของชาวล้านนา เปรียบเสมือนกับเมื่อได้อัญเชิญความเป็นมงคลของพระเจ้าฝนแสนห่า เพื่อถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม บรมราชกุมารีแล้ว เทพยดาตลอดจนผีอารักษ์ก็ได้อนุโมทนาและถวายพระพรไปพร้อมกัน สำหรับเพลงนี้ได้รับอิทธิพลมาจากสำเนียงเพลงที่ใช้จริง ๆ ในพิธีฟ้อนผีบรรพบุรุษของ ชาวล้านนาโดยเฉพาะแอ่งวัฒนธรรมเชียงใหม่ - ลำพูน มีจำนวน 2 ท่อน ใช้หน้าทับผีมด กินน้ำมะพร้าว ซึ่งมีความกระชับ เหมาะสมสำหรับการฟ้อน ไม่เร็ว และไม่ช้าจนเกินไป ตลอดจนตัวหน้าทับนั้นมีความซับซ้อน ซึ่งบรรเลงคู่กันทั้งกลองป่งป้ง และกลองเต่งถิ้ง ช่วงสุดท้าย เพลงล้านนา (ช้า) เพลงล้านนาเป็นเพลงท่อนเดียว ได้รับจินตนาการมาจากทำนองสวดเบิกของ ชาวล้านนา เพื่อให้สำเนียงนั้นแสดงถึงความศักดิ์สิทธิ และความพื้นเมือง ท่วงทำนองเมื่อ บรรเลงจบแล้วจะจบด้วยเสียงลูกตั้ง เพื่อให้เกิดความรู้สึกถึงความลงจบแบบสมบูรณ์ กำกับด้วยหน้าทับกลองตึ่งโนง เพื่อแสดงถึงความงดงาม ความอ่อนช้อยอ่อนหวาน และ ภูมิปัญญาด้านเสียงเครื่องดนตรี
16 เครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับ คณะช้างเผือกสามัคคี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้ศึกมาการแต่งกายแบบพ่อค้าคหบดีชาวเชียงใหม่ นำมาประยุกต์ดัดแปลงให้เหมาะสมกับ การแสดงในเครื่องแต่งกายของผู้แสดง โดยสวมเสื้อคอจีนแขนยาว นุ่งเตี่ยวสะดอ มัดเอวด้วย ผ้าฝ้ายทอลาย และติดเข็มกลัด ในส่วนของนักดนตรี นำมาประยุกต์ดัดแปลงให้เหมาะสมกับ การบรรเลงเครื่องดนตรี และเกิดความทะมัดทะแมงต่อการแสดง โดยสวมเสื้อคอกลมแขนสั้น นุ่งเตี่ยวสะดอ มัดเอวด้วยผ้าฝ้ายทอลาย รวมทั้งศึกษาจากหนังสือหนังสืออนุสรณ์งานศพ คุณอุณย์ ชุติมา และภาพถ่าย ของสตรีจังหวัดเชียงใหม่ นำมาประยุกต์ดัดแปลงให้เหมาะสมกับ การแสดง แต่ยังคงเน้นความเป็นเอกลักษณ์ของสตรี จังหวัดเชียงใหม่ โดยเกล้าผมทรงญี่ปุ่น ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่พลาย ตามรูปแบบการเกล้าผมของพระราชชายาเจ้าดารารัศมีซึ่งมี อิทธิพล และเป็นแบบอย่างการเกล้าผมของสตรีล้านนาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และใช้ดอกไม้ ประดับศีรษะ ปักปิ่นที่มวยผม เกิดเป็นรูปแบบของการเกล้าผมทรงญี่ปุ่น สวมเสื้อคอยุวา นุ่งซิ่นตีนจก ซึ่งเป็นซิ่นที่ได้รับความนิยมของสตรีชาวเชียงใหม่ ใช้เครื่องประดับทอง เนื่องในการ ออกงานสำคัญ ๆ มีสลุง และกรวยดอกไม้ เป็นอุปกรณ์ ประกอบการแสดงโดยยึดหลักของ องค์ประกอบต่าง ๆ ที่ใช้ในพิธีกรรมจริง จากการศึกษาเกี่ยวกับประเพณีเข้าอินทขีล หรือการสักการะบูชาเสาหลักเมือง ในครั้งนี้ทำ ให้คณะช้างเผือกสามัคคี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของพิธีกรรม ที่เป็นประเพณีที่สำคัญ ของชาวเชียงใหม่เกี่ยวกับความเชื่อโบราณ โดยมีความเชื่อที่ว่าการ สักการะบูชาเสาหลักเมืองนี้จะช่วยสร้างความมั่นคง การอยู่ดี มีสุข สร้างขวัญกำลังใจเป็น สิริมงคลแก่ชีวิต คณะช้างเผือกสามัคคี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จึงสร้างสรรค์การแสดง ขึ้นใหม่ ซึ่งประพันธ์ดนตรีประกอบการแสดง โดยใช้ฐานคิดจากวัฒนธรรมล้านนา สะท้อน อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม และแสดงถึงความหลากหลาย ให้อารมณ์ความรู้สึก สำเนียง และสุ้มเสียงที่มีความเป็นดนตรีล้านนา จำนวน 3 เพลง เพลงฝนแสนห่า (ช้า) , เพลงกลองบ่าย (เร็ว) , เพลงล้านนา (ช้า) และศึกษาการแต่งกายของพ่อค้าคหบดีของเชียงใหม่ นำมาประยุกต์กับ การแต่งกายของสตรีล้านนา ในการสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายนักแสดงชาย หญิง และนักดนตรี นำเสนอออกมาในรูปแบบของเครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับ ที่มีความสวยงาม อีกทั้งน่าสนใจ ในวัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่เกี่ยวข้องกับทางพุทธศาสนา และการบูชาสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ มาเรียงร้อยเป็นท่าฟ้อนที่สวยงาม ตามแบบฉบับของภาคเหนือ และยังคงความเป็น เอกลักษณ์ล้านนาไว้ ถือได้ว่าการแสดงชุดนี้ เป็นการแสดงที่ช่วยเผยแพร่ความรู้ทางด้านประเพณี พิธีกรรมล้านนา และส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ของจังหวัดเชียงใหม่ต่อไป
17 เอกสารอ้างอิง คณะกรรมการศูนย์วัฒนธรรม จังหวัดเชียงใหม่. (2526). เอกลักษณ์การแต่งกายพื้นเมือง เชียงใหม่. วิทยาลัยครูเชียงใหม่. ชัญญาภัทร์ และคณะ. ฟ้อนบูชาอินทขีล. (วิทยานิพนธ์ปริญญาตรีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏเชียงใหม่ , 2556). เทศบาลนครเชียงใหม่. (มปป). เครื่องสักการะล้านนา. เข้าถึงได้จากhttp://www.cmcity.go.th /News/16545%20%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0 %B9%88%E0%B8%AD เรื่องเล่าล้านนา. (2548). กรุงเทพฯ : บ้านหนังสือ ๑๙. ศูนย์สนเทศภาคเหนือ สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2563). ประเพณีเข้าอินทขิล. เข้าถึงได้จาก https://www.museumthailand.com/th/3826/storytelling. สงวน โชติสุขรัตน์. (2511). ประเพณีไทย ภาคเหนือ. เชียงใหม่ : สงวนการพิมพ์ สาวนุ่งซิ่นถิ่นล้านนา. (2562). เครื่องสักการะล้านนา. เข้าถึงได้จาก https://m.facebook.com/892278854210262/photos/a.1856621767775961/1 856621844442620.
18 ภาคผนวก
19 นายปภังกร จันทร์ไชย นายฤทธิกร เนื้ออ่อน นายศุภกร วงค์คำแสน นายทรัพย์ทวี ศรีงาม นายสิงหราช อินต๊ะวงค์ นายพีรศิลป์ ธนากรสิทธิ์ นายธนกฤต ต๊ะกายโพธิ์ นายนิธชวัฒน์ ดวงสีลา นายศุภณัฐ ต๊ะมูล นายอรรณพ อภิวงค์งาม นายสาธิต รักจักร นายวัชรพงษ์ ปานาที ภาคผนวก ก นักดนตรี
20 ภาคผนวก ข นักแสดง นางสาวจุฑาทิพย์ วงศ์คำ นางสาวณัฐสินี โพธิ์แก้ว นางสาวธิดาพร สารใจวงศ์ นางสาวปัถยานี พินขัติยะ นางสาวรัตนาพรรณ ทองคำ นางสาวรัตนาภรณ์ ทองคำ นางสาวณัฐญาพร อินปั๋น นางสาวกุสุมา จันทร์วิลา นางสาวอริสา โจมฤทธิ์ นางสาวเหมือนฝัน กรรณศร นางสาวศุภรดา ถาวร นางสาวอ้อม ลุงตี้ นายวันเคอ ลุงคำ นายกฤษฎา ปัญจพลคีรี นายธวัชชัย โยธาราษฎร์ นายธีรวัฒน์ เบ้าทอง นายเทพบุตร รัตนปัญญาธร นายทิวากร ยานะฝั้น
ภาคผนวก ค ผู้ควบคุมดนตรีและการแสดง ผศ.บูรณพันธุ์ ใจหล้า ผศ.สงกรานต์ สมจันทร์ อาจารย์เมธินี อ่องแสงคุณ อาจารย์ทรงพล เลิศกอบกุล อาจารย์จิตร์ กาวี ว่าที่ร้อยตรีสรายุทธ อ่องแสงคุณ อาจารย์ชัพวิชญ์ ใจหาญ อาจารย์สุนิษา สุกิน นายจักรกฤษณ์ แสนใจ นายณปกรณ์ จันทร์พิสุ นายชนะชล ประสาร นายวีรพล ชุ่มคำ นายทรงฤทธิ์ ชะลอม 21
22