วารสารรามคาแหง ฉบบั มนุษยศาสตร์ ปี ที่ 35 ฉบบั ที่ 1
143
“อาณาจักรสุโขทยั ”: การประกอบสร้างประวตั ศิ าสตร์จากตานานและความเช่ือ
ของคนไทย
“Kingdom of Sukhothai”: The Construction of History from Thai Legends
and Beliefs
สายป่ าน ปุริวรรณชนะ1
บทคัดย่อ
แมป้ ัจจุบนั จะมีหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์และโบราณคดีซ่ึงบ่งช้ีวา่ แควน้ สุโขทยั เป็ นแต่เพียง
นครรัฐการคา้ ในลุ่มแม่น้ายม ทว่าความเชื่อที่ว่า “อาณาจักรสุโขทัยเป็ นอาณาจักรแรกของคนไทย”
ยงั คงปรากฏอยอู่ ย่างแพร่หลายในลกั ษณะเดียวกบั “ตานานเมือง” อนั เป็ นขอ้ มูลคติชนในสังคม
วฒั นธรรมไทย ดงั น้นั บทความน้ีจึงมุ่งวเิ คราะห์ลกั ษณะความเป็นตานานและปัจจยั ที่ส่งผลต่อการ
ประกอบสร้างความเป็นตานานของ “เร่ืองเล่าเกี่ยวกบั ประวตั ิศาสตร์สุโขทยั ” รวมถึงหาคาอธิบาย
วา่ นอกเหนือจากการเรียนการสอนประวตั ิศาสตร์แบบชาตินิยมแลว้ เหตุใดคนไทยทว่ั ไปจึง “เชื่อ”
วา่ ตานานดงั กล่าว คือ “ประวตั ิศาสตร์ชาติไทย”
ผลการศึกษาพบวา่ เรื่องเล่าเกี่ยวกบั ประวตั ิศาสตร์สุโขทยั มีส่วนสาคญั ที่ทาให้นครรัฐแห่งน้ี
กลายเป็ น “อาณาจกั รในตานาน” ซ่ึงถือกาเนิดจาก “วรี บุรุษ” โดยเฉพาะเม่ือไดร้ ับอิทธิพลจากแนวคิด
แบบโรแมนติกที่สัมพนั ธ์กบั แนวคิดชาตินิยมและความรู้สึกโหยหาอดีต ย่ิงไปกว่าน้นั ความคิดท่ีว่า
เร่ืองเล่าเกี่ยวกบั ประวตั ิศาสตร์สุโขทยั คือ ประวตั ิความเป็นมาของชาติ ยงั ช่วยเติมเตม็ ความตอ้ งการ
1อาจารยป์ ระจาหลกั สูตรศึกษาศาสตรบณั ฑิต (การสอนภาษาไทย) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั
มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตศาลายา
E-mail: [email protected]
วารสารรามคาแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ ปี ท่ี 35 ฉบับที่ 1
144
“ตวั ตน” และ “ที่มา” ของคนไทยไดอ้ ยา่ งน่าพึงใจ อีกท้งั ก่อใหเ้ กิดการผลิตซ้าเรื่องเล่าในรูปแบบ
ตา่ ง ๆ อนั เอ้ืออานวยใหต้ านานยงั คงดารงสถานภาพเป็นประวตั ิศาสตร์ แมจ้ ะขดั ต่อขอ้ เทจ็ จริงทาง
วชิ าการ
คาสาคัญ: สุโขทยั ; ตานาน; แนวคิดชาตินิยม
Abstract
Even though today’s historical evidence of Sukhothai indicated that the ancient site was
just a trade state on the bank of Yom River, the myth of “the Thais’ first kingdom named
Sukhothai” extendedly exists as a “myth of place”: folklore in Thai socio-cultural context. This
paper, thus, aims at not analyzing features and factors establishing “Sukhothai historical
narratives” but synthesizing why, other than the nationalistic historical education, the myth of
ancient Sukhothai has been “regarded as” national history.
The study reveals that Sukhothai historical narratives take significant parts to “rebuild”
this city-state to be the “mythical kingdom” inaugurated by heroes, especially through the
current of romanticism which is related with nationalism and nostalgia. Moreover, the
“Sukhothai story as national history” concept complaisantly fulfills the Thai’s need of both
“identity” and “derivation”. It brings about the mythical narrative reproduction so that “the
myths” are contemporarily concerned as “history” although almost of all stands out of historical
truth, as well.
Keywords: Sukhothai; Legends; Nationalism
วารสารรามคาแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ ปี ที่ 35 ฉบบั ที่ 1
145
ความนา คือ “พ่อขุนรามคาแหง” มหาราชพระองค์
หากกล่าวถึงช่ือ “สุโขทยั ” ในฐานะพ้ืนท่ี แรกของไทย พ่ อขุนรามคาแหงปกครอง
สุโขทัยด้วยระบอบพ่อปกครองลูก ด้วยพระ
ทางประวตั ิศาสตร์ แน่นอนว่าคนไทยหลายคน ปรีชาสามารถของพระองค์ทาให้สุโขทัยเป็ น
ยอ่ มนิยามนครรัฐโบราณน้ีในฐานะ “ราชธานี อาณาจักรท่ียิ่งใหญ่ แผ่อาณาเขตครอบคลุม
แห่งแรกของอาณาจักรไทย” นิยามเช่นน้ี ดินแดนใกล้เคียง ทั้งยังอุดมสมบูรณ์และร่ มเยน็
มีท่ีมาจาก “เรื่องเล่าเก่ียวกับประวตั ิศาสตร์ เป็ นสุข รวมถึงเป็ นดินแดนที่มีความเจริ ญ
สุโขทยั ” ซ่ึงแพร่หลายในหมู่ชนช้ันนาสยาม ทางพุทธศาสนาอันมีพัฒนาการสูงสุดในสมัย
มายาวนาน ดงั ปรากฏเป็ นพระบรมราชาธิบาย “พญาลิไท” ผ้พู ระราชนิพนธ์ “ไตรภูมิพระร่ วง”
ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หัวฯ ทว่ าภ าย หลั งอ าณ าจั ก รนี้อ่ อ นแ อล งเ พรา ะ
รัชกาลที่ 6 เม่ือคราวท่ีโปรดเกลา้ ฯ ให้จดั งาน ความขัดแย้งในหมู่เชื้อพระวงศ์ สุดท้ ายก็
สยามรัฐพิพิธภณั ฑ์ ณ สวนลุมพินีในปี พ.ศ. ถกู ผนวกเข้ากับกรุงศรีอยธุ ยาซึ่งเป็นอาณาจักร
2468 วา่ “ในระหว่างปี พ.ศ. 1790 ถึง 1893 ซึ่ง ท่ีสองของคนไทย
กรุงสุโขทัยเปนราชธานีน้ัน เปนสมัยท่ีชาติไทย
เพิ่งตั้งตัวได้เป็ นปึ กแผ่นรวบรวมกันอยู่โดย แมท้ ุกวนั น้ีนกั วิชาการทางประวตั ิศาสตร์
อิศระมิได้ขึ้นแก่ใคร” (มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, และทางโบราณคดีหลายท่านจะได้ค้นพบ
พระบาทสมเด็จพระ, 2470, หนา้ 10) หลกั ฐานอนั น่าเช่ือถือไดว้ า่ สุโขทยั เป็ นแต่เพียง
แ ว่ น แ ค ว ้น ห น่ึ ง ใ น แ ว่ น แ ค ว ้น โ บ ร า ณ ข อ ง
นอกจากน้ี คนส่วนใหญ่ยงั รับรู้เร่ืองเล่า ดินแดนไทย มีพฒั นาการจากชุมชนโบราณสมยั
ท่ีวา่ เดิมทีกลุ่มคนไทยถอยร่ นมาจากดินแดน เหล็กตอนปลายซ่ึงต่อเนื่องกับสมยั ทวารวดี
จีนมาอย่ใู ต้อาณัติของอาณาจักรขอมต่อมาพ่อขุน ด้วยเหตุท่ีเป็ นแหล่งทรัพยากร โดยเฉพาะ
ผาเมื องและพ่ อขุนบางกลางหาวขับไล่ ขอม สินค้าประเภทของป่ า และเป็ นจุดพบปะกัน
ปลดแอกคนไทยให้เป็ นเอกราช ตั้งกรุงสุโขทัย บนเส้นทางการคา้ อนั เช่ือมโยงนครรัฐต่าง ๆ
เป็นราชธานีแห่งแรกของคนไทย โดยมีพ่อขนุ เขา้ ไวด้ ว้ ยกนั หาใช่ราชธานีแห่งแรกท่ีคนไทย
บางกลางหาวเป็ นปฐมกษัตริย์ทรงพระนามว่า ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างข้ึนเพื่อ “สร้างชาติ
“พ่อขนุ ศรีอินทราทิตย์‛ กษัตริย์พระองค์ถัดมา
วารสารรามคาแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ ปี ท่ี 35 ฉบับท่ี 1
146
เอกราช” ไม่ (ศรีศกั ร วลั ลิโภดม, 2543, หนา้ พอ่ ขนุ รามคาแหง และนางนพมาศ
70-77) ถึงกระน้นั ความรับรู้เกี่ยวกบั สุโขทยั จากน้ันจะได้วิเคราะห์ประเด็นเหล่าน้ี
ในฐานะอาณาจกั รแรกและราชธานีแห่งแรก
ก็ยงั คงมีอิทธิพลต่อความคิดวา่ ดว้ ย “เส้นเวลา ด้วยวิธีวิทยาทางคติชนวิทยา-มานุษยวิทยา
ทางประวตั ิศาสตร์” (historical timeline) เป็ นหลกั ประกอบกบั วิธีวิทยาของสหสาขาวชิ า
จนกระทง่ั กลายเป็ น “โครงสร้างทางความคิด ท่ีเกี่ยวขอ้ ง
กระแสหลกั ” ท่ีกากับมุมมองและการศึกษา
ประวตั ิศาสตร์ไทย อารยธรรมไทย รวมถึง เรื่องเล่ าเก่ียวกับประวัติศาสตร์ สุ โขทัย:
ประวตั ิวรรณคดีไทย ตานานในฐานะประวตั ศิ าสตร์
ปรากฏการณ์เช่นน้ีนาไปสู่คาถามวิจยั เร่ื องเล่า (narrative) ตามคานิยามของ
ที่ว่า เหตุใดคนส่ วนมากจึงพร้ อมจะ “เชื่อ” พจนานุกรมศัพท์วรรณกรรม อังกฤษ-ไทย
เรื่องเล่าเก่ียวกับประวตั ิศาสตร์ สุโขทัยอันขัดกับ ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน หมายถึง ‚งานเขียนที่
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ เสมือนหนึ่งว่า มีเนือ้ หาเป็ นเรื่องราวหรือเหตุการณ์ อาจแต่ง
เร่ืองเล่าเหล่านีเ้ ป็ น “ตานาน” ท่ีคนในสังคม เป็ นร้ อยแก้วหรือบทร้ อยกรอง เป็ นเหตุการณ์
ประเพณีเชื่อว่าเป็นส่ิงที่เคยเกิดขึน้ จริงเมื่อคร้ัง เกิดขึน้ จริง หรือเป็ นเรื่องแต่งขึน้ หรือเป็ นผล
อดีต? ท้งั น้ีผูเ้ ขียนจะเลือกศึกษาขอ้ มูลเร่ืองเล่า สืบเนื่องจากเหตุการณ์น้ัน ๆ กล่าวอีกนัยหนึ่ง
3 แบบ ไดแ้ ก่ คือเหตุการณ์ประเภทใด ๆ ก็ได้ท่ีนามาบรรยาย
ให้ ทราบ” (ราชบณั ฑิตยสถาน, 2545, หน้า
1. เรื่องเล่าเก่ียวกับสุโขทัยในฐานะ 287) ซ่ึงนักคติชนวิทยา-มานุษยวิทยานามา
ราชธานีแห่งแรกของอาณาจกั รไทย ศึกษาในฐานะ ‚เรื่องราวที่เป็ นประเพณีจาก
การบอกเล่า” (ปรานี วงษเ์ ทศ, 2531, หนา้ 132)
2. เร่ืองเล่าเก่ียวกบั ความเป็ นดินแดน
อุดมคติของสุโขทยั ส่วน ตานาน หรื อ “เรื่ องเล่ าท่ีแฝง
ความหมายว่าเป็ นเรื่ องท่ีเกิดขึ้นจริ ง หรื อ
3. เรื่ องเล่ าเก่ี ย วกับบุ คคล ส าคัญ เช่ือว่าเกิดขึน้ จริง มักใช้เก่ียวเน่ืองกับประวัติ
ที่มีตวั ตน หรือเชื่อว่ามีตวั ตนจริงอยู่ในสมัย ความเป็นมาของส่ิงต่าง ๆ” (สุกญั ญา สุจฉายา,
สุโขทยั คือ พระร่วง พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
วารสารรามคาแหง ฉบบั มนุษยศาสตร์ ปี ท่ี 35 ฉบบั ที่ 1
147
2555, หนา้ 7) มีคาจากดั ความในทางคติชนวิทยา “ความหมายทางสังคม” ของเรื่องเล่าเกี่ยวกบั
-มานุษยวทิ ยาวา่ ‚เร่ืองเล่าที่เชื่อว่าเป็ นเรื่องที่เคย ประวตั ิศาสตร์สุโขทยั ได้
เกิดขึ้นจริ งในอดีต และผูกพันอยู่กับศรัทธา
ความเชื่อของคนในสังคม” (Bascom, 1980, p. เร่ืองเล่าเก่ียวกับประวัติศาสตร์สุโขทัย: ตานาน
9) สามารถใชน้ ิยามขอ้ มูลคติชนได้ 3 ประเภท เมืองในอุดมคติ
ไดแ้ ก่ ตานานปรัมปรา (myth) นิทานประจาถ่ิน
(legend) และตานานประจาถ่ิ น (mythical หากมองเรื่องเล่าเก่ียวกบั ประวตั ิศาสตร์
legend)2 ชาติไทยในมิติของการสร้างบ้านแปงเมือง
แล ะ ส ภาพความเป็ นไปของบ้านเมื อง
ในบทความชื่อ Four Functions of ภาพลกั ษณ์ของสุโขทยั ถูกประกอบสร้างข้ึน
Folklore บาสคอม (Williams R. Bascom) ได้ จากข้อความบางส่วนในศิลาจารึกหลักที่ 1
จาแนกบทบาทหนา้ ที่ของขอ้ มลู คติชนวา่ ไดแ้ ก่ (ราตรี ธันวารชร, 2541, หน้า 101-110) เป็ น
สาคญั ท้งั น้ีสันนิษฐานวา่ เพราะศิลาจารึกหลกั น้ี
1) ใช้อธิบายท่ีมาของพิธีกรรมและ เป็ นเพียงหลกั เดียวที่ “คนไทยส่วนใหญ่รู้จกั ”
เหตุผลการประกอบพิธีกรรม ผ่านแบบเรียนและการให้ความสาคัญเป็ น
พิเศษจากหน่วยราชการ3 ภาพลักษณ์ของ
2) ให้การศึกษา โดยเฉพาะในสังคม สุโขทยั ในศิลาจารึกหลกั ที่ 1 ไดแ้ ก่
ประเพณี
3) รักษามาตรฐานทางพฤติกรรมท่ีเป็ น
แบบแผนของสงั คม
4) สร้างความเพลิดเพลิน ตลอดจนมี
บทบาทตอบสนองตอ่ ความตอ้ งการทางใจ
ต่อมา ศิราพร ณ ถลาง จึงสรุปวา่ ขอ้ มูล
คติชนมีบทบาทในการรักษาเสถียรภาพทาง
วฒั นธรรม (ศิราพร ณ ถลาง, 2548, หน้า 322-
323) วิธีวิทยาบทบาทหนา้ ที่ของคติชนจึง
สามารถนามาเป็ นแนวทางในการศึกษา
วารสารรามคาแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ ปี ที่ 35 ฉบบั ท่ี 1
148
ภาพลกั ษณ์ของสุโขทยั ตวั อย่างข้อความ
1) ความอุดมสมบูรณ์ เมืองสุโขทยั น้ีดี ในน้ามีปลา ในนามีขา้ ว
ป่ าพร้าวกห็ ลายในเมืองน้ี ป่ าลางกห็ ลายในเมืองน้ี หมากม่วง
กห็ ลายในเมืองน้ี หมากขามกห็ ลายในเมืองน้ี
2) ความเจริญทางการค้า เพ่ือนจูงววั ไปคา้ ข่ีมา้ ไปขาย ใครจกั ใคร่คา้ ชา้ งคา้ ใครจกั ใคร่
คา้ มา้ คา้ ใครจกั ใคร่คา้ เงือนคา้ ทองคา้
3) ความสงบสุขร่มเยน็ ไพร่ฟ้ าหนา้ ใส
เห็นขา้ วท่านบ่ใครพีน เห็นสินท่านบ่ใครเดือด คนใดขี่ชา้ งมาหา
พาเมืองมาสู่ช่อยเหนือเฟ้ื อกู้
4) ความยุตธิ รรมและเสมอภาค ไพร่ฟ้ าลกู เจา้ ลกู ขนุ ผิแลผดิ แผกแสกวา้ งกนั สวนดูแทแ้ ล้ จ่ึง
แลง่ ความแก่ขาดว้ ยซ้ือ บ่เขา้ ผลู้ กั มกั ผซู้ ่อน
ในปากประตมู ีกระดิ่งอนั ณื่งแขวนไวห้ ้นั ไพร่ฟ้ าหนา้ ปก
กลางบา้ นกลางเมือง มีถอ้ ยมีความเจบ็ ทอ้ งขอ้ งใจ มนั จกั กล่าวเถิง
เจา้ เถิงขนุ บ่ไร้
5) ความสามารถของผู้ปกครอง พ่อขนุ รามคาแหงเจา้ เมืองไดย้ ินเรียกเมือถาม สวนความแก่มนั
ดว้ ยซ่ือ ไพร่ในเมืองสุโขทยั น้ีจ่ึงชม
พอ่ ขนุ รามคาแหงน้นั หาเป็นทา้ วเป็นพระยาแก่ไทยท้งั หลาย
หาเป็นครูอาจารยส์ ง่ั สอนไทยท้งั หลายใหร้ ู้บุญรู้ธรรมแทแ้ ต่คน
อนั มีในเมืองไทย ดว้ ยรู้ดว้ ยหลวก ดว้ ยแกลว้ ดว้ ยหาญ ดว้ ยแคะ
ดว้ ยแรง
พอ่ ขนุ พระรามคาแหง ลกู พ่อขุนศรีอินทราทิตยเ์ ป็นขนุ ในเมือง
ศรีสชั นาลยั สุโขทยั ท้งั มากกาวลาวแลไทยเมืองใตห้ ลา้ ฟ้ าฎ
ไทยชาวอชู าวของมาออก
6) ความย่ิงใหญ่ของอาณาจกั ร เมืองกวา้ งชา้ งหลาย ปราบเบ้ืองตะวนั ออก รอดสรลวงสองแคว
ลุมบาจาย สคา เทา้ ฝั่งของเถีงเวียงจนั ทน์เวียงคาเป็นที่แลว้ เบ้ื(อ)ง
วารสารรามคาแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ ปี ที่ 35 ฉบบั ที่ 1
149
ภาพลกั ษณ์ของสุโขทยั ตวั อย่างข้อความ
7) ความเจริญทางพุทธศาสนา หวั นอน รอดคนที พระบาง แพรก สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี
8) ความรุ่มรวยวฒั นธรรม ศรีธรรมราช ฝ่ังทะเลสมุทรเป็นท่ีแลว้ เบ้ืองตะวนั ตก รอดเมือง
9) ความงดงามของเมอื ง ฉอด เมือง...น หงสาวดี สมุทรหาเป็นแดน เบ้ืองตีนนอน
รอดเมืองแพร่ เมืองมา่ น เมืองน...เมืองพลวั พน้ ฝ่ังของเมืองชวา
เป็ นท่ีแลว้
คนในเมืองสุโขทยั น้ี มกั ทาน มกั ทรงศีล มกั โอยทาน ฯลฯ ฝงู ท่วย
มีศรัทธาในพระพทุ ธศาสนา ทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน
วนั เดือนดบั เดือนโอกแปดวนั วนั เดือนเตม็ เดือนบา้ งแปดวนั
ฝงู ป่ คู รู เถร มหาเถร ข้ึนนง่ั เหนือขดานหินสูดธรรมแก่อบุ าสก
ฝงู ท่วยจาศีล
ดบงดกลองดว้ ยเสียงพาดเสียงพิณ เสียงเล้ือนเสียงขบั ใครจกั มกั
เลน่ เลน่ ใครจกั มกั หวั หวั ใครจกั มกั เล้ือน เล้ือน
ท่านเผาเทียน ท่านเล่นไฟ เมืองสุโขทยั น้ีดงั จกั แตก
กลางเมืองสุโขทยั น้ี มีพิหาร มีพระพทุ ธรูปทอง มีพระอฏั ฐารศ
มีพระพุทธรูป มีพระพทุ ธรูปอนั ใหญ่ มีพระพทุ ธรูปอนั ราม
มีพิหารอนั ใหญ่ มีพิหารอนั ราม
จากตัวอย่างข้างต้นน้ี แสดงให้เห็น หาเล้ียงชีพดว้ ยความยากลาบาก นอกจากน้ียงั
ความพยายามนาเสนอภาพลักษณ์ของเมือง สงบสุขปราศจากความวุ่นวายเพราะผูป้ กครอง
สุโขทยั ใหใ้ กลเ้ คียงกบั “ดินแดนอุดมคติ” ดว้ ย และผู้ใต้ปกครองต่างก็มี “คุณธรรมแบบ
ลกั ษณะอุดมคติต่าง ๆ ท่ี “ตอ้ งรสนิยม” ของคน พุทธศาสนา” และมีสภาพแวดลอ้ มทางกายภาพ
ในสังคมวฒั นธรรมไทย กล่าวคือ เป็ นดินแดน ท่ีสวยงาม (อภิลกั ษณ์ เกษมผลกูล, 2552, หนา้
อนั มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ซ่ึงพลเมืองสามารถ 305-309)
เขา้ ถึงไดโ้ ดยเสมอภาคกนั ส่งผลให้ไม่ตอ้ ง
วารสารรามคาแหง ฉบบั มนุษยศาสตร์ ปี ท่ี 35 ฉบบั ที่ 1
150
การเล่าเรื่องประวตั ิศาสตร์สุโขทยั ดว้ ย ได้จาริ กจากมัธยมประเทศเข้ามาแผ่
ภาพลกั ษณ์ของดินแดนอุดมคติท่ีเป็ นจุดเร่ิมตน้ ลทั ธิประเพณีของศาสนาพราหมณ์ให้
ของชาติ สันนิษฐานว่าเป็ นอิทธิพลของแนวคิด พระมหากษัตริ ย์ผู้ปกครองแผ่นดิน
จินตนิยม (Romanticism) อนั เป็ นกระแสนิยม (มงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั , พระบาทสมเด็จพระ,
ในช่วงศตวรรษที่ 19 ซ่ึงให้ความสาคัญต่อ 2470, หนา้ 10)
ความสนใจอดีตอนั ยง่ิ ใหญ่ของกลุ่มชน รวมท้งั เม่ือพิจารณาปริ บทของสังคมไทย
นามาซ่ึงแนวคิดชาตินิยมในแง่ความเป็ นมา ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวพบว่า แนวคิด
อนั ย่ิงใหญ่ของชาติ และความสืบเนื่องของ ชาตินิยมได้เริ่มเขา้ มามีอิทธิพลต่อมโนทศั น์
ความเป็ นชาติ (Kaiser, 1999, p. 11) ท้ังน้ี ทางประวตั ิศาสตร์ของชนช้นั นาสยามนบั ต้งั แต่
มุมมองต่อสุโขทยั ในฐานะราชธานีแห่งแรก รัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
อนั เจริญรุ่งเรืองแพร่กระจายกวา้ งขวางข้ึน ถึงรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เร่ือย ๆ ในกลุ่มชนช้นั นาสยาม และแสดงออก เจา้ อยหู่ วั แลว้ (วนั ชนะ ทองคาเภา, 2550, หนา้
อย่างชัดเจนมากเมื่อรัชสมยั พระบาทสมเด็จ 238) นอกจากน้นั พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้
พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ดงั ความในพระราช- เจ้าอยู่หัว คร้ังดารงพระยศท่ีสมเด็จพระบรม-
นิพนธ์วา่ โอรสาธิราชฯ ก็ไดเ้ สด็จพระราชดาเนินไปทรง
ศึกษาต่อ ณ ประเทศองั กฤษในระยะเวลาที่
กรุงสุโขทยั ในยุคน้ัน เปนนิคม แนวคิดจินตนิยมกาลงั เป็ นกระแสนิยมในหมู่
อนั อุดมสมบูรณ์ดว้ ยพืชพนั ธ์ธัญญาหาร ปัญญาชน นกั อกั ษรศาสตร์ และนกั ประพนั ธ์
ท้งั มีราษฎรพานกั อาศยั เปนจานวนมาก (ค.ศ. 1893 - ค.ศ. 1901) ท้งั ทรงสนพระราชหฤทยั
ควา มด าเนิ นเ ปนป ระ เทศ เข ตรั ฐ สี ม า ในข้อมูลคติชนประเภทนิทาน ตานานและ
ได้มี แต่ค ร้ั ง น้ัน ซ่ึ งก ล่ า วกัน ว่า มี ประวตั ิศาสตร์ ตลอดจนต้งั พระราชหฤทัย
พระมหากษตั ราธิราชปกครองไพร่ฟ้ า ที่ จ ะ ป ลู ก จิ ต ส า นึ ก ช า ติ นิ ย ม ใ น ห มู่ ร า ษ ฎ ร
ขา้ แผน่ ดินโดยความสุขสาราญ และแผ่ (กญั ญรัตน์ เวชชศาสตร์, 2542, หน้า 3) การท่ี
ผา่ นพระบรมเดชานุภาพไปทวั่ ทิศานุทิศ จะทรง “เล่าเร่ืองสุโขทยั ” อย่างดินแดนใน
ยุคน้ัน เปนยุคแรกท่ีเหล่าพราหมณิกชน
วารสารรามคาแหง ฉบบั มนุษยศาสตร์ ปี ท่ี 35 ฉบับท่ี 1
151
อุดมคติจึงเป็นเร่ืองเขา้ ใจได้ หรือความคิดเรื่องอายุพุทธศาสนา 5,000 ปี
กระน้ันไม่ว่าการนาเสนอภาพลกั ษณ์ เป็ นต้น ด้วยเหตุน้ีเหตุผลประการหน่ึงท่ี
จินตนาการเร่ืองราชธานีสุโขทยั ถูกสร้างข้ึน
ดิ น แ ด น อุ ด ม ค ติ ข อ ง สุ โ ข ทัย จ ะ มี ท่ี ม า ที่ ไ ป และดารงอยู่แม้จะขัดต่อข้อเท็จจริ งทาง
ตลอดจนเป็ นไปเพ่ือวตั ถุประสงค์ใดเมื่อแรก ประวตั ิศาสตร์ จนอาจกล่าวไดว้ า่ เป็ น “ตานาน
สร้างก็ตาม ทว่านบั ต้งั แต่มีการแพร่กระจาย เมืองในอุดมคติ” ก็เป็ นเพราะจินตนาการ
ความหมายของสุโขทยั ในฐานะ “ดินแดนรุ่งอรุณ เช่นน้ีมีอยแู่ ลว้ ท้งั โดยธรรมชาติของความเป็ น
แห่งความสุข” ออกไปสู่สังคมไทย พ้ืนท่ีของ มนุษย์ และในสังคมวฒั นธรรมไทย
สุโขทยั ในมิติทางประวตั ิศาสตร์ไดท้ าหน้าที่ที่
ทางมานุษยวิทยา เรียกวา่ “การสร้างความทรงจา นอกจากบทบาทหน้าท่ีในการสร้าง
ร่วม” (collective memory) เกี่ยวกบั “พ้ืนที่ใน จินตนาการเพื่อตอบสนองความตอ้ งการทางใจ
จินตนาการ” ซ่ึงมีลกั ษณะเป็ นอุดมคติและเคย แล้ว เร่ืองเล่าเกี่ยวกบั ประวตั ิศาสตร์สุโขทยั
ดารงอยใู่ นอดีต (Basso, 1996, p. 108) ในที่น้ี ยงั ถูกผลิตซ้าในรูปแบบต่าง ๆ ตวั อย่างเช่น
ได้แก่ อดีตราชธานีอันสมบูรณ์พร้อมและ เน้ือเพลง “อานุภาพพ่อขุน” ผลงานประพนั ธ์
ย่ิงใหญ่อนั น่าภาคภูมิใจของ “คนไทย” และ ของพลตรีหลวงวจิ ิตรวาทการ
“ชนชาติไทย”
(สร้อย)
จินตนาการเรื่ องดินแดนแห่ งความสุ ข ในน้ามีปลา ในนามีขา้ ว
สมบูรณ์ที่ “มีอยู่จริงในอดีต” เป็ นท้งั ความคิด
สากลของมนุษย์ (universal thinking) เช่น แผน่ ดินของเราน้ีแสนอุดมสมบูรณ์
ความคิดเร่ือง “ยคุ ทอง” (Golden Age) ในเทพ บา้ นเมืองราบคาบดว้ ยอานุภาพพอ่ ขนุ -
ปกรณัมกรีก-โรมนั และความคิดที่มีรากฐาน รามคาแหงค้าจุนใหช้ าติไทยไพศาล
อยแู่ ลว้ ในวฒั นธรรมไทย (cultural thinking)
ดงั ตวั อยา่ งเช่น ความคิดในไตรภมู ิพระร่วงที่วา่ สร้างทานาไร่
มนุษย์แต่เดิม คือ พรหมท่ีลงมากินง้วนดิน ทั่วแคว้นแดนไทยเราไถเราหว่าน
ต่อมาจึงมีกิเลสตณั หาพอกพูนข้ึนตามลาดับ หมากม่วงหมากขาม หมากพร้าวหมากลาง
พชื ผลตา่ ง ๆ ลว้ นงามตระการ
(สร้อย)
วารสารรามคาแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ ปี ท่ี 35 ฉบบั ที่ 1
152
สร้างบา้ นแปงเมือง ยกย่องอย่างสูงจากการกระทาของเขา อนั เป็ น
ใหเ้ กียรติไทยลือเลื่องไปทวั่ ทุกถ่ินฐาน การกระทาท่ีทาได้ยาก ไม่ได้เกิดข้ึนเสมอ
จูงววั ไปคา้ ขี่มา้ ไปขาย และเป็นประโยชน์ตอ่ สังคมในวงกวา้ ง รวมถึง
ปวงราษฎร์ท้งั หลายไดอ้ ยเู่ ป็ นสุขสาราญ มีคุณค่าอยู่ทุกกาลสมยั (นิธิ เอียวศรีวงศ์,
(สร้อย) 2544, หน้า 1) นอกจากน้ีในทางคติชนวิทยา
เห็นได้ชัดว่าเน้ือเพลงอานุภาพพ่อขุน ก็ไดจ้ าแนกวีรบุรุษออกเป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ
ไดน้ าขอ้ ความจากศิลาจารึกหลกั ที่ 1 มาผลิตซ้า ได้แก่ วีรบุรุษในประวตั ิศาสตร์ และวีรบุรุษ
ยิ่งเม่ือเพลงน้ีถูกนามาใชเ้ ป็ น “เพลงปลุกใจ” ทางวฒั นธรรม (สุกญั ญา สุจฉายา, 2542, หนา้
ก็ยิ่งเป็ นการเน้นย้าภาพลักษณ์ความเป็ น 203) ดังน้ัน ไม่ว่าจะเป็ นวีรบุรุษประเภทใด
ดินแดนอุดมคติของสุโขทยั รวมถึงเป็ นปัจจยั ก็ตามยอ่ มจะตอ้ งเป็ น “บุคคลผยู้ ่งิ ใหญ่” และ
ใหภ้ าพลกั ษณ์เช่นน้ีถูกผลิตซ้าต่อไป และก็ได้ “ไม่ธรรมดา” ไม่ว่าจะด้วยคุณสมบัติและ
ช่วยขบั เน้นสถานภาพของพ่อขุนรามคาแหง การกระทา รวมถึงยงั เป็ น “ตวั ละครท่ีสาคญั
ในฐานะ “วีรบุรุษของชาติ” ให้โดดเด่นข้ึน ท่ีสุด” ในเรื่องเล่า
อีกดว้ ย
ส่วนคุณสมบตั ิของวีรบุรุษในตานาน
บุคคลสาคัญของสุโขทยั : ตานานวรี บุรุษของชาติ ไทย-ไทน้นั ปรมินท์ จารุวร กล่าววา่ ในตานาน
วรี บุรุษทางวฒั นธรรม และธรรมราชา ป ร ะ เ ภ ท น้ี มัก มี เ น้ื อ ห า ใ น ป ร ะ เ ด็ น เ ห ล่ า น้ี
ปรากฏซ้ากนั
ขอ้ มูลคติชนประเภทเรื่องเล่าประเภท
หน่ึงของสังคมวฒั นธรรมไทย คือ ตานาน 1. วีรบุรุษมกั มีชาติกาเนิดแตกต่างจาก
วีรบุรุ ษ ซ่ึงจะปรากฏอยู่ควบคู่กับตานาน คนธรรมดา
บา้ นเมือง (สุกญั ญา สุจฉายา, 2542, หนา้ 203)
สาหรับความหมายของวรี บุรุษทางสังคมศาสตร์ 2. วีรบุรุษมีคุณลกั ษณะพิเศษแตกต่าง
-คติชนวิทยาน้นั วรี บุรุษ หมายถึง บุคคลท้งั ที่มี จากคนธรรมดา
จริงและไม่มีจริงในประวตั ิศาสตร์ ซ่ึงได้รับ
3. วรี บุรุษไดข้ องคู่บุญบารมี
4. วีรบุรุ ษแสดงความสามารถหรื อ
วรี กรรมทางใดทางหน่ึง
วารสารรามคาแหง ฉบบั มนุษยศาสตร์ ปี ท่ี 35 ฉบบั ที่ 1
153
5. วีรบุรุษไปสร้างบา้ นแปงเมืองหรือ ประวตั ิศาสตร์และวีรบุรุษทางวฒั นธรรม” ซ่ึง
ปกครองเมืองต่าง ๆ (ปรมินท์ จารุวร, 2549, สุกัญญา สุจฉายา ได้รวบรวมไวอ้ ย่างเป็ น
หนา้ 140) ระบบเพื่อตีพิมพเ์ ผยแพร่ใน วารสารภาษาและ
วรรณคดีไทย ฉบบั เดือนธนั วาคม พ.ศ. 2542
หากพิจารณาบุคคลสาคญั ในเร่ืองเล่า (สุกัญญา สุจฉายา, 2542, หน้า 204-214)
เก่ียวกับประวตั ิศาสตร์สุโขทัยท่ีเป็ นท่ีรู้จัก ส่งผลให้พบภาพลักษณ์สาคญั ของพระร่วง
โดยทวั่ ไป ไม่วา่ จะเป็ นผมู้ ีตวั ตนจริงในเอกสาร ในพงศาวดารและนิทาน-ตานานประจาถิ่น
ประวตั ิศาสตร์ คือ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ และ คือ ความเป็ นวีรบุรุษผู้ “พิเศษสูงส่ง” กว่าคน
พ่อขนุ รามคาแหง หรือผูเ้ ป็ นตวั ละครในตานาน- ธรรมดาสามญั ดว้ ยประการตา่ ง ๆ ต่อไปน้ี
นิทาน-วรรณคดี ทวา่ กลบั เสมือนมีชีวิตจริงใน
ความรู้สึกนึกคิดของคนในสงั คมไทย คือ พระร่ วง ก. พระร่ วงถือกาเนิดจากมนุษย์ผู้ชาย
และ นางนพมาศ พบวา่ บุคคลเหล่าน้ีมีลกั ษณะ กบั อมนษุ ย์ผ้หู ญิง
ของวีรบุรุษแต่ละมิติ จนอาจเรียกไดว้ ่ามี “ชีวิต
ในตานาน” ที่น่าสนใจในฐานะขอ้ มลู ทางคติชน ก1. กษัตริ ย์ “ไทย” กับนางนาค:
พงศาวดารเหนือ (อรุณกุมารเมืองสวรรคโลก),
จากพระร่วงถึงพ่อขุนศรีอินทราทิตย์: จาก ประชุมพงศาวดารภาคที่ 1, จุลยุทธการวงศ์
วรี บุรุษในตานานถึงวรี บุรุษทางประวตั ิศาสตร์ ฉบบั ความเรียงภาษาไทย, นิทานประจาถิ่น
เร่ืองพระร่วงลูกนาค
พระร่ วงเป็ นวีรบุรุ ษคนสาคัญของ
สุโขทยั ที่มีเรื่องเล่าปรากฏอยทู่ ้งั ในพงศาวดาร ก2. กษัตริย์ (เชื้อสาย) ขอมกับนาง
เช่น พงศาวดารเหนือ พงศาวดารเมืองเชียงใหม่ นาค: ราชพงษาวดารกรุงกมั พูชา, คาให้การ
ชินกาลมาลินี เป็ นตน้ และในนิทาน-ตานาน ชาวกรุงเก่า, ประชุมพงศาวดารภาคที่ 66
ประจาถ่ินท่ีแพร่หลายอยู่แถบจงั หวดั สุโขทยั
อุตรดิตถ์ กาแพงเพชร พิษณุโลก และตาก ก3. กษัตริย์กับนางผีเสื้อ: ประชุม
ในคร้ังน้ีผูเ้ ขียนได้ประมวลเร่ืองเล่าเก่ียวกับ พงศาวดารภาคท่ี 61
พระร่วงจากบทความชื่อ “พระร่วง: วีรบุรุษใน
ก4. ช า ย ส า มั ญ กั บ น า ง ผี เ สื้ อ :
พงศาวดารเมืองเชียงใหม่, พงศาวดารโยนก
ก5. ชายสามัญกับนางเทพธิดา:
วารสารรามคาแหง ฉบบั มนุษยศาสตร์ ปี ท่ี 35 ฉบับท่ี 1
154
ชินกาลมาลินี ง. พระร่ วงมีบทบาทสาคัญทางวฒั นธรรม
ข. พระร่วงมีบุญญาธิการหรืออภินิหาร
ข1. วาจาสิทธิ์: พงศาวดารเหนือ ง1. สร้ างบ้านแปงเมือง: จุลยุทธ
การวงศ,์ คาใหก้ ารชาวกรุงเก่า, ประชุมพงศาวดาร
(อรุ ณกุมาร-พระร่วงส่วยน้ าหรื อพระร่วง ภาคที่ 66 (2 เร่ืองหลังน้ีเล่าว่า ผู้ที่สร้างบ้าน
เมืองสุโขทยั ), ประชุมพงศาวดารภาคที่ 1, แปงเมือง คือ บิดาของพระร่วง)
จุลยทุ ธการวงศ,์ นิทานประจาถิ่นเร่ืองพระร่วง
ลูกนาค, นิทานประจาถ่ินเรื่องพระร่วงลอง ง2. ส ร้ า ง พ ร ะ ธ า ตุแ ล ะ / ห รื อ
พระขรรค,์ นิทานประจาถิ่นเร่ืองปลาพระร่วง ศาสนสถาน-ศาสนวัตถุ: พงศาวดารเหนือ
(อรุณกุมาร), ประชุมพงศาวดารภาคที่ 1,
ข2. เหตุการณ์สาแดงบุญญาธิการ: จุลยุทธการวงศ์, ชินกาลมาลินี (อัญเชิญ
พงศาวดารเหนือ (อรุณกมุ าร), ประชุมพงศาวดาร พระพุทธสิ หิงค์), นิทานประจาถิ่นเรื่ อง
ภาคท่ี 1, จุลยุทธการวงศ์, นิทานประจาถิ่น พ ระ ร่ วง พระลือ
เรื่องพระร่วงลูกนาค
ง3. สร้ างตัวหนังสือ: พงศาวดาร
ข3. พฤติกรรมอันส่ งผลต่อความ เหนือ (อรุณกมุ าร)
เป็ นไปของธรรมชาติ: พงศาวดารเมืองเชียงใหม่
(กาเนิดแม่น้าร่วงช้าง), นิทานประจาถ่ินเรื่อง ง4. สร้ างวัฒนธรรมสังคโลกและ
พระร่วงว่ิงว่าว, นิทานประจาถ่ินเรื่องโซก เป็ นเขยพระเจ้ ากรุงจีน: พงศาวดารเหนือ
พระร่ วงลองดาบ-ลองพระขรรค์, นิทาน (อรุณกุมาร), ประชุมพงศาวดารภาคที่ 1,
ประจาถ่ินเรื่องไมเ้ ช็ดกน้ พระร่วง จุลยทุ ธการวงศ์
ค. พระร่วงประกอบวีรกรรม “ไล่ขอม” จ. พระร่ วงหายไปในแก่งหลวงแทน
พงศาวดารเหนือ (พระร่วงส่วยน้า), การสิ้นชีวิตแบบปกติ
ประชุมพงศาวดารภาคท่ี 1, จุลยุทธการวงศ์, พงศาวดารเหนือ (อรุ ณกุมาร),
คาให้การชาวกรุงเก่า, ประชุมพงศาวดารภาค ประชุมพงศาวดารภาคท่ี 1, จุลยทุ ธการวงศ์
ที่ 66
ฉ. พระร่ วงเป็ นเจ้าของขุมสมบัติหรือ
ของขลัง
วารสารรามคาแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ ปี ที่ 35 ฉบบั ท่ี 1
155
นิทานประจาถ่ินเรื่องสมบตั ิพระร่วงบน ต้ ังใจรั กษาความเปนไทยแห่ งชาติ เ ร า
เขาหลวง, นิทานประจาถ่ินเรื่องขา้ วตอกพระร่วง อนั ไดม้ าโดยยากน้นั ให้มนั่ คงอย่.ู ..การ
ที่ละโวไ้ ดเ้ ปนอิศรภาพพน้ จากขอมได้
ภาพลักษณ์ของ “พระร่วงในตานาน” ต้องถือว่าเพราะพระร่วงเปนผูจ้ ุดไฟ
ไดซ้ ้อนทบั เขา้ กบั กษตั ริยส์ ุโขทยั ผทู้ ี่หลกั ฐาน ข้ึนก่อน แล้วชาวละโวจ้ ่ึงลุกข้ึนตาม
ทางประวตั ิศาสตร์ระบุว่า ทรงมีพระชนมช์ ีพ โดยความจงรักภักดี เป็ นท่ีน่าชมว่า
อยจู่ ริง กล่าวคือ ภาพลกั ษณ์ ค.พระร่ วงประกอบ สมเจ้าสมข้ากัน สมควรท่ีไทยเราใน
วีรกรรมไล่ขอม ซ่ึงเคยปรากฏอยแู่ ตใ่ นพงศาวดาร ช้ันหลังน้ีจะถือเปนคติใส่ ใจไว้ได้
ได้กลายเป็ นท่ีรู้จักอย่างกว้างขวางเนื่องจาก (มงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หัว, พระบาทสมเด็จ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระ, 2521, หนา้ 16-17)
จากเหตุท่ีภาพลกั ษณ์ว่าดว้ ยการขบั ไล่
ทรงพระราชนิพนธ์ บทละครพดู คากลอนเร่ือง ขอมออกจากดินแดนสุโขทยั ถูกนาเสนอในฐานะ
วีรกรรมอนั เป็ นจุดเริ่มตน้ ของความเป็ นชาติ
พระร่วง โดยทรงเนน้ ย้าบทบาทของตวั ละคร ภาพลกั ษณ์ของ “กษตั ริยส์ ุโขทยั ” (พระร่วง)
พระร่วงในฐานะ “กษตั ริย์ผูก้ ู้เอกราช” กับ พระองคท์ ี่ครองราชยใ์ นระยะแรกต้งั บา้ นเมือง
ท้ังทรงแสดงพระราชดาริว่าชาวสุโขทยั ใน จึ ง เ ป ลี่ ย น จ า ก ภ า พ ลัก ษ ณ์ ด้ ัง เ ดิ ม ซ่ึ ง ไ ด้แ ก่
บทพระราชนิพนธ์ คือ กลุ่มชาวไทยเม่ือแรก “วีรบุรุษในตานาน” (mythical hero) ผมู้ ี
ต้งั อาณาจกั รของตนเอง เช่นความในพระราช โครงสร้างชีวิตและการกระทาเชิงอภินิหาร
นิพนธ์คานาวา่ น่าอัศจรรย์เป็ นคุณลักษณะสาคัญ (Raglan,
1965, p. 145) ซ่ึงกลายมาเป็ น “วีรบุรุษทาง
หวงั ใจวา่ จะเป็นเคร่ืองบารุงใจให้ผอู้ ่าน ประวตั ิศาสตร์” (historical hero) ที่ใหน้ ้าหนกั
ราพึงถึงตานานแห่งชาติไทยเรา และให้ กบั การบนั ทึกช่ือและการกระทาเชิง “วีรกรรม”
รู้สึกว่าชาติเราไม่ใช่ชาติที่เกิดข้ึนใหม่ ในหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ของ “รัฐชาติ”
เปนชาติเก่าอนั ไดม้ ีตานานดีมาแลว้ จะได้ (นิธิ เอียวศรีวงศ,์ 2544, หนา้ 16-17) ส่งผลให้
แลเห็นวา่ ชนกของเราไดพ้ ยายามต้งั ตน
เป็ นอิศรภาพ พน้ จากความเปนขา้ ของ
พวกขอมซ่ึงเปนชนต่างชาติต่างภาษา
ไดอ้ ยา่ งไร และเราท้งั หลายจะไดม้ ีมานะ
วารสารรามคาแหง ฉบบั มนุษยศาสตร์ ปี ท่ี 35 ฉบบั ที่ 1
156
ภาพลกั ษณ์ของ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เรื่องท่ี “จิตสานึกร่วม” (collective mind) หรือ “ความ
ทรงกาจดั อิทธิพลของขอมสบาดโขลนลาพง ทรงจาร่วม” (collective memory) ในเร่ือง
เข้ามาทับซ้อนกับภาพลักษณ์ ค. พระร่ วง ความเป็ นกลุ่มเดียวกนั ทาให้สามารถกล่าว
ประกอบวีรกรรมไล่ขอม บวกกบั ภาพลกั ษณ์ ไดว้ า่ “ความทรงจา” รวมถึง “ความผกู พนั /สาย
ง1. พระร่ วงสร้ างบ้านแปงเมือง ในตานานและ สัมพนั ธ์” ที่บุคคลมีต่อบุคคลอ่ืน เป็ นปัจจยั
พงศาวดาร จนสุดทา้ ยแลว้ พระราชประวตั ิช่วงน้ี สาคญั ในการกาหนดอตั ลกั ษณ์
กไ็ ดม้ ีสถานภาพเป็น“ตานานวรี บุรุษของรัฐชาติ”
ไปโดยปริ ยาย เพราะการดารงอยู่ของความทรงจาร่ วม
จิตสานึก และอตั ลกั ษณ์ย่อมไม่สามารถเกิด
อน่ึง ปรากฏการณ์ดงั กล่าวหากยกเอา ข้ึนไดโ้ ดยปราศจาก “กระบวนการทางสังคม”
ขอ้ เท็จจริงทางประวตั ิศาสตร์ไวเ้ สียขา้ งหน่ึง ในการสร้างสรรค์ (Berger & Luckman, 1967,
ก่อน แลว้ พิจารณาเฉพาะสถานภาพตานานของ p. 173) ในกรณีของการสร้างสานึกความเป็ นไทย
เรื่องเล่า ยอ่ มนาไปสู่ความเขา้ ใจเร่ืองบทบาท จึ ง ได้มีก ารนา เอาเรื่ องเล่ า เกี่ ยวกับ พระร่ วง
หน้าท่ีของ “วีรกรรมพ่อขุนศรีอินทราทิตย”์ ใน มาใช้เป็ นส่วนหน่ึงของกระบวนการ ด้วย
มิติทางสังคมวฒั นธรรม โดยเฉพาะการอธิบาย การปลูกฝังความคิดที่ว่าคนไทยท้ังหลายมี
“ตวั ตน” และ “ที่มา” ของคนที่นิยามตวั เองวา่ บรรพบุรุษร่วมกนั คือ ชาวละโว/้ ชาวสุโขทยั
“คนไทย” หรือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า ตอบสนอง ภายใตก้ ารนาของ “พระร่วง” ผเู้ ปรียบเสมือน
ตอ่ ความโหยหาอตั ลกั ษณ์นน่ั เอง “พ่อของชาติ” ดงั น้นั “พวกเรา” จึงเป็ น “คน
กลุ่มเดียวกนั ” โดยมีความทรงจาร่วมเดียวกนั
ความมีอยขู่ องอตั ลกั ษณ์ย่อมมีพ้ืนฐาน คือ ร่วมมือกันขบั ไล่ “ชนชาติขอม” ซ่ึงเป็ น
จากความคิดเร่ือง ตัวเรา/พวกเรา กับผู้อ่ืน/ “คนอ่ืน” เพ่ือสร้างอาณาจักรไทยอันเป็ น
คนอ่ืน (us & the others) อีกท้งั มกั ถูกใชอ้ า้ งถึง “ที่มา” ของชาติอนั ยาวนาน
ความเป็ นกลุ่ มมากกว่าความเป็ นปั จเจก
(Abrahams, n.d., p. 205) ในที่น้ีอตั ลกั ษณ์จึง
หม า ย ร ว ม ไ ป ถึ ง ลัก ษ ณ ะ ร่ ว ม อันท า ใ ห้ เ กิ ด
ความเป็ นกลุ่ม หรื อ อาจกล่าวได้ว่า คือ
วารสารรามคาแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ ปี ที่ 35 ฉบบั ที่ 1
157
พ่อขุนรามคาแหง:ธรรมราชา พญาจักรพรรดิราช ที่ พระบาทสมเด็ จพระเจ้าอยู่ หั วทรงมี
พระชนมพรรษาครบ 84 พรรษา เรื่อง “อานุภาพ
วรี บุรุษทางวฒั นธรรม พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช” ซ่ึงโรงเรียนศึกษานารี
พอ่ ขนุ รามคาแหงทรงเป็นกษตั ริยส์ ุโขทยั ร่วมกบั โรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลยั ใน
พระบรมราชูปถมั ภ์ จดั แสดงที่หอประชุมใหญ่
ที่ประชาชนไทยรู้จกั พระนามอย่างแพร่หลาย มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ วนั ที่ 28-29 มกราคม
ที่สุดพระองคห์ น่ึง โดยเฉพาะขอ้ มูลพระราช พ.ศ. 25545 แสดงให้เห็นสถานภาพ “กษตั ริย์
ประวตั ิและพระจริยวตั รในฐานะผูป้ กครอง ในอุดมคติ” ของพระองคท์ ่ีดารงอยใู่ นสงั คมไทย
สุโขทยั จากศิลาจารึกหลกั ที่ 1 ซ่ึงไดร้ ับการนามา
ผลิตซ้าเรื่อยมา ไม่ว่าจะในเรื่องเล่าที่กล่าวถึง ในแง่หน่ึง ภาพลักษณ์ของพ่อขุน
พอ่ ขนุ รามคาแหงโดยตรง เช่น ละครปลุกใจเรื่อง รามคาแหงจากศิลาจารึกไดร้ ับการนาเสนอให้
“อานุภาพพอ่ ขนุ ” ของพลตรีหลวงวิจิตรวาทการ คล้าย “พญาจักรพรรดิราช” หรื อกษัตริ ย์
หรือที่กล่าวถึง “ตัวละครร่วมสมัย” กับ ผู้ย่ิงใหญ่ในอุดมคติตามแบบพุทธศาสนา
พระองค์ทาน อาทิ ละครเทิดพระเกียรติเรื่อง เถรวาท ในท่ีน้ีใคร่ขอเสนอเปรียบเทียบกับ
“นางเสือง” ซ่ึงสมภพ จนั ทรประภา ผเู้ ขียนบท จักกวัตติสูตร (พระสูตรและอรรถกถาแปล
ระบุไวช้ ดั เจนวา่ นาเอาเร่ืองราวของนางเสือง ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค, 2543, หน้า 50-70)
มาจากพระราชประวตั ิพ่อขุนรามคาแหงใน และ มหาสุทัสสนสูตร (พระสูตรและอรรถกถา
ศิลาจารึกหลกั ที่ 1ที่วา่ “พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์ แปล ทีฆนิกาย มหาวรรค, 2543, หน้า 160-
แม่กชู ื่อนางเสือง” 4 เป็นตน้ 182) ในพระสุตตนั ตปิ ฎก ฑีฆนิกาย รวมถึง
ปุญญวิปากสูตร (พระสูตรและอรรถกถาแปล
เร่ืองเล่าเกี่ยวกบั พ่อขุนรามคาแหงไดร้ ับ อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต, 2543, หน้า 85-
การผลิตซ้าข้ึนหลายคร้ังโดยเฉพาะมีวตั ถุประสงค์ 86) ในพระสุ ตตันตปิ ฎก อังคุตตรนิกาย
เพ่ือเฉลิมพระเกียรติพระมหากษตั ริย์ อาทิ เพื่อให้เห็นภาพลกั ษณ์ของพ่อขุนรามคาแหง
ละครเทิดพระเกียรติเร่ือง “อานุภาพพ่อขุน แมก้ ระทงั่ ภาพลกั ษณ์ของเมืองที่ทรงปกครอง
รามคาแหง” ออกอากาศในวนั ที่ 2-4 ธนั วาคม ในแง่น้ีไดช้ ดั เจนมากข้ึน
พ.ศ. 2551 เวลา 18.45-19.45 น. ทางช่อง 7 สี
หรื อละครเวทีการกุศล อันเนื่ องในวโรกา ส
วารสารรามคาแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ ปี ท่ี 35 ฉบับท่ี 1
158
ภาพลกั ษณ์พ่อขนุ รามคาแหง- ศิลาจารึกหลกั ที่ 1 ข้อความในพระสูตร
พญาจกั รพรรดริ าช (ตวั อย่าง)
1) ปกครองอาณาจกั รกว้างใหญ่ มีเมืองกวา้ งชา้ งหลาย ปราบ จกั กวัตติสูตร:
ไพศาลมผี นื นา้ และ/หรือ เบ้ืองตะวนั ออก รอดสรลวง จกั รพรรดิพระนามวา่ ทลั หเนมิ
มหาสมุทรเป็ นขอบเขต สองแคว ลมุ บาจาย สคา เทา้ ฝั่ง ผทู้ รงธรรม เป็นพระราชา
ของเถีงเวยี งจนั ทนเ์ วยี งคาเป็นที่ โดยธรรม เป็นใหญ่ในแผน่ ดิน
แลว้ เบ้ื(อ)งหวั นอน รอดคนที มีมหาสมุทร 4 เป็นขอบเขต
พระบาง แพรก สุพรรณภูมิ ฯลฯ ครอบครองแผน่ ดิน
ราชบุรี เพชรบุรี ศรีธรรมราช มีสาครเป็นขอบเขต
ฝ่ังทะเลสมุทรเป็นท่ีแลว้ เบ้ือง มหาสุทสั สนสูตร:
ตะวนั ตก รอดเมืองฉอด เมือง ลาดบั น้นั จกั รแกว้ น้นั ก็
...น หงสาวดี สมุทรหาเป็นแดน ปราบปรามปฐพีมีสมุทรเป็น
เบ้ืองตีนนอน รอดเมืองแพร่ ขอบเขตใหร้ าบคาบ
เมืองมา่ น เมืองน...เมืองพลวั ปุญญวปิ ากสูตร:
พน้ ฝ่ังของเมืองชวาเป็นท่ีแลว้ พระเจา้ จกั รพรรดิต้งั อยใู่ น
ธรรม เป็นธรรมราชา มีสมทุ ร
ท้งั 4 เป็นขอบเขต
2) ปกครองแผ่นดนิ โดยธรรม 2.1) คนใดขี่ชา้ งมาหา จกั กวตั ติสูตร:
พาเมืองมาสู่ช่อยเหนือเฟ้ื อกู้ เป็นพระราชาโดยธรรม ฯลฯ
ฯลฯ ช่อยมนั ตวงเป็นบา้ น มิตอ้ งใชอ้ าชญา มิตอ้ งใช้
เป็นเมือง ไดข้ า้ เสือก ขา้ เสือ ศสั ตรา
หวั พุ่งหวั รบกด็ ี บ่ฆ่าบ่ตี มหาสุทัสสนสูตร:
2.2) ไพร่ฟ้ าหนา้ ปกกลางบา้ น ทรงมีพระทยั ประกอบดว้ ย
กลางเมือง ฯลฯ มนั จกั กลา่ วเถิง เมตตา แผไ่ ปตลอดทิศหน่ึงอยู่
เจา้ เถิงขนุ บ่ไร้ ไปลน่ั กะด่ิง ทิศที่สองที่สามที่ส่ีกเ็ หมือนกนั
วารสารรามคาแหง ฉบบั มนุษยศาสตร์ ปี ท่ี 35 ฉบับที่ 1
159
ภาพลกั ษณ์พ่อขุนรามคาแหง- ศิลาจารึกหลกั ที่ 1 ข้อความในพระสูตร
พญาจกั รพรรดริ าช (ตวั อย่าง)
อนั ท่านแขวนไว้ พอ่ ขนุ ฯลฯ
รามคาแหงเจา้ เมืองไดย้ ิน ปญุ ญวิปากสูตร:
เรียกเมือถาม สวนความแก่ พระเจา้ จกั รพรรดิต้งั อยใู่ น
มนั ดว้ ยซื่อ ธรรม เป็นธรรมราชา
2.3) ปลกู เล้ียงฝงู ลกู บา้ น
ลกู เมืองน้นั ชอบดว้ ยธรรมทุกคน
3) สั่งสอนธรรมแก่ประชาชน พ่อขนุ รามคาแหงน้นั ฯลฯ จกั กวตั ตสิ ูตร:
หาเป็นครูอาจารยส์ งั่ สอนไทย ทา้ วเธอจึงตรัสอยา่ งน้ีวา่ พวก
ท้งั หลายใหร้ ู้บุญรู้ธรรมแทแ้ ต่ ท่านไม่พึงฆ่าสตั ว์ ไม่พึงถือเอา
คนอนั มีในเมืองไทย ดว้ ยรู้ดว้ ย ของท่ีเจา้ ของไมไ่ ดใ้ ห้ ไม่พึง
หลวก ดว้ ยแกลว้ ดว้ ยหาญ ดว้ ย ประพฤติผดิ ในกามท้งั หลาย
แคะดว้ ยแรง ไมพ่ ึงกล่าวคาเทจ็ ไมพ่ ึงดื่มน้าเมา
มหาสุทสั สนสูตร:
พระเจา้ มหาสุทสั สนะจึงตรัส
อยา่ งน้ีวา่ พวกท่านไม่พึงฆ่าสตั ว์
ไม่พึงถือเอาของท่ีเจา้ ของไม่ไดใ้ ห้
ไมพ่ ึงประพฤติผิดในกาม
ไม่พึงกล่าวเทจ็ ไมพ่ ึงดื่มน้าเมา
ปญุ ญวิปากสูตร:
สงั่ สอนคนในปฐพีมณฑลน้นั
โดยธรรมสม่าเสมอ ไม่ผลุนผลนั
วารสารรามคาแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ ปี ที่ 35 ฉบบั ท่ี 1
160
ภาพลกั ษณ์พ่อขนุ รามคาแหง- ศิลาจารึกหลกั ที่ 1 ข้อความในพระสูตร
พญาจกั รพรรดริ าช (ตวั อย่าง)
4) ให้ความสาคัญแก่วนั อุโบสถ 4.1) พอ่ ขนุ รามคาแหงเจา้ ฯลฯ จกั กวัตติสูตร:
ใหช้ ง่ั ฟันขดานหิน ต้งั หวา่ ง ทรงรักษาอโุ บสถอยู่ ณ
กลางไมต้ าลน้ี วนั เดือนดบั ปราสาทอนั ประเสริฐช้นั บน
เดือนโอกแปดวนั วนั เดือนเตม็ ในวนั อุโบสถ 15 ค่า
เดือนบา้ งแปดวนั ฝงู ป่ คู รู เถร มหาสุทสั สนสูตร:
มหาเถร ข้ึนนงั่ เหนือขดานหิน เมื่อพระเจา้ มาหาสุทสั สนะทรง
สูดธรรมแก่อุบาสก ฝงู ท่วยจาศีล สนานพระเศียรในวนั 15 ค่า
4.2) คร้ันวนั เดือนดบั เดือนเตม็ อนั เป็นวนั อโุ บสถ ทรงรักษา
ฯลฯ พ่อขุนรามคาแหง ข้ึนขี่ไป อโุ บสถ
นบพระ (เถิง) อรัญญิกแลว้ เขา้ มา
5) ปลูกสร้างสวนตาลอนั มี พอ่ ขนุ รามคาแหงเจา้ เมือง มหาสุทสั สนสูตร:
บลั ลงั ก์และศาลา ศรีสชั นาลยั สุโขทยั น้ี ปลกู ไม้ 5.1) พระเจา้ มหาสุทสั สนะ
ตาลน้ีไดส้ ิบสี่เขา้ จึงใหช้ ง่ั ฟัน รับสง่ั ใหส้ ร้างสวนตาลแลว้ ดว้ ย
ขดานหินต้งั หวา่ งกลาง ทองลว้ นไวท้ ่ีประตูยอดเรือน
ไมต้ าลน้ี ฯลฯ ในกลวงป่ าตาลน้ี หลงั ใหญ่ ฯลฯ ธรรมปราสาท
มีศาลาสองอนั อนั ณื่งช่ือศาลา แวดลอ้ มดว้ ยเวที 2 ช้นั
พระมาส อนั ณ่ืงช่ือพทุ ธศาสนา 5.2) พระเจา้ มหาสุทสั สนะตรัส
ขดานหินน้ีช่ือมนงั ศิลาบาตร เรียกราชบุรุษคนหน่ึงมาตรัสวา่
พ่อจงนาบลั ลงั กแ์ ลว้ ดว้ ยทอง
จากเรือนยอดหลงั ใหญไ่ ปต้งั ใน
สวนตาลอนั แลว้ ดว้ ยทองลว้ น
วารสารรามคาแหง ฉบบั มนุษยศาสตร์ ปี ท่ี 35 ฉบบั ที่ 1
161
ภาพลกั ษณ์พ่อขนุ รามคาแหง- ศิลาจารึกหลกั ที่ 1 ข้อความในพระสูตร
พญาจกั รพรรดริ าช (ตวั อย่าง) มหาสุทสั สนสูตร:
พระเจา้ มหาสุทสั สนะไดท้ รง
6) บริจาคทานตามความต้องการ มนั บ่มีชา้ งบ่มีมา้ บ่มีปั่วบ่มีนาง ต้งั ทานเห็นปานน้ีไวท้ ี่ขอบสระ
โบกขรณีเหลา่ น้นั คือ ขา้ ว
ของประชาชน บ่มีเงือนบ่มีทอง ใหแ้ ก่มนั สาหรับผตู้ อ้ งการขา้ ว น้า
สาหรับผตู้ อ้ งการน้า ผา้ สาหรับ
7) ปกครองเมอื งทีเ่ ตม็ ไปด้วย ดบงดกลองดว้ ยเสียงพาดเสียง ผตู้ อ้ งการผา้ ยานสาหรับ
เสียงอกึ ทกึ องึ อล พิณ เสียงเล้ือนเสียงขบั ใครจกั ผตู้ อ้ งการยาน ท่ีนอนสาหรับ
มกั เล่น เล่น ใครจกั มกั หวั หวั ผตู้ อ้ งการท่ีนอน สตรีสาหรับ
ใครจกั มกั เล้ือน เล้ือน ผตู้ อ้ งการสตรี เงินสาหรับ
ผตู้ อ้ งการเงิน และทองสาหรับ
ผตู้ อ้ งการทอง
มหาสุทสั สนสูตร:
กสุ าวดีราชธานีมิไดเ้ งียบจาก
เสียง 10 ประการท้งั กลางวนั
และกลางคืน คือ เสียงชา้ ง
เสียงมา้ เสียงรถ เสียงกลอง
เสียงตะโพน เสียงพิณ เสียง
ขบั ร้อง เสียงกงั สดาล เสียง
ประโคม และเสียงเป็นที่ 10 วา่
ท่านท้งั หลายจงบริโภค จงดื่ม
จงเค้ียวกิน
วารสารรามคาแหง ฉบบั มนุษยศาสตร์ ปี ท่ี 35 ฉบับที่ 1
162
ภาพลกั ษณ์พ่อขุนรามคาแหง- ศิลาจารึกหลกั ที่ 1 ข้อความในพระสูตร
พญาจกั รพรรดริ าช (ตวั อย่าง)
8) ปกครองเมอื งทมี่ กี าแพง รอบเมืองสุโขทยั น้ี ตรีบูรได้ มหาสุทสั สนสูตร:
ล้อมแน่นหนา สามพนั ส่ีร้อยวา กสุ าวดีราชธานี แวดลอ้ มดว้ ย
กาแพง 7 ช้นั
9) ปกครองเมอื งที่มปี ระชากร 9.1) เท้ียรยอ่ มคนเสียดกนั ฯลฯ มหาสุทสั สนสูตร:
หนาแน่น เขา้ มาดทู ่านเผาเทียน ท่านเลน่ เมืองกสุ าวดีราชธานีกฉ็ นั น้นั
ไฟ เมืองสุโขทยั น้ี มีดงั่ จกั แตก เหมือนกนั เป็นเมืองท่ีมง่ั คงั่
9.2) เมืองสุโขทยั น้ีดี ในน้ามี รุ่งเรือง มีชนมาก มนุษย์
ปลา ในนามีขา้ ว หนาแน่น และมีภิกษาหาไดง้ ่าย
สั น นิ ษ ฐ า น ว่ า เ ห ตุ ที่ ภ า พ ลัก ษ ณ์ ข อ ง เป็ นธรรมราชา-พญาจกั รพรรดิราชถูกนามาใช้
พ่อขุนรามคาแหงในศิลาจารึ กหลักท่ี 1 เพ่ือสิทธิธรรมทางการปกครอง อีกท้งั เป็ นไปได้
ตลอดจนนครรัฐสุโขทยั ในรัชสมยั ของพระองค์ อยา่ งมากวา่ คติเร่ืองธรรมราชา-พญาจกั รพรรดิราช
ถูกประกอบสร้างให้คล้ายกับภาพของพญา เป็ นแรงขับสาคัญของการพระราชนิพนธ์
จกั รพรรดิราช โดยเฉพาะในมหาสุทสั สนสูตร เตภูมิกถา ของพญาลิไทผูท้ รงนิยามพระองค์
มาจากการที่ 1) พุทธศาสนาเถรวาทแบบ เองในฐานะ “ธรรมราชา” สืบตอ่ มา
ลังกาวงศ์เป็ นความคิดความเช่ือหลักของ
บ้านเมืองแว่นแควน้ ในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ส่วนในอีกแง่หน่ึง พ่อขุนรามคาแหง
19-21 อนั รวมถึงสุโขทยั และ 2) สุโขทยั ได้ ถือเป็ น “วีรบุรุษทางวฒั นธรรม” (culture hero)
พฒั นาวฒั นธรรมพุทธศาสนาจากรากฐานที่มี ซ่ึงหมายถึง วีรบุรุษผูว้ างรากฐานวฒั นธรรม
มาแต่คร้ังทวารวดี จนกลายเป็ นรัฐศูนยก์ ลาง บางด้านแก่ชุมชน (สุกญั ญา สุจฉายา, 2542,
ทางพุทธศาสนา (ธิดา สาระยา, 2545, หน้า หน้า 203) ในท่ีน้ี คือ การประดิษฐ์อกั ษรไทย
98, 318) ส่งผลให้อุดมคติเกี่ยวกบั ผปู้ กครองท่ี ซ่ึงก็เป็ นข้อมูลจากศิลาจารึกหลักท่ี 1 เป็ น
สาคญั เช่นกนั ความวา่ “เม่ือก่อนลายสือไทยนี้
วารสารรามคาแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ ปี ท่ี 35 ฉบบั ที่ 1
163
บ่มี 1205 ศกปี มะแม พ่อขุนรามคาแหงหาใคร่ ข้างอาคารคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ใจในใจ แลใส่ลายสือไทยนี้ ลายสือไทยนีจ้ ่ึงมี ธรรมศาสตร์ ท่าพระจนั ทร์ เพื่อ “แสดงการ
เพื่อขุนผู้นั้นใส่ไว้” (ราตรี ธันวารชร, 2541, ระลึกถึงรากเหงา้ และความเป็ นไทย”6 3) การ
หนา้ 109) ใช้ลายสือไทยตวั ก เป็ นสัญลกั ษณ์หน่ึงของ
คณะอกั ษรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร หรือ
การมีตัวอักษรมีความสาคัญในทาง แม้กระท่ัง 4) เรื่องเล่าอธิบายสาเหตุท่ีคณะ
วัฒนธรรมของทุกกลุ่มชาติพันธุ์ ด้วยใน อกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ผเู้ ขียน
แง่หน่ึงตัวอักษรก็เสมือนเป็ น “เคร่ืองช้ีวดั บทความสมัยยงั เป็ นนิสิตระดับปริญญาตรี
อารยธรรม” ของมนุษย์ (ศิราพร ณ ถลาง, ช้ันปี ท่ี 1 ก็เคยได้ยินเร่ืองเล่าสานวนหน่ึงว่า
2549, หนา้ 196) ดงั น้นั ความรับรู้ท่ีวา่ พ่อขุน- เพราะสีเทาเป็ นสี ของศิลาจารึ ก7
รามคาแหงทรงประดิษฐ์อักษรไทยจึงยกชู
ภาพลกั ษณ์ของพระองค์ในฐานะวีรบุรุษทาง กระน้ันภาพลักษณ์ของพระร่ วงใน
วัฒนธรรมผู้ทรงเริ่ มต้น “วัฒนธรรมทาง ตานานท่ีซอ้ นทบั กบั พอ่ ขุนรามคาแหงใช่จะมี
หนังสื อ” ของ “ชาติไทย” นอกจากน้ียัง เพียงแต่เร่ืองการประดิษฐ์อกั ษรไทยเท่าน้ัน
ซ้อนทบั กับภาพลกั ษณ์ ง3. สร้ างตัวหนังสือ หากยงั รวมถึงภาพลกั ษณ์ ง4. สร้ างวัฒนธรรม
ของพระร่วงซ่ึงเป็นวรี บุรุษในตานาน สังคโลกและเป็นเขยพระเจ้ากรุงจีน ท่ีกล่าวไว้
ใน พงศาวดารเหนือ (เรื่องอรุณกุมารเมือง
ภาพลักษณ์ผูป้ ระดิษฐ์ตัวอักษรไทย
ของพ่อขุนรามคาแหงก่อให้เกิด “คติชน สวรรคโลก) ประชุมพงศาวดารภาคท่ี 1 และ
ในสถานศึกษา” บางประการ ไม่ว่าจะเป็ น จุลยุทธการวงศ์ ตัวอย่างเช่น พระบรม-
1) การสถาปนา “มหาวิทยาลัยรามคาแหง” ราชวนิ ิจฉยั ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้
ตามคาเสนอของนายแคลว้ นรปติ สมาชิก เจ้าอยู่หัวว่า พ่อขุนรามคาแหงทรงรับเอา
สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั ขอนแก่นท่ีวา่ “เป็ น วฒั นธรรมถว้ ยชามแบบจีนมาปรับแปลงเป็ น
ที่ระลึกแก่พระมหากษตั ริยผ์ ูป้ ระสาทอกั ษร สังคโลกเม่ือคราวเสด็จไปเมืองจีนในรัชกาล
ภาษาไทย” (อญั ชลี ภูมิดิษฐ์, 2533, หน้า 16) พระเจา้ หยวนเซ่งจง พ.ศ. 1843 (มงกุฎเกล้า
2) การสลักอกั ษรลายสือไทยขนาดใหญ่ด้าน เจา้ อยหู่ วั , พระบาทสมเดจ็ พระ, 2470, หนา้ 19)
วารสารรามคาแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ ปี ท่ี 35 ฉบบั ท่ี 1
164
นอกจากพอ่ ขุนรามคาแหงจะมีสถานภาพ นางนพมาศ: ตัวละครสมมุติท่ีกลายเป็ นผู้ให้
เป็ น “พระร่วงผูใ้ ห้กาเนิดสังคโลก” แล้ว ใน
ปัจจุบนั ก็ยงั มีร่องรอยของเร่ืองเล่าเก่ียวกับ กาเนิดประเพณพี ธิ ีกรรม
พระร่วงในภาพลกั ษณ์ ง2. สร้ างพระธาตุและ/ แมเ้ ร่ืองเล่าท่ีว่านางนพมาศ สนมเอก
หรือศาสนสถาน-ศาสนวัตถุ เก่ียวเน่ืองกบั เร่ือง
การอญั เชิญพระพุทธสิหิงค์ ใน ชินกาลมาลินี ของพระร่วงกษัตริย์สุโขทัยเป็ นผูป้ ระดิษฐ์
เช่น ละครเทิดพระเกียรติเร่ื อง “อานุภาพ กระทง นามาซ่ึงประเพณีลอยกระทงของคนไทย
พอ่ ขนุ รามคาแหง” ทางช่อง 7 สี ปรากฏฉากที่ จะไดร้ ับการพิสูจน์ทางวชิ าการแลว้ วา่ เร่ืองน้ี
“ชาวเกาะลงั กาอญั เชิญพระพุทธสิหิงค์มาถวาย เป็ นเพียงวรรณกรรมสมยั รัตนโกสินทร์ตอนตน้
พอ่ ขุนรามคาแหง และพระองคก์ ็ไดป้ ระดิษฐาน ท่ีดาเนินเรื่องโดยมีฉากกรุงสุโขทยั เป็ นกรอบ
ไวบ้ นแท่นหนา้ เมืองกรุงสุโขทยั ”8 เวลาเท่าน้ัน9 ทว่าคนส่วนใหญ่กลับมิได้ให้
ความสาคญั กับขอ้ เท็จจริงดงั กล่าวเท่าท่ีควร
ในขณะท่ีภาพลกั ษณ์ ค. พระร่ วงประกอบ ท้งั น้ีผเู้ ขียนบทความสันนิษฐานวา่
วีรกรรม “ไล่ขอม” ส่งผลใหพ้ ระร่วง = พ่อขุน
ศรีอินทราทิตย์ ภาพลกั ษณ์ ง. พระร่ วงมีบทบาท ประการแรก ทศั นคติเช่นน้ีเกิดข้ึนจาก
สาคัญทางวฒั นธรรม ก็ประกอบสร้างมโนทศั น์ “มายาอนั สมบูรณ์” ซ่ึงเป็ นคุณสมบตั ิประการ
ที่ว่า พระร่วง = พ่อขุนรามคาแหง เช่นกัน หน่ึงของวรรณคดี เช่นที่ เจตนา นาควชั ระ
ดงั น้นั พระร่วงในตานานกบั กษตั ริยพ์ ระองคจ์ ริง นาเสนอวา่ “โลกของวรรณคดีเป็ นโลกสมมุติ
จึงมีมิติทบั ซอ้ นกนั จนเรียกไดว้ า่ ประวตั ิศาสตร์ แต่เป็ นโลกสมมุติที่มิได้อยู่ไกลเกินไปจาก
กบั ตานานไดผ้ สานเป็ นเน้ือเดียวกนั เรื่องเล่า ความเป็ นจริง และเป็ นโลกที่มีความสมจริง
เก่ียวกับประวตั ิศาสตร์สุโขทัยอันกล่าวถึง พอท่ีจะทาให้ เราเกิดอารมณ์ คล้อยตามไปได้”
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ และพ่อขุนรามคาแหง (เจตนา นาควชั ระ, 2543, หน้า 35) ในกรณีน้ี
จึงมีลักษณะเป็ น “ประวตั ิศาสตร์ศกั ด์ิสิทธ์ิ ยง่ิ โลกสมมุติในเร่ืองทบั ซ้อนกบั “ประวตั ิศาสตร์”
เสมอด้วยตานาน” และเป็ น “ตานานเสมือน ก็ย่ิงง่ายที่จะทาให้เข้าใจว่าวรรณกรรมใน
ข้อเท็จจริ งทางประวตั ิศาสตร์” ทานองเดี ยวกับ เร่ื องนางนพมาศ หรื อ
ตารับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็ นเอกสารทาง
ประวตั ิศาสตร์
วารสารรามคาแหง ฉบบั มนุษยศาสตร์ ปี ท่ี 35 ฉบบั ท่ี 1
165
ประการต่อมา ความรู้สึกนึกคิดเรื่อง วฒั นธรรม ยงิ่ ประกอบสร้างมายาอนั สมบูรณ์
วีรบุรุ ษทางวฒั นธรรมในแง่การให้กาเนิด กระทงั่ กลายเป็นความน่าเช่ือถือในท่ีสุด
ประเพณี พิธี กรรมที่สื บทอดอยู่ในสังคม
วฒั นธรรมไทยได้มีส่วนสร้าง “ความลวง” ประการสุดทา้ ย ประวตั ิและคุณสมบตั ิ
อันเกิดจากจินตนาการของผู้ประพันธ์ให้ ของตวั ละครนางนพมาศ10 พอ้ งกบั วีรบุรุษทาง
“สมจริง” จนเสมอเหมือนความจริง ยง่ิ สุโขทยั วฒั นธรรมอยถู่ ึง 4 ใน 5 ประการ จึงสามารถ
มีภาพลกั ษณ์เป็ นท้งั อาณาจักรแรกของไทย โน้มน้าวใจให้ผู้อ่านรู้สึกถึงความมีอยู่จริ ง
และดินแดนอุดมคติซ่ึงสงบร่มเยน็ และรุ่มรวย ในฐานะ “สตรีผูส้ ร้างประเพณี” ได้อย่าง
ไมย่ ากนกั ไดแ้ ก่
วรี บุรุษทางวฒั นธรรม นางนพมาศ
1) ชาตกิ าเนิดแตกต่างจากคนธรรมดา เป็นบุตรีพระศรีมโหสถฯ ราชบณั ฑิตปุโรหิตซ่ึง
สืบเช้ือสายพราหมณ์มหาศาลผรู้ ับผดิ ชอบ
2) คุณลกั ษณะพเิ ศษแตกต่างจากคนธรรมดา การพระราชพิธี
มารดามีมงคลสุบินนิมิตแสดงการถือกาเนิด
ของนาง
กาเนิดในวนั เพญ็ บุษยฤกษ์ พระจนั ทร์ทรงกลด
ปราศจากเมฆ
มีรูปสมบตั ิงดงามมาแต่แรกกาเนิด
ไดร้ ับการอบรมเล้ียงดูและการศึกษาอยา่ งดีกวา่
สตรีทว่ั ไปจนเป็น “กลั ยาณีนารีปราชญ”์
ประกอบดว้ ยรูปสมบตั ิ ทรัพยส์ มบตั ิ
ปัญญาสมบตั ิ
เป็นที่โปรดปรานของสมเดจ็ พระร่วงเจา้
วารสารรามคาแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ ปี ที่ 35 ฉบับท่ี 1
166
วรี บุรุษทางวฒั นธรรม นางนพมาศ
3) ได้ของคู่บุญบารมี
ในที่น้ีเนื่องจากนางนพมาศเป็นสตรี คุณลกั ษณะ
4) แสดงความสามารถหรือวรี กรรม น้ีจึงแสดงออกในทางตรงกนั ขา้ ม คือ นางได้
ถวายตวั เป็น “บาทบริจาริกาใตบ้ ารมี” ของ
พระร่วงเจา้ ผเู้ ป็นกษตั ริยใ์ นอดุ มคติ
ประดิษฐโ์ คมลอยรูปดอกบวั โกมทุ อนั เป็นที่มา
ของกระทงและประเพณีลอยกระทง
นอกจากน้ีการนาเสนอเร่ืองนางนพมาศ ความส่ งท้าย
เพ่ือการท่องเท่ียวก็อาจเรี ยกได้ว่าเป็ น เร่ืองเล่าเก่ียวกบั ประวตั ิศาสตร์สุโขทยั
ปรากฏการณ์ทางสังคมท่ีท้งั ไดร้ ับอิทธิพลและ
ส่งอิทธิพลต่อ “ความน่าเช่ือถือ” ของเรื่องเล่า ไม่วา่ จะเน่ืองดว้ ยในฐานะ “ดินแดนอุดมคติ”
ในแง่หน่ึง คือ ความแพร่หลายของตานาน อนั เป็ นต้นกาเนิดของรัฐชาติ หรือเน่ืองด้วย
นางนพมาศได้ถูกนามาเป็ น “จุดขายทาง “วีรบุรุษของรัฐชาติ” ที่เชื่อว่าเคยมีตวั ตนอยู่
วฒั นธรรม” จนท่ีสุดแมก้ ารประกวดความงาม ในช่วงเวลาดงั กล่าว แมจ้ ะขดั แยง้ กบั ขอ้ เท็จจริง
ที่จดั ข้ึนในวนั ลอยกระทงก็ยงั เรียกวา่ “ประกวด ทางประวตั ิศาสตร์ ทวา่ ก็ถือเป็ นขอ้ มูลคติชน
นางนพมาศ” ส่วนในอีกแง่หน่ึง ตราบใดท่ี ที่ดารงอยู่อย่าง “มีเหตุ” และ “เป็ นผล” ไม่ว่า
ตานานนางนพมาศยงั คง “ขายได”้ ในเชิงการ จะเพ่ือตอบสนองความต้องการมีอตั ลักษณ์
ท่องเท่ียว ตานานน้ีก็ยงั จะได้รับการผลิตซ้า และสร้างความทรงจาร่วมอนั ต้งั ตน้ จากอิทธิพล
จนมีส่วนสร้าง “ความชอบธรรมในฐานะเรื่อง ของกระแสแนวคิดจินตนิยม ผนวกรวมเขา้ กบั
จริง” ใหเ้ ป็นตานานต่อไป ความคิดความเชื่อ รวมถึงความคิดฝันอนั เป็ น
อุดมคติท้งั ในเชิงพ้ืนท่ีและคุณลกั ษณะผนู้ าท่ีมี
รากฐานเดิมอยู่แล้วในสังคมวฒั นธรรมไทย
ตลอดจนตอบคาถามถึงท่ีมาของผลผลิตทาง
วฒั นธรรมบางประการให้ “คลายใจ” จนนาไปสู่
วารสารรามคาแหง ฉบบั มนุษยศาสตร์ ปี ที่ 35 ฉบับที่ 1
167
การผลิตซ้าของเรื่องเล่า นอกจากน้ียงั เป็ น
บ่อเกิดของข้อมูลคติชน โดยเฉพาะคติชนใน
สถาบนั การศึกษา
เมื่อเป็นเช่นน้ี สาหรับการศึกษาคน้ ควา้
ทางมนุษยศาสตร์-สงั คมศาสตร์ ความพยายาม
ในการทาความเข้าใจ “ความหมาย” ของ
ขอ้ มูลอันนอกเหนือไปจากความจริงระดับ
“ข้อเท็จจริง” ก็ใช่ว่าจะไม่สาคญั เสียทีเดียว
เพราะขอ้ มูลท่ีวา่ อาจนาไปสู่ความเขา้ ใจวธิ ีคิด
วิถีวฒั นธรรม วิธีการนิยามตนเองและคนอื่น
ซ่ึงจะนาไปสู่ “ความเขา้ ใจมนุษย์” มากเท่าที่
จะสามารถเป็นไปไดใ้ นท่ีสุด
วารสารรามคาแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ ปี ท่ี 35 ฉบับท่ี 1
168
เชิงอรรถ
2 ตานานปรัมปรา หมายถึง เร่ืองเล่าศกั ด์ิสิทธ์ิวา่ ดว้ ยระบบจกั รวาลและอานาจเหนือธรรมชาติของกลุ่ม
วฒั นธรรมหรือกลมุ่ ชาติพนั ธุ์ นิทานประจาถ่ิน หมายถึง เรื่องเลา่ เก่ียวกบั ประวตั ิความเป็นมาของทอ้ งถิ่นที่
กล่มุ ชนเชื่อวา่ เคยเกิดข้ึนจริง ส่วน ตานานประจาถ่ิน หมายถึง เรื่องเลา่ เก่ียวกบั ความศกั ด์ิสิทธ์ิและส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิ
ประจาทอ้ งถน่ิ ซ่ึง “มีจริงเป็ นจริง” ในทศั นะของคนทอ้ งถิ่น
3 ปัจจบุ นั ในหลกั สูตรภาษาไทย ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3 ยงั คงกาหนดใหบ้ รรจเุ น้ือหาศิลาจารึกหลกั ที่ 1
ไวใ้ นแบบเรียน
4http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1358152306 (เขา้ ถึงเม่ือ 26 พฤษภาคม 2558)
5 http://webboard.yenta4.com/topic/447651(เขา้ ถึงเมื่อ 26 พฤษภาคม 2558)
6 http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bookkii&month=05-007&date=04&group=2&gblog=27
(เขา้ ถึงเมื่อ 26 พฤษภาคม 2558)
7ส่วนเรื่องเล่าอีกสานวนที่แพร่หลายกวา่ ไดแ้ ก่ สีเทาแสดงถึง “ธรรมชาติของมนุษย”์ กล่าวคือ มนุษยท์ ุกผู้
ทุกนามมิไดด้ ีงามบริสุทธ์ิดงั สีขาว หรือเลวร้ายทุกแง่มุมดงั สีดา คณะอกั ษรศาสตร์ซ่ึงมีจดุ มุง่ หมายสูงสุด คือ
มงุ่ เนน้ ผลิตบณั ฑิตที่มี “ความสามารถในการเขา้ ใจมนุษย”์ จึงใชส้ ีเทาเป็นสีประจาคณะ
8http://gossipstar.mthai.com/gossip-content/17390 (เขา้ ถึงเม่ือ 26 พฤษภาคม 2558)
9 สุจิตต์ วงษเ์ ทศ, “ไมม่ ีนางนพมาศ ไม่มีลอยกระทงสมยั สุโขทยั ,” ใน สุจิตต์ วงษเ์ ทศ (บรรณาธิการ)
ไม่มีนางนพมาศ ไม่มีลอยกระทงสมยั สุโขทยั พร้อมดว้ ยตน้ ฉบบั เร่ืองนางนพมาศ หรือตารับ
ทา้ วศรีจุฬาลกั ษณ์ สานวนสมยั รัตนโกสินทร์ พระราชนิพนธ์พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั
และคานาพระนิพนธส์ มเดจ็ ฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ (กรุงเทพฯ: มติชน, 2539), หนา้ 253.
10 “เร่ืองนางนพมาศ หรือตารับทา้ วศรีจุฬาลกั ษณ์,” ใน ไม่มีนางนพมาศ ไมม่ ีลอยกระทงสมยั สุโขทยั
พร้อมดว้ ยตน้ ฉบบั เรื่องนางนพมาศ หรือตารับทา้ วศรีจุฬาลกั ษณ์ สานวนสมยั รัตนโกสินทร์ พระราชนิพนธ์
พระบาทสมเด็จพระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั และคานาพระนิพนธ์สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ,
หนา้ 19-109.
วารสารรามคาแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ ปี ที่ 35 ฉบับที่ 1
169
บรรณานุกรม
ภาษาไทย
กญั ญรัตน์ เวชชศาสตร์. (2542).วงการคติชนวทิ ยา: ผบู้ ุกเบิกและผลงาน ใน ศิราพร ณ ถลาง
และสุกญั ญา ภทั ราชยั (บรรณาธิการ). คติชนกับคนไทย-ไท: รวมบทความด้านคติชน
วิทยาในปริบททางสังคม. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ศนู ยค์ ติชนวทิ ยา,
โครงการตาราคณะอกั ษรศาสตร์.
เจตนา นาควชั ระ. (2543). ทฤษฎีเบือ้ งต้นแห่งวรรณคดี. กรุงเทพฯ: ศยาม.
ธิดา สาระยา. (2545). อารยธรรม-วฒั นธรรมในสังคมไทย. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ,
คณะอกั ษรศาสตร์.
นิธิ เอียวศรีวงศ.์ (2544). วรี บุรุษในวฒั นธรรมไทย. วารสารเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ , 19.
ปรมินท์ จารุวร. (2549). ความขดั แย้งและการประนีประนอมในตานานปรัมปราไทย.
กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ศนู ยค์ ติชนวทิ ยา, โครงการตาราคณะอกั ษรศาสตร์.
ปรานี วงษเ์ ทศ. (2531). นิทานชาดกกบั โลกทศั น์ของลาวพวน. ใน วรรณี วบิ ลู ยส์ วสั ด์ิ แอนเดอร์สัน
(บรรณาธิการ), พืน้ ถิ่น พืน้ ฐาน: มิติใหม่ของคติชนวิทยาและวิถีชีวิตสามญั ของ ‘พืน้ บ้าน
พืน้ เมือง’. กรุงเทพฯ: ศิลปวฒั นธรรม.
พระสูตรและอรรถกถาแปล ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค. (2543). กรุงเทพฯ: มูลนิธิ
มหามกุฏราชวทิ ยาลยั ในพระบรมราชูปถมั ภ.์
พระสูตรและอรรถกถาแปล ทีฆนิกาย มหาวรรค. (2543). กรุงเทพฯ: มลู นิธิ
มหามกุฏราชวทิ ยาลยั ในพระบรมราชูปถมั ภ.์
พระสูตรและอรรถกถาแปล อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต. (2543). กรุงเทพฯ: มูลนิธิ
มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั ในพระบรมราชูปถมั ภ.์
มงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั , พระบาทสมเดจ็ พระ. (2470). ที่ระลึกสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ สวนลมุ พินี
พ.ศ. 2468 Souvenir of Siamese Kingdom Exhibition at Lumbini Park B.E. 2468‛
พระนคร: โรงพมิ พก์ รุงเทพฯ เดลิเมล์.
วารสารรามคาแหง ฉบบั มนุษยศาสตร์ ปี ที่ 35 ฉบับท่ี 1
170
มงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั , พระบาทสมเดจ็ พระ. (2521). รวมเรื่องพระร่ วง พระราชนิพนธ์
พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอย่หู ัว. กรุงเทพฯ: มูลนิธิ
มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั ในพระบรมราชูปถมั ภ.์
ราชบณั ฑิตยสถาน. (2545). พจนานุกรมศพั ท์วรรณกรรมอังกฤษ-ไทย ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน.
กรุงเทพฯ: ผแู้ ตง่ .
ราตรี ธนั วารชร. (2541). การศึกษาคาในศิลาจารึกหลักที่ 1 ของพ่อขนุ รามคาแหงมหาราช.
กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.
วนั ชนะ ทองคาเภา. (2550). ภาพตวั แทนของสมเดจ็ พระมหาธรรมราชาในวรรณกรรมไทย.
วทิ ยานิพนธ์อกั ษรศาสตรดุษฎีบณั ฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
ศรีศกั ร วลั ลิโภดม. (2543). ทัศนะนอกรีต ภูมิศาสตร์ -ภูมิลักษณ์ ตงั้ บ้านแปงเมือง. กรุงเทพฯ:
เมืองโบราณ.
ศิราพร ณ ถลาง. (2549). ตานานตวั อกั ษร: กลไกทางวฒั นธรรมของชาติพนั ธุ์ท่ีไมม่ ีตวั อกั ษร.
วารสารอักษรศาสตร์ , 35(2).
ศิราพร ณ ถลาง. (2548). ทฤษฎีคติชนวิทยา: วิธีวิทยาในการวิเคราะห์ตานาน นิทานพืน้ บ้าน.
กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ศูนยค์ ติชนวทิ ยา, โครงการตาราคณะอกั ษรศาสตร์.
สุกญั ญา สุจฉายา. (2542). พระร่วง: วรี บุรุษในประวตั ิศาสตร์และวรี บุรุษทางวฒั นธรรม.
วารสารภาษาและวรรณคดีไทย, 16.
สุกญั ญา สุจฉายา. (2555). วรรณคดีนิทานไทย. กรุงเทพฯ: คอมเมอร์เชียล เวริ ์ลด์ มีเดีย จากดั .
สุจิตต์ วงษเ์ ทศ. (2539). ไมม่ ีนางนพมาศ ไมม่ ีลอยกระทงสมยั สุโขทยั . ใน สุจิตต์ วงษเ์ ทศ
(บรรณาธิการ), ไม่มีนางนพมาศ ไม่มีลอยกระทงสมยั สุโขทัย พร้อมด้วยต้นฉบบั เรื่องนาง
นพมาศ หรือตารับท้าวศรีจุฬาลกั ษณ์ สานวนสมยั รัตนโกสินทร์ พระราชนิพนธ์
พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกล้าเจ้าอย่หู ัว และคานาพระนิพนธ์สมเดจ็ ฯ กรมพระยา
ดารงราชานภุ าพ. กรุงเทพฯ: มติชน.
วารสารรามคาแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ ปี ที่ 35 ฉบบั ท่ี 1
171
อภิลกั ษณ์ เกษมผลกลู . (2552). ตานานพระศรีอาริย์ในสังคมไทย: การสร้างสรรค์และบทบาท.
วทิ ยานิพนธ์อกั ษรศาสตรดุษฎีบณั ฑิต,จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
อญั ชลี ภมู ิดิษฐ.์ (2533). 17 มกราคม วนั พอ่ ขุนรามคาแหงมหาราช. ข่าวสารสานกั หอสมดุ กลาง
มหาวิทยาลัยรามคาแหง, 12(3), 16.
ภาษาองั กฤษ
Abrahams, R. D. (n.d.). Identity. In Burt Feintuch, (Ed.), Eight words for the study of
expressive culture. Chicago: University of Chicago.
Bascom, W. R. (1980). The form of folklore: Prose narratives. In Alan Dundes (Ed.), Sacred
narrative reading in the theory of myth. Berkeley: University of California Press.
Basso, K. (1996). Wisdom sits in places: Landscape and language among the Western Apache.
New Mexico: University of New Mexico Press.
Berger, P., & Thomas, L. (1967). The social construction of reality: A treatise in sociology
knowledge. New York: Anchor Books.
Kaiser, D. A. (1999). Romanticism, aesthetics, and nationalism. Cambridge: Cambridge
University Press.
Raglan, L. (1965). The Hero of Tradition. In Alan Dundes (Ed.), The study of folklore. New
Jersey: Prentice-Hall.
วารสารรามคาแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ ปี ที่ 35 ฉบับท่ี 1
172
เวบ็ ไซต์
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bookkii&month=0507&date=04&group=2&gblog=27
(เขา้ ถึงเม่ือ 26 พฤษภาคม 2558)
http://gossipstar.mthai.com/gossip-content/17390 (เขา้ ถึงเม่ือ 26 พฤษภาคม 2558)
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1358152306 (เขา้ ถึงเมื่อ 26 พฤษภาคม 2558)
http://webboard.yenta4.com/topic/447651(เขา้ ถึงเมื่อ 26 พฤษภาคม 2558)