The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 云慧婷, 2022-07-18 22:00:08

5 ศาสนาหลักสำคัญของโลก

ศาสนา

Keywords: ศาสนา

55 ศาสนา

สสำำคคััญญขขอองงโโลลกก
โดย



น.ส.อภิญญา สุขสำเร็จ

สารบัญ

ศาสนา
ศาสนาคริสต์
พุทธ

ศาสนาพราหมณ์-
ศาสนา

ฮินดู อิสลาม

ศาสนายูดาห์ หรือ
12

15ยิว
เอกสารอ้างอิง
18

ศาสนาพุ ทธ

ประวัติ
พระพุทธศาสนาคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่

เกิดในประเทศอินเดีย ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี (พระพุทธศาสนาเริ่มตั้งแต่ปีที่

พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน) ลักษณะเด่นของพระพุทธศาสนาคือเป็นศาสนา

แห่งความรู้และความเป็นจริง เพราะเป็นศาสนาแห่งการตรัสรู้จากพระปัญญา

อันยิ่งของพระพุทธองค์เอง พระธรรมที่ทรงตรัสรู้ คืออริยสัจ ๔ ก็เป็นความ

จริงอันเที่ยงแท้ และจัดว่าเป็นคำสอนที่เป็นสากลของทุกสรพพสิ่ง พระพุทธ

ศาสนาเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ กล่าวคือในกระบวนการคิดของโลกศาสนา


พระพุทธศาสนาได้รับยกย่องจากทั่วโลกว่าเป็นศาสนาแห่งสันติภาพอย่าง

แท้จริง เพราะไม่ปรากฏว่ามีสงครามในนามศาสนาหรือการเผยแผ่ศาสนา

เพราะให้เสรีภาพในการพิจารณาด้วยปัญญา และพระพุทธศาสนาเป็นศาสนา

แห่งความอิสระเสรีภาพ กล่าวคือไม่ผูกติดกับผู้ดลบันดาลหรือพระผู้เป็นเจ้า

เชื่อในความสามารถของมนุษย์ว่ามีศักยภาพในการปลดเปลื้องทุกข์โดยไม่

ต้องรอการดลบันดาล พระพุทธศาสนานับว่าเป็นศาสนาที่สำคัญที่สุดในโลก

ศาสนาหนึ่ง ซึ่งมีผู้นับถือจำนวนมากหลายร้อยล้านคน โดยเฉพาะในประเทศ

ทางเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และเอเชียอาคเนย์ ตลอดจนประเทศต่าง ๆ ทั่ว

โลก

หลักธรรมที่

ศาสนาพุทธมีหลักธรรมคำสอนที่


สำคัญพุทธศาสนิกชนยึดถือ และใช้เป็น


แนวทางในการดำเนินชีวิต หลาย

ประการ ได้แก่ อริยสัจ 4 ทิศ 6 ธรรม


คุณ 6 สัปปุริสธรรม 7 อิทธิบาท 4

อบายมุข 6 เป็นต้น

บุคคลสำคัญ
พระพุทธองค์ได้ทรงรำลึกถึงเหล่าปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ อัน

ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานมะ และอัสสชิ ซึ่ง

เคยอุปัฏฐากปรนนิบัติพระองค์มา ทรงพิจารณาด้วยพระ

ญาณจึงทราบว่าบัดนี้เหล่าปัญจวัคคีย์สถิตอยู่ ณ ป่าอิสิป

ตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสีแห่งแคว้นกาสี อันอยู่

ห่างจากตำบลอุรุเวลาเสนานิคมเป็นระยะเวลาประมาณ ๑๘
โยชน์ ทรงเห็นว่าเหล่าปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ จะสามารถบรรลุ

ธรรมได้
วันสำคัญทาง


ศาสนาพุทธ

วันมาฆบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3คือ

เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง


"โอวาทปาติโมกข์"แก่พระสงฆ์เป็นครั้งแรก

วันวิสาขบูชา เป็นวันที่สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัม

พุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ซึ่งเกิดขึ้นใน

วันและเดือนเดียวกัน คือ ในวันเพ็ญ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ)

เดือนหก หรือเดือนเวสาขะ พระจันทร์เสวยวิสาขฤกษ์

วันอัฏฐมีคือวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ เป็นวันที่มีเหตุการณ์

สำคัญทางพระพุทธศาสนา ถือเป็นวันที่ตรงกับวันที่ตรงกับ

วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระเป็นวันที่ชาวพุทธต้องวิปโยค

และสูญเสียพระบรมสรีระแห่งองค์พระบรมศาสดา

วันอาสาฬหบูชา ตรงกับ วันเพ็ญ เดือน ๘ ก่อนปุริมพรรษา

(ปุริมพรรษาเริ่ม ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ในปีที่ไม่มี

อธิกมาสเป็นต้นไป ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑) ๑ วัน เป็น

วันคล้ายวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา คือ เทศน์

กัณฑ์แรก ชื่อว่าธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

วันเข้าพรรษา เริ่มตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๘ จนถึง
วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ เรียกว่า ครบไตรมาส คือ ๓

เดือนนี่เป็นการเข้า "พรรษาต้น"ส่วนการเข้า"พรรษา

หลัง"เริ่มตั้งแต่วันแรมค่ำ ๑ เดือน ๙ จนถึงวันขึ้น


๑๕ ค่ำเดือน ๑๒

วันออกพรรษา เป็นวันที่พุทธบริษัททั้งชาววัดและชาวบ้าน ได้

พร้อมใจกันกระทำบุญกุศลต่าง ๆ ตามคติประเพณีที่เคย


ประพฤติปฏิบัติสืบ ๆ กันมาแต่โบราณกาล เช่นมีการตักบาตร

เทโว วันออกพรรษาตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ (เพ็ญ


เดือน ๑๑) ของทุกปี วันออกพรรษา เป็นวันสุดท้ายแห่งการจำ
พรรษาของพระภิกษุสงฆ์

ศาสนาคริสต์

ประวัติ
ศาสนาคริสต์เกิดขึ้นบริเวณดินแดนเลแวนต์ ซึ่งปัจจุบันคือประเทศ

อิสราเอลและปาเลสไตน์ ในช่วงกลางคริสศตวรรษที่ 1 ศาสนาคริสต์ได้

เริ่มเผยแผ่ครั้งแรกจากกรุงเยรูซาเลม ตลอดจนดินแดนตะวันออกกลาง


เช่น ประเทศซีเรีย อัสซีเรีย เมโสโปเตเมีย ฟินิเชีย อานาโตเลีย ประเทศ

จอร์แดน และประเทศอียิปต์ ในช่วงคริสศตวรรษที่ 4 ศาสนาคริสต์ได้รับ


เลือกให้เป็นศาสนาประจำชาติโดยราชวงศ์อาร์เมเนียในปี ค.ศ. 301

จอร์เจียในปี ค.ศ.319[1][2] อาณาจักรอักซุมในปี ค.ศ.325[3][4] และ


จักรวรรดิโรมันในปี ค.ศ.380
ต่อมาได้เกิดศาสนเภทขึ้นหลายครั้งในคริสตจักร เริ่มจากสังคายนาเอ

เฟซัสในปี ค.ศ.431 ที่นำไปสู่ศาสนเภทเนสตอเรียนจนก่อให้เกิดคริสต

จักรแห่งทิศตะวันออก ต่อมาในปี ค.ศ. 451 เกิดสังคายนาแคลซีดันทำให้

คริสตจักรแตกแยกอีกครั้งเป็นฝ่ายออเรียนทัลออร์ทอดอกซ์และฝ่าย

แคลซีโดเนียน ต่อมาเกิดมหาศาสนเภทในปี ค.ศ. 1054 ทำให้ฝ่ายแคลซี

โดเนียนแตกออกเป็นคริสตจักรโรมันคาทอลิกและคริสตจักรอีสเทิร์นอ

อร์ทอดอกซ์ และการปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์ได้ก่อให้เกิดคริสต


จักรใหม่ ๆ ขึ้นอีกหลายคณะ



หลักธรรม
ศาสนาคริสต์มีหลักธรรมที่หล่อหลอมให้คริสต์

ศาสนิกชนมีจิตเมตรมีความรักเพื่อนมนุษย์เหมือน

รักตัวเอง
บัญญัติ 10 ประการ

(1) อย่ามีพระเจ้าอื่นนอกจากเรา
(2) อย่าทำรูปเคารพสำหรับตนหรือกราบไว้รูปเหล่านั้น
(3) อย่าเอ่ยพระนามของพระเจ้าโดยไม่สมเหตุ
(4) จงถือวันอาทิตย์เป็นวันศักดิ์สิทธิ์
(5) จงนับถือบิดามารดา
(6) อย่าฆ่าคน
(7) อย่าผิดประเวณี
(8) อย่าลักทรัพย์
(9) อย่าคิดมิชอบ
(10) อย่าโลภสิ่งใดของผู้อื่น

หลักอาณาจักรพระเจ้า อาณาจักรพระเจ้าเป็นอาณาจักรที่มีแต่

ความสุข เป็นอาณาจักรแห่งความรักอย่างแท้จริง
3) หลักคำสอนที่สำคัญอื่น ๆ
1) หลักตรีเอกานุภาพ ได้แก่
(1) พระเจ้าหรือพระบิดา
(2) พระเยซูหรือพระบุตร
(3) พระจิตหรือดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์ของพระเจ้าทั้งสาม
2) หลักความรัก ศาสนาคริสต์ได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งความรัก

พระเยซูคริสต์ทรงสอนให้รัก
เพื่อน มนุษย์เหมือนรักตัวเอง ให้รักแม้กระทั่งศัตรู

บุคคลสำคัญ
นักบุญ หรือ เซนต์ คือบุคคลที่ขณะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ได้

ดำเนินชีวิต ที่แสดงออกถึงความเชื่อในพระศาสนา อย่าง

สมบูรณ์ ด้วยการปฏิบัติคุณงามความดีต่างๆ และเมื่อท่าน

จากโลกนี้ไปแล้ว พร
ะศาสนจักรก็ได้ยกย่อง สดุดีคุณงาม

ความดีต่างๆ ที่ท่านเห
ล่านั้นได้กระทำไว้ โดยถือว่าเป็นชีวิตค

ริสตชนตัวอย่าง ที่เราสามารถเลียนแบบได้ และถือว่าเป็นผู้

ศักดิ์สิทธิ์ ที่เราสามารถเคารพ นับถือ และสวดวิงวอนขอพร

จากพระเจ้า ผ่านท่านได้ เพราะเชื่อว่าท่านมีชีวิตนิรันดร อยู่

ร่วมกับพระคริสตเจ้า ในสรวงสวรรค์

วันสำคัญทางศาสนา


คริสต์

วันสำคัญของคริสต์ศาสนาทุกนิกาย
วันอาทิตย์ ของทุกสัปดาห์ - วันสะบาโต (Sabbath) -

วันบริสุทธิ์ หยุดเพื่อพักผ่อนและร่วมทำกิกรรมที่โบสถ์
21 มีนาคม ถึง 25 เมษายน - วันอีสเตอร์ (Easter)

และวันสมโภชปัสกา (Pasqua) - สมโภชการกลับคืนชีพ

ของพระเยซู และตรงกับการระลึกถึงเหตุการณ์ที่พระเจ้า


ทรงนำชาวยิวออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ ในวัน

อาทิตย์แรก หลังจากพระจันทร์เต็มดวง วันใดวันหนึ่ง


ระหว่าง 21 มีนาคม ถึง 25 เมษายน
25 ธันวาคม - วันคริสต์มาส (Christmas) - วันสมโภช


การเกิดของพระเยซู

ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

ประวัติ
ศาสนาฮินดูมีจุดเริ่มต้นเมื่อชาวอารยะอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานใน

อินเดียบริเวณลุ่มแม่น้าสินธุ ซึ่งเป็นที่มาของคาว่า “ฮินดู”เมื่อราว

๓,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว แม่น้าสินธุปัจจุบันมีต้นน้าเกิดจากภูเขา

หิมาลัย ในเขตประเทศอินเดีย ไหลผ่านประเทศปากีสถานไปลงทะเล

อาหรับ ชาวอารยะมีคัมภีร์ทางศาสนาที่เก่าแก่ ที่สุดในโลกเรียกว่า

เวทะ หรือพระเวท แรกทีเดียวมีเพียง ๓ คัมภีร์ คือ ฤคเวท สามเวท

และยชุรเวท ต่อมามีคัมภีร์ อถรรพเวทเพิ่มอีกคัมภีร์ เชื่อกันว่า

คัมภีร์พระเวทไม่ใช่คัมภีร์ที่มนุษย์แต่งขึ้นแต่เป็นคัมภีร์ที่พวกฤาษี

ได้ยินมา โดยตรงจากพระเป็นเจ้า คัมภีร์นี้จึงมีชื่อเรียกรวมๆ ว่า

ศรุติ “การได้ยิน” ผู้ที่ได้ยินคือฤาษีผู้มีญาณวิเศษ เหนือมนุษย์

ธรรมดา ศาสนาฮินดูเป็นศาสนาที่สืบทอดมาจากศาสนาที่นับถือ

คัมภีร์พระเวทเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ทางศาสนา จึงเป็นศาสนาที่ไม่มี

ศาสดาเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาเหมือนศาสนาอื่น ๆ ทั่วไป บางครั้งชาว
ฮินดูจะเรียก ศาสนาของตนว่า สนาตนธรรม แปลว่า ศาสนาที่มีมา

แต่นิรันดร์กาล คือ มีมาแต่ดั้งเดิมไม่มีใครรู้ว่าเริ่มต้นเมื่อไร ซึ่ง

ศาสนาฮินดูเป็นศาสนาที่ประชาชนส่วนใหญ่ของอินเดียนับถือ

หลักธรรม
หลักธรรม 10 ประการ เรียกว่า ฮินดูธรรม ได้แก่
(1) ธฤติ ได้แก่ ความมั่นคง ความกล้าหาญ คือเพียรพยายามจนสำเร็จ ประโยชน์ตามที่

ประสงค์
(2) กษมา ได้แก่ ความอดทน หรืออดกลั้น คือมีความพากเพียรพยายาม
(3) ทมะ ได้แก่ การระงับใจ การข่มจิตใจ คือไม่ปล่อยใจให้หวั่นไหว
(4) อัสเตยะ ได้แก่ การไม่ลักขโมย ไม่ทำโจรกรรม
(5) เศาจะ ได้แก่ ความบริสุทธิ์ การทำตนให้บริสุทธิ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
(6) อินทรียนิครหะ ได้แก่ การระงับอินทรีย์ 10 ประการ คือ หมั่นสำรวจตรวจสอบตนเองอยู่

เสมอว่า
อินทรีย์ทั้ง 10 เหล่านั้นได้รับการบริหารหรือใช้ไปในทางที่ถูกที่ควรหรือไม่ จุดประสงค์คือ
ไม่ต้องการให้มนุษย์ ปล่อยอินทรย์มัวเมาจนเกินไปให้รู้จักพอ
(7) ธี ได้แก่ ปัญหา สติ ความคิด คือ มีความรู้ความเข้าใจในขนบธรรมเนียมประเพณี ธรรมะ

สังคม และ
วัฒนธรรม
(8) วิทยา ได้แก่ ความรู้ทางปรัชญา คือ มีความรู้ลึกซึ้ง
(9) สัตยะ ได้แก่ ความจริง ความเห็นอันบริสุทธิ์ คือมีความจริงใจให้กัน
(10) อโกธะ ได้แก่ ความไม่โกรธ คือมีขันติ ความอดทน และโสรัจจะ ความสงบเสงี่ยม นั่นคือ

เอาชนะ
ความโกรธ ด้วยความไม่โกรธ ไม่อาฆาตมุ่งร้ายต่อใคร
บุคคลสำคัญ
ศาสนาฮินดูเป็นศาสนาประเภทเทวนิยมคือเคารพยอมรับเรื่องเทพเจ้าเป็นสิ่ง

สูงสุด โดยเทพเจ้า ๓ องค์ที่ชาวฮินดูให้ความเคารพสูงสุดอันได้แก่
๑. พระพรหม ที่เป็นเทพเจ้าผู้สร้างหรือให้กำเนิดทุกสิ่งในเอกภพขึ้นมา
๒. พระวิษณุ หรือพระนารายณ์ ที่เป็นเทพเจ้าผู้ปกป้องรักษา
๓. พระอิศวร หรือพระศิวะ ที่เป็นเทพเจ้าผู้ทำลาย
เทพเจ้าทั้ง ๓ องค์นี้รวมเรียกว่า ตรีมูรติ ที่เป็นเทพเจ้าสูงสุด แต่ชาวฮินดูยัง

นับถือเทพเจ้ารองๆลงมาอีกมากประมาณ ๓๐๐ ล้างองค์.

วันสำคัญทางศาสนา


พราหมณ์-ฮินดู

วันที่ปาวลีวันนวราตรีศรีกฤษณะชนมา อัฏฐมี และศิวะราตรี
1. วันที่ปาวลีหรือ ทีปาวาลี, ดีปาวลี, ดีปาวาลี คือเทศกาลบูชา

พระแม่ลักษมีตรงกับวัน
แรม15 ค่ำ เดือน 11 ในประเทศอินเดียถือว่าเป็นเทศกาลที่มี

ความสำคัญดังนี้
(1) เป็นเทศกาลปีใหม่ของอินเดีย
(2) เป็นเทศกาลบูชาองค์พระแม่ลักษมี พระเทวีผู้ทรงประทาน

ความสุข ความรัก ความ อุดมสมบูรณ์ ความร่ำรวยศาสนิกชน

จะร่วมกันประกอบพิธีบูชาองค์พระแม่ลักษมีเพื่อขอพรให้เกิด

ความสุข ความสมหวังแก่ชีวิต

วันศิวะราตรีตรงกับวันแรม 14 ค่ำ เดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติของไทยหรือเดือน

มาฆะตามปฏิทินฮินดู เป็นการบูชาพระศิวะตลอด 24 ชั่วโมง โดยการอดอาหารและ

อดนอนตลอด 24 ชั่วโมง เชื่อว่าวันนี้เป็นวันปรากฏตัวของพระศิวะและวันอภิเษก


สมรสของพระศิวะ เชื่อว่าการบูชาพระศิวะแล้วจะ คู่ชีวิตที่ดีและมีความสุขความ

เจริญถือเป็นเทศกาลสำคัญวันหนึ่งของศาสนาพราหมณ์ ฮินดู พิธีนี้จะอยู่ ในช่วง

ปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคมของไทยโดยวันที่สำคัญที่สุดของเทศกาล

นั้นอยู่ในคืน วันเพ็ญ (ศุกลปักษ์) เดือน 3 ชาวฮินดูจะประกอบพิธีบูชาพระศิวะเจ้า


ด้วยพิธีกรรมต่าง ๆ ตลอดทั้งวันทั้งคืน

ศาสนาอิสลาม

ประวัติ

เกิดในประเทศซาอุดีอาระเบีย เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดศาสนาหนึ่งของโลก ผู้ที่ได้รับศาสนา
อิสลาม คือ ท่านนบี มูฮัมมัด ซึ่งเป็นศาสดาองค์สุดท้ายของโลก หลังจากนี้ไม่มีศาสดาองค์ใดอีก

เลย ท่านผู้นี้เกิดที่นครมักกะฮฺ ในประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อเดือนรอบีอุลเอาวาล บิดาของท่านชื่อ
อับดุลลอฮฺ มารดาชื่อ อามีนะฮฺ เมื่อท่านเกิดได้เพียง ๓ เดือน บิดาก็ถึงแก่กรรม ต่อมา มารดาก็

มอบให้ท่านอยู่ในความเลี้ยงดูของแม่นมชื่อ หะลีมะฮฺ ทั้งนี้เป็นธรรมเนียมของชาวอาหรับ ที่ต้อง


ฝึกเด็กให้ชินต่อความเป็นอยู่ของชนบท และทะเลทราย เมื่ออายุได้ ๖ ขวบจึงได้กลับมาอยู่กับ

มารดา ในระหว่างที่มารดาพาท่านไปเยี่ยมศพบิดา ที่เมืองมะดีนะฮฺ มารดาท่านก็ถึงแก่กรรม ที่

เมืองมัดยัน (เมืองนี้อยู่ระหว่างนครมักกะฮฺ-มะดีนะฮฺ) นับว่า ท่านกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่เล็ก ต่อ

มาปู่ของท่านก็รับท่านไปอุปการะอยู่ได้เพียง ๒ ปี ปู่ก็ถึงแก่กรรม ท่านจึงได้อยู่ในความอุปการะ

ของลุง ชื่ออะบู ฏอบิล เรื่อยมาจนกระทั่งได้รับฉายาว่า มูฮัมมัด-อามีน (ผู้ซื่อสัตย์) แต่เพราะ

ความยากจนบีบบังคับ ท่านจึงต้องไปรับจ้าง เป็นคนเลี้ยงแกะตั้งแต่เยาว์วัย พออายุได้ ๑๒ ขวบ

ท่านก็เริ่มรู้จักความเป็นไปของโลก มีอุปนิสัยชอบคิด และชอบท่องเที่ยวไปในทะเลทราย เพื่อ


ค้าขายตามเมืองไกลๆ

หลักธรรม
หลักธรรมในศาสนาอิสลาม มุ่งให้มุสลิมปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

มุสลิมทุกคนมีความรู้ในข้อปฏิบัติทางศาสนาอย่างดี มีการ

รวมกลุ่มอย่างเป็นเอกภาพ
หลักคำสอนสำคัญที่ถือว่าเป็นโครงสร้างสำคัญ 2 ประการคือ

หลักศรัทธาและหลักปฏิบัติ ได้แก่

หลักศรัทธา 6 ประการ
(1) ศรัทธาในอัลเลาะห์ มีความเชื่อมั่นในอัลเลาะห์เพียงองค์เดียว

(2) ศรัทธาในเทพบริวารหรือเทวทูต
(3) ศรัทธาในพระคัมภีร์กุรอ่าน
(4) ศรัทธาต่อศาสนทูต
(5) ศรัทธาในวันสิ้นสุดโลก

(6) ศรัทธาต่อกฎสภาวการณ์ของอัลเลาะห์
2) หลักปฏิบัติตามศรัทธา 5 ประการ ได้แก่
(1) การปฏิญาณตน หมายถึง การปฏิญาณตนด้วยความเลื่อมใสศรัทธาต่ออัลเลาะห์และท่าน

นบีมูฮัมหมัด คือศาสนทูตของอัลเลาะห์
(2) การนมาซ หมายถึง การแสดงความเคารพต่อพระเจ้าทั้งกาย วาจา ใจ
(3) การบริจาคซะกาต หมายถึง การจ่ายทานจากผู้มีทรัพย์สิน คนผู้มีสิทธิ์รับซะกาตมี คนอนาถา คนขัดสน และผู้เข้ารับ


อิสลาม
(4) การถือศีลอด หมายถึง การละเว้นจากการบริโภคอาหาร น้ำ ละกิเลสต่าง ๆ ทำใจให้สงบ
ปฏิบัติตั้งแต่แสงอาทิตย์ขึ้นจนแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า หลังจากนั้นจึงบริโภคได้ปกติตลอดคืน

การถือศีลอดโดยทั่วไป เรียกว่า “ถือบวช”
(5) การทำพิธีฮัจญ์ คือ การเดินทางไปแสดงบุญที่นครเมกกะฮ์

บุคคลสำคัญ
ศาสดานบีมูฮำมัด เกิดที่เมืองเมกกะ เมื่อพ.ศ.๑๑๑๓ ท่านกําพร้าบิดามารดาตั้งแต่

อายุยังน้อยจึงอยู่ในความดูแลของอบฏู อลบิ ผู้เป็นลุงจนกระทั่งเติบโตได้ติดตา

มลุบ เดินทางไปค้าขายต่างแดน เมื่ออายุได้ ๒๕ ปีได้สมรสกับนางคอดียะห์

เศรษฐีนีม่ายชาวเมืองเมกกะ มีบุตรด้วยกัน ๖ คน เป็น ชาย ๒ หญิง ๔ แต่บุตร

ชายเสียชีวิตหมดตั้งแต่ยัง เยาว์วัย ชีวิต ของท่านเรียบง่ายแต่เ ปี่ ยมด้วย

คุณธรรม ท่านพยายามหาทางแก้ปัญหาสังคมและสร้างความสงบขึ้นในสังคม

ท่านมัก จะแสวงหาสถานที่สงบเพื่อ ใคร่ครวญหาทางสู่สันติ
วันสำคัญของ


ศาสนาอิสลาม
1. วันอีด
วันอีด หมายถึง วันฉลองการรื่นเริง คำว่า "อีด" นี้

อาจารย์เสาวนีย์ จิตต์หมวด. (2535:259) ได้แปลความ

หมายว่า "ที่กลับมา เวียนมา" นั่นคือ วันที่เวียนมาเพื่อ

ฉลองรื่นเริง มี 2 วาระ คือ วันอีดิลฟิตร และอีดิลอัฎฮา

2. วันอีดิลฟิตร
วันนี้ตรงกับวันที่ 1 เดือนเชาวาลอันเป็นเดือนที่ 10 ต่อ

จากเดือนรอมฎอนเป็นวันที่กลับมาสู่การเว้นจากการ

ถือศีลอด นั่นคือ การกลับมาสู่สภาพเดิม มุสลิมทุกคนจะ
ฉลองกันอย่างสนุกสนานหลังจากที่ถือศีลอดนาน 1

เดือนเต็ม ชาวไทยมุสลิมนิยมเรียกวันนี้ว่า "วันออกบวช


หรือ อีดเล็ก"
3. วันอีดิลอัฎฮา
วันนี้ตรงกับวันที่ 10 เดือน ซุ้ลฮิลญะ อันเป็นเดือนที่ 12
ของอาหรับ มุสลิมที่มีสภาพพร้อมจะไปประกอบพิธีฮัจญ์

ณ นครมักกะฮ เนื่องจากวันนี้เกี่ยวเนื่องกับฮัจญ์ ชาว

ไทยมุสลิมจึงนิยมเรียกวันนี้ว่า "วันออกฮัจญ์ หรือ อีด


ใหญ่ "

4. วันขึ้นปีใหม่
วันนี้ตรงกับวันที่ 1 ของเดือนอัล มุหัรร็อม อันเป็นเดือนที่

ชาวอาหรับถืออยู่แต่เดิม ไม่ได้ใช้ตามศักราชฮิจเราะฮอันเป็นช่วง
เวลาที่ศาสดามุฮัมมัดอพยพออกจากมักกะฮไปมะดินะฮ ซึ่งการ
อพยพนี้เกิดขึ้นในวันที่ 4 ของเดือนเราะบีอุลเอาวัลในปีที่ 13

แห่งการเผยแพร่ศาสนา
5. วันเกิดของศาสดามุฮัมมัด ( เมาลิด อัน นะบี )
วันเกิดของศาสนามุฮัมมัดนั้นไม่มีบันทึกที่แน่นอน จึง

ประมาณกันว่าระหว่างวันที่ 8 - 12 ปีเราะบีอุลเอาวัล ( ปีช้าง )

ตรงกับวันจันทร์ แต่ที่ถือเป็นประเพณีฉลองวันเกิดให้แก่ท่านนั้น
นิยมใช้ วันที่ 12 ของเดือนที่ 3
อย่างไรก็ตามมีมุสลิมบางกลุ่มที่ไม่ยอมให้มีการเฉลิมฉลองในวัน
เกิดเพราะเห็นว่าเป็น ธรรมเนียมสมัยใหม่

ศาสนายูดาห์ หรือ ยิว

ประวัติ
ศาสนายูดาห์มีพระเจ้าสูงสุด คือ พระยาห์เวห์ โดยชาวยิวมีความเชื่อ

ว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกและมนุษย์คู่แรกเมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อน

คริสตกาล และถือว่า โมเสส คือ ศาสดา ให้กำเนิดศาสนายูดาห์เมื่อ

ประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล และยังมีบุคคลสำคัญ เช่น อับรา

ฮัม อิสอัค ยาโคบ ยูดาห์ ผู้เผยพระวจนะ ท่านอื่น ๆ อีกจำนวน
มาก ฯลฯ เป็นต้น ศาสนายูดาห์มีความเป็นมายาวนานกว่าสี่พันปี (นับ

จากสมัยอับราฮัม) จึงถือเป็นศาสนาเอกเทวนิยมที่เก่าแก่ที่สุดที่ยัง

ดำรงอยู่ในปัจจุบัน ในคัมภีร์ทานัคที่เขียนขึ้นในยุคหลัง เช่น หนังสือ

เอสเธอร์ เรียก ชาวฮีบรู หรือ วงศ์วานอิสราเอล ว่า ชาวยิว คัมภีร์

ของศาสนายูดาห์ยังมีอิทธิพลอย่างมากต่อกลุ่ม ศาสนาอับราฮัม ยุค

หลังด้วย คือ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และ ศาสนาบาไฮรวมทั้ง

มีอิทธิพลต่อ จริยธรรม และระบบ ซีวิลลอว์ ตะวันตก ทั้งทางตรงและ

ทางอ้อม

หลักธรรม
กฎ บัญญัติสูงสุดในศาสนายูดาห์ คือ บัญญัติ 10 ประการ ข้อความในพระ

บัญญัตินั้นครอบคลุมไปทั้งด้านศาสนา การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เป็น


รากฐานของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ วินัยและศีล มีดังนี้
1. อย่าได้มีพระเจ้าอื่นต่อหน้าเราเลย
2. อย่าทำรูปปั้ นสำหรับตน

3. อย่าออกพระนามของพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าเปล่าๆ
4. จงระลึกถึงวันซะบาโตถือเป็นวันศักดิ์สิทธิ์
5. จงนับถือบิดามารดาของเจ้า
6. อ
ย่าฆ่าคน
7. อย่าล่วงป
ระเวณีผัวเมียเขา
8. อย่าลักทรัพย์
9. อย่าเป็นพยานเท็จต่อเพื่อนบ้าน

10. อย่าโลภเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภภริยาของเพื่อนบ้าน หรือทาสาทาสีของเขา หรือสิ่ง

ใดๆที่เป็นของเพื่อนบ้าน

บุคคลสำคัญ
โมเสส เป็นศาสดาของศาสนายูดาห์ บิดาชื่อ อัมราม มารดาชื่อ โย

เคเบด สันนิษฐานกันว่า โมเสสเกิดในรัชสมัยของฟาโรห์ราเมสที่ 2

ก่อนปี
ต่อมาโมเสสได้นำชาวยิวอพยพออกจาก
อียิปต์ไปดินแดนสัญญา คือ ปาเลสไตน์
โมเสสได้ปลีกตัวออกจากคณะไปพักสง
บอยู่บนยอดเขาซีนายเป็นเวลาถึง 40

วัน 40 โมเสสได้รับบัญญัติ 10 ประการ จากพระยะโฮวาผู้เป็นเจ้า บัญญัติดัง


กล่าวบันทึกบนแผ่นหิน 2 แผ่น
โมเสสได้นำแผ่นหินนี้มาประกาศให้ชาวยิวทั้งหมดทราบและสามารถทำให้ทุกคน

เชื่อ ตาม โมเสสได้พาชาวยิวเร่ร่อนไปเป็นเวลานานถึง 40 ปี ยังไม่ถึงแดน

สัญญาหรือปาเลสไตน์ เพราะโมเสสถึงแก่กรรมก่อนเมื่อถึงภูเขาเนโป รวมอายุ

ได้ 120 ปี

วันสำค
ัญทาง


ศาสนายูดาห์
เทศกาลปัสคา มีในวันที่ 14 เดือนนิสาน (อา

บีบ) ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีปฏิทินของยิว

(ตรงกับเดือนมีนาคม/เมษายนในปฏิทิน

สากล)เทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ
เทศกาลนี้ฉลองตั้งแต่วันที่ 15 ถึง 21 เดือน

นิสาน (อาบีบ ซึ่งตรงกับเดือนมีนาคม/

เมษายนในปฏิทินสากล) เป็นเวลา 7 วัน ตอน

ที่พวกยิวหนีออกจากอียิปต์ พวกผู้หญิงไม่มี

เวลารอให้ขนมปังฟู ขึ้น
เทศกาลถวายผลแรก
จัดขึ้นหลังจากวันสะบาโตหนึ่งวันในช่วง

เทศกาลขนมปังไร้เชื้อ (เราไม่รู้วันที่แน่นอน

เพราะชาวยิวนับวันตามจันทรคติ จึงทำให้วัน

ของเทศกาลนี้เปลี่ยนไปทุกปี)

เทศกาลเพนเทคอสต์ (ฉลองการเก็บเกี่ยว)
เป็นเทศกาลฉลองหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวสาลีเสร็จแล้ว

เพื่อขอบคุณพระเจ้าสำหรับพื้นแผ่นดินและผลิตผลอันเป็น

ของประทานมาจากพระองค์ ตามความเชื่อที่สืบทอดกันมา

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 100 ชาวยิวถือว่าวันเพนเทคอสต์เป็นวันที่

พระเจ้าประทาน ธรรมบัญญัติ จาก ภูเขาซีนาย และใน

สมัยพระคัมภีร์ใหม่ก็ถือว่าวันนี้เป็นวันที่พระเจ้าได้ประทาน


พระวิญญาณบริสุทธิ์ แก่บรรดาผู้เชื่อ
เทศกาลเสียงแตร (ฉลองปีใหม่)

โดยปกติในวันแรกของแต่ละเดือนและแต่ละเทศกาล จะมี

การเป่าแตรเป็นสัญญาณ แต่ในวันแรกของเดือนที่เจ็ด

(เดือนกันยายน/ตุลาคม) จะเป่าแตรฉลองเป็นพิเศษ เป็น

วันแห่งการพักผ่อนและนมัสการ จะมีการถวายสัตวบูชา


เป็นพิเศษ

เทศกาลวันลบมลทิน
ในวันที่สิบเดือนที่เจ็ดเป็นวันลบล้างมลทินบาป เป็น

วันฉลองพิเศษประจำปีที่คนทั้งชาติจะสารภาพบาป

ของตน และขอให้พระเจ้าอภัยโทษและชำระล้างพวก


เขาให้สะอาดอีกครั้ง
เทศกาลอยู่เพิง

เทศกาลอยู่เพิงมีขึ้นหลังจากเทศกาลลบบาปห้าวัน

คือในวันที่ 15 ของเดือนเจ็ด (เอทานิมหรือทิชรี ซึ่ง


ตรงกับเดือนกันยายน/ตุลาคม) เทศกาลนี้เฉลิม

ฉลองจากการเก็บพืชผลจากสวน

เทศกาลฉลองพระวิหาร หรือ เทศกาลคันประทีป
เทศกาลนี้รำลึกถึงการชำระและถวายพระวิหารในปี

165 ก่อนคริสต์ศักราช ที่มียูดาสแมคคาบีเป็นผู้นำ

เพราะอันทิโกอัสเอฟินาเนสแห่งซีเรียได้ทำให้พระ


วิหารเป็นมลทินในปี 168 ก่อนคริสต์ศักราช

อ้างอิง

http://www.satit.up.ac.th/BBC0

7/AroundTheWorld/reli/1.htm

http://www.satit.up.ac.th/BBC07/

AroundTheWorld/reli/9.htm

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0

%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA

%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8

%A2%E0%B8%B9%E0%B8%94%E0

%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B9%8C
https://www.gotoknow.org/posts/


614011


Click to View FlipBook Version