หน่วยท่ี 5
อาหารและการใหอ้ าหารไก่เน้อื
ครูคัธรยี า มะลิวลั ย์
แผนกวชิ าสตั วศาสตร์ วทิ ยาลยั เกษตรและเทคโนโลยฉี ะเชงิ เทรา
หน่วยที่ 5
อาหารและการใหอ้ าหารไกเ่ น้อื
หัวข้อเรอ่ื ง
1. ประเภทและวตั ถุดิบอาหารไก่เนื้อ
2. การใหอ้ าหารไกเ่ น้ือระยะต่างๆ
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. อธบิ ายประเภทและวัตถดุ ิบอาหารไก่เนอ้ื ได้
2. อธิบายการให้อาหารไก่เน้ือระยะตา่ งๆ ได้
เนือ้ หาการสอน
การเล้ียงไก่ไข่จะประสบผลสาเร็จไดนั้นมีปัจจัยท่ีสาคัญ คือ การจัดการอาหารสัตว์ท่ีดี ทั้งน้ี
เพราะว่าต้นทุนในการเล้ียงสัตว์ปก 70-80% เป็นค่าอาหาร ดังนั้นอาหารจึงเป็นปัจจัยสาคัญท่ีผู้เล้ียงสัตว์
ทุกคนจะต้องมีความรู ความเข้าใจเกี่ยวกับการเลือกใช้อาหารและการให้อาหารสัตว์ปีกท่ีถูกต้อง เพ่ือลด
ต้นทนุ คาอาหารให้มากทีส่ ุดขณะเดียวกันกต็ ้องจัดการให้สตั ว์ปีกไดผลผลิตสงู สดุ ด้วย
อาหารสตั ว์ปก หมายถึง สิง่ ทสี่ ตั ว์ปกี กินเขา้ ไปแล้วไมเ่ กิดโทษ สามารถย่อย (digested) และดดู ซึม
(absorbed) ในร่างกายของสัตว์ปีกได้และจะเปล่ียนสารอาหารให้เป็นผลผลิตต่าง ๆ เช่น เน้ือ ไข
นอกจากนี้สัตว์ปีกยังใช้อาหารเพื่อการดารงชีพ และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ดังน้ันการเลือกใช้อาหารท่ีดี
และมีคุณภาพมาเลี้ยงสัตว์ปก จะทาให้ผู้เล้ียงไดรับผลตอบแทนสูงสุด โภชนะในอาหารสัตว์ปีกมีหลาย
ประเภท เหมือนกับอาหารสัตว์ทั่วไป ซ่ึงแต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป เช่น โปรตีน
คารโ์ บไฮเดรต น้า ไขมัน วิตามิน และแรธาตุ
1. ประเภทและโภชนะอาหารไก่เน้ือ
อาหารสัตว์ หมายถึง สิ่งท่ีสัตว์กินเข้าไปแล้วไม่เกิดโทษ สามารถย่อย (digested) และดูดซึม
(absorbed) ในร่างกายของสัตว์ปีกได้และจะเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นผลผลิตต่าง ๆ เช่น เนื้อ ไข
นอกจากน้ีสัตว์ปีกยังใช้อาหารเพ่ือการดารงชีพ และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ดังนั้นการเลือกใช้อาหารท่ีดี
และมีคุณภาพมาเลี้ยงสัตว์ปก จะทาให้ผู้เล้ียงไดรับผลตอบแทนสูงสุด โภชนะในอาหารสัตว์ปีกมีหลาย
ประเภท เหมือนกับอาหารสัตว์ทว่ั ไป ซึ่งแต่ละประเภทก็มคี ุณสมบัติแตกต่างกนั ออกไป โดยแบ่งอาหารสัตว์
ออกเป็น หมวดหมู 6 ประเภท ดงั น้ี
1.1 โปรตนี เป็นสารประกอบที่สาคัญต่อการเล้ียงสัตว์ทุกชนิด ประกอบด้วยกรดอะมิโนชนดิ ต่างๆ
เป็นสารอาหารที่ช่วยในการสร้างเน้ือเยื่อทีจ่ าเป็นต่อการเจริญเตบิ โตของร่างกาย เช่น ขน เล็บหนัง กระดูก
อวยั วะภายในต่างๆ เมด็ เลอื ดแดง และเป็นส่วนประกอบของผลผลิต เช่น เนื้อ ไข และโปรตีนยังมีหน้าท่อี ีก
หลายอย่าง เช่น เป็นเอ็นไซม์ (enzyme) เป็นฮอร์โมน (hormones) เป็นภูมิคุ้มกัน (immunological
action) ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และสะสมไวเป็นอาหารสารองของร่างกาย แหล่งของโปรตีนที่ไดจากสัตว์
คือ ปลาป่น เศษเน้ือป่น และแหล่งอาหารโปรตีนจากพืชส่วนมากไดจากเมล็ดธัญพืช เช่น ถ่ัวเหลือง และ
ปาลม
ปลาปน่ เบอร 1 ปลาป่นเบอร 2
ปลาปน่ เบอร 3 ขนไก่ป่น
ภาพที่ 5.1 วัตถดุ ิบอาหารสตั ว์ประเภทโปรตนี จากสัตว์
กากปาลมเนอื้ ใน กากถัว่ เหลือง
ภาพที่ 5.2 วตั ถดุ บิ อาหารสัตว์ประเภทโปรตนี จากพืช
1.2 คาร์โบไฮเดรต เป็นสารอาหารจาพวกแป้งและน้าตาล มีหน้าทใี่ ห้พลังงาน ให้ความอบอุ่นและ
ชว่ ยให้ไกอวน คาร์โบไฮเดรต เป็นแหล่งในการให้พลงั งานแกร่างกาย เพ่ือนาไปใช้ในการทางานของอวัยวะ
ต่างๆ เพอ่ื การดารงชพี การเจรญิ เตบิ โต และการให้ผลผลติ เช่น ไข ฯลฯ
คาร์โบไฮเดรต ถอื เป็นอาหารหลักเพราะเป็นส่วนประกอบในสตู รอาหารประมาณ 38-61% ขน้ึ อยู่
กบั อายสุ ัตว์ สัตว์อายนุ ้อยจะใช้คาร์โบไฮเดรตน้อยกว่าสัตว์อายุมาก คาร์โบไฮเดรตแบ่งเป็น 2 ประเภทตาม
ลกั ษณะความยากง่ายในการย่อย คือ ประเภทน้าตาล และประเภทแป้งกับเยื่อใย แหล่งของคาร์โบไฮเดรต
ในอาหารสัตว์ส่วนใหญ่จะอยู่ในพืชประเภทหัว หรือพวกเมล็ดธัญพืช ไดแก ข้าว ข้าวโพด ถ่ัวต่าง ๆ
มันสาประหลัง ร่างกายสตั ว์จะตอ้ งย่อยคาร์โบไฮเดรตเป็นกลโู คสกอ่ นจึงจะดูดซมึ ไปใช้ได
เมล็ดข้าวโพด ข้าวโพดซกี
ข้าวโพดป่น ปลายข้าว
ปลายข้าวโม่ ราละเอยี ด
ภาพท่ี 5.3 วัตถดุ ิบอาหารสัตว์ประเภทคารโ์ บไฮเดรตพวกผลิตภัณฑ์จากเมลด็ ธัญพชื
มันสาปะหลงั มนั เส้นตากแหง้
ภาพท่ี 5.4 วัตถุดิบอาหารสตั ว์ประเภทคาร์โบไฮเดรตพวกพชื ประเภทหวั
1.3 น้า เป็นส่วนประกอบทสี่ าคัญของร่างกาย ร่างกายไกมนี ้าเป็นส่วนประกอบประมาณ 60-70%
ลกู ไกอายุ 1 วัน มีนา้ เป็นองค์ประกอบ 85% และจะลดลงเมอ่ื อายุมากข้ึน แม่ไกตองการน้าวันละประมาณ
0.5 ลิตร น้ามีหน้าที่สาคัญต่อร่างกาย เช่น ช่วยในการย่อย การดูดซึม การรักษาระดับความร้อนปกติใน
ร่างกาย และช่วยในการขับถ่ายของเสียออกนอกร่างกาย น้านับเป็นสารอาหารที่จาเป็นและมีความสาคัญ
ท่ีสุด เพราะถ้าไก่ขาดน้าจะทาให้ไกไมอยากกินอาหารและอาจถึงตายได ดังน้ันจะต้องหาภาชนะใสน้าจืด
สะอาดตั้งไวให้ไกกินตลอดเวลา หากไกขาดน้าจะแคระแกร็น และการสูญเสียน้าเพียง 10% ของร่างกาย
ไกจะตายได
1.4 ไขมัน เป็นแหล่งให้พลังงานแกร่างกายเช่นเดียวกับคาร์โบไฮเดรต แต่ให้พลังงานมากกว่า
2.5 เทา และยังให้กรดไขมันบางชนิดท่ีจาเป็นสาหรับร่างกาย ให้ความอบอุน ทาให้อ้วนและช่วยเพิ่มความ
น่ากนิ ของอาหาร สวนมากจะไดจากไขมันสตั ว์และน้ามันพชื หากปริมาณไขมนั มากเกินไปจาให้ไกถ่ ่ายเหลว
หรือท้องเสีย ทาให้พื้นเปียกแฉะวัสดุรองพน้ื จะเสยี เร็ว แหล่งของไขมันไดจากอาหารหลายชนิด เช่น น้ามัน
และไขมันจากพืช จาพวกข้าวโพด เมล็ดฝ้าย งา เมล็ดทานตะวัน ถ่ัวต่างๆ สาหรับน้ามันจากสัตว์ไดแก
ไขมันจากนมจากรา่ งกายสัตว์และน้ามันตบั ปลา
1.5 วิตามิน จาเป็นต่อการเจริญเติบโตและการดารงชีวิตของสัตว์ปีก ช่วยสร้างความแข็งแรงและ
ความกระปรี้กระเปร่าแกร่างกาย สร้างความต้านทานโรค และบารุงระบบประสาท แต่ร่างกายต้องการใน
ปริมาณน้อย แต่ขาดไมไดเพื่อให้ปฏิกิริยาต่างๆ ในร่างกายดาเนินไปตามปกติ วิตามินแบง ออกเป็น 2 กลุ่ม
ใหญ่ๆ ตามคุณสมบัติในการละลาย คือ วิตามินที่ละลายในไขมัน ไดแก วิตามิน เอ ดี อี เค และวิตามินที่
ละลายในน้า ไดแก วิตามิน บี และ ซี หากไกขาดจะทาให้โตช้าและเป็นโรคขาดวิตามินตามชนิดที่ขาด
แหล่งของวิตามินมีตามธรรมชาติจะอยู่ร่วมกับไขมันในวัตถุดิบอาหารสัตว์ การดูดซึมต้องอาศัยน้าดี (bile)
วิตามินพวกน้ีสะสมในร่างกายสัตว์ไดในรูปของเนื้อเย่ือ ไขมัน และสามารถดึงมาใช้ไดในยามร่างกายขาด
อาหาร หรอื มีการเสรมิ วติ ามนิ ลงในอาหารตามชนิดและอายขุ องสตั ว์ปีก
1.6 แรธาตุ เป็นส่วนประกอบท่ีสาคัญของโครงสร้างร่างกายสัตว์ปีก ในสัตว์ที่กาลังเจริญเติบโต
แคลเซียมมีความจาเป็นในการสร้างกระดูก ในไกไขแคลเซียมจาเป็นในการสร้างเปลือกไข รา่ งกายสตั ว์มีแร
ธาตุเป็นส่วนประกอบอยูประมาณ 3% ของน้าหนักตัว แรธาตุท่ีสาคัญไดแก แคลเซียม ฟอสฟอรัส
แมกนีเซียม โซเดียม คลอรีน เหล็ก กามะถัน ไอโอดีน ทองแดง โคบอล แมงกานีส และสังกะสี แหล่งของ
แรธาตุในอาหารสัตว์ไดแก เปลอื กหอยป่น หินปนู ป่น กระดูกป่น และแกลบกงุ
ในอาหารสัตว์ปีกนอกจากจะประกอบด้วยอาหาร 6 ประเภทแล้วยังต้องมีสารเสริมอาหาร หรือ
วัตถุเติมในสูตรอาหารสัตว์ (feed additives) ท่ีไม่ใช่โภชนะโดยตรงแต่เป็นสารท่ีเติมลงไปในอาหารเพื่อ
ช่วยปรับปรงุ คุณภาพอาหาร ทาให้สัตว์ปีกใช้ประโยชนจากอาหารไดมากขึน้ ดังนี้
1) สารยบั ย้ังการเจรญิ เตบิ โตของจุลนิ ทรยี ์ เช่น ยาปฏิชีวนะ เพนซิ ลิ ลนิ และออกซีเตตร้า-ไซคลนี
2) สารเร่งการเจริญเติบโต เช่น ฮอร์โมนสังเคราะหหรือสารคล้ายฮอร์โมน จาพวกไดเอทธิลสทิล
เบสทรอล (DES), เมเลนเจสทรอลอาซีเตท (MGA) การใช้สารเร่งการเจริญเติบโต ควรคานึงถึงความ
ปลอดภัยของผู้บริโภค สารบางอย่างเปน็ สารห้ามใช้กับกจิ การเลี้ยงสตั ว์โดยมกี ฎหมายควบคุม อย.
3) ยาถา่ ยพยาธิ เช่น ไทอาเบนดาโซลและปเปอราซีน
4) สารปรงุ แต่งรสชาติ เชน่ กากนา้ ตาล (molasses)
5) สารป้องกันหนื เช่น เอทธอไซควนิ , บิวทีเลทไฮดรอกซีโทลีน (BHT) และบิวทีเลทไฮดรอกซีอานี
โซล (BHA)
6) สารป้องกนั เชอ้ื รา เช่น เบนโซเอท และควโิ นซาลีน
7) สารป้องกันโรคบิด เช่น แอมโพรเลยี ม และบวิ ทโี นเรท
ในวัตถุดิบอาหารสัตว์บางชนิดอาจมีสารพิษหรือสารยับย้ังการเจริญเติบโตอยู่ส่วนใหญ่แล้วสาร
เหล่าน้ีเป็นสารที่พืชผลิตขึ้นมาหรือพืชอาจดูดซึมมาจากดินแลวสะสมตกค้างอยู่ เมื่อสัตว์กินเข้าไปจะมีผล
ชะงักการเจริญเติบโต สัตว์อาจแสดงอาการเป็นพิษและอาจถึงตายไดดงั น้ัน ผู้เล้ียงสัตว์จาเป็นจะต้องทราบ
ว่ามีวัตถุดิบชนิดใดบ้างท่ีมีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน เม่ือทราบแล้วก็หาวิธีแกไขให้วัตถุดิบเหล่าน้ันมีความ
ปลอดภยั เมื่อสตั ว์กนิ เขา้ ไป นอกจากพิษจะอยู่ในพชื แลว แรธาตุบางชนดิ ก็เป็นพิษตอ่ สตั ว์ไดเช่นกนั สารพิษ
และสารยบั ยั้งการเจริญเติบโตในอาหารสัตว์มีหลายชนดิ เช่น
1. สารพิษอะฟลาทอกซิน (aflatoxin) ในเป็ดโดยเฉพาะลูกเป็ดมีความทนทานต่อพิษของอะฟลา
ทอกซนิ ต่าสุด สัตว์ที่ไดรบั พิษของอะฟลาทอกซนิ เข้าไปจะกนิ อาหารไดน้อยลง เติบโตช้า ซึม ซีด เกดิ อาการ
ดซี า่ น วธิ แี กไขไม่ให้เกดิ อะฟลาทอกซินวธิ ีทง่ี ่ายและประหยัดท่ีสุดกค็ ือ นาวัตถุดบิ อาหารไปตากแดดให้แห้ง
สนิทใหเ้ หลอื ความช้นื ไมเกิน 12% จะแกปญหาการเกดิ พิษอะฟลาทอกซนิ ได
2. สารพิษไมโมซิน (mimosine) เป็นสารพิษที่มีอยู่ในใบกระถิน มีอยู่ในปริมาณ 2-4% ของ
โปรตีนท้ังหมด ในใบกระถินใบอ่อนจะมีประมาณ 4% ซ่ึงมากกว่าในใบแกประมาณ 3 เทา ในเมล็ดมีมาก
ถึง 7% พิษของไมโมซินจะทาให้เกิดโรคคอพอกในสัตว์เน่ืองจากร่างกายไมผลิตฮอร์โมนไทรอกซิน ในสัตว์
ปีกจะทาให้ขนร่วง ในสูตรอาหารสัตว์ปีกไมควรเกิน 5% การทาลายพิษของไมโมซินทาไดโดยใช้ความร้อน
อบใบกระถินท่ีอุณหภมู ิ 70 ° C นาน 12 ชวั่ โมง
3. สารพิษแทนนิน (tannin) พบในพืชอาหารสัตว์หลายชนิด โดยเฉพาะพืชตระกูลหญ้า เช่น ข้าว
ฟ่าง และในพืชตระกูลถั่ว จะมีรสฝาด ขม ทาให้ความน่ากินลดลง แทนนินจะทาให้โปรตีนตกตะกอน การ
ย่อยไดของโปรตีนลดลง เพราะจะไประงับการทางานของเอนไซม์อะไมเลส ทริปซินและไลเปส อาจจะทา
ให้สัตว์ทองอืดเนื่องจากโปรตีนไม่ย่อยได้ การลดพิษของแทนนินอาจทาได้โดยการบดเมล็ดข้าวฟ่างให้เล็ก
ลง หรือใช้ความร้อน 70-80 ° C ก็ทาให้พิษแทนนินลดลงได้ในสูตรอาหารสัตว์ควรใช้ข้าวฟ่างเป็นส่วนผสม
ไดไมเกิน 50%
4. สารพษิ ไซยาไนด์ (cyanide) มีอยู่ในมันสาปะหลัง ข้าวโพด และพืชตระกูลถั่วบางชนิด เม่ือสัตว์
กนิ พืชท่ีมีสารนี้เข้าไป น้าย่อยในกระเพาะจะไปทาให้เกิดกรดไฮโดรไซยานิก ซึง่ เปนสารพิษ ส่วนของใบพืช
จะมีสารนี้อยู่มากกว่าส่วนของลาต้นและหัว พษิ ของกรดไฮโดรไซยานิกจะทาให้ระบบประสาทส่วนกลางถูก
ทาลายอาจทาให้สัตว์ช็อคตายได้การแกไขไม่ให้เกิดพิษของไฮโดรไซยานิกทาได้โดยสบั มันสาปะหลังเป็นชิ้น
เลก็ ๆ แล้วตากแดด 3-4 แดด จนแห้งกจ็ ะทาลายพษิ ได
5. ทรปิ ซินอินฮิบิเตอร (trypsin inhibitor) เป็นสารยับยั้งการเจริญเติบโตของสัตว์ มอี ยู่ในเมล็ดถั่ว
เหลืองดิบ จะยับย้ังการทางานของเอนไซม์ทริปซินในการย่อยโปรตีน ทาให้การย่อยไดของโปรตีนลดลง
สัตว์จะเกิดอาการทองอืด วิธีแกไขคือ ตองอบหรือนึ่งถั่วเหลืองให้สุกที่อุณหภูมิ 100 ° C นาน 20 นาที ก็
จะทาลายพิษทริปซนิ อนิ ฮบิ ิเตอรได
6. กอสไซปอล (gossypol) เป็นสารพิษที่มีอยู่ในต่อมสีของเมล็ดฝ้าย สวนท่ีเป็นพิษ คือ สวนของ
กอสไซปอลอิสระ (free gossypol) ถ้าสัตว์ไดรับเข้าไปมากๆ อาจทาให้สัตว์ตายไดโดยเฉพาะสตั ว์กระเพาะ
เดี่ยวพิษของกอสไซปอลจะทาให้สัตว์กินอาหารลดลง อัตราการเจริญเติบโตและประสิทธิภาพการเปล่ียน
อาหารลดลง พิษของกอสไซปอลจะทาให้สัตว์หัวใจวายและตายได การแกไขการเป็นพิษจะเสริมเหล็ก
ซัลเฟตในอาหารท่มี กี อสไซปอลประมาณ 4 เทาของกอสไซปอลท่ีมอี ยู่
7. แรธาตุต่าง ๆ ที่เป็นพิษ เกิดเน่ืองจากสัตว์ไดรับแรธาตุมากเกินไป เช่น จากอาหารพืชที่ปลูกใน
บริเวณท่ีมีแรธาตุบางชนิดสะสมอยูมาก หรืออาจไดจากสภาพแวดล้อม โดยหายใจเขา้ ไปแล้วเกิดการสะสม
พิษจนถึงขีดอันตราย ไดแก ปรอท ตะกั่ว ฟลอู อรีน โมลิบดีนัม ซีลีเนียม นอกจากนีย้ ังมกี ลุ่มสารท่ีก่อให้เกิด
สารพิษ เช่น ไนเตรต อ๊อกซาเลต
2. ลักษณะของอาหารไก่เนอ้ื
ลกั ษณะของอาหารสัตว์ในปัจจุบนั อาหารสัตว์มีหลายรูปแบบโดยข้ึนอยู่กับการผลิต ความต้องการ
ของผใู้ ช้ และอายุของสัตวป์ กี รปู แบบของอาหารสัตว์ปกี ทใี่ ช้ในปัจจบุ ันไว้ ดังนี้
2.1 อาหารป่น (mash feed) เป็นอาหารที่ผสมมาจากวัตถุดิบอาหารสัตว์ชนิดต่าง ๆ โดยผสม
ตามสตู รอาหารทไ่ี ด้คานวณไวแ้ ล้วตามอายขุ องไก่ไข่ ลกั ษณะของอาหารป่น
ภาพที่ 5.5 อาหารปน่
2.2 อาหารข้นหรือหัวอาหาร (concentrate) เป็นส่วนผสมของวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่เป็นแหล่ง
โปรตีน วิตามิน แร่ธาตุต่าง ๆ และกลุ่มอาหารเสริม ผู้เล้ียงจะนาอาหารข้นไปผสมกับวัตถุดิบท่ีใช้เป็น
จานวนมากตามสัดส่วนในสูตรอาหาร ได้แก่ รา ปลายข้าว หรือข้าวโพด ซึ่งผู้เล้ียงสามารถเลือกซื้อวัตถดุ ิบ
ราคาถูกท่ีมีในท้องถ่ิน หรือเลือกซ้ือตามฤดูกาล การใชห้ ัวอาหารนิยมใช้กับการเลี้ยงไก่รุ่น และไก่ที่กาลังให้
ไข่
ภาพที่ 5.6 อาหารขน้ หรอื หัวอาหาร
2.3 อาหารอัดเม็ด (pellet feed) การใช้อาหารอัดเม็ดในการเลี้ยงสัตว์ปีกในปัจจุบันเป็นที่นิยม
กันมาก เนื่องจากมีความสะดวกลดฝุ่น ละอองในอาหาร และไก่ได้รับโภชนะต่างๆ ครบถ้วน แต่อาหาร
อดั เม็ดมรี าคาแพง อาหารอัดเม็ดทใี่ ช้เลีย้ งสัตว์ปกี มี 2 แบบ คอื
1) อาหารอัดเม็ดใหญ่ (pellet) เป็นการนาอาหารผสมของไก่ไข่มาอัดเม็ดขนาด
3-5 มลิ ลิเมตร นิยมใชเ้ ลีย้ งไก่ใหญ่ อาหารอัดเม็ดใหญ่
2) อาหารอัดเมด็ บดหยาบหรอื อาหารเกลด็ (crumble) เป็นการนาอาหารอัดเม็ดมาบดให้
แตกอยา่ งหยาบๆ นยิ มใช้เลยี้ งสัตวป์ ีกท่ีมอี ายุนอ้ ย
อาหารอดั เมด็ ใหญ่ อาหารอดั เมด็ บดหยาบหรืออาหารเกลด็
ภาพท่ี 5.7 อาหารอดั เม็ด
3. ปจั จยั ท่มี คี วามสา้ คญั ต่อความต้องการอาหารของไก่เน้ือ
การเล้ียงสัตว์ปีกอาหารเป็นปัจจัยหน่ึงทมี่ ีความสาคัญอย่างย่ิง เน่ืองจากอาหารสตั ว์ปีกในปจั จุบนั มี
ราคาแพง และต้องใช้เป็นจานวนมาก ดังนั้นผู้เลี้ยงสัตว์ปีกจึงต้องมีอาหารท่ีดี และการให้อาหารที่ถูกต้อง
และเหมาะสมกบั ชนดิ และอายุของสัตวป์ ีก เพื่อนาอาหารไปเป็นประโยชนก์ บั รา่ งกาย ดงั นี้
3.1 เพ่ือการด้ารงชีพ (maintenance) ไก่ไข่กินอาหารเพื่อการดารงชีพ โดยอาหารที่กินเข้าไป
ร่างกายไก่นาไปใช้ในขบวนการต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น การรักษาอุณหภูมิร่างกายให้เป็นปกติ เป็นแหล่ง
พลังงานของอวัยวะและระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบหายใจ ระบบสูบฉีดและหมุนเวียนโลหิต
ระบบประสาท ระบบกล้ามเนื้อ ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย และระบบตอ่ มไรท้ ่อ เปน็ ตน้
3.2 เพื่อการเจริญเติบโตของร่างกาย (growth) อาหารท่ีไก่กินเข้าไปเพื่อการเจริญเติบโตของ
ร่างกายแบง่ ออกเปน็ ระยะตา่ ง ๆ ได้ 3 ระยะ คอื
1) การสร้างโครงสร้างร่างกาย คือ การสร้างกระดูก สารอาหารที่ใช้เป็นประเภทแร่ธาตุ
ตา่ ง ๆ แร่ธาตุที่สาคญั ไดแ้ ก่ แคลเซยี ม และฟอสฟอรสั
2) การเจริญเติบโตในการเพิ่มขนาดและจานวนเซลให้เป็นอวัยวะที่สมบูรณ์และเจริญ
เตม็ ท่ี สารอาหารท่ีใช้เป็นประเภทโปรตีน
3) การเพ่ิมน้าหนักของร่างกาย ส่วนใหญ่เป็นการสะสมไขมันตามอวัยวะต่าง ๆ หรือใต้
ผวิ หนัง
3.3 เพื่อการสร้างขน (feather growth) โดยเฉพาะในช่วงไก่เล็กและช่วงของการผลัดขนไก่
จาเป็นต้องได้รับสารอาหารจาพวกกรดอะมิโนที่มีกามะถันเป็นองค์ประกอบอยู่สูง เช่น เมทไธโอนีน
3.4 เพ่ือการสืบพันธ์ุและการให้ผลผลิต (reproduction and production) อาหารท่ีเหลือใช้
จากการดารงชีพ การเจริญเติบโต และการสร้างขน ไก่นาอาหารไปใช้ประโยชน์ในการสืบพันธุ์ และการ
ใหผ้ ลผลิต คือการสรา้ งไข่ และเน้ือ ในการเลี้ยงสัตว์ปีกอาหารเป็นปัจจยั หนึ่งที่มีความสาคัญอยา่ งย่งิ ดังนั้น
ผู้เลี้ยงสัตว์ปีกจึงต้องมีอาหารที่ดี และการให้อาหารที่ถูกต้องและเหมาะสมกับชนิดและอายุของสัตว์ปีก
เพื่อนาอาหารไปเป็นประโยชน์กบั ร่างกาย เช่น การดารงชพี การเจริญเติบโตของร่างกาย การสร้างขนและ
การสืบพนั ธ์ุและการใหผ้ ลผลติ ซง่ึ ปัจจัยท่ีมผี ลต่อความต้องการอาหารของสตั ว์ปีก มีดงั นี้
1) พันธุกรรมของไก่ ความต้องการอาหารของไก่ต่างประเภทกันต้องการอาหารไม่
เหมือนกนั เช่น ไกไ่ ขก่ นิ อาหารน้อยกวา่ ไกเ่ นือ้
2) อายุของไก่ สภาพทางสรีรวิทยา คือ ระบบการย่อยอาหารของไก่ ไก่ที่มีอายุมากมี
ระบบการยอ่ ยสมบูรณ์ แข็งแรง และทางานได้ดีกวา่ ไกอ่ ายนุ ้อย
3) ปริมาณ และคุณภาพของน้า ต้องมีน้าให้ไก่กินอย่างเพียงพอ น้ากินต้องสะอาด และมี
อณุ หภูมิที่เหมาะสม
4) ลักษณะของอาหารท่ีใช้เล้ียงไก่ อาหารท่ีให้ไก่กิน ต้องมีความเหมาะสมกับประเภท
และอายขุ องไก่
5) ความน่ากินของอาหาร ได้แก่ รสชาติ กล่ิน สี ความอ่อนนุ่ม ความแข็ง ลักษณะการ
เปน็ ฝุ่น ความฟา่ ม (bulky) ตลอดจนการเจอื ปนของสารพิษหรอื เชอื้ รา
6) ผลกระทบของสงิ่ แวดล้อมรอบตัวไก่ ได้แก่ อุณหภมู ิ ความชนื้ หรอื แสง
7) การรบกวนของพยาธิ ไก่ที่มีพยาธิภายนอกรบกวนทาให้กินอาหารได้นอ้ ยลง เพราะไก่
มีอาการคัน เจ็บปวด และราคาญ จึงกินอาหารลดลง ส่วนไก่ที่มีพยาธิภายในต้องการอาหารเพิ่มข้ึน
เนื่องจากโภชนะบางชนดิ ท่ีไก่กินเขา้ ไปสญู เสยี ให้พยาธิ
8) การเป็นโรคของไก่ ไก่ที่มีอาการเจ็บป่วยทาให้การกินอาหาร หรือความอยากกินลดลง
9) รูปแบบของโรงเรือนที่ใช้เลี้ยงไก่ เช่น โรงเรือนปิด โรงเรือนเปิด ไก่ที่เล้ียงในโรงเรือน
ปิดมีความสามารถในการกินอาหารได้ดีกว่าไก่ท่ีเลี้ยงในโรงเรือนเปิด เนื่องจากโรงเรือนปิดควบคุม
สภาพแวดล้อมได้ง่ายกวา่
10) ระดับพลังงานในอาหาร อาหารที่มพี ลังงานสงู ไกจ่ ะกนิ นอ้ ยกว่าอาหารที่มพี ลังงานตา่
4. การให้อาหารไก่เนอื้
1) รูปแบบของอาหาร (Feed form) สาหรับไก่กระทงน้ันนิยมให้อาหารแบบอัดเม็ด (Pellet)
แต่ ในช่วงท่ีไก่ยังเล็กอยู่ หรือในช่วง 2 สัปดาห์แรกมักจะให้อาหารแบบเม็ดบี้แตก หรืออาหารเกล็ด
(Crumble) เพ่ือให้ลูกไก่สามารถจิกกินอาหารได้สะดวกข้ึน เมื่อไก่อายุมากขึ้นก็สามารถใช้อาหารอัดเม็ด
ขนาดใหญ่ขึ้นได้ อาหารสาหรับไก่กระทงระยะไก่รุ่นจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.0-3.5
มิลลิเมตร และอาหารไก่ใหญ่และอาหารก่อนส่งตลาดจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3.5 มิลลิเมตร
การอัดเม็ดอาหารจะทาให้ไก่กินอาหารได้มากข้ึน อัตราการไหลผ่านของอาหารในระบบทางเดินอาหารช้า
ลง นอกจากน้ีในกระบวนการผลิตอาหารอัดเม็ดน้ันจะเกิดความร้อนขึ้น ทาให้สามารถฆ่าเชื้อบางชนิดท่ี
อาจจะก่อโรคไดโ้ ดยเฉพาะเชอ้ื Salmonella spp. นอกจากนีค้ วามร้อนจากการอัดเม็ดยังทาใหว้ ตั ถุดบิ บาง
ชนิดสุกทาให้สัตวส์ ามารถยอ่ ยและดูดซึมได้ดขี ึ้น
2) อาหารไกก่ ระทง (Broiler)
อาหารไก่กระทงเป็นอาหารที่มีระดับโปรตีนและพลังงานอยู่สูง เน่ืองจากมีการเจริญเติบโตเร็ว
อาหารไกก่ ระทงแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
- ระยะไก่เล็ก (Starter) ใช้เล้ียงไก่ในช่วง 2 – 3 สัปดาห์แรก มีระดับโปรตีนประมาณ
23 – 24 % ; ME 3,190 Kcal/kg สว่ นใหญ่จะใหใ้ นรูปอาหารเม็ดบ้ีแตก
- ระยะไก่รนุ่ (Grower) เลี้ยงไก่ตั้งแต่อายุ 3 สัปดาห์ จะถึงอายุ 6 สัปดาห์ มีระดับโปรตีน
ประมาณ 20 – 21 % ; ME 3,300 Kcal/kg
- ระยะก่อนส่งตลาด (Finisher) ใช้เลี้ยงไก่ตั้งแต่อายุ 6 สัปดาห์ ไปจนกระทั่งจับขาย
มีระดับ โปรตีนประมาณ 18 – 19 % ; ME 3,340 Kcal/kg อาหารไก่ในระยะนี้จะไม่มีการใช้ยาปฏิชีวนะ
และสารเรง่ การเจริญเตบิ โต การให้อาหารจะอยู่ในรูปกอาหารอดั เมด็ ขนาดใหญ่