แหลมโพธิ์
ที่ตง้ั ตำ�บลพุมเรยี ง อำ�เภอไชยา จังหวดั สรุ าษฎรธ์ านี
พิกัดกรดิ เส้นรุง้ ท่ี ๙ องศา ๒๒ ลิปดา ๓๐ ฟลิ ปิ ดาเหนอื เสน้ แวงท่ี ๙๙
องศา ๑5 ลปิ ดา ๓๐ ฟิลิปดาตะวนั ออก ระวาง ๔๘๒๗ IV อำ�เภอไชยา
บริเวณแหลมโพธิ์เป็นสันทรายขนาดใหญ่ มีคลองพุมเรียงไหลผ่าน
สภาพทว่ั ไปเป็นป่าโปร่ง บริเวณใกลป้ ากนำ้�เป็นท่ีต้งั หมบู่ า้ น และท่จี อดเรอื ของ
ชาวประมง ทางด้านทะเลฝ่ังตะวันออกเป็นดินโคลน มีป่าโกงกางข้ึนอยู่ทั่วไป
จากปลายแหลมเข้าไปประมาณ ๒ กโิ ลเมตร มซี ากโบราณสถานก่ออิฐ ๑ แหง่
แต่ปัจจุบันพังทลายไปมากแล้วใกล้ ๆ กันเป็นบ่อนำ้�รูป๖ เหลี่ยม พบเสาธรณี
ประตูท�ำ ด้วยหินปูน
พ.ศ.๒๕๓๔ โครงการโบราณคดีประเทศไทย (ภาคใต้) สำ�รวจพบ
ซากเรอื บรเิ วณแหลม โพธ์แิ ละไดพ้ บโบราณวัตถตุ ่าง ๆ เช่นเศษเครื่องถว้ ยตา่ ง
ประเทศเป็นจ�ำ นวนมาก แสดงให้เห็นว่า คงเป็นทจี่ อดเรอื ของชาติตา่ ง ๆ โดย
อาจมีการพํานักชั่วคราวเพื่อการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับเมืองโบราณไชยา
ท้ังหาเสบียงอาหารและน้ำ�จืด เพื่อทำ�การเดินเรือค้าขายกับชาติอ่ืนไกลออกไป
โครงการโบราณคดีประเทศไทย (ภาคใต้) จึงได้ขุดค้นเป็นหลุมทดสอบเพ่ือสุ่ม
ตัวอยา่ ง ๒ หลุม
หลักฐานทางโบราณคดี
โบราณวัตถสุ ำ�คญั ท่ไี ดจ้ ากการขุดคน้ มีดังต่อไปนี้
๑.ลกู ปัด พบเปน็ จ�ำ นวนมากกว่า ๔๐ เปอรเ์ ซน็ ต์ เปน็ ลูกปดั แก้ว นอก
นน้ั เปน็ จ�ำ พวกหนิ อะเกต (Agate) และคาร์เนเลีย่ น (Carnelian) รูปทรงเป็น
แบบกลองรํามะนาเจาะรู (Capped bead) พบมากที่สุด รองลงไปเป็นแบบ
คู่มือท่องเท่ยี วทางวฒั นธรรม 1
วงแหวน (Annular) ทรงรปู ไข่ ทรงกระบอก สว่ นใหญม่ สี เี หลอื ง น�้ำ เงนิ ฟา้ และ
ดำ� นอกจากนีย้ ังพบลูกปดั ชนิดแปลก ๆ อกี จ�ำ นวนมาก ไดแ้ ก่ ลูกปดั ชนิด ๒ สี
สลบั กนั มีสีเหลอื งสลับด�ำ น้�ำ เงนิ สลับขาว หรือ ดำ�สลบั ขาว หรอื ที่ เรยี กกนั วา่
ลกู ปดั โรมัน (Roman bead) ลูกปดั เกลยี ว (wounded bead) ลกู ปดั ตาลาย
ชนั้ (Stratified flush eye bead) ลกู ปดั ตาหมากรกุ (Cheque bead) และ
ทน่ี า่ สนใจไดพ้ บแก้ว หลอมสีต่าง ๆ และแผน่ แก้วหลากสี ซึง่ เป็นวตั ถดุ ิบ (Raw
Material) ในการเตรียมที่จะหลอมเป็นเม็ดต่อไป แสดงให้เห็นว่ามีการผลิตใน
ทอ้ งถนิ่ หรอื เปน็ อตุ สาหกรรมการผลติ ลกู ปดั แกว้ ผผู้ ลติ มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจทาง
ดา้ นเทคโนโลยใี นการหลอมแกว้ ผสมออกไซดข์ องโลหะบางอยา่ ง และขบวนการ
ผลติ เปน็ อยา่ งดี วตั ถดุ บิ ทน่ี ํามาท�ำ ลกู ปดั แกว้ นน้ั เดมิ คงเปน็ ภาชนะขนาดเลก็ ซงึ่
เป็น สินค้าออก หรอื ผลติ ในแถบประเทศตะวนั ตก ทีเ่ รยี กวา่ แก้วโรมนั หรอื แก้ว
อาหรับ นักโบราณคดี บางท่านสันนิษฐานว่า การรู้จักผลิตลูกปัดน่าจะได้รับ
คตนิ ยิ มบางอยา่ งจากตะวนั ออกกลาง และอนิ เดยี ลกู ปดั เหลา่ นน้ี า่ จะเปน็ สนิ คา้
ส�ำ คัญอยา่ งหนึ่งทม่ี กี ารติดต่อซอื้ ขายกันบริเวณแหลมโพธ์ิ
๒. เหรียญจีน พบจำ�นวน ๓ เหรียญ เป็นเหรียญเงินสมัยราชวงศ์ถัง
ลักษณะเป็นเหรียญกลมเจาะรูตรงกลางเป็นรูปสี่เหล่ียม มีอักษรปรากฎอยู่บน
เหรยี ญ ๔ ตวั อ่านว่า คาย เอวยี น ถ่ง ปา่ ว (Khai Ewian Thong Pao) แปลว่า
ท�ำ ในรชั กาลพระเจา้ คายเอวียน ผลติ และออกใชใ้ น พ.ศ.๑๑๖๔ ถงึ พ.ศ.๑๒๐๙
และใชต้ อ่ มาจนสิน้ ราชวงศ์ถงั พ.ศ. ๑๔๕๐
๓.เคร่อื งถ้วย พบเคร่ืองถว้ ยพนื้ เมอื งเปอรเ์ ซียและจีน ซึ่งเปน็ สนิ ค้าขา
เขา้ ทนี่ ํามาแลกเปลย่ี นคา้ ขายกบั สนิ คา้ พนื้ เมอื ง ทสี่ �ำ คญั ไดแ้ ก่ เครอื่ งถว้ ยจนี สมยั
ราชวงศถ์ ัง อายุประมาณ พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๕ ภาชนะและเศษภาชนะที่พบ
เปน็ เครอื่ งถ้วยประเภทต่าง ๆ ดังตอ่ ไปน้ี
2 คู่มอื ทอ่ งเท่ียวทางวฒั นธรรม
๓.๑ เหยอื กมพี วยและลวดลาย เนอ้ื ภาชนะสขี าวนวล เคลอื บสนี �ำ้ ตาล
เข้ม และสนี �ำ้ ตาลออ่ น พวยเปน็ รูป ๖ เหลีย่ ม หมู ีลวดลายตัดแปะ (Applique)
เปน็ รปู ต่าง ๆ เชน่ ดอกไม้ ใบไม้ เครือเถา เถาองุน่ นก เป็ด เปน็ ต้น เรียกเหยือก
ลกั ษณะแบบนี้วา่ “ฉ่าง ชา” (Chang sha) หรอื คล้ายวาชาปงิ (Wa-cha-ping)
และตุง หยวน เลยี่ น (Tung-Huan-Hsien) อายุราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๔ เคร่ือง
ถว้ ยแบบนยี้ ังพบบรเิ วณเกาะชวา เมอื งซีราฟ (Siraf) บริเวณอา่ วเปอรเ์ ซยี เมือง
นิชฮาปรู ์ (Nishapur) ทางตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศเปอรเ์ ซีย และเมือง
ฟอสตสั เมืองไคโรประเทศอยี ิปต์ ทำ�ให้พออนุมานเส้นทางการค้าเครอื่ งถว้ ยจนี
ที่มีแหล่งผลติ บรเิ วณมณฑลหูหนาน (Hunan) ผา่ นเมืองกวางต้งุ โดยพ่อคา้ ชา
วอาหรบั นําส่งิ เหล่านพ้ี ร้อมกับสนิ ค้าไหม ของประดับมคี า่ อนื่ ๆ ไปแลกเปลีย่ น
คา้ ขายกับบริเวณเมอื งทา่ ตา่ ง ๆ
๓.๒ ถว้ ย มีหลายแบบมากมาย เชน่
(ก) ถว้ ยเคลอื บใสสามสี มสี เี ขยี วน�ำ้ ตาล มกั เคลอื บอยภู่ ายใน เคลอื บ
ภายนอกเปน็ สเี หลอื งออ่ น ลวดลายภายในเขยี นอยา่ งอสิ ระเปน็ รปู ใบไม้ ดอกบวั
เป็นต้น ผลิตที่ วาชาปงิ ในมณฑลหูหนาน เครอ่ื งถว้ ยแบบนพ้ี บที่เมอื งซรี าฟ ริม
อ่าวเปอรเ์ ซีย บรเิ วณเกาะคอเขา อ�ำ เภอตะก่ัวป่า จงั หวัดพงั งา และตำ�บลท่าเรอื
อำ�เภอเมือง จงั หวัดนครศรีธรรมราช
(ข) ถว้ ยทม่ี กี ารขุดเคลือบออกจากภายใน น้ำ�เคลือบสขี าว หรือสี
เหลืองออ่ น ภายในจะถกู ขดู เคลอื บออกกอ่ นเผาเป็นรูปคล้ายสี่เหล่ยี มประมาณ
๕-๖ ตอนด้วยกัน สว่ นก้นภายใน จะมีลกั ษณะแบบวงแหวนเปน็ ร่อง
(ค) ถ้วยเคลอื บสีขาว เน้อื ดนิ ท�ำ ดว้ ยดินขาวอยา่ งดี (ดินเกาลิน)
เคลอื บสงี าชา้ ง คณุ ภาพดมี าก เป็นผลติ ภัณฑ์ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๕
คมู่ อื ทอ่ งเที่ยวทางวัฒนธรรม 3
(ง) เซลาดอน พบเป็นจ�ำ นวนมาก เนอื้ ภาชนะสขี าวเทาเคลอื บสี
เขียวมะกอก บางชิ้น มีลวดลายปรากฎอยู่ภายใน บางชนิดมีร่องรอยใช้ของมี
คมขูดอยู่ภายใน โดยใช้เคร่ืองมือขูดหลังจากเคลือบแล้วจึงเผา เป็นเคร่ืองถ้วย
สมัยราชวงศ์ซุ่ง
๓.๓ ไหลซุ ุน ทรงคลา้ ยถงั เบยี ร์ มี ๔ หอู ย่บู รเิ วณสว่ นไหล่ในแนวนอน
เคลอื บสเี ขยี ว มะกอกหรอื น�้ำ ตาลออ่ น ชอ่ื ดซุ นุ นํามาจากชาวดซุ นุ ทอ่ี าศยั อยตู่ อน
เหนือของเกาะบอร์เนียว ซ่ึงได้มีการจำ�หน่ายไหแบบนี้ในราคาสูงมาก และมัก
พบอยู่ ตามหลมุ ศพโบราณ ไหลซุ ุนน้มี ีการใช้กันมากอ่ น พ.ศ.๑๔๐๐ ในปี พ.ศ.
๑๔๒๕ ได้ มกี ารส่ังขายกนั ในบริเวณตะวันออกกลาง
แหล่งโบราณคดีแหลมโพธิ์ ตั้งอยู่ในบริเวณที่มีสภาพภูมิศาสตร์ที่เก้ือ
หนนุ ในการเปน็ ทจี่ อดเรอื เพอื่ ซอ่ มแซมเรอื และหาเสบยี ง ตลอดจนขนถา่ ยสนิ คา้
แลกเปลย่ี นกบั ชมุ ชนทอ่ี ยบู่ นแผน่ ดนิ ใหญ่ โดยมคี ลองพมุ เรยี งเปน็ เสน้ ทางส�ำ คญั
ในการขนถ่ายสินค้า หลักฐานที่พบแสดงถึงกิจกรรมการค้าขายทางทะเลอย่าง
นอ้ ยตัง้ แต่ สมัยราชวงศถ์ งั เปน็ ตน้ มา สนิ ค้าขาเข้าทส่ี ำ�คัญ ได้แก่ เคร่ืองถ้วยชาม
จีนมีแหลง่ ผลติ จากเตาฉางชามณฑลหูหนาน เตาหยงั เหมต่ งิ ในเขตจง่ิ เต๋อเจิ้น
มณฑลเจยี งซี เตายัว่ มณฑลเจ้อเจยี ง เตามเี สยี น มณฑลเหอหนาน และเตากง
เสียน มณฑลเหอหนาน ส่วนสินค้าประเภทแพรไหมไม่เหลือสภาพให้เห็น แต่
สนั นิษฐานว่าคงเป็นสนิ คา้ เขา้ ส�ำ คญั ทีน่ ํามาจากเมอื งจีน สำ�หรบั สินค้าออกนา่
จะไดแ้ กส่ นิ คา้ พนื้ เมอื งประเภทเครอื่ งเทศสมนุ ไพร ไมห้ อม ผลติ ภณั ฑจ์ ากปา่ และ
สตั ว์ป่า ทเ่ี หลอื หลักฐานวา่ น่าจะเปน็ สนิ คา้ ทีผ่ ลิตในทอ้ งถิ่น คอื อุตสาหกรรม
การผลิตลูกปัดแก้ว แม้ว่าวัตถุดิบประเภทเศษแก้ว หรือเศษภาชนะเครื่องแก้ว
เล็ก ๆ จะเป็นของนําเขา้ แตก่ ็มีหลักฐานว่าผลติ ขนึ้ เองในทอ้ งถน่ิ และมปี รมิ าณ
มากเพยี งพอทีจ่ ะจัดไดว้ ่า นา่ จะเป็นสนิ คา้ ประเภทหนง่ึ ตลาดคา้ ลูกปัดน่าจะมี
4 ค่มู อื ทอ่ งเท่ยี วทางวฒั นธรรม
ทง้ั ตลาดภายนอก หมายถึงเป็นสินค้าสง่ ออกไปยงั ดนิ แดนห่างไกล เช่น ดินแดน
ในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ของประเทศไทย เมอื งท่าต่าง ๆ ใน
คาบสมทุ รมลายทู งั้ ฝง่ั อา่ วไทยและอนั ดามนั รวมไปถงึ ดนิ แดนโพน้ ทะเลดว้ ย สว่ น
ตลาดภายในหมายถงึ ชมุ ชนทตี่ ง้ั อยใู่ นพน้ื ทใี่ กลเ้ คยี งลกึ เขา้ ไปในภาคพน้ื ทวปี หรอื
เมอื งทา่ ในลุ่มน้�ำ ต่าง ๆ เช่น ชมุ ชนเมอื งท่าที่แหลง่ โบราณคดเี ขาศรีวิชยั แหล่ง
โบราณคดคี วนพุนพนิ ในเขตล่มุ นำ�้ ตาปี เป็นต้น
แหลง่ โบราณคดแี หลมโพธจ์ิ ึงมีลักษณะเป็นเมอื งท่า หรือแหลง่ รวมสนิ
ค้าท่ีนําเข้า และส่งออก การแพร่กระจายของโบราณวัตถุซ่ึงเป็นของจากต่าง
ประเทศ ทำ�ใหท้ ราบถึงขอบข่ายการค้าที่ครอบคลมุ คาบสมุทรมลายู รวมไปถงึ
เส้นทางการค้าขา้ มคาบสมทุ รอนั เปน็ ทีต่ ้ังชุมชน เมืองทา่ ฝ่ังทะเลอนั ดามนั เช่น
แหล่งโบราณคดเี หมืองทอง บ้านท่งุ ตกึ ต�ำ บลเกาะคอเขา อ�ำ เภอคุระบุรี จงั หวัด
พงั งา เปน็ ตน้ เสน้ ทางการคา้ นคี้ รอบคลมุ บรรดาหมเู่ กาะตา่ ง ๆ ในทะเลจนี ตอน
ใต้ รวมไปถงึ เสน้ ทางการเดินเรือสนิ คา้ จากจนี ไปยงั ตะวันออกกลาง หรอื เปน็ ที่
รู้จักกันในนามเส้นทางสายแพรไหมทางทะเลด้วย
อายุสมัย กำ�หนดอายุจากเคร่อื งถ้วยจนี สมยั ราชวงศถ์ งั (พทุ ธศตวรรษ
ท่ี ๑๒-๑๕) เครือ่ งถว้ ยจีนสมัยราชวงศซ์ ุ่ง (พุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘ ) แหล่งเมือง
ท่าทางพาณิชยน์ าวที ี่ แหลมโพธค์ิ งมีอายุราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒-๑๘ และคงสืบ
เนื่องมาถงึ สมยั อยุธยาดว้ ย
คูม่ ือทอ่ งเทย่ี วทางวัฒนธรรม 5
6 ค่มู ือท่องเท่ียวทางวฒั นธรรม
ค่มู อื ทอ่ งเที่ยวทางวัฒนธรรม 7
8 ค่มู ือท่องเท่ียวทางวฒั นธรรม
ธนาคารปมู า้ พุมเรียง
ในอดีต ทกุ ครั้งทีช่ าวประมงในอา่ วพุมเรียง ออกเรือไปหาปมู า้ และสัตว์
น�้ำ ตา่ งๆ เพอื่ มายงั ชพี และคา้ ขาย กม็ กั จะจบั ปมู า้ กลบั มาไดม้ ากมาย วนั ละหลาย
ร้อยกิโลกรัม แต่เม่ือเวลาผ่านไป อุปกรณ์จับสัตว์น้ำ�ถูกพัฒนาให้มีศักยภาพสูง
ประกอบกบั ความตอ้ งการบรโิ ภคเพม่ิ มากขนึ้ ทงั้ ในประเทศเองและอตุ สาหกรรม
การสง่ ออกตา่ งประเทศ ปรมิ าณสตั วน์ �้ำ โดยเฉพาะปมู า้ และปทู ะเลในอา่ วพมุ เรยี ง
ลดลงอยา่ งน่าใจหาย
คุณจรินทร์ เฉยเชยชม เห็นการเปล่ียนแปลงของทรัพยากรธรรมชาติ
ในบ้านเริ่มหดหาย จึงตระหนักดีว่า หากปล่อยไว้เช่นน้ี ไม่นานต้องส่งผลกระ
ทบรุนแรงต่อวิถีชีวิตและทรัพยากรธรรมชาติอย่างแน่นอน จึงหารือเพื่อนร่วม
อาชีพในทอ้ งถ่นิ และจดั ตง้ั ธนาคารปมู ้า ข้ึนในปี 2550 เพอื่ เพ่ิมปริมาณปใู น
อ่าวพุมเรียง โดยการรับบริจาค แม่ปูไข่นอกกระดอง จากชาวประมง มาฝาก
อนุบาลเลี้ยงในกระชังใหเ้ ติบโตเป็น ลกู ปู หลงั จากนนั้ นำ�ไปปลอ่ ยให้เตบิ โตใน
อา่ วพมุ เรียง ชว่ ยให้ปูมา้ เพิม่ จำ�นวนมากขน้ึ หมายถึง ดอกเบีย้ ที่ได้รบั กลับคืน
มาจากการฝากแม่ปู
แนวคดิ ดงั กลา่ ว ไดร้ บั ความชน่ื ชมจากหนว่ ยงาน ทงั้ ภาครฐั และเอกชน
เปน็ อย่างมาก และในทางปฏบิ ัติ กระบวนการธนาคารปูมา้ มกี ารขบั เคล่ือนโดย
ใช้ จติ อาสา ในระยะแรก คุณจรนิ ทร์และสมาชิกของกล่มุ ต้องใช้ทนุ ส่วนตัวจ่าย
ค่าน้ำ�มัน เพื่อขับเรือนำ�ลูกปูไปปล่อยในอ่าวพุมเรียง ซึ่งวิธีการน้ี สมาชิกกลุ่ม
ย่อมไมส่ ามารถจะแบกรับตน้ ทุนไปได้ตลอด จึงมกี ารจดั ทำ� การเชือ่ มท่องเที่ยว
กับการอนุรักษ์ เพอ่ื ให้ธนาคารปูม้าสามารถด�ำ เนนิ ต่อไปไดใ้ นระยะยาว
หลังจากทธ่ี ธนาคารปมู า้ ด�ำ เนนิ การมาไดม้ าระยะหนงึ่ หน่วยงานต่างๆ
เขา้ มาใหค้ วามรู้ พฒั นาเทคโนโลยี และแนะน�ำ ใหช้ มุ ชนเชอื่ มโยงธนาคารปมู า้ กบั
คมู่ อื ท่องเที่ยวทางวฒั นธรรม 9
การทอ่ งเทย่ี วชมุ ชน จงึ ไดจ้ ดั ตงั้ เปน็ วสิ าหกจิ ชมุ ชนกลมุ่ ทอ่ งเทยี่ วเชงิ อนรุ กั ษ์ บา้ น
พมุ เรยี ง เพอ่ื เปดิ ใหบ้ รกิ ารเปน็ ศนู ยก์ ารเรยี นรกู้ ารท�ำ ประมงปมู า้ เพอ่ื ใหธ้ นาคาร
ปูมา้ สามารถดำ�เนนิ ตอ่ ไปได้ในระยะยาว
10 ค่มู ือทอ่ งเท่ียวทางวฒั นธรรม
วัดสมุหนิมิต
สถานท่ตี ัง้
เลขที่ ๑๗๖ ถนนราษฎร์บำ�รุง ตำ�บลพมุ เรียง อ�ำ เภอไชยา จงั หวัดสรุ าษฎร์ธานี
ประวัติ
วดั สมุหนิมติ ชาวบ้านเรียกว่า “วัดลา่ ง” คลา้ ยกับเปน็ วัดคู่แฝดกบั วัด
โพธาราม ซ่งึ ชาวบ้านเรยี กวา่ “วดั เหนือ” เพราะเปน็ วัดใหญ่เคยเจริญรุ่งเรืองมี
ขนุ นางอปุ ถมั ภเ์ หมอื นกนั ตามขอ้ ความในศลิ าจารกึ ทผ่ี นงั พระอโุ บสถกลา่ ววา่ วดั
สมหุ นมิ ิต เดิมชอ่ื “วดั รอ” สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างข้ึนต้งั แต่สมัยกรงุ ศรอี ยุธยา
ต่อมาได้ช�ำ รทุ รดุ โทรมและร้างไป
ครน้ั ถงึ รชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี 3 แหง่ กรงุ
รตั นโกสินทร์ โปรดเกล้าฯ ใหพ้ ระยาพระคลัง (ดศิ บนุ นาค) สมุหพระกลาโหม
ออกมาสกั เลขหัวเมอื งภาคใต้ เท่ยี วไปทกุ หวั เมืองแลว้ มาประทับ ณ เมืองไชยา
เมอื่ เดอื นอา้ ย พทุ ธศกั ราช 2392 เหน็ วดั รอเปน็ วดั โบราณพระอโุ บสถหกั ท�ำ ลาย
พระพุทธรูปตากแดดตากฝน เป็นวัดร้าง หามีพระภิกษุสงฆ์อยู่ไม่ ก็เกิดธรรม
สังเวช จงึ ไดบ้ ูรณะ ปฏสิ งั ขรณ์ ใหเ้ ป็นวัดใหม่ขึ้นไว้ ณ เมืองไชยา แลว้ เสรจ็ ใน
เดอื นส่ี รวมใชเ้ วลาในการบรู ณะ ปฏสิ ังขรณ์ประมาณ 3 เดอื น และใหเ้ ปลย่ี น
นามใหช้ ื่อวัดสมุหนิมติ จากนน้ั จึงได้นิมนตพ์ ระครูสมุหพ์ นิ จากวัดตระพงั จิก ให้
ยา้ ยมาอยวู่ ดั สมหุ นมิ ติ สง่ิ ของตา่ งๆ ไดย้ า้ ยมาไวท้ ว่ี ดั สมหุ นมิ ติ ดว้ ย รวมทง้ั ตลู้ าย
ทองตา่ งๆ และคมั ภรี ใ์ บลาน
สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงศ์ กรม
พระยาภาณุพนั ธวุ งศว์ รเดช เสด็จวัดสมุหนมิ ิต เมือ่ พทุ ธศักราช 2427 ปรากฏ
ความในหนังสือชวี วิ ฒั นห์ นา้ 143 - 144 ความว่า
คมู่ อื ทอ่ งเที่ยวทางวฒั นธรรม 11
“...แลว้ มถี นนตรงไปจากสนามหญา้ ทางตะวนั ตก เปน็ ถนนพระยาไชยา
คนนไี้ ดต้ ดั ท�ำ ใหมไ่ วก้ วา้ งประมาณ ๘ ศอก ตรงไปหนอ่ ยหนงึ่ มวี ดั ๆ หนง่ึ มโี บสถ์
กอ่ อฐิ มงุ กระเบ้ือง ช่อฟ้าใบระกากวา้ งประมาณ ๔ วา ยาว ๖ วา ขา้ งในมีพระ
ประธาน หนา้ ตกั กวา้ ง ๔ ศอก หนั หนา้ โบสถไ์ ปดา้ นตะวนั ออก มกี �ำ แพงแกว้ และ
พทั ธเสมาล้อมรอบโบสถ์ เสมาไชยหนา้ โบสถ์นั้นมพี าไลมงุ กระเบ้ืองออกมาจาก
หนา้ โบสถ์ ตวั เสมาอยใู่ นรม่ ขา้ งหลงั โบสถเ์ ปน็ กฏุ พิ ระ ตอ่ ไปเปน็ รวั้ วดั เปน็ ไมป้ กั
หา่ งๆ เปน็ ขอบสงู ประมาณ ๔ ศอก ประตเู ปน็ คอกและลอ้ มประตกู อ่ อฐิ วดั นชี้ อื่
วดั สมหุ นมิ ติ ร เปน็ ของสมเดจ็ เจา้ พระยาองคใ์ หญป่ ฏสิ งั ขรณ์ ตรงวดั ขา้ มถนนทศิ
เหนอื มพี ระเจดีย์ มีฐานกอ่ สงู ประมาณ ๕ ศอก สูงท้ังพระเจดียด์ ว้ ยประมาณ ๕
วา มศี าลาคดเลก็ ๆ ๔ มมุ มีกำ�แพงแก้วชกั ตดิ กนั รอบ รอบพระเจดยี ์องคน์ เ้ี ป็น
ของพระครกู าแกว้ องคเ์ กา่ ...”
พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ วดั สมหุ
นิมิต เมอื งไชยา เมอื่ วันท่ี 6 สงิ หาคม ร.ศ.108 (พ.ศ.2432) ปรากฏความในพระ
ราชหตั ถเลขา เรอ่ื งเสดจ็ ประพาสแหลมมลายู คราว ร.ศ. 108 หนา้ 65 ตอนหนงึ่
วา่
“...พกั อยทู่ พ่ี ลบั พลาจนบา่ ย ๒ โมง จงึ ไดอ้ อกเดนิ ไปตามถนนหนา้ บา้ น
พระยาไชยาผา่ นหน้าศาลากลาง ไปเล้ียวลงทางวัดสมหุ นิมิต แวะเขา้ ดูวดั พระ
สงฆ์ทั้งในวัดนั้นและวัดอื่นน่ังรับในศาลาเต็มๆ ทุกศาลา ได้ถวายเงินองค์ละก่ึง
ต�ำ ลงึ บา้ ง องคล์ ะบาทบ้างทว่ั กัน แลว้ ออกเดินต่อไปตามถนนทอ้ งตลาด...”
วนั ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ.2445 สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรม
พระยานรศิ รานุวดั ติวงศ์ เสดจ็ ตรวจราชการแหลมมลายู ทรงแวะตรวจราชการ
เมอื งไชยา ได้เสด็จวดั สมหุ นมิ ิต ทรงบนั ทกึ สภาพของวดั ในสมัยนัน้ วา่
“...แล้วกลบั มาทางเดมิ มาถงึ วดั สมหุ นิมิตเวลา ๔.๕๐ เข้าดูวดั พระครู
12 คมู่ อื ทอ่ งเท่ียวทางวฒั นธรรม
กาแก้วรับรองวัดนี้สมเด็จองค์ใหญ่(สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ ดิศ
บุนนาค) สร้างคราวมาสกั เลข จุล.๑๒๑๐ ท�ำ ทเี ปนไทยเจือจนี ท�ำ นองวัดประยรุ
วงษ์ ทา่ ทางก็คลา้ ยฉะนน้ั แตเ่ ลวกวา่ มาก ใช้เสาไมก้ ่ออฐิ วดั ที่วา่ ถึงศกั ราชได้
เพราะมจี าฤกไดค้ ัดมาแลว้ เวลา ๕.๓๐ กลบั จากวดั สมุหท่านพระครูพาเดินไป
ถึงออฟฟศิ โทรศพั ท.์ ..”
ส่งิ สำ�คัญ
๑.พระอโุ บสถ เปน็ อาคารกอ่ อฐิ ถอื ปนู มกี �ำ แพงแกว้ ลอ้ มรอบ ดา้ นหนา้ มี
บนั ใดทางขนึ้ ๒ ทาง ฐานอโุ บสถลกั ษระเปน็ ฐานประทกั ษณิ หรอื ฐานไพทสี ามารถ
เดนิ ได้รอบ มเี สาส่ีเหลยี่ มเรยี งรายรอบพระอุโบสถรองรบั ปีกนกหลังคา หน้าบัน
ตกแตง่ ด้วยลายปนู ป้ันรปู ดอกไม้ประดับกระจกสี หน้าตา่ งและบานประตเู ขยี น
ลายดอกไม้รว่ ง และผเี สอ้ื ลงรกั ปดิ ทองอย่างสวยงาม
๒.ศลิ าจารกึ จ�ำ นวน ๒ หลกั อกั ษรไทย ภาษาไทย สลกั บนแผน่ หนิ ชนวน
ฝงั ไวท้ ผี่ นงั ดา้ นสกดั ของผนงั พระอโุ บสถดา้ นทศิ ตะวนั ออกตรงขา้ มพระประธาน
ได้แก่ จารกึ ส.ฎ.๒ เป็นอักษรไทย ภาษาไทย ทำ�ด้วยหินชนวนรปู สเ่ี หลย่ี มกว้าง
๖๒ เซนติเมตร สูง ๓๓.๕ เซนติเมตร หนา ๓ เซนตเิ มตร จารกึ ส.ฎ.๗ ฝังอย่ผู นัง
พระอโุ บสถเชน่ กนั โดยอยู่ทางด้านขวาของจารกึ ส.ฎ.๒ เป็นอักษรไทย ภาษา
ไทย ท�ำ ดว้ ยหินชนวนสดี ำ� รปู สี่เหล่ยี มกว้าง ๒๔ เซนตเิ มตร สูง ๓๓ เซนติเมตร
หนา ๓ เซนตเิ มตร
๓.ศลิ าจารึก สฎ.๖ รปู รา่ งเหมือนใบเสมา ท�ำ ด้วยหนิ ทรายแดง จารกึ
ด้วยอกั ษรขอม ภาษาไทย ขนาดกวา้ ง ๓๖ เซนตเิ มตร สงู ๗๙ เซนตเิ มตร หนา
๑๑ เซนติเมตร พบที่วดั จำ�ปา ตวั จารึกระบพุ ุทธศักราช ๒๓๑๙ และได้สง่ ต่อไป
ยงั กองหอสมดุ แหง่ ชาตเิ พอื่ ด�ำ เนนิ การ อา่ นและแปล แตย่ งั ไมไ่ ดค้ วามตลอด ตอ่
คมู่ ือทอ่ งเที่ยวทางวฒั นธรรม 13
มาในวันที่ ๕ มนี าคม ๒๕๑๔ ผอู้ �ำ นวยการกองหอสมุดแหง่ ชาติ พระนคร พร้อม
คณะเดนิ ทางไปราชการภาคใต้ จงึ ไดส้ ง่ เจา้ หนา้ ทไ่ี ปท�ำ การอดั ส�ำ เนาศลิ าจารกึ น้ี
อกี ครง้ั หนงึ่ และไดม้ อบใหน้ ายประสาร บญุ ประคอง อา่ นและแปล ปจั จบุ นั ศลิ า
จารกึ หลกั นีเ้ ก็บไว้ที่ซมุ้ ลกู กรง หลังพระอุโบสถใกลก้ บั เจดีย์บรรจุสังขาร พระครู
วจิ ารณ์โกศล (มยั ) และพระครูพิพฒั นส์ มหุ ประดิษฐ์ (จรญู ) อดตี เจ้าอาวาส
๔.สระนำ้�กรอุ ฐิ โบราณสมยั รัตนโกสนิ ทร์ ซง่ึ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหา
ประยรู วงศ(์ ดศิ บนุ นาค)ไดส้ รา้ งถวายพระสงฆใ์ นวดั ใชส้ อยพรอ้ มกบั พระอโุ บสถ
ทางดา้ นทศิ ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ตามทไี่ ดป้ รากฏขอ้ ความในศลิ าจารกึ ส.ฎ.๒ สลกั
บนแผน่ หนิ ชนวน ฝงั ไวท้ ผี่ นงั ดา้ นสกดั ของผนงั พระอโุ บสถดา้ นทศิ ตะวนั ออกตรง
ขา้ มพระประธาน ปจั จบุ นั เจา้ อาวาส ไดใ้ หร้ ถแทรกเตอรแ์ บบขดุ ดนิ ถมกลบสระ
น้ำ�กรอุ ฐิ นแี้ ล้ว อยา่ งนา่ เสยี ดาย
๕.ศาลาการเปรยี ญสร้างเป็นอาคารโปร่ง อาสนะสงฆ์ยกสงู จากพื้นเลก็
นอ้ ย หลงั อาสนะเปน็ ครา่ วไมล้ กู กรงกลงึ แบบลกู มะหวด มธี รรมาสนเ์ กา่ ตงั้ อยู่ ๑
หลัง ปัจจุบันธรรมาสน์น้ีได้ย้ายไปเก็บรักษาไว้ในศาลาหอฉัน(ชาวบ้านเรียกกัน
ว่าโรงฉัน)ของวัดแล้ว ส่วนศาลาการเปรียญน้ีเจ้าอาวาสได้ให้ช่างมาดำ�เนินการ
เคล่ือนย้ายออกจากตำ�แหน่งเดิมไปไว้ยังบริเวณใกล้สระน้ำ�กรุอิฐท่ีได้มีการถม
กลบไปแล้ว (ไม่ได้วางไว้บนสระที่ถูกถมกลบ)เนื่องจากจะมีการสร้างพระเจดีย์
บรรจุพระบรมสารรี ิกธาตุในบริเวณทตี่ ง้ั เดิมของศาลาการเปรยี ญ
๖.กุฏิพระครูรัตนมุนีศรีสังฆราชาลังกาแก้ว ปัจจุบันต้ังอยู่บนขอบเขต
ฐานเดยี วกันกับศาลาการเปรยี ญแต่ไมไ่ ด้ถกู เคลื่อนย้าย ยงั คงตงั้ อยู่ ณ ทเี่ ดิม
๗.ตพู้ ระไตรปฎิ กลายรดน�ำ้ ศลิ ปะรตั นโกสนิ ทรจ์ �ำ นวน ๒ ตู้ ซงึ่ สนั นษิ ฐาน
วา่ ไดย้ า้ ยมาจากวดั สระพงั จกิ (สวนโมกขเ์ กา่ )เมอ่ื ครง้ั สรา้ งวดั สมหุ นมิ ติ เสรจ็ พรอ้ ม
14 คู่มือท่องเทย่ี วทางวัฒนธรรม
ด้วยได้นิมนต์พระครูรัตนมุนีศรีสังฆราชาลังกาแก้ว (พิน) เจ้าอาวาสวัดสระพัง
จิกมาเปน็ เจา้ อาวาส จงึ เป็นเหตใุ หว้ ัดสระพังจกิ กลายเปน็ วัดร้างในเวลาตอ่ มา
๘.คัมภีร์ใบลานต่างๆพบอยู่ภายในตู้พระไตรปิฎกลายรดน้ำ� ส่วนใหญ่
เป็นคมั ภรี ใ์ บลานหอ่ ด้วยผา้ ทอและผา้ ยกโบราณ ตลอดจนตำ�รายาตา่ งๆ
๙.พระพทุ ธรูปประทบั ยนื ๒ องค์ ศิลปะรตั นโกสนิ ทร์
องคท์ ี่ ๑เปน็ ปางหา้ มญาตหิ ลอ่ ดว้ ยทองเหลอื ง ลงรกั ปดิ ทองขนาดเทา่ บคุ คลจรงิ
ประทบั บนบวั หงายเหนอื ฐาน ๓ ชน้ั มฉี ตั รกางกนั้ เหนอื พระเศยี ร ทฐ่ี านพระพทุ ธ
รปู มจี ารกึ ไดร้ ะบชุ อื่ ผสู้ รา้ งคอื พระยาวจสี ตั ยารกั ษ์ (ข�ำ ศรยี าภยั ) เจา้ เมอื งไชยา
องคท์ ี่ ๒ เปน็ พระพทุ ธรปู ปางอมุ้ บาตร หลอ่ ดว้ ยทองเหลอื งลงรกั ปดิ ทอง ปจั จบุ นั
ทางวัดได้ทาสีทองท่ัวทั้งองค์พระพุทธรูปเนื่องจากรักได้มีการเส่ือมสภาพ หลุด
ลอก ทีฐ่ านพระพทุ ธรูปมีจารึกระบชุ ือ่ ผูส้ ร้าง คือคณุ หญิงชื่น ศรียาภัย ซ่งึ เป็น
ธิดาของพระยาวจสี ัตยารกั ษ์ (ข�ำ ศรียาภยั ) เจ้าเมอื งไชยา
๑๐.เคร่ืองปั้นดินเผา มีอยู่จำ�นวนมากโอ่งกระถางท่ีขนาดใหญ่โตมีอยู่
ประมาณ ๕ ใบ กา คนโท จาน ชาม กระปุก ไห ขนาดและแบบตา่ งๆเดมิ ทาง
วดั เกบ็ ไวใ้ ตถ้ นุ ศาลาการเปรยี ญซงึ่ เปน็ หอ้ งลน่ั กญุ แจ ปจั จบุ นั ไดย้ า้ ยไปเกบ็ ไวใ้ น
ศาลาหอฉนั
๑๑.กระเบือ้ งรางมงุ หลงั คาสมยั อยธุ ยาจ�ำ นวนประมาณ ๓๐ แผ่น ขุด
พบวางเรียงกนั อย่บู ริเวณข้างร้ัววดั เมื่อตน้ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๑๑
๑๒.เจดีย์ใหญ่ อยู่ที่น่าประตูนอกวัดหักพังลงมาเหลือแต่ฐาน สูงจาก
พืน้ ดินประมาณ ๑ เมตร มีบันไดทางข้ึนทงั้ ๔ ทิศ มีการประดบั ดว้ ยลกู กรงดนิ
เผาเคลือบแบบจีนอย่างที่นิยมใช้ในรัชกาลที่ ๓ ช้ินส่วนลูกกรงเหล่าน้ีได้นำ�ไป
ค่มู ือท่องเทีย่ วทางวฒั นธรรม 15
เก็บรักษาไว้ท่ีพพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา ส่วนเจดีย์ในปัจจุบนั มีตน้ โพธิ์ข้ึน
ปกคลมุ ทรดุ โทรมมาก ท่ีฐานเจดยี ์มีหลักศิลาจารกึ ภาษาจนี ตง้ั อยู่ ๑ หลัก ยังคง
ต้งั อยู่ ณ ทเ่ี ดมิ ไมไ่ ด้รับการดูแล
16 คมู่ ือท่องเท่ียวทางวัฒนธรรม
ค่มู อื ทอ่ งเที่ยวทางวฒั นธรรม 17
18 คมู่ ือทอ่ งเท่ียวทางวฒั นธรรม
ค่มู อื ทอ่ งเที่ยวทางวฒั นธรรม 19
20 คมู่ ือทอ่ งเท่ียวทางวฒั นธรรม
ค่มู อื ทอ่ งเที่ยวทางวฒั นธรรม 21
22 คมู่ ือทอ่ งเท่ียวทางวฒั นธรรม
ค่มู อื ทอ่ งเที่ยวทางวฒั นธรรม 23
วัดพุมเรยี ง
สถานที่ต้ัง
หมทู่ ี ๑ ต�ำ บลพุมเรยี ง อ�ำ เภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ประวตั ิ
วดั พมุ เรยี งเปน็ วดั ทส่ี ร้างขึน้ ในสมยั กรุงศรีอยุธยาตอนปลาย แตไ่ ด้รา้ งไป
เม่อื คร้งั เสียกรุงในปี พ.ศ.๒๓๑๐ ตอ่ มาเม่อื บา้ นเมอื งกลบั ส่คู วามสงบเรียบรอ้ ย
ชาวบ้านจึงบูรณะวัดแห่งนี้ข้ึนใหม่เรียกว่าวัดใหม่หรือวัดใหม่พุมเรียงต่อมาจึง
เรยี กตามช่อื หมบู่ า้ นวา่ วัดพมุ เรียง
ถัดจากวัดพุมเรียงมีวัดอีกแห่งหนึ่งช่ือว่าวัดอุบลหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า
วัดนอก สร้างข้ึนในสมยั กรุงศรอี ยุธยาตอนปลายเช่นกนั ในคราวสงคราม ๙ ทพั
พ.ศ.๒๓๒๘ พมา่ ยกกองทพั สว่ นหนงึ่ มาตหี วั เมอื งฝา่ ยใต้ รวมทง้ั เมอื งไชยา (เวลา
นนั้ เจา้ เมอื งไชยา วา่ ราชการ ณ ต�ำ บลพมุ เรยี ง)ชาวเมอื งไดใ้ ชว้ ดั อบุ ลเปน็ ทม่ี น่ั ใน
การตงั้ ทพั ตอ่ สกู้ บั กองทพั พมา่ สว่ นทพั พมา่ นนั้ ตงั้ คา่ ยทที่ งุ่ จบั ชา้ ง เมอ่ื พมา่ จบั ชาว
บา้ นและพระสงฆไ์ ดก้ จ็ ะน�ำ มาขงั ทโ่ี บสถว์ ดั พมุ เรยี งซง่ึ ตดิ อยกู่ บั วดั อบุ ลแลว้ จดุ ไฟ
เผาเม่ือสงครามสงบลงชาวบ้านจำ�นำ�กระดูกพระอุโบสถวัดพุมเรียงมาเก็บไว้ที่
เจดียห์ นา้ พระอุโบสถวดั อบุ ล และหลงั พระอุโบสถวัดใหม่พุมเรยี ง วดั แหง่ นี้เปน็
สถานทอี่ ุปสมบทของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาส อนิ ทปญโฺ ญ) ซึง่ ไดท้ ำ�การ
อปุ สมบทเมอ่ื วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๖๙ โดยมีพระครโู สภณเจตสิการาม
วัดโพธาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูคณานกุ ูล(ศักดิ์) วดั ศกั ดคิ์ ุณาราม เปน็
พระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดทมุ่ วดั อบุ ลเปน็ พระอนสุ าวนาจารย์ วดั แหง่ นี้
มภี ิกษุจำ�พรรษามาอย่างต่อเนอ่ื งเม่อื สมัย ๕๐ กวา่ ปที ีแ่ ล้ว พระปลดั ทมุ่ ซึง่ มีช่อื
เสยี งดา้ นอยยู่ งคงกระพนั และเวทยม์ นตค์ าถา เปน็ เจา้ อาวาสรปู สดุ ทา้ ย หลงั จาก
24 คมู่ อื ท่องเท่ยี วทางวัฒนธรรม
ทท่ี า่ นไดม้ รณภาพลงวดั แหง่ นก้ี ก็ ลายเปน็ วดั รา้ ง คณะสงฆเ์ มอื งไชยาจงึ ประกาศ
ยบุ วัดรวมเข้าเปน็ ส่วนหน่ึงกับวัดพุมเรยี งมาจนปัจจบุ ัน
กรมศิลปากรไดป้ ระกาศขน้ึ ทะเบยี นและกำ�หนดเขตทดี่ นิ โบราณสถาน
เฉพาะในบริเวณวดั อุบลร้างในราชกิจจานเุ บกษา เล่มที่ ๑๒๑ ตอนพิเศษ ๕๓ง
วันท่ี ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๗ เนื้อที่ประมาณ ๖ ไร่ ๒ งาน ๙๐ ตารางวา
สงิ่ ส�ำ คญั
๑.อุโบสถเดิมของวัดอุบลก่ออิฐถือปูน เครื่องบนเป็นเคร่ืองไม้มุง
กระเบ้ืองเกล็ดเต่า ทรงจั่วชั้นเดียว สันหลังคาปั้นปูนปิดเป็นลวดบัว หน้าบัน
เป็นไม้แกะสลักลายพันธุ์พฤกษา ลงรักปิดทอง กรุกระจก มีประตูทางเข้าด้าน
ทิศตะวันออกและทิศตะวันตกด้านละ ๒ ประตู ผนังเจาะหน้าต่างด้านละ ๓
ชอ่ ง กรอบประตหู นา้ ตา่ งลงรกั ปดิ ทองกรกุ ระจก ภายในพระอโุ บสถประดษิ ฐาน
พระพุทธรูปปางมารวชิ ัยลงรกั ปิดทอง เพดานเขยี นลายดอกไม้ เทวดา และดาว
เพดาน รอบพระอุโบสถด้านนอกมีใบพัทธสีมาหินทรายแดงนั่งแท่น บัวย่อมุม
โดยรอบ ดา้ นทศิ ตะวนั ออกของพระอโุ บสถมีสระน้�ำ ๑ สระ ในสระเปน็ เสาไม้
ซ่ึงเดมิ เป็นเสารองรับหอไตรกลางน�ำ้ ปรากฏอยู่
ในส่วนของวัดพุมเรียงเองมีแผ่นไม้แกะสลักลวดลายคล้ายยักษ์อยู่
เหนือซุ้มประตูทางเข้าวัด ชาวบ้านเรียกว่าประตูราหูและยังมีกุฏิเก่าทรงไทย
สร้างด้วยไม้ท้ังหลังส่วนล่างได้มีการปรับปรุงต่อเติมเป็นปูนจากเดิมเป็นใต้ถุน
สูง และอาคารทรงไทยมีลวดลายฉลุไม้งดงามในอดีตอาคารหลังนี้เป็นโรงเรียน
สอนภาษาบาลซี ง่ึ ปจั จบุ นั ทางวดั ไดด้ �ำ เนนิ การยกตวั อาคารใหส้ งู ขน้ึ และไดม้ กี าร
ต่อเติมสว่ นลา่ งดว้ ยซเี มนต์ มเี สารองรับตรงกลาง ๑ ต้น เปน็ เสาพระอุโบสถเดิม
ของวดั อบุ ลทไ่ี ดร้ บั การบรู ณะและถอดออกมา เกบ็ รกั ษาไว้ โดยอาคารหลงั นี้ พระ
นคิ ม ปญญฺ าวชโิ ร รกั ษาการแทนเจา้ อาวาสไดด้ �ำ เนนิ การตอ่ เตมิ เพอ่ื ใชเ้ ปน็ อาคาร
พพิ ธิ ภณั ฑป์ ระวตั วิ ดั และจดั แสดงโบราณวตั ถขุ องวดั พมุ เรยี งและวดั อบุ ล มหี นา้
บันเก่าทางด้านทิศตะวันตกของวดั อบุ ลจดั แสดงอยู่ด้วย
คมู่ อื ท่องเทย่ี วทางวัฒนธรรม 25
ชุมชนเกา่ พมุ เรียง
บ้านพมุ เรียง ชมุ ชน ๓ วฒั นธรรม บ้านเกิดของพระธรรมโกศาจารย์ (เงื่
อม อินทปัญโญ) หรือพุทธทาสภิกขุ ผู้ได้รับการยกย่องจากองค์การการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (UNESCO) เป็น
บุคคลสำ�คัญของโลก ต้ังอยู่ท่ีตำ�บลพุมเรียง อำ�เภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
เป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีการตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยและหลอมรวมทางวัฒนธรรมของ
ชาวไทย ชาวไทยเช้ือสายจีน และชาวไทยเช้ือสายมลายู ก่อเกิดเป็นวิถีชีวิตที่
มีลักษณะเฉพาะ สะท้อนให้เห็นศิลปะและวัฒนธรรมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
ใจกลางของชุมชน ซง่ึ เป็นยา่ นการค้า และถิ่นที่อยู่ของชาวไทยเช้ือสายจีน ทอด
ยาวขนานไปกลับคลองพุมเรียง ร้านค้าเหล่าน้ันสร้างด้วยไม้มุงกระเบ้ืองดิน
เผา มีลักษณะเป็นเรือนไทยแบบภาคใต้ที่ได้รับการดัดแปลงพื้นท่ีส่วนที่ติดกับ
ถนนเปน็ รา้ นคา้ แบบจีน ลวดลายประดับตกแตง่ บางสว่ นเป็นลายไทย บางสว่ น
เปน็ ลายจีน และบางส่วนเปน็ ลายมลายู และยงั แสดงใหเ้ หน็ ถงึ รปู แบบศิลปะที่
นยิ มกันในบางกอกในชว่ ง ๑๐๐ - ๒๐๐ ปที ่ีแลว้ ไมเ้ ป็นวัสดทุ หี่ าได้งา่ ยในพน้ื ท่ี
อนั อดุ มสมบรู ณข์ องสรุ าษฎรธ์ านี กระเบอ้ื งดนิ เผาส�ำ หรบั มงุ หลงั คามแี หลง่ ผลติ
รอบทะเลสาบสงขลาในพื้นที่จังหวัดพัทลุงและสงขลาซ่ึงตั้งอยู่ทางตอนใต้ของ
จังหวัดสุราษฎร์ธานี โครงสร้าง แผนผัง และลวดลายประดับตกแต่งของร้าน
ค้าสะท้อนให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านความเช่ือและความนิยมรูปแบบ
ศลิ ปะระหวา่ งสามวฒั นธรรม คือ ไทย จีน และมลายูได้เปน็ อย่างดี
พนื้ ทที่ �ำ การเกษตรหรอื ทอี่ ยอู่ าศยั ของชมุ ชนคนไทย ไดแ้ กพ่ น้ื ทโี่ ดยรอบ
ชมุ ชน ทางทศิ เหนือและทางทศิ ตะวนั ตกของชุมชน เปน็ แหล่งปลูกขา้ วทส่ี ำ�คัญ
ของเมอื งไชยา บรเิ วณทรี่ าบฝง่ั ตะวนั ตกของคลองพมุ เรยี งถดั ไปจากถน่ิ ทอ่ี ยอู่ าศยั
ของคนจนี และมสุ ลมิ มลี กั ษณะเปน็ สวนซง่ึ คนไทยตง้ั บา้ นเรอื นอยอู่ าศยั กระจาย
26 คู่มอื ทอ่ งเทยี่ วทางวัฒนธรรม
ตวั อยทู่ วั่ ไป ตามกลมุ่ เครอื ญาตซิ ง่ึ ไดร้ บั มรดกทดี่ นิ ตกทอดจากรนุ่ สรู นุ่ บา้ นเรอื น
ในอดีตปลูกสร้างด้วยไม้เป็นวัสดุหลัก มีลักษณะเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูงหลังคามุง
กระเบื้องดินเผาหรือกระเบ้ืองซีเมนต์ รปู ทรงและหนา้ ทใี่ ชส้ อยของเรอื นเหมาะ
สมกบั ภมู ปิ ระเทศและวฒั นธรรม การปลกู พืชมีทงั้ ต้นไม้ที่ให้รม่ เงา ไมด้ อก ไม้
ผล พชื สวนครวั ซงึ่ มคี วามสมั พนั ธก์ บั ความเชอื่ และวถิ ชี วี ติ เชน่ มะพรา้ ว มะมว่ ง
ขนุน ฯลฯ ในปัจจบุ ันบา้ นเรอื นเหล่าน้นั ไดร้ ับการปรบั ปรงุ เปลยี่ นแปลงไปตาม
ยุคสมัย แต่ก็มีบ้านเรือนท่ียังคงรูปลักษณ์ด้ังเดิมแสดงออกถึงจิตวิญญาณของ
สถาปัตยกรรมพ้ืนถิ่นให้เห็นอยู่ไม่น้อย พื้นที่บางส่วน ดังเช่น พื้นท่ีระหว่างวัด
สมหุ นมิ ติ และวดั พมุ เรยี ง พน้ื ทบึ่ รเิ วณวดั รา้ งทางตอนเหนอื ของชมุ ชนมสุ ลมิ เปน็
พนื้ ทปี่ า่ ชมุ ชนซงึ่ แนน่ ขนดั ไปดว้ ยตน้ ยางนาอายนุ บั รอ้ ยปแี ละพชื สมนุ ไพรหลาก
หลายชนดิ ถดั ออกไปจากพนื้ ทสี่ วนและทต่ี งั้ บา้ นเรอื นของคนไทยทงั้ ทศิ ตะวนั ตก
และทศิ เหนอื คอื ทอ้ งทงุ่ นาอนั กวา้ งใหญอ่ ขู่ า้ วอนู่ �้ำ ของชมุ ชนและพน้ื ทใ่ี กลเ้ คยี ง
พื้นท่ีทิศตะวันออกของคลองพุมเรียง และบริเวณพื้นท่ีที่คลองใหญ่
พุมเรียงไหลผ่านต่อเนื่องไปยังชายฝ่ังทะเล รวมทั้งพื้นท่ีด้านทิศใต้ของชุมชน
เปน็ พื้นทีท่ ่ีมกี ารต้งั บ้านเรอื นบางตา บางสว่ นเปน็ พื้นที่ปา่ ชายเลนทยี่ งั คงความ
อุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพ บางส่วนเป็นพื้นท่ีดินทราย
เหมาะกับการท�ำ สวนมะพรา้ ว จึงเป็นบริเวณทีม่ ีการทำ�กิจการบอ่ เลีย้ งกงุ้ สวน
มะพร้าว และสสุ านมุสลิม
หมู่บ้านอิสลามหรือหมู่บ้านชาวไทยเช้ือสานฃยมลายูตั้งอยู่ริมฝ่ังตะวัน
ตกของคลองพมุ เรยี ง สมาชกิ ชมุ ชนเปน็ มสุ ลมิ ซงึ่ ประกอบอาชพี ประมงน�ำ้ เคม็ เปน็
อาชพี หลกั เพอื่ ความสะดวกแกว่ ถิ ชี วี ติ ทต่ี อ้ งอาศยั ทะเลเปน็ แหลง่ ท�ำ กนิ จงึ เลอื ก
ต้งั บ้านเรือนอยู่รมิ คลองซง่ึ เป็นพ้นื ทเ่ี หมาะสมในการจอดเรอื และเดินทางออกสู่
ทะเล ทงั้ ไมไ่ กลจากชมุ ชนจนี และชมุ ชนไทยอนั เปน็ กลมุ่ ลกู คา้ หลกั การสรา้ งบา้ น
คู่มือท่องเท่ียวทางวฒั นธรรม 27
เรือนในคร้ังอดีตนิยมสร้างบ้านเรือนให้สอดคล้องกับรสนิยมและวิถีชีวิตด้ังเดิม
จึงนิยมสร้างบ้านเรือนตามรูปแบบมลายูซ่ึงเป็นท่ีนิยมในปัตตานีและไทรบุรี มี
ลักษณะกระจายตัวไปตามฝั่งคลองและขึ้นไปรวมตัวเป็นชุมชนใหญ่มีบ้านเรือน
หนาแนน่ อยทู่ างทศิ เหนอื ชมุ ชนจนี มมี สั ยดิ เปน็ ศนู ยก์ ลางของชมุ ชน มสี สุ านเพอ่ื
ประกอบพธิ ฝี งั ศพตามหลกั ศาสนาอสิ ลามอยฟู่ ากฝงั่ ตะวนั ออกของคลองพมุ เรยี ง
ตรงข้ามกับบริเวณท่ีตั้งชุมชน มุสลิมกลุ่มน้ีนอกจากมีความชำ�นาญในการเดิน
เรือแล้วยังมีความรู้ด้านการต่อเรือประกอบกับพ้ืนที่พุมเรียงอยู่ในบริเวณท่ีหา
ไม้สำ�หรับการน้ีได้ไม่ยาก จึงมีผู้เปิดอู่ต่อเรือและซ่อมแซมเรือข้ึนในชุมชน กลุ่ม
สตรมี ุสลมิ มีความสามารถโดดเด่นดา้ นการทอผ้าโดยเฉพาะการทอผา้ ยก ทีน่ จ่ี งึ
เป็นแหล่งทอผ้ายกที่ส�ำ คัญของพระราชอาณาจกั รตัง้ แตเ่ มือ่ ๒๐๐ ปีท่แี ลว้ สบื
เนอื่ งมาจวบจนสมัยปจั จบุ นั
28 คู่มอื ท่องเทีย่ วทางวัฒนธรรม
วัดโพธาราม
สถานที่ตัง้
เลขที่ ๙๘ หมู่ที่ ๓ ถนนราษฎร์บำ�รุง ตำ�บลพุมเรียง อำ�เภอไชยา จังหวัด
สุราษฎรธ์ านี
ประวัติ
วดั โพธารามสร้างขนึ้ เม่ือใดยงั ไมป่ รากฏหลักฐานทีแ่ นช่ ดั แต่กเ็ ป็นวัด
เกา่ แก่อีกวัดหนึ่ง ชาวบา้ นเรียกวัดแห่งน้วี ่า “วัดเหนอื ” ค่กู บั วัดสมุหนิมติ ทช่ี าว
บา้ นเรียกว่า “วดั ลา่ ง”
สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงศ์ กรม
พระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เสด็จวัดโพธาราม เมื่อวันอังคารขึ้น ๑๓ ค่ำ�เดือน
๑๐ พ.ศ.๒๔๒๗ ปรากฏความในหนังสือชีววิ ัฒน์หนา้ ๑๔๕ ว่า
“...ทางประมาณ ๗ เส้น ๘ เสน้ มีวดั ๆหนึ่งข้างฟากถนนทิศเหนือ ช่อื
วา่ วัดโพธาราม มีรวั้ ไมเ้ ป็นเขือ่ น และมีโบสถผ์ นงั ปนู ช�ำ รดุ มุงหลงั คาจาก กว้าง
ประมาณ ๔ วา ยาวประมาณ ๖ วา หน้าโบสถ์หันไปทางทิศตะวันออกเฉียง
เหนอื ในโบสถ์น้ันมีพระประธานหน้าตกั ๓ ศอก น่ังอยู่บนฐานปูนเต้ยี แต่กวา้ ง มี
พระพทุ ธรปู ใหญน่ อ้ ยตงั้ อยเู่ ปน็ อนั มาก มพี ระหลอ่ อยา่ งเกา่ ๆและช�ำ รดุ มาก และ
มยี านุมาศอย่างเกา่ ๆอยู่ ๒ อัน สลกั ปดิ ทองลอ่ งชาด มคี านหามสำ�หรับหามดว้ ย
ช�ำ รดุ ปรกั หกั พงั ไดส้ อบถามพระครกู าแกว้ กไ็ มไ่ ดค้ วามวา่ มาแตไ่ หน ทราบวา่ เปน็
ของเก่าตั้งแต่พระครูกาแก้วเกิดมาก็เห็นอยู่ดังน้ี เป็นของเคยใช้สำ�หรับแห่พระ
แห่บวชนาคบ้าง เม่ือพระครูกาแก้วคนนีบ้ วชกไ็ ดเ้ คยแหย่ านุมาศอันน้ี ตัวพระ
ครูกาแกว้ นั้นบัดนอ้ี ายถุ ึง ๗๐ ปีแล้ว ตอ่ วดั นไี้ ปกเ็ ป็นบ้านโรงเรือนราษฎร ขาย
ของสนิ ค้ารายไปเหมือนท่ีว่ามาแลว้ น้นั ...”
คูม่ ือทอ่ งเที่ยวทางวัฒนธรรม 29
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำ�เนินวัด
โพธาราม เมืองไชยาเมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ร.ศ.๑๐๘ (๒๔๓๒) ปรากฏความ
ในจดหมายเหตุพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสแหลม
มลายคู ราว ร.ศ.๑๐๗ แล ๑๐๘ หน้า ๔๙ – ๕๐ ปรากฏความตอนหนง่ึ ว่า
“...เสดจ็ ขน้ึ ประทับบนพลับพลาจนบา่ ย ๒ โมง จึงเสดจ็ พระราชดำ�เนริ
ไปตามถนนหนา้ บา้ นพระยาไชยา ผา่ นหนา้ ศาลากลางไปเลยี้ วลงทางวดั สมหุ นมิ ติ
เสดจ็ ทอดพระเนตรวดั พระสงฆใ์ นวดั นน้ั แลวดั อนื่ มารบั เสดจ็ นง่ั เตม็ ไปทกุ ศาลา
พระราชทานปัจจัยมูลแก่พระสงฆ์เหล่านั้นตามสมควรท่ัวกัน แล้วเสด็จพระรา
ชดำ�เนิรไปตาถนนท้องตลาด ในระยะที่เสด็จพระราชดำ�เนิรมานั้น มีบ้านเรือน
หลายแหง่ ที่เกือบจะสดุ ปลายตลาดถงึ วดั โพธารามเปนวัดโบราณ ซ่ึงพระครูกา
แกว้ อยู่ พระอโุ บสถหลงั คาช�ำ รดุ ทรงพระราชศรทั ธารบั ปฏสิ งั ขรณพ์ ระอโุ บสถซงึ่
ช�ำ รดุ ทพ่ี ระครกู าแกว้ จะเรมิ่ ท�ำ นน้ั โปรดเกลา้ ฯใหพ้ ระยาไชยาจดั การปฏสิ งั ขรณ์
มพี ระราชดำ�รสั ด้วยพระครกู าแก้วครหู่ นึ่งแลว้ พระราชทานปจั จัยมูลแกพ่ ระครู
หา้ ต�ำ ลงึ พระสงฆอ์ นั ดบั องคล์ ะกงึ่ ต�ำ ลงึ แลว้ เสดจ็ พระราชด�ำ เนริ ตอ่ ไป เมอื่ เสดจ็
วนั นข้ี า้ งในพระราชทานเงนิ เขา้ ในการปฏสิ งั ขรณ์ ๔ ชง่ั เศษ เสดจ็ พระราชด�ำ เนริ
ไปจนสดุ ตลาด เสด็จกลบั ทางเดิม ประทบั พลับพลา บา่ ย ๕ โมงครงึ่ เสด็จกลบั
ลงเรอื พระที่น่ังลงเรืออุบลบุรทิศ...”
และปรากฏในพระราชหัตถเลขาฉบับท่ี ๔ ในพระราชหัตถเลขาเรื่อง
เสดจ็ ประพาสแหลมมลายขู องพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ความ
ว่า
เรือพระทนี่ ่ังอบุ ลบรุ ทศิ ทอดทป่ี ากน�้ำ เมอื งหลงั สวน
วนั ที่ ๑๐ สิงหาคม รัตนโกสนิ ทรศก ๑๐๘
30 ค่มู ือทอ่ งเท่ยี วทางวฒั นธรรม
ถงึ ท่านกลางแลกรมหลวงเทววงศ์วโรปการ
ด้วยจดหมายมาแตก่ อ่ น แจ้งความมาจนถงึ วันท่ี ๕ เจือวันท่ี ๖ เวลาเชา้ ทเี่ รอื
เข้าไปทอดอยู่ในกระเส็ดหน้าเมืองไชยา เตรียมจะข้ึนบกรอสายมากไปเพราะ
เขยี นหนงั สือเมล์ซึง่ มาด้วยเรอื มรุ ธาวสติ สวสั ดี เวลายำ�่ เท่ยี งตรงจงึ ไดล้ งเรอื กระ
เชียงเรือจักรนารายณ์ลากเข้าไปในอ่าวเมืองไชยา ที่ปลายแหลมปากช่องขวา
มอื มศี าลามุงกระเบอื้ งเฉลยี งรอบหลงั หน่ึง เขาทำ�ปะรำ�และตะพานฉนวนไวแ้ ต่
ไม่ได้ข้ึน ต่อขนึ้ ไปอกี หน่อยหนง่ึ ถึงปากคลองพุมเรยี ง .....................................ท่ี
เกอื บจะสดุ ปลายตลาดมวี ดั โพธารามเปน็ วดั โบรารพระครกู าแกว้ อยู่ พระอโุ บสถ
หลงั คาช�ำ รดุ ยงั อยแู่ ตผ่ นงั มงุ จากไว้ พระครกู าแกว้ อายุ ๘๐ ปี ตาไมเ่ หน็ หตู งึ แต่
รปู รา่ งยงั อว้ นพเี ปลง่ ปลงั่ จ�ำ การเกา่ ๆไดม้ าก ปากค�ำ อยขู่ า้ งจะแขง็ แรงเรยี บรอ้ ย
เป็นคนช่างเก็บของเก่าแก่อย่างเช่นผ้าไตรฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อ
คร้ังแผ่นดินพระบาทสมเด็จฯพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว มีผ้ากราบปักเป็นต้น ก็ยัง
รักษาไว้ได้ และเล่าเรื่องราวในการงานท่ีมีที่กรุงเทพฯ ประกอบสิ่งของได้ด้วย
เรยี กชอื่ คนทัง้ ชนั้ เกา่ ชนั้ ใหม่เตม็ ชอื่ เสียงแมน่ ย�ำ ได้สนทนากนั ก็ออกชอบใจ จึง
ได้รับจะปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ ซึ่งพระครูได้ตระเตรียมไว้บ้างแล้วนั้นให้สำ�เร็จ
ได้มอบการให้พระยาไชยาเป็นผู้ทำ�เพราะอิฐและกระเบื้องเขามีอยู่แล้ว จะได้ถ
วานเงนิ พระครชู า่ งหา้ ต�ำ ลงึ พระสงฆอ์ นั ดบั องคล์ ะกง่ึ ต�ำ ลงึ ขา้ งในเรยี่ รายกนั เขา้
ในการปฏสิ ังขรณ์บา้ ง เจ้าสาย ( พระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลภี ิรมย์
กรมขุนสุทธาสินีนาฏ ) มาทำ�บุญวันเกิดที่วัดน้ี ได้ถวายเงินในการปฏิสังขรณ์
สองชั่งรวมเป็นเงินประมาณสี่ชั่ง ออกจากวัดเดินไปจนสุดตลาดยังมีทางต่อไป
อกี หนอ่ ยหนง่ึ จงึ จะถงึ ทงุ่ ไชยา ทางตง้ั แตบ่ า้ นพระยาไชยาจนถงึ ทงุ่ ไชยาประมาร
๓๐ เสน้ กลบั โดยทางเดมิ มาพกั ทพ่ี ลบั พลา พระยาสวสั ดวิ ามดฐิ เปน็ ผชู้ ว่ ยพระยา
ไชยาจัดการเลย้ี งท่ัวไป อย่ขู ้างจะดกี ว่าทกุ แหง่ เวลา ๕ โมงครงึ่ กลับมาเรอื ...”
คมู่ ือทอ่ งเทีย่ วทางวฒั นธรรม 31
วนั ท่ี ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๔๕ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรม
พระยานรศิ รานวุ ดั ติวงศ์ เสด็จตรวจราชการแหลมมลายู ทรงแวะตรวจราชการ
เมอื งไชยา ได้เสดจ็ วัดแห่งนปี้ รากฏความว่า
“...๕.๕๕ กลบั จากวดั ใหม่ พระครูน�ำ เขา้ ตรอกมาออกท่ีตลาดตรงทา้ ย
วดั โพธ์ิ เขา้ ดวู ดั โพธ์ิ เปนวดั เกา่ มากกวา่ คนในทนี่ ้ี แตโ่ บสถห์ ลงั คาพงั แลว้ เอาจาก
ยกข้นึ มงุ ไว้ เดิมมุงกระเบื้องกำ�ปู มีตัวกระเบือ้ งทิ้งอยู่ มฐี านพระแลองค์พระเล็ก
ปนั้ อยา่ งฝมี อื ดอี งคห์ นง่ึ บานประตโู บสถส์ ลกั ลายอยา่ งเกา่ แตฝ่ มี อื ผกู แลสลกั เปน
ปานกลาง เสาเก่าเหลือค่หู น่ึง เปนเสาไมบ้ วั ปลายสลกั นอกจากนั้นมพี ระเจดีย์
เลก็ อกี องคห์ นงึ่ อยมู่ มุ ขวาหลงั โบสถ์ เปนพระเจดยี อ์ ยบู่ นฐานคหู าสามชนั้ มคี ฤห์
นอกน้ันเปนของใหม่ ไดเ้ ข้าไปดูโบสถ์ ดูพระเจดยี ์ ดูการปเรยี ญ ดูโรงเรยี นซงึ่ เอา
หอสวดมนตใ์ ช้ ไปกฏุ ทิ า่ นพระครู เมอ่ื ถึงวดั โพธเ์ิ วลา ๕.๕๕ เท่ียง๒๕ กลบั มา
ถึงที่พักเทยี่ งครึ่ง...”
สงิ่ ส�ำ คัญ
๑.พระอโุ บสถ เดิมสรา้ งแตเ่ มือ่ ไรไม่มีใครทราบ รู้แตว่ า่ ไดม้ ีการบรู ณะ
คร้ังใหญ่ในปี ๒๔๖๕ ( มีเขียนบอกไว้ท่ีเสาเพดานโบสถ์ ) ดังสภาพท่ีเห็นใน
ปัจจุบัน หน้าบันพระอุโบสถประดับด้วยกระเบื้องถ้วยชามขนาดใหญ่ประกอบ
เข้ากับลายปูนปั้นรูปดอกไม้และใบไม้ ถ้วยชามส่วนมากมีอายุในราวต้นกรุง
รัตนโกสินทร์ทั้งเครื่องถ้วยจีนและเครื่องถ้วยฝร่ัง บานประตูพระอุโบสถเป็นไม่
สลักลายพุ่มข้าวบิณฑ์ลงรักปิดทอง ก่อนสำ�รวจในปี ๒๕๕๑ น้ันมีผู้ร้ายปีนข้ึน
ไปกะเทาะเอวถ้วยชามจากหน้าบันพระอโุ บสถเสยี หลายใบ ปจั จบุ ันเหลอื ไม่ถงึ
สบิ ใบแลว้ ทางวดั ไดน้ �ำ เครอ่ื งถ้วยของใหมข่ นึ้ ไปประกอบเข้ากบั ลายปูนปน้ั เดมิ
๒.บานหนา้ ตา่ งไมแ้ กะสลักอยู่ตามกฏุ ิหลังตา่ งๆ
32 คมู่ อื ท่องเทย่ี วทางวัฒนธรรม
๓.ตู้พระธรรมลายรดน้ำ�มีท้ังหมด ๖ ตู้ ซึ่งส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัย
รตั นโกสนิ ทรแ์ ตท่ เ่ี กา่ ถงึ สมยั อยธุ ยากม็ อี ยดู่ ว้ ย ๑ ตู้ เดมิ อยบู่ นศาลาโรงธรรมหลงั
ใหมต่ อ่ มาได้ย้ายเขา้ ไปเกบ็ รักษาไว้ ณ ห้องใต้ถนุ กฏุ พิ ระครรู ตั นมนุ ศี รีสงั ฆราชา
ลงั กาแกว้ อดตี เจา้ คณะเมอื งไชยา ไดส้ อบถามพระครถู าวรธรรมวสิ ทุ ธ(ิ์ เมอื ง) เจา้
อาวาสรปู ปจั จบุ นั ไดค้ วามวา่ ไดม้ กี ารเคลอ่ื นยา้ ยตพู้ ระธรรมเมอ่ื ครง้ั พระครโู พธ
านุกูล ( เจิม ) อดีตเจา้ อาวาสไดม้ รณภาพลงเพ่ือใชศ้ าลาโรงธรรมหลังใหม่เป็น
ท่ตี ั้งบ�ำ เพญ็ กศุ ลศพ และหลังจากทไี่ ด้ประกอบพิธพี ระราชทานเพลงิ ศพแลว้ ก็
ไม่ไดม้ กี ารเคลอ่ื นยา้ ยกลบั มาใหม่ ปจั จุบนั จงึ ทำ�ให้ตพู้ ระธรรม ๒ ตู้ ในจ�ำ นวน
ทัง้ หมด ๖ ตู้ ถูกปลวกกนิ ทำ�ให้หนังสือใบลานโบราณพร้อมไมป้ ระกับและผา้
ห่อได้รับความเสียหายท้ังหมด ซ่ึงเกิดจากฝนรั่วท่ีหลังคากุฏิจึงได้รับความเสีย
หายหนกั ดงั ทเ่ี หน็ ในปจั จบุ ัน
๔.หีบพระธรรมไม้ฉลลุ าย
๕.กล่องใส่คัมภีรใ์ บลาน มีทงั้ แบบฉลุ ลงรกั ปิดทอง ฝังมุก มีอยา่ งนอ้ ย
๕ กล่อง
๗.สมดุ ขอ่ ยและหนงั สอื คมั ภรี ต์ า่ งๆเกบ็ ไวใ้ นตลู้ ายรดน�้ำ สว่ นมากอยใู่ น
สภาพดี สว่ นใหญ่เปน็ เรื่องในพระพุทธศาสนา บางเลม่ มภี าพสปี ระกอบ ทเี่ ป็น
กฎหมายเชน่ กฎหมายว่าด้วยทาส จุลศกั ราช ๑๑๖๖ กม็ ี
๘.พระพทุ ธรปู ส�ำ ริด สกุลช่างนครศรีธรรมราช สงู ๓๑ เซนติเมตร ชว่ ง
พระพาหากว้าง ๒๐ เซนตเิ มตร พบเมอื่ วนั ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๑ ขณะขุดดนิ
เพื่อวางรากฐานรั้วก�ำ แพงวัด ลึกจากดินประมาณ ๑ เมตร
๙.กฏุ ทิ รงไทย
๑๐.โอ่ง ไห ถ้วยชาม และเครอื่ งลายคราม
คู่มอื ท่องเท่ียวทางวฒั นธรรม 33
๑๑.พระพุทธรปู ไมแ้ กะสลกั บดุ ้วยเงินขนาดเล็กมอี ยเู่ ป็นจำ�นวนมาก
๑๒.ภาพถา่ ยเจา้ นายชน้ั ผใู้ หญม่ ขี อ้ ความเขยี นดว้ ยลายมอื กม็ พี บอยดู่ ว้ ย
ในกระเป๋าหนังสตั ว์
34 คู่มอื ทอ่ งเที่ยวทางวฒั นธรรม
ค่มู อื ทอ่ งเที่ยวทางวฒั นธรรม 35
36 คมู่ ือทอ่ งเท่ียวทางวฒั นธรรม
ค่มู อื ทอ่ งเที่ยวทางวฒั นธรรม 37
38 คมู่ ือทอ่ งเท่ียวทางวฒั นธรรม
ค่มู อื ทอ่ งเที่ยวทางวฒั นธรรม 39
ผ้ายกและชมุ ชนทอผา้ ยก
ในบรรดาผ้าทอพื้นถน่ิ ประเภทตา่ ง ๆ ของภาคใต้ ผา้ ทมี่ ีลวดลายวจิ ติ ร
พิสดารท่ีสุดได้แก่ ผ้ายก ในพระนิพนธ์ “สาส์นสมเด็จ” หนังสือรวบรวมลาย
พระหตั ถต์ อบโต้ ซกั ถาม แสดงความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั ความรแู้ ละวชิ าการดา้ นตา่ ง
ๆ ระหว่างนักปราชญ์สำ�คัญสองพระองค์ของแผน่ ดนิ สยาม คอื สมเดจ็ พระเจา้
บรมวงศ์เธอ เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ตวิ งศ์ กับสมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ
กรมพระยาดำ�รงราชานุภาพ มีลายพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม
พระยาดำ�รงราชานภุ าพ ลงวันที่ ๑๖ กมุ ภาพันธ์ พทุ ธศักราช ๒๔๘๑ ทลู สมเดจ็
พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ์ ทรงแสดงแนวพระด�ำ ริ
เกย่ี วกับความหมายของผ้ายกไว้วา่
“ผา้ ไหมอนั ทอยกลวดลายใหส้ งู กวา่ พน้ื ผา้ ถา้ ลายทอดว้ ยไหมทองกเ็ รยี ก
วา่ ยกทอง ถ้าลายทอด้วยไหมสามัญกเ็ รยี กวา่ ยกไหม” (สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์
เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม
พระยาดำ�รงราชานภุ าพ, สาสน์ สมเดจ็ , ๒๕๐๔ (๑๔): ๒๗๓ - ๒๗๔)
แนวพระดำ�ริดังกล่าวนับเป็นการให้ความหมายที่สะท้อนให้ชนรุ่นหลัง
ได้ตระหนักถึงความเข้าใจในรปู ลักษณ์ของผ้ายกในหมชู่ นชาวสยามได้เปน็ อย่าง
ดี ด้วยหลักส�ำ คัญของการสร้างลวดลายผา้ ประเภทนี้ คือ การทอเสรมิ เสน้ ดา้ ย
พุ่งพเิ ศษ ทงั้ แบบเสรมิ ยาวต่อเนื่องตลอดหน้าผา้ และแบบเสรมิ เป็นช่วง ๆ โดย
ใช้วิธีเก็บตะกอลอยเพื่อเป็นเครื่องมือช่วยจัดกลุ่มเส้นด้ายยืน ให้เปิดอ้าหรือยก
และข่มเป็นจังหวะ เพื่อทอสอดเสริมเส้นด้ายพุ่งพิเศษตามลวดลายที่ต้องการ
ก่อเกิดเป็นผนื ผา้ ที่มลี วดลายยกนนู สูงกวา่ พื้นผ้า สว่ นวิธกี ารทอแบบอืน่ ท่ีนำ�มา
ใช้ผสมผสานกัน ดังเช่น ทอเสริมเส้นยืนพิเศษ มัดย้อมเส้นพุ่งและเส้นยืนก่อน
การทอ และทอแบบเส้นพุ่งไม่ต่อเน่ือง เพียงแต่นำ�มาตบแต่งลวดลายในส่วน
40 คมู่ ือทอ่ งเทยี่ วทางวัฒนธรรม
ประกอบปลกี ย่อยเทา่ นัน้
สาเหตทุ ีท่ ำ�ใหก้ ารทอผ้ายกในบริเวณหัวเมอื งภาคใต้ตอนบน มีชือ่ เสยี ง
ปรากฏโดง่ ดงั ขนึ้ ในชว่ งตน้ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ สนั นษิ ฐานวา่ นา่ จะเกดิ จากไดร้ บั การ
ปรับปรงุ และทำ�นบุ �ำ รุงส่งเสรมิ จากชนชัน้ ผู้ปกครอง เน่อื งมาจากเปน็ ระยะเวลา
ทีม่ ีปจั จัยและความพร้อมในหลายด้าน โดยเฉพาะบคุ ลากรหรือชา่ งทอ
บุคคลากรหรือช่างทอ ในชว่ งระยะเวลาดงั กลา่ ว โดยเฉพาะในรชั กาล
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จนกระทั่งล่วงมาถึงรัชกาล
พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว สยามได้ทำ�ศึกสงครามกับหัวเมือง
ประเทศราชมลายูบ่อยครั้ง ในแต่ละคราวก็ได้อพยพโยกย้ายประชากรจากหัว
เมืองเหล่าน้ัน ให้ไปตั้งถ่ินฐานในท่ีแห่งใหม่ รวมทั้งหัวเมืองในภาคใต้ตอนบน
เชน่ นครศรีธรรมราช ไชยา เปน็ ตน้
เมอื่ ชา่ งทอผา้ ชาวมลายู ซง่ึ มฝี มี อื ในการทอผา้ ยกไดเ้ ขา้ มาอาศยั ณ เมอื ง
นครศรธี รรมราช เมืองไชยา และหวั เมืองอนื่ ในภาคใต้ตอนบน ช่างทอเหล่านนั้
จึงได้รับหมอบหมายจากทางราชการให้เป็นผู้ทอผ้ายกเพ่ือใช้ในราชการ ตาม
ความถนัดอันติดตัวมาแต่เดิมภายใต้การควบคุมดูแลของสยาม โดยมิต้องเสีย
เวลาในการเรียนรู้หรือฝึกสอนข้ึนใหม่ เม่ือสมทบเข้ากับช่างทอท่ีมีอยู่เดิม จึง
เกิดการศึกษาเรียนรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีการทอผ้ายกให้แก่กัน ช่างทอชาว
สยามได้เรียนรเู้ ทคโนโลยหี ลายประการจากชา่ งทอชาวมลายู ซึง่ เป็นเทคโนโลยี
ทมี่ คี วามสลบั ซบั ซอ้ นและเออ้ื อ�ำ นวยใหท้ อผา้ ยกไดว้ จิ ติ รพสิ ดารกวา่ แตก่ อ่ น จงึ
สง่ ผลใหก้ ารทอผา้ ยกในบรเิ วณภาคใตต้ อนบนในระยะเวลาดงั กลา่ วเฟอื่ งฟอู ยา่ ง
สุดขีด
การส่ังทอหรือเกณฑ์ทอผ้ายกจากหัวเมืองในบริเวณคาบสมุทรภาคใต้
ตอนบน เพ่ือน�ำ ไปใชใ้ นกิจการของราชส�ำ นักสยาม และการซื้อหาผา้ ยกมาไวใ้ น
คูม่ ือท่องเท่ียวทางวฒั นธรรม 41
ครอบครองในหมู่ชนชั้นสูงในสังคมไทยเมื่อครั้งอดีตน้ัน ล้วนแต่เพื่อตอบสนอง
รูปแบบวัฒนธรรมการแต่งกายแบบสังคมเมืองหลวง ซึ่งได้สืบทอดปรัชญาแนว
ความคิดและประเพณีนิยมท่ีมีจุดกำ�เนิดมาจากสังคมยุคกรุงศรีอยุธยาแทบทั้ง
สิ้น ข้อมูลเอกสารและหลกั ฐานเปน็ ผืนผา้ ยกจำ�นวนมาก ท�ำ ใหส้ ันนษิ ฐานไดว้ า่
ราชสำ�นักสยามและผู้คนในสังคมไทย ได้นำ�ผ้ายกเหล่านั้นมาใช้งาน ดังต่อไป
นี้ ผ้านุ่ง ผ้าห่ม ผ้าคาดเอว ผ้าเช็ดปาก ผ้าสำ�หรับตัดเส้ือ และตัดเย็บเป็น
สง่ิ ของเคร่อื งใชอ้ ื่น ๆ เชน่ หมวก หมอน ถลกบาตร ยา่ มพระภิกษุ ถุง ล่วม ผ้า
หอ่ คัมภีร์ เปน็ ตน้
แม้ว่าผ้ายกในพื้นที่ภาคใต้ตอนบนในช่วงต้นนกรุงรัตนโกสินทร์ จะ
ทอขึ้นเพ่ือตอบสนองรูปแบบวัฒนธรรมการแต่งกาย และวิถีชีวิตตามแบบ
อย่างวัฒนธรรมสยามก็ตาม แต่ช่างทอผ้ายกมลายูก็มีส่วนเป็นอย่างมากในการ
สร้างสรรค์ให้ผ้ายกภาคใต้ มีความโดดเด่น เป็นงานประณีตศิลป์ช้ันสูงท่ีขึ้นชื่อ
ลอื ชาของเมอื งพระราชอาณาจกั ร และเปน็ มรดกทางวฒั นธรรมทที่ รงคณุ คา่ สบื
เนื่องมาจนกระทั่งสมัยปัจจุบัน ด้วยเป็นท้ังแรงงานกำ�ลังสำ�คัญในการผลิต ท้ัง
ยังเป็นผู้นำ�เทคโนโลยีที่มีความสลับซับซ้อนและเอื้ออำ�นวยให้ทอผ้ายกได้วิจิตร
พิสดารกวา่ แต่ก่อนมาแลกเปลย่ี นเรยี นร้กู บั ชาวสยาม
ผา้ ยกเมอื งไชยา ซงึ่ เปน็ ทร่ี จู้ กั ในชน้ั หลงั อยา่ งกวา้ งขวางในชอ่ื ของ “ผา้
ยกพุมเรียง” จึงเป็นมรดกทางวฒั นธรรมที่เปน็ เครอ่ื งสะท้อนถงึ ความปรองดอง
การอยอู่ าศยั รว่ มกนั อยา่ งถอ้ ยทถี อ้ ยอาศยั ของชาวสยามผเู้ ปน็ ผอู้ ยอู่ าศยั ในพนื้ ที่
มาแต่เดมิ และเปน็ เจา้ ของวฒั นธรรมกระแสหลัก กบั ชาวมลายูท่อี พยพยา้ ยถิน่
มาในภายหลงั อนั เนอื่ งมาจากการศกึ สงครามระหวา่ งสยามกบั เมอื งมลายู ถอื ได้
วา่ เปน็ ตัวอย่างการสอดประสาน ร้อยรัดทางวัฒนธรรม ของศตั รคู ู่ศึกสงครามท่ี
กลบั กลายเป็นมติ รและแสดงออกมาผา่ นผืนผา้ ไดอ้ ยา่ งงดงามน่าชืน่ ชม
42 คมู่ ือท่องเทย่ี วทางวฒั นธรรม
ค่มู อื ทอ่ งเที่ยวทางวฒั นธรรม 43
44 คมู่ ือทอ่ งเท่ียวทางวฒั นธรรม
ค่มู อื ทอ่ งเที่ยวทางวฒั นธรรม 45
46 คมู่ ือทอ่ งเท่ียวทางวฒั นธรรม
ค่มู อื ทอ่ งเที่ยวทางวฒั นธรรม 47
มวยไชยา” ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ ศลิ ปะการตอ่ สแู้ หง่ ดนิ แดนศรวี ชิ ยั
มวยไชยา เป็นศิลปะการต่อสู้ประจำ�ถ่ินของอำ�เภอไชยา จังหวัด
สุราษฎร์ธานี มีช่อื เสยี งมาครง้ั แต่อดตี รงุ่ เรอื งที่สุดในสมยั รัชกาลที่ 5 - 6 มี
การชกถวายหน้าพระท่ีนั่ง ผู้ชนะจะได้รับ “เหรียญตราหัวเสือ” และได้รับ
พระราชทานบรรดาศกั ด์เิ ป็น “หมนื่ ”
มวยไชยามีที่มาจาก “พ่อท่านมา” แห่งวัดทุ่งจับช้าง ตำ�บลพุมเรียง
อ�ำ เภอไชยา เหตทุ ม่ี วยของพอ่ ทา่ นมามชี อื่ เรยี ก ตดิ ปากวา่ “มวยไชยา” นนั้ สบื
เนือ่ งจากหน่งึ ในลกู ศษิ ยข์ องท่านเป็นบคุ คลสำ�คัญของเมืองไชยา คือ พระยาวจี
สตั ยารกั ษ์ (ข�ำ ศรียาภยั ) เจา้ เมอื งไชยานัน่ เอง
เอกลักษณ์ของมวยไชยาทโี่ ดดเดน่ ตา่ งจากมวยถิ่นอน่ื ได้แก่ การตั้งท่า
มวยหรอื การจดมวย ทา่ ครหู รอื ทา่ ยา่ งสามขมุ การไหวค้ รรู า่ ยร�ำ การพนั มอื แบบ
คาดเชอื ก และการแตง่ กาย สว่ นทา่ แมไ่ มม้ วยไทยหลกั ทสี่ �ำ คญั ไดแ้ ก่ การปน้ั หมดั
พนั แขน พนั หมดั กระโดดตบศอก พนั หมดั พลกิ เหลย่ี ม เตน้ แรง้ เตน้ กา ยา่ งสามขมุ
ส�ำ หรับทา่ มวย ทีส่ รา้ งความโดง่ ดงั ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้
อยหู่ ัว คือ ท่าเสือลากหาง ของหมนื่ มวยมชี ่อื นายปลอง จำ�นงทอง
48 คมู่ อื ท่องเทีย่ วทางวฒั นธรรม