The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sungsinchai_cee, 2022-03-08 08:01:21

ในเวลา

ในเวลา

รายงาน
การวเิ คราะห์และวิจารณว์ รรณกรรม

โดย
นางสาว มญั ธรตั น์ เดชอรัญ

เสนอ
คณุ ครู ปาริชาต นวลวจิ ิตร
รายงานฉบบั น้ีเป็นส่วนหน่ึงของรายวชิ า ภาษาไทย

โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลยั กระบ่ี

ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศกึ ษา 2564



รายงาน
การวิเคราะหแ์ ละวิจารณว์ รรณกรรม

โดย
นางสาว มญั ธรตั น์ เดชอรัญ

เสนอ
คณุ ครู ปาริชาต นวลวจิ ิตร
รายงานฉบบั น้ีเป็นส่วนหน่ึงของรายวชิ า ภาษาไทย

โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลยั กระบ่ี

ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศกึ ษา 2564

คานา
รายงานฉบบั น้ีเป็นรายงานเพือ่ ประกอบการเรียนในรายวชิ า วรรณกรรมปัจจุบนั ของนกั เรียน
มธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 6/4 โรงเรียนกาญจนาภเิ ษกวิทยาลยั กระบี่ โดยมีจดุ ประสงคเ์ พื่อการศึกษาเรียนรู้จากการคดิ
วเิ คราะห์และวจิ ารณข์ อ้ มลู ซ่ึงเป็นเน้ือหาของหนงั สือวรรณกรรม เรื่อง ในเวลา ในเน้ือหาจะมีหัวขอ้ ต่างๆ
ในแต่ละบทกวี เช่น เน้ือหา กลวิธีในการแตง่ เป็นตน้
"ในเวลา" เป็นบทกวีนิพนธท์ ่ีแสดงความคดิ แหลมคมดว้ ยเน้ือหาหลากหลาย โดยกวีสามารถจบั
จงั หวะลลี าของ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย มาเรียงร้อยใหเ้ ห็นอจั ฉริยลกั ษณ์ของกวนี ิพนธ์ไทยอย่าง
ช่าชอง สร้างจนิ ตภาพ กระทบอารมณ์ และใหค้ วามรู้สึกลึกซ้ึง กวใี ชเ้ วลาเป็นกรอบนาเสนอความคดิ ท่ีว่า
สรรพส่ิงลว้ นเวยี นว่ายอยู่ในมิตขิ องกาลเวลา มนุษยต์ อ้ งตอ่ สู้กบั การเปลย่ี นแปลงอนั เป็นสัจจะของโลกและ
ชีวิตอยตู่ ลอดเวลา มนุษยก์ บั เวลาเป็นส่วนหน่ึงของกนั และกนั อยา่ งกลมกลืนจนไม่อาจแยกจากกนั ได้

"แรคา ประโดยคา" ปลุกเร้าจิตสานึกใหผ้ ูอ้ า่ นเห็นวา่ ทา่ มกลางกระแสแห่งกาลเวลาและมายาคติ
ในโลกปัจจบุ นั น้นั การมมี โนสานึกอนั ประณีต จะทาให้มนุษยส์ ามารถสัมผสั ความละเอยี ดอ่อนของสรรพ
ส่ิงท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ชีวติ ได้ หากปราศจากการตระหนกั ในมโนสานึกอนั ประณีตน้ีแลว้ มนุษยก์ ็จกั ถูกกลืนกิน
ดว้ ยกาลเวลา กวีให้ฉุกคิดและหวนกลบั มามองโลก มองชีวติ ดว้ ยความมีสติ สุขุมรอบคอบ ดว้ ยจติ ใจท่รี ูเ้ ทา่
ทนั ความเปล่ยี นแปลงของโลก และกาลเวลา...

นางสาว มญั ธรตั น์ เดชอรญั
วนั ท่ี 20 มกราคม 2565

สารบญั

คานา
สารบญั
ประวตั ิผแู้ ตง่
บทวิเคราะห์หนงั สือ
บทวิเคราะหก์ วนี ิพนธ์ ยึดพยงุ
บทวิเคราะหก์ วีนิพนธ์ ดุษณีสงั เวย
บท ขอพร
บท ปลอบตน
บทวเิ คราะห์กวีนิพนธ์ อาภรณ์ตน
บท ลาทกุ ขถวิล
บรรณานุกรม

ประวตั ผิ ้แู ต่ง

แรคำ ประโดยคำ เป็นนามปากกาของ รองศำสตรำจำรย์ สุพรรณ ทองคล้อย เกดิ เม่ือปี ๙ มกราคม
พ.ศ.๒๔๙๖ ที่จงั หวดั จนั ทบุรี ไดร้ ับปริญญาศลิ ปศาสตรบณั ฑติ (ภาษาไทย) จากมหาวิทยาลยั เชียงใหม่ และ
ปริญญาอกั ษรศาสตรมหาบณั ฑิต (วรรณคดี) จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั
เคยรบั ราชการอยู่ท่ีจงั หวดั ขอนแก่น ปัจจบุ นั รบั ราชการตาแหน่งรองศาสตราจารย์ ประจาภาควชิ าภาษาไทย
คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ และในปลายปี ๒๕๓๘ เดินทางไปสอนภาษาไทยใหก้ บั นกั ศกึ ษา
เยอรมนั ในภาควชิ า ภาษาเอเซียตะวนั ออกเฉียงใต้ มหาวทิ ยาลยั ปัสเซา ( University of Passau)
รัฐบาวาเรีย

ผลงำนที่ตพี มิ พ์แล้ว
๑.แรคา (๒๕๒๘) รางวลั กวนี ิพนธ์ดีเด่น จาก และเขา้ รอบสุดทา้ ยรางวลั ซีไรต์
๒.ลานชเล (๒๕๓๓) รางวลั ชมเชยกวนี ิพนธ์ ๒๕๓๔ จากคณะกรรมพฒั นาหนงั สือแห่งชาติ
๓.ดนิ น้า ลม ไฟ (๒๕๓๕) เขา้ รอบสุดทา้ ยรางวลั ซีไรต์
๔.น้าพุรุ้ง (๒๕๓๘) เขา้ รอบสุดทา้ ยรางวลั ซีไรต์
๕.อุตระ (๒๕๔๐) นิยายเร่ืองแรก
๖.ในเวลา (๒๕๔๑) รางวลั ซีไรต์
๗.ไฟต่อฝนั (๒๕๔๒) ความเรียง

ในเวลำ
หนังสือซีไรต์ (กวีนพิ นธ์) ปี ๒๕๔๑
ผ้แู ต่ง: แรคำ ประโดยคำ
พิมพ์คร้ังแรก : สำนักพมิ พ์รูปจันทร์
พมิ พ์คร้ังล่ำสุด: สำนักพมิ พ์ผจญภยั

เน้ือหาของบทกวี บรรยายถึงภาวะภายในของคนเม่ือเผชิญกบั ส่ิงเร้ารอบๆ ตวั แลว้ มกี าร
ตอบสนอง “ในเวลา” เริ่มตน้ ดว้ ยเวลาค่า ตามมาดว้ ยเวลาดึก สาย บ่าย เยน็ แลว้ จบลงดว้ ยเวลาพลบคา่ อีกคร้งั
เทียบเวลาวนั หน่ึงเปรียบเทยี บกบั ชว่ งชีวติ ของคนท่ีผา่ นช่วงเวลาตา่ งๆ รอ้ นหนาวเชน่ กบั ดวงอาทติ ย์ เร่ิม
ตอนรุ่งอรุณสู่เทีย่ งจนถงึ เวลาเยน็ แลว้ “ดบั แลว้ ลาสารพดั ” ในเวลาคา่ หนงั สือรวมบทกวนี ิพนธ์ ในเวลา

แสดงความคดิ เหน็ ไดอ้ ย่างหลกั แหลม ดว้ ยเน้ือหาหลากหลาย โดยกวีสามารถจบั จงั หวะลีลาของโคลง
ฉนั ท์ กาพย์ กลอน ร่ายมาเรียงร้อยใหเ้ ห็นถงึ ความเช่ียวชาญของกวีอย่างช่าชอง สรา้ งจินตภาพกระทบ
อารมณแ์ ละให้ความรูส้ ึกลึกซ้ึงแกผ่ อู้ ่าน

วิเคราะห์จุดเด่นใน กวนี ิพนธ์ “ยึดพยุง” จากหนงั สือ “ในเวลา”
ผปู้ ระพนั ธ์ “แรคา ประโดยคา” กวีนิพนธ์รางวลั ซีไรตป์ ระจาปี พ.ศ. ๒๕๔๑
๑. ชนิดคาประพนั ธ์ : ร่าย
๒. เน้ือหา :
เน้ือหาของกวีนิพนธ์เป็นการพรรณนาเหตกุ ารณท์ ่ี ญาติๆท้งั หลายกาลงั รุมลอ้ ม เฝา้ ดู เด็กนอ้ ยหดั เดนิ ซ่ึงผู้
เป็นแมก่ ็พยายามประคบั ประคอง พยงุ ให้เดก็ นอ้ ยลุกเดิน ในการเดนิ คร้ังแรกเด็กนอ้ ยลม้ ลง ร้องไห้อยา่ งเสีย
ขวญั แตก่ ็มีแมค่ อยปลอบประโลม เด็กนอ้ ยจงึ กลา้ ทีจ่ ะลกุ ยนื ข้ึนเดินโดยมีคอยพยงุ กาย เด็กนอ้ ยค่อยๆกา้ วไป
ทีละกา้ ว กา้ วต่อกา้ ว กา้ วไปขา้ งหนา้ อย่างไมห่ ยดุ ยง้ั เพ่อื ไปยงั ประตูทางออกสู่โลกภายนอก และทนั ใดน้นั
เดก็ นอ้ ยก็สะดดุ ทา่ มกลางเสียงรอ้ งของทุกคน ทนั ใดน้นั หญิงชรากถ็ อื ไมเ้ ทา้ เดินเขา้ ไม้ เดก็ นอ้ ยควา้ เอาไม้
เทา้ ของยายแกป่ ระหน่ึงจะยึดไวเ้ ป็นของตวั เอง ส่วนหญิงชรากย็ ึดไวเ้ ทา้ ไวม้ งั่ ดงั สมบตั สิ ุดรกั สุดหวง ตา่ ง
ฝ่ายต่างจอ้ งมองตา โดยไมย่ อมปล่อยไมเ้ ทา้
๓. จุดเด่นของบทกวีนิพนธ์เร่ือง “ยดุ พยงุ ”
๓.๑. เน้ือหาและรูปแบบการประพนั ธ์มคี วามเหมาะสมกนั

ดว้ ยเน้ือหาที่กวนี าเสนอเป็นเหตุการณท์ ่แี ม่ และญาติๆท้งั หลายกาลงั เฝ้าดู ลกู หรือ หลานของตน
หัดเดนิ เป็นคร้ังแรก จงึ นบั ว่าเป็นเหตุการณท์ ่ตี น่ื เตน้ ลุน้ ไปกบั การต้งั ไข่ของเด็กนอ้ ย ดงั น้นั การที่
ผปู้ ระพนั ธ์ใชร้ ูปแบบการประพนั ธ์ประเภทร่าย จงึ ชว่ ยใหช้ ว่ ยเร้าอารมณ์ของผอู้ ่านให้ต่ืนเตน้ ไปกบั
เหตกุ ารณ์ทเ่ี กิดข้ึน เพราะลกั ษณะของคาประพนั ธป์ ระเภทร่าย เป็นคาประพนั ธ์ที่ใชส้ าหรับพรรณนาเน้ือหา
ท่ีรวดเร็ว เพ่ือสรา้ งความต่นื เตน้ ให้กบั เน้ือหา การทผี่ ปู้ ระพนั ธ์นาร่ายมาใชจ้ งึ ช่วยให้ผูอ้ า่ นเขา้ ถึงอารมณ์

ความรูส้ ึกของตวั ละครไดม้ ากยิ่งข้ึน มองเห็นภาพไดอ้ ยา่ งชดั เจน ทาใหม้ ีอารมณ์ร่วมเป็นหน่ึงเดียวกบั บท
กวีนิพนธ์ มองเหน็ คณุ ค่าในวรรณกรรม ทาให้กวีนิพนธ์ชิ้นน้ีมคี วามหมายต่อผอู้ า่ น
๓.๒.ใชภ้ าษา

๓.๒.๑ ส่ือสารความดว้ ยความประณีตบรรจงอย่างงดงาม และเกดิ ความชดั เจน

เม่อื พิจารณาบทกวีนิพนธ์แลว้ พบวา่ ผูป้ ระพนั ธ์สามารถใชภ้ าษาส่ือสารไดช้ ดั เจน ทาใหผ้ อู้ า่ นเขา้ ใจเน้ือหา
โดยเลือกสรร ถอ้ ยคาที่มคี วามเหมาะสมกบั เน้ือหา เชน่ ใชค้ าวา่
- กมุ าร แทนการจะใชค้ าว่า ลูก
- อดุล ซ่ึงหมายถึง ไม่มอี ะไรเปรียบเทา่ เม่ือกว่าถึงเดก็ ซ่ึง สื่อใหเ้ หน็ ถงึ ความสาคญั ของเดก็ ผูน้ ้นั
- เปาะเปาะแปะแปะ เลียนเสียงปรบมือ ซ่ึงชว่ ยใหบ้ ทกวมี ีความสมจริงมากยง่ิ ข้ึน
- หวดี รอ้ ง แสดงใหเ้ หน็ ถึงอาการตกใจอยา่ งมาก

- สีหนา้ เหย เพ่ือบอกถงึ สีหนา้ ของเด็กนอ้ ยเมอื่ ลม้ ลม และตกใจกบั เสียงหวดี รอ้ ง ทาให้เหน็ ภาพไดอ้ ยา่ ง
ชดั เจน วา่ เด็กนอ้ ยมีสีหนา้ ท่ีไม่ดี หวาดกลวั ขาดความมน่ั ใจ
- ตาสีน้าขา้ ว เมอ่ื กลา่ วถึง หญิงชรา ซ่ึงเป็นลกั ษณะของคนแก่เฒ่าทว่ั ไปท่ีดวงตาฝ่าฝาง ตาทีเ่ คยดาขลบั ก็
กลบั กลายเป็นสีข่นุ มวั เหมือนสีน้าขา้ ว
- ตาสีใสน้านิลขลบั เมื่อกลา่ วถึง ดวงตาของเด็กนอ้ ย ซ่ึงโดยปกติเดก็ มกั จะมีดวงตาทใี่ ส ตาดาขลบั เป็น
ประกาย
จะเหน็ ไดว้ า่ ผปู้ ระพนั ธม์ ีความประณีตในการเลอื กสรรคา บางคร้ังใชค้ าส้ันๆ แต่ความหมายกินใจ ส่ือ
ความหมายไดช้ ดั เจน ใชค้ าเปรียบเทียบเพือ่ ใหผ้ ูอ้ ่านเกิดจินตภาพ เลยี นเสียงธรรมชาตเิ พอื่ ความสมจริง
เน้ือหามีนยั สาคญั ท่ใี หผ้ ูอ้ ่านไดต้ ีความอยูต่ ลอดเวลา

๓.๒.๒.ใชภ้ าษาจบั ใจผอู้ า่ นในทางความหมาย โดยอาศยั ความหมายของถอ้ ยคา
คาท่ผี อู้ า่ นเลือกมาลว้ นเป็นคาทีม่ คี วามหมายลึกซ้ึง เป็นตวั แทนของส่ิงทผ่ี ปู้ ระพนั ธต์ อ้ งการกล่าวถงึ ไดเ้ ป็น
อยา่ งดี เมอ่ื อ่านแลว้ ทาให้ผูอ้ า่ นสมั ผสั ไดถ้ งึ ความงามในภาษา เช่น
- ฟมู ฟักทะนุถนอม เป็น คาท่แี สดงถึงความรักของพอ่ แม่ ที่เล้ียงดลู กู ดง่ั ไข่ เพราะ ไข่น้นั ตอ้ งใชเ้ วลาในฟัก
เพอื่ ใหเ้ กิดมาเป็นตวั แต่ เด็กนอ้ ยผนู้ ้ี แมจ้ ะเกดิ มาเป็นตวั เป็นตนแลว้ กย็ งั คงไดร้ ับการดแู ลอย่าทะนุถนอด
เชน่ น้นั อยเู่ สมอ
- เกษม หมายถึง ความสุข ซ่ึงพอ่ แมไ่ ดย้ ินเสียงลกู แมเ้ พยี ง ออ้ แอ้ คาวา่ เกษมให้ความหมายไดล้ กึ ซ่ึงกินใจ

มากกว่า คาวา่ สุข เพราะความสุขน้ี เกิดข้นึ ต้งั แต่เบ้อื งลกึ ของจิตใจ สรา้ งความชุ่มฉ่าใหแ้ กช่ ีวิต
- ดวงดรุณมาศ ซ่ึงเป็นคาที่ใชเ้ รียก เดก็ นอ้ ย แสดงถงึ ความมคี า่ ของเดก็ ผูน้ ้นั ดรุณหมายถึง เด็ก มาศ ถงึ ทอง
และดวง มกั ใชก้ บั ส่ิงท่ีมคี า่ เชน่ ดวงแกว้ ดวงดรุณมาศ จงึ เป็นคาที่หมายถงึ เดก็ อนั มีคา่ เป็นทีร่ กั ของพ่อ
แม่

- มธุรส หมายถึง น้าผ้ึง หรือรสหวาน ในทน่ี ้ี หมายถงึ คาพูดปลอบประโลมของแม่ หลงั จากทเ่ี ด็กนอ้ ยลม้
ลงเสียขวญั ซ่ึง สื่อความหมายถึงถอ้ ยคาทมี่ คี วามไพเราะ ออ่ นหวาน เมตตา เตม็ เป่ี ยมไปดว้ ยความรกั และ
กาลงั ใจ
- พินิจ หมายถงึ การเพง่ ดูเพือ่ พจิ ารณาใหแ้ น่ชดั เพอื่ สื่อใหเ้ หน็ ถึงพฤตกิ รรมของตวั ละครในขณะน้ัน ว่า
กาลงั ทาอะไร และมีความรูส้ ึกอยากไร ซ่ึงอาการพนิ ิจน้ีเป็นอาการของหญงิ ชราทก่ี าลงั พินิจดูว่า ใครมาจบั
ไมเ้ ทา้ ของนาง นางตอ้ งพนิ ิจ เพราะดว้ ยความฝ่าฟางจากดว้ ยตาที่ใชง้ านมานาน ดว้ ยความหวงแหนไมเ้ ทา้ ที่
ใชพ้ ยงุ ร่าง
จะเหน็ ไดว้ า่ คาแต่ละคาทผ่ี ปู้ ระพนั ธ์คดั สรรมาน้นั ลว้ นแลว้ แตเ่ ป็นคาทใ่ี ห้ความหมายไดเ้ หมาะสมกบั
เน้ือหา ถา่ ยทอดอารมณค์ วามรูส้ ึกของตวั ละคร และเหตุการณใ์ นเรื่องไดเ้ ป็นอย่างดี คาแต่ละคาชวนใหน้ ึก
คดิ นึกฝนั เนื่องจากคาที่ผปู้ ระพนั ธเ์ ลือกใชน้ ้นั มกั เป็นคาเปรียบเทยี บ คาเลยี นเสียงธรรมชาติ และ คาแสดงก
ริยาอาการ ทาให้ผอู้ า่ นเกดิ จินตนาการถึงภาพทก่ี าลงั เกดิ ข้ึน โดยมีคาเหล่าน้ีเป็นเสมือนสะพานเชื่อมต่อ
ระหวา่ งความคดิ ของอ่านและผปู้ ระพนั ธ์ คาทท่ี าให้ชวนนึกคิด นึกฝนั ไดแ้ ก่
- พึมพึมพา , งึมงา เป็นการเลยี นเสียงธรรมชาติ คอื เสียงของบรรดา ญาตๆิ ท้งั หลายพดู คุยกนั
- ประดุจยอดอ่อนเครือวลั ยอ์ นั แตกต้งั เควง้ ฟ้าตอ้ งวายุพดั ซ่ึงเป็นการเปรียบเทยี บ อาการของเดก็ นอ้ ย
หลงั จากทสี่ ะดุด กบั ยอดอ่อน เครือวลั ย์ เพราะเมื่อ เครือเถาวลั ยใ์ ดเมอื แตกยอดออ่ น กจ็ ะยงั ไม่ไดไ้ ปเกาะ
เกีย่ วกบั สิ่งใดไว้ เพียงแตช่ ยู อดข้นึ เมื่อถูกลมก็จะโอนเอนดง่ั จะหาทย่ี ดึ เหน่ียว เหมือนกบั เดก็ นอ้ ยเมือ่ สะดดุ
ลม้ ก็โอนเอนไปมา หาที่ยึดเกาะเพ่ือเป็นหลกั ไมไ่ ดล้ ม้ การเปรียบเทยี บของผปู้ ระพนั ธ์ในตอนน้ี จงึ นบั วา่ มี
ความสมจริง ทาใหผ้ ูอ้ า่ นนึกภาพตามได้ ส่ิงที่ผูป้ ระพนั ธ์นามาเปรียบน้นั เมือ่ พิจารณาแลว้ พบวา่ นอกจากจะ
มอี าการเดียวกบั เด็กนอ้ ยในขณะน้ันแลว้ ยงั เป็นตวั แทนของเดก็ นอ้ ย
ไดเ้ ป็นอยา่ งดี เพราะ เครือวลั ยน์ ้นั ตามธรรมชาติมกั มลี กั ษณะทีอ่ อ่ น และยิ่งเป็นยอดของเครือวลั ยด์ ว้ ยแลว้ ก็
ยง่ิ บอกบางย่ิงนัก ดงั น้นั จงึ เหมาะสมท่จี ะนามาเปรียบกบั เด็กนอ้ ย ที่มีความบอบบาง และ ออ่ นแอ
เสียงของคามคี วามไพเราะ เนื่องจากกวีเลอื กใชค้ าทีม่ สี มั ผสั คลอ้ งจองกัน
“ปำงน้นั อันว่ำดวงอดุลดรุณแก้วกมุ ำร ผ้เู รื่อยเรื่อยจำเริญสำรำญยิ่งผ้ใู ดในเหย้ำรัก
ด้วยนำนำฟกู ฟักทะนุถนอมพร้อมพะนอแห่งพ่อแม่ เจ้ำอ้อแอ้ออกสำเนยี งเพยี งเกษมสุข...”

๓.๓ ถ่ายภาพเขา้ ไปในใจของผอู้ ่าน
จากการใชค้ า ใชภ้ าษาท่ไี ดอ้ ธิบายไวข้ า้ งตน้ ในขอ้ ๓.๒. ทาใหผ้ ูอ้ า่ น สามารถเหน็ ภาพในบทกวีได้

อย่างชดั เจน ต้งั แตภ่ าพของพอ่ แม่ ญาตพิ ีน่ อ้ ง รุมลอ้ มดู เด็กนอ้ ยเพยี งคนเดยี วกา้ วเดนิ ภาพของเด็กนอ้ ย
พล้งั พลาดลม้ ลง ความตระหนกตกใจของผใู้ หญ่ ความอาทรของมารดา ภาพความการกา้ วเดนิ ท่มี มุ านะ
ของเด็กนอ้ ย ภาพของเด็กนอ้ ยเสียหลกั ภาพของเดก็ นอ้ ยและหญงิ ชรายอื้ ยดึ ไมเ้ ทา้ มาเป็นของตนเอง ภาพ
ต่างๆเหล่าน้ีลว้ นแลว้ แต่สามารถถา่ ยทอดเขา้ ไปสู่ใจของผูอ้ า่ นไดท้ กุ ฉาก ทกุ ตอน อย่างชดั เจน

ทาใหผ้ ูอ้ า่ นเขา้ ใจเน้ือหาเบ้อื งตน้ ทผี่ ปู้ ระพนั ธ์นาเสนอ ส่วนแกน่ แทจ้ ากสาระในเรื่องเป็นส่ิงที่ผูอ้ ่าน
ตอ้ งตคี วามอกี ต่อหน่ึง ข้นึ อยู่กบั ประสบการณ์ ฐานความรู้ด้งั เดมิ ของผอู้ ่านแตล่ ะคนวา่ จะตคี วามไดล้ กึ ซ่ึง
เพียงใด เพราะภาพท่ฉี ายข้ึนน้นั เป็นเพยี งม่านช้นั แรกเทา่ น้ัน เพราะยงั มมี มุ มองอ่นื ๆอีกที่รอให้ผูอ้ ่านเปิ ดเขา้
ไปดู แตก่ ถ็ ือวา่ ผปู้ ระพนั ธ์ประสบความสาเร็จในข้ึนตน้ ของการถา่ ยภาพเหตุการณข์ องเรื่องเขา้ ไปในใจของ
ผอู้ ่าน

๓.๔. มีเอกภาพชดั เจน
๓.๔.๑ เอกภาพของเน้ือเรื่อง
เน้ือเรื่องทเี่ สนอ เป็นเน้ือเรื่องทม่ี เี อกภาพคอื ม่งุ เสนอเพยี งจุดเดียว คอื การหดั เดินของเด็กนอ้ ย โดย

ผปู้ ระพนั ธ์ไดถ้ า่ ยทอดส่ิงทเ่ี กดิ ข้นึ ในขณะทีเ่ ดก็ นอ้ ยหัดเดนิ ความเป็นหน่ึงเดียวของเน้ือเรื่อง จงึ ทาใหเ้ น้ือ
เร่ืองมเี อกภาพ ชดั เจน

๓.๔.๒ เอกภาพของความหมาย
ความหมายของเรื่องน้ีน้นั ตามการวเิ คราะหข์ องผศู้ กึ ษาคดิ วา่ ผปู้ ระพนั ธ์ตอ้ งการม่งุ เนน้ ให้เห็นถงึ
สิ่งทีเ่ ป็นจริงตลอดของชีวิตมนุษย์ คือ
- มนุษยไ์ ม่ว่าจะเกดิ มานานเท่าใดกย็ งั ตอ้ งการส่ิงพงึ พิง
- ความยดึ ตดิ เป็นสิ่งทีเ่ กิดข้ึนมาพรอ้ มกบั มนุษยแ์ ละจะไม่หายไปถา้ ไม่รูจ้ กั ปล่อยวาง
- มนุษยต์ อ้ งการอิสรภาพ
๓.๕. ส่ือสารเชิงสญั ลกั ษณ์โดยช่วยใหเ้ กดิ จินตภาพ
กวีนิพนธบ์ ทน้ี เป็นกวนี ิพนธท์ ใ่ี ชส้ ัญลกั ษณ์ เพ่ือสื่อความหมายใหผ้ ูอ้ า่ นไดเ้ กดิ การคดิ และพยายาม
เขา้ ถงึ สิ่งทผ่ี ปู้ ระพนั ธ์ตอ้ งการนาเสนอ สญั ลกั ษณท์ ใ่ี ช้ แบง่ ไดเ้ ป็น
๓.๕.๑ สญั ลกั ษณ์ เพอื่ สื่อถงึ เน้ือหาในเร่ือง มกั จะเป็นส่ิงทผี่ ูป้ ระพนั ธ์นามาเปรียบเทียง เพ่อื
ถา่ ยทอดภาพเขา้ ไปในใจของผอู้ า่ น เช่น
- ประดจุ เครือวลั ยอ์ นั แตกต้งั เควง้ ฟ้าตอ้ งวายุ เปรียบกบั อาการซวนเซของเดก็ นอ้ ยเมือ่ เสียหลกั สะดดุ กลาง
ทาง เป็นสญั ลกั ษณ์ ของความบอกบาง ความออ่ นแอ ไมแ่ ขง็ แรง
- ราวว่าไมย่ อมใหใ้ ครชว่ งชิงสมบตั สิ ุดหวง เปรียบความความสาคญั และคุณค่าของไมเ้ ทา้ วา่ เหมอื นกบั
สมบตั ิสุดหวง เป็นสัญลกั ษณ์ของการยึดตดิ
- ตาสีขุ่นน้าขา้ ว หมายถงึ สีดวงตาของหญิงชรา ซ่ึงเป็นสญั ลกั ษณข์ องความแกช่ รา ท่ผี ่านกาลเวลามานาน
- ตาสีใสน้านิลขลบั หมายถึง สีดวงตาของเดก็ ซ่ึงเป็นสัญลกั ษณข์ องเด็กนอ้ ยที่เพิง่ เกดิ มา
- ดวงอดลุ ดรุณแกว้ หมายถงึ เด็กนอ้ ย สญั ลกั ษณข์ องความรัก

๓.๕.๒ สัญลกั ษณเ์ พื่อสื่อถึงความหมายของเน้ือหา
เด็ก – หญงิ ชรา เป็นสญั ลกั ษณ์ ของคนในช่วงเวลำทตี่ ่ำงกนั

พ่อแม่,ญาติ เป็นสญั ลกั ษณ์ของ สภำพแวดล้อมรอบข้ำง
การเดนิ เป็นสญั ลกั ษณ์ของ ชีวิตที่ต้องก้ำวไปข้ำงหน้ำ พร้อมกบั เวลำที่ล่วงเลย
การซวนเซเป็นสัญลกั ษณ์ของ ควำมผิดพลำด
ไมเ้ ทา้ เป็นสัญลกั ษณ์ของ สิ่งที่มนุษย์ยดึ ติด ยึดถือ
๓.๖. มีความนึกคิดท่ีแสดงถงึ ความเฉียบแหลมของผแู้ ตง่

จากความหมายผา่ นสญั ลกั ษณท์ ผี่ ปู้ ระพนั ธ์ไดน้ าเสนอ น้นั คือ มนุษยเ์ รา ไม่วา่ จะอยู่ในช่วงเวลาไหนๆ
จะเกดิ ก่อนเกดิ หลงั ยอ่ มไขวค่ วา้ หาที่ยดึ เหนี่ยว ตอ้ งการ ความรัก กาลงั ใจ ตอ้ งการที่พ่งึ พงึ ท้งั ทางกายและ
ทางใจ ยึดติดในสิ่งต่างๆ ที่คดิ วา่ เป็นของตวั เอง

ดงั เชน่ ท่ี เด็กนอ้ ย และหญงิ ชราพยายามยดึ ถอื ไมเ้ ทา้ เพราะคดิ วา่ เป็นส่ิงของของตวั เอง พยายามยอ้ื
แย่งของส่ิงน้นั มา โดยไม่ไดค้ ดิ วา่ อกี ฝ่ายเป็นใคร มไิ ดค้ าถึงชว่ งอายุ เพราะความตอ้ งการน้นั มีเทา่ กนั ความ
ยดึ ตดิ น้นั มไี ม่ตา่ งกนั ดว้ ยความตอ้ งการยึดถือน้ีจงึ เป็นเหตุให้ท้งั คู่ไม่หวาดหวนั่ ท่ีจะเผชิญหนา้ แววตามฉาย
มาดว้ ยความฉุนเคอื ง ซ่ึงกนั และกัน

ท้งั ๆที่ความเป็นจริงแลว้ ส่ิงตา่ งๆที่ยึดถอื ไวล้ ว้ นแลว้ แตไ่ ม่ใชข่ องของตน เพราะไมว่ า่ จะเป็นของสิ่ง
ใดย่อมมีหนทางของตนเอง ก็ดงั เชน่ กบั เด็กนอ้ ยท่ี แม่ คอยยดึ พยงุ ช่วยเหลือ แตเ่ มื่อเด็กนอ้ ยกา้ วเดนิ ไปไดก้ ็
กา้ วต่อไปไม่หยุดยง้ั กแ็ สดงให้เห็นว่า เราไม่สามารถยึดตดิ อะไรไวไ้ ด้

ส่ิงทจ่ี ะนาความสุขมาใหค้ อื การ ปล่อยวาง การไม่ยดึ ติด ไม่ยดึ ถือ เพราะการยึดถอื รังแตจ่ ะนาความ
ทกุ ข์ มาให้ ดงั น้นั แนวความคดิ ทแี่ ฝงเรน้ มาในบทกวเี พียงหน่ึงบท กแ็ สดงใหเ้ ห็นถงึ ความคิดอนั เฉียบ
แหลมของผแู้ ลว้ แต่งทีต่ อ้ งการนาเสนอให้ผูอ้ ่านไดร้ ู้จกั คดิ และนาไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์

๓.๗. ทาหนา้ ทขี่ องวรรณกรรมไดอ้ ย่างสมบรู ณ์
- เป็นแบบอยา่ งทางดา้ นการแต่งคาประพนั ธป์ ระพนั ธ์ประเภทร่าย
- เป็นแบบอยา่ งทางดา้ นการใชภ้ าษา
ให้ข้อคดิ สอนใจ เพอื่ เป็ นแนวทำงในกำรดำเนินชีวิต

๑. ความรักของพอ่ แม่ คือ ความรกั ที่ส่งเสริมให้ลกู ก้าวไปสู่ในทางท่ดี ีท่ีสูง
๒. ทกุ คนตอ้ งการอิสรภาพ
๓. มนุษยม์ กั มีความทะยานอยาก
๔. ดาเนินชีวติ อยา่ งสติ เพราะความผดิ พลาดเกดิ ข้นึ ไดท้ ุกขณะ
๕. ทุกสิ่งลว้ นเป็นส่ิงอนิจจงั ไม่เทยี่ งแท้ เปลี่ยนแปลงไดเ้ สมอ อย่ายึดติดอะไรให้มากไป

วิเคราะหจ์ ุดเด่นใน กวีนิพนธ์ “ดุษณีสังเวย” บท “ ขอพร” จากหนงั สือ “ในเวลา”

ผปู้ ระพนั ธ์ “แรคา ประโดยคา” กวีนิพนธ์รางวลั ซีไรตป์ ระจาปี พ.ศ. ๒๕๔๑
ดุษณีสังเวย
เน้ือหา :
นบพระไตรรตั น์แกว้ พทุ ธกลั ป์
อีกสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิอนนั ต์ อเนกซ้อง
ชว่ ยขจดั ทกุ ขส์ ารพนั โสกผ่าน พน้ นอ
ดาลสุขโสมนสั ตอ้ ง ตราบสิ้นสุดสกนธ์
นบพระไตรรัตน์ มงคลปรมตั ถ์
มาดแมน้ แก่นกลั ป์ เทพไทล้ บั สถติ
ประทบั สารทิศ ศกั ด์สิ ิทธิมหันต์
เวไนยสามญั ศรัทธานิรันดร์
นอ้ มกตญั ชลี
ชว่ ยดลบนั ดาล ใหต้ นพน้ มาร
โดยดษุ ณี นฤทุกขน์ ฤโศก
นฤภยั นฤโรค พูนโภคโชคดี
สุขเกษมเปรมปรีด์ิ ตราบส้ินชีวี
อย่าห่วงอาลยั
ถอดบทประพันธ์ได้ว่ำ

การขอพร เปรียบเสมือการเริ่มบทประพนั ธ์ หรือเปรียบไดก้ บั ดารไหวค้ รู ในหนงั สือเร่ืองในเวลาได้
กล่าวบทการไหวค้ รูและการพอพรเพอ่ื เป็นบทเริ่มตน้ แสดงให้เหน็ การลาดบั เรื่อง และข้นั ตอนในการ
ประพนั ธ์ตามธรรมเนียมที่ถอื ปฏิบตั ิในการแต่งคาประพนั ธ์ ถือเป็นการเคารพในเรื่องของการแสดงออกต่อ
สิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิทีม่ ตี ามความเชื่อเดิมของคนไทยในตอนน้ียงั ดเี ด่นในเรื่องการใชค้ าเพื่อเกิดความหมายในทางที่
ดีผา่ นการเวลา

ตามความหมายของชื่อหนงั สือเล่มน้ี เวลาเป็นเครื่องแสดงความสุขเกษมตามกาลเวลาน้นั ดงั น้นั ใน
ตอนต้นน้ีจึงเป็ นตอนท่ีแสดงความหมายในทางดีและเป็นพ้ืนฐานสาคญั ของความต้องการของมนุษยท์ ี่
ประสงคอ์ ยากมีสุขในดินแดนทตี่ นอาศยั อยู่ จงึ นบั ว่าเป็นตวั แทนของการแสดงความรู้สึกและความตอ้ งการ
ของมนุษยท์ ่ชี ดั เจน
รสในวรรณคดี : พโิ รธวำธงั

วิเคราะห์จุดเดน่ ใน กวีนิพนธ์ “ดุษณีสังเวย” จากบทประพนั ธ์ “ลาทกุ ขถวลิ ” ผปู้ ระพนั ธ์ “แรคา ประโดย
คา” กวีนิพนธร์ างวลั ซีไรตป์ ระจาปี พ.ศ. ๒๕๔๑
อา้ ตนควรขม่ เศรา้ โศกภวงั ค์

กี่เจ็บจากพลาดหวงั วุ่นช้า
ควรถนอมม่ิงทรวงพลงั ลาเทวษ
ลมื เลห่ ์ทกุ ขท์ ยอยซ้า สาปสิ้นสะเทอื นตรม
อา้ ตนเคยโศก เศร้าสะเทอื นโลก
สะทา้ นอมั พร มวั แตจ่ มเจบ็
รา้ วถึงปลายเลบ็ หนาวเหน็บทินกร
อมทุกขอ์ าวรณ์ อิม่ รสร้าวรอน
อกโหยโรยรา
เหลียวมองรอบตวั อากาศอบั มวั
ไมม่ สี ร่างซา มองฟ้าไรน้ ก
สารวจหัวอก ไมไ่ ร้น้าตา
คะนองอาชา ลบั ฤทธ์ิปริศนา
จากมโนพลนั
กีค่ ร้งั ก่หี น เศรา้ เจบ็ ผจญ
ละมา้ ยแมน้ กนั ทีห่ วงั ท่ีหมาย
กหี่ วงั ท่วี าย กลายเป็นจาบลั ย์
ดอกหวงั ดอกฝัน มลายลบั นบั อนันต์
ไม่ทนั บานดี
อา้ ตนขม่ โศก วิสยั นรโลก
ยากเยน็ เป็นทวี ขม่ สุดสามารถ
รา้ วลึกประหลาด มาบาดศกั ด์ศิ รี
ฉุกใจทนั ที อนาคตยงั มี
ใช่อย่ทู ่ีภวงั ค์
รสในวรรณคดี : สัลลาปังคพิไสย
ถอดบทประพันธ์ได้ว่ำ

ธรรมดาสามญั มนุษยเ์ กิดมาย่อมประสบพบเจอกบั ความทกุ ท้งั หนกั เบา และสาหัส แต่น้นั กเ็ ป็นสาเหตุ
หน่ึงของธรรมดาสามญั โลกทมี่ นุษยต์ อ้ งพบเจอ แสดงให้เห็นสจั ธรรมความเป็นมนุษยอ์ ย่างชดั เจนว่าไม่มสี ่ิง
ใดแน่นอน เพราะทุกสรรพสิ่งตอ้ งหมนุ เวียนตามกาลเวลา ความทกุ ขย์ ่อมมีเกิดมีดบั และวนั หน่ึงย่อมมีสุข
เช่นเดยี วกนั

ในตอนน้ีจึงสอนว่าอย่าจมอยเู่ พียงแต่ในเร่ืองของความทกุ ขท์ เ่ี กดิ ข้ึนในวนั วานที่ผ่านมา มนั มิไดเ้ กดิ
ประโยชน์แก่ตนแต่อยา่ งใด แต่ความทุกขน์ ้นั หากเขา้ ใจและเรียนรู้มนั ผา่ นกาลเวลา มนั ก็ย่อมไมท่ ารา้ ยเรา
นานเหมอื นเราใจจดใจจอ่ ตอ่ ความทุกขน์ ้นั

การแสดงให้เหน็ ว่าความทุกขเ์ ป็นสิ่งทไี่ มม่ ตี วั ตนแน่นอนเพือ่ ใหเ้ ขา้ ใจวา่ มนุษยต์ อ้ งรูจ้ กั ทจี่ ะเรียนรู้
และเขา้ ใจมนั ผา่ นเวลาหน่ึงในเวลาน้นั จะสอนใหเ้ ราแขง็ แกร่งและห่างจากความทุกขไ์ ด้
ดงั คำประพันธ์
ควรถนอมมง่ิ ทรวง ฟ้ืนใจท้งั ดวง
ให้เขม้ เต็มพลงั อยา่ ทอ้ ชีวติ
มอื ตนลขิ ิต พิชิตความหวงั
อย่าให้ความหลงั มาบดมาบงั
ดอกกาลงั ใจ
ลมื เลอื นเลห่ ์ทกุ ข์ สาบตรมจมยคุ
มารยาสาไถย ประจญประจกั ษ์
ทุกอปุ สรรค ดว้ ยรกั ชิงชยั
เรียกมโนมยั คืนครองควบวยั
มุง่ ไปสู่งาน
กำรใช้โวหำรภำพพจน์ : อุปมาโวหาร ใชด้ อกไมแ้ ทนความรู้สึกและความหวงั
ถอดคำประพันธ์ได้ว่ำ

การใชด้ อกไมแ้ ทนความรูส้ ึกความหวงั และกาลงั ใจ เป็นการแสดงให้เหน็ ความเปรียบภาพพจน์ที่เป็น
ความงดงามทางภาษาในการส่ือสารออกมาอีกรูปแบบหน่ึงที่น่าสนใจ และการเปรียบเทยี บยงั เป็นกลวธิ ีที่
แสดงความงามทางภาษาอยา่ งน่าลึกซ้ึงข้นึ อยู่กบั ผูเ้ ลือกใช้ ดอกไมเ้ ป็นส่ิงที่แทนความงามผ่านกาลเวลา
เพราะฉะน้นั เร่ืองน้ีเป็นเรื่องท่ีเกีย่ วขอ้ งกบั เวลา

การแสดงความเปรียบน้ีจึงสอดคลอ้ งกบั เรื่องในเวลาและตอนดุษณีสงั เวย ไดเ้ ป็นอย่างดี จึงนบั เป็นความ
สอดคลอ้ งแง่คดิ ทงี่ ดงามทางภาษา ความหมาย และองคป์ ระกอบในการสนบั สนุนเร่ืองและช่ือบทประพนั ธ์
อยา่ งกวา้ ง
วเิ คราะห์จุดเดน่ ใน กวีนิพนธ์ “ดุษณีสังเวย” จากบทประพนั ธ์ “ปลอบตน” ผปู้ ระพนั ธ์ “แรคา ประโดย
คา” กวนี ิพนธร์ างวลั ซีไรตป์ ระจาปี พ.ศ. ๒๕๔๑
ปลอบตน
อา้ ตนอยา่ ตีบต้นื ตระหนกงาน
ผิดจาวิชชาชาญ ใชด่ อ้ ย
หวงั เกบ็ ประสบการณ์ กลกิจ น้นั นา
วนั หน่ึงจากใจคลอ้ ย คล่องรู้รกั งาน
อา้ ตนอย่าคิด ตดั พอ้ ชีวิต
พอ้ โชควาสนา อย่าร้ือราพงึ
นอ้ ยใจคานึง กระเทือนถึงอหังการ์

วบู แรงเสวงหา ไหวหวน่ั วญิ ญาณ
ลดคา่ ควบใจ
อย่าอาลยั อก เพาะดอกวติ ก
ตามยุคสมยั งานที่ไดม้ า
ไม่สมปรารถนา กเ็ หมอื นใครใคร
แต่วา่ ทา้ วยั ทา้ ทายสงสยั
ทา้ ปัญญาญาณ
ถอดบทประพนั ธ์ได้ว่ำ

ความสุขท่เี กดิ ข้นึ น้นั ไม่ไดม้ ีเสมอไม่ ไมม่ สี ิ่งใดท่ไี ดม้ าแลว้ ตรงความคาดหมายของชีวติ มนุษยท์ ุกคร้ัง
ไปแต่การผิดน้นั ไมใ่ ชค่ วามผิดหวงั ทจ่ี ะสร้างทางปิ ดก้นั ตนแต่เป็นการสรา้ งโอกาสเพอ่ื การพฒั นาท่ีทา้ ทาย
ความเป็นมนุษยแ์ ละลกั ษณะของความทา้ ทายน้ีเป็นเครื่องพสิ ูจนค์ วามมีปัญญาของมนุษยใ์ นการแกป้ ัญหา
ดา้ นตา่ งๆไดด้ ว้ ยความคนท่ีมคี ณุ ค่าอย่างแทจ้ ริง

ในตอนน้ีปรากฏคาว่า ดอกวติ ก ทีแ่ สดงว่าดอกไมท้ เี่ ป็นความเปรียบน้นั มหี ลายอยา่ ง เช่นเดยี วกบั การ
ผ่านเวลาแสดงใหเ้ ห็นว่ามนุษยน์ ้นั ตอ้ งเจอส่ิงตา่ งๆมากมายแต่สิ่งทสี่ อนมนุษยน์ ้นั คือส่ิงทมี่ นุษยไ์ ดพ้ บเอง
และเรียนรูผ้ า่ นกาลเวลา และทา้ ทายกบั อุปสรรค คือความงามของภาษาที่เปรียบเทียบไดอ้ ย่างหลากหลาย
แง่มุมของดอกไม้ เพ่อื เป็นประโยชน์ในการอธิบายเรื่องต่อเน่ืองและหลากหลายแงม่ ุมของส่ิงท่กี ล่าวถึงคอื
ดอกไมท้ งี่ ดงาม หรือมีพิษตามกาลเวลาและอปุ สรรคทีเ่ ราตอ้ งเดนิ กา้ วผา่ นไป
ไม่ตรงวชิ า ทรี่ ่าเรียนมา
อย่าฉงนฉงายนาน ผ่านจากเลา่ เรียน
ย่อมไดร้ ู้เพยี ร อา่ นเขยี นเชี่ยวชาญ
ปรบั มาสู่งาน เก็บเก่ียวประสบการณ์
เพือ่ สรา้ งตวั ตน
ตอ่ สู้ลาบาก เรียนรูเ้ รื่องยาก
ลองดสู กั หน อาจรูส้ ึกแปลก
เมอ่ื อ่านงานแตก สิ้นสุดสับสน
รูเ้ ลห่ ์แยบยล กลายเป็นรู้กล
รู้งานดว้ ยดี
งานของชีวติ ของพลงั นฤมิตร
ยอ่ มทรงศกั ด์ศิ รี ลองฝากฝีมอื
ให้คนร่าลอื หน่ึงในปฐพี
อย่าไดถ้ อยหนี อยา่ ทอ้ รอรี
กดั ฟันสูไ้ ป

ดว้ ยมอื ท้งั สอง ดว้ ยพลงั สมอง
ร่วมศกสมยั เป็นนรชาติ
ยงั เต็มสามารถ จะหวาดอะไร
ถือแทง่ เทยี นไท หมายมุ่งกาชยั
ตามวถิ งี าน
ถอดคำประพันธ์ได้ว่ำ

กจิ กรรมการงานตา่ งทเี่ ราจะทาอาจไมต่ รงกบั สายการเรียนท่ีเราเรียนรู้มาแตก่ ารเกิดเป็นมนุษยใ์ ช่สุด
เสน้ ทางเพยี งพ่งึ การเรียนอย่างเดียว ก็หาใช่ไมแ่ ต่ การเป็นมนุษยท์ ีไ่ มเ่ สียชาติเกดิ น้นั คอื การเรียนรู้งานอย่าง
เชี่ยวชาญเกิดทกั ษะเลห่ ์กลน้นั ย่อมถอื วา่ ประเสริฐกว่าการรองานท่ตี รงกบั ความตอ้ งการท่ีเราจะทา อาจเป็น
ความหวงั ทไ่ี ม่มกี ไ็ ด้

ในบทน้ีการให้กาลงั ใจเป็ นประเด็นสาคัญในการดาเนินชีวิต สัญลกั ษณ์ที่ทาให้เกิดความโดดเด่น
เชน่ เดยี วกบั หลายตอนคือเปรียบความหวงั ทีจ่ ะตอ้ งก้าวไป คือ เทียน ท่ีแสดงความเปรียบอย่างชดั เจนว่าเป็น
การสื่อความหมายที่ทาให้เกิดภาพและน่าสนใจมากข้ึน ความโดดเด่นดา้ นลีลาที่หลากหลาย และการให้
กาลงั ใจในบทประพนั ธ์เป็นการแสดงความห่วงใยที่ผา่ นมาถงึ ผูอ้ า่ นใหเ้ กิดความประทบั ใจท้งั งดงามในเร่ือง
ภาษาและความเด่นในการให้ความหมายเชิงเปรียบเทยี บและกาลงั ใจดว้ ยความหวงั ดีตอ่ มนุษย์ ที่ถือว่าเดน่
ในตอนน้ี

วเิ คราะห์จดุ เดน่ ใน กวนี ิพนธ์ “ดษุ ณีสงั เวย” จากบทประพนั ธ์ “สอนตน” ผปู้ ระพนั ธ์ “แรคา ประโดยคา” กวี
นิพนธ์รางวลั ซีไรตป์ ระจาปี พ.ศ. ๒๕๔๑
สอนตน
อา้ ตนอยา่ เกียจครา้ น คิดสบาย
กอปรกิจเต็มเพียรหมาย มงุ่ ไว้
ฟังถอ้ ยเช่ือคานาย นึกครุ่น คะนึงแล
รูเ้ พอ่ื นรู้เจริญได้ ดง่ั น้ีจกั ดี
อา้ ตนครา้ นเกียจ เป็นดง่ั เสนียด
ของทกุ ขเ์ พศวยั อยา่ ริชื่นชม
จะเผลออารมณ์ ตกจมจญั ไร
ทาลายวินยั จนสุดแกไ้ ข
นิสยั สันดาน
อย่าคิดแตส่ บาย ไขสือดดู าย
ไม่เป็นแกน่ สาร ผดั วนั ประกนั พรุ่ง
โอกาสจะรุ่ง คงอนั ตรธาน
ไมใ่ ส่ใจงาน เฉ่ือยชาอาการ
ดนู ่าเวทนา
ควรรกั กอปรกิจ เต็มเพยี รพินิจ
เตม็ สติปัญญา ใฝ่ฝนั ปัญหา
เรียนรูว้ ชิ า นอกเหนือตารา
ดว้ ยความอดทน
ถอดคำประพันธ์ได้ว่ำ

ความข้ีเกียจเป็นบอ่ เกดิ ที่จะนาไปสู่ความพงั ทลายของชีวิต ถา้ คดิ เอาสบายอย่าคิดทจี่ ะข้ีเกยี จคร้านใน
เรื่องกจิ การงานตา่ งๆ จงหมนั่ ทาดว้ ยความเพยี รและความพยายามสู่หนทางทดี่ งี าม

บทประพนั ธน์ ้นั เป็นเร่ืองราวที่มีความโดดเดน่ ในดา้ นการสอนใหม้ นุษยร์ ักในตนรักในการปฏิบตั ิงาน
ตา่ งๆ เป็นการแสดงใหเ้ หน็ ว่าผเู้ ขยี นตระหนกั ถงึ ความสาคญั ของบุคคลส่วนใหญ่ การสงั่ สอนเป็นวิธีการท่ีดี
ในการสร้างความคิดของมนุษยท์ ่ีอยรู่ ่วมโลก ดว้ ยความหวงั ดี ซ่ึงเป็นจดุ เด่นของงานประพนั ธ์น้ี
เช่ือฟ้งเจา้ นาย สอนส่ังมากมาย

จดจาใส่กมล เช่ืออย่างสร้างสรรค์
ไมห่ มางใจกนั ไมเ่ สียตวั ตน
แยกแยะเหตผุ ล คดิ หลายหลายหน
สงบเสงย่ี มทา่ ที
ในนามแห่งงาน รู้รักสมคั รสมาน
รู้ให้ไมตรี รูใ้ นกรุณา
ใครคิดอิจฉา ใครคนอปั รีย์
เพ่ือความสามคั คี เงียบไวแ้ หละดี
ไมแ่ ตกร้าวกนั

จากบทประพนั ธ์ขา้ งตน้ น้นั เป็นการสอนอกี เชน่ กนั แต่เป็นการมองโลกคนละมุมอยา่ งเขา้ ใจเพอ่ื ไมใ่ ห้
เกิดความขดั แยง้ กบั ผอู้ ื่น การอยอู่ ย่างสงบในสงั คมเป็นการแสดงใหเ้ หน็ วา่ ความหวงั ดที เี่ กดิ ข้ึนในการสั่ง
สอนทาความดีผ่านบทประพนั ธน์ ้ีจะมีทุกตอน แสดงความสามารถว่าเป็นผทู้ ม่ี ีความเขา้ ใจเกย่ี วกบั เรื่องต่างๆ
เป็นอยา่ งดี และแสดงความรู้สึกที่ดตี อ่ ผอู้ า่ น

ความเปรียบในตอนน้ีดูเหมอื นจะโดเด่นเช่นเดยี วกบั ตอนท่ีผ่านๆมา คือ การนาเสนอท่แี สดงให้เห็นว่า
ภาษางกงามและสื่อความหมายหลากหลายและกินใจ
ดงั คำประพันธ์
อา้ ตนรกั เจริญ คือรักเผชิญ
มารพษิ สารพนั ใจตอ้ งแน่นหนกั
จริงใจประจกั ษ์ สูป้ ลกั เดียดฉนั ท์
สู้แสวงแขง็ ขนั หุ้มเปลือกปัจจุบนั
ไวด้ ว้ ยอาภรณ์

วเิ คราะหจ์ ดุ เด่นใน กวีนิพนธ์ “อาภรณ์ตน” จากบทประพนั ธ์ “ลาทุกขถวลิ ” ผปู้ ระพนั ธ์ “แรคา ประโดย
คา” กวีนิพนธร์ างวลั ซีไรตป์ ระจาปี พ.ศ. ๒๕๔๑
อำภรณ์ตน
อาภรณ์ประดบั ลว้ น ลออตา
หอมกล่นิ สุคนธา ถนดั ใช้
ผูกกรย่อมนาฬิกา กรแต่ง
โทรศพั ทม์ ือถือไซร้ ส่งโกเ้ สริมกาย
อาภรณ์ประดบั บริบรู ณ์พร้อมสรรพ
ตามสมยั นิยม เส้ือผา้ ประดามี
แต่งแลว้ ดดู ี สีสนั เหมาะสม
สะอาดชวนดม สุภาพชวนชม
งดงามตามวยั
ตดิ ต่อน้นั หรือ โทรศพั ทม์ อื ถอื
เป็นส่ือบดั ดล แทบไมห่ ่างตวั
ทกุ เสียงระรวั ผวารับร้อนรน
เหมือนหลงตดิ กล ติดกายกงั วล
เกือบจะทกุ ที
สาคญั ย่ิงนกั เจริญรูปเจริญลกั ษณ์
เจริญสงา่ ราศี หลายอย่างซ้ือหา
ดว้ ยเงินผ่อนพา เสริมบารมี
ตกแตง่ อินทรีย์ บอกบุคลิกดี
สมเกยี รติสมงาน
อาภรณ์พรอ้ มสรรพ สมบรู ณ์ประดบั
อลงกตอลงการ เป็นตามสงั คม
ปรุงเปลือกภิรมย์ ไดแ้ สนพิษดาร
ปลงเปลือกชา้ นาน หลงลวงวญิ ญาณ
ตามกลอาภรณ์
ถอดคำประพันธ์ได้ดงั นี้

ในตอนสุดทา้ ยแสดงความหลงใหลของมนุษยใ์ นโลกของวตั ถุทเี่ หนือกวา่ ความเจริญทางจิตใจ

ความเป็นมนุษยย์ ่อมแปรเปลี่ยนไปตามกระแสของสังคมตามวตั ถนุ ้นั
ความสุขของมนุษยใ์ นเวลาทเี่ ปลยี่ นแปลงไปย่อมหาความสุขทางดา้ นต่างทเี่ ปลีย่ นไปในเวลาที่

เคลือ่ นตามยุคสมยั เเพ่อื แสดงความกลมกลืนกบั กระแสสงั คมน้นั ซ่ึงเป็นธรรมดาสามญั ของมนุษยใ์ นโลก
ปัจจุบนั ในการเสนอตอนจบเชน่ น้ี เพอ่ื ยึดมนุษยใ์ ห้อยู่ดว้ ยความเขา้ ใจอย่างหลงใหลในความเปล่ียนแปลง
กาลงั ใจที่มาแต่ตน้ อาจเป็นทุกขห์ ากหลงแต่เพียงอาภรณ์ภายนอกกาย

ความโดดเดน่ ดา้ นความคดิ ในหนงั สือ ในเวลา ของแรคาประโดยคาท่ผี ศู้ ึกษามองออกมา และ
สะทอ้ นให้เห็นวา่ บทประพนั ธ์ตอนดุษณีสงั เวย น้นั เป็นการแสดงให้เหน็ ว่าสิ่งท่คี วรเขา้ ใจและเลือกเคารพ
ผ่านกาลเวลาที่แปลเปลีย่ นไป
ตอ้ งเลอื กยดึ เลอื กปฏบิ ตั ิใหเ้ ป็นเพ่ือความสุขที่เกดิ ข้ึนตามมาจะอยกู่ บั เราและเตือนมนุษยต์ อนทา้ ยว่าอย่า
หลงใหลในกระแสอารยะธรรมทีเ่ ป็นวตั ถจุ นลืมความสุขทเ่ี กิดข้นึ แทจ้ ริงจากจิตใจ

บทบาทของผปู้ ระพนั ธท์ ถี่ า่ ยทอดออกมาผ่านวรรณกรรมแสดงความห่วงใยตอ่ ความเป็นมนุษย์
ร่วมโลกดว้ ยกนั ดว้ ยความเปรียบและความน่าสนใจเป็นเอกลกั ษณข์ องผปู้ ระพนั ธ์ท่ีหาไดน้ อ้ ยในการใชค้ า
ประพนั ธ์ในเรื่องน้นั แตกต่างจาก คาประพนั ธ์ท่ีเป็นทีน่ ิยมในปัจจุบนั คือ การใชโ้ คลงส่ีสุภาพ และใชก้ าพย์
สุรางคนางค์ ๓๖ เป็นบทประพนั ธใ์ นการอธิบายขยายความในโคลง นบั ว่าน่าสนใจและแปลกในดา้ นการ
ประพนั ธ์ท่ีไมไ่ ดพ้ บบ่อยนกั

บรรณานุกรม
แรคา ประโดยคา.ในเวลา.พิมพค์ ร้งั ท่ี ๒.กรุงเทพฯ :สานกั พิรูปจนั ทร์,๒๕๔๑.


Click to View FlipBook Version