เ รื่ อ ง ร า ว ข อ ง สั ต ว์
ดึ ก ดำ บ ร ร พ์
แ ห ล่ ง ที่ อ ยู่ อ า ศั ย แ ล ะ แ ห ล่ ง ที่ ม า
ต่ า ง ๆ
สัตว์
ดึกดำบรรพ์
คำนำ
เล่มรายงานนี้จัดทำขึ้นเพื่ อเป็ นส่วนหนึ่งของวิชา
เทคโนโลยียีสารสนเทศเพื่ อให้ได้ศึกษาความรู้ในเรื่องสัตว์
ดึกดำบรรพ์ เพื่ อให้ได้ศึกษาเนื้อหาได้ครบ ผู้จัดทำหวังว่า
เล่มรายงานนี้จะเป็ นประโยชน์ต่อผู้อ่านหนังสือนี้ ที่กำลังจะ
ศึกษาเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะนำหรือผิดพลาดประการใด
ผู้จัดทำขอน้อมรับไว้และอภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้จัดทำ
นายธนกร นิโรจน์
นางสาวธนัชพร แสวงการ
วันที่ 27 กรกฎาคม 2565
สารบัญ 2
4
ประวัตินกโดโด้ 6
ประวัติแมมมอธ 8
ประวัติแบรคิโอซอรัส 10
ประวัติเสือเขี้ยวดาบ 12
ประวัติเทอร์โรซอร์ 14
ประวัติเม็กกาโลดอน 16
ประวัติแอมโมไนต์ 18
ประวัติแมงดาทะเล 20
ประวัติปลาสเตอร์เจียน
ประวัติแมงกระพรุน
ประวัติ
นกโดโดDodo Bird
นกโดโด
Dodo Bird
โดโด เป็นนกท้องถิ่งที่พบได้บนหมู่เกาะมอริเชียสในมหาสมุทรอินเดีย เป็นนกที่
บินไม่ได้อยู่ในตละกูลเดียวกับนกพิราบมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Raphus
cucullatus
ในปี พ.ศ. 2048 ชาวโปรตุเกสเป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกที่พบ และเพียงในปี พ.ศ.
2224 มันก็สูพันธ์อย่างรวดเร็วโดยมนุษย์ รวมถึงสุนัขล่าเนื้อ หมู หนู ลิง ที่ถูกนำเข้า
โดยชาวยุโรป
โดโดไม่ใช่นกเพียงชนิดเดียวในมอริเชียสที่สูญพันธุ์ในศตวรรษนี้จากนกกว่า 45
ชนิดที่พบบนเกาะ มีเพียง 21 ชนิดเท่านั้นที่เหลือรอด นกสองชนิดซึ่งเป็นญาติใกล้
ชิดกับโดโดก็สูญพันธุ์ไปเช่นกัน คือ Reunion solitaire (Raphus solitarius)
ประมาณปี พ.ศ. 2289 และ Rodrigues solitaire (Pezophaps solitaria)
ประมาณปี พ.ศ. 2333 เมื่อทศวรรษ
พ.ศ. 2533 วิลเลียม จ. กิบบอนส์ นำคณะสำรวจขึ้นค้นหา
บนเขาบนเกาะมอริเชียส แต่ก็ไม่มีใครค้นพบ จึง ประกาศ
การสูญพั นธุ์อย่างเป็นทางการ
ลักษณะ
น้ำหนัก : โตเต็มที่หนักประมาณ 23 กิโลกรัม
สูง : ประมาณ 1 เมตร
2
ปแระวมัติมมอธ
Mammoth
แมมมอธ
Mammoth
ช้างแมมมอธ หรือ แมมมอธ (อังกฤษ: Mammoth) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
ตระกูลช้างที่อาศัยอยู่ในยุคน้ำแข็งเมื่อกว่า 20,000 ปีก่อน จัดอยู่ในวงศ์
Elephantidae เช่นเดียวกับช้างที่ยังดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน โดยอยู่ในสกุล
Mammuthus จำแนกออกได้ทั้งหมด 9 ชนิด (ดูในตาราง)โดยคำว่า "แมมมอธ" นั้นมา
จากคำว่า "Mammal" หรือ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
แมมมอธ กระจายพันธุ์อยู่ทั่วโลก โดยเฉพาะทวีปยุโรปและเอเชียเหนือ เช่น ไซบีเรีย
ยกเว้นออสเตรเลียและอเมริกาใต้เป็นช้างที่มีลำตัวและงาใหญ่กว่าช้างในยุคปัจจุบันมาก
ปัจจุบันจะค้นพบซากดึกดำบรรพ์ ของแมมมอธได้ในยุคไพลสโตซีน
แมมมอธ กำเนิดขึ้นมาเมื่อราว 2.6 ล้านปีก่อน ในยุคไพลโอซีนตอนต้น และสูญพันธุ์
อย่างสิ้นเชิง เมื่อ 11,700 ปีที่ผ่านมา (แมมมอธตัวสุดท้ายที่สูญพันธุ์ คือ แมมมอธแคระ
ที่อาศัยบนเกาะแรงเกล ในทะเลอาร์กติก เมื่อราว 3,700 ปีก่อน[5]) แมมมอธมีขนาดโดย
เฉลี่ย 4 เมตร (14 ฟุต) ตั้งแต่เท้าจนถึงหัวไหล่ มีสีขนที่หลากหลายตั้งแต่น้ำตาล หรือ
น้ำตาลออกเหลือง ความยาวตั้งแต่ 2.5 เซนติเมตร (1 นิ้ว) จนถึง 50 เซนติเมตร (20
นิ้ว) ภายใต้ผิวหนังหนาและมีชั้นไขมันเป็นฉนวนกันความหนาว 8 เซนติเมตร (3 นิ้ว) มี
ส่วนหัวที่กลม ใบหูเล็กกว่าช้างในยุคปัจจุบันมาก มีโหนกไขมันอยู่บริเวณส่วนหลัง มีงา
ยาวโค้งได้ถึง 13 ฟุต (4 เมตร)[1] มีฟันกรามเป็นสัน ทั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเอง
เพื่อเหมาะแก่การอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่ความหนาวในยุคน้ำแข็ง เพื่อรักษา
ความอบอุ่นในร่างกาย
แมมมอธ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อมนุษย์ในยุคหินเก่า ด้วยการล่าเอาเนื้อเป็นอาหาร
หนังและไขมันเป็นเครื่องสร้างความอบอุ่น จนมีภาพเขียนสีบนผนังถ้ำหลายแห่งที่ปรากฏ
ภาพ การล่าแมมมอธด้วยอาวุธที่ทำจากหินในยุคนั้น
4
ปรแะบวัตริ คิโอซอรัส
brachiosaurus
แบรคิโอซอรัส
brachiosaurus
แบรคิโอซอรัส (อังกฤษ: BRACHIOSAURUS) หรือ บราชิโอซอรัส เป็น
ซอโรพอดขนาดใหญ่ ลำตัวยาว 30 เมตร สูง 13-15 เมตร หนัก 78 ตัน
หรือเท่ากับช้างแอฟริกา 15 เชือก อาศัยอยู่ในยุคจูแรสซิก 200-130 ล้าน
ปีก่อน ขุดค้นพบในอเมริกาเหนือและแอฟริกา เคยเป็นซอโรพอดที่ตัวใหญ่
ที่สุดก่อนค้นพบซุปเปอร์ซอรัส อาร์เจนติโนซอรัส และ ซูเปอร์ซอรัส
ลักษณะเด่นของแบรคิโอซอรัสที่ต่างจากซอโรพอดอื่นคือ บริเวณจมูกบน
กระหม่อมมีโหนกยื่นขึ้นมาชัดเจนกว่าคามาราซอรัสหรือซอโรพอดอื่น หาง
สั้นไม่มีปลายแส้ มีขาหน้าที่ยาวกว่าขาหลัง ทำให้ตัวลาดลงแบบยีราฟ ส่ง
ผลให้ส่วนคอของแบรคิโอซอรัสตั้งชันสูงกว่า ทำให้มันสามารถหาใบไม้บน
ยอดสูงได้ดีกว่าพวกอื่น และมีประโยชน์ในการมองเห็นไดโนเสาร์กินเนื้อ
แ ต่ ไ ก ล
แบรคิโอซอรัสป็นที่รู้จักมากจากการปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่อง "จูราส
สิค พาร์ค กำเนิดใหม่ไดโนเสาร์" แต่มีข้อวิพากษ์ถึงท่าทางในภาพยนตร์ที่
มันยืน 2 ขาเพื่ อยืดตัวกินยอดใบไม้ ด้วยสาเหตุที่ส่วนคอของมันตั้งสูง
เหมาะกับการกินอาหารบนยอดไม้อยู่แล้ว ส่วนขาหลัง 2 ข้างของมันยัง
สั้นและเล็ก และสรีระทางสะโพกก็น้อย นอกจากนี้มันไม่มีท่อนหางยาว
สำหรับคานน้ำหนักเหมือนซอโรพอดวงศ์ดิปพลอโดซิเด จึงไม่น่าจะแบกรับ
น้ำหนักของร่างกายช่วงบนเวลาที่มัน "ยืน" ไหว ดังนั้นภาพที่เห็นมันยืน 2
ข า ใ น ห นั ง ก็ ไ ม่ น่ า จ ะ จ ริ ง
6
ประวัติ
เสือเขี้ยวดาบ
Smilodon
เสือเขี้ยวดาบ
Smilodon
สไมโลดอน (อังกฤษ: SMILODON) หรือ เสือเขี้ยวดาบ จัดอยู่ใน
เผ่า SMILODONTINI ในวงศ์ย่อย MACHAIRODONTINAE ของ
วงศ์เสือและแมว (FELIDAE) สไมโลดอนเป็นสัตว์ตระกูลแมวที่มี
เขี้ยวยาวที่สุดในโลก เมื่อกัดเข้าไปที่คอเหยื่อ จะทำให้เหยื่อมีโอกาส
ตายสูง แต่อย่างไรก็ตามสไมโลดอนก็ยังมีขนาดที่เล็กกว่านักล่า
ต ร ะ กู ล แ ม ว ใ ห ญ่ ทั่ ว ไ ป เ นื่ อ ง จ า ก มั น มี ข น า ด เ ท่ า กั น กั บ แ ม ว ใ น ปั จ จุ บั น
แ ต่ ข น า ด ที่ เ ล็ ก ก็ ยั ง ทำ ใ ห้ มั น วิ่ ง ไ ด้ เ ร็ ว แ ล ะ ค ล่ อ ง แ ค ล่ ว ว่ อ ง ไ ว เ ห มื อ น
กับสิงโตอเมริกา (PANTHERA ATROX) หลังจากการสูญพั นธุ์
ของไดโนเสาร์และโลกเข้าสู่ยุคของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ก็ได้มี
สัตว์นักล่าสายพั นธุ์ต่าง ๆ ปรากฏขึ้นมามากมาย โดยเสือเขี้ยว
ด า บ ถื อ เ ป็ น ห นึ่ ง ใ น สั ต ว์ เ ลี้ ย ง ลู ก ด้ ว ย น ม นั ก ล่ า ที่ โ ด ด เ ด่ น แ ล ะ
อั น ต ร า ย ที่ สุ ด ช นิ ด ห นึ่ ง ที่ เ ค ย อ ยู่ บ น โ ล ก ใ บ นี้
เขี้ยวคู่บนที่งอกยาวออกจนพ้ นริมฝีปากจะยื่นยาวและแบนเรียบ
โค้งไปทางด้านหลังคล้ายกับใบกริช[1] เขี้ยวที่ยาวนี้ช่วยให้พวกมัน
สามารถจัดการกับสัตว์กินพื ชหนังหนาในตระกูลเดียวกับแรดและ
หมู ซึ่งเริ่มกระจายพั นธุ์กว้างขวางในสมัยไมโอซีน
8
ประวัติ
เทอร์โรซอร์
Pterosauria
เทอร์โรซอร์
Pterosauria
เทอโรซอร์(อังกฤษ PTEROSAUR จากภาษกรีก"PTEROSAUROS"
หมายถึง "กิ้งก่ามีปีก") เป็นสัตว์เลื้อยคลานกลุ่มหนึ่ง ที่ชีวิตและอาศัย
อยู่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์เช่นเดียวกับไดโนเสาร์ มีลักษณะพิ เศษคือ
สามารถบินได้โดยใช้ปีกขนาดใหญ่ที่มีพั งผืดเหมือนค้างคาวเป็นอวัยวะ
สำคัญ ปัจจุบันนี้ได้สูญพั นธุ์ไปหมดแล้วพร้อมกับไดโนเสาร์
เ ท อ โ ร ซ อ ร์ จั ด อ ยู่ ใ น อั น ดั บ P T E R O S A U R I A โ ด ย มั ก จ ะ ถู ก เ รี ย ก ว่ า
" ไ ด โ น เ ส า ร์ บิ น ไ ด้ " แ ต่ ทั้ ง นี้ เ ท อ โ ร ซ อ ร์ มิ ไ ด้ จั ด ว่ า เ ป็ น ไ ด โ น เ ส า ร์ แ ต่ อ ย่ า ง ใ ด
เหมือนกับ เพลสิโอซอร์, โมซาซอร์หรืออิกทิโอซอรัส ที่พบในทะเลและ
มหาสมุทร นอกจากนี้แล้วเทอโรซอร์ยังเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่ง คือ
เทอโรแดกทิล เทอโรซอร์ถูกค้นพบครั้งแรกในรูปแบบซากดึกดำบรรพ์
ในยุคศตวรรษที่19ซากดึกดำบรรพ์ ของเทอโรซอร์พบได้ในทั่วทุก
ภู มิ ภ า ค ข อ ง โ ล ก
เทอโรซอร์ที่เก่าแก่ที่สุดถือกำเนิดในยุคไทรแอสซิกเมื่อ 228 ล้านปีก่อน โดย
บรรพบุรุษของเทอโรซอร์นั้นมีรูปร่างเล็กมาก โดยมีขนาดพอ ๆ กับนกกระจอกใน
ยุคปัจจุบัน เช่น พรีออยแดกกิลุส บัฟฟารีนีโอ ที่มีความกว้างของปีกแค่ 0.5
เมตร เชื่อกันว่าอาศัยอยู่ในป่าทึบกินแมลง เช่น แมลงปอเป็นอาหาร หรือแครีเรมัส
เซซาพลาเนนซิส ที่มีความกว้างของปีก 1 เมตร เทอโรซอร์ในยุคแรกจะมีขนาดลำ
ตัวเล็ก บางจำพวกมีหางยาว เช่น ดิมอร์โฟดอน แมโครนิกซ์ ที่มีความกว้างของ
ปีก 1.2 เมตร น้ำหนัก 1.8 กิโลกรัม มีหางยาวที่แข็ง คอสั้น หัวมีขนาดใหญ่ มีฟัน
แหลมคม และกระดูกกลวงบางส่วน ทั้งนี่เชื่อว่าเทอโรซอร์วิวัฒนาการมาจากสัตว์
เลื้อยคลานขนาดเล็ก ๆ ที่กระโดดหรือใช้ชีวิตอยู่บนต้นไม้เป็นหลักด้วยการหากิน
และหลบหลีกศัตรู
10
ประวัติ
เม็กกาโลดอน
Megalodon
เม็กกาโลดอน
Megalodon
เม็กกาโลดอน มีชีวิตอยู่ในราว 23 ถึง 2.6 ล้านปีก่อน โดยแหวกว่ายอยู่ใน
มหาสมุทรในแถบทวีปอเมริกาใต้ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เม็กกาโลดอนกิ
นอาหารโดยไม่เลือก และอาจจะกินวาฬได้ด้วย เนื่องจากมีการขุดค้นพบกระดูกวาฬที่มี
รอยฟันคล้ายรอยฟันของปลาฉลามกัด เชื่อว่าเป็นรอยฟันของเม็กกาโลดอน โดย
เหยื่อของเม็กกาโลดอนชนิดหนึ่ง คือ ออโดเบ็นโอเซ็ทออป ซึ่งเป็นวาฬในยุคก่อน
ประวัติศาสตร์ที่มีลักษณะคล้ายนาร์วาฬในยุคปัจจุบัน
ปัจจุบัน เม็กกาโลดอนได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้วราว 2 ล้านปีก่อน คาดว่าอาจเป็น
เพราะ วาฬเริ่มอพยพสู่เขตน้ำเย็น ซึ่งเม็กกาโลดอนอาศัยอยู่ได้แค่เขตน้ำอุ่นเท่านั้น มัน
ไม่สามารถเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายได้เหมือน ปลาฉลามขาว จึงไม่มีอาหารขนาดใหญ่พอ
สำหรับมัน จึงเป็นสาเหตุให้เม็กกาโลดอนเริ่มสูญพันธุ์ไปจนหมด แต่ยังเหลือปลาที่มี
ความใกล้เคียงกันที่สุดก็คือ ปลาฉลามขาว ความใหญ่และน่ากลัวของเม็กกาโลดอนทำ
ให้มีผู้นำไปสร้างเป็นนวนิยายและภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง เช่น Shark Attack 3:
Megalodon ในปี ค.ศ. 2002, นวนิยายเรื่อง Megalodon เขี้ยวมหึมาสึนามิ นวนิยาย
แนววิทยาศาสตร์สยองขวัญ โดย ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักเขียนและนัก
สมุทรศาสตร์ชาวไทย ในปี ค.ศ. 2005 หรือสารคดีทางโทรทัศน์เรื่อง Megalodon:
The Monster Shark Lives เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 ทางช่องดิสคัฟเวอรี
อย่างไรก็ดี ในปี ค.ศ. 1933 มีชายชาวอเมริกันคนหนึ่งอ้างว่า เขาได้พบเห็นปลาฉลาม
ตัวหนึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าปลาฉลามปกติทั่วไปหลายเท่า โดยพบที่มหาสมุทรแปซิฟิก
นอกชายฝั่ งของสหรัฐอเมริกา เขาอ้างว่าเฉพาะหัวส่วนของมันมีขนาดใหญ่ราว 10 ฟุต
อนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้ติดตั้งกล้องน้ำลึกเพื่อบันทึกภาพการ
กินเหยื่อของฉลาม และพบฉลามตัวหนึ่งที่มีขนาดใหญ่มาก โดยที่นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้
ว่า มันคือปลาฉลามชนิดไหน แต่อาจมีความเป็นไปได้ว่า คือ เม็กกาโลดอน (แต่มีผู้
สันนิษฐานว่า คือ ปลาฉลามสลีปเปอร์แปซิฟิก (Somniosus pacificus) ซึ่งโตเต็มที่
ยาวได้ 7 เมตร)
12
แปอระวัมติ โมไนต์
Ammonitida
แอมโมไนต์
Ammonitida
แอมโมไนต์(หอยงวงช้าง)มีชีวิตอยู่ในช่วง ไทรแอซซิค-ปัจจุบัน มีอายุ
ประมาณ350ล้านปี แอมโมไนต์นี้อยู่บนโลกมาก่อนที่จะมีไดโดนเสาร์ซะอีก มันใช้ชีวิตอยู่
ในทะเลอันดามันและในแถบมหาสมุทรอินเดีย โดยร่างกายของมันปกคลุมไปด้วยเปลือก
หลายชั้น และมีหนวดยาวเกือบ 100 เส้นใกล้ๆ กับปาก พวกมันจะใช้หนวดในการต่อสู้
และป้องกันตัวจากพวกนักล่า โดยแอมโมไนต์มีการเคลื่อนที่แบบเดียวกับปลาหมึกด้วย
การพ่นน้ำออกไปทางท่อไซฟอน ในปัจจุบันประเทศไทยสามารถเพาะเลี้ยงแอมโมไนต์ได้
แล้ว
แอมโมไนต์จะมีรูปร่างหน้าตาคล้ายสัตว์จำพวกนอติลอยด์ แต่แท้จริงแล้วพวกมัน
มีความใกล้เคียงกับสัตว์จำพวกหมึกมากกว่า และเนื่องจากพวกแอมโมไนต์มี
วิวัฒนาการทางโครงสร้างและรูปร่างอย่างรวดเร็ว มีความแตกต่างในแต่ละช่วงอายุ
อย่างเห็นเด่นชัด จึงมักนิยมใช้ซากของพวกแอมโมไนต์เป็นซากดึกดำบรรพ์ดัชนี
ชื่อ "แอมโมไนต์" มีที่มาจากการที่พลินีผู้อาวุโสเรียกซากดึกดำบรรพ์ของแอมโม
ไนต์ว่า "เขาของอัมมอน (ammonis cornua)" เนื่องจากพวกมันมีรูปร่างคล้ายเขา
แกะ ซึ่งเป็นสิ่งที่มักจะปรากฏอยู่เป็นทั่วไปว่าเทพเจ้าองค์นั้นใส่อยู่
14
ประวัติ
แมงดาทะเล
Horseshoe Crab
แมงดาทะเล
Horseshoe Crab
แมงดาทะเลมีชีวิตในช่วง ออร์โดวิเชียน–ปัจจุบัน อายุประมาน : 485.4 ล้านปี แมงดา
ทะเลนั้นอาศัยอยู่ในเขตทะเลน้ำตื้นเราสามารถพบมันได้ทั่วโลก ลักษณะของเจ้าแมงดา
ทะเลนั้นมีเปลือกแข็งคล้ายกับกระดอง และมันเป็นสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังและมีหางที่ยาว
แหลม ในบางสายพันธุ์นั้นมีพิษร้ายแรง นอกจากนี้มันยังมีดวงตามากถึง 9 ดวง โดย
มีดวงตาหลักสองดวงในการทำหน้าที่มองเห็น ส่วนที่เหลือจะทำหน้าที่ในการรับแสงเพื่อ
การเคลื่อนที่ สิ่งที่น่าทึ่งก็คือในช่วงระยะเวลากว่า 485 ล้านปีที่มันอยู่บนโลกมานั้นมัน
แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของมันเลย
นอกจากจะมีประโยชน์ในการเป็นอาหารของมนุษย์แล้วยังพบว่า แมงดามีเลือดที่
เป็นสีน้ำเงิน (Hemocyanin) เนื่องจากมีทองแดงผสมอยู่เป็นจำนวนมาก เซลล์เม็ด
เลือดขาวของแมงดามีความไวมากในการตรวจจับเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งถูกนำมาใช้
ประโยชน์ในวงการแพทย์ โดยการใช้เลือดแมงดาไปสกัดเป็นสารที่เรียกว่า Limulus
amoebocyte lysate (LAL) ในการตรวจหาเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายที่อาจจะปน
เปื้ อนในวัคซีน, การผลิตยา หรือในอุปกรณ์การแพทย์ต่าง ๆ ซึ่งหากมีจุลชีพก่อโรค
แม้เพียงหนึ่งในล้านส่วน โปรตีนที่สกัดได้จากเลือดแมงดาจะเกิดการจับตัวกันเป็น
ก้อนทันทีเพื่อทำการปกป้องร่างกายไม่ให้เป็นอันตราย
16
ประวัติ
ปลาสเตอร์เจียน
Sturgeon
ปลาสเตอร์เจียน
Sturgeon
ปลาสเตอร์เจียนมีชีวิตในช่วง ครีเตเชียส-ปัจจุบัน มีอายุประมาน 145 ล้านปี
ปลาสเตอร์เจียน มีรูปร่างคล้ายปลาฉลาม มีหนามแหลมสั้น ๆ บริเวณหลัง หัว
และเส้นข้างลำตัวไว้เพื่อป้องกันตัว มีหนวดทั้งหมด 2 คู่อยู่บริเวณปลายจมูก
ปลายหัวแหลม ปากอยู่ใต้ลำตัว ลำตัวไม่มีเกล็ด ภายในปากไม่มีฟัน ตามีขนาด
เล็ก ซึ่งหนวดของปลาสเตอร์เจียนนี้มีหน้าที่สัมผัสและรับคลื่นกระแสไฟฟ้าขณะ
ที่ว่ายน้ำ เนื่องจากมันไม่สามารถมองเห็นวัตถุที่อยู่ใต้ของลำตัวได้ และมันมี
ขนาดใหญ่ได้ถึง 5 เมตรเลยทีเดียวและมีน้ำหนักได้ถึง 600 กิโลกรัม โดย
ปลาสเตอร์เจียนนั้นเป็นปลา 3 น้ำ คือสามารถอยู่ได้ทั้งน้ำเค็ม น้ำจืดและน้ำ
กร่อย นี้อาจเป็นสาเหตุให้มันมีชีวิตรอดมาถึงในปัจจุบันนั้นเอง
โดยเป็นปลาที่มนุษย์ใช้เป็นอาหารมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไข่ปลา
เรียกว่า คาเวียร์ ซึ่งนับเป็นอาหารราคาแพงที่สุดชนิดหนึ่งของโลก ซึ่งใน
ประเทศไทย ปลาสเตอร์เจียนชนิด ปลาสเตอร์เจียนไซบีเรีย (Acipenser
baerii) ได้มีการทดลองเลี้ยงในโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ดอยคำ อันเป็น
โครงการในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่อำเภอเวียงแหง
ที่หน่วยวิจัยประมงบนพื้นที่สูงดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง และศูนย์วิจัย
และพัฒนาประมงน้ำจืดเชียงใหม่ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งผล
การทดลองเป็นไปได้อย่างดี
18
แมปรงะวักติ ระพรุน
jellyfish
แมงกระพรุน
Jellyfish
แมงกระพรุนมีชีวิตในช่วง แคมเบรียน – ปัจจุบัน อายุประมาน : 505 ล้านปี เจ้าสิ่ง
มีชีวิตนี้รูปร่างเหมือนเยลลี่ โดยแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของมันเลย โดย
แมงกะพรุนเป็นสัตว์ที่ไม่มีสมองและระบบประสาท 90% ในร่างกายของมันประกอบ
ไปด้วยน้ำ และพวกมันยังมีต่อมพิษว่า 5,000 ต่อมบนหนวดเพื่อไว้ป้องกันตัวและจับ
เหยื่อ ด้านล่างตอนกลางเป็นอวัยวะทำหน้าที่กินและย่อยอาหาร เราสามารถพบ
แมงกะพรุนได้ในทะเลทุกแห่งทั่วโลก
โดยทั่วไปแล้ว แมงกะพรุนมีหลายชนิดที่สามารถรับประทานได้ โดยชาว
ประมงจะเก็บจากทะเล และผ่าออกทำการตากแห้งและหมักกับเกลือ, สารส้ม
และโซเดียม ก่อนจะนำออกขาย โดยประกอบอาหารได้หลายประเภท ซึ่งมี
คุณค่าทางอาหารของแมงกะพรุน คือ มีโปรตีนสูงและแคลอรีต่ำ เป็นโปรตีน
ประเภทคอลลาเจนสามารถรับประทานได้ ซึ่งจากการศึกษาพบว่าคอลลาเจน
จากแมงกะพรุนอาจจะมีส่วนรักษาโรคไขข้ออักเสบ และโรคหลอดลมอักเสบ
ตลอดจนทำให้ผิวหนังนุ่มนวลด้วย
ขณะที่แมงกะพรุนชนิดที่มีพิษ จะถูกเรียกรวม ๆ กันว่า แมงกะพรุนไฟ
(Crysaora spp.) ส่วนใหญ่มีลำตัวสีแดงหรือสีส้ม จะมีพิษที่บริเวณหนวดที่มี
น้ำพิษ ใช้สำหรับเพื่อล่าเหยื่อและป้องกันตัว สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ที่ถูก
ต่อยได้ บริเวณที่ถูกต่อยนั้นจะปรากฏรอยคล้ายรอยไหม้เป็นผื่น จากนั้นในอีก
20-30 นาทีต่อมา จะบวมนูนขึ้นเป็นทางยาวตามผิวหนัง ต่อไปจะเกิดเป็นแผล
เล็ก ๆ และแตกออกเป็นแผลเรื้อรัง กล้ามเนื้อเกร็งและบังคับไม่ได้ จุกเสียด
หายใจไม่ออก และอาจถึงขั้นเสียชีวิต
20