The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

pdf_20230908_115747_0000

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Fame, 2023-09-08 01:17:14

pdf_20230908_115747_0000

ภาคเรียรีนที่ 1 ปีกปีารศึกษา 2566 จัด จั ทำ โดย ครูผู้ รู ผู้สอน ด.ช.ณภัทร ลัญ ลั จกร เลขที่ 11 ครู รัต รั นกรณ์ เฮงตระกูล กู วิชาพระพุทธศาสนา ด.ช.ศิลาดล กำ เนิดศิริ เลขที่ 29 ด.ช.ชลกฤษ รัง รั สินธุ์ เลขที่ 45


คํานํา ข้อมูล มู ทางพระพุทธศาสนาและเล่า ล่ ถึง ถึ พุทธประวัติ วั ติคํา คํ สอนและข้อ ข้ มูล มู ทาง พระพุทธศาสนาในเนื้อหาการเรีย รี น เสนอในรูป รู แบบE-BOOK หนังสือE-BOOKเล่ม ล่ นี้สร้า ร้ งขึ้น ขึ้ เพื่อ


สารบัญ คํา คํ นํา หน้า 2 สารบัญ บั หน้า 3 ปรินิริ นิพพาน หน้า 15 ตรัส รั รู้ หน้า 11 ประสูติ หน้า 4 พุทธประวัติ วั ติหน้า4-18 ศาสนาคือ คื อะไร หน้า 16


พุทธประวัติ ประสูติ พระพุทธเจ้าจ้พระนามเดิมดิว่าว่ “ สิทธัตธัถะ “ เป็นป็พระราชโอรส ของพระเจ้าจ้สุทโธทนะและพระนางสิริมริหามายา แห่งกรุงรุกบิลบิ พัสดุ์ แคว้นว้สักกะ พระองค์ทค์รงถือถืกำ เนิดในศากยวงค์ สกุลกุโค ตมะ พระองค์ปค์ระสูติ ในวันวัศุกร์ ขึ้น ขึ้ ๑๕ ค่ำ เดือดืน ๖ ( เดือดืน วิสวิาขะ ) ปีจปีอ ก่อก่นพุทธศักราช ๘๐ ปี ณ สวนลุมลุพินีวันวัซึ่ง ซึ่ ตั้งตั้ อยู่รยู่ะหว่าว่งกรุงรุกบิลบิพัสดุ์ แคว้นว้สักกะ กับกักรุงรุเทวทหะ แคว้นว้ โกลิยลิะ ( ปัจปัจุบัจุนบัคือคืตำ บลรุมรุมินมิเด ประเทศเนปาล ) การขนานพระนาม และทรงเจริญพระชนม์ พระราชกุมกุารได้รัด้บรัการทำ นายจากอสิตฤาษีหรือรืกาฬเทวิลวิดาบส มหา ฤาษีผู้บำ เพ็ญฌานอยู่ใยู่นป่าป่หิมพานต์ซึ่ต์ง ซึ่ เป็นป็ที่ท ที่ รงเคารพนับถือถืของพระ เจ้าจ้สุทโธทนะว่าว่ “ พระราชกุมกุารนี้เป็นป็อัจอัฉริยริมนุษย์ มีลัมีกลัษณะมหาบุรุบุษรุ ครบถ้วถ้น บุคบุคลที่มี ที่ ลัมีกลัษณะดังดันี้ จักจัต้อต้งเสด็จด็ออกจากพระราชวังวัผนวช เป็นป็บรรพชิตชิแล้วล้ตรัสรัรู้เรู้ป็นป็พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจ้ผู้ไม่มีม่กิมีเกิลสในโลก เป็นป็แน่ “หลังลัจากประสูติไติด้ ๕ วันวัพระเจ้าจ้สุทโธทนะโปรดให้ประชุมชุพระ ประยูรยู ญาติ และเชิญชิพราหมณ์ ผู้เรียรีนจบไตรเพท จำ นวน ๑๐๘ คน เพื่อ มาทำ นายพระลักลัษณะของพระราชกุมกุาร


พระประยูรยู ญาติไติด้พด้ร้อร้มใจกันกัถวายพระนามว่าว่ “สิทธัตธัถะ” มีคมีวามหมาย ว่าว่ “ ผู้มีคมีวามสำ เร็จร็สมประสงค์ทุค์กทุสิ่งทุกทุอย่าย่งที่ต ที่ นตั้งตั้ ใจจะทำ ” ส่วน พราหมณ์เหล่าล่นั้นคัดคัเลือลืกกันกัเองเฉพาะผู้ที่ท ที่ รงวิทวิยาคุณคุประเสริฐริกว่าว่ พราหมณ์ทั้งทั้หมดได้ ๘ คน เพื่อทำ นายพระราชกุมกุาร พราหมณ์ ๗ คนแรก ต่าต่งก็ทำก็ทำนายไว้ ๒ ประการ คือคื “ ถ้าถ้พระราชกุมกุารเสด็จด็อยู่คยู่รองเรือรืนก็จัก็กจั เป็นป็พระเจ้าจ้จักจัรพรรดิผู้ดิ ผู้ทรงธรรม หรือรืถ้าถ้เสด็จด็ออกผนวชเป็นป็บรรพชิตชิจักจั เป็นป็พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจ้ผู้ไม่มีม่กิมีเกิลสในโลก” ส่วนโกณฑัญฑัญะ พราหมณ์ ผู้มีอมีายุน้ยุน้อยกว่าว่ทุกทุคน ได้ทำด้ทำนายเพียงอย่าย่งเดียดีวว่าว่พระราช กุมกุารจักจัเสด็จด็ออกจากพระราชวังวัผนวชเป็นป็บรรพชิตชิแล้วล้ตรัสรัรู้เรู้ป็นป็พระอร หันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจ้ผู้ไม่มีม่กิมีเกิลสในโลก “ เมื่อ มื่ เจ้าจ้ชายสิทธัตธัถะประสูติไติด้ ๗ วันวัพระราชมารดาก็เก็สด็จด็สวรรคต ( การ เสด็จด็สวรรคตดังดักล่าล่วเป็นป็ ประเพณีของผู้ที่เ ที่ ป็นป็พระมารดาของ พระพุทธเจ้าจ้ ) พระเจ้าจ้สุทโธทนะทรงมอบหมายให้พระนางมหาปชาบดีโดีค ตมีซึ่มีง ซึ่ เป็นป็พระกนิษฐาของพระนางสิริมริหามายา เป็นป็ผู้ถวายอภิบภิาลเลี้ย ลี้ งดู เมื่อ มื่ พระสิทธัตธัถะทรงพระเจริญริมีพมีระชนมายุไยุด้ ๘ พรรษา ได้ทด้รงศึกษาใน สำ นักอาจารย์วิย์ศวิวามิตมิร ซึ่ง ซึ่ มีเมีกียกีรติคุติณคุแพร่ขร่จรไปไกลไปยังยัแคว้นว้ต่าต่งๆ เพราะเปิดปิสอนศิลปวิทวิยาถึงถึ๑๘ สาขา เจ้าจ้ชายสิทธัตธัถะทรงศึกษา ศิลปวิทวิยาเหล่าล่นี้ได้อด้ย่าย่งว่อว่งไว และเชี่ย ชี่ วชาญจนหมดความสามารถของ พระอาจารย์


ด้วด้ยพระราชบิดบิามีพมีระราชประสงค์มั่ค์นมั่คงที่จ ที่ ะให้เจ้าจ้ชาย สิทธัตธัถะทรงครองเพศฆราวาสเป็น ป็ พระจักจัพรรดิผู้ดิ ผู้ทรง ธรรม จึงจึพระราชทานความสุขเกษมสำ ราญ แวดล้อล้มด้วด้ย ความบันบัเทิงทินานาประการแก่พก่ระราชโอรสเพื่อผูกพระทัยทั ให้มั่นมั่คงในทางโลก เมื่อ มื่ เจ้าจ้ชายสิทธัตธัถะเจริญริพระชนม์ไม์ด้ ๑๖ พรรษา พระเจ้าจ้สุทโธทนะมีพมีระราชดำ ริว่ริาว่พระราชโอรส สมควรจะได้อด้ภิเภิษกสมรส จึงจึ โปรดให้สร้าร้งปราสาทอันอัวิจิวิตจิร งดงามขึ้น ขึ้ ๓ หลังลัสำ หรับรั ให้พระราชโอรสได้ปด้ระทับทัอย่าย่ง เกษมสำ ราญตามฤดูกดูาลทั้งทั้๓ คือคืฤดูร้ดูอร้น ฤดูฝดูน และฤดู หนาว แล้วล้ตั้งตั้ชื่อ ชื่ ปราสาทนั้นว่าว่รมยปราสาท สุรมยปราสาท และสุภปราสาทตามลำ ดับดัและทรงสู่ขอพระนางพิมพาหรือรื ยโสธรา พระราชธิดธิาของพระเจ้าจ้สุปปพุทธะและพระนางอมิ ตา แห่งเทวทหะนคร ในตระกูลกูโกลิยลิวงค์ ให้อภิเภิษกด้วด้ย เจ้าจ้ ชายสิทธัตธัถะได้เด้สวยสุขสมบัติบั ติจนพระชนมายุมยุายุไยุด้ ๒๙ พรรษา พระนางพิมพายโสรธาจึงจึ ประสูติพติระโอรส พระองค์ มีพมีระราชหฤทัยทัสิเนหาในพระโอรสเป็น ป็ อย่าย่งยิ่งยิ่เมื่อ มื่ พระองค์ทค์รงทราบถึงถึการประสูติขติองพระโอรสพระองค์ตค์รัสรั ว่าว่ “ ราหุล ชาโต, พันธน ชาต , บ่วบ่งเกิดกิแล้วล้, เครื่อ รื่ งจองจำ เกิดกิแล้วล้ “ อภิเษกสมรส


ออกบรรพชา จ้าจ้ชายสิทธัตธัถะทรงเป็น ป็ ผู้มีพมีระบารมีอัมีนอับริบูริร บู ณ์ ถึงถึ แม้พม้ระองค์จค์ะทรงพรั่งรั่พร้อร้มด้วด้ยสุขสมบัติบัมติหาศาลก็ มิไมิด้พด้อพระทัยทั ในชีวิชีตวิคฤหัสถ์ พระองค์ยัค์งยัทรงมี พระทัยทั ฝักฝั ใฝ่ใฝ่คร่คร่รวญถึงถึสัจธรรมที่จ ที่ ะเป็น ป็ เครื่อ รื่ ง นำ ทางซึ่ง ซึ่ ความพ้นทุก ทุ ข์อข์ยู่เ ยู่ สมอ พระองค์ไค์ด้เด้คยสด็จ ด็ ประพาสอุท อุ ยาน ได้ทด้อดพระเนตรเทวทูต ทู ทั้งทั้๔ คือคืคน แก่ คนเจ็บ จ็ คนตาย และบรรพชิตชิพระองค์จึค์งจึสังเวช พระทัยทั ในชีวิ ชีต และพอพระทัยทั ในเพศบรรพิต มีพมีระทัยทั แน่วแน่ที่จ ที่ ทรงออกผนวช เพื่อแสวงหาโมกขธรรมอันอั เป็น ป็ ทางดับดัทุก ทุ ข์ถข์าวรพ้นจากวัฏวัสงสารไม่กม่ลับลัมา เวียนว่ายตายเกิดกิอีกอีพระองค์จึค์งจึตัดตัสินพระทัยทัเสด็จ ด็ ออกทรงผนวช โดยพระองค์ทค์รงม้าม้กัณกัฐกะ พร้อร้ม ด้วด้ยนายฉันฉันะ มุ่งมุ่ สู่แม่น้ำม่ น้ำ อโนมานที แคว้นว้มัลมัละ รวม ระยะทาง ๓๐ โยชน์ (ประมาณ ๔๘๐ กิโกิลเมตร ) เสด็จ ด็ ข้าข้มฝั่ง ฝั่ แม่น้ำม่ น้ำ อโนมานทีแทีล้วล้ทรงอธิษธิฐานเพศเป็น ป็ บรรพชิตชิและทรงมอบหมายให้นายฉันฉันะนำ เครื่อ รื่ ง อาภรณ์และม้าม้กัณกัฐกะกลับลันครกบิลบิพัสดุ์


ภายหลังลัที่ท ที่ รงผนวชแล้วล้พระองค์ไค์ด้ปด้ระทับทัอยู่ ณ อนุ ปิยปิอัมอัพวันวัแคว้นว้มัลมัละเป็น ป็ เวลา ๗ วันวัจากนั้นจึงจึ เสด็จ ด็ ไปยังยักรุง รุ ราชคฤห์ แคว้นว้มคธ พระเจ้าจ้พิมพิสาร ได้เด้สด็จ ด็ มาเฝ้าฝ้พระองค์ ณ เงื้อ งื้ มเขาปัณปัฑวะ ได้ทด้รง เห็นพระจริยริาวัตวัรอันอังดงามของพระองค์ก็ค์ท ก็ รง เลื่อ ลื่ มใส และทรงทราบว่าว่พระสมณสิทธัตธัถะทรงเห็น โทษในกาม เห็นทางออกบวชว่าว่เป็น ป็ ทางอันอัเกษม จะ จาริกริ ไปเพื่อบำ เพ็ญเพียร และทรงยินยิดีใดีนการบำ เพ็ญ เพียรนั้น พระเจ้าจ้พิมพิสารได้ตด้รัสรัว่าว่ “ ท่าท่นจักจัเป็น ป็ พระพุทธเจ้าจ้แน่นอน และเมื่อ มื่ ได้เด้ป็น ป็ พระพุทธเจ้าจ้แล้วล้ ขอได้โด้ปรดเสด็จ ด็ มายังยัแคว้นว้ของกระหม่อม่มฉันฉัเป็น ป็ แห่ง แรก “ซึ่ง ซึ่ พระองค์ก็ค์ท ก็ รงถวายปฏิญฏิญาแด่พด่ระเจ้าจ้พิมพิ สาร เข้าศึกษาในสำ นักดาบส


การแสวงหาธรรมระยะแรกหลังลัจากทรงผนวชแล้วล้สมณสิทธัตธั ถะได้ทด้รงศึกษาในสำ นักอาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทอุก ดาบส รามบุตบุร ณ กรุงรุราชคฤห์ แคว้นว้มคธ พระองค์ไค์ด้ทด้รง ประพฤติพติรหมจรรย์ใย์นสำ นักของอาฬารดาบส กาลามโคตร ทรงได้สด้มาบัติบัคืติอคืทุติทุยติฌาน ตติยติฌาน อากาสานัญจายตน ฌาน วิญวิญานัญจายตนฌาน และอากิญกิจัญจัญายตนฌาน ส่วน การประพฤติพติรหมจรรย์ใย์นสำ นักอุทอุกดาบส รามบุตบุร นั้นทรงได้ สมาบัติบั ติ๘ คือคืเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน สำ หรับรัฌานที่ ๑ คือคื ปฐมฌานนั้น พระองค์ทค์รงได้ขด้ณะกำ ลังลัประทับทัขัดขัสมาธิ เจริญริอานาปานสติกัติมกัมัฏมัฐานอยู่ใยู่ต้ต้ต้นต้หว้าว้เนื่องในพระราชพิธี วัปวั ปมงคล ( แรกนาขวัญวั ) เมื่อ มื่ ครั้งรั้ทรงพระเยาว์ เมื่อ มื่ สำ เร็จ ร็ การศึกษาจากทั้งทั้สองสำ นักนี้แล้วล้พระองค์ทค์รงทราบ ว่าว่มิใมิช่หช่นทางพ้นจากทุกทุข์ บรรลุพลุระโพธิญธิาณ ตามที่ท ที่ รงมุ่งมุ่ หวังวัพระองค์จึค์งจึทรงลาอาจารย์ทั้ย์งทั้สอง เสด็จ ด็ ไปใกล้บล้ริเริวณแม่ น้ำ เนรัญรัชรา ที่ตำ ที่ ตำบลอุรุอุเรุวลาเสนานิคม กรุงรุราชคฤห์ แคว้นว้มคธ


“ ทุกทุร “ หมายถึงถึสิ่งที่ทำ ที่ ทำได้ยด้าก “ ทุกทุรกิริกิยริา” หมายถึงถึการกระ ทำ กิจกิที่ทำ ที่ ทำได้ยด้าก ได้แด้ก่กก่ารบำ เพ็ญเพียรเพื่อบรรลุธลุรรมวิเวิศษ” เมื่อ มื่ พระองค์ทค์รงหันมาศึกษาค้นค้คว้าว้ด้วด้ยพระปัญปัญาอันอั ยิ่งยิ่ด้วด้ยพระองค์เค์องแทนการศึกษาเล่าล่เรียรีนในสำ นักอาจารย์ ณ ทิวทิเขาดงคสิริ ใกล้ลุ่ล้มลุ่ แม่น้ำม่ น้ำ เนรัญรัชรานั้น พระองค์ไค์ด้ทด้รง บำ เพ็ญทุกทุรกิริกิยริา คือคืการบำ เพ็ญอย่าย่งยิ่งยิ่ยวดในลักลัษณะต่าต่งๆ เช่นช่การอดพระกระยาหาร การทรมานพระวรกายโดยการกลั้นลั้ พระอัสอัสาสะ พระปัสปัสาสะ ( ลมหายใจ ) การกดพระทนต์ การกด พระตาลุ ( เพดาน) ด้วด้ยพระชิวชิหา (ลิ้นลิ้ ) เป็น ป็ ต้นต้พระมหาบุรุบุษรุได้ ทรงทรงบำ เพ็ญทุกทุรกิริกิยริาเป็น ป็ เวลาถึงถึ๖ ปี ก็ยั ก็ งยัมิไมิด้ค้ด้นค้พบ สัจธรรมอันอัเป็น ป็ ทางหลุดลุพ้นจากทุกทุข์ พระองค์จึค์งจึทรงเลิกลิการ บำ เพ็ญทุกทุรกิริกิยริา แล้วล้กลับลัมาเสวยพระกระยาหารเพื่อบำ รุงรุ พระวรกายให้แข็ง ข็ แรง ในการคิดคิค้นค้วิธีวิ ใธีหม่ ในขณะที่พ ที่ ระมหา บุรุบุษรุทรงบำ เพ็ญทุกทุรกิริกิยริานั้น ได้มีด้ ปัมีญปัจวัควัคีย์คี ย์คือคืพราหมณ์ ทั้งทั้ ๕ คน ได้แด้ก่ โกณฑัญฑัญะ วัปวั ปะ ภัทภัทิยทิะ มหานามะ และอัสอัสชิ เป็น ป็ ผู้คอยปฏิบัฏิติบัรัติบรั ใช้ ด้วด้ยหวังวัว่าว่พระมหาบุรุบุษรุตรัสรัรู้แรู้ ล้วล้พวก ตนจะได้รัด้บรัการสั่งสอนถ่าถ่ยทอดความรู้บ้รู้ าบ้ง และเมื่อ มื่ พระมหา บุรุบุษรุเลิกลิล้มล้การบำ เพ็ญทุกทุรกิริกิยริา ปัญปัจัคจัคีย์คีก็ย์ ไก็ ด้ชด้วนกันกัละทิ้งทิ้ พระองค์ไค์ปอยู่ ณ ป่าป่อิสิอิ สิปตนมฤคทายวันวันครพาราณสี เป็น ป็ ผล ให้พระองค์ไค์ด้ปด้ระทับทัอยู่ตยู่ามลำ พังในที่อั ที่ นอัสงบเงียงีบ ปราศจาก สิ่งรบกวนทั้งทั้ปวง พระองค์ไค์ด้ทด้รงตั้งตั้พระสติดำติดำเนินทางสาย กลาง คือคืการปฏิบัฏิติบั ใตินความพอเหมาะพอควร นั่นเอง บำ เพ็ญทุกรกิริยา


พระพุทธเจ้าจ้ทรงตรัสรัรู้ เวลารุ่งรุ่ อรุณ รุ ในวันวัเพ็ญเดือดืน ๖ ( เดือดืนวิสวิาขะ) ปีรปีะกา ก่อก่นพุทธศักราช ๔๕ ปี นางสุชาดา ได้นำด้ นำข้าข้วมธุป ธุ ายาสเพื่อไปบวงสรวงเทวดา ครั้นรั้เห็นพระ มหาบุรุ บุ ษ รุ ประทับทัที่โที่ คนต้นต้อชปาลนิโครธ (ต้นต้ ไทร)ด้วด้ย อาการอันอัสงบ นางคิดคิว่าว่เป็น ป็ เทวดา จึงจึถวายข้าข้วมธุ ปายาส แล้วล้พระองค์เค์สด็จ ด็ ไปสู่ท่าท่สุปดิษดิฐ์ริมริ ฝั่ง ฝั่ แม่น้ำม่ น้ำ เนรัญรัชรา ทรงวางถาดทองคำ บรรจุข้ จุ าข้วมธุป ธุ ายาสแล้วล้ ลงสรงสนานชำ ระล้าล้งพระวรกาย แล้วล้ทรงผ้า กาสาวพัสตร์อัร์นอัเป็น ป็ ธงชัยชัของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ เจ้าจ้ทุก ทุ พระองค์ หลังลัจากเสวยแล้วล้พระองค์ทค์รงจับจัถาด ทองคำ ขึ้น ขึ้ มาอธิษธิฐานว่าว่ “ ถ้าถ้เราจักจัสามารถตรัสรัรู้ไรู้ด้ใด้น วันวันี้ ก็ข ก็ อให้ถาดทองคำ ใบนี้จงลอยทวนกระแสน้ำ ไป แต่ ถ้าถ้มิไมิด้เด้ป็น ป็ ดังดันั้นก็ข ก็ อให้ถาดทองคำ ใบนี้จงลอยไปตาม กระแสน้ำ เถิดถิ “ แล้วล้ทรงปล่อล่ยถาดทองคำ ลงไปในแม่น้ำม่ น้ำ ถาดทองคำ ลอยตัดตักระแสน้ำ ไปจนถึงถึกลางแม่น้ำม่ น้ำ เนรัญรั ชราแล้วล้ลอยทวนกระแสน้ำ ขึ้น ขึ้ ไปไกลถึงถึ๘๐ ศอก จึงจึจม ลงตรงที่ก ที่ ระแสน้ำ วน ในเวลาเย็น ย็ พระองค์เค์สด็จ ด็ กลับลั มายังยัต้นต้ โพธิ์ที่ธิ์ ปที่ ระทับทัคนหาบหญ้าญ้ชื่อ ชื่ โสตถิยถิะได้ถด้วาย หญ้าญ้ปูล ปู าดที่ปที่ ระทับทัณ ใต้ต้ต้นต้ โพธิ์ ตรัสรู้


พระองค์ปค์ระทับทัหันพระพักตร์ไร์ปทางทิศทิตะวันออก และ ทรงตั้งตั้จิตจิอธิษธิฐานว่า “ แม้เม้ลือลืดในกายของเราจะ เหือดแห้งไปเหลือลืแต่หต่นัง เอ็น อ็ กระดูกดูก็ต ก็ าม ถ้าถ้ยังยั ไม่ บรรลุธลุรรมวิเศษแล้วล้จะไม่ยม่อมหยุดยุความเพียรเป็น ป็ อันอั ขาด “ เมื่อ มื่ ทรงตั้งตั้จิตจิอธิษธิฐานเช่นช่นั้นแล้วล้พระองค์ก็ค์ท ก็ รง สำ รวมจิตจิ ให้สงบแน่วแน่ มีพมีระสติตั้ติงตั้มั่นมั่มีพมีระวรกาย อันอัสงบ มีพมีระหทัยทัแน่วแน่เป็น ป็ สมาธิบธิริสุริสุทธิ์ผุธิ์ผุดผ่อง ปราศจากกิเกิลส ปราศจากความเศร้าร้หมอง อ่ออ่นโยน เหมาะแก่กก่ารงาน ตั้งตั้มั่นมั่ ไม่หม่ วั่นวั่ไหว ทรงน้อมพระทัยทั ไป เพื่อปุพปุเพนิวาสานุสสติญติาณ ( ญาณเป็น ป็ เหตุรตุะลึกลึถึงถึ ขันขัธ์ที่ธ์อ ที่ าศัยในชาติปติางก่อก่นได้ )ในปฐมยามแห่งราตรี ต่อต่จากนั้นทรงน้อมพระทัยทั ไปเพื่อจูตุจูปตุาตญาณ ( ญาณ กำ หนดรู้กรู้ ารตาย การเกิดกิของสัตว์ทั้งทั้หลาย ) ใน มัชมัฌิมฌิยามแห่งราตรี ต่อต่จากนั้นทรงน้อมพระทัยทั ไปเพื่อ อาสวักขยญาณ ( ญาณหยั่งยั่รู้ใรู้นธรรมเป็น ป็ ที่สิ้ ที่ สิ้นไปแห่งอา สวกิเกิลสทั้งทั้หลาย) คือคืทรงรู้ชัรู้ดชัตามความเป็น ป็ จริงริว่า นี้ ทุกทุข์ นี้ทุกทุขสมุทัมุยทันี้ทุกทุขนิโรธ นี้ทุกทุขนิโรธคามินีมิ นีปฏิปฏิทา นี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัมุยทันี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีมิ นี ปฏิปฏิทา


เมื่อ มื่ ทรงรู้เรู้ห็นอย่าย่งนี้ จิตของพระองค์ก็ค์ท ก็ รงหลุด ลุ พ้น จากกามสวะ ภวาสวะ และอวิชวิชาสวะ เมื่อ มื่ จิตจิหลุด ลุ พ้น แล้วล้พระองค์ก็ค์ท ก็ รงรู้ว่รู้าว่หลุด ลุ พ้นแล้วล้ทรงรู้ชัรู้ดชัว่าว่ชาติ สิ้นแล้วล้อยู่จ ยู่ บพรหมจรรย์แย์ล้วล้ทำ กิจกิที่ค ที่ วรทำ เสร็จ ร็ แล้วล้ ไม่มีม่กิมีจกิอื่น อื่ เพื่อความเป็น ป็ อย่าย่งนี้อีกอีต่อต่ ไป นั่นคือคื พระองค์ทค์รงบรรลุวิ ลุ ชวิชาที่ ๓ คือคือาสวักวัขยญาณ ใน ปัจปัฉิมฉิยาม แห่งราตรีนั้รี นั้เอง ซึ่ง ซึ่ ก็คื ก็ อคืการตรัสรัรู้พรู้ ระสัพ พัญญุต ญุ ญาณ เป็น ป็ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจ้จาก การที่พ ที่ ระองค์ทค์รงบำ เพ็ญพระบารมีมมีาอย่าย่งยิ่งยิ่ยวด พระองค์ทค์รงตรัสรัรู้ใรู้นวันวัเพ็ญเดือดืน ๖ ปีรปีะกา ขณะพระ ชนมายุไ ยุ ด้ ๓๕ พรรษา นับแต่วัต่นวัที่ส ที่ ด็จ ด็ ออกผนวชจนถึงถึ วันวัตรัสรัรู้ธรู้รรม รวมเป็น ป็ เวลา ๖ ปี พระธรรมอันอั ประเสริฐริที่พ ที่ ระพุทธเจ้าตรัสรัรู้นั้รู้ นั้คือคื อริยริสัจ ๔ ( ทุก ทุ ข์ สมุทั มุ ยทันิโรธ มรรค )


ประกาศพระศาสนาครั้งแรก เมื่อ มื่ พระพุทธเจ้าตรัสรัรู้แรู้ ล้วทรงเสวยวิมุติมุสุติสุข ณ บริเริวณต้นต้ พระศรีมรีหาโพธิ์เธิ์ป็น ป็ เวลา ๗ สัปดาห์ ทรงรำ พึงว่า ธรรมะที่ พระองค์ตค์รัสรัรู้เรู้ป็น ป็ การยากสำ หรับรัคนทั่วไป จึงทรงน้อม พระทัยไปในทางที่จะไม่ปม่ระกาศธรรม พระสหัมบดีพดีรหม ทราบวาระจิตของพระองค์จึค์ จึงอาราธนาให้โปรดมนุษย์ โดย เปรียรีบเทียบมนุษย์เย์หมือมืนดอกบัวบั๔ เหล่า และในโลกนี้ยังยัมี เหล่าสัตว์ผู้มีธุมีลีธุลีในดวงตาเบาบาง สัตว์เหล่านั้นจะเสื่อม เพราะไม่ไม่ด้ฟัด้งฟัธรรม เหล่าสัตว์ผู้ที่สามารถรู้ทั่รู้ ทั่วถึงถึธรรมได้ ยังยัมีอมียู่ “ พระพุทธเจ้าจึงทรงน้อมพระทัยไปในการแสดง ธรรม แล้วเสด็จ ด็ ไปโปรดปัญปัจวัคคีย์คี ย์ณ ป่าป่อิสิปตน มฤคทายวัน ทรงแสดงปฐมเทศนา ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือดืน ๘ ( เดือดืนอาสาฬหะ) เรียรีกว่า ธรรมจักกัปกั ปวัตตนสูตร ในขณะที่ ทรงแสดงธรรม ท่านปัญปัญาโกณฑัณฑัญะได้ธด้รรมจักษุ คือคื บรรลุพระโสดาบันบั ได้ทูด้ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย ของ สมเด็จ ด็ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียรีกการบวชครั้งรั้นี้ว่า “ เอหิ ภิกขุอุปสัมปทา ” พระอัญญาโกณฑัญฑัญะจึงเป็น ป็ พระภิกษุรูปรู แรกในพระพุทธศาสนา


พระพุทธเจ้าจ้ทรงบำ เพ็ญพุทธกิจกิอยู่จ ยู่ นพระชนมายุ ๘๐ พรรษา พระองค์เค์สด็จ ด็ จำ พรรษาสุดท้าท้ยณ เมือมืง เวสาลี ในวาระนั้นพระพุทธองค์ทค์รงพระชราภาพ มากแล้วล้ทั้งทั้ยังยัประชวรหนักด้วด้ย พระองค์ไค์ด้ทด้รง พระดำ เนินจากเวสาลีสู่ลีสู่ เมือมืงกุสิ กุสินาราเพื่อเสด็จ ด็ ดับดั ขันขัธปรินิริ นิพพาน ณ เมือมืงนั้น พระพุทธองค์ไค์ด้หัด้ หันกลับลั ไปทอดพระเนตรเมือมืงเวสาลีซึ่ลีง ซึ่ เคยเป็น ป็ ที่ปที่ ระทับทันับ เป็น ป็ การทอดทัศทันาเมือมืงเวสาลีเลีป็น ป็ ครั้งรั้สุดท้าท้ย แล้วล้ เสด็จ ด็ ต่อต่ ไปยังยัเมือมืงปาวา เสวยพระกระยาหารเป็น ป็ ครั้งรั้สุดท้าท้ยที่บ้ ที่ าบ้นนายจุน จุ ทะ บุต บุ รนายช่าช่งทอง พระพุทธองค์ทค์รงพระประชวรหนักอย่าย่งยิ่งยิ่ทรงข่มข่ อาพาธประคองพระองค์เค์สด็จ ด็ ถึงถึสาลวโนทยาน (ป่าป่ สาละ)ของเจ้าจ้มัลมัละเมือมืงกุสิ กุสินารา ก่อก่นเสด็จ ด็ ดับดัขันขัธ ปรินิริ นิพพานพระองค์ไค์ด้อุด้ ป อุ สมบทแก่พก่ระสุภัทภัทะปริ พาชก นับเป็น ป็ สาวกองค์สุค์สุ ดท้าท้ยที่พ ที่ ระพุทธองค์ทค์รง บวชให้ ในท่าท่มกลางคณะสงฆ์ทั้ฆ์งทั้ที่เ ที่ ป็น ป็ พระอรหันต์ และปุถุ ปุ ช ถุ น ปรินิ รินิ พพาน


พระราชา ชาวเมือมืงกุสิ กุสินารา และจากแคว้นว้ต่าต่งๆ รวมทั้งทั้เทวดาทั่วทั่หมื่น มื่ โลกธาตุ พระพุทธองค์ไค์ด้มีด้ มี พระดำ รัสรัครั้งรั้สำ คัญคัว่าว่ “ โย โว อานนท ธมม จ วินวิ โย มยา เทสิโต ปญญตโต โส โว มมจจเยน สตถา ” อันอัแปลว่าว่ “ ดูก่ ดู อก่นอานนท์ ธรรมและวินัวิ นัยอันอัที่เ ที่ รา แสดงแล้วล้บัญบัญัติญัแติล้วล้แก่เก่ธอทั้งทั้หลาย ธรรมวินัวิ นัย นั้น จักจัเป็น ป็ ศาสดาของเธอทั้งทั้หลาย เมื่อ มื่ เราล่วล่งลับลั ไปแล้วล้ “ และพระพุทธองค์ไค์ด้แด้สดงปัจปัฉิมฉิ โอวาท แก่พก่ระภิกภิษุสงฆ์ว่ฆ์าว่ “ดูก่ ดู อก่นภิกภิษุทั้งทั้หลาย นี้เป็น ป็ วาจาครั้งรั้สุดท้าท้ย ที่เ ที่ ราจะกล่าล่วแก่ท่ก่าท่นทั้งทั้หลาย สังขารทั้งทั้หลายทั้งทั้ปวงมีคมีวามสิ้นไปและเสื่อมไป เป็น ป็ ธรรมดา . ท่าท่นทั้งทั้หลายจงทำ ความรอดพ้นให้ บริบูริร บู ณ์ถึงถึที่สุ ที่ สุ ด ด้วด้ยความไม่ปม่ระมาทเถิดถิ “


แม้เม้วลาล่วล่งมาถึงถึศตวรรษที่ ๒๕ แล้วล้นับตั้งตั้แต่ พระองค์ตค์รัสรัรู้เรู้ป็น ป็ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจ้และ เสด็จ ด็ ดับดัขันขัธปรินิริ นิพพานที่น ที่ อกเมือมืงกุสิ กุสินาราในประเท สอินอิเดียดีแต่คำต่คำสั่งสอนอันอั ประเสริฐริของพระองค์หค์า ได้ล่ด้วล่งลับลั ไปด้วด้ยไม่ คำ สั่งสอนเหล่าล่นั้นยังยัคงอยู่ เป็น ป็ เครื่อ รื่ งนำ บุค บุ คลให้ข้าข้มพ้นจากความมีชีมีวิชีตวิขึ้น ขึ้ ไปสู่ซึ่ง ซึ่ คุณ คุ ค่าค่ยิ่งยิ่กว่าชีวิ ชีต คือคืการพ้นจากวัฏวัสงสารนั่นเอง หลังลัจากพระพุทธองค์เค์สด็จ ด็ ดับดัขันขัธปรินิริ นิพพาน แล้วล้สาวกของพระองค์ทั้ค์งทั้ที่เ ที่ ป็น ป็ พระอรหันต์แต์ละมิใมิช่ พระอรหันต์ไต์ด้ช่ด้วช่ยบำ เพ็ญกรณียกิจกิเผยแผ่พระพุทธ วัจนะอันอั ประเสริฐริ ไปทั่วทั่ประเทศอินอิเดียดีและขยายออก ไปทั่วทั่ โลก เป็น ป็ ที่ย ที่ อมรับรัว่าว่พระพุทธศาสนาเป็น ป็ ศาสนาแห่งความเป็น ป็ จริงริมีเมีหตุผ ตุ ลเชื่อ ชื่ ถือถื ได้แด้ละ เป็น ป็ ศาสนาแห่งสันติภติาพและเสรีภรีาพอย่าย่งแท้จท้ริงริ


๑. ปุพ ปุ พณเห ปิณปิฑปาตญจ ตอนเช้าช้เสด็จ ด็ ออกบิณบิฑบาต เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ ๒.สายณเห ธมมเทสน ตอนเย็น ย็ ทรงแสดงธรรมโปรด มหาชนที่มาเข้าข้เฝ้าฝ้ ๓.ปโทเส ภิกภิขุโ ขุ อวาท ตอนหัวค่ำ ประทานโอวาทแก่ภิก่กภิษุทั้งทั้ เก่าก่และใหม่ ๔.อฑฒรตเต เทวปญหาน ตอนเที่ย ที่ งคืนคืทรงวิสัวิ สัชชนา ปัญปัหาให้แก่เก่ทวดาชั้นชั้ต่าต่งๆ ๕.ปจจสเสว คเต กาเล ภพพาภพเพ วิโวิลกน ตอนใกล้รุ่ล้งรุ่ ตรวจดูสั ดูสัตว์โว์ลกที่สามารถและไม่สม่ามารถบรรลุธ ลุ รรมได้ แล้วล้เสด็จ ด็ ไปโปรดถึงถึที่ แม้ว่ม้าว่หนทางจะลำ บากเพียงใด ก็ต ก็ าม สรุปพุทธกิจในรอบวันของพระพุทธองค์


ศาสนาคือคืลัทลัธิ ความเชื่อ ชื่ ของมนุษย์ เกี่ย กี่ วกับกัการ กำ เนิด ความเป็น ป็ ไป และ สิ้นสุดของโลก หลักลัศีล ธรรม หลักลัธรรมคำ สอน ตลอดจนลัทลัธิพิธิ พิธีที่ธีก ที่ ระทำ ตามความเชื่อ ชื่ นั้น ๆ หลายศาสนามีกมีารบรรยาย สัญลักลัษณ์ ประวัติวัศติาสตร์ และความศักดิ์สิดิ์ สิทธิ์ ซึ่ง ซึ่ เจตนาอธิบธิาย ความหมายของชีวิชีตวิและ/หรือรือธิบธิาย กำ เนิดชีวิชีตวิหรือรืเอกภพ จากความเชื่อ ชื่ ของศาสนา เกี่ย กี่ วกับกัจักจัรวาล ธรรมชาติ มนุษย์ และศีลธรรม จริยริศาสตร์ กฎหมายหรือรืวิถีวิชีถีวิชีตวิมีกมีารประมาณว่าว่ น่าจะมีคมีวามเชื่อ ชื่ เชิงชิศาสนาราว 4,200 ความเชื่อ ชื่ ใน โลก โดยพิจารณาตามจำ นวนประมาณการของกลุ่มลุ่ ชาติพัติ พันธุ์ชธุ์ นเผ่าต่าต่งๆ ตลอดเวลาในช่วช่งที่ผ่ ที่ ผ่านมาใน ประวัติวัศติาสตร์มร์นุษยชาติ หลายศาสนาส่วนใหญ่ กลายเป็น ป็ ศาสนาที่ต ที่ ายแล้วล้เพราะไม่มีม่คมีนนับถือถืแล้วล้ ศาสนาคืออะไร


Click to View FlipBook Version