The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุ

แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุ

แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 35 ตาราง 1 แสดง HASBLED score Condition Score H Hypertension 1 A Abnormal renal function: Dialysis, transplant, Cr >2.26 mg/dL or >200 µmol/L Abnormal liver function: Cirrhosis or Bilirubin >2xnormal or AST/ALT/AP >3x normal 1 1 S Prior history of stroke 1 B Prior Major Bleeding or Predisposition to Bleeding 1 L Labile INR (Time in Therapeutic Range < 60%) 1 E Elderly : age >65 years D Drug: prior alcohol (≥ 8 drinks/week) or Drug usage history predisposing to bleeding: (Antiplatelet agents, NSAIDs) 1 1 การผ่าตัดหลอดเลือดแดงคาโรติด (carotid endarterectomy)17 ผู้ป่วยหลอดเลือดสมองตีบที่ไม่รุนแรงหรือภาวะ TIA ที่พบร่วมกับหลอดเลือดแดงคาโรติดที่คอด้าน เดียวกันตีบ 70-99 % ควรได้รับการผ่าตัด carotid endarterectomy/angioplasty ในรายที่มีความเสี่ยงต่ำ • กรณีที่มีความพิการไม่รุนแรง (mRS 0-2) แนะนำให้ผ่าตัดหรือทำ angioplasty ระหว่าง 48 ชั่วโมง -7 วัน (+,ก๒ ) หรือ • ในกรณีที่มีความพิการปานกลางหรือมีความเสี่ยงปานกลางอาจพิจารณาให้การรักษาแบบ elective case ภายใน 6 เดือน (+,ก๒) อย่างไรก็ดีถ้ายังไม่เข้าเกณฑ์ในการผ่าตัดหรือไม่สามารถผ่าตัดได้ ก็สามารถให้การรักษาด้วยยาที่ เหมาะสม ได้แก่ antiplatelet, statin ตลอดจนควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ (++,ก๒)


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 36 การควบคุมปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ17 1. ความดันโลหิตสูง โดยทั่วไปอาจจะเริ่มควบคุมยาลดความดันโลหิตหลังจาก 24 ชั่วโมงแรกในผู้ป่วย ที่มีอาการทางระบบประสาทคงที่และมีประวัติความดันโลหิตสูงมากก่อน (+, ก๒)9,17 โดยควบคุมความดัน โลหิตให้น้อยกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท17 และให้น้อยกว่า 130/90 มิลลิเมตรปรอท กรณีที่เป็น lacunar infarct (+, ข๒) 17 2. ไขมันในเลือดสูง ควรให้ยาลดไขมันกลุ่ม statin ในผู้ป่วยที่มีระดับ LDL ≥ 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร (++, ก๒) และถึงแม้จะมีระดับ LDL< 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ก็แนะนำให้ยาstatin (++, ค๒)23 3. เบาหวาน ควรควบคุมระดับ HbA1C < 7.0 % ( ++, ข๑) และระดับ A1C อาจสูงกว่า 7% แต่ไม่ควรเกิน 8.5% ในกรณีมีประวัติเกิดภาวะนำ้ตาลตำ่ ในเลือดอย่างรุนแรงบ่อยๆ, ผู้สูงอายุที่ไม่สามารถดูแล ตนเองได้, มีโรคเรื้อรังร่วมหลายโรค และคาดว่ามีชีวิตไม่นาน (short life expectancy) (+, ง๑)24 4. ความอ้วน ควรควบคุมนำ้หนักให้มี BMI อยู่ในเกณฑ์ปกติของคนเอเชีย10 โดยมี BMI < 23 กิโลกรัม/ ตารางเมตร (+/-, ค๑) 5. การออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายชนิดแอร์โรบิค ระดับปานกลาง (เช่น การเดินเร็ว หรือ ขี่จักรยาน) หรือระดับสูง (เช่น วิ่งจ็อกกิ้ง) สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง นานติดต่อกันครั้งละ 40 นาที 6. การสูบบุหรี่ แนะนำให้เลิกการสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการรับควันบุหรี่ 7. การดื่มสุรา แนะนำให้เลิกการดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 8. ปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อหลอดเลือดสมองให้รักษาตามสาเหตุ เช่น หลอดเลือดอักเสบ ภาวะ การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (Hypercoagulable state) เป็นต้น


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 37 Appendix 8 Intravenous Thrombolytic Therapy25,26,27,28 ข้อบ่งชี้ การให้ยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดด�ำ (intravenous thrombolysis) • ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันเฉียบพลันที่มีอาการไม่เกิน 4.5 ชั่วโมง ที่มีข้อบ่งชี้ และไม่มีข้อห้าม ควรได้รับยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ (IV rt-PA) (++,ก๑) (Appendix 8) ขนาด 0.9 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 90 มิลลิกรัม โดยแบ่งให้ร้อยละ 10 ทันที และ ที่เหลือหยดทางหลอดเลือดดำช้าๆ ในเวลา 1 ชั่วโมง (ในผู้ป่วยรายที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเลือดออกในสมอง อาจเลือกใช้ขนาดยา 0.6 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 60 มิลลิกรัม โดยแบ่งให้ ร้อยละ 15 ทันที และที่เหลือหยดทางหลอดเลือดดำช้าๆ ในเวลา 1 ชั่วโมง โดยมีการพิจารณาและพูดคุยกับ ญาติผู้ป่วยถึงประโยชน์และผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นก่อนพิจารณาให้ยา (+,ข๑))29 • ขณะให้ยา rt-PA ควรระมัดระวังไม่ให้ความดันโลหิตสูงเกิน 180/105 มิลลิเมตรปรอท • ขณะให้ยาละลายลิ่มเลือดควรวัดสัญญาณชีพและ NIHSS score เป็นระยะ ดังนี้ ทุก 15 นาที ติดต่อกัน 2 ชั่วโมง ทุก 30 นาที ติดต่อกัน 6 ชั่วโมง ทุก 1 ชั่วโมงติดต่อกัน 16 ชั่วโมง • ส่งทำ CT scan สมอง 24 ชั่วโมงหลังจากรับ rt- PA ในผู้ป่วยทุกราย • หลีกเลี่ยงการทำหัตการหรือการเจาะเลือดที่ไม่จำเป็นแก่ผู้ป่วย ภายใน 24 ชั่วโมงแรก • การให้ยา rt-PA ในผู้ป่วยที่ได้รับยาละลายลิ่มเลือดกลุ่ม direct thrombin inhibitors หรือ direct factorXa inhibitors ผู้ป่วยควรหยุดยาดังกล่าวมา > 2 วัน (กรณีการทำงานของไตปกติ) ผลทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ activated partial thromboplastin time, international normalized ratio, platelet count, ecarin clotting time, thrombin time, direct factor Xa activity assays อยู่ในเกณฑ์ปกติ


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 38 ข้อบ่งชี้ 1. มีอาการของหลอดเลือดสมองตีบ ภายใน 3 ชั่วโมง ในกรณีไม่ทราบเวลาที่เริ่มอาการอย่างชัดเจน หรือมีอาการหลังตื่นนอน ให้นับเวลาล่าสุดที่มีพยานยืนยันว่ามีอาการปกติเป็นเวลาที่เริ่มมีอาการ (last seen normal) 2. อายุมากกว่า 18 ปี 3. ผล CT brain ปกติ หรือพบลักษณะ early ischemic change* ข้อห้าม 1. ความดันโลหิตช่วงก่อนให้การรักษาสูง (SBP>185 mmHg, DBP>110 mmHg)** 2. มีประวัติเลือดออกในสมองมาก่อน 3. ตรวจพบเนื้องอกในสมอง 4. มีประวัติบาดเจ็บที่ศีรษะรุนแรงภายใน 3 เดือน 5. มีประวัติได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด warfarin โดยมีค่า prothrombin time มากกว่า 15 วินาที หรือมีค่า international normalized ratio (INR) มากกว่า 1.7 หรือมีประวัติการได้ยาในกลุ่ม Non vitamin K antagonist oral anticoagulant มีประวัติได้รับยากลุ่มนี้ภายใน 48 ชั่วโมง และมีผลการตรวจ การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (aPTT, INR, Plt. Count, ECT, TT, รวมทั้ง factor Xa activity assays ในกรณี ที่ทำได้ ) 6. ได้รับยา heparin ภายใน 48 ชั่วโมง และมีค่า partial-thromboplastin time ผิดปกติ 7. มีปริมาณเกล็ดเลือดน้อยกว่า 100,000/mm3 8. CT brain พบ hypodensity ที่เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือด MCA มากกว่า 1/3 distribution หรือพบเลือดออกในสมอง 9. ระดับน้ำตาลในเลือด < 50 mg/dl (2.7mmol/L)*** 10. มีประวัติผ่าตัดเนื้อสมอง (intracerebral) หรือเนื้อไขสันหลัง (intraspinal) ภายใน 3 เดือน 11. มีภาวะเลือดออกของภาวะภายใน active internal bleeding 12. ประวัติสงสัยภาวะ subarachnoid hemorrhage 13. ประวัติ arterial puncture at noncompresssible site ภายใน 7 วัน


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 39 Relative exclusion criteria 1. อาการทางระบบประสาทไม่รุนแรง (NIHSS น้อยกว่า 4) หรือดีขึ้นอย่างรวดเร็ว 2. มีอาการชักตั้งแต่เริ่มมีอาการ 3. มีประวัติผ่าตัดใหญ่หรืออุบัติเหตุรุนแรงภายใน 14 วัน 4. มีเลือดออกในทางเดินอาหารหรือทางเดินปัสสาวะภายใน 21 วัน 5. ประวัติกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดภายใน 3 เดือน 6. ตั้งครรภ์ * ลักษณะ early ischemic change on CT scan • Gray-white indistinction • Decrease density of brain tissue relative to attenuation of other parts of the same structure or contralateral hemisphere • Mild focal swelling or mass effect ( focal narrowing of CSF space as a result of compression by adjacent structures) ** พิจารณาให้การรักษาภาวะความดันโลหิตสูง โดยการให้ยาลดความดันโลหิตหยดทางหลอดเลือด ดำก่อน หากระดับความดันโลหิตลดลงน้อยกว่า 185/110 mmHg อาจพิจารณาให้ยาละลายลิ่มเลือดได้ *** ให้พิจารณาให้การรักษาภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ โดยให้น้ำตาลทางหลอดเลือดดำ เพื่อแยกภาวะ อาการผิดปกติทางระบบประสาทจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หากระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติแล้วยังมี อาการผิดปกติทางระบบประสาทอยู่ อาจพิจารณาให้ยาละลายลิ่มเลือดได้ ในกรณีที่มีอาการของโรคลอดเลือดสมองระหว่าง 3-4.5 ชั่วโมง ผู้ป่วยอาจพิจารณาให้ยาละลาย ลิ่มเลือดได้ หากไม่มีข้อห้ามเพิ่มดังนี้ • NIHSS > 25 (-,ง๑) ปัจจุบันมีการศึกษาเพิ่มเติมพบว่าข้อห้ามต่อไปนี้ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติต่อ ผลทางรักษาในกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำภายใน 3 ชั่วโมงเทียบกับกลุ่ม 3-4.5 ชั่วโมง อาจพิจารณาให้ยาละลายลิ่มเลือดในกลุ่มผู้ป่วยดังกล่าว โดยมีการพิจารณาและพูดคุยกับ ญาติผู้ป่วยถึงประโยชน์และผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นก่อนพิจารณาให้ยา (Relative exclusion criteria) • Previous stroke with DM* (+/-,ข๑) • Age > 80 years (+/-,ข๑) • History of anticoagulant regardless of INR (+/-,ข๑)


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 40 การติดตามประเมินและการรักษาภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยที่ได้รับยาละลายลิ่มเลือด ผู้ป่วยที่ได้รับยาละลายลิ่มเลือด ควรได้รับการประเมินอย่างดี ประเมิน vital signs และ neurological signs (GCS และ NIHSS) ทุก 15 นาที เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ตามด้วย ประเมินทุก 30 นาที เป็นเวลา 6 ชั่วโมง และทุก 60 นาที จนกระทั่งครบ 24 ชั่วโมง ควรทำ CT scan ซ้ำที่ 24 ชั่วโมงหลังให้ยา เพื่อติดตามว่ามีเลือดออกในสมองหรือไม่ ข้อควรระวังภายหลังการให้ยาละลายลิ่มเลือด 1. หลีกเลี่ยงการให้ยาต้านเกล็ดเลือด หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด ภายใน 24 ชั่วโมงหลังการรักษา 2. ต้องหยุดให้ rt-PA ทันทีที่สงสัยว่ามีเลือดออก และรีบทำการตรวจวินิจฉัย พร้อมทั้งให้การรักษา ทันที 3. ไม่ควรใส่หลอดอาหาร (NG tube) รวมทั้งการแทงหลอดเลือดดำใหญ่ (central venous access) หรือแทงหลอดเลือดแดงภายใน 24 ชั่วโมง 4. หลีกเลี่ยงการใส่สายสวนปัสสาวะ ในช่วงเวลาที่ให้ยาหรือภายหลังการให้ยา 30 นาที 5. ควบคุมความดันโลหิต ให้ SBP < 180 mmHg และ DBP < 105 mmHg เนื่องจากความดันโลหิต สูง จะเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกในสมองได้ การรักษาภาวะความดันโลหิตสูง ถ้าความดันโลหิตซิสโตลิก > 180 มิลลิเมตรปรอท หรือ ความดันโลหิตไดแอสโตลิก >110 มิลลิเมตร ปรอท แต่ไม่เกิน 140 มิลลิเมตรปรอท ให้ยา Nicardipine 5 มิลลิกรัม/ชั่วโมง หยดทางหลอดเลือดดำในช่วง แรก และค่อยๆปรับจนได้ความดันโลหิตที่ต้องการ โดยการเพิ่มขนาดยา 2.5 มิลลิกรัม/ชั่วโมง ทุก 5 นาที จนกระทั่งไม่เกิน 15 มิลลิกรัม/ชั่วโมง ถ้าความดันโลหิตไม่สามารถควบคุมได้ หรือความดันโลหิตไดแอสโตลิก >140 มิลลิเมตรปรอท พิจารณาให้ยา Sodium nitroprusside 0.5 ไมโครกรัม/กิโลกรัม/นาที ทาง หลอดเลือดดำ และค่อยๆ ปรับให้ได้ความดันตามที่ต้องการ การรักษาภาวะที่มีเลือดออกในสมองในผู้ป่วยได้รับยาละลายลิ่มเลือด 1. อาการและอาการแสดงที่สงสัยว่ามีเลือดออกในสมอง • อาการทางระบบประสาทเลวลงอย่างฉับพลัน • ปวดศีรษะ • ความดันโลหิตสูงขึ้นอย่างฉับพลัน • คลื่นไส้อาเจียน


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 41 2. ควรปฏิบัติดังนี้ • หยุดให้ยา rt-PA ทันที • ส่งผู้ป่วยทำ CT scan ทันที • เจาะเลือดตรวจ PT, aPTT, และ platelet count • เตรียม FFP ประมาณ 10 มิลลิลิตร/กิโลกรัม 3. เมื่อมีเลือดออกในสมอง • ตรวจสอบผลการตรวจ PT, aPTT และ platelet count • ปรึกษาประสาทศัลยแพทย์ทันที • ให้ FFP 10 มิลลิลิตร/กิโลกรัม • ประชุมปรึกษาแนวทางการรักษาร่วมกันทางด้านศัลยกรรมและอายุรกรรม • พิจารณาทำ CT scan ซ้ำ เพื่อดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงของขนาดของก้อนเลือดหรือไม่ ภายใน 24 ชั่วโมง


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 42 Appendix 9 แนวทางการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดระยะเฉียบพลัน โดยการรักษาผ่านสายสวนหลอดเลือด7,30 การรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดระยะเฉียบพลันโดยการรักษาผ่านสายสวนหลอดเลือด (Endovascular Treatments in Patients with Acute Ischemic Stroke) เป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษา ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดระยะเฉียบพลัน ที่สามารถทำในสถาบัน/ศูนย์โรคหลอดเลือดสมองที่มี ศักยภาพ มีบุคลากรที่มีประสบการณ์ มีเครื่องมือ มีการบริหารจัดการ Stroke fast track ที่มีประสิทธิภาพ เพียงพอ และมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทำหัตถการทางหลอดเลือดระบบประสาท เนื่องจากการรักษาผ่านสายสวน หลอดเลือดเป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการทำได้ จึงควรมีการคัดเลือกผู้ป่วยที่ เหมาะสมอย่างดีก่อนตัดสินใจให้การรักษา รายละเอียดแนวทาง มีดังนี้ 1. ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดระยะเฉียบพลันที่มีข้อบ่งชี้และไม่มีข้อห้ามในการได้รับยา ละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ ควรได้รับยาละลายลิ่มเลือดก่อน แม้ว่าจะพิจารณาให้การรักษาโดยการ รักษาผ่านสายสวนหลอดเลือด (++,ก๑) 2. ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดระยะเฉียบพลันที่เหมาะสมกับการได้รับการรักษาโดยการรักษา ผ่านสายสวนหลอดเลือด ควรมีคุณสมบัติครบตามเกณฑ์ทั้ง 7 ข้อ ดังนี้ (+,ก๑) 2.1.ผู้ป่วยมี mRS ก่อนมีอาการโรคหลอดเลือดสมอง 0-1 2.2.ควรพิจารณาให้ยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำในกรณีที่มีอาการภายใน 4.5 ชั่วโมง 2.3.อาการโรคหลอดเลือดสมองมีสาเหตุจากหลอดเลือด internal carotid artery (ICA) หรือ middle cerebral artery (MCA) ส่วนต้น (M1 segment) อุดตัน 2.4.อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป 2.5. มีค่า NIHSS ≥ 6 2.6. มีค่า ASPECTS ≥ 6 2.7.สามารถได้รับการรักษาผ่านสายสวนหลอดเลือดโดยการแทงสายสวนที่ขาหนีบ (groin puncture) ได้ ภายใน 6 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ 3. ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดระยะเฉียบพลัน ควรได้รับการส่งตรวจสมองทางรังสีวินิจฉัย อย่างรวดเร็ว โดย nonenhanced CT ก่อนที่จะเริ่มการรักษาใดๆที่เฉพาะเจาะจงสำหรับโรคหลอดเลือดสมอง เฉียบพลัน เพื่อที่จะให้ข้อมูลที่จำเป็นในการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการภาวะฉุกเฉินในผู้ป่วย (+,ก๒)


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 43 4. หากพิจารณาการรักษาด้วยการใส่สายสวนทางหลอดเลือด ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจหลอดเลือด สมอง โดยวิธี noninvasive intracranial vascular study (CTA/MRA) เพื่อประเมินผลการตรวจทางรังสี วินิจฉัยเริ่มต้น แต่ไม่ควรให้การตรวจโดยวิธีดังกล่าว ทำให้ผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้การรับยาละลายลิ่มเลือดทางหลอด เลือดดำได้รับรักษาล่าช้า โดยผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ในการรับยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ ควรเริ่มต้นให้ยา ละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำก่อนที่จะตรวจหลอดเลือดสมองโดยวิธี noninvasive vascular study ในกรณีที่ noninvasive vascular study ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการประเมินการส่งตรวจทางรังสีวินิจฉัยเบื้อง ต้นสำหรับโรคหลอดเลือดสมอง (+,ก๒) 5. การรักษาโดยการใส่สายสวนหลอดเลือด ควรทำเมื่อมีความพร้อมอย่างครบถ้วนดังต่อไปนี้ (+,ง๑) 5.1 ในโรงพยาบาลที่มีความพร้อม 5.2 ทำโดยแพทย์ที่ได้วุฒิบัตรหรือหนังสืออนุมัติบัตรอนุสาขารังสีร่วมรักษาระบบประสาท จาก แพทยสภา 5.3 สามารถทำการตรวจหลอดเลือดสมองโดยใส่สายสวนผ่านทางหลอดเลือดได้อย่างรวดเร็ว 5.4 มีระบบการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการออกแบบให้มีการติดตาม ประเมินผล บันทึกผลการรักษาของ ผู้ป่วย และประเมินความปลอดภัยในการรักษาผู้ป่วยได้ด้วย 6. ผู้ป่วยบางรายที่มีอาการโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดสาเหตุจากหลอดเลือด internal carotid artery (ICA) หรือ middle cerebral artery (MCA) ส่วนต้น (M1 segment) อุดตัน อาจให้การรักษา โดยการรักษาผ่านสายสวนหลอดเลือดในช่วงเวลา 6-24 ชั่วโมงหลังจากเริ่มมีอาการของเส้นเลือดสมองขาด เลือดได้โดยที่สามารถตรวจประเมิน volume mismatch ระหว่าง ischemic core และ perfusion lesion ได้จาก CT perfusion หรือ diffusion and perfusion MRI ในโรงพยาบาลหรือสถาบันที่มีความพร้อมของ บุคลากรและเครื่องมือทางการแพทย์ (+,ข๑) 7. ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดบางรายที่มีอาการจากหลอดเลือด basilar artery อุดตัน สามารถพิจารณาให้การรักษาโดยการรักษาผ่านสายสวนหลอดเลือดได้ในช่วงเวลา 12 ชั่วโมงหลังจากเริ่ม มีอาการของหลอดเลือดสมองขาดเลือด ในโรงพยาบาลที่มีความพร้อมของเครื่องมือและบุคลากรทางการแพทย์ (+, ข๑)


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 44 Appendix 10 National Institute of Health Stroke Scale, Thai version (NIHSS-T)31,32,33 ข้อแนะน�ำในการตรวจ NIHSS, Thai version31 ให้ประเมินผู้ป่วยตามคำแนะนำ จากนั้นบันทึกคะแนนทันทีเมื่อตรวจเสร็จ ห้ามย้อนกลับเพื่อ เปลี่ยนแปลงคะแนน คะแนนที่ให้จะบอกถึงความสามารถที่ผู้ป่วยทำได้จริง “ไม่ใช่” สิ่งที่ผู้ตรวจคิดว่าผู้ป่วย น่าจะทำได้ การตรวจควรเป็นไปอย่างรวบรัด “ไม่ควร” กล่าวเป็นนัยหรือกล่าวซ้ำเพื่อให้ผู้ป่วยทำในสิ่งที่ ต้องการ แต่อาจทำได้ในบางกรณี ซึ่งจะระบุไว้ในแต่ละข้อย่อย 1 ระดับความรู้สึกตัว (Level of consciousness, LOC) ผู้ตรวจจะต้องให้คะแนนเสมอ แม้ว่าจะทำการตรวจในกรณีที่มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถประเมินได้อย่าง ครบถ้วน เช่นในผู้ป่วยที่ได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจ หรือมีภยันตรายที่เกิดขึ้นกับหลอดลม หรือผู้ป่วยที่ใช้ภาษา อื่น จะให้คะแนน “3” เฉพาะผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อความเจ็บป่วยเลย โดยในผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจพบเพียงปฏิกิริยา การตอบสนองอัตโนมัติเท่านั้น 1a. ระดับความรู้สึกตัว (Level of consciousness, LOC): 0 รู้ตัวดี ตอบสนองเป็นปกติ 1 ง่วงซึม ปลุกตื่นได้ง่ายเมื่อตื่นถามตอบรู้เรื่องและสามารถทำตามสั่งได้ 2 หลับตลอดเวลา ปลุกตื่นได้แต่ต้องใช้ตัวกระตุ้นแรงๆซ้ำๆกันหลายครั้งหรืออาจจำเป็นต้อง ใช้สิ่งเร้าที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด 3 ไม่ตอบสนองแต่สามารถตรวจพบปฏิกิริยาอัตโนมัติ(reflex) ได้ 1b. ระดับความรู้สึกตัว: ค�ำถาม (LOC:Questions) ให้ถามชื่อเดือน และอายุปัจจุบันของผู้ป่วย ผู้ตรวจจะให้คะแนนตามคำตอบที่ถูกต้องเท่านั้น ไม่มีคะแนนให้สำหรับคำตอบที่ใกล้เคียง ในรายที่มีความผิดปกติของการเข้าใจภาษา (aphasia) หรือผู้ที่สูญ เสียระดับความรู้สึกตัวและไม่เข้าใจคำถามจะได้คะแนน “2” ในผู้ป่วยที่พูดไม่ได้เนื่องจากการใส่ท่อช่วยหายใจ หรือมีภยันตรายของหลอดลม ผู้ป่วยที่พูดไม่ชัดอย่างมากไม่ว่าจากสาเหตุใดๆ ก็ตาม ผู้ป่วยที่ไม่เข้าใจภาษา ไทยหรือตอบปัญหาไม่ได้เนื่องจากปัญหาอื่นๆ ที่ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของความเข้าใจภาษา (aphasia) จะได้คะแนน “1” คำตอบแรกมีความสำคัญมาก เนื่องจากเป็นคำตอบที่ใช้คิดคะแนน ห้ามผู้ทดสอบกล่าวเป็น นัยให้ทราบหรือใช้ท่าทางเพื่อนำไปสู่คำตอบที่ต้องการ 0 ตอบได้ถูกต้องทั้ง 2 ข้อ 1 ตอบได้ถูกต้องเพียง 1 ข้อ 2 ไม่สามารถตอบคำถามได้หรือตอบผิดทั้ง 2 ข้อ


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 45 1c. ระดับความรู้สึกตัว: ค�ำสั่ง (LOC: Commands) ให้ปฏิบัติตามคำบอก 2 ข้อคือ 1. ลืมตาและหลับตา 2. กำมือและแบมือข้างที่ไม่อ่อนแรง ในกรณีที่มือทั้งสองข้างไม่สามารถใช้งานได้ผู้ตรวจอาจใช้คำสั่งขั้นตอนเดียวอื่นๆ ที่ไม่ยากนักใน การประเมิน ในกรณีที่กำมือหรือแบมือได้แต่ไม่เต็มที่เนื่องจากการอ่อนแรงให้ถือว่าสามารถทำได้ สำหรับ ผู้ที่ไม่ทำตามสั่ง ให้ใช้ท่าทางช่วยให้เข้าใจหรือให้ทำตามได้ จากนั้นจึงให้คะแนนตามที่ปฏิบัติจริง (เช่นไม่ทำตามสั่งเลย, สามารถทำตามสั่งได้หนึ่งข้อ, สามารถทำได้ทั้งสองข้อ) ในกรณีที่มีการบาดเจ็บถูกตัดแขนหรือมีปัญหาทางร่างกายของส่วนที่ใช้ในการปฏิบัติตามคำสั่ง ข้างต้นให้ใช้คำสั่งขั้นตอนเดียวอื่นๆ ทดแทนได้ โดยจะให้คะแนนเฉพาะการตอบสนองแรกเท่านั้น 0 ทำได้ถูกต้องทั้ง 2 อย่าง 1 ทำได้ถูกต้องเพียงอย่างเดียว 2 ไม่ทำตามสั่งหรือทำไม่ถูกต้อง 2.การเคลื่อนไหวของตา (Best Gaze) ประเมินเฉพาะการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อตาในแนวนอนเท่านั้น โดยให้มองตามหรือตรวจปฏิกิริยา ตอบสนองชนิด oculocephalic ในกรณีที่ตามองไปด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว (conjugate gaze deviation) ให้สั่งผู้ป่วยมองไปด้านตรงข้ามหรือตรวจปฏิกิริยาตอบสนอง oculocephalic ถ้าทำได้จะได้ คะแนนเท่ากับ “1” ในกรณีที่พบความผิดปกติของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 3, 4 หรือ 6 ผู้ป่วยจะได้คะแนน เท่ากับ “1” การตรวจนี้สามารถทำได้แม้ในผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องความเข้าใจภาษา (aphasia) แนะนำให้ตรวจ ด้วยปฏิกิริยาตอบสนอง oculocephalic ในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของการมองเห็นนอกจากนี้อาจใช้เทคนิค การมองตาผู้ป่วย (eye contact) จากนั้นสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของตาผู้ป่วยที่มีต่อการเคลื่อนไหวของผู้ตรวจ โดยวิธีนี้อาจช่วยบอกความผิดปกติได้ 0 มองตามได้เป็นปกติ 1 ตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้างเหลือบมองไปด้านข้างได้ แต่ไม่สุด 2 เหลือบตามองไปด้านข้างไม่ได้เลย หรือมองไปด้านหนึ่งด้านใดจนสุดโดยไม่สามารถแก้ไขได้ด้วย oculocephalic maneuver


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 46 3.การมองเห็น (Visual Field) ให้ประเมินลานสายตาของผู้ป่วยด้วยวิธี confrontation test ทั้ง 4 ตำแหน่ง (quadrant) โดยใช้ visual threat หรือให้ผู้ป่วยนับนิ้ว ถ้ามีการตอบสนองอย่างเหมาะสม ก็ถือว่าผลการตรวจเป็นปกติ ในกรณีที่ ผู้ป่วยตาบอดหรือได้รับการผ่าตัดตาให้ตรวจลานสายตาเฉพาะข้างที่เหลืออยู่ คะแนน “1” จะให้เฉพาะกรณี ที่ตรวจพบความผิดปกติของลานสายตาบางส่วน หรือเป็น quadrantanopia เท่านั้น ผู้ป่วยที่ตาบอดทั้ง 2 ข้างไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตามจะได้คะแนน “3” ผู้ตรวจควรใช้เทคนิค double simultaneous stimulation ร่วมด้วย (โดยกระตุ้นให้มองที่ลานสายตาทั้งสองข้างพร้อมกัน) ซึ่งถ้าพบภาวะ visual extinction ผู้ป่วยจะ ได้คะแนนเท่ากับ “1” ในหัวข้อ 11 0 ลานสายตาปกติ 1 ลานสายตาผิดปกติบางส่วน (Partial hemianopia) 2 ลานสายตาผิดปกติครึ่งซีก (Complete hemianopia) 3 มองไม่เห็นทั้ง 2 ตา (ตาบอด) 4. การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้า (Facial Palsy) ใช้คำสั่งหรือแสดงท่าทางให้ผู้ป่วยยิงฟันหรือยิ้มและหลับตา จากนั้นจึงประเมินการอ่อนแรงของ กล้ามเนื้อใบหน้า สำหรับผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือหรือมีระดับความรู้ตัวผิดปกติ ให้กระตุ้นโดยใช้สิ่งเร้าที่ทำให้เกิด ความเจ็บปวดแล้วสังเกตการตอบสนองของสีหน้าว่ามีความสมมาตรกันหรือไม่ ผู้ประเมินอาจต้องเคลื่อนย้ายสิ่งปกปิดใบหน้าออกเท่าที่ทำได้ในกรณีที่ผู้ป่วยได้ภยันตรายบริเวณ ใบหน้า ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการทำแผลหรือผู้ป่วยที่ได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจ หรือมีสาเหตุอื่นที่ต้องได้รับการ ปกปิดใบหน้า 0 ไม่พบมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อใบหน้า สามารถเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อใบหน้าได้เป็นปกติ 1 กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงเล็กน้อย พอสังเกตเห็นมุมปากตก หรือไม่เท่ากันเมื่อยิ้ม 2 กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงมาก แต่ยังพอเคลื่อนไหวได้บ้าง 3 ไม่สามารถเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อใบหน้าในข้างหนึ่งข้างใด หรือทั้ง 2 ข้างได้เลย


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 47 5.ก�ำลังของกล้ามเนื้อแขน (Motor arm) ตรวจได้ทั้งท่านั่ง หรือท่านอน ท่านั่ง : ให้ผู้ป่วยเหยียดแขนออกไปด้านหน้าจนสุด ค้างไว้ 10 วินาทีในท่าคว่ำมือ โดยทำมุม 90 องศากับลำตัว ท่านอน : ให้ผู้ป่วยเหยียดแขนออกไปด้านหน้าจนสุด ค้างไว้ 10 วินาทีในท่าควำ่มือ โดยทำมุม 45 องศากับลำตัว โดยจะตัดสินว่าอ่อนแรงเมื่อแขนตกก่อน 10 วินาที ตรวจทั้ง 2 ข้าง ให้คะแนนทีละข้าง สำหรับ ผู้ที่มีความผิดปกติของการเข้าใจภาษา (aphasia) ให้ใช้ท่าทางหรือน้ำเสียงกระตุ้นให้ผู้ป่วยปฏิบัติตามได้ไม่ แนะนำให้ใช้สิ่งเร้าที่เกิดความเจ็บปวด การตรวจควรเริ่มจากแขนหรือขาข้างที่ปกติก่อนโดยตรวจทีละข้าง จะให้คะแนน “UN” เฉพาะกับผู้ป่วยที่ถูกตัดแขน หรือมีการยึดตัวของข้อไหล่ ในกรณีนี้ผู้ตรวจควร เขียนเหตุผลดังกล่าวให้ชัดเจน 0 ยกแขนสูง ทำมุม 90º กับลำตัวในท่านั่ง หรือ 45º ในท่านอนหงายและสามารถคงไว้ในตำแหน่ง ที่ต้องการได้ตลอด 10 วินาที 1 ยกแขนสูง ทำมุม 90º กับลำตัวในท่านั่ง หรือ 45º ในท่านอนหงายและสามารถคงไว้ในตำแหน่ง ที่ต้องการได้ไม่ถึง 10 วินาที โดยที่แขนไม่ตกลงบนเตียง 2 ยกแขนขึ้นได้บ้าง แต่ไม่สามารถคงไว้ในตำแหน่งที่ต้องการได้ จากนั้นแขนตกลงบนเตียง 3 ไม่สามารถยกแขนขึ้นได้ 4 ไม่มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อแขน UN แขนพิการหรือถูกตัด หรือพบมีปัญหาข้อติดยึดที่ไม่สามารถแปลผลการตรวจได้ 5A ข้างซ้าย: คะแนน 5B ข้างขวา: คะแนน


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 48 6.ก�ำลังของกล้ามเนื้อขา (Motor Leg) ตรวจกำลังของกล้ามเนื้อขา (ตรวจในท่านอนเสมอ) โดยให้ยกขาทีละข้างสูงทำมุม 30º ในท่าเหยียด ค้างไว้ 5 วินาที โดยจะตัดสินว่าอ่อนแรงเมื่อขาตกลงก่อน 5 วินาที ตรวจทั้ง 2 ข้างให้คะแนนทีละข้าง สำหรับ ผู้ที่มีความผิดปกติของการเข้าใจภาษา (aphasia) ให้ใช้ท่าทางหรือน้ำเสียงกระตุ้นให้ผู้ป่วยปฏิบัติตามได้ ไม่แนะนำให้ใช้สิ่งเร้าที่เกิดความเจ็บปวด การตรวจควรเริ่มจากแขนหรือขาข้างที่ปกติก่อนโดยตรวจทีละข้าง จะให้คะแนน “UN” เฉพาะกับผู้ป่วยที่ถูกตัดขา หรือมีการยึดตัวของข้อสะโพก ในกรณีนี้ผู้ตรวจ ควรเขียนเหตุผลดังกล่าวให้ชัดเจน 0 สามารถยกขาขึ้น ให้สะโพกทำมุม 30º กับพื้นในท่านอนหงาย คงตำแหน่งที่ต้องการได้ตลอด 5 วินาที 1 สามารถยกขาขึ้น ให้สะโพกทำมุม 30º กับพื้นในท่านอนหงายได้ไม่ถึง5 วินาที ก็ต้องลดขาลง แต่ขาไม่ตกลงบนเตียง 2 ยกขาขึ้นได้บ้างในท่านอนหงาย แต่ไม่ถึงตำแหน่งที่ต้องการหรือขาตกลงบนเตียงก่อน 5 วินาที 3 ไม่สามารถยกขาขึ้นจากเตียงได้ในท่านอนหงาย 4 ไม่มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อขา UN ขาพิการหรือถูกตัด หรือพบมีปัญหาข้อติดยึดที่ไม่สามารถแปลผลการตรวจได้ 6A ข้างซ้าย: คะแนน 6B ข้างขวา: คะแนน


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 49 7.การประสานงานของแขนขา (Limb ataxia) ตรวจ finger to nose to finger โดยให้ผู้ป่วยใช้นิ้วแตะปลายจมูกของตนเองจากนั้นให้เหยียดแขน จนสุดเพื่อแตะปลายนิ้วของผู้ตรวจ ทำสลับกันไปมา และดูการเคลื่อนไหวว่าแม่นยำหรือไม่ จากนั้นตรวจ heel to shin test (ให้ผู้ป่วยยกส้นเท้ามาแตะที่หัวเข่า แล้วลากลงผ่านสันหน้าแข้งจนสุด และทำซ้ำอย่างต่อเนื่อง กันไปเรื่อยๆ เพื่อดูการเคลื่อนไหวของเท้าว่าปกติหรือไม่) ให้ประเมินทั้ง 2 ข้าง ในกรณีที่ลานสายตาผิดปกติ ให้ทำการตรวจดังกล่าวเฉพาะในบริเวณที่ลานสายตาปกติโดยจะถือว่ามี ataxia ต่อเมื่อพบความผิดปกติของ การเคลื่อนไหวที่ชัดเจน ให้ถือว่าไม่พบ ataxia ในผู้ป่วยที่มีแขนขาอ่อนแรงรุนแรงขยับไม่ได้ (hemiplegia) หรือในผู้ป่วยที่ไม่เข้าใจคำสั่ง คะแนน “UN” จะให้เฉพาะกับผู้ป่วยที่ถูกตัดแขน ขาหรือมีภาวะข้อติดเท่านั้น โดยระบุเหตุผลให้ ชัดเจนในผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านการมองเห็น ให้ตรวจเฉพาะ finger to nose test ได้ 0 การประสานงานของแขนขาทั้ง 2 ข้างทำงานเป็นปกติ 1 มีปัญหาในการประสาทงานของแขนหรือขา 1 ข้าง 2 มีปัญหาในการประสานงานของแขนหรือขา 2 ข้าง UN แขนหรือขาพิการหรือถูกตัด หรือพบมีปัญหาข้อติดยึดที่ไม่สามารถแปลผลการตรวจได้ 8.การรับความรู้สึก (Sensory) ประเมินการรับความรู้สึกตามคำบอกเล่าของผู้ป่วย ในผู้ป่วยที่มีความรู้สึกตัวลดลงหรือมีความผิด ปกติของความเข้าใจภาษา (aphasia) ให้ดูการตอบสนองของสีหน้าหรือการชักแขนหนีที่มีต่อวัตถุปลายแหลม ควรตรวจหลายๆ ตำแหน่งของร่างกายเช่น แขน ขา ลำตัว ใบหน้า หรือบริเวณอื่นเพื่อให้มั่นใจว่าผิดปกติจริง ผู้ที่มีความผิดปกติด้านความรู้สึกที่รุนแรงจะได้คะแนน “2” โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้จะไม่ทราบว่าถูกสัมผัส ในผู้ที่สูญเสียความรู้สึกตัวหรือมีความผิดปกติของการเข้าใจภาษา (aphasia) อาจให้คะแนน “0” หรือ “1” สำหรับผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพของตำแหน่งก้านสมองและสูญเสียการรับความรู้สึกของร่างกายทั้ง 2 ด้าน หรือผู้ที่ไม่ตอบสนองและมีอาการแขนขาอ่อนแรง จะได้รับคะแนน “2” เช่นเดียวกับผู้ที่หมดสติลึก (coma, 1a=3) เฉพาะความผิดปกติของการรับความรู้สึกที่เกิดจากโรคหลอดเลือดสมองเท่านั้นที่จะถูกนำมาคิด คะแนน 0 การรับความรู้สึกเป็นปกติ 1 สูญเสียการรับความรู้สึกในระดับน้อยถึงปานกลาง การรับความรู้สึกจากวัตถุปลายแหลมลดลง แต่ยังสามารถบอกได้ถึงความรู้สึกในบริเวณที่ถูกกระตุ้น 2 สูญเสียการรับความรู้สึกในระดับรุนแรง ไม่รู้สึกว่าถูกสัมผัสในบริเวณใบหน้า แขนและขา


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 50 9. ความสามารถด้านภาษา (Best Language) ความสามารถในการสื่อสารและความเข้าใจภาษาจะถูกประเมินจากการตรวจที่ผ่านมา สำหรับ ข้อนี้ผู้ป่วยจะถูกประเมินโดยให้บรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นในภาพ (รูปที่ 1), บอกชื่อสิ่งของต่างๆ (รูปที่2) และให้อ่าน ประโยคที่ได้แนบมากับแบบทดสอบนี้ (รูปที่ 3) ความเข้าใจภาษาจะถูกประเมินจากการตอบสนองต่อคำสั่งที่ ใช้ในการตรวจร่างกาย ในกรณีที่การมองเห็นผิดปกติ ให้ตรวจโดยให้ผู้ป่วยกำสิ่งของที่คุ้นเคย จากนั้นบอกชื่อ ของสิ่งนั้นและพูดซ้ำๆ เพื่อฟังความชัดเจนของการออกเสียง ในผู้ที่ได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจ ให้ประเมิน โดยการเขียน ในผู้ที่ไม่รู้สึกตัว (coma, 1a=3) จะได้รับคะแนน “3” ในหัวข้อนี้ ผู้ประเมินจะต้องให้คะแนน เสมอไม่เว้นแม้ในผู้ป่วยที่มีความรู้สึกตัวเปลี่ยนไป (ซึมเศร้าหรือ ไม่ร่วมมือ) อย่างไรก็ตามคะแนน “3” จะให้ เฉพาะกับผู้ป่วยที่ไม่พูดและไม่สามารถตอบสนองต่อคำสั่งอย่างเหมาะสมเท่านั้น 0 การสื่อภาษาเป็นปกติ 1 การสื่อภาษาสูญเสียไปในระดับน้อย ถึงปานกลาง มีการสูญเสียความเข้าใจหรือความสามารถ ในการใช้ภาษา แต่ผู้ทดสอบยังพอที่จะเข้าใจได้ว่าผู้ป่วยกำลังพูดถึงอะไรอยู่ 2 การสื่อภาษาสูญเสียอย่างรุนแรงผู้ป่วยไม่สามารถสื่อสารให้เข้าใจได้ และผู้ทดสอบไม่สามารถ ทราบได้ว่าผู้ป่วยกำลังพูดถึงอะไร 3 ไม่พูดหรือไม่เข้าใจภาษาที่ผู้ตรวจพยายามสื่อสารและไม่สามารถแสดงท่าทาง พูดหรือเขียนให้ ผู้อื่นเข้าใจได้ (global aphasia) 10.การออกเสียง (Dysarthria) ประเมินความชัดเจนของการออกเสียงโดยให้อ่านคำหรือประโยคสั้นๆ ที่เตรียมไว้ในส่วนท้ายของ แบบทดสอบ(รูปที่4) ในผู้ที่มีความผิดปกติของการเข้าใจภาษา (aphasia) ให้ประเมินความชัดเจนของการออก เสียงเมื่อผู้ป่วยพูด เฉพาะผู้ที่ได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจหรือมีปัญหาทางกายอื่นๆที่มีผลต่อการเปล่งเสียงเท่านั้น ที่จะได้คะแนนเท่ากับ “UN” โดยผู้ตรวจต้องระบุเหตุผลให้ชัดเจน นอกจากนี้ไม่ควรแจ้งให้ผู้ป่วยทราบว่ากำลัง ตรวจความชัดเจนของการออกเสียงอยู่ 0 เปล่งเสียงได้ชัดเจนเป็นปกติ 1 พูดไม่ชัดเล็กน้อยถึงปานกลางผู้ป่วยพูดไม่ชัดเป็นบางคำ แต่ผู้ตรวจพอเข้าใจได้ 2 พูดไม่ชัดอย่างมากหรือไม่พูดไม่สามารถเข้าใจคำพูดของผู้ป่วยได้ โดยไม่มีความผิดปกติของ ความเข้าใจภาษา UN ผู้ที่ได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจ หรือมีปัญหาทางกายอื่นๆที่มีผลต่อการเปล่งเสียงเท่านั้น


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 51 11.การขาดความสนใจในด้านหนึ่งด้านใดของร่างกาย(Extinctionand inattention) ข้อมูลจากการตรวจที่ผ่านมาอาจเพียงพอที่จะระบุว่าผู้ป่วยมีภาวะ inattention หรือไม่ ในกรณี ที่สูญเสียความสามารถในการมองเห็นแต่การรับความรู้สึกทางผิวหนังทั้ง 2 ข้างเป็นปกติ ให้ถือว่าไม่พบภาวะ Inattention เช่นเดียวกับผู้ที่มีความผิดปกติของความเข้าใจภาษา (aphasia) แต่แสดงถึงความสนใจต่อสิ่งเร้า ทั้ง 2 ด้าน ก็ถือว่าผลการตรวจเป็นปกติ การตรวจพบว่าผู้ป่วยขาดความสนใจต่อสิ่งเร้า (visuospatial neglect, anosognosia) ในด้าน ใดด้านหนึ่งของร่างกาย ให้ถือว่ามีภาวะ neglect โดยหัวข้อนี้จะถือว่าผิดปกติก็ต่อเมื่อตรวจพบเท่านั้น 0 ไม่พบความผิดปกติ 1 พบความผิดปกติของการรับรู้ชนิดใดชนิด1หนึ่งดังต่อไปนี้คือ การมองเห็น การสัมผัส หรือการ ได้ยิน เมื่อมีการกระตุ้นทั้ง 2 ข้างพร้อมๆ กัน 2 มีความผิดปกติของการรับรู้มากกว่า 1 ชนิด หรือผู้ป่วยไม่รับรู้ว่าเป็นมือของตนเอง หรือสนใจ ต่อสิ่งเร้าเพียงด้านเดียว รูปที่ 1 : ดูภาพแล้วบรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นในภาพ


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 52 รูปที่ 2 : บอกชื่อสิ่งของต่างๆ ในภาพ รูปที่ 3 : อ่านประโยคต่อไปนี้ รูปที่ 4 :ให้อ่านออกเสียงค�ำต่อไปนี้


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 53 แบบประเมิน NIHSS-T National Institute of Health Stroke Scale, Thai version (NIHSS-T) หัวข้อ ชื่อการประเมิน การตอบสนอง 1a ระดับความรู้สึกตัว (Level of consciousness) 0 = รู้ตัวดี ตอบสนองเป็นปกติ 1 = ง่วงซึม ปลุกตื่นได้ง่าย เมื่อตื่นถามตอบรู้เรื่องและ สามารถทำตามสั่งได้ 2 = หลับตลอดเวลาปลุกตื่นได้แต่ต้องใช้ตัวกระตุ้นแรงๆ ซำ้ๆ กันหลายครั้งหรืออาจจำเป็นต้องใช้สิ่งเร้าที่ทำให้เกิด ความเจ็บปวด 3 = ไม่ตอบสนองแต่สามารถตรวจพบปฏิกิริยาอัตโนมัติ (reflex) ได้ 1b ค�ำถาม (Question) (เดือน,อายุ) 0 = ตอบได้ถูกต้องทั้ง 2 ข้อ 1 = ตอบได้ถูกต้องเพียง 1 ข้อ 2 = ไม่สามารถตอบคำถามได้หรือตอบผิดทั้ง 2 ข้อ 1c ค�ำสั่ง (Commands) หลับตา และลืมตา ก�ำมือและแบมือ 0 = ทำได้ถูกต้องทั้ง 2 อย่าง 1 = ทำได้ถูกต้องเพียงอย่างเดียว 2 = ไม่ทำตามสั่ง หรือทำไม่ถูกต้อง 2 การเคลื่อนไหวของตา (Best Gaze) 0 = มองตามได้เป็นปกติ 1 = ตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง เหลือบมองไปด้านข้าง ได้ แต่ไม่สุด 2 = เหลือบตามองไปด้านข้างไม่ได้เลย หรือมองไปด้านหนึ่ง ด้านใด จนสุดโดยไม่สามารถแก้ไขได้ด้วย oculo-cephalic maneuver 3 การมองเห็น (Visual Field) 0 = ลานสายตาปกติ 1 = ลานสายตาผิดปกติบางส่วน (Partial hemianopia) 2 = ลานสายตาผิดปกติครึ่งซีก (Complete hemianopia) 3 = มองไม่เห็นทั้ง 2 ตา (ตาบอด)


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 54 หัวข้อ ชื่อการประเมิน การตอบสนอง 4 การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ใบหน้า (Facial Palsy) 0 = ไม่พบมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อใบหน้า สามารถ เคลื่อนไหวกล้ามเนื้อใบหน้าได้เป็นปกติ 1 = กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงเล็กน้อย พอสังเกตเห็นมุมปาก ตก หรือไม่เท่ากันเมื่อยิ้ม 2 = กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงมาก แต่ยังพอเคลื่อนไหวได้บ้าง 4 = ไม่สามารถเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อใบหน้าในข้างหนึ่งข้างใด หรือทั้ง 2 ข้างได้เลย 5 ก�ำลังของกล้ามเนื้อแขน (Motor arm) a. ซ้าย b. ขวา 0 = ยกแขนสูง ทำมุม 90º กับลำตัวในท่านั่ง หรือ 45º ในท่านอนหงายและสามารถคงไว้ในตำแหน่งที่ต้องการ ได้ตลอด 10 วินาที 1 = ยกแขนสูง ทำมุม 90º กับลำตัวในท่านั่ง หรือ 45º ในท่า นอนหงายและสามารถคงไว้ในตำแหน่งที่ต้องการได้ ไม่ถึง 10 วินาที โดยที่แขนไม่ตกลงบนเตียง 2 = ยกแขนขึ้นได้บ้าง แต่ไม่สามารถคงไว้ในตำแหน่งที่ ต้องการได้ จากนั้นแขนตกลงบนเตียง 3 = ไม่สามารถยกแขนขึ้นได้ 4 = ไม่มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อแขน UN = แขนพิการหรือถูกตัด หรือพบมีปัญหาข้อติดยึดที่ไม่ สามารถแปลผลการตรวจได้ 6 ก�ำลังของกล้ามเนื้อขา (Motor Leg) a. ซ้าย b. ขวา 0 = สามารถยกขาขึ้น ให้สะโพกทำมุม 30º กับพื้นในท่า นอนหงาย คงตำแหน่งที่ต้องการได้ตลอด 5 วินาที 1 = สามารถยกขาขึ้น ให้สะโพกทำมุม 30º กับพื้นในท่า นอนหงายได้ไม่ถึง 5 วินาที ก็ต้องลดขาลงแต่ขาไม่ตกลง บนเตียง 2 = ยกขาขึ้นได้บ้างในท่านอนหงาย แต่ไม่ถึงตำแหน่งที่ ต้องการหรือขาตกลงบนเตียงก่อน 5 วินาที 3 = ไม่สามารถยกขาขึ้นจากเตียงได้ในท่านอนหงาย 4 = ไม่มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อขา UN = ขาพิการหรือถูกตัด หรือพบมีปัญหาข้อติดยึดที่ไม่ สามารถแปลผลการตรวจได้


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 55 หัวข้อ ชื่อการประเมิน การตอบสนอง 7 การประสานงานของแขนขา (Limb ataxia) 0 = การประสานงานของแขนขาทั้ง 2 ข้างทำงานเป็นปกติ 1 = มีปัญหาในการประสาทงานของแขนหรือขา 1 ข้าง 2 = มีปัญหาในการประสานงานของแขนหรือขา 2 ข้าง UN = แขนหรือขาพิการหรือถูกตัด หรือพบมีปัญหาข้อติด ยึดที่ไม่สามารถแปลผลการตรวจได้ 8 การรับความรู้สึก (Sensory) 0 = การรับความรู้สึกเป็นปกติ 1 = สูญเสียการรับความรู้สึกในระดับน้อยถึงปานกลาง การรับความรู้สึกจากวัตถุปลายแหลมลดลง แต่ยัง สามารถบอกได้ถึงความรู้สึกในบริเวณที่ถูกกระตุ้น 2 = สูญเสียการรับความรู้สึกในระดับรุนแรง ไม่รู้สึกว่าถูก สัมผัสในบริเวณใบหน้า แขนและขา 9 ความสามารถด้านภาษา (Best Language) 0 = การสื่อภาษาเป็นปกติ 1 = การสื่อภาษาสูญเสียไปในระดับน้อย ถึงปานกลาง มีการ สูญเสียความเข้าใจหรือความสามารถในการใช้ภาษา แต่ผู้ทดสอบยังพอที่จะเข้าใจได้ว่าผู้ป่วยกำลังพูดถึง อะไรอยู่ 2 = การสื่อภาษาสูญเสียอย่างรุนแรง ผู้ป่วยไม่สามารถสื่อสาร ให้เข้าใจได้ และผู้ทดสอบไม่สามารถทราบได้ว่าผู้ป่วย กำลังพูดถึงอะไร 3 = ไม่พูดหรือไม่เข้าใจภาษาที่ผู้ตรวจพยายามสื่อสารและไม่ สามารถแสดงท่าทาง พูดหรือเขียนให้ผู้อื่นเข้าใจได้ (global aphasia)


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 56 หัวข้อ ชื่อการประเมิน การตอบสนอง 10 การออกเสียง (Dysarthria) 0 = เปล่งเสียงได้ชัดเจนเป็นปกติ 1 = พูดไม่ชัดเล็กน้อยถึงปานกลางผู้ป่วยพูดไม่ชัดเป็นบางคำ แต่ผู้ตรวจพอเข้าใจได้ 2 = พูดไม่ชัดอย่างมากหรือไม่พูดไม่สามารถเข้าใจคำพูดของ ผู้ป่วยได้ โดยไม่มีความผิดปกติของความเข้าใจภาษา UN = ผู้ที่ได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจ หรือมีปัญหาทาง การอื่นๆ ที่มีผลต่อการเปล่งเสียงเท่านั้น 11 การขาดความสนใจในด้าน หนึ่งด้านใดของร่างกาย (Extinction and inattention) 0 = ไม่พบความผิดปกติ 1 = พบความผิดปกติของการรับรู้ชนิดใดชนิด 1หนึ่ง ดังต่อ ไปนี้คือ การมองเห็น การสัมผัส หรือการได้ยิน เมื่อมี การกระตุ้นทั้ง 2 ข้างพร้อมๆกัน 2 = มีความผิดปกติของการรับรู้มากกว่า 1 ชนิด หรือผู้ป่วย ไม่รับรู้ว่าเป็นมือของตนเอง หรือสนใจต่อสิ่งเร้าเพียง ด้านเดียว UN: ไม่สามารถประเมิน item นั้นได้เนื่องจากเหตุผลบางอย่าง ทำให้การประเมิน item อาจจะไม่ครบได้ คะแนนรวม (0-42):_____


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 57 The Modified Rankin Scale32 คะแนน คำอธิบาย 0 No symptoms at all. 1 No significant disability despite symptoms: able to carry out all usual duties and activities. 2 Slight disability: unable to carry out all previous activities but able to look after own affairs without assistance. 3 Moderate disability: requiring some help, but able to walk without assistance. 4 Moderately severe disability: unable to walk without assistance, and unable to attend to own bodily needs without assistance. 5 Severe disability: bedridden, incontinent, and requiring constant nursing care and attention. 6 Death คะแนนรวม (0-6) :


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 58 The Barthel Index33 1. Feeding 10 = Independent. Able to apply any necessary device. Feeds in reasonable time. 5 = Needs help, i.e., for cutting. 0 = Inferior performance. 2. Bathing 5 = Performs without assistance. 0 = Inferior performance. 3. Personal Toilet (Grooming) 5 = Washes face, combs hair, brushes teeth, shaves (manages plug if electric razor) 0 = Inferior performance. 4. Dressing 10 = Independent. Ties shoes, fastens fasteners, applies braces. 5 = Needs help but does at least half of task within reasonable time. 0 = Inferior performance. 5. Bowels control 10 = No accidents. Able to use enema or suppository if needed. 5 = Occasional accidents or needs help with enema or suppository. 0 = Inferior performance. 6. Bladder control 10 = No accidents. Able to care for collecting device if used. 5 = Occasional accidents or needs help with device. 0 = Inferior performance. 7. Toilet use 10 = Independent with toilet or bedpan. Handles clothes, wipes, flushes, or cleans pan. 5 = Needs help for balance, handling clothes or toilet paper. 0 = Inferior performance.


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 59 8. Chair/BedTransfers 15 = Independent, including locks of wheelchair and lifting footrests. 10 = Minimum assistance or supervision. 5 = Able to sit, but needs maximum assistance to transfer. 0 = Inferior performance. 9. Ambulation 15 = Independent for 50 yards. May use assistive devices, except for rolling walker. 10 = With help for 50 yards. 5 = Independent with wheelchair for 50 yards, only if unable to walk. 0 = Inferior performance. 10. Stairs Climbing 10 = Independent. May use assistive devices. 5 = Needs help or supervision. 0 = Inferior performance. คะแนนรวม (0-100):


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 60 Appendix 11 หอผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke unit) ค�ำนิยาม หอผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง หมายถึง หอผู้ป่วยที่ดูแลเฉพาะผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โดยทีม สหวิชาชีพที่เชี่ยวชาญหรือสนใจเรื่องโรคหลอดเลือดสมองโดยเฉพาะ มีการใช้แผนการรักษาที่เป็นมาตรฐาน เก็บตัวชี้วัด และมีการให้การศึกษาแก่ผู้ป่วยและญาติ เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้น นำไปสู่การลดอัตรา ความพิการ อัตราตาย จำนวนวันนอนในโรงพยาบาล และค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล องค์ประกอบ 1. สถานที่เฉพาะดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง เป็นหอผู้ป่วยเฉพาะ หรือ สัดส่วนเฉพาะของหอ ผู้ป่วย 2. ทีมสหวิชาชีพที่มีความเชี่ยวชาญหรือสนใจเรื่องโรคหลอดเลือดสมอง ประกอบด้วยแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ เช่น นักกายภาพบำบัด เภสัชกร นักโภชนาการ นักจิตวิทยา นักกิจกรรม บำบัด นักสังคมสงเคราะห์ และ นักอรรถบำบัด เป็นต้น 3. ครุภัณฑ์ เช่น เครื่องติดตามสัญญาณชีพ เครื่องเจาะระดับนำ้ตาลในเลือด ที่นอนลม อุปกรณ์สำหรับ ให้ออกซิเจน เครื่องกระตุ้นหัวใจ (defibrillator) และเครื่องควบคุมการให้สารนำ้ (infusion pump) เป็นต้น 4. มีแผนการรักษาที่ชัดเจน เป็นมาตรฐานเดียวกัน 5. มีการให้ความรู้แก่ผู้ป่วยในการปฏิบัติตัว และญาติในการดูแลผู้ป่วย รวมทั้งการป้องกันและรักษา ปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง 6. มีการเก็บตัวชี้วัด เพื่อติดตาม และประเมินผลการรักษา


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 61 Appendix 12 การประเมินการกลืน34 การประเมินการกลืน มีวัตถุประสงค์ในการประเมินสภาวะของผู้ป่วยว่ามีภาวะการกลืนบกพร่องหรือ ไม่ และพร้อมที่จะรับประทานอาหารทางปากได้หรือไม่ ผู้ป่วยที่จะสามารถรับการประเมิน ควรมีคุณสมบัติ ดังนี้ 1. สามารถจัดให้อยู่ในท่านั่งได้ 2. สามารถสื่อสารและทำตามคำสั่งได้พอสมควร 3. มีระดับความรู้สึกตัวโดยประเมินจาก Glasgow coma scale > 11 คะแนน ข้อควรปฏิบัติก่อนการประเมินการกลืน มีดังนี้ 1. จัดสถานที่และอุปกรณ์สำหรับรับประทานอาหารให้พร้อม 2. ดูดเสมหะในปาก คอ และทำความสะอาดปากและฟัน 3. จัดท่าผู้ป่วยให้อยู่ในสภาพนั่ง เอียงตัวประมาณ 60-90 องศา


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 62 ตัวอย่างแบบประเมินการกลืน


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 63 Appendix13 รังสีวินิจฉัยในโรคหลอดเลือดสมองตีบ การตรวจวินิจฉัยทางรังสีในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง นิยมใช้การตรวจ CT scan brain without contrast เนื่องจากเป็นการตรวจที่สะดวก รวดเร็ว สามารถมองเห็นภาวะเลือดออกได้ง่าย แต่มีข้อจำกัด คือ ในระยะแรกๆ อาจจะเห็นไม่ชัด การตรวจด้วย MRI จะไวกว่าในระยะแรก สามารถมองเห็นหลอดเลือดที่ผิด ปกติได้ดี แต่ใช้เวลาทำการตรวจนานกว่า เสียค่าใช้จ่ายมากกว่า และมีที่ทำได้น้อยกว่า แยกภาวะเลือดออกใน สมองในระยะเฉียบพลันได้ไม่ดี ลักษณะทางรังสีวิทยาตามระยะเวลาของการเกิดภาวะสมองขาดเลือด โดยการตรวจ CT scan มีดังนี้ 1. ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก อาจจะไม่เห็นความผิดปกติ หรืออาจจะเห็นลักษณะ sulcal effacement, loss of insular ribbon, dense MCA sign, obscuring of lentiform nucleus บ่งบอกว่าเป็น large infarct 2. Developmental stage ช่วงวันที่ 2 ถึง 4-5 สัปดาห์ จะพบลักษณะ hypodensity lesion ร่วม กับอาการบวมของสมองได้ในบางราย 3. Late stage 4-6 สัปดาห์หลังเกิดอาการ อาการบวมจะหายไป พบเป็น ลักษณะ hypodensity ชัดเจนขึ้น หรือเป็นลักษณะ cystic cavity


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 64 บรรณานุกรม 1. Hanchaiphiboolkul S, Poungvarin N, Nidhinandana S, Suwanwela NC, Puthkhao P, Towanabut S, et al. Prevalence of stroke and stroke risk factors in Thailand: Thai Epidemiologic Stroke (TES) Study. J Med Assoc Thai 2011;94:427-436. 2. Buckley G, West B. A safe path or a legal minefield? Clinical guidelines conference report. Health Bull (Edin) 1998;56:848-50. 3. คำแนะนำ สุรจิต สุนทรธรรม, สมเกียรติ โพธิสัตย์. แนวทางการพัฒนาแนวทางการปฏิบัติ (Guide to Develop Clinical Practice Guidelines) พุทธศักราช 2559. 4. Adams HP Jr, del Zoppo G, Alberts MJ, Bhatt DL, Brass L, Furlan A, et al. Guidelines for the early management of adults with ischemic stroke: a guideline from the American Heart Association/American Stroke Association Stroke Council, Clinical Cardiology Council, Cardiovascular Radiology and Intervention Council, and the Atherosclerotic Peripheral Vascular Disease and Quality of Care Outcomes in Research Interdisciplinary Working Groups: the American Academy of Neurology affirms the value of this guideline as an educational tool for neurologists.. Stroke. 2007;38:1655-1711. 5. The European Stroke Organisation (ESO) Executive Committee and the ESO Writing Committee. Guidelines for Management of Ischaemic Stroke and Transient Ischaemic Attack 2008. Cerebrovasc Dis 2008;25:457–507. 6. Jauch EC, Saver JL, Adams HP Jr, Bruno A, Connors JJ, Demaerschalk BM, et al. Guidelines for the Early Management of Patients With Acute Ischemic Stroke: A Guideline for Healthcare Professionals From the American Heart Association/American Stroke Association. Stroke. 2013;44: 870-947. 7. Powers WJ, Rabinstein AA, Ackerson T, Adeoye OM, Bambakidis NC, Becker K, et al. 2018 Guidelines for the Early Management of Patients With Acute Ischemic Stroke: A Guideline for Healthcare Professionals From the American Heart Association/American Stroke Association. Stroke. 2018 Mar;49(3):e46-e110. 8. Middleton S, Coughlan K, Mnatzaganian G, Low Choy N, Dale S, Jammali-Blasi A, et al. Mortality Reduction for Fever, Hyperglycemia, and Swallowing Nurse-Initiated Stroke Intervention: QASC Trial (Quality in Acute Stroke Care) Follow-Up. Stroke. 2017 May;48(5):1331-1336. 9. Whelton PK, Carey RM, Aronow WS, Casey DE Jr, Collins KJ, Dennison Himmelfarb C, et al. 2017 ACC/AHA/AAPA/ABC/ACPM/AGS/APhA/ASH/ASPC/NMA/PCNA Guideline for the Prevention, Detection, Evaluation, and Management of High Blood Pressure in Adults: Executive Summary: A


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 65 Report of the American College of Cardiology/American Heart Association Task Force on Clinical Practice Guidelines. Hypertension. 2018 Jun;71(6):1269-1324. 10. นิพนธ์ พวงวรินทร์. โรคหลอดเลือดสมอง. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์เรือนแก้วการพิมพ์; 2534. 11. William LS, Yilmaz EY, Lopez-Yuenz AM. Retrospective assessment of initial stroke severity with the NIH Stroke Scale. Stroke 2000;31(4):858-62. 12. Jergensen HS, Nakayama H, Raaschou Ho, Olsen TS. Neurologic and functional recovery the Copenhagen Stroke Study. Phys Med Rehabil Clin N Aml 1999;10(4): 887-906. 13. Edwardson MA. Ischemic stroke prognosis in adults. 2016 [cited Dec1st, 2016]. Available from: https://www.uptodate.com/contents/ischemic-stroke-prognosis-in-adults. 14. Jongbloed L. Prediction of function after stroke: a critical review. Stroke 1986;17(4):765-76. 15.Braddom R. Physical medicine and rehabilitation. 4th Ed. Amsterdam: Elsevier; 2017. 16. สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์. แนวทางการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง. 2550. 17. Kernan WN, Ovbiagele B, Black HR, Bravata DM, Chimowitz MI, Ezekowitz MD, et al. Guidelines for the prevention of stroke in patients with stroke and transient ischemic attack: a guideline for healthcare professionals from the American Heart Association/American Stroke Association.. Stroke. 2014;45:2160-2236. 18. Sacco RL, Diener HC, Yusuf S, Cotton D, Ounpuu S, Lawton WA, et.al. Aspirin and ExtendedRelease Dipyridamole versus Clopidogrel for Recurrent Stroke. N Engl J Med 2008;359:1238-51. 19. Kamal AK, Naqvi I, Husain MR, Khealani BA. Cilostazol Versus Aspirin for Secondary Prevention of Vascular Events After Stroke of Arterial Origin. Stroke. 2011;42:e382-e384. 20. Hass WK, Easton JD, Adams HP Jr, Pryse-Phillips W, Molony BA, Anderson S, et al. A randomised trial comparing ticlopidine hydrochloride with aspirin for the prevention of stroke in high risk patients. N Engl J Med 1989;321:501-07. 21. Hankey GJ, Sudlow CL, Dunbabin DW. Thienopyridines or aspirin to prevent stroke and other serious vascular events in patients at high risk of vascular disease? A systematic review of the evidence from randomized trials. Stroke 2000;31:1779-84. 22. Alvarez-Sabín J, Quintana M, Santamarina E, Maisterra O. Triflusal and Aspirin in the Secondary Prevention of Atherothrombotic Ischemic Stroke: A Very Long-Term Follow-Up. Cerebrovasc Dis 2014;37:181–187 23. Stone NJ, Robinson JG, Lichtenstein AH, Bairey Merz CN, Blum CB, Eckel RH, et al. 2013 ACC/AHA Guideline on the Treatment of Blood Cholesterol to Reduce Atherosclerotic Cardiovascular Risk in Adults. Circulation. 2014;129:S1–S45


แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันสำ หรับแพทย์ Clinical Practice Guidelines for Ischemic Stroke 66 24. สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย, สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย, กรมการแพทย์ กระทรวง สาธารณสุข และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ. แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน. 2560. 25. Kwiatkowski TG, Libman RB, Frankel M, Tilley BC, Morgenstern LB, Lu M, et al. Effects of tissue plasminogen activator for acute ischemic stroke at one year. National Institute of Neurological Disorders and Stroke Recombinant Tissue Plasminogen Activator Stroke Study Group. N Engl J Med. 1999 Jun 10;340(23):1781-7. 26. Hacke W, Kaste M, Bluhmki E, Brozman M, Dávalos A, Guidetti D, et al. Thrombolysis with alteplase 3 to 4.5 hours after acute ischemic stroke. N Engl J Med. 2008 Sep 25;359(13):1317-29. 27. Del Zoppo GJ, Saver JL, Jauch EC, Adams HP Jr; American Heart Association Stroke Council. Expansion of the time window for treatment of acute ischemic stroke with intravenous tissue plasminogen activator: a science advisory from the American Heart Association/American Stroke Association. Stroke. 2009 Aug;40(8):2945-8. 28. Wechsler LR. Intravenous thrombolytic therapy for acute ischemic stroke. N Engl J Med. 2011 Jun 2;364(22):2138-46. 29. Anderson CS, Robinson T, Lindley RI, Arima H, Lavados PM, Lee TH, et al. Low-Dose versus Standard-Dose Intravenous Alteplase in Acute Ischemic Stroke. N Engl J Med. 2016 Jun 16;374(24):2313-23. 30. Power WJ, Derdeyn CP, Biller J, Coffey CS, Hoh BL, Jauch EC, et al. Guidelines for the Early Management of Patients with Acute Ischemic Stroke Regarding Endovascular Treatment: a Guideline for Healthcare Professionals from the American Heart Association/American Stroke Association. Stroke. 2015;46:3024-3039. 31. Nilanont Y, Phattharayuttawat S, Chiewit P, Chotikanuchit S, Limsriwilai J, Chalernpong L. Establishment of the Thai version of National Institute of Health Stroke Scale (NIHSS) and a validation study. J Med Assoc Thai. 2010 Jan;93 Suppl 1:S171-8. 32. Rankin L. Cerebral vascular accidents in patients over the age of 60. II. Prognosis. Scott Med J. 1957;2:200 –215. 33. Mahoney FI, Barthel DW. Functional evaluation: the Barthel Index. Maryland State Med J. 1965;14:61– 65. 34. สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์. แนวทางส่งเสริมการกลืนอย่างปลอดภัยในผู้ป่วยโรคหลอดเลือด สมองที่มีภาวะการกลืนลำบากสำหรับพยาบาล ในการประชุมวิชาการพยาบาลโรคหลอดเลือดสมอง ในโครงการ พัฒนาเครือข่ายวิชาการโรคหลอดเลือดสมอง. 2552.


Click to View FlipBook Version