หลักการและทฤษฎี
การบริหารการศึกษา
คณะศึกษาศาสตร์และศิลปศาสตร์
สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยหาดใหญ่
เสนอ
รศ.ดร. จรัส อติวิทยาภรณ์
โดย
นางสาวภัทรานิษฐ์ บุญฤทธิ์
กลุ่ม 2 รหัสนักศึกษา 6419050065
หลักการและทฤษฎีทางการศึกษา 1 ส.ค. 64
ความรู้ที่ได้จากการเรียน องค์ประกอบ
และศึกษาเพิ่มเติม การบริหาร
วงจรการเรียนรู้ ACTIVITY
AT LEAST 2
KOLB (1984) กล่าวว่าวงจรการเรียนรู้มี PERSON
4 โหมดสลับเปลี่ยนตลอดเวลา PROCESS
HONEY และ MUMFORD (1992) RESOURCE
- MAN
- MONEY
- MANAGEMENT
- METERIAL
OBJECTIVE
DEWEY (1983) ได้เสนอแนวคิดการ องค์ประกอบ
เรียนรู้จากประสบการณ์ ว่าเป็นการเรียนรู้ ผู้บริหาร
ที่เกิดจากการกระทำจริง ผู้เรียนเป็นผู้
ผู้บริหารต้องมี 3 ภูมิ
สร้างความรู้ใหม่ ภูมิรู้ (เก่ง) มีความคิด
การรับรู้ เหนือคน เฉียบคม
ปัญหา ภูมิธรรม (ดี) มีคุณธรรม
เกิด หาทาง (ธรรมมะ,ความดี,ยังไม่ได้ทำ)
ประสบการณ์ แก้ไข จริยธรรม (เกี่ยวข้องกับ
ภายนอก,ต้องลงมือทำ ตามที่
เกิด ลองทำ มีคุณธรรม)
ภูมิฐาน (มีฐาน) ทักษะ
แสดงออก การมีเครือข่าย
ประเภทของผู้บริหาร
ผู้บริหารเก่ง ดี แต่ไร้ฐาน คือ เก่งอยู่แต่ในกะลา เก่งแต่ในที่ของตนเอง
ผู้บริหารดี มีฐาน แต่ไร้ความรู้ คือ บริหารเก่ง มีเครือข่าย แต่ไม่มีความรู้
เช่น ผู้บริหารท้องถิ่น
ผู้บริหารเก่ง มีฐาน แต่ไม่ดี คือ ทำงานเก่ง มีคนสนับสนุน แต่ไร้ความดี
คุณธรรม หาประโยชน์ใส่ตัว (อันตราย)
ค้นคว้าเพิ่มเติม
• เอ็ดวิน บี ผลิกโป (1968) แบ่งผู้นำออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ
1. ผู้นำประเภทนิเสธ หมายถึง ผู้นำเผด็จการ บริหารแบบรวมอำนาจ ผู้ใต้
บังคับบัญชาเกรงกลัว
2. ผู้นำประเภทปฏิฐาน หมายถึง ผู้นำมีประชาธิปไตย บริหารแบบกระจายอํา
นาจ ผู้ใต้บังคับบัญชาร่วม แสดงความคิดเห็น การใช้อํานาจของผู้นําเป็นไปใน
ลักษณะที่มุ่งก่อให้เกิดความเลื่อมใสและ ศรัทธา
• โรเบิร์ต ไครท์เนอร์ (1985) แบ่งลักษณะผู้นำเป็น 2 ประเภท
1. ผู้นำที่เป็นทางการ คือ ผู้นำที่มาจากการเลือกตั้ง ได้รับประกาศโดยทั่ว ผู้
ใต้บังคับบัญชาเชื่อถือ
2. ผู้นำที่ไม่เป็นทางการ คือ ตัวบุคคลที่ปฏิบัติตัวเป็นผู้นำกลุ่ม โดยไม่ได้รับ
การแต่งตั้ง ไม่ไดเมีอำนาจอย่างเป็นทางการ แต่มีความเหมาะสมในสถานกา
รณ์นั้นๆ
• LIKERT (อ้างอิงจากมยุรี รังสีสมบัติศิริ, 2530) ได้ศึกษารูปแบบผู้นำใน
มหามิชิแกน พบว่า การบริหารแบ่งผู้นำเป็น 4 แบบ
1. ผู้บริหารมุ่งใช้อำนาจ
2. ผู้บริหารใช้อำนาจอย่างเมตตา
3. ผู้บริหารแบบการปรึกษาหารือ
4. ผู้บริหารเน้นความร่วมมือกับทุกฝ่าย
องค์ประกอบของมนุษย์ ประเภทของมนุษย์
ฐานคิด เกิดจากความคิด เปรียบเสมือน ฐานกายอย่างเดียว
ภูมิรู้ (คนเปลือกๆ) ไม่มีความคิด
ฐานใจ คิดดี,ไม่ดี พิจารณาว่าทำ ไม่ทำ ทำไม่เป็น
เปรียบเสมือนภูมิธรรม ฐานคิดอย่างเดียว (คนเนื้อ)
ฐานกาย พฤติกรรมที่แสดงออก เปรียบ มีแต่ความรู้ ไม่มีฐานใจ
เสมือนภูมิฐาน ฐานใจอย่างเดียว (คนน้ำๆ)
ครบทุกฐาน (คนต้นไม้ที่
NOTES ร่มเย็น) เป็นที่พึ่งได้
เป็นน้ำเย็น
ตัวอย่างการคือเปิดเฟรนไซน์ ต้องมีฐานคิดก่อนว่าจะ
เปิดขายอะไร ขายอย่างไร จะมีวิธีการจัดการอย่างไร นำไปสู่ฐาน
ใจเมื่อคิดแล้วลองไตรตรองว่าถ้าเปิดจะขายได้หรือไม่ คุ้มทุนหรือ
ไม่ จึงตัดสินใจเปิด เมื่อผ่านการคิด การตัดสินใจแล้วก็มาสู่การ
ลงมือปฏิบัติ
แต่ละอาชีพ ต้องมีทั้ง 3 ฐาน แต่แต่ละอาชีพ แต่ละ
บทบาทจะมีจุดเน้นแต่ละฐานไม่เหมือนกัน เช่น ครู อาจจะไม่ได้
มุ่งเน้นที่ฐานกาย แต่มุ่งเน้นที่ฐานคิดและฐานใจ
สรุปความรู้ 1 ส.ค. 64
สรุปได้ว่า ผู้บริหารต้องต้องมีทั้งภูมิรู้ ภูมิธรรมและภูมิฐาน โดยภูมิรู้จะเกี่ยว
กับเรื่องความรู้ หลักการ ทฤษฎี ภูมิธรรม เกี่ยวกับหลักธรรมาภิบาลในการ
บริหาร ภูมิฐาน เกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร การมีเครือข่าย การวางตัว และ
มนุษย์ต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ ฐานใจ ฐานกาย ฐานคิด
การนำไปใช้ประโยชน์ ทำให้เข้าใจพื้นฐานของคน และสามารถนำความรู้ไป
ปรับใช้กับการบริหารงานและบริหารคน เพื่อให้เป็นผู้บริหารที่เป็นที่ยอมรับ
และสามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลักการและทฤษฎีทางการศึกษา 15 ส.ค. 64
ความรู้ที่ได้จากการเรียน ผู้บริหาร มีความผิด 2
และศึกษาเพิ่มเติม ประการที่ไม่ควรผิด
โดยเด็ดขาด คือ
น้ำมหาเสน่ห์ 1. การคอรัปชั่น
2. การผิดจรรยาบรรณทาง
น้ำคำ (คำพูด วาจา) วาจาดี ไม่พูดทำร้าย เพศ
จิตใจคน คำพูดเปรียบเสมือนมีดต้องใช้
ให้ถูก "เมาเพศ หมดราคา
น้ำมือ (การกระทำ) การปฏิบัติเป็นแบบ เมาสุรา หมดความสำคัญ
อย่าง เมาการพนัน หมดตัว
น้ำใจ (การมีน้ำใจ) สิ่งที่พูดหากมาจากใจ เมาเพื่อนชั่ว หมดความดี"
จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ดอกอภัย
สมุนไพร ก้านอ่อนน้อม
เป็นการปรับสมดุลทางใจ โดยผู้บริหาร 4 ใบยอ
ต้องมีการกระทำ ดังนี้ กิ่งเมตตา
1. รากอ่อนน้อม การอยู่กับรากหญ้า เปรียบ
เสมือนกับการอยู่กับผู้ใต้บังคับบัญชา จะได้รู้ รากอ่อนน้อม
สภาพปัญหา รากที่อ่อนจะชอนไช รู้เชิงลึก
2. 4 ใบยอ
- ยิ้ม ควรมีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส
- ยกยอ พูดในสิ่งที่ดี คัดสรรสิ่งดีๆมาพูด
เพราะพู ดสิ่งใดก็จะได้สิ่งเหล่านั้นสะท้อนกลับ
มา
- เย็น การใจเย็น มีสติ คิดก่อนพูด
- ยอม ยอมงอไม่ยอมหัก
3. กิ่งเมตตา ต้องเอื้อเฟื้ อเผื่อแผ่ ให้ความ
ช่วยเหลือผู้อื่ น
4. ก้านกรุณา การแสดงออก
5. ดอกอภัย ต้องอภัยคนอื่นให้เป็น ลืมให้
เป็น
การปรับบุคลิกภาพ
ออลพอร์ต (ALPORT 1955) บุคลิกภาพ หมายถึง การจัดและ รวบรวมเกี่ยว
กับระบบ ทางร่างกายและจิตใจภายในตัวของแต่ละบุคคลแต่จะมีการเปลี่ยนแปรอยู่
เสมอยังผลให้แต่ละคนมีการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำแบบใคร
วอร์เชล (WORCHEL. 1989) ได้ให้ความหมายไว้ว่า บุคลิกภาพ หมายถึง
พฤติกรรมทั้งหลาย ซึ่งรวมไปถึงความคิดและอารมณ์ที่มีลักษณะเฉพาะของแต่ละ
บุคคล โดยพฤติกรรมที่แสดงออกมานั้นจะค่อนข้างถาวร
สุชา จันทน์เอม (2541) ได้ให้ความหมายไว้ว่า บุคลิกภาพ หมายถึง หมวดหมู่
ของลักษณะต่าง ๆ ที่รวมกัน และแสดงเฉพาะของแต่ละบุคคล
ลักขณา สริวัฒน์ (2544) ได้ให้ความหมายไว้ว่า บุคลิกภาพ หมายถึง ลักษณะ
เฉพาะของเอกัตบุคคลซึ่งไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น ลักษณะภายนอก เช่น รูปร่าง
หน้าตา ลักษณะ ท่าทาง หรือลักษณะ ภายใน เช่น สติปัญญา ความคิด หรือนิสัยใจคอ
เครื่องแต่งกายและทรงผมเป็นส่วนแรกที่เห็นได้เด่นชัด การเลือกเครื่องแต่ง
กายให้เหมาะกับกาลเทศะ ช่วยเสริมให้บุคลิกภาพดีขึ้น การเลือกเครื่องแต่งกายให้
เหมาะสมตามแต่ละโอกาสนี้ยังหมายรวมถึงการเลือกเครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า
และการตกแต่งทรงผมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ผม ควรเป็นทรงที่เรียบร้อย
ใบแต่ง ผู้หญิงควรแต่งหน้าแต่ไม่จัดจนเกินไป
เครื่องแต่งกาย
- แว่น ไม่ควรใส่แว่นแฟชั่น ควรใส่แว่นสายตา กรอบแว่นควรเป็นสีดำ แดง
ทอง น้ำตาล
- ต่างหู ไม่ควรใส่ต่างหูที่ยาวเกินไป ไม่เป็นห่วงที่ใหญ่
- แหวน ไม่ใส่เกิน 2 วง
ค้นคว้าเพิ่มเติม
ประไพพรรณ เวชรักษ์ กล่าวว่า บุคลิกภาพของผู้บริหารมีความสำคัญสำหรับผู้
บริหารเป็นอย่างยิ่ง ผู้บริหารที่มีบุคลิกภาพดีย่อมได้รับการยอมรับนับถือจากผู้ใต้
บังคับบัญชา บุคลิกภาพของบุคคลประกอบด้วย 4 ประการดังนี้
1. บุคลิกภาพทางกาย มีองค์ประกอบ ดังนี้
1.1 บุคลิกภาพภายนอก เช่น ความสะอาดของร่างกาย การแต่งกาย
1.2 บุคลิกภาพภายใน เช่น ความสามารถในการพูดการโต้ตอบที่ดี มีความ
ฉลาดแหลมคม
2. บุคลิกภาพทางอารมณ์และจิตวิทยา เป็นผู้มีความมั่นคงทางอารมณ์ไม่
หงุดหงิดฉุนเฉียว มีจิตใจเป็น
ประชาธิปไตย เคารพสิทธิ รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เป็นต้น
3. บุคลิกภาพทางสังคม เป็นผู้นำในการศึกษาหาความรู้ในพิธีการต่างๆ เพื่อจะ
ได้ปฏิบัติตามมารยาทสากลได้อย่างถูกต้อง
4. บุคลิกภาพทางสติปัญญา มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์พอที่จะเป็นผู้นำกลุ่ม
สามารถคิดสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่สถานศึกษาได้
องค์ประกอบทั้ง 4 ด้านของบุคลิกภาพที่ดีของผู้บริหารนั้น นับได้ว่าทุกด้านมี
ความสำคัญเท่าเทียมกันสมควรที่ผู้บริหารควรตระหนัก หมั่นฝึกฝนจนเป็นภาพลักษณ์
ที่ปรากฏแก่สายตาของคนทั่วไป เพราะนั่นคือสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการจูงใจให้ผู้ใต้
บังคับบัญชายอมรับนับถือ อันจะส่งผลถึงการร่วมมือร่วมใจในการปฏิบัติงานอีกด้วย
MANAGEMENT BY WALKING
การบริหารแบบเดินหา หมายถึง การเดินไปพบผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทั่ว
ถึงของผู้บริหาร เพื่อสอบถามติดตามงานว่าก้าวหน้าไปถึงไหน มีปัญหาอะไร
บ้าง โดยเน้นความรับผิดชอบ (RESPONSIBILITY) ของผู้ปฏิบัติ แต่ยัง
คงอำนาจหน้าที่อยู่ที่ผู้บริหาร
"ดูคนให้ออก บอกคนให้ได้ ใช้คนให้เป็น"
"มองคนให้ออก" หมายถึง ผู้นำที่ดี จะต้องมีวิสัยทัศน์ หรือมุมมองที่ยาว
ไกล สามารถคาดคะเนเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ และจะต้องมองลูกน้องแต่ละคนว่ามี
ความสามารถที่ดีอย่างไรบ้าง
"บอกคนให้ได้" หมายถึง ผู้นำที่ดี จะต้องสามารถทำให้ผู้อื่นเคารพใน
ตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ความรู้ความสามารถ บุคลิกหรือทักษะบางอย่าง รวม
ทั้งการสอนงาน ถ่ายทอดความรู้ให้ลูกน้อง และจะต้องมีจิตวิทยาในการทำงาน
ร่วมกับคนอื่น เช่น ติในที่ลับ ชมในที่แจ้ง
"ใช้คนให้เป็น" หมายถึง ผู้นำที่ดี จะต้องมีการมอบหมายงานให้คนอื่นทำ
ตามความเหมาะสมและความถนัดของแต่ละคน มีการกระจายอำนาจ
สรุปความรู้ 15 ส.ค. 64
สรุปได้ว่า การเป็นผู้บริหารจะต้องมีการปรับปรุงพัฒนาบุคลิกภาพทั้ง
ด้านร่างกาย ด้านพฤติกรรม การแสดงออก การพัฒนาจิตใจ เพื่อการ
บริหารทั้งงานและคนอย่างมีประสิทธิภาพ รูปลักษณ์ภายนอกเป็นสิ่ง
แรกที่ปรากฏแก่สายตาผู้คน ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญมากเพราะจะเป็น
ตัวสื่อสารให้คนภายนอกรู้จักตัวคุณเอง โดยไม่ต้องใช้คำพูด ฉะนั้น ผู้
บริหารจึงเรียนมีการปรับบุคลิกภาพของตนเองให้มีความเหมาะสมต่อ
ตำแหน่งหน้าที่
การนำไปใช้ประโยชน์ ได้นำเรื่องการปรับบุคลิกภาพ เพื่อนำไปใช้ในการ
พัฒนาบุคลิกภาพ
หลักการและทฤษฎีทางการศึกษา 22 ส.ค. 64
ความรู้ที่ได้จากการเรียน การพัฒนา
และศึกษาเพิ่มเติม DIGITAL LITERACY
ทักษะดิจิทัล การประเมินตนเอง
ที่ผู้บริหารควรมี การวางแผนพัฒนา
ตนเอง
ทักษะการเรียนรู้ (LEARNING SKILL) การเรียนรู้ด้วยตนเอง
ทักษะเทคโนโลยีดิจิทัล (DIGITAL การประเมินทักษะ
LITERACY SKILL) การสะท้อนการเรียนรู้
ทักษะชีวิต (LIFE SKILL) นำทักษะไปใช้ในการ
ทำงาน
ความฉลาดทางด้านดิจิทัล
ความฉลาดทางด้านดิจิทัล
(DIGITAL INTELLIGENCE QUATIENT
: DQ)
รักษาอัตลักษณ์ที่ดีของตนเอง
รักษาข้อมูลส่วนตัว
สอนให้รู้ อยู่ในสังคมแห่งอนาคต
การรู้สื่ อ
การรู้เทคโนโลยี
รู้เกี่ยวกับสิ่งที่เราเห็น
การสื่ อสาร
การเข้าสังคม
การเรียนรู้
ทักษะด้านดิจิทัล
ทักษะชีวิต
ลักษณะผู้บริหาร
• เสือ กินของสด (ทันสมัย)
• สิงห์ หยิ่งในศักดิ์ศรี เป็นผู้นำ
• กระทิง สู้งานไม่ท้อถอย
• แรด อดทน เหนียวแน่น บึกบึน ไม่แคร์
• หมีแพนด้า สวยงาม น่ารักน่าเอ็นดู ผู้ใต้บังคับบัญชาอยากร่วมงาน
รูปสวยแต่ไม่รู้เนื้องาน ผู้บริหารแบบนี้ถ้าบริหารเป็นจะรอดได้
• ฉลาม ข้าแน่คนเดียว ใช้อำนาจเด็ดขาด ทำงานรวดเดียว ดุดัน งาน
เดินแต่ไม่ได้คำนึงถึงผู้ร่วมงาน
• เต่า ทำอะไรค่อนข้างช้า แต่ได้ผลมั่นคง
• สุนัขจิ้งจอก ฉวยโอกาส หลอกล่อ มีเล่ห์เหลี่ยม รับผลประโยชน์เข้า
ตัวเอง
• นกฮูก เป็นนักวางแผน นิ่ง มองการณ์ไกล
ความหมาย บริหาร = บริ + หาร
การบริหาร
บริ คือ รอบๆ ถ้วนทั่ว
หาร คือ แบ่ง กระจาย
คำว่า “การบริหาร” หรือ “การจัดการ” โดยทั่วไปเป็นคำที่มีความหมายเหมือน
กัน และใช้แทนกันได้เสมอ คำภาษาอังกฤษที่มักใช้เรียกในความหมายของ การ
บริหาร มี 2 คำ คือ MANAGEMENT และ ADMINISTRATION ส่วนมากคำว่า
MANAGEMENT มักจะใช้ในทางธุรกิจ ซึ่งหมายถึง การนำเอานโยบายไปปฏิบัติ
โดยมีการกำหนดแบบงาน วิธีการทำงาน และการใช้ปัจจัย หรือทรัพยากรต่าง ๆ ซึ่ง
เรียกว่า การจัดการ ส่วนคำว่า ADMINISTRATION มักเน้นการบริหาร เกี่ยวกับ
นโยบาย มักนิยมใช้ในทางราชการ
ค้นคว้าเพิ่มเติม • บรรจบ เนียมมณี (2553)
การบริหาร หมายถึง กิจกรรมต่าง
• PETER F. DRUCKER : การบริหาร คือ ๆ ที่บุคคลตั้งแต่ สองคนขึ้นไป
ศิลปะในการทำงานให้บรรลุเป้าหมายร่วมกับผู้ มาทEงานร่วมมือกันดำเนินการให้
อื่ น บรรลุเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง
• HAROLD KOONTZ : การบริหาร คือ หรือหลายๆอย่างรวมกัน โดย
การดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนด ประกอบไปด้วย
ไว้ โดยการอาศัยคน เงิน วัตถุ สิ่งของ เป็น
ปัจจัยในการทำงาน 1) บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
• HERBERT A.SIMON : การบริหาร คือ 2) ต้องมีการกระทำอย่างใด
กิจกรรมที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปร่วมมือกัน อย่างหนึ่งร่วมกัน
ดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่าใดอย่าง 3) ต้องมีเป้าหมายหรือ
หนึ่ง หรือหลายอย่างร่วมกัน วัตถุประสงค์ในการกระทำร่วมกัน
• พิทยา บวรวัฒนา (2556, หน้า 2) : การ เด่นชัด วัตถุประสงค์นั้น ๆ ต้อง
บริหาร หมายถึง เป็นเรื่องของการนำเอา ตรงกันในหมู่บุคคลผู้ร่วมกระทำ
กฎหมาย และนโยบายต่าง ๆ ไปปฏิบัติให้เกิด การ
ผลซึ่งเป็นหน้าที่ของข้าราชการที่จะทำงานด้วย
ความเต็มใจด้วย ความเที่ยงธรรมและอย่างมี
ประสิทธิภาพตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้
ความหมาย
การบริหาร
ดังนั้น การบริหาร คือ การทำงานร่วมกันของคน 2 คนขึ้นไป แบ่งงานกันทำอย่าง
ทั่วถึง ตามความสามารถและความถนัด โดยให้บรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน ผู้บริหาร
ต้องบริหารโดยใช้ทรัพยากรน้อยแต่ได้งานมาก
ลักษณะการบริหาร
การบริหารต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์ การบริหารเป็นศาสตร์ เพราะการ
บริหารเป็นวิชาการแขนงหนึ่งที่มีแนวคิดและทฤษฎีที่สามารถอธิบายปรากฏการการ
บริหารได้โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เป็นสาขาวิชาที่มีการจัดการระเบียบอย่างเป็น
ระบบ กล่าวคือมีหลักเกณฑ์และทฤษฎีที่พึงเชื่อถือได้ อันเกิดจากการค้นคว้าเชิง
วิทยาศาสตร์ การบริหารเป็นศิลป์ สามารถอาศัยความรู้ ความสามารถ
ประสบการณ์และทักษะของผู้บริหารแต่ละคนที่จะ ทำงานให้บรรลุเป้าหมาย โดย
ประยุกต์เอาความรู้ หลักการและทฤษฎีทางการบริหารไปรับใช้ในการปฏิบัติงานเพื่อ
ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และสิ่งแวดล้อม
โครงสร้างทางการบริหาร แนวนอน
- ผู้บริหารทั่วไป
แนวดิ่ง - ผู้บริหารตามหน้าที่ เช่น หัวหน้าฝ่าย
- ผู้บริหารระดับสูง (ผู้อำนวยการ) ต่างๆ ซึ่งทำหน้าที่ต่างกัน แต่อยู่ใน
- ผู้บริหารระดับกลาง
ระดับเดียวกัน
(รองผู้อำนวยการ, หัวหน้าฝ่าย) - ผู้บริหารงานโครงการ
- ผู้บริหารระดับต้น (หัวหน้าหมวด) *ระดับเดียวกันแต่คนละฝ่าย วงกลม
*โครงสร้างลดระดับลงมาจากผู้บริหาร สีเดียวกันอยู่ในระดับเดียวกัน
ระดับสูง วงกลมสีต่างกัน
การใช้อำนาจของผู้บริหาร PERSONAL POWER
(อำนาจส่วนบุคคล)
POSITION POWER
(อำนาจในตำแหน่ง) ต้องรู้จักวางตัวเพื่ อให้ลูกน้องรัก
- LEGITIMATE กฎหมาย แต่ยำเกรง
- REWARD ให้รางวัล เพิ่มขั้นต้อง - EXPERT ความเชี่ยวชาญพิเศษ
ยุติธรรม - REFERENT การอ้างอิงอาศัยอำนาจ
- COERCIEVE การบังคับ ผู้อื่ น
- INFORMATION ให้ข้อมูลข่าวสาร - PERSUASIVE การแนะนำ
- CHARISMA บารมี
การใช้อำนาจเหมือนการใช้ “ดาบ”
มีสองคมจึงต้องใช้ให้ถูกต้อง
สรุปความรู้ 22 ส.ค. 64
สรุปได้ว่า การบริหารเป็นการทำงานร่วมกันของคน 2 คนขึ้นไป โดยให้
บรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน ผู้บริหารต้องบริหารโดยใช้ทรัพยากรน้อยแต่ได้
งานมาก
การบริหารต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์ ศาสตร์ คือ ความรู้ที่ได้รับการ
ยอมรับ มีวิธีการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ ศิลป์ คือ จะต้องยืดหยุ่น
เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์
ในปัจจุบันเมื่อโลกมีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคศตวรรษที่ 21 เราจึง
ต้องก้าวทันโลก การบริหารในยุคปัจจุบันจึงต้องเปลี่ยนแปลงให้ทัน ผู้
บริหารควรมีทักษะทางด้านดิจิทัลเพื่ อการบริหารที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ลักษณะของผู้บริหารมีมากมายหลายแบบ แต่ละแบบจะมีข้อดี โดด
เด่นแตกต่างกันไป ฉะนั้นผู้บริหารไม่ควรยึดติดการการบริหารแบบใดแบบ
หนึ่ง แต่ควรเลือกใช้ลักษณะการบริหารตามสถานการณ์และนำลักษณะ
เด่นของการบริหารแบบต่างๆ มาบูรณาการใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ผู้บริหารต้องทำตัวแบบเป็ด คือ ต้องรู้ทุกเรื่อง แต่ไม่ต้องรู้ลึก ให้รู้
ลึกในศาสตร์ที่เราต้องรู้ ไม่ยึดติด
การนำไปใช้ประโยชน์ เข้าใจความหมายความสำคัญของการบริหาร จึง
สามารถนำไปใช้บริหารได้ถูกต้อง สามารถนำไปปรับใช้กับการบริหารใน
สถานการณ์ต่าง ๆ เพราะผู้บริหารไม่จำเป็นต้องบริหารเดียวไปตลอดแต่
ต้องรู้จักบูรณาการการบริหารตามสถานการณ์ การบริหารที่ดีจึงไม่มีรูป
แบบตายตัว
หลักการและทฤษฎีทางการศึกษา 29 ส.ค. 64
ความรู้ที่ได้จากการเรียน ทฤษฎีทางการบริหาร
และศึกษาเพิ่มเติม
ทฤษฎีแห่งบทบาท ทฤษฎีบูรณาการทางสังคม
ของ OSBORNE AND
คนแต่ละคนจะมีบทบาทของตน 3 อย่าง GAEBLER
บทบาทที่พอดี คือ การกระทำที่พอเหมาะ
บุคคลแต่ละบุ
คคลจะได้รับ
พอดี อยู่ในขอบเขต การยอมรับจากสมาชิกในกลุ่มจะ
บทบาทที่ขาดไป คือ การกระทำที่ไม่ ต้องมีเหตุผลใดเหตุผลหนึ่งและ
สมบูรณ์ ไม่ถึงขอบเขตที่กำหนด เมื่ อเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มแล้ว
บทบาทที่ล้นเกิน คือ การกระทำที่เกิน หากแสดงความโดดเด่นจนเกิน
ไปก็อาจจะทำให้เป็นภัยต่อตนเอง
บทบาทที่ควรเป็น “จงทำดี อย่าทำเด่น จะเป็นภัย”
ฉะนั้น เราต้องรู้บทบาทของตนเองว่า ถ้ามีอะไรดี ค่อยๆปล่อยออกมา
กำลังสวมบทบาทอยู่ในตำแหน่งใดและก็ต้อง
ปฏิบัติให้เหมาะสมกับบทบาทนั้นๆ
เมื่ อถึงเวลา
ทฤษฏีความต้องการ 5 ขั้นของอีริค
ฟอร์ม (ERIC FORM)
มีความเชื่อว่าบุคลิกภ
าพเกิดจากความสำเร็จหรือความล้มเหลวของสังคม ความ
ต้องการที่เป็นพื้นฐานสำคัญของบุคคลมี 5 ประการ ดังนี้
1. ความต้องการมีสัมพันธภาพ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมต้องการสัมพันธภาพกับผู้อื่น
2. ความต้องการสร้างสรรค์ เป็นความต้องการสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมของชีวิตให้แตก
ต่างจากสัตว์อื่ น
3. ความต้องการมีสังกัด เป็นความต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ต้องการได้รับ
การยอมรับจากกลุ่ม
4. ความต้องการมีเอกลักษณ์ เป็นความต้องการเป็นตัวของตัวเอง รู้ว่าตนเองคือใคร
5. ความต้องการมีหลักยึดเหนี่ยว เป็นความต้องการที่จะมีหลักสำหรับอ้างอิงความถูก
ต้องในการกระทำของตน
ทฤษฎีทางการบริหาร
ทฤษฎีความต้องการความสัมฤทธิ์ผล
ของแมคเคลแลนด์
การอยู่ร่วมกันในสังคมและการอบรมเลี้ยงดูในวัยเด็ก มีส่วนอย่างมากในการ
หล่อหลอมให้บุคคลเกิดแรงจูงใจที่ผลักดันให้กระทำพฤติกรรมเพื่ อตอบสนองความ
ต้องการ โดยแมคเคลแลนด์ได้แบ่งความต้องการของมนุษย์ออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. ความต้องการความสำเร็จ เป็นความต้องการที่จะทำสิ่งต่างๆ ให้เต็มที่และดีที่สุด
เพื่อความสำเร็จ มีความสมบูรณ์แบบและได้มาตรฐานดีเยี่ยม
2. ความต้องการการมีอำนาจ เป็นความต้องการอำนาจเพื่อที่จะควบคุมสิ่งแวดล้อม
และมีอิทธิพลเหนือผู้อื่ น
3. ความต้องการทางสังคม เป็นความต้องการได้รับหรือมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น
ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ต้องการการยอมรับจากกลุ่ม
ทฤษฎีจูงใจของมาสโลว์
ABRAHAM H. MASLOW
ได้ตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับความ
ต้องการของมนุษย์ว่ามนุษย์มีความ
ต้องการอยู่เสมอ เมื่อความต้องการ
ได้รับการตอบสนองแล้วจะมีความ
ต้องการสิ่งอื่นเข้ามาแทนที่ ความต้องการที่ได้รับการตองสนอแล้วจะไม่เป็นสิ่งจูงใจ
อีกต่อไป แต่ความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองนั้นจะเป็นสิ่งจูงใจแทน เป็นกระ
บวนการเช่นนี้โดยไม่มีที่สิ้นสุด MASLOW แบ่งความต้องการของมนุษย์ เป็น 5
ลำดับขั้น
ทฤษฎีการจูงใจ – สุขอนามัย ทฤษฎีทางการบริหาร
ของเฮอร์เบอร์ก
ปัจจัยสุขอนามัย
มีปัจจัยหรือองค์ประกอบ 2 ประการที่มี (HYGIENE) คือ องค์ประกอบ
ความสัมพันธ์กับความพึงพอใจและไม่พึงพอใจ ที่สนับสนุนความไม่พึงพอใจใน
ในการปฏิบัติงาน การทำงาน เช่น
ตัวกระตุ้น (MOTIVATOR) คือ - แบบการบังคับบัญชา
องค์ประกอบที่ทำให้เกิดความพึงพอใจหรือแรง - ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
จูงใจทางบวก เช่น - เงินเดือนค่าตอบแทน
- นโยบายของการบริการ
- งานที่ปฏิบัติ
- ความรู้สึกเกี่ยวกับความสำเร็จของงาน
- ความรับผิดชอบ
- โอกาสความก้าวหน้า
ทฤษฎี X และทฤษฎี Y ของแมคเกรเกอร์
แมคเกรเกอร์ ได้ชี้ให้เห็นถึงแบบของการบริหาร 2 แบบ คือ ทฤษฎี X ซึ่งมี
ลักษณะเป็นเผด็จการ และทฤษฎี Y หรือการมีส่วนร่วม แต่ละแบบเกี่ยวข้องกับ
สมมุติฐานที่มีต่อลักษณะของมนุษย์ ดังนี้
ทฤษฎีวุฒิภาวะของคริส อากิริส ทฤษฎีทางการบริหาร
มนุษย์มีวุฒิภาวะ และบางส่วนก็ไม่มีวุฒิภาวะ
วุฒิ = สติปัญญา ฉลาด โง่ ปริญญาวิชาการ
ภาวะ = พฤติกรรม ขยัน ขี้เกียจ ปริญญา
ทฤษฎีหน้าต่างสี่บานของโจฮารี
มีชื่อเรียกว่า “ทฤษฎีหน้าต่างดวงใจ”
“เวลามองตัวเอง อย่ามองหาความดี จงมองหาข้อผิดพลาด แล้วทำให้ถูกต้อง”
“คนฉลาดเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่น คนโง่เรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง”
สรุปความรู้ 29 ส.ค. 64
สรุปได้ว่า การบริหารองค์การให้สามารถ อยู่ได้อย่างมีเสถียรภาพภายใต้
สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง โดยรวบรวมเอากลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ ของ
องค์การ นำไปสู่การปฏิบัติเพื่อความสำเร็จในเป้าหมาย โดยคำนึงถึงความ
มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความประหยัด
ทฤษฎี หมายถึง แนวความคิดหรือความเชื่อที่เกิดขึ้นอย่างมีหลัก
เกณฑ์ ทฤษฎีเป็นแนวความคิดที่มีเหตุผลและสามารถนำไปประยุกต์และ
ปฏิบัติได้
ดังนั้น ทฤษฎีการบริหาร จึงหมายถึง หลักเกณฑ์ แนวคิดที่ด้วยการ
ดำเนินงานร่วมกันของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่
กำหนดไว้ โดยการอาศัยคน เงิน วัตถุ สิ่งของ เป็นปัจจัยในการทำงาน
ทฤษฎีการบริหารมีมากมาย เช่น ความต้องการ 5 ขั้นของอีริค
ฟอร์ม ทฤษฎีแรงจูงใจของมาสโลว์ ซึ่งผู้บริหารควรเรียนรู้ทฤษฎีเหล่านี้
เพื่อธรรมชาติของมนุษย์ พื้นฐานความต้องการของมนุษย์ เมื่อเข้าใจ
ธรรมความต้องพฤติกรรมของมนุษย์แล้ว ก็สามารถนำไปใช้เป็นแบบ
ทางในการบริหารได้
การนำไปใช้ประโยชน์ ใช้เป็นข้อมูล ความรู้ เป็นแนวทางในการบริหาร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารคน ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน
แต่หากมีความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีการบริหารร่วมกับประสบการณ์ก็สามารถ
บริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลักการและทฤษฎีทางการศึกษา 5 ก.ย. 64
ความรู้ที่ได้จากการเรียน ทฤษฎีทางการบริหาร
และศึกษาเพิ่มเติม
ทฤษฎีต้นไม้จริยธรรม จากทฤษฎีต้นไม้จริยธรรม
มนุษย์มีจิตใจและภูมิธรรมที่แตก
พฤติกรรมที่ดีเกิดจากปัจจัย ต่างกัน 3 ประการ ดังนี้
8 ประการหรือ 3 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มราก 1. มนุษย์ที่มีจิตใจเป็นสัตว์
2. มนุษย์ที่มีจิตใจเป็นคน
1. ความเฉลียวฉลาด 3. มนุษย์ที่มีจิตใจเป็นเทวดา
2. สุขภาพจิตดี
3. ประสบการณ์สังคมสูง กลุ่มดอก
กลุ่มลำต้น หรือผล
4. ทัศนคติ ค่านิยม คุณธรรม
5. เหตุผลเชิงจริยธรรม กลุ่มราก กลุ่ม
6. แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ลำต้น
กลุ่มดอกหรือผล
7. มุ่งอนาคต ควบคุมตน
8. ความเชื่ออำนาจในตน
ทฤษฎีบุคลิกภาพของเชลดอน
จะขึ้นอยู่กับรูปร่างที่ปรากฏของบุคคลนั้น แยกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. ผู้มีรูปร่างอ้วนกลม ป้อม ชอบความสบาย การสังคมดี
2. ผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแข็งแรง ชอบออกกำลังกาย จิตใจเป็นนักกีฬา
3. ผู้มีรูปร่างบอบบาง อ่อนแอ ไม่ชอบออกสังคม
ทฤษฎีเรือลอยน้ำ
1. น้ำ หมายถึง ผู้ใต้บังคับบัญชา หากน้ำไม่ปรารถนาเรือ ก็สามารถล่ม
เรือได้ เหมือนวันใดที่ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ยอมรับในตัวผู้บริหาร ก็อาจร่วมแรง
ร่วมใจกันคว่ำผู้บริหารลงจากตำแหน่งได้
2. เรือ หมายถึง ผู้บริหาร ผู้บริหารต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้ใต้
บังคับบัญชา จึงจะดำรงตำแหน่งอยู่ได้ เหมือนเรือที่ลอยได้โดยมีน้ำคอยพยุง
NOTES
“ หัวละครหัวโขนที่คนใส่
เขาสมมติให้เท่านั้นนะท่านเอ๋ย
อย่าหงลืมตัวลืมตนกันนักเลย
พอชวดเชยก็ไม่พ้น คนคือกัน ”
ทฤษฎีวัวสองตัว
มนุษย์และสัตว์ เมื่ออยู่ผู้เดียว ไม่ต้องแข่งกับใครก็อยู่ตามสบาย เปรียบ
ได้กับวัวตัวเดียวที่เล็มหญ้าโดยลำพัง ก็จะกินอย่างช้าๆสบายใจ แต่เมื่อมีวัวอีก
ตัวเข้ามาอยู่ใกล้ ก็จะรู้สึกว่ามีคู่แข่ง กลัวว่าหญ้าจะไม่พอกิน ต้องรีบกินเป็นการ
ใหญ่ จึงเกิดแข่งขันขึ้นทันที ดังเช่นมนุษย์เรา เมื่อแข่งขันแล้วก็ต้องการเป็นผู้
ชนะ
การนำไปใช้กับการบริหาร
- ควรมอบหมายงานคล้ายกันกับหลายกลุ่ม
- เปรียบเทียบกับการปฏิบัติงาน
- เทียบผลงาน
- ผลควรเป็น WIN-WIN
หลักการบริหารและวิวัฒนาการ
มีการพัฒนาตามลำดับเริ่มจากอดีต หรือการบริหารในระยะแรกๆ นั้น
มนุษย์ยังขาดประสบการณ์การบริหาร จึงเป็นการลองผิดลองถูก
การแลกเปลี่ยนประสบการณ์
เรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเอง หรือมีการแลกเปลี่ยนกันในวงจำกัด
การถ่ายทอดไปยังทายาท ลูกศิษย์ หรือลูกจ้าง
วิวัฒนาการของการบริหาร
นพพงษ์ บุญจิตราดุล แบ่งวิวัฒนาการของการบริหารออกเป็น 3 ยุค ดังนี้
1. ยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (SCIENTIFIC MANAGEMENT ERA)
ผู้มีบทบาทสำคัญ ได้แก่
- FREDERICK W. TAYLOR
- HENRI FAYOL
- LUTHER H. GULICK
- LYNDALL URWICK
2. ยุคการบริหารแบบมนุษย์สัมพันธ์ (HUMAN RELATION ERA)
ผู้มีบทบาทสำคัญ ได้แก่
- MARY P. FOLLET
- ELTON MAYO
- FRITZ J. ROCTHLISBERGER
3. ยุคทฤษฎีการบริหาร (THE ERA OF ADMINISTRATIVE THEORY)
เป็นยุคที่ผสมผสานสองยุคแรกเข้าด้วยกัน จึงเป็นยุคบริหารเชิงพฤติกรรมศาสตร์
ผู้มีบทบาทสำคัญ ได้แก่
- CHESTER I. BARNARD
- HERBERT A. SIMON
ตัวอย่างทฤษฎีการบริหาร
ในยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์
LUTHUR GULICK AND LYNDALL URWICK
เป็นนักบริหารงานแบบวิทยาศาสตร์ บริหารงานโดยหวังผลงานเป็นใหญ่
เขาได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกระบวนการบริหาร สรุปย่อได้ว่า
POSDC๐RB ดังนี้
1) P = PLANNING คือ การวางแผน
2) O = ORGANIZATION คือ การจัดองค์การ
3) S = STAFFING คือ การจัดคนเข้าทำงาน
4) D = DIRECTING คือ การอำนวยการ
5) C๐ = COORDINATING คือ การประสานงาน
6) R = REPORTING คือ การรายงาน
7) B = BUDGETTING คือ การบริหารงบประมาณ
ทฤษฎีการจัดการตามระบบราชการ
(BUREAUCRATIC MANAGEMENT) ของ MEX WEBER
องค์กรควรจะถูกบริหารบนพื้นฐานของเหตุผล และไม่เป็นส่วนตัว ลักษณะที่
สำคัญขององค์การแบบราชการ มีดังนี้
- มีการแบ่งงานกันทำเฉพาะด้าน
- มีการระบุสายการบังคับบัญชาอย่างชัดเจน
- บุคคลจะถูกคัดเลือกและเลื่อนตำแหน่งบนพื้นฐานของคุณสมบัติทางเทคนิค
- การบริหารกับการเป็นเจ้าขององค์การจะถูกแยกจากกัน
- ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่บนพื้นฐานของ
ความไม่เป็นส่วนตัว
- มีการกำหนดกฎและระเบียบวิธีการไว้อย่างเป็นทางการ
FREDERICK W. TAYLOR
“บิดาแห่งการจัดการที่มีหลักเกณฑ์” ซึ่งเป็นผู้ต้นคิดสำคัญในการวางหลักการ
และทฤษฎีการจัดการที่ถูกต้องขึ้นเป็นครั้งแรก ที่เรียกว่า “การจัดการที่มีหลัก
เกณฑ์” เขาไม่เห็นด้วยกับวิธีการทำงานของผู้บริหารในสมัยนั้น ที่ใช้วิธีการทำงาน
อย่างไม่มีหลักเกณฑ์
TAYLOR เชื่อว่า เป็นไปได้ที่จะกำหนดปริมาณงานที่แต่ละคนทำได้ในระยะ
เวลาที่กำหนด โดยไม่เป็นการบีบคั้นต่อผู้ทำงานนั้น และการศึกษาเกี่ยวกับเวลาดัง
กล่าว จะเป็นไปโดยถูกต้องและมีหลักเกณฑ์มากที่สุด โดยตั้งทฤษฎีการจัดการตาม
หลักวิทยาศาสตร์
ทฤษฎีการจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์
(SCIENTIFIC MANAGEMENT FREDERICK W. TAYLOR)
1. ทำการศึกษางานแต่ละส่วนด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์และพัฒนาวิธี
การที่ดีที่สุดสำหรับการทำงานแต่ละอย่าง
2. ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการคัดเลือกและการฝึกอบรมพนักงาน
และมอบหมายความรับผิดชอบให้ทำงานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคน
3. มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้บริหารและพนักงาน
4. แบ่งงานและความรับผิดชอบในงานเป็นส่วนต่างๆ
ทฤษฎีการจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์
(SCIENTIFIC MANAGEMENT
FREDERICK W. TAYLOR)
1. ทำการศึกษางานแต่ละส่วนด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์และพัฒนาวิธีการ
ที่ดีที่สุดสำหรับการทำงานแต่ละอย่าง
2. ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการคัดเลือกและการฝึกอบรมพนักงาน และ
มอบหมายความรับผิดชอบให้ทำงานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคน
3. มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้บริหารและพนักงาน
4. แบ่งงานและความรับผิดชอบในงานเป็นส่วนต่างๆ
การจัดหลักเกณฑ์ที่พัฒนาขึ้ นมาของเทเลอร์ทั้งหมดมีพื้ นฐานอยู่ในหลักการ
ที่สำคัญ 4 ประการ คือ
1. ต้องมีความคิดค้นและกำหนด “วิธีที่ดีที่สุด” สำหรับงานที่จะทำแต่ละอย่าง
จะต้องมีการกำหนดวิธีการทำงานที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้สามารถทำงานเสร็จลุล่วงไป
ด้วยดีตามวัตถุประสงค์ การจ่ายผลตอบแทนแบบจูงใจต่างๆ ก็จะจ่ายให้ตาม
ผลผลิตทั้งหมด
2. ต้องมีการคัดเลือกและพัฒนาคน การรู้จักจัดงานให้เหมาะสมสอดคล้อง
กับคนงาน ในการคัดเลือกคนงานจะต้องพิจารณาเป็นพิเศษที่จะให้ได้คนที่มี
คุณสมบัติที่ดีที่สุดตรงตมงานที่จะให้ทำ (PUT THE RIGHT MAN ON THE
RIGHT JOB)
3. การพิจารณาอย่างรอบคอบ เกี่ยวกับวิธีทำงานควบคู่กับการพิจารณา
คนงาน คนงานจะไม่คัดค้านต่อวิธีทำงานใหม่ที่ได้กำหนดขึ้น เพราะโดยหลักเหตุผล
คนงานทุกคนจะเห็นถึงโอกาสที่เขาจะได้รับรายได้สูงขึ้นจากการทำงานถูกวิธีที่จะ
ช่วยให้ได้ผลผลิตสูงขึ้น
4. การประสานร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้บริหารและคนงาน
ฝ่ายบริหารควรจะได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดเป็นประจำกับคนงานที่เป็นผู้ปฏิบัติ
งาน แต่จะต้องไม่ใช่โดยการไปลงมือปฏิบัติงานที่ควรจะเป็นงานของคนงานเท่านั้น
สรุปความรู้ 5 ก.ย. 64
ทฤษฎีเรือลอยน้ำ เป็นทฤษฎีที่เปรียบเทียบผู้บริหารและผู้ใต้บังคับบัญชา
โดย น้ำ หมายถึง ผู้ใต้บังคับบัญชา หากน้ำไม่ปรารถนาเรือ ก็สามารถล่มเรือได้ ผู้
บริหาร เรือ หมายถึง ผู้บริหาร ผู้บริหารต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้ใต้บังคับ
บัญชา จึงจะดำรงตำแหน่งอยู่ได้ เหมือนเรือที่ลอยได้โดยมีน้ำคอยพยุง
ทฤษฎีวัวสองตัว มนุษย์เรา เมื่อแข่งขันแล้วก็ต้องการเป็นผู้ชนะ
หลักการบริหารและวิวัฒนาการ
1. ยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (SCIENTIFIC MANAGEMENT
ERA) ผู้มีบทบาทสำคัญ ได้แก่
- FREDERICK W. TAYLOR
- HENRI FAYOL
- LUTHER H. GULICK
- LYNDALL URWICK
2. ยุคการบริหารแบบมนุษย์สัมพันธ์ (HUMAN RELATION ERA) ผู้มี
บทบาทสำคัญ ได้แก่
- MARY P. FOLLET
- ELTON MAYO
- FRITZ J. ROCTHLISBERGER
3. ยุคทฤษฎีการบริหาร (THE ERA OF ADMINISTRATIVE THEORY)
เป็นยุคที่ผสมผสานสองยุคแรกเข้าด้วยกัน จึงเป็นยุคบริหารเชิงพฤติกรรมศาสตร์
ผู้มีบทบาทสำคัญ ได้แก่
- CHESTER I. BARNARD
- HERBERT A. SIMON
การนำไปใช้ประโยชน์ นำทฤษฎีการบริหารไปปรับใช้กับการทำงาน ได้เรียนรู้
วิวัฒนาการความเป็นมาของการบริหาร และสามารถต่อยอดปรับใช้กับการ
บริหารในยุคปัจจุบันได้
หลักการและทฤษฎีทางการศึกษา 19 ก.ย. 64
ความรู้ที่ได้จากการเรียน
และศึกษาเพิ่มเติม
HENRY L. GANTT (1861-1919)
GANTT เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดในฐานะเป็นผู้พัฒนาวิธีการอธิบาย
แผนภาพ โดยกราฟแกนชาร์ต (GANTT CHART) ซึ่งได้นำมาใช้ในการ
อธิบายถึงการวางแผนการจัดการและการควบคุมองค์การที่มีความซับซ้อน
ตัวอย่าง GANTT CHART
ที่มา : HTTPS://COMMONS.WIKIMEDIA.ORG
HENRI FAYOL
ทฤษฎีบริหารจัดการ POCOC นั้นเน้นการบริหารจัดการรอบด้านและ
ครอบคลุมตั้งแต่การวางแผน, การปฎิบัติการ, การจัดโครงสร้างองค์กร ไปจนถึง
การควบคุมการทำงานให้เป็นไปตามมาตรฐานที่วางไว้
ทฤษฎี POCCC และหน้าที่ทางด้านการจัดการ (MANAGEMENT FUNCTION)
P – PLANNING : การวางแผน
O – ORGANIZING : การจัดองค์กร
C – COMMANDING : การบังคับบัญชาสั่งการ
C – COORDINATION : การประสานงาน
C – CONTROLLING : การควบคุม
หลักในการบริหารจัดการ (PRINCIPLES OF MANAGEMENT)
ตามแนวคิดของ อองริ ฟาโยล (HENRI FAYOL)
1.การแบ่งหน้าที่และการทำงาน (DIVISION OF WORK)
2. อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ (AUTHORITY & RESPONSIBILITY)
3. ระเบียบวินัย (DISCIPLINE)
4. เอกภาพแห่งการบังคับบัญชา (UNITY OF COMMAND)
5. เอกภาพของทิศทางการดำเนินงาน (UNITY OF DIRECTION)
6. ผลประโยชน์ส่วนบุคคลเป็นรองกว่าประโยชน์ส่วนรวม (SUBORDINATION
OF INDIVIDUAL INTEREST)
7. การให้ผลประโยชน์ตลอดจนค่าตอบแทน (REMUNERATION)
8. สมดุลของการรวมและกระจายอำนาจ (THE DEGREE OF
CENTRALIZATION)
9. สายการบังคับบัญชา (SCALAR CHAIN)
10. ความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความพร้อมในการทำงาน (ORDER)
11. ความเสมอภาค (EQUITY)
12. เสถียรภาพในการทำงาน (STABILITY OF TENURE OF PERSONNEL)
13. เสรีภาพในการนำเสนอสิ่งใหม่ (INITIATIVE)
14. ความเข้าใจและการไว้วางใจซึ่งกันและกัน (ESPRIT DE CORPS)
ตัวอย่างทฤษฎีการบริหาร
ในยุคการบริหารแบบมนุษยสัมพันธ์
(HUMAN RELATION ERA)
เอลตัน เมโย (ELTON MAYO)
การศึกษาดังกล่าวนี้เริ่มต้นด้วยการสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อม
ทางกายภาพ (PHYSICAL ENVIRONMENT) กับประสิทธิภาพในการทำงาน
(PRODUCTIVITY)
สภาพแวดล้อมทางกายภาพในลักษณะที่ทำงาน ถูกกำหนดขึ้นโดยปัจจัยต่อไปนี้
1. ความเข้มของแสงสว่าง
2. ระดับของอุณหภูมิ
3. และเงื่อนไขทางกายภาพในการทำงานอื่น ๆ
แนวความคิดของ MAYO จากการทดลองที่ HAWTHORN
ใกล้เมือง CHICAGO U.S A สรุปได้ 5 ประการ ดังนี้
1.ปทัสถานสังคม (ข้อตกลงเบื้องต้นในการทำงาน)
2. กลุ่มพฤติกรรมของกลุ่มมีอิทธิพลจูงใจ
3. การให้รางวัล และการลงโทษ
4.การควบคุมบังคับบัญชา
5.การบริหารแบบประชาธิปไตย
สรุปความรู้ 5 ก.ย. 64
สรุปได้ว่า ทฤษฎีการบริหารในยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์จะเน้นที่
งาน ผลลัพธ์ปลายทางโดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับคน ส่วนทฤษฎีการ
บริหารในยุคการบริหารแบบมนุษย์สัมพันธ์จะเน้นที่การบริหารคนด้วย
ให้ความสำคัญกับคน ทำให้คนมีความสุข มีแรงจูงใจในการทำงาน ซึ่งจะ
ส่งผลต่องานที่ออกมา
การนำไปใช้ประโยชน์ นำความเรื่องทฤษฎีการบริหารแบบต่างๆ ไป
ประยุคต์ให้ให้เหมาะสมกับการทำงานแต่ละอย่าง
หลักการและทฤษฎีทางการศึกษา 26 ก.ย. 64
ความรู้ที่ได้จากการเรียน
และศึกษาเพิ่มเติม
BALANCE SCORECARD
การบริหารแบบถ่วงดุล
จุดกำเนิดของ BALANCED SCORECARD มาจาก PROFESSOR
ROBERT KAPLAN อาจารย์มหาวิทยาลัย HARVARD โดยให้ DR.DAVID
NORTO ที่ปรึกษาด้านการจัดการทดลองนำไปใช้
BALANCED SCORECARD (BSC) กระบวนในการบริหารงานที่อาศัยการ
กำหนดตัวชี้วัด (KPI) แบบสมดุลภาระงานขององค์กร นำกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติ
(STRATEGIC IMPLEMENTATION) โดยอาศัยประเมิน (MEASUREMENT)
ที่สอดคก้องไปทางเดียวกัน และมุ่งมั่นในสิ่งที่มีความลำคัญต่อความลำเร็จของ
องค์กร (ALIGNMNENT AND FOCUSED)
ตัวชี้วัดใน 4 มุมมอง มุมมองทางการศึกษา
มุมมองด้านการเงิน มุมมองทางวิชาการ
มุมมองด้านลูกค้า มุมมองทางบุคลากร
มุมมองด้านกระบวนการภายใน มุมมองงบประมาณ
มุมมองต้านการเรียนรู้และการพัดนา มุมมองงานทั่วไป
วัตถุประสงค์ ด้านการศึกษา
ด้านการเงิน ด้านการเงิน - จำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้น
- การเพิ่มขึ้นของรายได้
- การลดลงของต้นทุน - รักษาลูกค้ากลุ่มเดิม - ประสิทธิภาพการสอนของครู
- การเพิ่มผลผลิต
- การแสวงหาลูกค้าใหม่ - คุณภาพของนักเรียน
- การบริการที่รวดเร็ว - ความเชื่อมั่นในโรงเรียน
- ส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้น - ชื่อเสียงที่ดีของโรงเรียน
กระบวนการภายใน วัตถุประสงค์ด้านการ
เรียนรู้และพัฒนา
การดำเนินงานที่รวดเร็วขึ้น
กระบวนการผลิตที่มีคุณภาพ พัฒนาครู ต้องเรียนรู้ตลอดเวลา
กระบวนการจัดส่งที่รวดเร็วและตรงเวลา โรงเรียน้องรักษาครูที่ดี
มุมมองต้านการเรียนรู้และการพัดนา เปิดโอกาสให้คนกล้าแสดงออก
พัฒนาด้านเทคโนโลยี
การประเมิน SWOT
กำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน STRENGTHS
กำหนดตัวชี้วัด WEAKNESS
เป้าหมาย OPPORTUNITIES
THREATS
- เชิงปริมาณ OUT PUT
- เชิงคุณภาพ OUT COME
แผนงานและโครงการ
ประโยชน์และความสำคัญของ
BALANCED SCORECARD
1. ช่วยทำให้องค์กรกำหนดวิสัยทัศน์และภารกิจชัดเจน
2. วัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์เชื่อมโยงกับมาตรการได้ชัดเจน
3. เกิดการวางแผน กำหนดเป้าหมาย และสร้างสรรค์กิจกรรมเชิงกลยุทธ์ได้ชัดเจน
4. เกิดการสะท้อนกลับและการเรียนรู้ของผู้บริหาร
BENCHMARKING
กระบวนการเปลี่ยนความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศกับ
องค์กรอื่นๆ ภายใต้กติกาสากล ทำให้เกิด BEST PRACTICES
แนวคิด องค์กรแต่ละองค์กรไม่ได้เก่งในทุกเรื่อง อาจจะมีบางเรื่องที่เด่น บางเรื่อง
ที่ด้อย จึงต้องแลเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อจับมือสู่ความเป็นเลิศด้วยกัน นำข้อดีมาแลก
เปลี่ยนนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
รูปแบบ ( BENCH + MARKING )
1. COMPETITIVE BENCHMARKING เป็นการเปรียบเทียบคู่แข่งกัน
โดยตรง สินค้าประเภทเดียวกัน
2. FUNCTIONAL BENCHMARKING เปรียบเทียบในลักษณะทำมาตรฐาน
อิงมาจากองค์กรที่เป็นที่หนึ่งในอุตสาหกรรมนั้น
3. INTERNAL BENCHMARKING เป็นการเปรียบเทียบหน่วยงานในองค์กร
เดียวกัน มีความประหยัดและทำง่ายที่สุด
4. GENERIC BENCHMARKING เป็นการเปรียบเทียบทั่วไป แม้จะต่าง
กิจกรรมต่างแบบ
แนวทาง BENCHMARKING
1. แบบกลุ่ม คือ ทั้งองค์กร
2. แบบเดี่ยว คือ บางคน เฉพาะคน
PREPARATION STAGE
1. การแต่งตั้งผู้รับผิดชอบระดับสูง
2. การให้การฝึกอบรมผู้ที่เกี่ยวข้อง
3. การเลือกวิธีการทำ
4. จรรยาบรรณของ BENCH MARKING
5. การประชาสัมพันธ์ภายในองค์กร
ขั้นตอน ประโยชน์
PLANNING การวางแผน การปฏิบัติที่เป็นเลิศ
ANALYSIS การวิเคราะห์ ได้รูปแบบการทำงานใหม่
INTEGRATION การบูรณาการ ส่งเสริมการทำงานภายใน
ACTION การปฏิบัติ เกิดจุดแข็งในองค์กร
เกิดความร่วมมือภายในองค์กร
ประโยชน์และความสำคัญของ
BALANCED SCORECARD
1. หลักการด้านกฎหมาย : คำถามที่ไม่เหมาะสมไม่ควรถาม เช่น เรื่องความขัดแย้ง
2. หลักการด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูล : การเต็มใจแลกเปลี่ยนข้อมูล
3. หลักการด้านความลับ : ไม่เปิดเผยข้อมูลองค์กร ข้อมูลรายชื่อ
4. หลักการด้านการใช้ข้อมูล : ใช้ข้อมูลตามวัตถุประสงค์
5. หลักการด้านการติดต่อ : ให้เกียรติเคารพซึ่งกันและกัน
6. หลักการด้านการเตรียมตัว : การเตรียมตัว เตรียมคำถามในการสัมภาษณ์
7. หลักการด้านการทำให้สำเร็จ : การร่วมมือ แลกเปลี่ยนพัฒนาองค์กร
8. หลักการด้านความเข้าใจและการปฏิบัติ : เข้าใจซึ่งกันและกัน
CEO C HIEF : หัวหน้า
ฝัน คือ การรู้อนาคต E XECUTIVE : ผู้บริหาร
ขายความฝัน คือ บอกผู้เกี่ยวข้อง O FFICER : เจ้าหน้าที่
สร้างฝันให้เป็นจริง
คือ การสนับสนุน
CEO เป็นรูปแบบ เป็นบทบาท เป็นสถานภาพ เป็นศูนย์กลางการบริหารงาน
ทั้งหลายขององค์กร
ผอ. CEO ต้องทำให้ถูกต้องตามหลักการ นำองค์กรไปสู่เป้าหมายที่วาดฝัน
ทำให้เป็นจริง
ปัจจัยส่งเสริม CEO ศักยภาพของ CEO
ปัจจัยส่งเสริมภายนอก (EMPOWER) C คือ CO-OPERATION
ได้แก่ อำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบ E คือ EFFICIENCY
กฎระเบียบ นโบยบายที่ชัดเจน O คือ ORDERLY
ปัจจัยส่งเสริมภายใน (PERTIONAL) คุณลักษณะ CEO
ได้แก่ ความรู้ปัญญา ความสามารถ
คุณธรรม ความเป็นผู้นำ จัดการคนเก่ง
ต้องใฝ่รู้
ขั้นตอนของ CEO ป้องกันเหตุที่ไม่พึงประสงค์
1. ขั้นเตรียมการ : PLAN
2. การทำงาน : DO
3. ประเมินผล : CHECK
4. ทดลอง ทดสอบ สรุปรายงาน
: ACTION
สรุปความรู้ 26 ก.ย. 64
สรุปได้ว่า
BALANCED SCORECARD คือ ระบบการบริหารงานและ
ประเมินผลทั่วทั้งองค์กร
BENCHMARKING คือ กระบวนการแลกเปลี่ยนความรู้ แลก
เปลี่ยนประสบการณ์ และแลกเปลี่ยนวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ
(BEST PRACTICES) กับองค์กรอื่นภายใต้กฎกติกาสากล
CEO เป็นรูปแบบการบริหารที่เน้นการเป็นผู้นำแห่งการ
เปลี่ยนแปลง ซึ่งสามารถเป็นผู้นำได้หลายรูปแบบในเวลาเดียวกัน ทั้งนี้
ขึ้นอยู่กับโอกาสและสถานการณ์ ซึ่งเป็นผู้นำที่เก่งรอบด้าน
การนำไปใช้ประโยชน์ สามารถนำทฤษฎีการบริหารสมัยใหม่มาปรับใช้
หรือเป็นแนวทางในการบริหารงานต่อไป
หลักการและทฤษฎีทางการศึกษา 3 ต.ค. 64
ความรู้ที่ได้จากการเรียน
และศึกษาเพิ่มเติม
TOTAL QUALITY
MANAGEMENT (TQM)
TQM : การบริหารคุณภาพทั่วทั้งองค์กร
แนวคิด
FITNESS TO STANDARD : ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน
FITNESS TO USE : วิธีการไปในแนวทางเดียวกัน
FITNESS TO COST : มีค่าใช้จ่ายที่สอดคล้องกับคุณภาพ
FITNESS TO LATENT REQUIREMENT : กำหนดความต้องการที่แท้จริง
TOTAL : ทั้งหมด ทุกคนที่เกี่ยวข้องในองค์กร
QUALITY : คุณภาพ
- SALES VOLUME
- CUSTOMERS
- SUPPLIERS
- MANAGEMENT
- SHAREHOLDERS
- EMPLOYEES
MANAGEMENT คือ การจัดการ : ผู้บริหารยึดมั่นผูกพันอย่างจริงจัง
ในกระบวนการบริหารจัดการ
TQM วัตถุประสงค์
- บริหารองค์กรที่มุ้งเน้นคุณภาพ - คุณภาพของสินค้าหรือบริการ
- โดยทุกคนมีส่วนร่วม - ใช้ศักยภาพของบุคลากร
- มุ่งผลกำไรระยะยาว - ทุกคนมีส่วนร่วม
- สร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้า - ความอยู่รอดขององค์กร
- สมาชิกในองค์กรและสังคมได้ประโยชน์ - เพื่อตนเองและสังคม
หลักการสำคัญ
- CUSTOMER FOCUS : เน้นผู้เรียน
- QUALITY FOCUS : คุณภาพ
- PROCESS IMPROVEMENT
: การปรับปรุงกระบวนการ
- TOTAL INVOLVEMENT
: การมีส่วนร่วมทั้งหมด
ปัจจัยสนับสนุน ปัจจัยสนับสนุน
- ภาวะผู้นำ - MARKETING RESEARCH
- การศึกษาอบรม : ดูความต้องการของสังคม
- โครงสร้างองค์กร
- การติดต่อสื่อสาร - SURVEY : ทำอย่างไรให้อยู่รอด
- ขวัญและการยอมรับ - QUESTIONNAIRE : แบบสอบถาม
- การวัดผลงาน
NOTES : การปรับปรุงกระบวนการ
RIGHT THE FIRST TIME AND RIGHT
EVERY TIME (กระบวนการสามารถทำงานของตน
ได้อย่างถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้นและถูกต้องทุกครั้ง)
เครื่องมือแห่งคุณภาพ BRAINSTORMING
- ความคิดทุกคนมีคุณค่า
MANAGEMENT BY FACTS - คิดอย่างอิสระ
- DATA COLLECTION - เป็นกันเอง
- FIGURES - เสริมต่อความคิด
- STATISTICS
- INFORMATION HOW – HOW DIAGRAMS
- จะเพิ่มจำนวนเด็กได้อย่างไร
WHY – WHY DIAGRAMS - จะปรับปรุงคุณภาพการสอนได้
- ทำไมถึงขาดทุน
- ทำไมถึงขายไม่ได้ อย่างไร
- ทำไมถึงคุณภาพไม่ดี - จะปรับวิธีการสอนได้อย่างไร
- ทำไมออกแบบไม่ดี - จะพัฒนาบุคลากรได้อย่างไร
- ทำไมไม่มีข้อมูลลูกค้า
รายงานตรวจสอบ ผลดีจาก TQM
เพื่อการปรับปรุง
ของออสบอร์น - BETT
ER QUALITY - ZERO DEFECT
- ELIMINATE - WASTE
- PUT TO OTHER - SPEEDING SERVICE - PARTICIPATE
- USES
- ADAPT - QUALITY OF LIFE
- MODIFY แก้ไข
- MAGNIFY ขยาย หลัก ECRS
- MINIFY ลงลง
- SUBSTITUTE ทดแทน - ELIMINA
TE ขจัดขั้นตอนที่สูญเปล่า
- RESERSE หมุนกลับ
- COMBINE รวมกัน - COMBINE รวบรวมข้อมูลที่คล้ายกันทำพร้อมกัน
- REARRANGE จัดลำดับขั้นตอนใหม่ให้สะดวกขึ้น
- SIMPLIFY ทำให้ขั้นตอนต่าง ๆ ง่ายขึ้น
การทำงานเป็นทีม ทำไมต้อง
(TEAMWORK) ทำงานเป็นทีม
ทีม (TEAM)
หลายคนทำงานร่วมกัน NO TWO PERSONS ARE ALIKE,
วัตถุประสงค์เดียวกัน ไม่มีสองคนที่เหมือนกัน
มีความเสียสละ เก่งคนเดียว เก่งได้ไม่นาน
ผูกพัน เพื่อประโยชน์ส่วนรวม หลายหัวดีกว่าหัวเดียว
ลักษณะการทำงานร่วมกัน
ทำงานแบบเอาบุคคลมารวมกัน ไม่มีการแบ่งหน้าที่ ไม่มีกฎระเบียบ ไม่มี
วัตถุประสงค์ ผลงานอาจสูงหรือต่ำ
ทำงานร่วมกันแบบเป็นคณะหรือเป็นทีม โดยสมาชิกทราบวัตถุประสงค์
รู้หน้าที่ มีกฎระเบียบ ผลงานออกมาสูงเป็นที่พอใจของสมาชิก ทุกคนพอใจใน
ผลงาน
การจูงใจ แนวคิดพื้นฐาน บุคลิกภาพ
การบริหาร มนุษย์
แบบมีส่วนร่วม
การเข้าใจ
ลักษณะบุคคลที่ทำให้เกิด
ความร่วมมือร่วมใจ
1.มีใจกว้าง 2. เป็นคนมีน้ำใจ ขั้นตอนของ
การมีส่วนร่วม
3. ซื่อสัตย์สุจริต 4. ตรงต่อเวลา
1 : การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
5. วาจาดี 6. มีมนุษยสัมพันธ์ดี 2 : การมีส่วนร่วมในการดำเนินการ
ขั้นที่ 3 : การมีส่วนร่วมในการรับผล
7.ไม่เอารัดเอาเปรียบ 8. มีความจริงใจเสมอ ประโยชน์
ขั้นที่ 4 : การมีส่วนร่วมในการ
9. เสมอต้นเสมอปลาย ประเมินผล
10. ปฏิบัติงานตามแผนที่กำหนดไว้
11. ทำตามหน้าที่ที่กำหนด
12. เคารพความคิดความสามารถของผู้อื่น
13. มีความอดทนมุมานะและพากเพียร
14. มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
ประโยชน์ของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
1. การตัดสินใจที่ดีกว่า
2. ประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น
3. กำลังใจและความพอใจงานที่ทำมากขึ้น
4. การออกจากงาน การขาดงาน และความเฉื่อยชาน้อยลง
5. การติดต่อสื่อสาร และการยุติความขัดแย้งดีกว่า
อุปสรรคของ การยอมรับความ
การทำงานเป็นทีม แตกต่างของบุคคล
- สามัคคีนั้นดีอยู่แต่ตัวข้าพเจ้าต้องเป็นใหญ่ - ทางด้านร่างกาย
- ทำงานคนเดียวดีและเก่ง ทำงานหลายคนเจ๊ง - จิตใจ
- ต่างคนต่างอยู่ ธุระไม่ใช่ - อารมณ์
- มากคนก็มากเรื่อง - ความรู้สึก
- ชิงดี ชิงเด่น - บุคลิกภาพ
- ทำอะไรได้ตามใจคือไทยแท้ - ความเชื่อถือ
- มองเห็นแต่ผลประโยชน์ส่วนตน - ค่านิยม
มองไม่เห็นส่วนทั้งหมด - ด้านการรับรู้
- ด้านประสบการณ์
แนวทางการลดปัญหา
ในการทำงานเป็นทีม
1. สร้างบรรยากา
ศในการทำงานที่ดี
2. มอบหมายงานต้องชัดเจนแน่นอน
3. ยอมรับในเรื่องความแตกต่างของสมาชิก
4. ให้ใช้ประสบการณ์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
5. ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมาย
6. กำหนดจำนวนผู้ทำงานให้เหมาะสม
7. ให้ทุกคนมีวินัยในการทำงาน และทำตามกฎระเบียบ
8. จะต้องกำหนดกิจกรรมนั้นๆ จะมีวิธีปฏิบัติอย่างไร
9. จะต้องทำที่ไหน อย่างไร เพื่ออะไร เวลาใด โดยใคร
10. จะต้องใช้ทรัพยากรอะไรบ้าง
11. จะประสานกับกิจกรรมอื่น ๆ อย่างไร
สรุปความรู้ 3 ต.ค. 64
สรุปได้ว่า
TQM คือ การบริหารคุณภาพโดยรวม เป็นแนวทางการ
จัดการไปสู่ความสำเร็จระยะยาว ด้วยการฟังความพึงพอใจของ
ลูกค้า การปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง โดยสมาชิกทุกคนใน
องค์กรมีส่วนร่วมในการปรับปรุงกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์และ
บริการ
การทำงานเป็นทีม คือ การทำงานร่วมกันของสมาชิกหรือ
พนักงานในองค์กรมากกว่า 1 คนขึ้นไป โดยหัวใจสำคัญคือทุกคน
นั้นจะต้องมีเป้าหมายเดียวกัน และเต็มใจร่วมกันปฎิบัติงานต่างๆ
เพื่ อให้บรรลุเป้าหมายจนไปสู่ความสำเร็จ
การนำไปใช้ประโยชน์ นำความรู้ปรับใช้กับการบริหารงาน
บริหารคน เพื่อนำองค์กรสู่เป้าหมายที่เป็นเลิศ
โดย
นางสาวภัทรานิษฐ์ บุญฤทธิ์
กลุ่ม 2 รหัสนักศึกษา 6419050065