The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ความผิดเกี่ยวกับศาสนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 206 เเละ 207

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by thipanda2012, 2021-09-27 11:07:55

ความผิดเกี่ยวกับศาสนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 206และ207

ความผิดเกี่ยวกับศาสนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 206 เเละ 207

ความผิดเกี่ยวกับศาสนา

เสนอ




อาจารย์วิรัตน์ นาทิพเวทย์

จัดทำโดย




นางสาวทิพย์อัญฎา หวันตันหยง
631081103 รหัสนิสิต

รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียน
วิชากฎหมายอาญา 2 : ภาคความผิด 0801221
คณะนิติศาสตร์ ภาคปกติ มหาวิทยาลัยทักษิณ

ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

ความนำ

ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 206 และ 207 ลักษณะที่ 4 ความผิดเกี่ยวกับศาสนา ศาสนาเปน็
สถาบันหลกั ของสังคมสถาบันหน่ึง เช่นเดียวกบั สถาบันกษตั รยิ แ์ ละสถาบนั ชาติ ศาสนาเปน็ ตวั กำหนดกฎเกณฑ์
เกี่ยวกับความประพฤติหรือหลักจริยธรรมของสมาชิกในสังคมเคียงคู่กันมากับกฎหมาย ในบางเรื่องหลัก
จริยธรรมของศาสนาก็วางกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดกว่ากฎหมาย เช่น ศาสนาห้ามพูดเท็จ ห้ามแม้กระทั่งการฆ่าสัตว์
เล็กๆสกั ตัวหนึง่ ศาสนาจึงมีบทบาทสำคัญในการรักษาความสงบเรียบรอ้ ยของสังคม ดว้ ยเหตนุ ีก้ ฎหมายจึงต้อง
ใหค้ วามคุ้มครองแก่สถาบนั ด้วย

แต่เนื่องจากศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อถือศรัทธาของหมู่ชน ประกอบกับรัฐธรรมนูญของไทยก็ให้
เสรีภาพแก่ประชาชนในการนับถือศาสนา และประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ในประเทศไทยจึงมีผู้นับถือ
ศาสนาต่างๆ หลายศาสนา เช่นศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม เป็นต้น กฎหมายได้ให้ความคุ้มครอง
แก่ทุกศาสนาโดยเท่าเทียมกัน ไม่ว่าศาสนานั้นจะมีผู้นับถือมากหรือน้อยก็ตาม แม้พุทธศาสนาจะเป็นศาสนา
ประจำชาติไทย แตก่ ็ไม่ได้รับความคมุ้ ครองเปน็ พเิ ศษกว่าศาสนาอน่ื

การคุ้มครองนี้เป็นการให้ความคุ้มครองแก่ตัวสถาบัน ไม่ใช่ความคุ้มครองตัวบุคคลผู้ปฏิบัติศาสนา
ฉะนั้นพระภิกษุ บาทหลวง อิหม่าม หรือพราหมณ์ จึงไม่ได้รับการคุ้มครองนอกเหนือไปกว่าบุคคลธรรมดา ซ่ึง
ตา่ งการคุ้มครองสถาบนั กษตั รยิ ท์ ่ใี ห้ความคุ้มครองทต่ี ัวบคุ คลโดยเฉพาะเจาะจง

ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 206 และ 207 ให้ความคุ้มครองแก่ศาสนาไว้ 2 ประการ คือ (1) การ
กระทำแก่วัตถุหรือสถานอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาอันเป็นการเหยียดหยามศาสนา (2) การก่อให้เกิดความ
วุ่นวาย

ความคุ้มครองดังกล่าวข้างต้นนั้น ไม่รวมถึงการกล่าววาจาดูถูก ดูหมิ่น หรือวิพากษ์วิจารณ์ศาสนาใด
ไปในทางเสียหายเพราะไม่ได้เป็นการกระทำโดยตรงต่อวัตถุหรือสถาอันเป็นที่เคารพในทางศาสนา นอกจากน้ี
การกระทำแก่ศาลเจ้าจะผิดหรือไม่น้ันก็ขึ้นอยู่ว่า ศาลเจ้านั้นเป็นที่เคารพในทางศาสนาใดหรือไม่ ถ้าเป็นก็ผิด
ถ้าไม่เป็นกไ็ ม่ผิด แต่อย่างไรก็ตามกฎหมายย่อมไม่คุ้มครองไปถึงเรื่องการพน่ นำ้ หมาก รดน้ำมนต์ ปลุกเสกของ
ขลงั หรือทรงเจ้า เขา้ ผี เพราะไมใ่ ช่เรือ่ งของศาสนา

1

บทที่ 1
คำอธิบายเชิงโครงสร้างความรับผิดทางอาญา

มาตรา 206 ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ แกว่ ตั ถหุ รอื สถานอนั เป็นท่ีเคารพในทางศาสนาของหมชู่ นใด
อันเป็นการเหยียดหยามศาสนานั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึง่ ปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถงึ หน่ึง
แสนส่ีหมื่นบาท หรือทัง้ จำท้ังปรบั

องค์ประกอบความผิดมดี งั น้ี
องค์ประกอบภายนอก
1. กระทำดว้ ยประการใดๆ
2. แกว่ ตั ถุหรอื สถานอันเปน็ ทเี่ คารพในทางศาสนาของหมูช่ นใด
3. อนั เป็นการเหยยี ดหยามศาสนานั้น
องค์ประกอบภายใน
1. เจตนา
กระทำด้วยประการใดๆ กฎหมายไม่ได้กำหนดลักษณะของการกระทำไว้ ฉะน้นั จะเป็นการกระทำดว้ ยวิธีใดก็
ได้ เช่นกระทืบ ถม่ นำ้ ลาย เป็นต้น เพียงแตก่ ารกระทำน้นั ต้องมีลักษณะเป็นการเหยยี ดหยามศาสนา

แก่วัตถุหรือสถานอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของหมู่ชนใด การกระทำดังกล่าวฎหมายให้รวมถึงสิ่งที่ถูก
กระทำว่าต้องเป็นสถานหรือวัตถุอันเป็นที่เคารพของของศาสนานั้น ไม่รวมถึงการกระทำต่อตัวบุคคล เช่น ถ่มน้ำลาย
ใส่พระภิกษุสงฆ์หรือบาทหลวง ถ้ายึดตามมาตรานี้ถือว่าย่อมไม่ผิดเพราะพระภิกษุสงฆ์หรือบาทหลวงแม้จะเป็นบคุ คล
ทเี่ คารพนับถอื ในทางศาสนา แต่ไม่ใชว่ ัตถุหรอื สถานตามองคป์ ระกอบกอบภายนอกของมาตราน้ี

วัตถุหรือสถานอันเป็นที่เคารพในทางศาสนานั้นหรือศาสนาใดก็แล้วแต่ แม้จะมีคนนับถือมากน้อยเพียงใด
ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ วัตถุได้แก่ พระพุทธรูป เทวรูป ไม้กางเขน เป็นต้น ส่วนสถานทีเ่ ช่น โบสถ์ วิหาร เจดีย์ สุเหร่า แม้
จะเปน็ เจดียท์ อ่ี ยใู่ นวัดรา้ งกย็ ังคงเปน็ สถานทเี่ คารพทางศาสนาอยู่ แตไ่ ม่รวมถึงศาลพระภูมิหรือศาลเจ้า

อันเป็นการเหยียดหยามศาสนานั้น การกระทำต่อวัตถุหรือสถาที่นั้นต้องเป็นการกระทำที่เหยียบหยาม
ศาสนานั้น หมายความถึงการดูหมิ่นศาสนานั่นเอง ต้องพิจารณาต้องความรู้สึกของคนทั่วไป หากพฤติการณ์การ
กระทำไมแ่ สดงใหเ้ หน็ วา่ เหยียดหยามกไ็ มม่ คี วามผิดตามมาตราน้ี เน่อื งจากขาดองค์ประกอบของความผิด แม้จะอยู่ใน
ขนั้ พยายามกไ็ ม่มีความผดิ

เจตนา ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 คอื ต้องรวู้ ่าวัตถหุ รอื สถานที่นั้นเป็นสิ่งที่เคารพในศาสนา ถ้าไม่
รู้ข้อเท็จจริงถือว่าขาดองค์ประกอบของความผิดคือขาดเจตนาในการกระทำความผิด แต่ผู้กระทำจำเป็นต้องรู้ว่าเป็น
การเหยียดหยามศาสนาหรือไม่ เนื่องจากไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่มีอยู่ขณะทำความผิด เป็นลักษณะการกระทำที่ต้อง
พิจารณาตามความรูส้ กึ ของคนท่ัวไป

2

มาตรา 207 ผู้ใดก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในที่ประชุมศาสนิกชนเวลาประชุมกัน นมัสการ หรือ
กระทำพิธีกรรมตามศาสนาใดๆ โดยชอบด้วยยกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสอง
หมืน่ บาทหรือทั้งจำทง้ั ปรบั

องคป์ ระกอบความผดิ มีดังนี้
องคป์ ระกอบภายนอก

1. กอ่ ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในที่ประชมุ ศาสนิกชน
2. เวลาประชมุ กัน นมสั การ หรือกระทำพิธกี รรมตามศาสนาใดๆ โดยชอบด้วยกฎหมาย
องค์ประกอบภายใน
1. เจตนา
ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในที่ประชุมศาสนิกชน หมายถึงก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในที่ประชุมศาสนิกชน
และจะทำด้วยวิธีใดก็ได้ แต่ไม่ถึงกับต้องมีการแตกตื่นโกลาหลมีปฏิกิริยาวุ่นวายจากผู้เข้าประชุม หรือถึงกับทำให้พิธี
ล้มเลิกไป เพียงแต่ทำให้การประชุมไม่มีความสงบก็ถือว่าเกิดความวุ่นวายขึ้นแล้ว เช่นส่งเสียงเอะอะอื้อฉาว และพูด
ก้าวร้าวกับพระภิกษุ1 หรือด่าพระภิกษุและเอาของที่ถวายไปเตะเล่น2 เอาประทัดไปจุด เอากลองไปตีส่งเสียงรบกวน
เป็นต้น
การก่อความวุ่นวายนั้นจะต้องทำในที่ประชุมศาสนิกชน คือที่ที่บุคคลเคารพเลื่อมใสในศาสนาประชุมกัน ท่ี
ประชมุ อาจจะมีแตพ่ ระภิกษุ หรือบาทหลวงแต่ไมม่ ฆี ราวาสรว่ มด้วย หรอื อาจจะมีทั้งพระภกิ ษหุ รอื ฆราวาสก็ได้
เวลาประชุมกัน นมัสการ หรือกระทำพิธีกรรมตามศาสนาใดๆ โดยชอบด้วยกฎหมาย การก่อความวุ่นวาย
ในที่ประชุมศาสนิกชนนั้น จะต้องเกิดในเวลาที่ประชุมนมัสการหรือทำพิธีกรรมทางศาสนา จะเป็นศาสนาใดก็ ได้ จะ
เปน็ การประชมุ ทวี่ ดั หรอื ทีบ่ ้านหรือสถานที่ทำงานก็ได้
(1) การประชมุ นมสั การ เชน่ ศาสนิกชนประชมุ ในเวลาถวายผ้ากฐนิ หรอื ผ้าปา่ ถวายปราสาทผ้งึ เป็นต้น
(2) การประชุมทำพิธีกรรมทางศาสนา เช่น ประชุมสวดมนต์ในโบสถ์หรือประกอบพิธีบวช พิธีสวดศพ

ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ซึ่งกระทำที่บ้าน ถ้าไปรบกวนหรือก่อให้เกิดความไม่สงบขณะประกอบพิธีก็ผิด
ตามมาตรานแ้ี ล้ว
เจตนา ผู้กระทำต้องต้องมีเจตนาตามมาตรา59 ในการก่อให้เกิดความวุ่นวาย และต้องรู้ข้อเท็จจริงอันเป็น
องค์ประกอบของความผิดคอื ร้วู า่ ศาสนิกชนประชมุ กัน นมสั การ หรอื ประกอบพิธีทางศาสนากันอยู่ ถา้ ไม่รู้กถ็ ือว่าขาด
เจตนา

1 ฎ. 1100/2516
2 ฎ. 392/2500

3

บทที่ 2
คำอธบิ ายจากบรรทดั ฐานคำพพิ ากษาศาลฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 736/2505 จำเลยขณะเป็นพระภิกษุได้ร่วมประเวณีกับหญิงในกุฏิของจำเลยบนเขา
วัง จังหวัดเพชรบุรี กุฏิของพระภิกษุใกล้เคียงหลายหลัง และมีพระพุทธรูป พระฉายอยู่บนเขาวัง เป็นสถานที่ท่ี
ประชาชนเคารพนับถือนั้นเห็นได้ว่าเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง แต่จะถือว่าเป็น การเหยียดหยามศาสนาตามมาตรา
206 ยังไม่ถนดั

เหตุที่การกระทำของจำเลยในคดีนี้ไม่ผิดตามมาตรน้ี เนื่องจากไม่ได้กระทำแก่วัตถุหรือสถานที่อันเป็นที่เดาร
ในทางศาสนา แม้กุฏิดังกล่าวจะอยู่ในเขตโบราณสถานที่ เขาวัง จังหวัดเพชรบุรีก็ตาม แต่กุฏิดังกล่าวก็เป็นเพียง ที่อยู่
อาศัยของพระหรือเณร ไม่ใช่สถานที่อันเป็นที่เดาร อย่างโบสถ์หรือวิหาร แต่ถ้าพาหญิงไปร่วมประเวณีในโบสถ์ ก็
อาจจะเขา้ ลักษณะเป็นการเหยียดหยามศาสนาได้3

วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกา โดยการกระทำความผิดฐานกระทำการเหยียดหยามศาสนาตามมาตรา 206
นั้นต้องมอี งคป์ ระกอบดงั ต่อไปนี้

1. กระทำด้วยประการใด ๆ จำเลยซง่ึ เปน็ พระภิกษุร่วมประเวณกี ับหญิง
2. .แก่วัตถุหรือสถานอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของหมู่ชนใด ซึ่งสถานอันเป็นที่ตั้งกุฎิที่จำเลยใช้ร่วม
ประเวณนี ้นั อย่ใู นเขตโบราณสถานอันเปน็ ทีเ่ คารพทางศาสนา แตถ่ งึ อย่างไรก็ตามกุฎนิ ้ันเปน็ เพียงที่พักสำหรับ
พระหรือเณร ไม่ใชส่ ถานทีเ่ คารพอย่างโบสถ์ หรือวหิ าร
3. อันเป็นการเหยียดหยามศาสนานั้น ร่วมประเวณีในพื้นที่โบราณสถาน ซึ่งสถานที่ดังกล่าวนั้นเป็นเคารพ
ของบคุ คลท่ัวไป
4. โดยเจตนา การที่จำเลยเป็นพระภิกษุและประจำอยู่ในกุฎิย่อมทราบดีกว่าการร่วมเพศกันในเขตพื้นท่ี
โบราณสถานนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมควรและผิดศีลธรรมอันดีงามของประชาชน ซึ่งการกระทำของจำเลยนั้นไม่
ครบองค์ประกอบของความผิดในเรื่องวัตถุ หรือสถานที่อันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของหมู่ชนใด จำเลยจึง
ไมต่ ้องรับผดิ ฐานกระทำการเหยียดหยามศาสนาตามมาตรา 206

3 หมายเหตทุ ้ายคำพิพากษาฎีกาท่ี 736/2505 (ป.) เนติบณั ฑติ ยสภา

4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5199/2533 จำเลยใช้ไม้ตีและทุบเศียรพระพุทธรูปอันเป็นที่เคารพในทาง
พระพุทธศาสนาถอื วา่ เป็นการเหยยี ดหยามวตั ถอุ ันเปน็ ท่เี คารพในทางศาสนาแลว้ จำเลยจงึ มคี วามผดิ ตามมาตรา 206

วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกา โดยการกระทำความผิดฐานกระทำการเหยียดหยามศาสนาตามมาตรา 206
นั้นตอ้ งมีองค์ประกอบดงั ต่อไปนี้

1. กระทำด้วยประการใด ๆ การกระทำของจำเลยนนั้ คอื การใช้ไมท้ ุบตี
2. แก่วัตถุหรือสถานอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของหมู่ชนใด ซึ่งจำเลยนั้นได้กระทำต่อพระพุทธรูปอัน

เป็นทส่ี กั การะบชู าของพทุ ธศาสนิกชน
3. อันเป็นการเหยียดหยามศาสนานั้น ซึ่งการกระทำของจำเลยคือการใช้ไม้ทุบตีไปที่เศียรพระพุทธรูป ซ่ึง

ความร้สู ึกของคนทั่วไปยอ่ มเหน็ ไดว้ า่ การกระทำเช่นนั้นเป็นการเหยยี ดหยามศาสนาอยา่ งชัดเจน
4. เจตนา ซึ่งการที่จำเลยใช้ไม้ไปทุบและตีเศียรของพระพุทธรูปนั้น จำเลยถือได้ว่ามีเจตนาตามประมวล

กฎหมายอาญามาตรา 59 และในขณะเดียวกันจำเลยก็ทราบดีว่าวัตถุนั้นที่เป็นพระพุทธรูปซึ่งเป็นท่ี
เคารพของพทุ ธศาสนกิ ชน

5

คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 392/2500 ชาวบา้ นประชมุ กนั นมัสการถวายต้นดอกไม้ และปราสาทผ้ึงตอ่ พระภิกษุ
สงฆ์เจ้าอาวาส จำเลยเข้าไปดา่ พระภิกษแุ ละเอาปราสาทผึง้ ไปเตะเล่น จงึ มีความผิดตามมาตรา207

วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกา โดยการกระทำความผิดฐานกระทำการเหยียดหยามศาสนาตามมาตรา 207
นัน้ ตอ้ งมอี งค์ประกอบดังตอ่ ไปนี้

1. ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในที่ประชุมศาสนิกชน คือการที่จำเลยนั้นเข้าไปด่าพระภิกษุและเอา
ปราสาทผึ้งไปเตะเล่น ย่อมทำให้เห็นว่าจำเลยนั้นไม่ประสงค์ดีจึงกระทำการดังกล่าวลงไปเ พ่ือ
ก่อใหเ้ กดิ ความว่นุ วายหรอื หวังจะล้มเลิกทป่ี ระชุมลง

2. เวลาประชุมกัน นมัสการ หรือกระทำพิธีกรรมตามศาสนาใดๆ โดยชอบด้วยกฎหมาย คือจำเลยน้ัน
ไดเ้ ขา้ ไปสร้างความว่นุ วายในขณะที่ศาสนิกชนกำลังประชุมนมัสการถวายตน้ ดอกไม้ และปราสาทผ้ึง
แดพ่ ระภกิ ษุเจา้ อาวาส

3. เจตนา คือการที่จำเลยนั้นได้เข้าไปด่าพระภิกษุสงฆ์และเอาปราสาทผึ้งไปเตะเล่น ซึ่งเป็นการกระทำ
ที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายทั้ง ๆ ที่รู้ว่าในขณะนั้นศาสนิกชนกำลังประชุมถวายต้นดอกไม้และปราสาท
ผึ้งกันอยู่แต่จำเลยก็ยังเข้าไปด่าพระภิกษุและเอาปราสาทผึ้งมาเตะเล่น ดังนั้นการกระทำของจำเลย
จงึ มคี วามผดิ ตามมาตรา 207

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 110/2516 ขณะมีการทำบุญฉลองกระดูกบนหอสวดของวัด จำเลยเข้าไปเอะอะ
อื้อฉาว กล่าวถ้อยคำก้าวร้าวกับพระภิกษุสงฆ์ ใช้มือตบพื้นกระดานหลายครั้งและชักปืนออกมาด้วย แม้ผู้ที่ไปชุมนุม
กนั จะไม่มปี ฏิกริ ยิ าวุ่นวาย กผ็ ิดตามมาตรา 207

วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกา โดยการกระทำความผิดฐานกระทำการเหยียดหยามศาสนาตามมาตรา 207
นั้นต้องมอี งคป์ ระกอบดงั ต่อไปนี้

1. ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในที่ประชุมศาสนิกชน ในอุทาหรณ์นี้ไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้นแต่ก็ผิดตาม
มาตรา 207 กระทำขณะทม่ี ีการสวดกันอยู่และชกั ปืนออกมาด้วย ซงึ่ วดั เป็นพ้ืนที่สาธารณะไม่ควรนำ
ปนื ออกมาอย่างโจง่ แจ้งขณะนนั้ แต่อาจจะมใี นเรือ่ งพระราชบญั ญัติ อาวุธปนื ฯ ได้

2. เวลาประชุมกัน นมัสการ หรือกระทำพิธีกรรมตามศาสนาใดๆ โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยกระทำ
ขณที่มีการสวดกระดูกซึ่งเป็นการทำพิธีตามศาสนาพุทธโดยชอบด้วยกฎหมาย และกระทำอยู่ในวัด
ซ่ึงเป็นพฤติกรรมทไี่ ม่เหมาะสมและไมค่ วรทำพิจารณาจากความรู้ของวิญญูชนทั่วไป

3. เจตนา การที่จำเลยเข้าไปส่งเสียงเอะอะอื้อฉาวในขณะที่กำลังสวดฉลองกระดูกอยู่นั้น เป็นการก่อ
ความวุ่นวายขณะที่ประชุมกันอยู่ และจำเลยก็ได้ชักปืนออกมา เป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยมี
เจตนาทจี่ ะทำให้ศาสนกิ ชนเกิดความหวาดกลัวและระแวงนำไปส่คู วามว่นุ วายได้ ทั้งน้ีจำเลยเองน้ันก็
ทราบดวี ่ากำลงั อยูใ่ นพิธีการแต่กย็ ังเขา้ ไป จึงเป็นพฤติกรรมท่ีไม่เหมาะสมแตก่ ผ็ ดิ ตามมาตรา 207 ได้
แมจ้ ะไมเ่ กิดความวุ่นวายข้นึ กต็ าม

6

บทที่ 3
สรุปเนอ้ื หาและขอ้ เสนอแนะ

มาตรา 206
การกระทำที่เป็นการเหยียดหยามตามมาตรา 206 เป็นการกระทำที่ไม่ได้จำกัดความในมาตรานี้ อาจจะการ

กระทำต่อสถานที่อสังหาริมทรัพย์และวัตถุสังหาริมทรัพย์ ฉะนั้นการกระทำต่อพระภิกษุสามเณรนั้นจึงไม่ผิด ต่อมาใน
ส่วนของการเป็นที่เคารพต่อหมู่ชนนั้น กล่าวคือ เป็นสถานที่ที่ให้ประชาชนเข้าเคารพสักการะ ฉนั้นกุฏิไม่ใช่สถานท่ใี ห้
ประชาชนเข้าเคารพสักการะกุฏินั้นจึงเป็นสถานที่ทั่วไปเพียงแต่อยู่ในวัด เจตนาตามมาตรานี้คือวัตถุหรือสถานที่อัน
เปน็ ที่เคารพสักการะ เพราะฉะนัน้ ผ้กู ระทำจะตอ้ งทราบในส่ิงเหล่านีก้ ่อนกระทำลงไปดว้ ย ถ้าผ้กู ระทำไม่รู้ข้อเท็จจริงก็
ถือว่าขาดเจตนา แต่ผู้กระทำไม่จำเป็นต้องรู้ว่าสิ่งที่กำลังกระทำอยู่เป็นการเหยียดหยามศาสนาหรือไม่ เนื่องจากไม่ใช่
ขอ้ เท็จจรงิ ทีม่ อี ยู่ขณะทำความผดิ เพราะต้องพจิ ารณาตามความรู้จึงของคนท่ัวไป

ขอ้ เสนอแนะ
วัตถุหรือสถานที่อันเป็นที่เคารพในศาสนาจะมีความสำคัญมากน้อยเพียงใดก็ได้ วัตถุได้แก่ พระพุทธรูป

เทวรูป ไมก้ างเขน เปน็ ตน้ แมใ้ นเจดยี ์ร้างในวดั ก็ยังเปน็ ทเ่ี คารพในศาสนาอยแู่ ตไ่ ม่รวมถึงศาลพระภูมิ หรอื ศาลเจ้า ใน
กรณีนี้หมายความรวมถึงแค่วัตถุและสถานที่ แต่ไม่รวมถึงศาสนาที่ไม่มีวัตถุเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เช่นศาสนา
อสิ ลามมอี งค์อัลลอฮ์ ไมไ่ ด้มกี ฎหมายคุ้มครองไว้เพราะกฎหมายคมุ้ ครองถงึ แคว่ ัตถุและสถานที่

ปัจจุบันกฎหมายไทยในความคดิ ของนิสิตคุ้มครองศาสนาพุทธมากเกินไป เขียนระบุความผิดหรือรายละเอียด
ในมาตราเกี่ยวกับศาสนาพุทธเป็นส่วนใหญ่ ควรจะอธิบายและขยายความหรือตัดสินไปทางศาสนาพุทธมากเกินไป
ควรต้องขยายให้ครอบคลุมทุกศาสนาเพราะปัจจุบันทุกศาสนามีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกันทุกคนควรจะมีกฎหมาย
ค้มุ ครองท่เี ท่ากนั ดว้ ย

7

มาตรา 207
การก่อให้เกิดความวุ่นวายในที่ประชุมศาสนิกชนตามมาตรา 207 จะต้องก่อเกิดความวุ่นวายขึ้นไม่ว่าจะด้วย

วิธีใดและจะต้องทำในขณะที่ประชุมนมัสการกัน หรือประกอบพิธีกรรมทางศาสนา (โดยชอบด้วยกฎหมาย) อยู่โดยมี
เจตนาที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวายโกลาหล หรือทำให้พิธีกรรมล้มเลิกไป และผู้กระทำจะต้องรู้ว่าในขณะนั้น กำลัง
ประกอบพิธีหรือประชุมกันอยู่ตามขอ้ เท็จจริงอันองค์ประกอบภายนอกของมาตรา 59 ถ้าผู้กระทำไม่ทราบก็ถือวา่ ไม่มี
เจตนาถงึ ทำให้ขาดองคป์ ระกอบความผดิ ไป

มาตรานี้จำกัดว่าต้องก่อให้เกิดความวุ่นวายในเวลาประชุมหรือประกอบพิธีกรรมแล้วก็ยังไม่ผิดฐานนี้ เช่น A
ไล่ยิง B ในบริเวณวัด ขณะที่ยังไม่มีการประกอบพิธีกรรมหรือการประชุม4 และอีกอย่างแม้จะก่อความวุ่นวายในที่
ประชุมกต็ าม แตถ่ า้ มิใชป่ ระชมุ ทำพธิ ีกรรมทางศาสนาก็ไม่ผิดตามมาตรานี้เชน่ กัน เชน่ พธิ อี ุปสมบทถอื ว่าเป็นพิธีกรรม
ทางศาสนา แต่ถ้าการแห่นาคตามถนนเป็นเรื่องของประเพณีนิยม ยังไม่ถึงขั้นพิธีทางศาสนา การก่อให้เกิดความ
วุ่นวายหรือแตกตื่นขณะศาสนิกชนร่วมแห่นาคไปตามถนนโดยชักมีดออกมาไล่แทงผู้คนในขบวนแห่ ทำให้เป็นท่ี
หวาดเสยี วแกส่ าธารณชนก็ยังไม่ผิดตามมาตรา 207

การประชุมนมัสการและประกอบพิธีกรรมทางศาสนานั้น จะต้องชอบด้วยกฎหมายจึงจะได้รับความคุ้มครอง
ตามมาตราน้ี เพราะแม้บุคคลจะมีเสรภี าพบรบิ ูรณใ์ นการนบั ถือาสนาใดกต็ าม แตอ่ งคป์ ระกอบพิธีกรรมทางศาสนากย็ งั
ต้องอยู่ในขอบเขตที่กฎหมายกำหนด ดังนั้นถ้าประกอบพิธีโดยมิชอบด้วยกฎหมายและเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมหรือ
ขดั ขวางจะถือวา่ เจ้าหนา้ ทก่ี อ่ ความวนุ่ วายในการประกอบพิธีกรรมตามมาตราไมไ่ ด้

4 ฎ. 1354 – 1355/2515

บรรณานกุ รม

วสิ าร พันธนุ ะ, รังสกิ ร อุปพงศ,์ สบโชค สุขารมณ,์ พลประสิทธ์ิ ฤทธ์ิรักษา, ยนื หยัด ใจสมุทร, และฤทยั หงศ์
ศิริ.

(2550). เอกสารการสอนชุดวชิ ากฎหมายอาญา2:ภาคความผดิ (พมิ พ์ครั้งท่ี 18 ปรบั ปรงุ เพ่มิ เตมิ ).
กรุงเทพฯ: สำนกั พิมพ์ มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมธิราช.

คณพล จนั ทรห์ อม, (2564). กฎหมายอาญา ภาคความผดิ เล่ม 1 (พมิ พค์ รง้ั ท่ี 4). กรงุ เทพฯ: วิญญชู น.

ปริศนา สมศักด์ิโยธิน. (2554). ความผิดเก่ยี วกับศาสนาตามประมวลกฎหมายอาญา : กรณศี กึ ษาการ
กระทำผิดต่อพระพทุ ธศาสนา. วทิ ยานพิ นธ์นติ ิศาตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ านนิ ศิ าสตร์ คณะนิตศิ าสตร์
จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , กรุงเทพฯ. คน้ หาเมื่อ 12 กนั ยายน 2564, จาก
http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/9796


Click to View FlipBook Version