สรุปรวมกฏหมาย 13 ข้อ L a w
คำ นำ ผู้จัดทำ นางสาวพัชรี สุทธิรอด นางสาวเปมิกา อุตตะมะโยธิน หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) นี้ จัดทําขึ้นเพื่อให้อ่านได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับ กฎหมายเบื้องต้นสำ หรับการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาโดยทั้งนี้จะได้ทราบถึงกฎหมายในเล่มนี้ทั้งหมด 13 เรื่อง ไม่ ว่าจะเป็นในส่วนของมาตราข้อมูลกฎหมาย บทลงโทษ และอื่นๆ ผู้จัดทำ หวังว่าหนังสือ ( E-book ) เล่มนี้จะเป็นประโยชน์สำ หรับคนที่สนใจในเรื่องกฎหมายแล้วหวังว่าจะได้ ประโยชน์จากหนังสือ ( E-book ) เล่มนี้เกี่ยวกับเรื่องกฎหมายมากขึ้น
กฎหมายผู้เยาว์ กฎหมายการหมั้นการสมรส กฎหมายบัตรประจำ ตัวประชาชน กฎหมายมรดกและการทำ พินัยกรรม กฎหมายนิติกรรมสัญญา กฎหมายความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ กฎหมายความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย กฎหมายภาษีอากร กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมายจราจร กฎหมายพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ กฎหมายสินค้าออนไลน์ บุตรบุญธรรม กฎหมายการรับราชการทหาร สารบัญ 1 2-3 4-6 7-10 11-16 17-20 21-25 26-27 28-32 33-34 34-37 37-41 42 43
การบรรลุนิติภาวะผู้เยาว์ ผู้เยาว์ทำ นิติกรรม ผู้เยาว์ คือ ผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เป็นผู้ที่ยังอ่อนในด้านสติปัญญา ความคิด และร่างกาย ผู้เยาว์ ไม่ สามารถทำ นิติกรรมได้ตามลำ พังตนเอง เพราะขาดความรู้ ความชำ นาญ ถ้าปล่อยให้ผู้เยาว์ทำ นิติกรรม ได้ตามลำ พังตนเองแล้ว อาจจะทำ ให้ผู้อื่นซึ่งมีความรู้ ความสามารถดีกว่าทำ การเอา เปรียบได้ ทำ ให้เกิด ความเสียหายแก่ผู้เยาว์ 1. บรรลุนิติภาวะโดยอายุ บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเมื่อมีอายุ 20 บริบูรณ์ (มาตรา 19) 2. บรรลุนิติภาวะโดยการสมรส ผู้เยาว์ย่อมบรรลุนิติภาวะเมื่อทำ การสมรส หากการสมรสนั้นได้ทำ เมื่อ ชายและหญิงมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์แล้ว (มาตรา 20 และ 1448) มาตรา 21 บัญญัติว่า “ผู้เยาว์จะทำ นิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม ก่อน การใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำ ลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆยะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้ เป็นอย่างอื่น” จะเห็นได้ว่าผู้เยาว์จะทำ นิติกรรม จะต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบ ธรรมก่อน เช่น ผู้เยาว์ ต้องการเช่าบ้าน 1 หลัง ต้องการกู้เงินจากบุคคลอื่น หรือต้องการซื้อรถยนต์ 1 คัน ผู้เยาว์จะต้องได้รับ ความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน กฎหมายเกี่ยวกับผู้เยาว์ 1
เป็นสัญญาอย่างหนึ่งที่ทั้ง 2 ฝ่าย ตกลงกันว่า ชายและหญิงคู่หมั้น จะทำ การสมรสกันในอนาคต แต่ไม่สามารถเอาสัญญา หมั้นมาฟ้องร้องบังคับคดีให้อีกฝ่ายหนึ่งทำ การสมรสได 1.การหมั้นจะทำ ได้ต่อเมื่อฝ่ายชายและฝ่ายหญิงมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์ (มาตรา 1435) หากฝ่าฝืน การหมั่นนั้นตกเป็น โมฆะ(มาตรา 1435 วรรค 2) 2. ถ้าฝ่ายชายและฝ่ายหญิง เป็นผู้บรรลุนิติภาวะ อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ สามารถทำ การหมั้นได้ด้วย ตนเอง ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่าย ใดหรือทั้งสองฝ่าย ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จะต้องได้รับคำ ยินยอมจากบิดาและ มารดาหรือผู้ปกครองของทั้งสองฝ่ายด้วย 3.ไม่สามารถหมั้นกับคนวิกลจริต หรือคนที่ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้ 4.ไม่สามารถหมั้นกับบุคคลผู้เป็นบุพการีได้ 5.ไม่สามารถหมั้นกับบุคคลที่มีคู่สมรสอยู่แล้ว 6. บุคคลที่เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน หรือร่วมแต่มารดา หรือบิดาเพียงอย่างเดียว ไม่ สามารถหมั้นกันได้ 7. บุคคลที่จะให้ความยินยอมแก่ผู้เยาว์ในการทำ การหมั้นได้แก่ บิดา และมารดา ทรัพย์สินที่ฝ่ายชายได้ให้ไว้แก่ฝ่ายหญิงในขณะทำ การหมั้นเพื่อเป็นหลัก ฐานการหมั้นและประกันว่าจะสมรสกับฝ่ายหญิง เป็นทรัพย์สินที่ฝ่ายชายให้แก่บิดามารดา หรือผู้ปกครองของฝ่ายหญิง เพื่อตอบแทนการที่ยินยอมให้ฝ่ายหญิงสมรสด้วย ถ้าฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงคู่หมั้น ไม่ยอมทำ การสมรสกับคู่หมั้นของตน โดยไม่มีมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ถือว่าคู่หมั้นฝ่ายนั้น ผิดสัญญาหมั้น กฎหมายเกี่ยวกับการหมั้นสมรส 2 การผิดสัญญาหมั้น การหมั้น เงื่อนไขสำ คัญ สินสอด (มาตรา 1437) ของหมั้น (มาตรา 1437)
ความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส 1.การสมรสจะทำ ได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์(มาตรา 1448) 2.การสมรสจะต้องเป็นการกระทำ โดยสมัครใจของทั้ง 2 ฝ่ายหากไม่สมัครใจในการสมรส การสมรสนั้น จะเป็นโมฆะ 3.การสมรสจะกระทำ ไม่ได้ ถ้าฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงเป็นบุคคลวิกลจริตหรือคนที่ถูกศาลสั่งให้เป็น คน ไร้ความสามารถ(มาตรา 1449) หากฝ่าฝืนการสมรสนั้นตกเป็นโมฆะ (มาตรา 1495) 4.ชายและหญิงซึ่งเป็นญาติสืบสายโลหิตโดยตรง เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดา หรือร่วมแต่บิดาหรือ มารดา จะ ทำ การสมรสกันไม่ได้ (มาตรา 1450) หากฝ่าฝืน การสมรสนั้นตกเป็นโมฆะ (มาตรา 1495) 5. ชายหรือหญิงจะทำ การสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้(มาตรา 1452) หากฝ่าฝืนการสมรสนั้นตก เป็น โมฆะ(มาตรา 1495) 6.หญิงที่สามีเสียชีวิตจะทำ การสมรสใหม่ได้ต่อเมื่อ สิ้นสุดการสมรสไปแล้วไม่น้อยกว่า 310 วัน(มาตรา1453) 7.ผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรมจะสมรสกันไม่ได้ (มาตรา 1451) 8.การสมรสจะทำ ได้ต่อเมื่อ ชายหญิงยินยอมเป็นสามีภรรยากันและต้องแสดงการยินยอมนั้นให้เปิด เผยต่อหน้า นายทะเบียน(มาตรา 1458) 9. ผู้เยาว์จะทำ การสมรสได้ ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากบิดามารดาหรือผู้ปกครอง(มาตรา 1454)หาก ฝ่าฝืน การสมรสนั้นตกเป็นโมมียะ (มาตรา 1509) 1.หากสามีข่มขืนกระทำ ชำ เราภรรยา ภรรยาจะฟ้องคดี ความผิดฐานข่มขืนไม่ได้ 2.การที่ภรรยาปฏิเสธไม่ยอมให้สามีร่วมประเวณีด้วย อาจเป็นการกระทำ อันเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยา เป็นเหตุให้สามีฟ้องหย่าได้ (มาตรา 1516 (6)) 3.ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยอมอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา จงใจละทิ้งอีกฝ่ายหนึ่งไป เกิน 1 ปี เป็นเหตุหย่าได้ (มาตรา 1516 (4)) 3 การสมรส
(๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุตั้งแต่ ๑๕ ปีบริบูรณ์แต่ไม่เกิน ๒๐ ปีบริบูรณ์ และ (๓) มีชื่อในทะเบียนบ้าน ข้อยกเว้น ผู้ที่ไม่ต้องมีบัตรประจำ ตัวประชาชน คือผู้ที่ได้รับการยกเว้นตามที่กำ หนดในกฎกระทรวง หรือผู้ได้รับการยกเว้นตามที่กำ หนดในกฎกระทรวงไม่ต้องมีบัตรประจำ ตัวประชาชน แต่มีบัตร ประจำ ตัวตามกฎหมายอื่น ให้ใช้บัตรประจำ ตัวนั้นแทนสามารถมีได้ (๑) วันที่อายุครบ ๑๕ ปีบริบูรณ์ (๒) วันที่ได้สัญชาติไทย หรือใต้กลับคืนสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ หรือวันที่ศาลมีค่า พิพากษาถึงที่สุดให้ได้สัญชาติไทย (๓) วันที่นายทะเบียนเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้าน (๔) วันที่พ้นสภาพจากการได้รับยกเว้น บัตรมีอายุใช้ได้ 5 ปีนับตั้งแต่วันที่ออกบัตร ไปจนครบ 5 ปีบริบูรณ์ ถ้า วันที่บัตรมีอายุ ครบ 5 ปีบริ บูรณ์ไม่ตรงกับวันครบรอบวันเกิดของผู้ถือบัตร ให้นับระยะเวลาต่อไปจนถึง วันครบรอบ วันเกิดของ ผู้ถือบัตรในปีนั้นหรือปีถัดไป ข้อยกเว้น สำ หรับผู้ถือบัตรที่มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์แต่ บัตรยังไม่ หมดอายุ ก็ให้ใช้ ต่อไปได้ตลอดชีวิต (ก) วันที่บัตรเติมหมดอายุ (ข) วันที่บัตรหายหรือถูกทำ ลาย (ค) วันที่บัตรชำ รุดในสาระสำ คัญ (ง) วันที่มีการแก้ไขชื่อตัวหรือชื่อสกุล หรือแก้ไขชื่อตัวและชื่อสกุลในทะเบียนบ้าน เมื่อพนักงานเจ้า หน้าที่ได้รับคำ ขอและเห็นว่าคำ ขอมีรายการถูกต้องครบถ้วน ให้ ถ่ายรูปผู้ขอและออกใบรับให้แก่ผู้ ขอ กฎหมายเกี่ยวกับบัตรประชาชน 4 ๑. ผู้ต้องมีบัตรประจำ ตัวประชาชน ต้องเป็นผู้ที่ประกอบด้วย ๒. การขอมีบัตรประจำ ตัวประชาชน ผู้ที่จะขอมีบัตรประจำ ตัวประชาชน ให้ยื่นคำ ขอ ต่อพนักงานเจ้า หน้าที่กภายใน ๖๐ วันนับตั้งแต่ ๔. การขอมีบัตรใหม่หรือเปลี่ยนบัตร ให้ผู้ถือบัตรอื่นคำ ขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ภายในกำ หนด ๖๐ วันนับตั้งแต่ ๓. อายุบัตร
กรณีผู้ถือบัตรเสียสัญชาติไทยไม่ว่าด้วยเหตุใด ผู้นั้นหมด สิทธิที่จะใช้บัตร นั้นทันที และต้องส่งมอบบัตรให้แก่พนักงานเจ้า หน้าที่แห่งท้องที่ที่ตนมีชื่ออยู่ใน ทะเบียนบ้าน ภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่เสียสัญชาติไทย มาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติบัตรประจำ ตัว ประชาชน พ.ศ.๒๕๒๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ กำ หนดว่า ผู้ได้รับการยกเว้น แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท๒ ไม่ต้องมีบัตรประจำ ตัวประชาชนให้เป็นไปตามที่กำ หนดในกฎกระทรวงเดิม มีกฎ กระทรวง ๓ ฉบับ คือ ฉบับที่ ๒ (พ.ศ.๒๕๒๗) ฉบับที่ ๖ (พ.ศ.๒๕๓๑) และ ฉบับที่ ๑๕ (พ.ศ. ๒๕๔๐) กำ หนดผู้ได้ รับการยกเว้น ไม่ต้องมีบัตร มี ๒๘ รายการ ได้แก่ สมเด็จพระบรมราชินี พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป องคมนตรี ข้าราชการ การเมืองข้าราชการพลเรือน ข้าราชการครู ข้าราชการ ฝ่ายรัฐสภา ข้าราชการฝ่ายตุลาการ ข้าราชการฝ่ายอัยการ ข้าราชการ ทหาร ข้าราชการตำ รวจ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ เป็นต้น ปัจจุบัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ออกกฎกระทรวงขึ้นใหม่ คือ กฎกระทรวงกำ หนด บุคคลซึ่งได้รับการยกเว้นไม่ ต้องมีบัตรประจำ ตัวประชาชน พ.ศ. ๒๕๔๗ (ได้ ประกาศในราชกิจจานุ เบกษา ฉบับกฤษฎีกา เล่ม ๑๒๓ ตอนที่ ๒๓ ก วันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๕) มีผล บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป กฎกระทรวงฉบับนี้ได้ยกเลิกกฎกระทรวง ๓ ฉบับ ดัง กล่าวข้างต้น และกำ หนดบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องมีบัตรประจำ ตัวประชาชนไว้ดังนี้คือ ๑) สมเด็จพระบรมราชินี ๒) พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป ๓ ๓) ภิกษุ สามเณร นักพรตและนักบวช ผู้มีกายพิการเดินไม่ได้ หรือ หรือเป็นใบ้ ปืนใบ้ หรือตาบอดทั้งสองข้าง หรือจิตฟันเฟือนไม่สมประกอบ ๔) ผู้อยู่ในที่คุมขังโดยชอบด้วยกฎหมาย ๕) บุคคลซึ่งกำ ลังศึกษาวิชา ณ ต่างประเทศและไม่สามารถยื่นคำ ขอมีบัตรประจำ ตัวประชาชนได้ ดังนั้น บุคคลที่เคยได้รับการยกเว้นไม่ต้องมีบัตรประจำ ตัวประชาชนตาม กฎกระทรวงฉบับเดิม จึง ต้องพ้นจากสภาพการได้รับ การยกเว้น โดยจะต้องไปยื่นคำ ขอมีบัตรภายใน กำ หนด 30 วันนับ ตั้งแต่วันที่พ้นสภาพการได้รับการยกเว้น (ตั้งแต่วันที่กฎ กระทรวงฉบับ พ.ศ.๒๕๔๘ มีผลบังคับใช้คือวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป) หากพ้นกำ หนดระยะเวลาดังกล่าว จะถูกลงโทษ ปรับไม่ เกิน ๕๐๐ บาท (ตามมาตรา ๑๑ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติบัตรประจำ ตัวประชาชนพ.ศ.๒๕๒๖ แก้ไขโดย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๒) ๕. การหมดสิทธิใช้บัตร 5 ๖. ผู้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องมีบัตรประจำ ตัวประชาชน
๑. ผู้ต้องมีบัตรประจำ ตัวประชาชนแต่ไม่ยื่นขอมีบัตรภายในเวลาที่กำ หนดปรับไม่เกิน ๕๐๐ บาท ๒. ไม่ยื่นขอมีบัตรใหม่เนื่องจากบัตรเดิมหมดอายุ หรือมีบัตรใหม่หรือเปลี่ยนบัตร เนื่องจากบัตรหาย/ลูก ทำ ลาย/ชำ รุดหรือแก้ไขในสาระสำ คัญภายในเวลาที่กำ หนด ปรับไม่เกิน ๒๐๐ บาท ๓. ผู้มีชื่อเป็นเจ้าของบัตร แต่ไม่อาจแสดงบัตรเมื่อเจ้าพนักงานตรวจบัตรขอตรวจปรับไม่เกิน ๒๐๐ บาท ๔. ผู้ถือบัตรซึ่งเสียสัญชาติไทยโดย -ไม่ส่งมอบบัตรคนแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ จำ คุก๑-๕ ปี ปรับ 20,000 - 100,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ - ใช้หรือแสดงบัตรซึ่งหมดสิทธิใช้ จําคุก๑-๑๐ ปี และปรับ ๒๐,๐๐๐- ๒๐๐,๐๐๐ บาท ๕. แจ้งข้อความเท็จหรือแสดงหลักฐาน อันเป็นเท็จในการขอมีบัตรหรือมีบัตรใหม่ ทุก๖ เดือน - ๕ ปี ปรับ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ ๖. ปลอมบัตร จำ คุก๑-๑๐ ปี ปรับ๒๐,๐๐๐ - ๒๐๐,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ หรือเปลี่ยนบัตร จำ ๗. เป็นเจ้าพนักงานกระทำ ผิด โดยแจ้งข้อความหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ หรือปลอมบัตรหรือใช้บัตร จากการกระทำ ผิดดังกล่าว จําคุก๑-๑๕ ปี ปรับ ๒๐,๐๐๐ - ๓๐๐,๐๐๐ บาท ๘. เป็นผู้ไม่มีสัญชาติไทยกระทำ ผิดโดยแจ้ง ข้อความหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ หรือปลอมบัตรหรือ ใช้ บัตรจากการ กระทำ ผิดดังกล่าว จำ คุก๒ - ๑๕ ปี ปรับ 40,000 - 300,000 บาท ๙. ใช้บัตรของผู้อื่นไปใช้แสดงว่าตนเป็น เจ้าของบัตร จำ คุก 6เดือน - 5ปี ปรับ 10,000-100,000 บาท ๑๐. หรือยึดไว้ซึ่งบัตรของผู้อื่นเพื่อประโยชน์สำ หรับตนหรือผู้อื่นโดยมิชอบ ปรับไม่เกิน 10,000 บาท จำ คุกไม่เกิน6เดือน ๑๑. ยินยอมให้ผู้อื่นนำ บัตรไปใช้ในการทุจริต จำ คุก 3เดือน-3ปี ปรับ 5,000-60,000บาท หรือทั้งจำ ทั้ง ปรับ ๗. บทกำ หนดโทษ 6
คือ คำ สั่งครั้งสุดท้าย ซึ่งแสดงเจตนากำ หนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินหรือ กิจการ ต่าง ๆของผู้ทำ พินัยกรรม เพื่อที่จะ เกิดผลบังคับตามกฎหมายในเมื่อผู้ทำ พินัยกรรมถึงแก่ความ ตาย โดยทำ แบบใดแบบหนึ่งที่กฎหมายกำ หนดไว้ (ป.พ.พ. มาตรา 1646 - 1648) 1.พินัยกรรมแบบธรรมดา (ป.พ.พ. มาตรา 1656) 2. พินัยกรรมเขียนเองทั้งฉบับ (ป.พ.พ. มาตรา 1657) 3. พินัยกรรมทำ เป็นเอกสารฝ่ายเมือง (ป.พ.พ. มาตรา 1658) 4.พินัยกรรมทำ เป็นเอกสารลับ (ป.พ.พ. มาตรา 1660) 5.พินัยกรรมทำ ด้วยวาจา (ป.พ.พ. มาตรา 1663) พินัยกรรมทั้ง 5 แบบนี้ ทางอำ เภอมีหน้าที่เกี่ยวข้องเพียง 3 แบบ คือ แบบที่ 3, 4 และ 5 ส่วนแบบที่ 1 และแบบที่ 2 ทางอำ เภอไม่ต้อง เกี่ยวข้อง หลักเกณฑ์การทำ 1. ต้องทำ เป็นหนังสือ โดยจะเขียนหรือพิมพ์ก็ได้ (จะเขียนหรือพิมพ์เป็นภาษาไทยหรือภาษาต่างประเทศ 2. ต้องลงวัน เดือน ปี ในขณะที่ทำ เพื่อพิสูจน์ความสามารถของผู้ทำ 3. ผู้ทำ พินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนพร้อมกัน จะลงลายมือชื่อหรือพิมพ์นิ้ว มือก็ได้ แต่จะใช้ตราประทับ แทนการลงชื่อหรือเครื่องหมายแกงไดไม่ได้ และพยานที่จะลงลายมือชื่อ ใน พินัยกรรมจะพิมพ์ลายนิ้วมือหรือใช้ตราประทับ หรือลงแกงได หรือลงเครื่องหมายอย่างอื่นแทนการ ลงชื่อไม่ได้จะต้องลงลายมือชื่ออย่างเดียว 4. การขูด ลบ ตกเพิ่ม หรือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างอื่น ซึ่งพินัยกรรมนั้นย่อมไม่สมบูรณ์ เว้นแต่ในขณะ ที่พูด ลบ ตกเต็ม หรือแก้ไข เปลี่ยนแปลงนั้น ได้ลงวัน เดือน ปี และผู้ทำ พินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อ หรือพิมพ์ นิ้วมือต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนพร้อมกัน และ พยานอย่างน้อยสองคนนั้นต้องลง ลายมือชื่อรับรองลายมือ ชื่อของผู้ทำ พินัยกรรมในขณะนั้น (ต้องเป็นพินัยกรรมแล้ว) ลายพิมพ์นิ้วมือ ของผู้เป็นโรคเรื้อน (ไม่มีลายนิ้วมือ) หากมีพยานลงลายมือชื่อรับรองถูกต้องย่อมใช้ไม่ได้ หลักเกณฑ์การทำ 1. ต้องทำ เป็นเอกสาร คือ ทำ เป็นหนังสือ โดยจะใช้ภาษาไทยหรือภาษาต่างประเทศก็ได้ 2. ผู้ทำ พินัยกรรมต้องเขียนด้วยลายมือของตนเองทั้งฉบับจะพิมพ์ไม่ได้ เพราะฉะนั้นผู้เขียนหนังสือไม่ได้ ไม่สามารถจะทำ พินัยกรรม แบบนี้ได้ พินัยกรรมแบบนี้จะมีพยานหรือไม่มีก็ได้ เพราะกฎหมายไม่ได้ ห้ามไว้ 3. ต้องลงวัน เดือน ปี ในขณะที่ทำ ลงเพื่อพิสูจน์ความสามารถ และการทำ ก่อนหลังฉบับอื่น 4. ต้องลงลายมือชื่อผู้ทำ พินัยกรรม จะใช้ลายพิมพ์นิ้วมือ หรือแกงได หรือเครื่องหมายอย่างอื่นไม่ได้ 5. การชุด ลบ ตก เพิ่ม หรือการ แก้ไขเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ซึ่งพินัยกรรมนั้นย่อมไม่สมบูรณ์ เว้นแต่ผู้ทำ พินัยกรรมจะได้ทำ ด้วยมือตนเอง และลงลายมือชื่อกำ กับไว้ - การขูด ลบ ตก เต็ม หรือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ที่มิได้ทำ ด้วยตนเอง หรือลงลายมือชื่อ กำ กับไว้เท่านั้นที่ไม่สมบูรณ์ ส่วน ข้อความเดิมหรือพินัยกรรมยังคงใช้บังคับได้ตามเดิม ไม่ทำ ให้โมฆะทั้งฉบับ กฎหมายเกี่ยวกับมรดกและพินัยกรรม พินัยกรรม แบบของพินัยกรรม มี 5 แบบ คือ (1) พินัยกรรมแบบธรรมดา (2) พินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ 7
การขอทำ พินัยกรรมเป็นเอกสารฝ่ายเมือง ผู้ร้องสามารถยื่นคำ ร้องขอให้กรมการอำ เภอ (นายอำ เภอ) อำ เภอใดก็ได้ดำ เนินการให้ตาม ความประสงค์ ดังนี้ คำ อธิบายขั้นตอนการทำ พินัยกรรมเป็นเอกสารฝ่ายเมือง 1. ผู้ทำ พินัยกรรมแจ้งข้อความที่ตนประสงค์จะให้ใส่ไว้ในพินัยกรรมของตนแก่นายอำ เภอต่อหน้าพยานอีกอย่างน้อยสองคนพร้อม กัน 2. นายอำ เภอจดข้อความที่ผู้ทำ พินัยกรรมแจ้งให้ทราบแล้วนั้นลงไว้และอ่านข้อความนั้นให้ผู้ทำ พินัยกรรมและพยานฟัง 3. เมื่อผู้ทำ พินัยกรรมและพยานทราบแน่ชัดว่าข้อความที่นายอำ เภอจดนั้นเป็นการถูกต้องตรงกันกับที่ผู้ทำ พินัยกรรมแจ้งไว้แล้ว ให้ผู้ทำ พินัยกรรมและพยานลงลายมือชื่อไว้เป็นสำ คัญ 4. ข้อความที่นายอำ เภอจดไว้นั้น ให้นายอำ เภอลงลายมือชื่อและลงวัน เดือน ปี จดลงไว้ด้วยตนเองเป็นสำ คัญว่าพินัยกรรมนั้นได้ ทำ ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่ระบุไว้ข้างต้นแล้วประทับตราตำ แหน่ง ไว้เป็นสำ คัญ - การทำ พินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองไม่จำ เป็นต้องทำ ในที่ว่าการอำ เภอหรือกิ่งอำ เภอเสมอไปถ้าผู้ทำ ร้องขอจะทำ นอกที่ว่าการ อำ เภอหรือกิ่งอำ เภอก็ได้ เมื่อทำ พินัยกรรมเสร็จแล้ว ถ้าผู้ทำ พินัยกรรมไม่มีความประสงค์จะขอรับเอาไปเก็บรักษาเองโดยทันทีแล้ว ให้เป็นหน้าที่ของนายอำ เภอจัดเก็บรักษาพินัยกรรมนั้นไว้ ณ ที่ว่าการอำ เภอหรือกิ่งอำ เภอก็ได้ - เมื่อความปรากฏว่า ผู้ทำ พินัยกรรมถึงแก่ความตายแล้ว ผู้จัดการมรดกหรือผู้ได้รับทรัพย์มรดกโดยพินัยกรรมหรือโดยสิทธิโดย ธรรมเป็นจำ นวนมากที่สุด หรือผู้ซึ่งทำ พินัยกรรมให้จะขอรับพินัยกรรมไปไว้ โดยแสดงหลักฐานการตายของผู้ทำ พินัยกรรม เมื่อ สอบสวนเป็นที่พอใจแล้วให้นายอำ เภอมอบพินัยกรรมนั้นให้ไป คำ อธิบายขั้นตอนการทำ พินัยกรรมแบบเอกสารลับเมื่อมีผู้ประสงค์จะทำ พินัยกรรมเป็นเอกสารลับ ให้ผู้นั้นแสดงความจำ นงตามแบบ ของเจ้าพนักงานยืนต่อกรมการอำ เภอ (นายอำ เภอ) ณ ที่ว่าการอำ เภอหรือกิ่งอำ เภอแล้วปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ต่อไปนี้ 1. ต้องมีข้อความเป็นพินัยกรรมและลงลายมือชื่อผู้ทำ พินัยกรรม 2. ผู้ทำ พินัยกรรมต้องผนึกพินัยกรรม แล้วลงลายมือชื่อคาบรอยผนึก 3. ผู้ทำ พินัยกรรมต้องนำ พินัยกรรมที่ผนึกนั้น ไปแสดงต่อนายอำ เภอและพยานอย่างน้อย 2 คนและ ให้ถ้อยคำ ต่อบุคคลทั้งหมดนั้น ว่าเป็นพินัยกรรมของตน ถ้าพินัยกรรมนั้นผู้ทำ พินัยกรรมเขียนเอง โดยตลอด ผู้ทำ พินัยกรรมจะต้องแจ้งนามและภูมิลำ เนาของผู้เขียน ให้ทราบด้วย 4. เมื่อนายอำ เภอจตถ้อยคำ ของผู้ทำ พินัยกรรม และวัน เดือน ปี ที่ทำ พินัยกรรมมาแสดงไว้ในซองพับ และประทับตราประจำ ตำ แหน่ง แล้วนายอำ เภอผู้ทำ พินัยกรรม และพยานลงลายมือชื่อบนของนั้น - บุคคลผู้เป็นทั้งใบ้ และหูหนวก หรือผู้ที่พูดไม่ได้ มีความประสงค์จะทำ พินัยกรรมเป็นเอกสารลับ ก็ได้ โดยให้ผู้นั้นเขียนด้วยตนเอง บนซองพินัยกรรมต่อหน้านายอำ เภอ และพยานอย่างน้อย 2 คน ว่า พินัยกรรมที่ผนึกนั้นเป็นของตน แทนการให้ถ้อยคำ - ถ้าผู้ทำ พินัยกรรมแบบเอกสารลับประสงค์ขอรับไปทันที ก็ให้นายอำ เภอมอบให้ไป ได้ โดยให้ผู้ทำ พินัยกรรมแบบเอกสารลับ ประสงค์ขอรับไปทันที ก็ให้นายอำ เภอมอบให้ไปได้ โดยให้ผู้ทำ พินัยกรรม ลงลายมือชื่อรับในสมุดทะเบียน (3) พินัยกรรมทำ เป็นเอกสารฝ่ายเมือง 8 (4) พินัยกรรมทำ แบบเอกสารลับ
คำ อธิบายขั้นตอนการทำ พินัยกรรมด้วยวาจา เมื่อมีพฤติการณ์พิเศษ ซึ่งบุคคลใดไม่สามารถจะทำ พินัยกรรมตามแบบอื่นที่กฎหมายกำ หนด ไว้ได้ เช่น ตกอยู่ใน อันตรายใกล้ความตาย หรือเวลามีโรคระบาด หรือสงคราม ซึ่งในพฤติการณ์เช่นนี้ ผู้ทำ พินัยกรรมไม่อาจหาเครื่องมือ เครื่องเขียนได้ทันท่วงที หรือกว่าจะหาได้ก็ถึงตายเสียก่อน ผู้ทำ พินัยกรรมสามารถทำ พินัยกรรมด้วยวาจาได้ ดังนี้ 1.ผู้ทำ พินัยกรรมแสดงเจตนากำ หนดข้อพินัยกรรมต่อหน้าพยานอย่างน้อย 2 คน ซึ่งอยู่ พร้อมกัน ณ ที่นั้น 2. พยานทั้งหมดต้องไปแสดงตนต่อนายอำ เภอโดยมิชักช้า และแจ้งให้นายอำ เภอทราบถึง ข้อความเหล่านี้ - ข้อความที่ผู้ทำ พินัยกรรมได้สั่งไว้ด้วยวาจา - วัน เดือน ปี สถานที่ที่ทำ พินัยกรรม - ฤติการณ์พิเศษที่ขัดขวางมิให้สามารถทำ พินัยกรรมตามแบบอื่นที่กฎหมายกำ หนดไว้นั้นด้วย 3. ให้นายอำ เภอจดข้อความที่พยานแจ้งไว้ และพยานทั้งหมดนั้นต้องลงลายมือชื่อ ถ้าลง ลายมือชื่อไม่ได้ จะลงลาย พิมพ์นิ้วมือโดยมีพยานลงลายมือชื่อรับรอง 2 คนก็ได้ และความสมบูรณ์ แห่งพินัยกรรมนี้ ย่อมสิ้นไป เมื่อพ้นกำ หนด หนึ่งเดือนนับแต่เวลาผู้ทำ พินัยกรรมกลับมาสู่ฐานะที่จะทำ พินัยกรรมตาม แบบอื่นที่กฎหมายกำ หนดไว้ คำ อธิบายขั้นตอนการตัดทายาทโดยธรรมมิให้รับมรดกให้ผู้ประสงค์จะตัดทายาทโดยธรรมมิให้รับมรดก ให้ผู้นั้นยื่น คำ ร้องแสดงความจำ นงตามแบบ ของเจ้าพนักงานต่อนายอำ เภอ ที่ว่าการอำ เภอ กิ่งอำ เภอ การตัดทายาทโดยธรรมมิ คำ ร้องแสดงความจำ นงตามแบบ 1. โดยพินัยกรรม 2. โดยทำ เป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ การตัดทายาทโดยธรรมตามข้อ 1 จะทำ ตามแบบพินัยกรรมแบบ ใด ๆ ก็ได้ โดยระบุตัดทายาท ที่ถูกตัดไว้ให้ชัด แจ้ง การตัดทายาทโดยธรรมตามข้อ 2 นั้น ผู้ทำ พินัยกรรมจะทำ เป็น หนังสือด้วยตนเอง แล้วนำ ไป มอบแก่นาย อำ เภอ หรือจะให้นายอำ เภอจัดทำ ไว้ให้ก็ได้ คำ อธิบายขั้นตอนการถอนการตัดทายาทโดยธรรมมิให้รับมรดก ผู้ประสงค์จะถอนการตัดทายาทโดยธรรมของตนมิให้ รับมรดก ซึ่งได้แสดงเจตนาไว้แล้ว สามารถกระทำ ได้ดังนี้ 1. ถ้าการตัดมิให้รับมรดกนั้นได้ทำ โดยพินัยกรรม จะถอนเสียได้ก็แต่โดยพินัยกรรมเท่านั้น 2. ถ้าการตัดมิให้รับมรดกได้ทำ เป็นหนังสือมอบให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ การถอนจะทำ โดย พินัยกรรม หรือทำ เป็น หนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ก็ได้ (5) พินัยกรรมทำ ด้วยวาจา 9 การตัดทายาทโดยธรรมมิให้รับมรดก การถอนการตัดทายาทโดยธรรมมิให้รับมรดก
คำ อธิบายขั้นตอนการสละมรดก เมื่อมีผู้ประสงค์จะทำ การสละมรดก ให้ทำ คำ ร้องแสดงความจำ นงตามแบบของเจ้าพนักงานต่อ นาย อำ เภอ ณ ที่ว่าการอำ เภอ หรือกิ่งอำ เภอ การแสดงเจตนาสละมรดกทำ ได้ 2 วิธี คือ 1. ทำ เป็นหนังสือมอบ ไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งอาจทำ เอง หรือให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทำ ให้ ก็ได้ 2. ทำ เป็นสัญญา ประนีประนอมยอมความ การสละมรดกนั้นจะทำ แต่เพียงบางส่วน หรือทำ โดย มีเงื่อนไข หรือมีเงื่อนเวลาไม่ ได้ และเมื่อสละแล้ว จะถอนไม่ได้ 1. ทำ พินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองในที่ว่าการอำ เภอ กิ่งอำ เภอ หรือเขต ฉบับละ 50 บาท ถ้า ท่า เป็นคู่ฉบับ ฉบับละ 10 บาท 2. ทำ พินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองนอกที่ว่าการอำ เภอ กิ่งอำ เภอ หรือเขต ฉบับละ 100 บาท ถ้าท่า เป็นคู่ฉบับ ฉบับละ 20 บาท 3. ทำ พินัยกรรมแบบเอกสารลับ ฉบับละ 20 บาท 4. ทำ หนังสือตัดทายาทหรือถอนการตัดทายาทโดยธรรม มิให้ได้รับมรดก ฉบับละ 20 บาท หรือสละมรดก 5. ค่ารับมอบเก็บรักษาเอกสารที่ระบุไว้ใน รักษาเอกสารที่ระบุไว้ใน (4) ฉบับละ 20 บาท 6. ค่าคัดและรับรองสำ เนาพินัยกรรมหรือเอกสารที่ระบุไว้ใน (4) ฉบับละ 10 บาท 7. ค่าป่วยการพยานและล่าม ให้ได้แก่พยานและล่ามเฉพาะที่ทางอำ เภอจัดหาให้ โดยพิจารณา จ่ายตาม รายได้และฐานะของพยานและล่าม ซึ่งสมควรได้รับ ค่าป่วยการในการมาอำ เภอ ไม่เกินวัน ละ 50 บาท การสละมรดก 10 อัตราค่าธรรมเนียม
คือ การกระทำ ของบุคคลโดยชอบด้วยกฎหมายและมุ่งต่อผลในกฎหมาย ที่จะเกิดขึ้นเพื่อ การก่อสิทธิ เปลี่ยนแปลงสิทธิ โอนสิทธิ สงวนสิทธิ และระงับซึ่งสิทธิ เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญากู้เงิน สัญญาจ้างแรงงาน สัญญาให้ และพินัยกรรม เป็นต้น ได้แก่ นิติกรรมซึ่งเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาของบุคคลฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียวและมี ผลตามกฎหมาย ซึ่งบางกรณีก็ทำ ให้ผู้ทำ นิติกรรมเสียสิทธิได้ เช่น การก่อตั้งมูลนิธิ คำ มั่นโฆษณาจะ ให้รางวัล การรับสภาพหนี้ การผ่อน เวลาชำ ระหนี้ให้ลูกหนี้ คำ มั่นจะซื้อหรือจะขาย การทพินัยกรรม การบอกกล่าวบังคับจำ นอง การทำ คำ เสนอ การบอกเลิก สัญญา เป็นต้น ได้แก่ นิติกรรมซึ่งเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาของบุคคล ตั้งแต่สองฝ่ายขึ้น ไปและทุกฝ่ายต่างต้องตกลงยินยอมระหว่างกัน กล่าวคือ ฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาทำ เป็นคำ เสนอ แล้วอีกฝ่ายหนึ่งแสดง เจตนาเป็นคำ สนอง เมื่อคำ เสนอและคำ สนองถูกต้องตรงกันจึง เกิดมีนิติกรรมสองฝ่ายขึ้น หรือเรียกกันว่า สัญญา เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญากู้ยืม สัญญาแลกเปลี่ยน สัญญาขายฝาก จำ นอง จํานํา เป็นต้น คือ บุคคลที่กฎหมายสมมติขึ้นให้มีสภาพเป็นบุคคล เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา เพื่อให้ นิติบุคคลสามารถ ใช้สิทธิหน้าที่ ภายในขอบเขตวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลได้ จึงต้องแสดงออกถึงสิทธิ และหน้าที่ผ่าน ผู้แทนนิติบุคคล นิติบุคคลตามกฎหมายเอกชน ได้แก่ 1. บริษัทจำ กัด (ผู้ก่อการอย่างน้อย 3 คน) 2. ห้างหุ้นส่วนจำ กัด (ผู้ก่อการอย่าง 3 คน) 3. ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน 4. สมาคม 5. มูลนิธิได้แก่ นิติ นิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน ได้แก่ วัด จังหวัด กระทรวง/ทรวง กรม จังหวัด องค์การบริหารส่วน นิติบุคคล ท้องถิ่น (อบต. อบจ. กทม/เทศบาล/พัทยา) องค์การของรัฐบาล องค์การมหาชน ฯลฯ ความสามารถ ของ บุคคลในการทำ นิติกรรมสัญญา โดยหลักทั่วไป บุคคลย่อมมีความสามารถในการทำ นิติกรรม สัญญา แต่มีข้อยกเว้น คือ บุคคล บางประเภทกฎหมายถือว่าหย่อนความสามารถในการทำ นิติกรรม สัญญา เช่น ผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ คน เสมือนไร้ความสามารถ และบุคคลล้มละลาย สำ หรับผู้ เยาว์จะทำ นิติกรรมได้ต้องรับความยินยอมจาก ผู้แทนโดยชอบ ธรรมต้องแสดงออกมปกติแล้ว บุคคล ทุกคนต่างมีสิทธิในการทำ นิติกรรมสัญญา แต่ยังมีบุคคลบางประเภทที่เป็นผู้หย่อน ความสามารถ กฎหมายจึงต้องเข้าดูแลคุ้มครองบุคคลเหล่านี้ ไม่ให้ได้รับความเสียหายในการกำ หนดเงื่อนไขในการ เข้าทำ นิติกรรมของผู้นั้น กฎหมายเกี่ยวกับการทำ นิติกรรมสัญญา 11 นิติกรรม นิติกรรมสองฝ่าย (นิติกรรมหลายฝ่าย) นิติกรรมฝ่ายเดียว นิติบุคคล
(1) ผู้เยาว์ผinor) (2) บุคคลวิกลจริต (Unsound Mind) (3) คนไร้ความสามารถ (Incompetent) (4) คนเสมือนไร้ความสามารถ (Quasi-Incompetent) (5) ลูกหนี้ที่ถูกฟ้องเป็นบุคคลล้มละลาย (6) สามีและภริยาเป็นผู้จัดการสินสมรสร่วมกัน ผู้อนุบาล (guardian) เป็นบุคคลที่ศาลแต่งตั้งให้ปกครองดูแลคนไว้ความสามารถ ผู้พิทักษ์ (custodian) หมาย ถึง บุคคลซึ่งศาลมีคำ สั่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองดูแลคน เสมือนไร้ความสามารถ 1. วัตถุประสงค์ของการทำ นิติกรรม : หากกระทำ นิติกรรมที่ฝ่าฝืนข้อห้ามดังกล่าวถือเป็น โมฆะ ได้แก่ - นิติกรรมต้องห้ามชัดแจ้งด้วยกฎหมาย - นิติกรรมที่พ้นวิสัย - นิติกรรมที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี 2. แบบของนิติกรรม : ในนิติกรรมบางประเภทกฎหมายกำ หนดแบบของการทำ นิติกรรมเอาไว้ เช่น สัญญาซื้อ ขาย อสังหาริมทรัพย์ กฎหมายกำ หนดให้ทำ เป็นหนังสือจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ถ้าไม่ทำ ตามกฎหมายกำ หนด สัญญาถือเป็นไม คือ นิติกรรมชนิดหนึ่ง แต่เป็นนิติกรรมที่มีบุคคล 2 ฝ่าย หรือมากกว่านั้นมาตกลงกัน โดยแสดงเจตนา เสนอและสนองตรง กัน ก่อให้เกิดสัญญาขึ้น สัญญาย่อมก่อให้เกิดหนี้ เกิดความผูกพันระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ โดยเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำ ระ หนี้ได้ตามกฎหมาย คือ สัญญาที่ผู้ชายโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ สินให้แก่ผู้ซื้อ และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้น ให้แก่ผู้ชาย การโอนกรรมสิทธิ์ หมายถึง การโอนความเป็นเจ้าของในทรัพย์สิน ที่ซื้อขายนั้นไปให้แก่ผู้ซื้อ ผู้ซื้อ เมื่อได้เป็นเจ้าของก็สามารถที่จะ ใช้ ได้รับ ประโยชน์ หรือจะขายต่อไปอย่างไรก็ได้ ราคาทรัพย์สิน จะชำ ระเมื่อไรนั้นเป็นเรื่องที่ผู้ซื้อผู้ขาย จะต้องตกลงกัน ถ้าตกลงกันให้ชำ ระราคาทันทีก็เป็นการ ซื้อขายเงินสด ถ้า ตกลงกันชำ ระราคาในภายหลังในเวลาใดเวลาหนึ่งเพียงครั้งเดียวตามที่ตกลงกันก็เป็นการซื้อ ขายเงินเชื่อ แต่ถ้าตกลงผ่อนชำ ระให้กัน เป็นครั้งคราวก็เป็นการซื้อขายเงินผ่อน การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ต้องตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษร หรือมีการวาง มัดจำ หรือมีการชำ ระหนี้ บางส่วนไว้ล่วงหน้า หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามสัญญา ย่อมฟ้องร้องให้ปฏิบัติ ตามสัญญารวมทั้งเรียกค่าเสียหายจากฝ่ายที่ มีพสัญญาได้ ผู้หย่อนความสามารถในการทำ นิติกรรมสัญญา 12 สัญญา สัญญาซื้อขาย ผู้ทำ นิติกรรมแทน การควบคุมการทำ นิติกรรม
เป็นสัญญาซื้อขายซึ่งสิทธิแห่งความเป็นเจ้าของ ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยผู้ซื้อ ตกลงใน ขณะทำ สัญญาว่า ผู้ขายมีสิทธิไถ่ทรัพย์สินนั้นคืนได้ภายในกำ หนดเวลาเท่าใด แต่ต้องไม่เกิน เวลาที่กฎหมาย กำ หนดไว้ เช่น ขายที่ดินโดยมีข้อตกลงว่า ถ้าผู้ขายต้องการซื้อคืน ผู้ซื้อจะยอมขายคืน เช่นนี้ถือว่าเป็นข้อตกลง ให้ไถ่คืนได้ คือ สัญญาที่มีบุคคลอยู่สองฝ่าย ฝ่ายแรกคือผู้ให้เช่า ฝ่ายที่สองคือผู้เช่า ทั้งสองฝ่าย ต่างก็มีหนี้ที่ จะต้องชำ ระให้แก่กันและกัน โดยฝ่ายผู้ให้เช่ามีหนี้ที่จะต้องให้ผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับ ประโยชน์ในทรัพย์ที่เช่า ส่วน ฝ่ายผู้เช่าก็มีหนี้ที่จะต้องชำ ระค่าเช่าเป็นการตอบแทน - การารเช่าอสังหาริมทรัพย์ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อของฝ่ายที่จะต้องรับผิดตามสัญญา - สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นานเกินกว่า 3 ปี หรือมีกำ หนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าต้องนำ ไปจด ทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ - ผู้ให้เช่ามีหน้าที่ส่งมอบทรัพย์สินที่เช่า ให้แก่ผู้เช่าในสภาพที่ซ่อมแซมดีแล้ว - ผู้เช่าต้องสงวนทรัพย์สินที่เช่า เหมือนทรัพย์สินของตนเอง และยอมให้ผู้ให้เช่าตรวจตราทรัพย์สิน เป็นครั้ง คราว และไม่ดัดแปลงหรือต่อเติมทรัพย์สิน ยกเว้นได้รับอนุญาตจากผู้ให้เช่า - ผู้เช่าต้องส่งคืนทรัพย์สินที่เช่า ให้แก่ผู้ให้เช่าในสภาพที่ซ่อมแซมดีแล้วเมื่อสัญญาเช่านั้นสิ้นสุดลง คือ สัญญาที่เจ้าของทรัพย์สินเอาทรัพย์สินของตนออกให้ผู้อื่นเช่า เพื่อใช้สอยหรือเพื่อ ให้ได้รับ ประโยชน์ และให้คำ มั่นว่าจะขายทรัพย์นั้น หรือจะให้ทรัพย์สินที่เช่าตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าซื้อ เมื่อได้ใช้เงินจน ครบตามที่ตกลงไว้โดยการชำ ระเป็นงวดๆ จนครบตามข้อตกลง สัญญาเช่าซื้อมิใช่ สัญญาซื้อขายผ่อนส่ง แม้ว่า จะมีลักษณะคล้ายคลึงกันเรื่องชำ ระราคาเป็นงวด ๆ ก็ตาม เพราะการซื้อ ขายผ่อนส่งนั้นกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน เป็นของผู้ซื้อทันทีขณะทำ สัญญา ไม่ต้องรอให้ชำ ระราคาครบแต่ ประการใด รใด ส่วนเรื่องสัญญาเช่าซื้อ เมื่อผู้ เช่าบอกเลิกสัญญาบรรดาเงินที่ได้ชำ ระแล้ว ให้ริบเป็นของ เจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะ กลับเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าได้ 13 สัญญาขายฝาก การเช่าทรัพย์ สัญญาเช่าซื้อ
เป็นสัญญาอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดจากบุคคลใดบุคคลหนึ่งซึ่งเรียกว่า “ผู้กู้” มีความต้องการจะ ใช้เงิน แต่ตนเองมีเงินไม่พอ หรือไม่มี เงินไปขอกู้ยืมจากบุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า “ผู้ให้กู้” และผู้กู้ ตกลง จะใช้คืน ภายในกำ หนดเวลาใดเวลาหนึ่ง การกู้ยืมจะมีผลสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อ มีการส่ง มอบเงินที ยืมให้แก่ผู้ที่ ให้ยืม ในการกู้ยืมนี้ผู้ให้กู้จะคิดดอกเบี้ยหรือไม่ก็ได้ ตามกฎหมายก็วางหลักเอาไว้ว่า “การ กู้ยืมเงินกันกว่า 2,000 บาท ขึ้นไปนั้น จะต้องมีหลักฐานในการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลง ลายมือชื่อของคนยืม เป็นสำ คัญ จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้” เพื่อป้องกันมิให้นายทุนบีบบังคับคนจน กฎหมายจึงได้กำ หนดอัตรา ดอกเบี้ย ขั้นสูงสุดที่ผู้ให้กู้สามารถเรียกได้ ว่าต้อง ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี คือร้อยละ 1.25 ต่อเดือน (เว้นแต่เป็นการ กู้ยืม เงินจากบริษัทเงินทุนหรือธนาคาร ซึ่งสามารถเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราดังกล่าว ได้ตาม พ.ร.บ. ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน) ดอกเบี้ยในการกู้ยืมเงินกันนี้ เพื่อป้องกันมิ ให้นายทุนบีบบังคับ คนจน กฎหมายจึงได้กำ หนดอัตราดอกเบี้ยขั้นสูงสุดที่ผู้ให้กู้สามารถเรียกได้ ว่า ต้อง ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อ ปี คือร้อยละ 1.25 ต่อเดือน (เว้นแต่เป็นการกู้ยืม เงินจากบริษัทเงินทุน หรือธนาคาร ซึ่งสามารถเรียก ดอกเบี้ยเกินอัตราดังกล่าว ได้ตาม พ.ร.บ. ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของ สถาบันการเงิน) หมายถึง สัญญาที่บุคคลหนึ่ง เรียกว่า “ผู้ค้ำ ประกัน” สัญญาว่าจะชำ ระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ ถ้า หากลูกหนี้ไม่ยอมชำ ระหนี้ ต้องทำ ตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวต่อไปนี้ คือ ต้องทำ หลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่าง หนึ่ง และ ต้องลงลายมือชื่อของผู้ค้ำ ประกัน ชนิดของสัญญาค้ำ ประกัน ได้แก่ สัญญาค้ำ ประกันอย่าง ไม่ จำ กัดจำ นวน และสัญญาค้ำ ประกันจำ กัดความรับผิด คือ สัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ผู้จำ นำ ส่งมอบ สังหาริมทรัพย์ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเป็นผู้ ครอบครองเรียกว่า ผู้รับจำ นำ เพื่อประกันการชำ ระหนี้ ทรัพย์สินที่จำ นำ ได้คือ ทรัพย์สินที่สามารถ เคลื่อนที่ ได้ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ ช้าง ม้า โค กระบือ และเครื่องทองรูปพรรณ สร้อย แหวน เพชร เป็นต้น เมื่อผู้จำ นำ ไม่ชำ ระหนี้ ผู้รับจำ นำ มีสิทธิบังคับจำ นำ โดยต้องบอกกล่าวแก่ผู้จำ นำ หากผู้จำ นำ ยังไม่ชำ ระ หนี้อีก ผู้รับจำ นำ มีสิทธินำ ทรัพย์สินนั้นขายออกทอดตลาด โดยต้องแจ้งเวลาและสถานที่แก่ ผู้จำ นำ เมื่อ ขายทอดตลาดแล้ว ได้เงินสุทธิเท่าใด ผู้รับจำ นำ มีสิทธิหักมาใช้หนี้ได้จนครบ หากยังมีเงิน เหลือต้องคืนให้ แก่ผู้จำ นำ การกู้ยืมเงิน 14 ดอกเบี้ยในการกู้ยืมเงินกันนี้ ค้ำ ประกัน สัญญาค้ำ ประกัน จำ นำ
คือ การที่ใครคนหนึ่งเรียกว่า ผู้จำ นองเอาอสังหาริมทรัพย์ อันได้แก่ ที่ดิน บ้านเรือน เป็นต้น ไปตรา ไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า ผู้รับจำ นอง หรือนัยหนึ่ง ผู้จำ นองเอาทรัพย์สินไปทำ หนังสือจด ทะเบียนต่อเจ้า พนักงาน เพื่อเป็นประกัน การชำ ระหนี้ของลูกหนี้ โดยไม่ต้องส่งมอบทรัพย์ที่จำ นอง ให้เจ้าหนี้ ผู้จำ นองอาจเป็น ตัวลูกหนี้เองหรือจะเป็นบุคคลภายนอกก็ได้ สาระสำ คัญของสัญญา 1. ต้องมีบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป 2. ต้องมีการแสดงเจตนาเป็นคำ เสนอคำ สนองตกลงกัน ยินยอมกัน 3. ต้องมีวัตถุประสงค์ คำ เสนอ คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาตอบ ถ้าข้อความที่แสดงเจตนาออกมานั้นตรงกันกับคำ เสนอ เรียก นิติกรรมฝ่ายหลังว่า คำ สนอง เกิดเป็นสัญญาขึ้น - คำ เสนอเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวเกิดจากการแสดงเจตนาของผู้ทำ คำ เสนอต่อบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็น ผู้รับคำ เสนอ คำ เสนอจะต้องมีข้อความแน่นอนชัดเจนพอที่จะให้ถือเป็นข้อผูกพันก่อให้เกิดเป็นสัญญา - คำ ทาบทาม ที่มีขึ้นเพื่อ ให้มีการเจรจาที่จะทำ สัญญากันต่อไป และแตกต่างกับคำ เชื้อเชิญ คำ เชื้อเชิญ จะมีลักษณะเป็นคำ ขอที่ให้อีกฝ่าย หนึ่งทำ คำ เสนอเข้ามาการแสดงเจตนาทำ คำ เสนอจะทำ ด้วยวาจาก็ได้ เป็นลายลักษณ์อักษร หรือด้วยกริยาอาการ อย่างใด ๆ ก็ได้ 2.1 ในระยะเวลาที่บ่งไว้ให้ทำ คำ สนองผู้เสนอจะถอนคำ เสนอของตนไม่ได้ (มาตรา 354) 2.2 ผู้เสนอจะถอนคำ เสนอซึ่งกระทำ ต่อผู้อยู่ห่างโดยระยะทางก่อนเวลาที่ควรมีคำ สนองไม่ได้ (มาตรา 355) 2.3 คำ เสนอต่อบุคคลผู้อยู่เฉพาะหน้าจะมีคำ สนองได้ก็แต่ ณ ที่นั้นเวลานั้น (มาตรา 356) 3.1 ผู้รับคำ เสนอบอกปัดไปยังผู้เสนอ (มาตรา 357) 3.2 ผู้รับคำ เสนอไม่สนองรับภายในกำ หนดเวลาที่บ่งไว้ในคำ เสนอ ภายในเวลาอันควรคาดหมายว่า ผู้เสนอจะได้ รับคำ บอกกล่าว 3.3 กรณีที่ผู้เสนอตายหรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ(มาตรา 360) มาตรา 360 ซึ่งเป็นข้อยกเว้น 3 ของหลักหรือ ก่อนสนองรับผู้สนองได้ทราบว่าผู้เสนอตายแล้วหรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ จำ นอง 15 1. ลักษณะของคำ เสนอ 2. การถอนคำ เสนอ 3. การเสนอสิ้นความผูกพัน
คือ คำ ตอบของผู้รับคำ เสนอต่อผู้เสนอโดยแสดงเจตนาว่าผู้รับคำ เสนอนั้นตกลงคำ มั่น เป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวเช่นเดียวกับค่าเสนอ มีผลเช่นเดียวกับคำ เสนอ คือ ผูกพันผู้ให้คำ มั่น ว่าตนจะ รักษาคำ มั่นนั้นจนกว่าเหตุการณ์เกี่ยวกับคำ มั่นจะสิ้นสุดลง คำ มั่นการตีความสัญญา ประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368 ให้ตีความไปตามความประสงค์ ในทางสุจริต โดยพิเคราะห์ ถึงปกติประเพณีด้วย หมายความว่า ในเบื้องต้นการตีความการแสดง เจตนาของสัญญายังอยู่ใน บังคับของมาตรา 171 ซึ่งเป็นบทบัญญัติว่าด้วยการตีความการแสดง เจตนาหรือการตีความ นิติกรรม แต่เนื่องจากสัญญาเป็นนิติกรรมหลายฝ่าย ซึ่งเกิดจากการแสดง เจตนาของบุคคลตั้งแต่ สองฝ่ายขึ้นไป มาตรา 368 จึงบัญญัติหลักในการตีความสัญญาเพิ่มเติมจาก การแสดงเจตนาทั่วไป โดยให้ตีความตามความประสงค์ในทางสุจริต โดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณี ประกอบด้วยการ ตีความตามความประสงค์คือการตีความตามเจตนาอันแท้จริง และต้องถือตาม เจตนาของคู่สัญญา ทุกฝ่ายอันจะพึงคาดหมายได้ว่าหากได้ตกลงกันโดยสุจริตจะตกลงกันอย่างไร มิใช่ถือแต่เพียงเจตนา อันแท้จริงของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง นอกจากนั้น ในกรณีที่มีประเพณีปฏิบัติกัน อยู่อย่างไร เมื่อคู่สัญญา มิได้แสดงเจตนาไว้เป็นอย่างอื่น ก็ย่อมคาดหมายได้ว่าตกลงทำ สัญญาโดย ถือตามประเพณีที่ปฏิบัติ กันนั้นด้วย เช่น นายมะขามตกลงจ้างนายมะนาวเป็นทนายความว่าความ ให้โดยมิได้ตกลงกำ หนด สินจ้าง ก็มีสัญญาผูกพันนายมะขามที่จะต้องจ่ายสินจ้างเพื่อผลสำ เร็จแห่ง การงานที่ทำ นั้น และการ คิดคำ นวณสินจ้างต้องตีความให้เป็นไปตามความประสงค์ในทางสุจริตโดย พิเคราะห์ถึงปกติ ประเพณีด้วย โดยจะเพ่งเล็งถึงเฉพาะเจตนาอันแท้จริงของนายมะขามหรือนายมะนาวเพียงฝ่าย เดียวไม่ได้ คำ สนอง 16
คือ การเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไป โดยต้องการจะครอบครอง ทรัพย์นั้นไว้ เพื่อตนเองเอาไปขายหรือให้กับบุคคลอื่นก็ตามแต่ ผู้ที่กระทำ ความผิดฐานลักทรัพย์จะต้อง ถูกระวางโทษ : จำ คุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 60,000 บาท การลักทรัพย์นั้นถ้าผู้กระทำ ได้กระทำ ในเวลากลางคืนหรือในบริเวณที่มีเหตุเพลิงไหม้ การระเบิด หรือใน บริเวณที่มี อุบัติเหตุผู้ที่เข้าไปลักทรัพย์ในบริเวณดังกล่าวจะต้องถูกระวางโทษหนักขึ้นกว่าการลักทรัพย์ใน เวลา สถานที่หรือเหตุการณ์ ปกติ เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะเหตุการณ์ หรือช่วงเวลาดังกล่าวเจ้าของทรัพย์ กำ ลังได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถที่จะดูแล ทรัพย์ของตนเองได้และการกระทำ ในเหตุการณ์หรือช่วง เวลาดังกล่าวเป็นการกระทำ ที่ซ้ำ เติมเจ้าของทรัพย์ที่กำ ลังได้รับ ความเดือดร้อน การวิ่งราวทรัพย์เป็นการลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า หมายถึง เป็นการขโมยเจ้าของรู้ตัวและทรัพย์จะ ต้องอยู่ใกล้ชิดตัวเจ้าทรัพย์ ผู้กระทำ การวิ่งราวทรัพย์จะต้องถูกระวางโทษ : จำ คุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่ เกิน 100,000 บาทอย่างไรก็ตามถ้าการวิ่งราวทรัพย์ทำ ให้ผู้อื่นได้รับอันตรายหรือเสียชีวิต เช่น กระชาก สร้อยจากเจ้าของแล้วสร้อยบาดคอ เจ้าของสร้อย ผู้ที่กระทำ จะต้องถูกระวางโทษหนักขึ้นด้วย คือ การลักทรัพย์ที่ประกอบด้วยการใช้กำ ลังเข้าทำ ร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำ ลังเข้ทำ ร้ายในทันทีทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ที่ ครอบครองทรัพย์นั้นอยู่ยินยอมให้ทรัพย์ไป หรือกระทำ ไปเพื่อให้เกิดความสะดวกใน การนำ ทรัพย์นั้นไป เช่น ขณะที่นาย เอกกำ ลังเดินเล่นอยู่ นาย โท ก็เข้ามาบอกให้สร้อยทองให้ถ้าไม่ให้จะ ทําร้ายหรือจะเอาปืนยิงให้ตายจนนายเอกต้องยอมถอด สร้อยของตนให้ เป็นต้น มาตรา 339 ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำ ลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญในทันใดนั้นว่าจะใช้กำ ลังประทุษร้าย เพื่อ (1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือพาทรัพย์ไป (2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์ (3) ยึดทรัพย์ไว้ (4) ปกปิดการกระทำ ความผิดนั้น (5) ให้พ้นจากการจับกุม มีความผิดฐานชิงทรัพย์ : จําคุก 5 - 10 ปี และปรับ 100,000 - 200,000 บาท การปล้นทรัพย์ มี ลักษณะเช่นเดียวกับการ ชิงทรัพย์ต่างกันเพียงว่ามีผู้ร่วมชิงทรัพย์ตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ผู้ที่กระทำ ความผิด ฐานปล้นทรัพย์จะต้องถูกระวางโทษ : จำ คุก 10 - 15 ปี และปรับ 200,000 - 300,000 บาท หากการ ปล้นทรัพย์ผู้ปล้นคนใดคนหนึ่งมีอาวุธติดตัวไปด้วย หรือในการ ปล้นเป็นเหตุให้เจ้าทรัพย์หรือบุคคลอื่นได้ รับถูกทำ ร้ายหรือเสียชีวิต ผู้กระทำ ความผิดทุกคนแม้จะไม่ได้พกอาวุธหรือร่วม ทำ ร้ายเจ้าทรัพย์หรือบุคคลอื่น กฎหมายก็ถือว่าทุกคนมีส่วนร่วมในการกระทำ ความผิดด้วย ซึ่งมีผลให้จะต้องรับโทษหนักขึ้น กว่าการ ปล้นทรัพย์โดยไม่มีอาวุธหรือไม่ได้มีการทำ ร้ายผู้ใด กฎหมายความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ 17 ชิงทรัพย์ การลักทรัพย์
หากจะยกตัวอย่างให้เห็นได้อย่างชัดเจนคงต้องยกตัวอย่าง กรณีที่พบเห็นได้บ่อย คือ การที่ รุ่นที่บังคับเอาเงินจากรุ่นน้องหรือที่เรียกกันว่า “แก็งค์ตาวไถ่” พวกแก๊งดาวไถ่มักจะบังคับ ขู่เข็ญให้รุ่นน้องเอาเงิน หรือสิ่งของที่มีค่ามาให้ ถ้าไม่เอามาให้ก็มักจะถูกขู่หรือถูกทำ ร้าย ทำ ให้ต้องยอม ตามที่แก็งค์ดาวไถ่บังคับ ผู้ที่ กระทำ ความผิดในเรื่องนนั้นกฎหมายได้กำ หนดโทษให้ต้อง : จำ คุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 1 แสน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 "ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่ง ผู้อื่นเป็น เจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำ ความผิดฐานยักยอก มีโทษจำ คุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ ถ้า ทรัพย์นั้นได้ตกมาอยู่ในความครอบ ครองของผู้กระทำ ความผิด เพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำ คัญผิดไป ด้วยประการใด หรือเป็นทรัพย์สินหายซึ่งผู้ กระทำ ความผิดเก็บได้ ผู้กระทำ ต้องระวางโทษ : จำ คุกไม่ เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้ง ปรับ 1.ครอบครอง 2.ทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย 3. เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม 1.เจตนาธรรมดาเจตนาพิเศษ โดยทุจริต 2.ถ้าการกระทำ นั้นครบทั้งองค์ประกอบภายนอกและองค์ประกอบภายในแล้ว ผู้กระทำ มีความผิดฐาน ยักยอกทรัพย์ การรับของโจร มาตรา 357 “ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำ หน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำ นำ หรือรับ ไว้โดย ประการใดซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำ ความผิด ถ้าความผิดนั้นเข้าลักษณะลักทรัพย์ วิ่ง ราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก หรือเจ้าพนักงานยักยอก ทรัพย์ ผู้นั้น กระทำ ความผิดฐานรับ ของโจร : จำ คุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ ถ้าการกระทำ ความผิดฐานรับ ของโจรนั้น ได้กระทำ เพื่อค้ากำ ไรหรือได้กระทำ ต่อ ทรัพย์อันได้มาโดยการลักทรัพย์ตามมาตรา 335 (10) ชิง ทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์ ผู้กระทำ ต้องระวาง โทษ : จำ คุก 6 เดือน - 10 ปี และปรับ 10,000 200,000 บาท ถ้า การกระทำ ความผิดฐานรับ ของโจรนั้น ได้กระทำ ต่อทรัพย์อันได้มาโดยการลักทรัพย์ตามมาตรา 335 ทวิ การชิง ทรัพย์ตาม มาตรา 339 ทวิ หรือการปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 ทวิ ผู้กระทำ ต้องระวางโทษ : จําคุก 5 - 15 ปี และปรับ 100,000 - 300,000 บาท การกรรโชกทรัพย์ 18 การยักยอกทรัพย์ องค์ประกอบภายนอก องค์ประกอบภายใน
1. ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำ หน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำ นำ หรือรับไว้โดยประการใด 2. ทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำ ความผิด ถ้าความผิดนั้นเข้าลักษณะลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอา ทรัพย์ ชิง ทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก หรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ 3. เจตนา (องค์ประกอบภายใน) ความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ ม.338 เป็นการขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับและเมื่อเปิดเผย แล้วก็ไม่คำ นึงว่าจะ เสียหายต่ออะไร ความผิดฐานรีดเอาทรัพย์มีองค์ประกอบความผิดเหมือนกับความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ทุกประการ แตกต่าง กันแต่เพียง ในความผิดฐานรีดเอาทรัพย์เป็นการขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับ (Disclose the secret) ไม่ได้ เป็นการขู่เข็ญในเรื่อง ทั่วๆ ไป หมายถึง ข้อเท็จจริงที่ไม่ประจักษ์แก่คนทั่วไปและเจ้าของความลับนั้นประสงค์จะปกปิด หรือให้รู้ ในวงจำ กัด เพราะฉะนั้นสิ่งไหนจะเป็นความลับหรือไม่ต้องพิจารณาตัวบุคคลเป็นสำ คัญ เช่น การมี ภริยาน้อย การเป็น หญิงขายบริการ การหลบเลี่ยงภาษี โดยการเปิดเผยความลับนั้นจะทำ ให้ผู้ถูกขู่เข็ญหรือ บุคคลที่สามเสียหาย และผู้ กระทำ ได้กระทำ ไปโดยประสงค์จะได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน มาตรา 338 ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่น ให้ยอมให้ หรือ ยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดย ขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับซึ่งการเปิดเผยนั้นจะ ทำ ให้ผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สามเสียหาย จนผู้ถูกข่มขืนใจ ยอมเช่นว่านั้น มีความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ : จำ คุก 1 - 10 ปี และปรับ 20,000 - 200,000 บาท ทำ ให้เสียทรัพย์ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 “ผู้ใดทำ ให้เสียหาย ทำ ลาย ทำ ให้เสื่อมค่าหรือทำ ให้ไว้ ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ผู้นั้นกระทำ ความผิดฐานทำ ให้เสียทรัพย์ ต้อง ระวางโทษ : จำ คุกไม่ เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ มาตรา 359 “ถ้าการกระ ทำ ความผิดตามมาตรา 358 ได้กระทำ ต่อ (1) เครื่องกลหรือเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกสิกรรมหรืออุตสาหกรรม (2) ปศุสัตว์ (3) ยวดยานหรือสัตว์พาหนะ ที่ใช้ในการขนส่งสาธารณ หรือในการประกอบกสิกรรม หรืออุตสาหกรรม หรือพืชหรือพืช ผลของกสิกร ผู้กระทำ ต้องระวางโทษ : จำ คุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ มาตรา 360 “ผู้ใด ทำ ให้ เสียหาย ทําลาย ทำ ให้เสื่อมค่าหรือทำ ให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ต้อง ระวางโทษ : จำ คุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ มาตรา 360 ทวิ “ผู้ใดทำ ให้ เสียหาย ทำ ลาย ทำ ให้ เสื่อมค่า หรือทำ ให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ตามมาตรา 335 ทวิ วรรคหนึ่ง ที่ประดิษฐานอยู่ ในสถานที่ตามมาตรา 335 ทวิ วรรคสอง ต้องระวางโทษ : จำ คุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ มาตรา 361 "ความผิดตามมาตรา 358 และมาตรา 359 เป็นความผิดอันยอมความได้” องค์ประกอบความผิดฐานรับของโจร 19 ความลับ (Secret)
1.ผู้ใดทำ ให้เสียหาย ทำ ลาย ทำ ให้เสื่อมค่า หรือทำ ให้ไร้ประโยชน์ 2.ชิงทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย 3.เจตนา (องค์ประกอบภายใน) 1.ทำ ให้เสียหาย หมายถึง ทำ ให้ทรัพย์ชำ รุด บุบสลาย หรือทำ ให้ทรัพย์เปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวลง 2.ทำ ลาย คือ การทำ ให้ทรัพย์สิ้นสภาพไปเลย 3.ทำ ให้เสื่อมค่า คือ การทำ ให้ทรัพย์ราคาลดลง 4.ทำ ให้ไร้ประโยชน์ คือ ทำ ให้ทรัพย์นั้นหมดประโยชน์ไป แม้เพียงชั่วคราวก็ตาม ความผิดฐานบุกรุก มาตรา ๓๖๒ ผู้ใด เข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเพื่อถือการ ครอบครอง อสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือเข้าไป กระทำ การใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบ ครอง อสังหาริมทรัพย์ ของเขาโดยปกติสุข ต้องระวางโทษ : จำ คุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ มาตรา ๓๖๓ ผู้ใดเพื่อถือเอาอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเป็นของตน หรือของ บุคคลที่สาม ยักย้ายหรือทำ ลาย เครื่องหมายเขตแห่ง อสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ต้อง ระวางโทษ : จำ คุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ มาตรา ๓๖๔ ผู้ใดโดย ไม่มีเหตุอันสมควรเข้าไป หรือซ่อนตัวอยู่ใน เคหสถาน อาคารเก็บรักษาทรัพย์หรือสำ นักงานใน ความ ครอบครอง ของผู้อื่น หรือไม่ยอมออกไปจากสถานที่เช่นว่านั้น เมื่อผู้มีสิทธิที่จะ ห้ามมิให้เข้าไปได้ไล่ ให้ออก ต้อง ระวางโทษ : จำ คุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ มาตรา ๓๖๕ ถ้าการกระทำ ความผิดตาม มาตรา ๓๖๒ มาตรา ๓๖๓ หรือ มาตรา ๓๖๔ ได้กระทำ (1) โดยใช้กำ ลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำ ลังประทุษร้าย (2) โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกระทำ ความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคน ขึ้นไป หรือ (3) ในเวลากลางคืน ผู้กระทำ ต้องระวางโทษ : จำ คุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ มาตรา ๓๖๖ ความผิดใน หมวดนี้ นอกจากความผิดตาม มาตรา ๓๖๕ เป็นความผิดอันยอมความได้ องค์ประกอบความผิดฐานทำ ให้เสียทรัพย์ มาตรา ๓๕๘ 20 ส่วนของการกระทำ คือ
มาตรา ๒๘๘ ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำ คุกตอดชีวิต หรือจำ คุกตั้งแต่สิบห้าปี ถึงยี่สิบปี มาตรา ๒๔๙ ผู้ใด (๑) ฆ่าบุพการี (๒) ฆ่าเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำ การตามหน้าที่ หรือเพราะเหตุที่จะกระทำ หรือได้กระทำ การตามหน้ (๓) ฆ่าผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงาน ในการที่เจ้าพนักงานนั้นกระทำ ตามหน้าที่ หรือเพราะ เหตุที่บุคคลนั้นจะช่วยหรือ ได้ช่วยเจ้าพนักงานดังกล่าวแล้ว (๔) ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน (๕) ฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำ ทารุณโหดร้าย (๖) ฆ่าผู้อื่นเพื่อตระเตรียมการ หรือเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำ ความผิดอย่างอื่น หรือ (๗) ฆ่าผู้อื่นเพื่อจะเอา หรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำ ความ ผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่น ของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้ กระทำ ไว้ต้องระวางโทษประหารชีวิต มาตรา ๒๙๐ ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำ ร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำ คุกตั้งแต่ สามปีถึงสิบห้าปี ถ้าความผิดนั้นมีลักษณะประการหนึ่งประการใด ดังที่ บัญญัติไว้ใน มาตรา ๒๘๙ ผู้กระทำ ต้อง ระวางโทษจำ คุกตั้งแต่สามปีถึงยี่สิบปี มาตรา ๒๙๑ ผู้ใดกระทำ โดยประมาท และการกระทำ นั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความ ตาย ต้องระวางโทษจำ คุก ไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๒๓๒ ผู้ใดกระทำ ด้วยการปฏิบัติอันทารุณ หรือด้วยปัจจัยคล้ายคลึงกันแก่ บุคคลซึ่งต้องพึ่งตน ในการดำ รงชีพหรือในการอื่นใด เพื่อให้บุคคลนั้นฆ่าตนเอง ถ้าการฆ่าตนเอง นั้นได้เกิดขึ้นหรือได้มีการพยายามฆ่าตนเอง ต้องระวางโทษจำ คุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกิน หนึ่งแสนสี่หมื่นบาท [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] 21 กฎหมายความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย
มาตรา ๒๙๓ ผู้ใดช่วยหรือยุยงเด็กอายุยังไม่เกินสิบหกปี หรือผู้ซึ่งไม่สามารถเข้าใจว่าการกระทำ ของตนมี สภาพหรือสาระสำ คัญอย่างไร หรือไม่สามารถบังคับการกระทำ ของตนได้ ให้ฆ่าตนเอง ถ้า การฆ่าตนเองนั้น ได้เกิดขึ้นหรือได้มีการพยายามฆ่าตนเอง ต้องระวางโทษจำ คุกไม่เกินห้าปี หรือ ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๒๙๔ ผู้ใดเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และบุคคล หนึ่งบุคคลใดไม่ ว่าจะเป็นผู้ที่เข้าร่วมในการนั้นหรือไม่ ถึงแก่ความตายโดยการกระทำ ในการชุลมุน ต่อสู้นั้น ต้องระวาง โทษจำ คุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ ถ้าผู้ที่เข้า ร่วมในการชุลมุนต่อสู้นั้น แสดงได้ว่า ได้กระทำ ไปเพื่อห้ามการชุลมุนต่อสู้นั้น หรือเพื่อป้องกันโดย ชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่ต้องรับ โทษ [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๒๙๕ ผู้ใดทำ ร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้น กระทำ ความ ผิดฐานทำ ร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษจำ คุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้ง จำ ทั้งปรับ [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๒๙๖ ผู้ใดกระทำ ความผิดฐานทำ ร้ายร่างกาย ถ้าความผิดนั้น มีลักษณะประการหนึ่ง ประการใดดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๘๙ ต้องระวางโทษจำ คุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย อาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] 22 หมวด ๒ ความผิดต่อร่างกาย ------------------
มาตรา ๒๙๗ ผู้ใดกระทำ ความผิดฐานทำ ร้ายร่างกาย จนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำ ร้ายรับอันตรายสาหัส ต้องระวาง โทษจำ คุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสองแสนบาท อันตรายสาหัสนั้น คือ (๑) ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด หรือเสียฆานประสาท (๒) เสียอวัยวะสืบพันธุ์ หรือความสามารถสืบพันธุ์ (๓) เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้วหรืออวัยวะอื่นใด (๔) หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว (๕) แท้งลูก (๖) จิตพิการอย่างติดตัว (๗) ทุพพลภาพ หรือป่วยเจ็บเรื้อรังซึ่งอาจถึงตลอดชีวิต (๘) ทุพพลภาพ หรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน หรือจนประกอบ กรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐) มาตรา ๒๙๘ ผู้ใดกระทำ ความผิดตามมาตรา ๒๙๗ ถ้าความผิดนั้นมีลักษณะประการหนึ่ง ประการใดดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา ๒๘๙ ต้องระวางโทษจำ คุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่น บาทถึงสองแสนบาท [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๒๙๙ ผู้ใดเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลแต่สามคนขึ้นไป และบุคคล หนึ่งบุคคลใดไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้า ร่วมในการนั้นหรือไม่รับอันตรายสาหัส โดยการกระทำ ในการชุลมุนต่อสู้ นั้น ต้องระวางโทษจำ คุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับ ไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ ถ้าผู้ที่เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้นั้นแสดงได้ว่า ได้กระทำ ไปเพื่อห้ามการชุลมุนต่อสู้นั้น หรือเพื่อป้องกันโดยชอบด้วย กฎหมาย ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๓๐๐ ผู้ใดกระทำ โดยประมาท และการกระทำ นั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตราย สาหัส ต้องระวางโทษจำ คุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดย มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] 23
มาตรา ๓๐๑๑ หญิงใดทำ ให้ตนเองแท้งลูกหรือยอมให้ผู้อื่นทำ ให้ตนแท้งลูกขณะมีอายุครรภ์เกินสิบ24 หมวด ต ความผิดฐานทำ ให้แท้งลูก สองสัปดาห์ ต้องระวางโทษจำ คุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ มาตรา ๓๐๒ ผู้ใดทำ ให้หญิงแท้งลูก โดยหญิงนั้นยินยอม ต้องระวางโทษจำ คุกไม่เกินห้าปี หรือปรับ ไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ ถ้าการกระทำ นั้นเป็นเหตุให้หญิงรับอันตรายสาหัสอย่างอื่นด้วย ผู้กระทำ ต้องระวางโทษจำ คุกไม่ เกินเจ็ตปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่ หมื่นบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ ถ้าการกระทำ นั้นเป็นเหตุให้หญิงถึงแก่ความตาย ผู้กระทำ ต้องระวางโทษจำ คุกไม่เกินสิบปี และ ปรับไม่เกินสองแสนบาท [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๓๐๓ ผู้ใดทำ ให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นไม่ยินยอม ต้องระวางโทษจำ คุกไม่เกินเจ็ดปี หรือ ปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ ถ้าการกระทำ นั้นเป็นเหตุให้หญิงรับอันตรายสาหัสอย่างอื่นด้วย ผู้กระทำ ต้องระวางโทษจำ คุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สอง หมื่นบาทถึงสองแสนบาท ถ้าการกระทำ นั้นเป็นเหตุให้หญิงถึงแก่ความตาย ผู้กระทำ ต้องระวางโทษจำ คุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่ แสนบาท [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐) มาตรา ๓๐๔ ผู้ใดเพียงแต่พยายามกระทำ ความผิดตามมาตรา ๓๐๑ หรือมาตรา ๓๐๒ วรรคแรก ผู้ นั้นไม่ต้องรับโทษ มาตรา ๓๐๕๒ ถ้าการกระทำ ความผิดตามมาตรา ๓๐๑ หรือมาตรา ๓๐๒ เป็นการกระทำ ของผู้ ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและตาม หลักเกณฑ์ของแพทยสภาในกรณีดังต่อไปนี้ ผู้กระทำ ไม่มีความผิด (๑) จำ เป็นต้องกระทำ เนื่องจากหากหญิงตั้งครรภ์ต่อไปจะเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายต่อสุขภาพทาง กายหรือจิตใจของหญิงนั้น (๒) จำ เป็นต้องกระทำ เนื่องจากมีความเสี่ยงอย่างมากหรือมีเหตุผลทางการแพทย์อันควรเชื่อได้ว่า หากทารกคลอดออกมาจะมีความ ผิดปกติถึงขนาดทุพพลภาพอย่างร้ายแรง (๓) หญิงยืนยันต่อผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมว่าตนมีครรภ์เนื่องจากมีการกระทำ ความผิดเกี่ยวกับเพศ (๔) หญิงซึ่งมีอายุครรภ์ไม่เกินสิบสองสัปดาห์ยืนยันที่จะยุติการตั้งครรภ์ (๕) หญิงซึ่งมีอายุครรภ์เกินสิบสองสัปดาห์ แต่ไม่เกินยี่สิบสัปดาห์ ยืนยันที่จะยุติการตั้งครรภ์ภาย หลังการตรวจและรับคำ ปรึกษาทางเลือกจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและผู้ประกอบวิชาชีพอื่นตามหลัก เกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำ หนดโดยคำ แนะนำ ของแพทยสภาและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกัน และแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น 24 หมวด ๓ ความผิดฐานทำ ให้แท้งลูก ------------------
๑) มาตรา ๓๐๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับ ที่ ๒๘) พ.ศ. ๒๕๖๔ ๒) มาตรา ๓๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับ ที่ ๒๔) พ.ศ. ๒๕๖๔ มาตรา ๓๐๖ ผู้ใดทอดทิ้งเด็กอายุยังไม่เกิน 9 ปีไว้ ณ ที่ใด เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจาก ตน โดย ประการที่ทำ ให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล ต้องระวางโทษจำ คุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกิน หกหมื่นบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมาย อาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๓๐๗ ผู้ใดมีหน้าที่ตามกฎหมายหรือตามสัญญาต้องดูแลผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้ เพราะ อายุ ความป่วยเจ็บ กายพิการหรือจิตพิการ ทอดทิ้งผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้นั้นเสียโดยประการที่น่าจะ เป็นเหตุให้ เกิดอันตรายแก่ชีวิต ต้องระวางโทษจำ คุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือ ทั้งจำ ทั้งปรับ [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมาย อาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐) มาตรา ๓๐๘ ถ้าการกระทำ ความผิดตามมาตรา ๓๐๖ หรือมาตรา ๓๐๗ เป็นเหตุให้ผู้ถูก ทอด ทิ้งถึงแก่ความตาย หรือรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำ ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๙๐ มาตรา ๒๓๗ หรือมาตรา ๒๙๘ นั้น หมวด ๔ ความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก คนป่วยเจ็บหรือคนชรา ------------------ 25
ภาษีอากร หมายถึง สิ่งที่รัฐบาลบังคับจัดเก็บจากราษฎร เพื่อนำ ไปใช้เป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม โดยมิได้ มีสิ่งตอบแทนโดยตรงแก่ผู้เสียภาษี ภาษีอากรมีลักษณะเป็นการบังคับเก็บ ประชาชนทุกคนเป็นผู้รับผิดชอบ ในการเสียภาษี วัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินภาษีคือ นำ ไปใช้เพื่อสาธารณะหรือสังคมโดยรวม 1. เพื่อหารายได้ให้เพียงพอมาใช้จ่ายในกิจการของรัฐบาล 2. เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการกระจายรายได้ 3. เพื่อให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ 4. เพื่อสนับสนุนให้เกิดการขยายตัวและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ 5. เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ 1. หลักความเป็นธรรม นับว่าสำ คัญมากเนื่องจาก การจัดเก็บภาษีอากรที่เป็นธรรมจะมีส่วนช่วยยกระดับ ความสมัครใจในการเสียภาษีอากร ของประชาชนได้มาก 2. หลักความแน่นอน เช่น - ความแน่นอน และชัดเจนในตัวบทกฎหมาย - ความแน่นอน และชัดเจนในวิธีปฏิบัติจัดเก็บ - ความแน่นอนในด้านภาระภาษีว่าตกอยู่กับผู้ใด - ความแน่นอนในการลดรายจ่ายของภาคเอกชน - ความแน่นอนในการท ารายได้แก่รัฐบาล 3. หลักความเป็นกลางทางเศรษฐกิจ เพื่อมิให้กระทบกระเทือนการตัดสินใจทาง ธุรกิจของ ประชาชน 4 . หลักอำ นวยรายได้ ภาษีอากรที่ดีจะต้องมีลักษณะทำ รายได้ให้กับรัฐบาลได้ดี ได้แก่ - เป็นภาษีอากรที่มีฐานกว้าง - การกำ หนดอัตราภาษีที่ใช้หากมีลักษณะก้าวหน้าจนเกินไปอาจจะมี ผลกระทบกระเทือนใน ด้านอื่นได้ 5. หลักความยืดหยุ่นภาษีอากรที่ดีจะต้องมีความยืดหยุ่น หรือปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลง ทางเศรษฐกิจได้อย่างเหมาะสมเอื้ออำ นวยต่อการบริหารการจัดเก็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ กฎหมายภาษีอากร 26 วัตถุประสงค์ของการจัดเก็บภาษี หลักการจัดเก็บภาษีที่ดีมี 6 ประการคือ
6. หลักประสิทธิภาพในการบริหารระบบภาษีอากรที่ดีต้องเป็นระบบที่สามารถ จัดเก็บได้อย่างมี ประสิทธิภาพ เช่น - เสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด - ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของหน่วยงานรับผิดชอบการจัดเก็บภาษี สามารถจัดเก็บได้อย่างทั่วถึง เต็มเม็ดเต็มหน่วยการนำ หลักที่ดีของการจัดเก็บภาษี จะต้องคำ นึงถึงแนวนโยบายของรัฐบาล และ คำ นึงถึงสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย หากผู้ประกอบการรายใด ต้องการที่จะประสบผลสำ เร็จโดยได้รับผลกำ ไรสูงสุด แต่อยากเสียค่าใช้จ่าย น้อยที่สุดแล้ว ผู้ประกอบการนั้นจะต้องศึกษา หาความรู้ด้านภาษีให้ ได้เยอะที่สุด และที่ส าคัญจะต้อง คำ นึงถึง ภาระทางภาษีอากร ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ เพราะหมายถึงภาระค่าใช้จ่าย ของธุรกิจที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ดังนั้นการวางแผนทางภาษีอากร จึงมีความจ าเป็นอย่างยิ่ง เพื่อการ ปฏิบัติในทางภาษีอากรให้เป็นไปโดยถูกต้องและ ครบถ้วน ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อธุรกิจดังนี้ 1.ช่วยให้การเสียภาษีอากรเป็นไปโดยถูกต้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขทางภาษีตามที่ กฎหมายกำ หนดแต่ทั้งนี้จะต้องเป็นจำ นวนที่น้อยที่สุดโดยไม่ อาศัยการหลีกเลี่ยงภาษีอากร 2. ช่วยขจัดปัญหาในการเสียภาษีของธุรกิจ 3. ประหยัดหรือลดค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากการเสียภาษี ไม่ถูกต้อง ซึ่งหมายถึง เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และค่าปรับทางอาญา 4. ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่ละประเภทให้เต็มที่ และถูกต้อง 5.ช่วยลดขั้นตอนในการปฏิบัติงานที่ไม่จ าเป็นและไม่ได้มาตรฐานเพราะการดำ เนินงานทางด้านเอกสาร หลักฐานทางธุรกิจจะสอดคล้องกันระหว่างทางธุรกิจและภาษีอากร 6. ช่วยให้คลายความกังวลต่อการถูกเรียกตรวจสอบ 7.ช่วยเสริมสร้างระบบการควบคุมภายในให้มีประสิทธิภาพได้เพราะในขั้นตอนของการวางแผนภาษีจะ ต้องศึกษาแนวทางปฏิบัติงานของธุรกิจให้ละเอียดถี่ถ้วนซึ่ง จะช่วยให้เห็น ปัญหาที่เกิดขึ้นและแก้ไขไป ในคราวเดียวกัน หมายเหตุ การวางแผนภาษีมิใช่การหลีกเลี่ยงหรือหนีการเสียภาษีแต่เป็นดำ เนินงานภายใต้ข้อกําหนด เงื่อนไขและหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่กำ หนดไว้ในกฎหมายทางภาษ การวางแผนภาษีมีประโยชน์อย่างไร 27
กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคของไทยในปัจจุบันมีจำ นวนหลายฉบับ ซึ่งกฎหมายแต่ละฉบับมี อำ นาจและหน้าที่ในการให้ความคุ้ม ครองผู้บริโภค ที่แตกต่างกัน โดยมีหน่วยงานราชการทำ หน้าที่ ในการบังคับใช้ให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งหน่วยงานราชการดังกล่าว กระจาย อยู่ตามกระทรวงต่างๆ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคที่มีหน้าที่คุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคโดยตรง คือ พระราชบัญญัติ คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541 ได้กำ หนดให้ผู้บริโภคมีสิทธิที่จะได้รับ ความคุ้ม ครองตามกฎหมาย 5 ประการดังนี้ - สิทธิที่จะได้รับข่าวสารรวมทั้งคำ พรรณนาคุณภาพที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับสินค้า หรือบริการ - สิทธิที่จะได้อิสระในการเลือกหาสินค้าหรือบริการ - สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการ - สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการทำ สัญญา - สิทธิที่จะได้การพิจารณาและชดเชยความเสียหาย หลักทั่วไปของการบังคับใช้กฎหมาย คือ เมื่อมีกฎหมายฉบับใดให้อำ นาจในการคุ้มครองผู้บริโภค ไว้เป็นการเฉพาะแล้วก็ต้องบังคับ ตามกฎ หมายฉบับนั้น ตัวอย่างเช่น กรณีที่ผู้บริโภคถูกละเมิดสิทธิ เกี่ยวกับเรื่องอาหาร ผู้บริโภคสามารถไปร้องเรียนที่สำ นักงานคณะ กรรมการอาหารและยาซึ่งเป็น หน่วยงานที่มีอำ นาจหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค เฉพาะเรื่องสินค้าอาหารเท่านั้น แต่ถ้ากรณีไม่มีกฎหมายใด หรือหน่วยงานใดให้ความคุ้มครองผู้ บริโภคเป็นการเฉพาะแล้วก็ต้องใช้ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ซึ่งให้ความคุ้มครอง ในผู้บริโภคด้านสินค้าและบริการทั่วไป 2. กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคที่มีหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค โดยการเข้าไปควบคุมตรวจสอบ และ กำ กับดูแลผู้ประกอบธุรกิจที่ผลิต สินค้า หรือบริการ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมและได้รับ ความปลอดภัยในการใช้สินค้าและการรับบริการ โดยสามารถแบ่ง ออก เป็น 2 ประเภท ดังนี้ กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค 28
2.1 กฎหมายคุ้มครองเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความปลอดภัยในการใช้สินค้าและการรับบริการ เช่น กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคโดยกระทรวงสาธารณสุข - พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 - พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 - พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคโดยกระทรวงอุตสาหกรรม - พระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 - พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 2.2 กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมในการใช้สินค้าและการรับ บริการ เช่น กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคโดยกระทรวงพาณิชย์ - พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 - พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคโดยกระทรวงยุติธรรม - พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 เมื่อผู้บริโภคถูกละเมิดสิทธิหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้ประกอบธุรกิจเนื่องจากการ ใช้สินค้าหรือบริการ ผู้บริโภคย่อมได้ รับความคุ้มครอง ตามกฎหมายโดยผู้บริโภคสามารถร้องเรียน ได้ที่สำ นักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคคณะกรรมการคุ้มครองผู้ บริโภคคณะอนุกรรมการ คุ้มครองผู้บริโภคประจำ จังหวัด หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 เป็นกฎหมายฉบับ เดียวที่มีอำ นาจในการดำ เนินคดีแทนผู้บริโภค เพื่อฟ้องเรียกทรัพย์สินหรือ ค่าเสียหายให้แก่ผู้บริโภคที่ถูกละเมิดสิทธิ จากการใช้สินค้าและการรับบริการโดยผู้บริโภคไม่ต้องเสีย ค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการดำ เนินคดีแต่อย่างใด 29
เรามี พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค 2522 และฉบับที่ 2 แก้ไข เพิ่มเติม พ.ศ. 2541 ที่มีเนื้อหาให้ ความคุ้มครองผู้บริโภคหลายประการ แต่ตั้งแต่มีกฎหมายฉบับดังกล่าวมา ก็สามารถคุ้มครองผู้ บริโภคได้ ระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามผู้บริโภคสินค้าหรือบริการ ก็ยังตกเป็นผู้ เสียเปรียบแก่บรรดา พ่อค้า แม่ค้า ตั้งแต่ระดับการขายสินค้าริมฟุตบาท ไปจนถึงประเภทสินค้าประเภทไฮเทค เช่น โทรศัพท์ เครื่องเล่น อุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ รวมทั้งสินค้าประเภทอาหาร เสื้อผ้า รถยนต์ รวมทั้งสินค้า ทุกประเภท หรือประเภทการให้บริการ เช่น โรงพยาบาล คลินิกแพทย์ แต่ละครั้ง เมื่อเกิดปัญหาของ สินค้า และบริการระหว่างพ่อค้าผู้ประกอบธุรกิจกับผู้บริโภค ผู้บริโภคมักตกเป็นผู้เสียเปรียบ หลาย ประการ บางครั้งแม้รู้ว่าถูกหลอกถูกเอาเปรียบ ก็ไม่อยากจะพึ่งพากฎหมาย เพราะสาเหตุหลาย ประการ ดังนี้ 1. ผู้บริโภคไม่มีความรู้ทางเทคนิควิธี กระบวนการผลิตสินค้า โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ เทคโนโลยีก้าวไกลทันสมัย ทำ ให้ผู้บริโภคไม่สามารถรู้ได้ว่าสินค้า หรือบริการที่ตัวเองซื้อหา มาใช้ มา ครอบครอง มีกระบวนการวิธีผลิต หรือไม่ถูกต้อง ไม่สมบูรณ์อย่างไร 2. แม้ผู้บริโภคจะรู้ว่าตนเองได้สินค้าไม่สมบูรณ์ หรือได้รับการบริการที่ไม่สุภาพ ไม่ซื่อสัตย์ต่อ ลูกค้า แต่ผู้บริโภคก็ไม่อยาก เป็นความ เพราะการขึ้นโรงขึ้นศาลต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำ เนินคดี เอง ค่าจ้างทนาย ต้องเสียเวลา บางครั้งสินค้าราคาเล็กน้อย ไม่คุ้มกับ การเป็นความ ฟ้องร้องผู้ ประกอบการธุรกิจ 3.แม้ผู้บริโภคจะใช้สิทธิฟ้องร้องผู้ประกอบการธุรกิจ แต่มักจะเสียเปรียบในชั้น พิจารณาคดีที่ ไม่มีความรู้ความสามารถเสาะ แสวงหาหรือพิสูจน์พยานหลักฐานว่า สินค้าหรือ บริการไม่สมบูรณ์ อย่างไร เพราะกฎหมายเดิมให้ภาระการพิสูจน์เพื่อที่จะเอาผิด กับจำ เลยตก อยู่กับผู้ฟ้องคดี 4. สัญญาที่ผู้ประกอบการธุรกิจทำ กับผู้บริโภค ผู้บริโภคเสียเปรียบเสมอ เพราะเป็นสัญญา สำ เร็จรูป ที่มีข้อความผูกมัดผู้ บริโภค เช่น สัญญาเช่าซื้อ สัญญากู้ยืมเงินต่าง ๆ เป็นต้น จากการเสียเปรียบของผู้บริโภคดังกล่าว ผู้ประกอบการธุรกิจการค้า ที่ไม่สุจริตมัก ฉกฉวยโอกาส เพื่อหวังผลกำ ไร โดยไม่ได้ คำ นึงถึงความเสียหายของผู้บริโภคที่อาจได้รับความ เสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย หรือทรัพย์สิน เช่น ขายยาที่หมดอายุความแล้ว หรือสินค้าชำ รุดด้านใน แต่ไม่ยอม บอกผู้บริโภค เพราะเกรงว่าจะขาดทุน ทำ ให้ผู้ประกอบการค้ากำ ไรเกิน ควร ประชาชนในฐานะ ผู้ บริโภคต้องตกเป็นเบี้ยล่างเรื่อยมา 30
แต่ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2551 ผู้ประกอบการธุรกิจที่ไม่สุจริตในการประกอบการค้า ไม่ว่าจะ เป็นประเภทให้เช่าซื้อรถยนต์ ให้กู้ยืมเงิน หรือการขายสินค้าประเภทใดๆ ก็ตาม รวมถึงการให้ บริการต่าง ๆ เช่น โรงพยาบาล โรงภาพยนตร์ ฯ ได้มีกฎหมายฉบับใหม่ ที่คุ้มครองผู้บริโภคให้เข้าถึง ความยุติธรรมได้อย่างง่ายดาย คือ “พระราชบัญญัติวิธีพิจารณา คดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 หรือเรียก ง่าย ๆ ว่าต่อแต่นี้ไป ข้อพิพาทระหว่างผู้ประกอบการ ธุรกิจกับผู้บริโภค หากมีกรณีพิพาทเกี่ยวกับ สิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมาย อันเนื่องมาจาก การ บริโภคสินค้าหรือบริการจะต้องขึ้น “ศาลผู้ บริโภค”ที่มีชื่อตามศาลจังหวัดทุกจังหวัด กฎหมายฉบับนี้มีข้อดีซึ่งเป็นประโยชน์กับ ผู้บริโภคหลาย ประการ คือ 1. ผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายจากสินค้าหรือบริการใดก็ตาม สามารถไปฟ้องศาล ผู้บริโภคได้ ด้วยวาจา โดยไม่ต้องจ่ายเงิน จ้างทนายความ แต่จะมีเจ้าพนักงานคดีของศาลเป็น ผู้ช่วยเขียนเรียบ เรียงคำ ฟ้องไว้ให้ ทั้งเมื่อฟ้องไปแล้วหากคำ ฟ้องไม่ถูกต้อง ศาลอาจ สั่งให้แก้ไข ให้ถูกต้องชัดเจนได้ 2. ผู้บริโภคได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล ยกเว้นผู้บริโภคฟ้องไม่มี เหตุผลอัน สมควร หรือเรียกค่าเสียหายเกิน สมควร ศาลอาจมีคำ สั่งให้บุคคลนั้น ชำ ระค่า ฤชาธรรมเนียมได้ 3. อายุความในการฟ้องร้องในกรณีที่ความเสียหายเกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพ อนามัย จากการบริโภค สินค้าหรือบริการ สามารถใช้สิทธิเรียกร้องภายใน 3 ปี นับแต่วันที่รู้ถึง ความเสีย หาย และรู้ตัวผู้ประกอบการธุรกิจที่ต้องรับผิด แต่ไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันที่รู้ถึง ความเสียหาย 4. หากผู้ประกอบธุรกิจจะฟ้องผู้บริโภคบ้าง ต้องฟ้องที่ศาลผู้บริโภค ที่ผู้บริโภคมีภูมิ ลำ เนา ซึ่ง ถ้าผู้บริโภคจะฟ้องผู้ประกอบ การธุรกิจ ที่มีสำ นักงานใหญ่อยู่กรุงเทพฯ แต่มีตัวแทน ขายสินค้าหรือ บริการอยู่จังหวัดที่ผู้บริโภคอาศัยอยู่ ผู้บริโภคสามารถฟ้องต่อศาล จังหวัดที่ ผู้บริโภคมีภูมิลำ เนา ทำ ให้ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปศาลได้มาก อันเป็นการช่วยผู้ บริโภคที่ได้รับความเสียหาย 5. ภาระการพิสูจน์ในศาลเกี่ยวกับการผลิตการประกอบการ ออกแบบหรือส่วนผสม ของสินค้า การให้บริการ หรือดำ เนินการใด ๆ ซึ่งศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าว อยู่ในความรู้เห็น องผู้ประกอบ ธุรกิจก็ให้ผู้ประกอบธุรกิจนำ สืบให้ศาลเห็น ทำ ให้ง่ายต่อผู้บริโภค เพียงแต่ พิสูจน์ว่าตนเองได้รับ ความเสียหายจริง จากการใช้สินค้าหรือบริการนั้นเท่านั้น 31
ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนวิธีพิจารณาในศาล ซึ่งเป็นประโยชน์และสร้างความเป็นธรรม รวมทั้งมี แต้มต่อให้กับ ผู้บริโภคอีกหลายประเด็น แต่อย่างไรก็ตามเจตนารมณ์ เบื้องต้นของศาลผู้บริโภค จะดำ เนินการ ไกล่เกลี่ยให้คู่ความได้ตกลงกัน หรือ ประนีประนอม ยอมความเป็นสำ คัญ แต่ขอย้ำ ต่อจากนี้ไปผู้ประกอบการ ธุรกิจจะถูกผู้บริโภคฟ้องง่ายขึ้น และมากขึ้น ทั้งเป็นเรื่องใหม่ต่อ ศาลที่จะต้องรับภาระคดีพิพาทระหว่างผู้ ประกอบการธุรกิจ และผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม หากผู้ประกอบการธุรกิจมีความรับ ผิดชอบต่อ สินค้า หรือการ ให้บริการ มีความสุจริตจริงใจไม่ค้ากำ ไรเกินควร ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องขึ้น “ศาลผู้บริโภค” แต่อย่างไร บุคคลที่จะขอใบอนุญาตจากอธิบดีตามความในวรรคก่อน ต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติ และปฏิบัติตามระเบียบที่ อธิบดีกำ หนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี บุคคลใดได้รับใบอนุญาตดังกล่าวแล้ว ถ้าฝ่าฝืนระเบียบที่อธิบดีกำ หนด อธิบดีอาจ พิจารณาสั่งถอนใบอนุญาตเสียก็ได้ รัฐมนตรี บทบัญญัติแห่งมาตรานี้จะใช้บังคับในเขตจังหวัดใด ให้อธิบดี ประกาศโดยอนุมัติ การประกาศ ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มาตรา ๓ อัฏฐ๑๐ กำ หนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการหรือ แจ้งรายการต่าง ๆ ก็ดี กำ หนดเวลา การอุทธรณ์ก็ดี หรือกำ หนดเวลาการเสียภาษีอากรตามที่กำ หนดไว้ใน ประมวลรัษฎากรนี้ก็ดี ถ้าผู้ มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกำ หนดเวลาดังกล่าวมิได้อยู่ในประเทศไทย หรือมีเหตุ จำ เป็นจนไม่สามารถ จะปฏิบัติตามกำ หนดเวลาได้ เมื่ออธิบดีพิจารณาเห็นเป็นการสมควรจะให้ขยายหรือให้ เลื่อนกำ หนด เวลาออกไปอีกตามความจำ เป็นแก่กรณีก็ได้ กำ หนดเวลาต่าง ๆ ที่กำ หนดไว้ในประมวลรัษฎากรนี้ เมื่อรัฐมนตรีเห็นเป็นการ สมควร จะขยายหรือเลื่อนกำ หนดเวลานั้นออกไปอีกตามความจำ เป็นแก่กรณีก็ได้ มาตรา ๓ นว๑๑ ผู้ใดรู้อยู่ แล้วไม่อำ นวยความสะดวกหรือขัดขวางเจ้าพนักงานผู้ กระทำ การตามหน้าที่ตามความในมาตรา ๓ เบญจ มี ความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือจำ คุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือทั้งปรับทั้งจำ มาตรา ๓ ทศ๑๒ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำ สั่งเจ้าพนักงานประเมิน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามความใน มาตรา ๓ ฉ มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท 32
ความประมาทของผู้ขับขี่และผู้ร่วมทาง เช่น การละเลยความปลอดภัยหรือ การไม่ควบคุมอารมณ์ ขณะขับขี่ ประเทศไทยจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนกฎหมายให้มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้นและบังคับใช้ อย่างจริงจัง พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ.2565 ได้เริ่มประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2565 เป็นต้นมา ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนกฎหมายจราจรและอัตราโทษเป็นรูปแบบใหม่ ดังนี้ 1. ขับรถเร็วเกินกฎหมายกำ หนด อัตราโทษใหม่ ปรับไม่เกิน 4,000 บาท จากเดิมปรับไม่เกิน 1,000 บาท 2. ขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง อัตราโทษใหม่ ปรับไม่เกิน 4,000 บาท จากเดิมปรับไม่เกิน 1,000 บาท 3. ฝ่าฝืนเครื่องหมายทางม้าลาย ไม่หยุดให้คนข้าม อัตราโทษใหม่ ปรับไม่เกิน 4,000 บาท จากเดิมปรับไม่เกิน 1,000 บาท 4. ขับรถย้อนศร อัตราโทษใหม่ ปรับไม่เกิน 2,000 บาท จากเดิมปรับไม่เกิน 500 บาท 5. ไม่สวมหมวกนิรภัย อัตราโทษใหม่ ปรับไม่เกิน 4,000 บาท จากเดิมปรับไม่เกิน 1,000 บาท 6. เมาแล้วขับ หากทำ ผิดเป็นครั้งแรก มีโทษจำ คุกไม่เกิน 1 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้ง ปรับ หากทำ ผิดซ้ำ ภายใน 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ทำ ผิดครั้งแรก มีโทษจำ คุกไม่เกิน 2 ปี และปรับตั้งแต่ 50,000-100,000 บาท ซึ่งศาลจะลงโทษให้ทั้งจำ และปรับอย่างไม่มีเงื่อนไข 7. ขับขี่โดยไม่คำ นึงถึงความปลอดภัยต่อชีวิตและร่างกายผู้อื่น อัตราโทษใหม่ ปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ จากเดิมปรับตั้งแต่ 2,000-10,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ 8. แข่งรถบนถนนทางสาธารณะ หากรวมกลุ่มกันเพื่อแข่งรถในทางสาธารณะตั้งแต่ 5 คันขึ้นไป มีฐานความผิด “พยายามแข่งรถ” โดยต้องมีพฤติกรรมเหล่านี้ประกอบด้วย กฏหมายจราจร 33
(1) นัดหมายกันล่วงหน้าเพื่อมาแข่งรถ (2) รถที่ใช้แข่งมีการดัดแปลงสภาพไม่ถูกต้องตามกฎหมาย (3) มีพฤติกรรมแสงให้เห็นว่ากำ ลังแข่งรถ หากมีโทษ 2 ใน 3 ของฐานความผิดที่กล่าวมา มีโทษจำ คุกไม่เกิน 3 เดือน และปรับตั้งแต่ 5,000- 10,000 บาท หรืหรือทั้งจำ ทั้งปรับ สรุปได้ว่า กฎหมายจราจรและอัตราโทษที่ปรับใหม่นั้นมีความเข้มข้นและบังคับใช้อย่างจริงจังมากยิ่ง ขึ้น หากทุกท่านตระหนักรู้ถึงความอันตรายและทำ ตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ก็จะช่วยลด อุบัติเหตุในการขับขี่บนท้องถนนได้เป็นอย่างมาก 34 กฎหมายพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระท าความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 • เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2559 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีมติ เห็นด้วย 168 ไม่เห็นด้วย 0 งด ออกเสียง 5 ให้ผ่านร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำ ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ …) พ.ศ. … โดยรอประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไปใน 120 วัน พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำ ความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 หรือพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ ได้รับการประกาศในราชกิจจา นุเบกษาเมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งกฎหมายจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในอีก 120 วัน • ในระหว่างนี้กระทรวงดีอี จะทำ หน้าที่ยกร่างกฎกระทรวงมาใช้งานร่วมกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เนื่องจากข้อกฎหมายหลายประเด็นมีการระบุในเรื่องของเนื้อหาที่กว้างเกินไป การที่มีกฎกระทรวง และกฎหมายลูกเข้ามาใช้ประกอบ จะทำ ให้การตีความไปจนถึงการบังคับใช้ของกฎหมายมีความ ละเอียดมากยิ่งขึ้น
มาตรา 5 ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำ หรับตน ไม่เกิน 6 เดือน ไม่เกิน 10,000 บาท มาตรา 6 ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำ ขึ้นเป็นการเฉพาะ ถ้านำ มาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิ ชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ไม่เกิน 1 ปี ไม่เกิน 20,000 บาท มาตรา 7 ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำ หรับตน ไม่ เกิน 2 ปีไม่เกิน 40,000 บาท ผู้ใดกระทำ ด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อดักรับไว้ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่ง ในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้น มิได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ได้ ไม่เกิน 3 ปี ไม่เกิน 60,000 บาท ผู้ใดทำ ให้เสียหาย ทำ ลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือ บางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ไม่เกิน 5 ปี ผู้ใดกระทำ ด้วยประการใดโดยมิชอบ เพื่อให้การทำ งานของระบบคอมพิวเตอร์ ของผู้อื่นถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวน จนไม่สามารถทำ งานตามปกติได้ ไม่เกิน 5 ปี ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่นโดยปกปิด หรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดัง กล่าว อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของ บุคคลอื่นโดยปกติไม่เกิน 100,000 บาท ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่นอันมีลักษณะเป็นการก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำ คาญแก่ผู้รับ ข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้รับสามารถบอกเลิกหรือแจ้งความประสงค์เพื่อปฏิเสธการ ตอบรับได้โดยง่าย ไม่เกิน 200,000 บาท มาตรา 12 ถ้าการกระทำ ความผิดตามมาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 8 หรือมาตรา 11 เป็นการกระทำ ต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือ ระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ ของประเทศหรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ จำ คุกตั้งแต่ 1 ปี- 7 ปี ปรับ 20,000 บาท - 140,000 บาท ถ้าการกระทำ ความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือระบบคอมพิวเตอร์ดังกล่าว จำ คุก ตั้งแต่ 1 ปี- 10 ปี ถ้าการกระทำ ความผิดตามมาตรา 9 หรือมาตรา 10 เป็นการกระทำ ต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ตามวรรคหนึ่ง ตั้งแต่ 3 ปี- 15 ปี 60,000 บาท - 300,000 บาท ถ้าการกระทำ ความผิดตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสามโดยมิได้มีเจตนาฆ่า แต่เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย ตั้งแต่ 5 ปี- 20 ปี 100,000 บาท - 400,000 บาท มาตรา 12/1 ถ้าการกระทำ ความผิดตามมาตรา 9 หรือมาตรา 10 เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่เกิน 10 ปี ไม่เกิน 200,000 บาท ถ้าการกระทำ ความผิดตามมาตรา 9 หรือมาตรา 10 โดยมิได้มีเจตนาฆ่า แต่เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาม ตั้งแต่ 5 ปี- 20 ปี 100,000 บาท - 400,000 บาท 35
มาตรา 13 ผู้ใดจำ หน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำ สั่งที่จัดทำ ขึ้นโดยเฉพาะเพื่อนำ ไปใช้เป็นเครื่องมือ ในการกระทำ ความผิดตามมาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 9 มาตรา 10 หรือ มาตรา 11 ไม่เกิน 5 ปี20,000 บาท ผู้ใดจำ หน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำ สั่งที่จัดทำ ขึ้นโดยเฉพาะเพื่อนำ ไปใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำ ความผิดตามมาตรา 12 วรรค หนึ่งหรือวรรคสาม ไม่เกิน 2 ปีไม่เกิน 40,000 บาท มาตรา 14 (1) นำ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อัน เป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำ ความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวล กฎหมายอาญา ไม่เกิน 5 ปี ไม่เกิน 100,000 บาท มาตรา 14 (2) นำ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิด ความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคง ปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคง ในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็น ประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิด ความตื่นตระหนกแก่ประชาชน ไม่เกิน 5 ปี ไม่เกิน 100,000บาท มาตรา 14 (3) นำ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง แห่งราชอาณาจักรหรือความผิด เกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา ไม่เกิน 5 ปี ไม่เกิน 100,000 บาท มาตรา 14 (4) นำ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูล คอมพิวเตอร์นั้น ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ ไม่เกิน 5 ปี ไม่เกิน 100,000 บาท มาตรา 14 (5) ผู้ใดเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ ตาม (1) (2) (3) หรือ (4) ไม่เกิน 5 ปี ไม่เกิน 100,000 บาท มาตรา 15 ผู้ให้บริการผู้ใดให้ความร่วมมือ ยินยอม หรือรู้เห็นเป็นใจให้มีการกระทำ ความผิด ตามมาตรา 14 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ใน ความควบคุมของตน เช่นเดียวกับผู้กระทำ ความผิดตาม มาตรา 14 มาตรา 16 ผู้ใดนำ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้น เป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลง ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด โดยประการที่น่าจะ ทำ ให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ไม่เกิน 3 ปีไม่เกิน 200,000 บาท ถ้าการกระทำ ตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำ ต่อภาพของผู้ตาย และการกระทำ นั้นน่าจะทำ ให้บิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตร ของผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ไม่เกิน 3 ปีไม่เกิน 200,000 บาท 36
เรื่องนี้เป็นสิ่งสำ คัญที่พ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ต้องรู้ ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ให้ผู้ประกอบ พาณิชยกิจต้องจดทะเบียนพาณิชย์ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2553 ข้อ 5 มีการกำ หนดให้การซื้อขายสินค้า หรือบริการที่ใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตต้องจดทะเบียน ไม่ว่าจะมีหน้าร้านหรือไม่มีก็ตาม ซึ่งประกาศนี้ มีผลบังคับใช้ต้ังแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2554 เป็นต้นมา ดังนั้นการตั้งร้านค้าออนไลน์จึงต้องไปจด ทะเบียนให้ถูกต้อง ถ้าไม่จดจะมีโทษตามมาตรา 19 พ.ร.บ.ทะเบียนพาณิชย์ พ.ศ. 2499 ปรับไม่เกิน 2,000 บาท และ ปรับไม่เกินวันละ 100 บาท จนกว่าจะไปจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยไปยื่นจดทะเบียนได้ที่สำ นักเขตในกรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา เทศบาล หรือองค์การบริหาร ส่วนตำ บล (อบต.) ตามที่ตั้งของสำ นักงานหรือตามที่อยู่ของคนขาย หลักฐานที่ต้องเตรียม บัตรประจำ ตัวประชาชนและสำ เนาทะเบียนบ้าน เอกสารแบบคำ ขอจดทะเบียนพาณิชย์ (แบบ ทพ.) รายละเอียดเกี่ยวกับเว็บไซต์(เอกสารแนบแบบ ทพ.) กรอก 1 ใบต่อ 1 เว็บไซต์ Print หน้าแรกของเว็บไซต์ วาดแผนที่ตั้งการประกอบพาณิชยกิจ หนังสือรับรองการจดทะเบียนของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท (กรณีจดในนามนิติบุคคล) หนังสือมอบอำ นาจพร้อมติดอากรแสตมป์ 10 บาท และสำ เนาบัตรประชาชนของผู้มอบอำ นาจและ ผู้รับมอบอำ นาจ ถ้าไม่ได้เป็นเจ้าของบ้าน ให้เตรียม หนังสือยินยอมให้ใช้สถานที่หรือสัญญาเช่า สำ เนาบัตรประจำ ตัวเจ้าของสถานที่และสำ เนาทะเบียนบ้าน หรือเอกสารสิทธิ์ที่แสดงว่าเป็นเจ้าของ กรรมสิทธิ์ กฎหมายสินค้าออนไลน์ 37 1. ขายของออนไลน์ ต้องจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
การขายของออนไลน์นอกจากจะต้องการผลกำ ไรแล้วยังต้องมีความจริงใจกับลูกค้าอีกด้วย เพราะสิ่ง นี้เองที่จะทำ ให้ลูกค้ากลับมาอุดหนุนร้านของเราไปเรื่อย ๆ การหลอกลวงให้คนอื่นหลงเชื่อโดยนำ เข้าข้อมูลเท็จ หลอกลวง หรือทำ ให้คนอื่นได้รับความเสียหาย นอกจากจะเป็นการทำ ร้ายลูกค้า ทำ ให้ยอดขายตกเมื่อมีคนรู้ความจริงแล้วยังมีโทษอาญาตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำ ความผิดเกี่ยว กับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 มีโทษจำ คุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาทด้วย นะ การยื่นภาษีเป็นหน้าที่ของทุกคนตามพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 มาตรา 56 ซึ่งรายได้จากการขายออนไลน์จัดเป็นเงินได้ประเภทที่ 8 ดังนั้น ถ้ามีเงินได้จากการ ขายของ พ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ต้องยื่นภาษีและทำ บัญชีอย่างรอบคอบเพื่อยื่นภาษีทั้งกลางปี (ภ.ง.ด.94) และสิ้นปี (ภ.ง.ด.90) ให้ถูกต้องด้วยนะ เพราะสิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่ภาษีที่ต้องจ่าย บางครั้งหักค่าลดหย่อนไปแล้วอาจไม่ต้องจ่ายภาษีเลยก็ได้ แต่ ถ้าไม่ยอมยื่นแล้วสรรพากรตรวจสอบย้อนหลังอาจจะได้จ่ายหนักกว่าเดิมจนธุรกิจที่ทำ อยู่ล้มทั้งยืน เลยก็ได้ ซึ่งมีการกำ หนดโทษสำ หรับผู้ที่ไม่ดำ เนินการให้ถูกต้อง ดังนี้ มาตรา 27 ไม่ชำ ระภาษีภายในกำ หนดเวลา จะต้องเสียเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือน โดยที่เศษของ เดือนให้นับเป็น 1 เดือน ของเงินภาษีที่ต้องชำ ระนับแต่วันพ้นกำ หนดเวลาการยื่นรายการจนถึงวัน ชำ ระภาษี มาตรา 22 หากมีกรณีให้สงสัยว่ายื่นแบบแสดงรายการไว้ไม่ถูกต้องตามความจริง เจ้าพนักงานมีสิทธิ์ ออกหมายเรียกเพื่อให้นำ บัญชี เอกสาร หลักฐานที่เชื่อถือได้ไปชี้แจง หากพบว่าไม่ถูกต้อง หรือไม่ ยอมปฎิบัติตามคำ สั่งจะต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับอีก 1 เท่าของเงินภาษีที่ต้องชำ ระ มาตรา 26 หากไม่ยื่นแบบแสดงรายการ เจ้าพนักงานตรวจสอบสามารถออกหมายเรียก เพื่อให้ชี้แจง ประเมินเงินภาษีที่ต้องจ่าย หากไม่ยอมจ่ายหรือไม่ยอมปฎิบัติตามคำ สั่งจะต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับอีก 2 เท่าของเงินภาษีที่ต้องชำ ระ 38 3. ขายของออนไลน์ ต้องยื่นภาษีให้ถูกต้อง 2. ขายของออนไลน์ นำ เข้าข้อมูลเท็จ หลอกลวง มีความผิด
มาตรา 35 ไม่ยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.90, 91 หรือ 94 ภายในกำ หนดเวลา มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท มาตรา 37 กรณีจงใจ แจ้งข้อความเท็จ หรือแสดงหลักฐานเท็จ หรือฉ้อโกงเพื่อหลีกเลี่ยง หรือพยายาม หลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร มีโทษจำ คุกตั้งแต่ 3 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 200,000 บาท มาตรา 37 ทวิ กรณีเจตนาละเลยไม่ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร มีโทษจำ คุกไม่ เกินแป 1 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ การขายของออนไลน์เป็นการติดต่อกับผู้บริโภคและมีผลต่างๆ กับผู้บริโภคโดยตรง และยังมีผลกับสังคม ส่วนรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การขายของออนไลน์จึงต้องอยู่ภายใต้การบังคับของ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ บริโภค พ.ศ. 2522 โดยไม่โฆษณาเกินจริง สินค้าได้มาตรฐาน มีฉลากถูกต้อง ไม่เป็นอันตรายกับลูกค้า และไม่สร้างผลเสียให้กับสังคม เพราะไม่อย่างนั้นก็อาจได้รับโทษตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 มาตรา 47 ผู้ใดโดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำ เนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณ หรือสาระ สำ คัญประการอื่นอันเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ไม่ว่าจะเป็นของตนเองหรือผู้อื่น โฆษณาหรือใช้ฉลากที่มี ข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด เช่นว่านั้น ต้อง ระวางโทษจำ คุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ ถ้าผู้กระทำ ความผิดตามวรรคหนึ่งกระทำ ผิดซ้ำ อีก ผู้กระทำ ต้องระวางโทษจำ คุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่ เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำ ท้ังปรับ การขายของจะต้องมีความเป็นธรรมกับลูกค้า ด้วยการแสดงราคาขายทุกครั้งตามประกาศคณะกรรมการ กลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 70 พ.ศ. 2563 เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน และง่ายต่อการ ตัดสินใจของลูกค้า โดยที่ราคาขายและราคาที่แสดงต้องเท่ากัน แจ้งราคาไว้ 100 บาท แต่ขายจริง 120 บาทแบบนี้ไม่ได้นะ ถ้าหากไม่ยอมแสดงราคาให้ถูกต้องจะมีโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้า และบริการ พ.ศ.2542 มาตรา 40 ผู้ใดไม่แสดงราคาหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ กําหนดตามมาตรา 28 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท 39 5. ขายของออนไลน์ ต้องแจ้งราคาให้ชัดเจนและไม่ตัดราคา 4. ขายของออนไลน์ ต้องไม่โฆษณาเกินจริง
และความเป็นธรรมกับเพื่อนร่วมอาชีพก็เป็นเรื่องสำ คัญ เพราะการค้าขายขึ้นอยู่กับกลไกของตลาด ถ้ามีการตัดราคากันหรือเพิ่มราคาจนสูงลิบลิ่ว ก็จะทำ ให้มีผลกระทบในวงกว้างได้ การกำ หนดราคา ให้อยู่ในช่วงราคาที่พอเหมาะกับกลุ่มลูกค้า ต้นทุน และอื่น ๆ จึงเป็นเรื่องสำ คัญ ซึ่งมีการกำ หนดเอา ไว้ใน พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 มาตรา 29 ห้ามให้ผู้ประกอบธุรกิจทำ สิ่งที่จงใจ ที่จะทําให้ราคาตํ่าเกินสมควร หรือสูงเกินสมควร หรือทําให้เกิดความปั่นป่วนของราคาของสินค้า หรือบริการใด หากฝ่าฝืนจะมีโทษทางอาญาตามมาตรา 41 จำ คุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ ใครใคร่ค้าค้า ใครใคร่ขายขาย แต่การเอาของมาขายต้องไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ของคนอื่นด้วยนะ เพราะ กว่าจะสามารถคิด ออกแบบ สินค้าหรืองานต่าง ๆ ออกมาได้ ต้องมีขั้นตอนที่ยาวนาน รวมถึงต้องใช้ ทั้งแรงกายและความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานออกมา การไปเอาไอเดียของคนอื่นมาขาย หาเงินเข้าตัวเองจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ เลย ซึ่งตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มีการกำ หนดเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ของผู้สร้างสรรค์ผล งาน และขอบเขตที่ผู้อื่นสามารถนำ ไปใช้ได้ และการนำ มาค้าขาย หาประโยชน์จำ เป็นต้องมีการ อนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน ถ้าทำ การละเมิดเจ้าของลิขสิทธิ์จะมีโทษตามมาตรา 70 พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ จําคุกตั้งแต่ 3 เดือนถึง 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 400,000 บาท หรือทั้งจําทั้ง ปรับ ขายของอยู่ดีดี ลูกค้าสั่งซื้อของตามปกติ ส่งของให้แล้วลูกค้าไม่จ่ายเงิน หรือมีมิจฉาชีพใช้กลโกงเอา รูปสินค้าในร้านไปโพสต์ขายแล้วให้คนอื่นโอนเงินมาให้เราแทน วันดีคืนดีก็มีหมายเรียกจากตำ รวจ มาที่บ้าน ส่วนคนโกงก็ได้ของไปใช้แบบฟรี ๆ สิ่งที่จะช่วยได้คือหลักฐานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพูด คุยในช่องแชท การประกาศขายบนช่องทางโซเชี่ยลต่าง ๆ เพราะหลักฐานเหล่านี้มีสถานะทางกฎหมายเหมือนการทำ เป็นหนังสือบนกระดาษ สามารถใช้บังคับ ได้ตามกฎหมายตามพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 ในกรณีที่เกิด ปัญหาต้องการฟ้องศาลก็สามารถใช้เป็นหลักฐานในการดำ เนินคดีได้ 40 7. ขายของออนไลน์ โดนโกงใช้แชทเป็นหลักฐานได้ 6. ขายของออนไลน์ ต้องไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ผู้อื่น
การซื้อขายยาผ่านอินเทอร์เน็ตโดยไม่ได้รับการซักถามประวัติจากเภสัชกรเป็นเรื่องที่อันตรายกับคน ซื้อยาไปใช้ ผลกระทบอาจเกิดขึ้นทันทีทันใด หรือมีการใช้ไปสักระยะแล้วเกิดอาการข้างเคียงจาก การใช้ยาผิดก็ได้ ซึ่งการขายยาที่ไม่ใช่ยาสามัญประจำ บ้านต้องมีใบอนุญาตตามมาตรา 12 และห้าม ขายนอกที่ทำ การตามมาตรา 19 พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 การขายยาบนอินเทอร์จึงเป็นการขายนอก สถานที่ ขายไม่ได้เด็ดขาดนะ และโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าฝ่าฝืนจะมีโทษ ทางอาญาด้วย ขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปีและปรับไม่เกิน 10,000 บาท ขายยานอกสถานที่มีโทษปรับตั้งแต่ 2,000 – 5,000 บาท โฆษณายาโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท อาหารเป็นสิ่งที่จำ เป็นเป็นต่อการดำ รงชีวิต ใคร ๆ ก็ต้องกินถ้าไม่ทำ เองก็ต้องซื้อ การขายอาหารไม่ว่า จะเป็นช่องทางออนไลน์หรือออฟไลน์จึงต้องมีการ ขออนุญาต ซึ่งมีการกำ หนดไว้ในมาตรา 14 และ มาตรา 15 พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 โดยใบอนุญาต มีอายุถึงวันที่ 31 ธันวาคม ของปีที่ 3 นับตั้งแต่ปีที่ ออกใบอนุญาต ใครมีใบอนุญาตหรือกำ ลังจะไปขอใบ อนุญาตต้องเช็คปีให้ดีด้วยนะ และการขายอาหาร โดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษทางอาญาตามมาตรา 53 มีโทษจําคุก ไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับด้วยนะ 41 9. ขายของออนไลน์ ต้องมีใบอนุญาตขายอาหาร 8. ขายของออนไลน์ ห้ามขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต
การรับบุตรบุญธรรม การรับบุตรบุญธรรมหมายความว่า คุณให้สิทธิและความรับผิดชอบทั้งหมดในการเลี้ยงดูบุตรแก่พ่อแม่ บุญธรรม การรับบุตรบุญธรรมเกี่ยวข้องกับการลงนามในข้อตกลงทางกฎหมายเพื่อให้บุคคลอื่นเป็นผู้ปกครองตาม กฎหมายของเด็ก ผู้ปกครองต้องรออย่างน้อย 30 วันหลังจากเด็กเกิด ก่อนที่จึงจะสามารถลงนามในข้อ ตกลงทางกฎหมายได้ หากคุณเลือกการยกเด็กเป็นบุตรบุญธรรม คุณจะยังคงสามารถติดต่อกับเด็กได้โดยการตกลงตาม แผนการรับบุตรบุญธรรมกับพ่อแม่บุญธรรม เจ้าหหน้าที่ผู้ดูแลเรื่อง (เคสเวิร์คเคอร์) สามารถช่วยจัดทำ แผนนี้ได้ กระทรวงชุมชนและยุติธรรมเป็นหน่วยงานรัฐบาลที่ดูแลบริการรับบุตรบุญธรรมในรัฐ นิวเซาท์เวลส์ หน่วยงานนี้ทำ งานร่วมกับบิดามารดาผู้ให้กำ เนิดซึ่งกำ ลังพิจารณาการยกเด็กเป็นบุตร บุญธรรมและครอบครัวที่ต้องการรับเลี้ยงเด็กเป็นบุตรบุญธรรม เด็กบุญธรรมทุกคนมีสิทธิตามกฎหมายที่จะทราบเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวที่ให้กำ เนิดและวัฒนธรรมของ พวกเขา เจ้าหน้าที่รับบุตรบุญธรรมจะทำ งานร่วมกับพ่อแม่บุญธรรมเพื่อจัดทำ แผนการรับเลี้ยงบุตร บุญธรรมเกี่ยวกับรายละเอียดว่าจะดำ รงการติดต่ออย่างไรในอนาคต หากคุณรู้สึกว่าคุณไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรได้ การยกเด็กเป็นบุตรบุญธรรมไม่ใช่ทางเลือกเดียว คุณอาจ เลือกให้เด็กอยู่ในความดูแลอุปถัมภ์ก็ได้ การดูแลอุปถัมภ์ การดูแลอุปถัมภ์คือการที่บุตรของคุณอยู่ภายใต้การดูแลของครอบครัวอื่น การดูแลอุปถัมภ์มีหลายประเภท ได้แก่ : การดูแลอุปถัมภ์ชั่วคราว: สามารถใช้ได้ในระหว่างที่คุณกำ ลังจัดการกับปัญหาที่อยู่อาศัยการเงิน หรือ ปัญหาส่วนตัว ในระหว่างการดูแลโดยความสมัครใจ (ไม่ใช่คำ สั่งของศาล) คุณยังคงเป็นผู้ปกครองของ เด็กและสามารถเยี่ยมเยียนบุตรของคุณได้ การดูแลชั่วคราวนี้โดยปกติจำ กัดเวลาไว้หลายสัปดาห์ การดูแลอุปถัมภ์ระยะยาว: หากบุตรของคุณอยู่ในความอุปถัมภ์ระยะยาว คุณจะสูญเสียสิทธิ์การเป็นผู้ ดูแลและ/หรือการอารักขาตามกฎหมาย คุณจะยังคงเป็นผู้ปกครองตามกฎหมายของเด็ก ในการอุปถัมภ์ ระยะยาว เด็กมักจะมีความผูกพันทางอารมณ์กับครอบครัวอุปถัมภ์ บุตรบุญธรรม 42
ชายไทยทุกคนมีหน้าที่ต้องถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหารตามระยะเวลาที่ทางราชการกำ หนด โดยมีพระ ราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 กล่าวไว้ว่า "บรรดาชายที่มีสัญชาติเป็นไทยตามกฎหมาย เมื่อ มีอายุย่างเข้าสิบแปดปีในพุทธศักราชใด ต้องไปแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกินทีอำ เภอท้องที่ซึ่งเป็น ภูมิลำ เนาของตนภายในเดือนพฤศจิกายนของพุทธศักราชนั้น ผู้ใดไม่สามารถจะไปลงบัญชีทหารกองเกิน ด้วย ตนเองได้ ต้องให้บุคคลซึ่งบรรลุนิติภาวะและพอจะเชื่อถือได้ไปแจ้งแทนให้นายอำ เภอสอบสวนให้แน่ชัด เพื่อ ลงบัญชีหารกองเกินไว้ถ้าไม่มีผู้แทน ให้ถือว่าผู้นั้นหลีกเลี่ยงขัดขึ้น" โดยชายไทยที่มีคุณสมบัติดังกล่าวจะ ต้องปปฏิบัติดังนี้ 1. การลงบัญชีทหารกองเกิน ชายซึ่งมีสัญชาติไทย เมื่อมีอายุย่างเข้า 18 ปีใน พ.ศ.ใด ให้ไปแสดงคน ที่อำ เภอซึ่งเป็นภูมิลำ เนาทหารของตน เพื่อลงบัญชีทหารกองเกินในปี พ.ศ.นั้น ถ้าฝ่าฝืนมีโทษจ าคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 300 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ หลักฐานที่จะต้องนำ ไปแสดง คือ สูติบัตร บัตรประจำ ตัวประชาชน และสำ เนาทะเบียนบ้านเมื่อไป แสดงตนแล้วทางอำ เภอจะออกไปสำ คัญ (สด.9) หรือใบรับ (สด.10) ให้เก็บไว้เป็นหลักฐาน 2. การรับหมายเรียกผู้ลงบัญชีเป็นทหารกองเกิน เมื่อมีอายุย่างเข้า 21 ปี ในพ.ศ.ใด ต้องไปแสดงตน เพื่อรับหมายเรียกที่อำ เภอที่เขต ซึ่งเป็นภูมิลำ เนาทหารของตน ภายในปี พ.ศ.นั้น ถ้าฝ่าฝืนมีโทษจำ คุกไม่ เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 300 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ 3. การตรวจคัดเลือกทหาร เมื่อรับหมายเรียกแล้ว ทหารกองเกินจะต้องไปแสดงตนเพื่อรับการตรวจ เลือกเป็นทหารประจำ การ ในวัน และเวลา และสถานที่ที่กำ หนด มิฉะนั้นมีความผิดต้องระวางโทษจำ คุก ไม่เกิน 3 ปี หลักฐานที่จะต้องนำ ไปแสดง คือ ใบสำ คัญทหารกองเกน บัตรประจําตัวประชาชน และ ประกาศนียบัตรหรือหลักฐานการศึกษา 4. บุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเข้ารับราชการทหาร ได้แก่ พระภิกษุที่มีสมณศักดิ์หรือมีเปรียญ ข้าราชการครู และคนพิการทุพพลภาพไม่สามารถเป็นทหารได กฎหมายเกี่ยวกับการรับราชการทหาร 43
- http://www.aksorn.com/lib/detail_print.php?topicid=712 https://www.35yontrakan.com/posts/what-you-need-to-know-about-latest-trafficregulations-2023 https://arit.mcru.ac.th/index.php/th/regulations/act https://www.linkedin.com/pulse https://th.m.wikipedia.org/wiki https://saimoon.thai.ac/client-upload/saimoon/uploads/files https://www.pregnancychoices.org.au/th/adoption-or-foster-care/ ที่มาของกฎหมายอื่นๆ 44 บรรณานุกรม สถาบันนิติธรรมมาลัย ---> https://www.drthawip.com/ ส่วนนิติการ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ---> https://dla.wu.ac.th/th/archives/3626 สำ นักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ---> https://www.ocs.go.th/council-of-state/#/public
น.ส.พัชรี สุทธิรอด ม.4/6 เลขที่ 45 น.ส.เปมิกา อุตะมะโยธิน ม.4/6 เลขที่ 38 ผู้จัดทำ No lew can be unjust ไม่มีกฎหมายใดที่ไร้ความยุติธรรม