ออทิสติก เป็นกลุ่มอาการที่มีความผิดปกติของ พัฒนาการในด้านการสื่อสารความหมาย อารมณ์ สังคมและพฤติกรรม ซึ่งจะแสดงอาการอย่างชัดเจน ภายในอายุ 3 ปี พฤติกรรมจะแสดงออกชัดเมื่อเด็ก อายุประมาณ 30-36 เดือน ลักษณะของเด็กกลุ่มนี้ คือ ขาดปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง แสดงออกด้วย การไม่สนใจคำ พูด ไม่ทำ ตามคำ สั่ง ไม่สนใจต่อการ สื่อความหมายด้วยคำ พูด หรือท่าทาง บางคนอาจ ไม่พูดเลย อาจพูดเลียนแบบหรือพูดภาษาของตน บางรายพูดได้แต่มีปัญหาเรื่องไวยากรณ์ เนื้อหาของ การพูด การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารอย่างเหมาะสม และมักพูดเฉพาะเรื่องที่ตัวเองสนใจ นอกจากนี้อาจ มีความผิดปกติของการพูด เช่น พูดไม่ชัด ความดัง ระดับเสียง และจังหวะการพูดผิดปกติด้วย การฝึกพูด ในเด็กออทิสติก การสอนพูดในเด็กออทิสติก แตกต่างจากการ กระตุ้นภาษาและการพูดในเด็กพูดช้าอื่น เนื่องจาก เด็กออทิสติกจะมีปัญหาด้านพฤติกรรมแยกตัวเอง ทำ อะไรซ้ำ ๆ ไม่สนใจที่จะฟัง ไม่มองสบตา อยู่ไม่นิ่ง สมาธิและความสนใจสั้น และอารมณ์แปรปรวน ดังนั้น การกระตุ้นภาษาและการพูดในเด็กออทิสติก นอกจากการสอนพูดโดยนักแก้ไขการพูดแล้ว เด็กจะ ต้องได้รับการเปลี่ยนพฤติกรรม อารมณ์ และสังคมที่ เหมาะสมควบคู่ไปด้วย ดังนั้นไม่ว่าแพทย์ คุณครู นักกิจกรรมบำ บัด รวมถึงคุณพ่อแม่และผู้ใกล้ชิดเด็ก จะต้องมีส่วนร่วมวางแนวทางการแก้ไข เตรียมความ พร้อมให้เด็กมีพัฒนาการทุกด้านให้สมวัยและพร้อม ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างเป็นสุขต่อไป ในการสอนพูดเด็กออทิสติกนั้น หากเด็กได้รับการฝึก พูดก่อน 5 ปี เด็กจะมีโอกาสพัฒนาความเข้าใจและ สามารถใช้ภาษาในการพูดสื่อความหมายได้ดีกว่า เด็กที่มีอายุมากขึ้น การกระตุ้น ภาษาและการพูด ขั้นตอนหนึ่งของการฝึกพูดระยะแรกในเด็กออทิสติก ต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของ เด็ก เช่น เด็กซนอยู่ไม่นิ่ง วอกแวก สมาธิและความ สนใจสั้น รอไม่ได้ไม่อยู่นิ่งเพื่อให้เด็กมีความพร้อมที่ จะเรียนรู้ภาษาและการพูด สำ หรับพฤติกรรมของเด็กที่ควรได้รับการส่งเสริม เพื่อให้เด็กพร้อมที่จะเรียนรู้ภาษาและการพูดต่อไป มีดังนี้ 1.การฝึกมองสบตา (Eye contact) ผู้สอนสามารถใช้กิจกรรมที่กระตุ้นให้เด็กรู้จักมอง โดยอาจใช้กิจกรรม เช่น เล่นจ๊ะเอ๋ การเล่นหน้า กระจก กระตุ้นให้มองหรือสนใจฟังคำ พูดของผู้สอน ทุกครั้งก่อนส่งของให้ เป็นต้น 2.การฝึกให้เด็กรู้จักฟัง ผู้สอนหรือคุณพ่อ-แม่ สามารถกระตุ้นให้เด็กสนใจ ฟังคำ สั่งต่างๆ ในชีวิตประจำ วันได้ หรือฝึกให้เด็ก สนใจและฟังคำ สั่งง่ายๆ ได้แก่ สวัสดี ชี้อวัยวะ ตบมือ เป็นต้น โดยเริ่มต้นจากการเลียนแบบ ไม่ชี้นำ และกระตุ้นให้เด็กสามารถทำ เองได้ในที่สุด
การฝึกพูดในเด็กออทิสติก โดย วราภรณ์ วิไลนาม งานแก้ไขการพูด กลุ่มงานโสต ศอ นาสิก สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี แบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนดังนี้ 1.การเลียนแบบกริยาอาการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการ พูด (Nonvocal imitation) เช่น การเลียนแบบ การเคลื่อนไหวอวัยวะง่ายก่อน เช่น ยกมือ ตบมือ เลียนแบบกริยาอาการ เป็นต้น จากนี้จึงฝึกการ เลียนแบบการเคลื่อนไหวที่ยากขึ้น โดยให้เลียน แบบการเคลื่อนไหวอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการพูด เช่น อ้าปาก หุบปาก แลบลิ้น ฯลฯ วิธีสอนพูด 4.การพูดตอบคำ ถาม (Answer Question) เป็นการฝึกให้เด็กสามารถใช้คำ ศัพท์ที่เรียนรู้มาแล้ว ในการพูดโต้ตอบหลังจากที่เด็กสามารถออกเสียงตาม ได้แล้ว นอกจากการกระตุ้นให้พูดเป็นคำ แล้ว ผู้สอน ควรฝึกให้เด็กเริ่มพูด 2 -3 พยางค์ได้ โดยใช้คำ นาม กริยาและคำ ศัพท์อื่นๆ พูดเป็นวลีที่มีความหมายเริ่ม จากสั้นๆและง่ายๆก่อน เช่น “เอานม” “แม่เปิด” “กลับบ้าน” เป็นต้น เมื่อเด็กรู้จักการตอบจึงให้รางวัล สอนซ้ำ ๆ จนเด็กสามารถพูดโต้ตอบเองได้ในที่สุด 2.การเลียนแบบการออกเสียง (Vocal imitation) เป็นการกระตุ้นให้เด็กมีการเลียนเสียงตามผู้สอน อาจกระตุ้นให้เด็กเลียนเสียงต่างๆ เช่น เสียงรถ “บรึ้นๆ” กระตุ้นให้เด็กออกเสียงระดับพยางค์ซ้ำ ๆ มำ มำ มำ มำ ก่อน จึงฝึกเชื่อมโยงเสียงและออก เสียงเป็นคำ ที่มีความหมาย เช่น แม่ หม่ำ มา ฯลฯ 3. การตั้งชื่อความหมายของเสียง (Verbal labeling) เป็นการสอนให้เด็กรู้ว่าทุกๆอย่างมีชื่อเรียก เมื่อเด็ก สามารถออกเสียงได้บ้างแล้วควรเริ่มสอนคำ ศัพท์ ต่างๆ ผู้สอนอาจจะกระตุ้นให้เด็กออกเสียงตาม ชี้ หรือหยิบของตามสั่งให้ถูก สอนซ้ำ ๆ และเพิ่มจำ นวน คำ ศัพท์ที่สอนซึ่งจะเป็นการเพิ่มพูนให้เด็กเรียนรู้เข้าใจ และสามารถพูดตามคำ ศัพท์พื้นฐานต่างๆได้มากขึ้น 5.การใช้คำ พูดสื่อความหมาย (Verbal communication) ฝึกให้เด็กสามารถใช้ คำ พูดสื่อความหมายหลังจากที่เด็กเข้าใจ และตอบ คำ ถามได้ เน้นให้เด็กรู้จักใช้ประโยคต่างๆ ทั้งการ ปฏิเสธถามคำ ถาม การฝึกให้เด็กใช้ประโยคซับซ้อน การเล่าเรื่อง หรือการฝึกให้เด็กรู้จักถ่ายทอดคำ พูด เรื่องราวให้เป็น รวมถึงการฝึกให้เด็กคิดให้เป็นด้วย เป็นต้น เด็กออทิสติกแต่ละคนมีความสามารถในการรับรู้ และเรียนรู้แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่ ความรุนแรง อายุของเด็กที่ได้รับการฝึกพูด ระดับสติปัญญา ความพิการซ้ำ ซ้อนที่สำ คัญอีกสิ่ง คือความร่วมมือเอาใจใส่ของคุณพ่อแม่ ผู้ใกล้ชิด และครู ที่จะช่วยส่งเสริมให้เด็กมีภาษาและการพูด สมวัยตามพัฒนาการ และสามารถใช้พูดสื่อสาร ความหายอย่างสมบูรณ์ได้โดยเร็วที่สุด