The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อาณาจักรทวารวดี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Chanthima Hasap, 2024-02-14 23:59:25

อาณาจักรทวารวดี

อาณาจักรทวารวดี

รายงาน เรื่อง ความเป็นมาของอาณาจักรทวารวดี วิชา ทักษะภาษาไทยเชิงวิชาชีพ โดย นางสาวจันทิมา หาทรัพย์ รหัสนักศึกษา66302010006 เสนอ อาจารย์อดิศักดิ์นิลบารันตร์ รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนวิชาทักษะภาษาไทยเชิงวิชาชีพ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 วิทยาลัยการอาชีพนายายอาม อำเภอนายายอาม จังหวัดจันทบุรี


คํานํา รายงานเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชา ทักษะภาษาไทยเชิงวิชาชีพ ชั้นปวส.1 เพื่อให้ได้ศึกษาหา ความรู้ในเรื่อง ความเป็นมาของอาณาจักรทวารวดีและได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อเป็นประโยชน์กับการเรียน ผู้จัดทำหวังว่า รายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน หรือนักเรียน นักศึกษา ที่กำลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะนำหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้อมรับไว้และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ผู้จัดทำ จันทิมา หาทรัพย์


ข สารบัญ เรื่อง หน้า คํานํา ก สารบัญ ข สารบัญภาพ ค ประวัติความเป็นมา 1 ร่องรอยกลุ่มวัฒนธรรมทวารวดี 2-4 โบราณสถานสมัยทวารวดี 5-6 ประเภทและลักษณะของโบราณสถานสมัยทวารวดี - สถูปเจดีย์ 7-11 - วิหาร 11-12 - สีมา 13 โบราณวัตถุ และ ศิลปะ 14-15 แหล่งโบราณคดี 16-17 อ้างอิง ง แหล่งข้อมูลอื่นๆ ง


1 ประวัติความเป็นมา ทวารวดี เป็นคำภาษาสันสกฤต เกิดขึ้นครั้งแรกใน พ.ศ. 2427 โดยนายแซมมวล บีล ได้แปลงมาจากคำว่า โตโลโปตี้ ที่มีอ้างอยู่ในบันทึกของภิกษุจีนจิ้นฮง ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 กล่าวว่า โตโลโปตี เป็นชื่อของ อาณาจักรหนึ่งตั้งอยู่ระหว่างอาณาจักรศรีเกษตร และอาณาจักรอิศานปุระ และเขาได้สรุปด้วยว่าอาณาจักรนี้ เดิมตั้งอยู่ในดินแดนประเทศไทย ปัจจุบัน และยังสันนิษฐานคำอื่น ๆ ที่มีสำเนียงคล้ายกันเช่น จวนโลโปติหรือ เชอโฮโปติว่าคืออาณาจักรทวารวดีด้วย ต่อมาความคิดเห็นนี้ได้มีผู้รู้หลายท่านศึกษาต่อและให้การยอมรับเช่น นายเอดัวร์ ชาวาน และ นายตากากุ สุ ผู้แปลจดหมายเหตุการเดินทางของภิกษุอี้จิงในปี พ.ศ. 2439 และ นายโปล เปลลิโอต์ ผู้ขยายความ อาณาจักรทวารวดีเพิ่มอีกว่ามีประชาชนเป็นชาวมอญในปี พ.ศ. 2447 เป็นต้น ดังนั้นบรรดาเมืองโบราณ รวมทั้งโบราณวัตถุสถานต่าง ๆ ที่พบมากมายโดยเฉพาะในบริเวณลุ่มน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งแต่เดิมไม่สามารถ จัดกลุ่มได้ว่าเป็นของขอม–เขมรหรือของไทย แต่มีลักษณะคล้ายกับศิลปะอินเดียสมัยราชวงศ์คุปตะ - หลังคุป ตะ ราวพุทธศตวรรษที่ 9-13 ที่พันตรีลูเนต์ เดอ ลาจองกีเยร์ เรียกว่า กลุ่มอิทธิพลอินเดียแต่ไม่ใช่ขอม–เขมร จึงถูกนำมาสัมพันธ์กลายเป็นเรื่องเดียวกัน โดยศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ (พ.ศ. 2468) และสมเด็จฯ กรมพระ ยาดำรงราชานุภาพ (พ.ศ. 2469) เป็นกลุ่มบุคคลแรกที่กำหนดเรียกชื่อดินแดนที่เมืองโบราณเหล่านี้ตั้งอยู่ รวมทั้งงานศิลปกรรมที่พบนั้นว่าทวารวดี โดยใช้เหตุผลของตำแหน่งที่ตั้งอาณาจักรและอายุตามบันทึกของจีน กับอายุของงานศิลปกรรมที่ตรงกัน อาณาจักรทวารวดีจึงกลายเป็นอาณาจักรแรกในดินแดนไทย กำหนดอายุ ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 12 ลงมาถึงพุทธศตวรรษที่ 16 อาณาจักรทวารวดี เป็นที่น่าเชื่อถือขึ้นอีกเมื่อพบเหรียญเงิน 2 เหรียญ มีจารึกภาษาสันสกฤตอายุราวพุทธ ศตวรรษที่ 13 จากเมืองนครปฐมโบราณ มีข้อความว่า ศรีทวารวดีศวรปุณยะ ซึ่งแปลได้ว่า บุญกุศลของ พระราชาแห่งศรีทวารวดี หรือ บุญของผู้เป็นเจ้าแห่งศรีทวารวดี หรือ พระเจ้าศรีทวารวดีผู้มีบุญอันประเสริฐ อาณาจักรทวารวดีจึงเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่ามีอยู่จริง และยังเชื่อกันอีกด้วยว่าเมืองนครปฐมโบราณน่าจะเป็น ศูนย์กลางหรือเมืองหลวงของอาณาจักร แต่ขณะเดียวกันนักวิชาการบางท่านก็เชื่อว่าเป็นอำเภออู่ทอง หรืออาจ เป็นจังหวัดลพบุรี ที่น่าจะเป็นเมืองหลวงมากกว่ากัน ปัจจุบันพบเหรียญลักษณะคล้ายกันอีก 2 เหรียญ ที่อำเภอ อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี และที่อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ความสำคัญของเมืองนครปฐมจึงเปลี่ยนไป


2 ร่องรอยกลุ่มวัฒนธรรมทวารวดี ปัจจุบันร่องรอยเมืองโบราณ รวมทั้งศิลปะโบราณ[1] วัตถุสถานและจารึกต่าง ๆ ในสมัยทวารวดีนี้พบเพิ่มขึ้น อีกมากมาย และที่สำคัญได้พบกระจายอยู่ในทุกภาคของประเทศไทย โดยไม่มีหลักฐานของการแผ่อำนาจ ทางการเมืองจากจุดศูนย์กลางเฉกเช่นรูปแบบการปกครองแบบอาณาจักรทั่วไป เช่น ภาคเหนือ : ที่อำเภอสวรรคโลก อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย, อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์, จังหวัดลำพูน และ จังหวัดเชียงใหม่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : พบทุกจังหวัด ในแต่ละจังหวัดพบมากกว่า 1 แห่งขึ้นไป บางจังหวัดพบว่ามี มากกว่า 7 แห่ง และมีการค้นพบมากขึ้นเรื่อย ๆ ภาคตะวันออก : ที่ดงละคร จังหวัดนครนายก, จังหวัดปราจีนบุรี, จังหวัดสระแก้วและจังหวัดชลบุรี ภาคใต้ : ที่จังหวัดปัตตานี ภาคกลาง : กระจายอยู่ตามลุ่มแม่น้ำสำคัญต่าง ๆ เช่น แม่น้ำเพชรบุรี, แม่น้ำแม่กลอง, แม่น้ำท่าจีน, แม่น้ำ ลพบุรี, แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำเจ้าพระยา อาณาเขตของอาณาจักร


3 จากการศึกษาจากภาพถ่ายทางอากาศพบเมืองโบราณสมัยนี้ถึง 63 เมืองด้วยกัน นอกจากนี้จากการสำรวจ และขุดค้นทางโบราณคดียังพบว่าเมืองโบราณแทบทุกแห่งจะมีลักษณะของการต่อเนื่องทางวัฒนธรรมจาก ชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ พัฒนาการขึ้นมาสู่ช่วงสมัยทวารวดีเมื่อมีการติดต่อกับอารยธรรมอินเดีย ดังนั้นทฤษฎีของนักวิชาการรุ่นก่อนโดยเฉพาะความเชื่อเรื่องรูปแบบการปกครองแบบอาณาจักรและเมือง ศูนย์กลางจึงเปลี่ยนไป ว่าน่าจะอยู่ในขั้นตอนของเมืองก่อนรัฐ (Proto-State) ในรูปของเมืองเบ็ดเสร็จหรือเมือง ที่มีองค์ประกอบสมบูรณ์ในตัวเองทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และความเชื่อศาสนา หากจะมีอำนาจทาง การเมืองก็หมายถึงมีอำนาจเหนือเมืองบริวารหรือชุมชนหมู่บ้านรอบ ๆ ในพื้นที่ใกล้เคียงเท่านั้น เมืองใหญ่ เหล่านี้แต่ละเมืองจะมีอิสระต่อกัน และเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กันเพราะผลจากการติดต่อค้าขายและรับวัฒนธรรม จากอินเดีย โดยเฉพาะทางด้านศาสนาพุทธแบบหินยาน รวมทั้งภาษาและรูปแบบศิลปกรรมแบบเดียวกัน สภาพสังคมทวารวดีนั้นลักษณะไม่น่าจะเป็นอาณาจักร คงเป็นเมืองขนาดต่าง ๆ ซึ่งพัฒนาขยายตัวจากสังคม ครอบครัว และสังคมหมู่บ้านมาเป็นสังคมเมืองที่มีชุมชนเล็ก ๆ ล้อมรอบ มีหัวหน้าปกครอง มีการแบ่งชนชั้น ทางสังคม นอกจากนี้ยังมีการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการปกครอง ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองต่อเมืองหรือรัฐ ต่อรัฐ ไม่ใช่ความสัมพันธ์โดยการเมือง แต่โดยการค้า ศาสนา และความเหมือนกันทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจของชุมชนทวารวดีคงจะมีพื้นฐานทางการเกษตรกรรม มีการค้าขายแลกเปลี่ยนระหว่างเมือง หรือ การค้าขายแลกเปลี่ยนกับชุนชนภายนอก ชุมชนทวารวดีเริ่มต้นแนวความเชื่อแบบพุทธศาสนาในลัทธิเถรวาท ควบคู่ไปกับการนับถือศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู ทั้งไศวนิกาย และไวษณพนิกาย โดยศาสนาพราหมณ์ หรือ ศาสนาฮินดู จะแพร่หลายในหมู่ชมชนชั้นปกครอง ในระยะหลังเมื่อเขมรเข้าสู่สมัยเมืองพระนคร เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมทวารวดีก็ถูกครอบงำโดยเขมร และในตอนท้ายคติความเชื่อเดิมก็ได้เปลี่ยนแปลงไป


4 ชาวทวารวดีได้มีการพัฒนาการทางเทคโนโลยีอันก้าวหน้าจากการจัดระบบชลประทานทั้งภายในและ ภายนอกเมือง มีการขุดคลอง สระน้ำ การทำคันบังคับน้ำหรือทำนบ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้ถ่ายทอดสู่ชนรุ่น หลังในสมัยลพบุรี และสมัยอาณาจักรสุโขทัย ด้านการคมนาคม คนในสมัยทวารวดีมีการสัญจรทั้งทางน้ำและ ทางบก นอกเหนือจากการติดต่อกับชาวเรือที่เดินทางค้าขายแล้ว ยังปรากฏร่องรอยของคันดินซึ่งสันนิษฐานว่า อาจเป็นถนนเชื่อมระหว่างเมือง นอกจากนี้หลักฐานทางโบราณคดีที่พบไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยหรือ ประติมากรรมล้วนแล้วแต่แสดงความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และศิลปกรรม เช่น เทคนิคตัดศิลาแลง การ สกัดหิน การทำประติมากรรม การหล่อสำริด การหลอมแก้ว วัฒนธรรมทวารวดีเริ่มเสื่อมลงราวปลายพุทธศตวรรษที่ 16 เมื่ออิทธิพลวัฒนธรรมแบบเขมรโบราณจาก ประเทศกัมพูชา ที่มีคติความเชื่อทางศาสนาและรูปแบบศิลปกรรมที่แตกต่างออกไปเข้ามาแทนที่ แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องทวารวดียังต้องการคำตอบอีกมากไม่ว่าปัญหาเรื่องของอาณาจักรหรือเมือง อิสระ ปัญหาเมืองศูนย์กลาง ปัญหาอาณาเขต หรือแม้แต่ชื่อ ทวารวดี จะเป็นชื่ออาณาจักร หรือชื่อกษัตริย์ หรือชื่อราชวงศ์หนึ่ง หรืออาจเป็นชื่อที่ใช้เรียกกลุ่มเมืองเจ้าของวัฒนธรรมแบบเดียวกันเฉกเช่นกลุ่มศรีวิชัยทาง ภาคใต้ ก็ยังเป็นปัญหาที่ต้องขบคิดและหาหลักฐานมาพิสูจน์กันต่อไป


5 โบราณสถานสมัยทวารวดี สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้แม้ว่าชื่อทวารวดีจะเป็นชื่อของสิ่งใดก็ตาม หลักฐานโบราณสถานโบราณวัตถุที่พบมากมาย ซึ่งล้วนมีลักษณะฝีมือทางศิลปกรรมที่คล้ายคลึงกันทุกแห่งทุกภาค ไม่ว่าจะเป็นงานประติมากรรมที่ส่วนใหญ่ เป็นพระพุทธรูป, พระพิมพ์, ธรรมจักร, ใบเสมา, ภาพปูนปั้นและภาพดินเผาประดับที่มีลักษณะเฉพาะ หรือ งานสถาปัตยกรรมอันได้แก่ สถูปเจดีย์และวิหารที่มีแผนผัง รูปแบบ วัสดุ เทคนิคการสร้าง ตลอดจนคติทาง ศาสนาแบบเดียวกัน ซึ่งหากพิจารณาจากสภาพทางภูมิศาสตร์ ลักษณะของความสัมพันธ์ร่วมกันเช่นนี้เป็นเพราะตำแหน่งที่ตั้ง ของเมืองแต่ละเมืองสามารถติดต่อถึงกันได้สะดวกทั้งทางบกและทางน้ำ โดยเฉพาะเมืองในที่ราบภาคกลาง มัก ตั้งใกล้ชายฝั่งทะเลเดิม มีร่องรอยทางน้ำติดต่อกับเมืองในภูมิภาคภายในและยังมีทางน้ำเข้าออกกับฝั่งทะเล โดยตรงด้วย อันสะดวกต่อการติดต่อภายในกันเองและติดต่อค้าขายกับชาวต่างประเทศโดยเฉพาะชาวอินเดีย ได้เป็นอย่างดี เมืองโบราณสมัยทวารวดีโดยทั่วไปมีความคล้ายคลึงกันตั้งแต่พื้นที่ตั้งและผังเมือง คือมักตั้งอยู่บนดอนในที่ ลุ่มใกล้ทางน้ำ มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมมุมมนหรือค่อนข้างกลม มีคูน้ำคันดินล้อมรอบหนึ่งหรือสองชั้นเพื่อกักเก็บ น้ำไว้ใช้หรือป้องกันน้ำท่วม โบราณสถานขนาดใหญ่มักตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางเมืองเช่น เมืองนครปฐมโบราณ มีวัด พระประโทน และเจดีย์จุลประโทนตั้งอยู่กึ่งกลางเมือง เมืองโบราณคูบัว จังหวัดราชบุรี มีโบราณสถาน หมายเลข 18 ในวัดโขลงสุวรรณคีรีตั้งอยู่กึ่งกลางเมือง เมืองในของเมืองโบราณศรีเทพ มีโบราณสถานเขาคลัง ใน ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมือง เป็นต้น


6 โบราณสถานแทบทั้งหมดใช้อิฐเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้าง อาจมีการใช้ศิลาแลงบ้างแต่ไม่ใช้หินก่อสร้างเลย อิฐเผาอย่างดีไส้สุกตลอด เนื้ออิฐแข็งพอสมควร ส่วนยาวจะเท่ากับสองเท่าของความกว้าง ส่วนกว้างเป็นสอง เท่าของความหนา อิฐมีขนาดใหญ่ ขนาด 32x16x8 เซนติเมตรขึ้นไป ผสมแกลบมาก เป็นแกลบข้าวเหนียว ปลูก การก่อใช้อิฐทั้งก้อนไม่ขัดผิวแต่ก็ประณีต รอยต่ออิฐแนบสนิท สอด้วยดินบาง ๆ เป็นส่วนผสมของดิน เหนียวละเอียดผสมกับวัสดุยางไม้หรือน้ำอ้อยจนเหนียวคล้ายกาว ทำให้อิฐจับกันแน่นสนิทเหมือนเป็นเนื้อ เดียวกัน แล้วจึงถากเป็นลวดลายแล้วปั้นปูนประดับ เนื่องจากสังคมทวารวดียอมรับพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทจากอินเดียเป็นหลัก (พบหลักฐานเนื่องในศาสนาฮินดู ด้วยแต่ไม่มากนัก) ทำให้สังคมทวารวดีโดยทั่วไปเป็นสังคมพุทธ ดังนั้นอาคารโบราณสถานทั้งหลายจึงเป็นพุทธ สถานแทบทั้งสิ้น โบราณสถานเหล่านี้แสดงอิทธิพลศิลปะอินเดียแบบคุปตะและหลังคุปตะ และปาละเสนะ ตามลำดับ แต่ได้ดัดแปลงผสมผสานให้เข้ากับลักษณะท้องถิ่นจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน ธรรมจักรในสมัยทวารวดี เศียรพระพุทธรูป ศิลปะในสมัยทวารวดี


7 ประเภทและลักษณะของโบราณสถานสมัยทวารวดี เชื่อกันว่าศิลปกรรมอินเดียได้มีอิทธิพลต่องานศิลปกรรมในดินแดนประเทศไทยมานานตั้งแต่ครั้งพระเจ้า อโศกมหาราช แห่งราชวงศ์โมริยะ (พ.ศ. 269-307) ที่ทรงส่งสมณทูต 9 สายออก เผยแพร่พระพุทธศาสนาทั่ว ประเทศและนอกประเทศอินเดีย และสมณทูตสายที่ 8 คือพระอุตตรเถระและพระโสณเถระผู้เดินทางมายัง ดินแดนที่ชื่อสุวรรณภูมินั้น สันนิษฐานกันว่าน่าจะหมายถึง ดินแดนในประเทศพม่า ไทย ลาว และกัมพูชาใน ปัจจุบัน และยังเชื่อกันว่าเจดีย์องค์เดิมที่ พระปฐมเจดีย์ สร้างครอบทับไว้น่าจะเป็นเจดีย์ที่สร้างขี้นในสมัยนั้น โดยอาศัยการศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบกับเจดีย์สาญจีของอินเดีย ส่วนอาคารพุทธสถานอื่น ๆ ที่ไม่เหลือ ปรากฏในปัจจุบัน อาจจะสร้างด้วยไม้จึงปรักหักพังไปหมด ร่องรอยของโบราณสถานปรากฏหลักฐานแน่ชัดอายุเก่าที่สุดคือ สมัยทวารวดีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 11 เป็นต้นมา ทุกแห่งแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลศิลปะอินเดียสมัยราชวงศ์คุปตะ-หลังคุปตะ และราชวงศ์ปาละ ราวพุทธศตวรรษที่ 9-13 และ 14-16 ตามลำดับ โบราณสถานส่วนใหญ่สร้างขึ้นเกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนา กำหนดอายุอยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-16 เกือบทุกแห่งปรักหักพังเหลือแต่เฉพาะส่วนฐาน แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ สถูปเจดีย์ วิหาร และ สีมา สถูปเจดีย์ สถูปเจดีย์สมัยทวารวดี คงจะสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ให้เป็นอุเทสิกเจดีย์ (เพื่อเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์ หรือบุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว) มากที่สุด จากหลักฐานที่เหลืออยู่เพียงเฉพาะส่วนฐานนั้น สามารถแบ่งตาม ลักษณะแผนผังได้เป็น 4 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ ฐานรูปกลม ฐานรูปสี่เหลี่ยม ฐานรูปสี่เหลี่ยมย่อมุม และฐานแปด เหลี่ยม หรือสามารถแบ่งตามรายละเอียดที่ต่างกันได้เป็น 13 รูปแบบย่อย ซึ่งแต่ละแบบล้วนแสดงวิวัฒนาการ ที่ สืบทอดจากต้นแบบในอินเดียเป็นระยะ ๆ และยังเป็นต้นแบบให้สถูปเจดีย์ในยุคต่อ ๆ มาด้วย คือ


8 ฐานเจดีย์หมายเลข 1 กลุ่มโบราณสถานโคกไม้เดน บ้านโคกไม้เดน อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ฐานเจดีย์หมายเลข 2 กลุ่มโบราณสถานโคกไม้เดน บ้านโคกไม้เดน อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์


9 แบบที่ 1 สถูปเจดีย์ฐานกลม น่าจะเป็นแบบที่เก่าที่สุด รับอิทธิพลต้นแบบมาจากสถูปสาญจีของอินเดียเช่น โบราณสถานหมายเลข 3 (ภูเขาทอง) ที่อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี สถูปกลมที่อู่ทอง จังหวัด สุพรรณบุรี และพระปฐมเจดีย์องค์เดิม จังหวัดนครปฐม เป็นต้น ลักษณะการก่อสร้างใช้ดินแลงอัดหรือก่ออิฐ สถูปเจดีย์ลักษณะนี้น่าจะเหมือนต้นแบบคือลักษณะเป็นครึ่งวงกลม มีเวทิกาหรือรั้วกั้นโดยรอบ บนองค์สถูป ประดับด้วยหรรมิกาหรือบัลลังก์ และมีฉัตรซ้อนกันสามชั้น และอาจมีบันไดทางขึ้นเพื่อกระทำประทักษิณและ มีประตูทางเข้าขนาดใหญ่สี่ทิศ (โตรณะ) แบบที่ 2 สถูปเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีองค์สถูปทรงกลมก่อข้างบน แต่ปัจจุบันสถูปกลมได้พังทลายหมด เช่น โบราณสถานหมายเลข 8, 9, 11 และ 15 ที่บ้านโคกไม้เดน จังหวัดนครสวรรค์ โบราณสถานหมายเลข 11 ที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี และโบราณสถานหมายเลข 6, 20 และ 23/2 ที่อำเภอศรีมโหสถ จังหวัด ปราจีนบุรี เป็นต้น สันนิษฐานว่าองค์สถูปเดิมน่าจะมีลักษณะคล้ายหม้อน้ำหรือบาตรคว่ำ ตอนบนประดับด้วย ฉัตรเป็นชั้น ๆ ปลายสุดมียอดรูปดอกบัวตูมและที่แท่น (หรรมิกา) ที่ตั้งก้านฉัตรมีคาถาเย ธมฺมา สลักอยู่ แบบที่ 3 สถูปเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีองค์สถูปก่อข้างบน มีแนวบันไดเพียงด้านเดียว แนวบันไดบางครั้ง ก่ออิฐเป็นรูปอัฒจันทร์ เช่นโบราณสถานหมายเลข 13, 16 ที่บ้านโคกไม้เดน จังหวัดนครสวรรค์ แบบที่ 4 สถูปเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่ละด้านมีมุขยื่น เหนือขึ้นไปเป็นสถูปกลม พบที่ บ้านโคกไม้เดน จังหวัดนครสวรรค์ แบบที่ 5 สถูปเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส ฐานล่างแต่ละด้านมีสถูปจำลองประดับที่มุมทั้งสี่ พบที่โบราณสถาน หมายเลข 2 ที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี และวัดพระเมรุ จังหวัดนครปฐม แบบที่ 6 สถูปเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส ฐานมีช่องประดิษฐานพระพุทธรุปปูนปั้น ล้อมรอบด้วยลาน ประทักษิณ เช่นโบราณสถานหมายเลข 1 ที่บ้านคูบัว จังหวัดราชบุรี แบบที่ 7 สถูปเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมซ้อนกันสองชั้น ฐานชั้นที่สองทำเป็นช่อง ๆ ให้สวยงาม เช่นโบราณสถาน หมายเลข 4 ที่บ้านโคกไม้เดน จังหวัดนครสวรรค์


10 แบบที่ 8 สถูปเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมซ้อนกันสองชั้น มีลานประทักษิณรอบ ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วที่เว้นช่อง ประตูทางเข้าออกด้านทิศตะวันตกอีกชั้นหนึ่ง ที่ลานประทักษิณมีบันไดขึ้นลง 3 ด้าน (ยกเว้นทิศตะวันตก) เดิม อาจมีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูป พบที่โบราณสถานหมายเลข 2 ที่บ้านโคกไม้เดน จังหวัดนครสวรรค์ แบบที่ 9 สถูปเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส ย่อเก็จทุกด้าน ฐานแบ่งเป็นช่อง ๆ ใหญ่เล็กสลับกัน ประดับด้วยภาพ ปูนปั้นเล่าเรื่องชาดก และรูปสัตว์เช่น สิงห์ กินรี เช่นโบราณสถานหมายเลข 3 ที่บ้านโคกไม้เดน จังหวัด นครสวรรค์ แบบที่ 10 สถูปเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส ย่อเก็จ ตั้งซ้อนอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมที่ใช้เป็นลานประทักษิณ ที่ลานมี บันไดยื่นทั้งสี่ทิศและมีอัฒจันทร์อยู่ทุกด้าน ท้องไม้ของลานประทักษิณมีเสาอิงแบ่งเป็นช่องประดับภาพชาดก องค์สถูปประดับด้วยพระพุทธรูปยืนในซุ้มแต่ละด้าน เช่นเจดีย์จุลประโทน จังหวัดนครปฐม แบบที่ 11 สถูปเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมซ้อนทับบนฐานแปดเหลี่ยม เช่นโบราณสถานหมายเลข 7 และ 10 ที่ บ้าน โคกไม้เดน จังหวัดนครสวรรค์[2] แบบที่ 12 สถูปเจดีย์ฐานแปดเหลี่ยม เช่นโบราณสถานหมายเลข 5 ที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี แบบที่ 13 สถูปเจดีย์ฐานแปดเหลี่ยมซ้อนสองชั้น ฐานแต่ละด้านทำเป็นช่องแบบซุ้มพระด้านละสองซุ้ม นับเป็นแบบสวยพิเศษสุด พบที่โบราณสถานหมายเลข 13ที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี


11 ฐานสถูปเหล่านี้สามารถเปรียบเทียบได้กับสถูปอินเดียสมัยคุปตะเป็นต้นมา และแม้องค์สถูปจะหักพังไป หมดแล้ว แต่อาจสันนิษฐานรูปทรงตามรูปจำลองหรือภาพสลักสถูปเจดีย์ที่พบในประเทศได้ว่ามีด้วยกัน 3 แบบ ใหญ่ ๆ คือ 1. สถูปที่มีองค์ระฆังเป็นรูปโอคว่ำหรือครึ่งวงกลม มียอดเป็นกรวยแหลมเรียบอยู่ข้างบน ได้รับอิทธิพลศิลปะ อินเดียสมัยปาละ ซึ่งเจริญขึ้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 14-17 2. สถูปที่มีองค์ระฆังคล้ายหม้อน้ำหรือบาตรคว่ำ ยอดทำเป็นแผ่นกลมเรียงซ้อนกันขึ้นไปตอนบน บนยอดสุด มีลูกแก้วหรือดอกบัวตูมประดับ ที่แท่น (หรรมิกา) ที่ตั้งฉัตรมีจารึกคาถา เย ธมมาอันเป็นหัวใจของ พระพุทธศาสนาโดยรอบ 3. สถูปที่มีองค์ระฆังคล้ายหม้อน้ำ ยอดสถูปคล้ายกรวยแต่มีลักษณะเป็นปล้อง ๆ ซ้อนติดกัน วิหาร เป็นอาคารที่คู่มากับการสร้างวัดตั้งแต่สมัยพุทธกาลในอินเดีย เดิมหมายถึงอาคารที่เป็นที่อยู่ของพระภิกษุ สงฆ์ ต่อมาเมื่อมีพระภิกษุเพิ่มขึ้นวิหารจึงเป็นที่ประชุมสังฆกรรม และใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปตัวแทน ของพระพุทธองค์อันเป็นประธานของการประชุมนั้น ในประเทศไทยวิหารพบตั้งแต่สมัยทวารวดีประมาณพุทธศตวรรษที่ 12-13 เป็นต้นมา แต่พบไม่มากนัก มัก ตั้งหน้าสถูปเจดีย์เพื่อใช้เป็นที่กราบสักการบูชาพระธาตุ ดังนั้นวิหารจึงสร้างไว้หน้าเจดีย์เสมอ จากการขุดค้น ของกรมศิลปากรเมื่อ พ.ศ. 2507 ที่วัดโคกไม้เดน จังหวัดนครสวรรค์และที่โบราณสถานหมายเลข 16 อำเภอ อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ได้พบพื้นอาคารปูอิฐและศิลาแลง มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่ด้านหน้าเจดีย์ ผนัง และหลังคาไม่ปรากฏคงเป็นเครื่องไม้ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นวิหารที่สร้างสมัยแรก ๆ แต่เนื่องจากพบน้อย เข้าใจว่าวิหารส่วนมากอาจจะสร้างด้วยไม้จึงผุพังไปหมด


12 อาคารที่คาดว่าน่าจะเป็นวิหารอีก พบที่เมืองศรีมโหสถ อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี มีทั้งวิหารใน ศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ วิหารในศาสนาพุทธมักอยู่นอกเมืองเช่น โบราณสถานหมายเลข 1, 5, 7 และ 14 เป็นต้น ส่วนวิหารในศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูมักสร้างอยู่ในเมืองเช่น โบราณสถานหมายเลข 10 และ 22/1-5 เป็นต้น แผนผังของอาคารส่วนใหญ่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ฐานเตี้ย ภายในมีแท่นประดิษฐานรูปเคารพ มีพื้นที่ว่างพอสำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา มีทั้งวิหารผนังทึบและวิหารโถง หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้อง ยังพบวิหารกำหนดอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 13 เป็นวิหารที่แสดงถึงอิทธิพลศิลปะแบบราชวงศ์ปาละ ทาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย (มหาวิทยาลัยนาลันทา) ตามคติพุทธแบบมหายานลัทธิวัชรยานหรือ ตันตระที่กำลังแพร่หลายในขณะนั้น รูปแบบวิหารมีอยู่ด้วยกัน 2 ลักษณะ คือ 1. วิหารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ฐานสูง เช่นวิหารวัดโขลง ที่คูบัว จังหวัดราชบุรี มีบันไดขึ้นด้านทิศตะวันออกสู่ลาน ประทักษิณ ฐานประดับเสาอิงและซุ้ม แต่เดิมคงจะมีภาพปูนปั้นประดับอยู่ 2. วิหารรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีมุขยื่นออกมาทั้งสี่ด้าน คือวิหารที่วัดพระเมรุ จังหวัดนครปฐม มีฐานรองรับ มีมุข ทางเข้าทั้งสี่ทิศตรงกับพระพุทธรูปสี่องค์ที่ประดิษฐานอยู่ด้านหน้า ด้านภายในวิหารผนังทึบตัน


13 สีมา สีมาสมัยทวารวดี โดยพบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่นที่บ้านกุดโง้ง จังหวัดชัยภูมิ ที่ เมืองโบราณฟ้า แดดสูงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่บ้านตาดทอง จังหวัดยโสธร ที่วัดพุทธมงคล อำเภอกันทรวิชัย จังหวัด มหาสารคาม เป็นต้น สีมาทวารวดีพบว่ามีการปักรอบสถูปเจดีย์ด้วย และบ่อยครั้งไม่พบซากอาคารเข้าใจว่า อาคารเดิมอาจสร้างด้วยไม้จึงผุพังไป บางแห่งปัก 3 ใบและบางแห่งพบถึง 15 ใบ นอกจากนี้บางครั้งยังพบปัก รอบเพิงหินธรรมชาติ เช่น ที่หอนางอุสา อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี ซึ่งบริเวณนี้อาจเคย เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อผู้คนหันมานับถือศาสนาพุทธจึงนำคติการใช้วัฒนธรรม หินปักหินตั้งเข้าผสมกับคติทางศาสนา มีการปักสีมาขึ้นกลายเป็นวัดป่าหรืออรัญญวาสีไป สีมาสมัยทวารวดีพบ หลายแบบทั้งเป็นแผ่นคล้ายเสมาปัจจุบัน เป็นเสากลมหรือแปดเหลี่ยมหรือรูปสี่เหลี่ยม โดยทั่วไปสลักจากหิน ทราย มีขนาดใหญ่สูงตั้งแต่ 0.80 - 3 เมตร มีภาพสลักโดยทั่วไปเป็นภาพสถูปยอดแหลม หรือสลักภาพเล่า เรื่องชาดก ภาพพุทธประวัติ และลายผักกูดก้านขดเป็นต้น เมืองโบราณฟ้าแดดสูงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์


14 โบราณวัตถุ และ ศิลปะ จิตรกรรม ไม่เหลืออะไรปรากฏเป็นหลักฐานทางด้านจิตรกรรม ชำรุดเสียหายไปหมดแล้ว เพราะงานจิตรกรรมเขียนด้วย วัสดุที่ไม่คงทน และถูกแดดถูกฝนจึงสูญหายไป ประติมากรรม พระพุทธรูป ลักษณะสำคัญของพระพุทธรูปสมัยทวาราวดี แบ่งออกเป็น 3 ยุค คือ มีลักษณะของอินเดียแบบคุปตะและหลังคุปตะ บางครั้งก็มีอิทธิพลของอมราวดีอยู่ด้วย ลักษณะวงพักตร์ แบบอินเดีย ไม่มีรัศมี จีวรเรียบเหมือนจีวรเปียก พระพุทธรูปนั่งจะขัดสมาธิหลวม ๆ แบบอมราวดี มีอายุใน ราวพุทธศตวรรษที่ 12 พัฒนาขึ้นจากแบบแรก โดยมีอิทธิพลพื้นเมืองผสมมากขึ้น พระขนงต่อกันเป็นรูปปีกกา พระเกตุมาลาเป็น ต่อมนูนใหญ่ บางทีมีรัศมีบัวตูมเหนือเกตุมาลา และสั้น พระพักตร์แบนกว้าง พระเนตรโปน พระหนุ (คาง) ป้าน พระนลาฏ (หน้าผาก) แคบ พระนาสิกป้านใหญ่แบน พระโอษฐ์หนา พระหัตถ์และพระบาทใหญ่ ยังคง ขัดสมาธิหลวม ๆ แบบอมราวดี มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษ ที่ 13-15 พระพุทธรูปในช่วงนี้ได้รับอิทธิพลศิลปะเขมร เนื่องจากเขมรเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นในสมัยเมืองพระนคร ประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 ในระยะนี้จึงมีอิทธิพลเขมรแบบบาปวนในประเทศไทยเรียกว่าศิลปะลพบุรีปะปน เช่น พระพักตร์เป็นรูปสี่เหลี่ยม มีลักยิ้ม นั่งขัดสมาธิราบ เป็นต้น นอกจากพระพุทธรูปแล้วยังพบสัญลักษณ์ของ พระพุทธเจ้า ซึ่งแสดงการสืบทอดแนวคิดทางศิลปะอินเดียโบราณก่อนหน้าที่จะทำรูปเคารพเป็นรูปมนุษย์ ภายใต้อิทธิพลศิลปะกรีก


15 ประติมากรรมกลุ่มเทวรูปรุ่นเก่า เป็นประติมากรรมศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู อยู่ร่วมสมัยกับทวารวดีตอนต้น และตอนปลาย ในราวพุทธ ศตวรรษที่ 11-13 ที่เมืองศรีมโหสถและเมืองศรีเทพ และพบอยู่ร่วมกับศรีวิชัยและทวารวดีที่ภาคใต้ของ ประเทศไทย มักจะทำเป็นรูปพระนารายณ์ ลักษณะพระพักตร์จะไม่เหมือนพระพุทธรูปแบบทวารวดี จะมีลักษณะคล้ายกับอินเดีย ตัวอย่างเช่น พระ นารายณ์ที่ไชยาแสดงลักษณะอิทธิพลศิลปะอินเดียแบบมทุราและอมราวดี(พุทธศตวรรษที่ 6-9) รวมทั้งที่พบที่ นครศรีธรรมราช ซึ่งถือสังข์ด้วยพระหัตถ์ซ้ายด้านล่าง ผ้านุ่งและผ้าคาดที่พบที่ภาคใต้และที่เมืองศรีมโหสถ จะ มีผ้าคาดเฉียงเหมือนศิลปะอินเดียหลังคุปตะ (ปัลลวะ) ในราวพุทธศตวรรษที่ 12 ส่วนเทวรูปรุ่นเก่าที่อำเภอศรี เทพจะมีอายุใกล้เคียงกัน และที่ศรีเทพนอกจากที่จะพบรูปพระนารายณ์แล้วยังพบรูปพระกฤษณะและพระ นารายณ์ด้วย ลักษณะของเทวรูปกลุ่มนี้ไม่เหมือนกับที่พบในเขมรเนื่องจากทำรูปลอยตัวอย่างแท้จริง ไม่ทำแผ่นหินมารับ กับพระหัตถ์คู่บน แต่ยังไม่มีการนำเอากลุ่มเทวรูปนี้เข้าไปไว้ในศิลปะทวารวดี จึงเพียงมีแต่สมมุติฐานว่าเทวรูป กลุ่มนี้น่าจะเป็นทวารวดีที่เป็นพราหมณ์ การเข้ามาของเทวรูปนี่มีข้อคิดเห็นแตกไปเป็น 2 ทางคือ เป็นศิลปะ อินเดียที่นำเข้าที่พร้อมกับการติดต่อค้าขาย หรือเป็นศิลปะแบบอินเดียที่ทำขึ้นในท้องถิ่น และมีการพัฒนาการ ภายใต้อิทธิพลศิลปะพื้นเมืองแบบทวารวดีและศรีวิชัย สถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมแบบทวาราวดีมักก่ออิฐและใช้สอดิน เช่น วัดพระเมรุและเจดีย์จุลปะโทน จังหวัดนครปฐม บางแห่งมีการใช้ศิลาแลงบ้าง เช่น ก่อสร้างบริเวณฐานสถูป การก่อสร้างเจดีย์ในสมัยทวารวดีพบทั้งเจดีย์ฐาน สี่เหลี่ยม เจดีย์ทรงระฆังคว่ำมียอดแหลมอยู่ด้านบน


16 แหล่งโบราณคดี เมืองคูบัว เป็นเมืองโบราณอยู่ห่างจากเมืองราชบุรีไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ 12 กิโลเมตร คาดว่าสร้างมา ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 ในอาณาจักรทวารวดี และเป็นหนึ่งในเมืองสำคัญของอาณาจักรนี้ แหล่งโบราณเมืองศรีมโหสถ เคยเป็นที่ตั้งของเมืองในสมัยโบราณ เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 11 - 18 โดยที่ กรมศิลปากรได้ทำการขุดค้นและศึกษาหลักฐานต่างๆ ปรับปรุงโบราณสถานมาตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2529 แหล่ง โบราณคดีเมืองศรีมโหสถอยู่ในเขตตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี โดยมีที่ตั้งอยู่ในบริเวณ 3 หมู่บ้านด้วยกัน ได้แก่ บ้านสระมะเขือ บ้านโคกวัด และบ้านหนองสะแก เมืองนี้มีชื่อเรียกอื่นๆ อีกว่า เมืองอวัธ ยะปุระ


17 เมืองโบราณดงละคร เป็นเมืองโบราณสมัยทวาราวดี ตั้งอยู่ในเขตตำบลดงละคร อำเภอเมือง จังหวัด นครนายก ห่างจากตัวจังหวัดนครนายกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร จุดสูงสุดของเมืองอยู่ ที่เนินดินทางด้านทิศตะวันออก สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 34 เมตร เมืองเสมา เป็นเมืองโบราณอยู่ห่างจากอำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมาไปทางทิศเหนือ 5 กิโลเมตร คาด ว่ามีการอยู่อาศัยตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ต่อมาเป็นเมืองโบราณร่วมสมัยวัฒนธรรมทวารวดีและ วัฒนธรรมขอม อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ เป็นอุทยานประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของประเทศไทย ตั้งอยู่บนที่ราบห่างจากแม่ น้ำป่าสัก[1] ไปทางทิศตะวันออกราว 4 กิโลเมตร ในอำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 60 - 80 เมตร[2]ครอบคลุมโบราณสถานในเมืองเก่าศรีเทพ พื้นที่ราว 4.7 ตารางกิโลเมตร


ง อ้างอิง 1."ประติมากรรม". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-01-20. สืบค้นเมื่อ 2011-05-01. 2.โบราณสถานบ้านโคกไม้เดน จังหวัดนครสวรรค์ แหล่งข้อมูลอื่น วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ ทวารวดี Virtual Si Thep Historical Park by Finearts สมัยประวัติศาสตร์ในประเทศไทยก่อนพุทธศตวรรษที่19 รายงานเรื่อง อาณาจักรทวารวดี www.chanpradit.ac.th เก็บถาวร 2009-08-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เมืองโบราณอู่ทอง[ลิงก์เสีย] อาณาจักรทวาราวดี (มอญโบราณ) เก็บถาวร 2009-06-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ชุดเครื่องแต่งกายแบบทวาราวดี www.bangkokstudiothai.com เก็บถาวร 2009-08-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน


Click to View FlipBook Version