The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

วารสารยางพรารา ปีที่ 44 ฉบับที่ 2

เดือนม.ค. - มี.ค. 66

A บรรณาธิการบริหาร ดร.กฤษดา สังข์สิงห์ ผู้อ�ำนวยการสถาบันวิจัยยาง บรรณาธิการ ดร.วิทยา พรหมมี หัวหน้ากองวิจัยและพัฒนาการผลิตยาง สถาบันวิจัยยาง ผู้จัดการสื่อสิ่งพิมพ์ นายวีระนันท์ ศรีเกตุ กองวิจัยและพัฒนาการผลิตยาง สถาบันวิจัยยาง กองบรรณาธิการบริหาร สถาบันวิจัยยาง ดร.ฐิตาภรณ์ ภูมิไชย์ นายเกษตร แนบสนิท นายนิโรจน์ รอดสม นางภรภัทร สุชาติกูล นางอารมณ์ โรจน์สุจิตร นางสาวรัชนี รัตนวงศ์ ดร.ปิยะนุช ปิยะตระกูล ดร.ชัชมณฑ์ แดงกนิษฐ์ นาถาวร ฝ่ายเศรษฐกิจยาง นางสาวอธิวีณ์ แดงกนิษฐ์ นายวิญญู โครมกระโทก วารสารยางพาราเป็นวารสารของสถาบันวิจัยยาง การยางแห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิจัย บทความ ข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับการผลิตยางพาราทั้งระบบ (ต้นน�้ำ กลางน�้ำและ ปลายน�้ำ) เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียกับการยางแห่งประเทศไทยทั้งภายในและภายนอก ได้แก่ ผู้บริหารและพนักงานการยางแห่งประเทศไทย เกษตรกร สถาบันเกษตรกร ผู้ประกอบกิจการยาง สถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัย น�ำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนพัฒนา และ จัดการสวนยางให้มีประสิทธิภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของประเทศ วารสารยางพารา สถาบันวิจัยยาง การยางแห่งประเทศไทย ก�ำหนดพิมพ์เผยแพร่ ปีละ 4 ฉบับ (ฉบับที่ 1 ตุลาคม-ธันวาคม ฉบับที่ 2 มกราคม-มีนาคม ฉบับที่ 3 เมษายน-มิถุนายน และฉบับที่ 4 กรกฎาคม-กันยายน) ผลงานทางวิจัย บทความ ข่าวสาร หรือ ความคิดเห็นในวารสารนี้เป็นความคิดเห็นของผู้เขียน กองบรรณาธิการสถาบันวิจัยยาง การยางแห่งประเทศไทยไม่จ�ำเป็นต้องเห็นด้วย เปิดรับผลงานเผยแพร่ โดยจัดส่งต้นฉบับในกระดาษ A4 ผลงานทางวิชาการ ความยาวไม่เกิน 10 หน้ากระดาษ ข่าวสาร หรือความคิดเห็น ความยาวไม่เกิน 2 หน้ากระดาษ พิมพ์โดยใช้ Front TH SarabunPSK ขนาด 16 ส่งผลงานเผยแพร่ มาที่กองบรรณาธิการ กองวิจัยและพัฒนาการผลิตยาง สถาบันวิจัยยาง การยางแห่งประเทศไทย อาคาร 50 ปี ชั้น 5 เลขที่ 67/53 ถนนบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กทม.ฯ 10700 เบอร์โทรศัพท์ : 02-4246832 หรือ 02-4332222 ต่อ 537 หรือ E-mail : [email protected] พร้อมทั้งระบุชื่อและนามสกุลจริง สถานที่ติดต่อและเบอร์โทร ศัพท์มายังบรรณาธิการเพื่อพิจารณาผลงานที่ได้รับการพิจารณากองบรรณาธิการจะเป็นผู้ติดต่อและแจ้งให้ทราบและ ขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไขและจะไม่ส่งต้นฉบับที่ไม่ได้รับการพิจารณาคืน ฝ่ายอุตสาหกรรมยาง ดร.นภาวรรณ เลขะวิพัฒน์ นางสาวพัชรินทร์ ศรีวารินทร์ นางปรีดิ์เปรม ทัศนกุล


B สารบัญ 01 02 02 10 20 27 27 35 35 41 44 หน้า บทบรรณาธิการ บทความวิชาการเฉพาะสาขา การวิเคราะห์ศักยภาพการให้บริการของส�ำนักงานตลาดกลางยางพารา จังหวัดสงขลา “ด้วยการประยุกต์ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์” การจ�ำแนกอายุรายปีแปลงปลูกยางพารา การปรับปรุงคุณสมบัติทางวิศวกรรมและความเป็นฉนวนความร้อนของ มอร์ต้าร์ส�ำหรับฉาบด้วยน�้ำยางพารา บทความที่น่าสนใจ นวัตกรรมการจัดการสวนยาง “เกษตรทฤษฎีใหม่สวนยางยั่งยืน” รอบรั้วสถาบันวิจัยยาง กระบวนทัศน์ใหม่ การบริหารงานวิจัยแบบบูรณาการ “ศูนย์วิจัยยางบุรีรัมย์ ศูนย์บริหารงานวิจัยเพื่อการเรียนรู้แบบองค์รวม” โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สรุปข่าวสารยางพารา เรื่อง


C สารบัญ หน้า เรื่อง


1 บทบรรณาธิการ ประเทศไทยได้ให้ความส�ำคัญกับการขับ เคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยใช้หลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ฉบับที่ ๑๓ (พ.ศ. 2566-2570) ได้ก�ำหนด ทิศทางของประเทศให้สามารถก้าวข้ามความท้าทาย ต่าง ๆ เพื่อให้ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลัก ปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง” ตามเจตนารมณ์ของ ยุทธศาสตร์ชาติ โดยสืบสาน รักษา ต่อยอดการพัฒนา ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยค�ำนึงถึง ความสอดคล้องกับสถานการณ์และเงื่อนไข ระดับ ประเทศและระดับโลกทั้งในปัจจุบันและอนาคตอัน ใกล้ และศักยภาพของทุนทางเศรษฐกิจ ทุนทางสังคม และทุนทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของ ประเทศ อีกทั้งสถานการณ์ในปัจจุบันทั้งภายใน ประเทศไทยและระดับโลกต้องเผชิญกับการ เปลี่ยนแปลงและข้อจ�ำกัดหลากหลายประการส่งผล ให้เกิดเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและการด�ำเนินชีวิตของ เกษตรกร การยางแห่งประเทศไทยได้เล็งเห็นถึงความ ส�ำคัญของยุทธศาสตร์ชาติและปัญหาที่เกษตรกรได้รับ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จึงได้น้อมน�ำ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ก�ำหนด ทิศทางการบริหารจัดการยางพาราทั้งระบบอย่าง ยั่งยืน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ยกระดับคุณภาพชีวิต สร้าง ความเข้มแข็ง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รองรับการเป็นองค์กรชั้นน�ำด้านยางพาราระดับโลก เกษตรทฤษฎีใหม่เป็นหนึ่งของปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงที่มุ่งเน้นในการจัดการพื้นที่ให้มีการ ใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า สถาบันวิจัยยางจึงได้มีการน�ำ แนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้กับองค์ความรู้ด้านการปลูกพืช และเลี้ยงสัตว์เสริมรายได้ในสวนยางที่มีการวิจัยมาใน อดีต และออกแบบหลักการและแนวทางการจัดการ สวนยางแนวใหม่ “สวนยางตามหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ สวนยางยั่งยืน” มีการสร้างแปลงสาธิตสวนยางยั่งยืน เพื่อศึกษาเรียนรู้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ของ สถาบันวิจัยยาง ได้แก่ ศูนย์วิจัยยางบุรีรัมย์ ฉะเชิงเทรา และหนองคาย ตลอดจนมีการปรับระเบียบการให้ทุน ปลูกแทนแบบใหม่ เป็นทางเลือกเกษตรกรในการสร้าง สวนยางยั่งยืน สามารถดูรายละเอียดได้จากบทความ ในวารสารฉบับนี้ ดร.วิทยา พรหมมี บรรณาธิการ


2 การวิเคราะห์ศักยภาพการให้บริการของส�ำนักงานตลาดกลางยางพารา จังหวัดสงขลา “ด้วยการประยุกต์ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์” ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออก ยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของโลก แต่ยังไม่มีอ�ำนาจ ต่อรองทางการตลาดกับผู้ซื้อจากต่างประเทศ ประกอบ กับสถานการณ์การซื้อขายยาง ที่ราคายางในประเทศ ถูกชี้น�ำจากราคายางในตลาดซื้อขายล่วงหน้า เช่น ตลาดล่วงหน้าของญี่ปุ่น (JPX) ตลาดล่วงหน้าสิงคโปร์ (SGX) ฯลฯ ซึ่งทุกตลาดเป็นตลาดเก็งก�ำไร ปริมาณ การส่งมอบยางจริงมีน้อย ไม่สะท้อนกลไกราคาที่เกิด จากผลผลิตและความต้องการใช้ที่แท้จริง ส่งผลให้ ราคาเกิดความผันผวน และบางครั้งราคาลดลงต�่ำกว่า ต้นทุนการผลิต และจากการประชุมสภาไตรภาคียาง ระหว่างประเทศ (International Tripartite Rubber Council: ITRC) จึงเห็นชอบให้จัดตั้งตลาดกลาง ยางพาราระดับภูมิภาค (Regional Rubber Market: RRM) ขึ้น เพื่อสร้างกลไกราคาที่สะท้อนภาวะตลาด ที่แท้จริง และเพิ่มความเข้มแข็งให้กับตลาดยางของ ประเทศผู้ผลิตยาง ตลอดจนสามารถใช้อ้างอิงการซื้อ ขายในระดับสากล ทดแทนตลาดล่วงหน้าต่างประเทศ และสร้างเสถียรภาพด้านราคายาง (อธิวีณ์ แดงกนิษฐ์, 2559) ในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2553 - 2563) การผลิต มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ย เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.90 ต่อปี เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้น ของพื้นที่ปลูกและพื้นที่กรีดยางพารา (ส�ำนักงาน เศรษฐกิจการเกษตร, 2564) ปริมาณผลผลิตที่ต้องการ จะเข้าตลาดกลางยางพารา จึงอาจมีการเปลี่ยนแปลง หรือมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ศักยภาพในการให้ บริการของตลาดกลางยางพาราและตลาดเครือข่ายก็ อาจมีการเปลี่ยนแปลง การยางแห่งประเทศไทย การวิเคราะห์ศักยภาพการให้บริการของส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลา ด้วยการประยุกต์ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ นางสาวประกายดาว แดงนิ่ม 1 ,ดร.วิญญู โครมกระโทก 2 ,ดร.อริศรา ร่มเย็น เณรานนท์ 3 1 นักศึกษา สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและธุรกิจเกษตร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 2 พนักงานการยางแห่งประเทศไทย ฝ่ายเศรษฐกิจยาง กองวิจัยเศรษฐกิจยาง 3 อาจารย์ประจ�ำ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและธุรกิจเกษตร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ฝ่ายเศรษฐกิจยาง และส�ำนักงานตลาดกลางยางพารา จึงจ�ำเป็นต้องดึงศักยภาพของตนเองในการให้บริการ และพื้นที่ให้บริการของส�ำนักงานตลาดกลางยางพารา เพื่อเพิ่มศักยภาพการบริการของส�ำนักงานตลาดกลาง ยางพาราให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันมี ตลาดกลางยางพาราให้บริการ 8 ตลาด ใน 8 จังหวัด ได้แก่ สงขลา นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี หนองคาย บุรีรัมย์ ระยอง เชียงราย และยะลา (การยางแห่ง ประเทศไทย, 2565) ส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลา เป็นตลาดกลางยางพาราแห่งแรกของประเทศไทย ท�ำ หน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรวบรวม และกระจาย ผลผลิตจากผู้ขายไปยังผู้ซื้ออย่างโปร่งใส และเป็นธรรม บริการซื้อขายผลิตภัณฑ์ยางโดยเป็นผู้ให้บริการแบบ เบ็ดเสร็จ โดยมีการซื้อขายผลิตภัณฑ์ยางจ�ำนวน 3 ชนิด ได้แก่ ยางแผ่นดิบ ยางแผ่นรมควัน และน�้ำยาง สด โดยให้เกษตรกรชาวสวนยาง กลุ่มเกษตรกร สถาบันเกษตรกร และผู้ขายยางอื่น ๆ ในพื้นที่บริการ รวบรวมผลิตและน�ำมาขายให้กับตลาดกลาง โดยตลาด กลางจะท�ำการขายด้วยวิธีการประมูลหรือการตกลง ราคาให้กับกลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ ชุมนุมสหกรณ์ นิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนจ�ำกัด และบริษัทเอกชน ที่ ต้องการผลิตภัณฑ์ยางขั้นต้น โดยเขตพื้นที่ให้บริการ จะอยู่ในบริเวณพื้นที่จังหวัดสงขลา สตูล พัทลุง และ ตรัง โดยในปี 2564 มีปริมาณยางที่มีการซื้อ-ขายผ่าน ส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลา อยู่ที่ 60,750.21 ตัน เพิ่มขึ้น 29% จากปี 2563 ซึ่งมีปริมาณ อยู่ที่ 46,867.99 ตัน (ส�ำนักงานตลาดกลางจังหวัด สงขลา, 2565) แต่เมื่อพิจารณาพื้นที่การให้ผลผลิต


3 การบริการของส�ำนักงานตลาดกลายางพาราจังหวัด สงขลายังไม่ครอบคุลมพื้นที่ทั้งจังหวัด ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษา และวิเคราะห์ศักยภาพการให้บริการของส�ำนักงาน ตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลา ด้วยการประยุกต์ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เพื่อให้ทราบรูปแบบการ ด�ำเนินงานของส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัด สงขลา พื้นที่บริการ ปริมาณการผลิตรวมและปริมาณ ยาง ที่จ�ำหน่ายในพื้นที่บริการของส�ำนักงานตลาด กลางยางพาราจังหวัดสงขลา ศักยภาพในการให้ บริการของส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัด สงขลา และศึกษาข้อเสนอเชิงนโยบายเพิ่มเติมในการ เพิ่มศักยภาพการบริการของส�ำนักงานตลาดกลาง ยางพาราจังหวัดสงขลา แล้วน�ำผลการศึกษาที่ได้มา เป็นกรณีตัวอย่าง และพัฒนาใช้เป็นเครื่องมือใน วิเคราะห์ศักยภาพการให้บริการของส�ำนักงานตลาด กลางยางพาราจังหวัดอื่น ๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุน ในการวางแผนพัฒนาตลาดยางพาราของฝ่าย เศรษฐกิจยาง การยางแห่งประเทศไทย รวมถึงน�ำมา เป็นข้อมูลในการพัฒนาและปรับปรุงกลยุทธ์ วางแผน นโยบายต่างๆเกี่ยวกับตลาดยางพาราในประเทศต่อไป การวิเคราะห์ศักยภาพการให้บริการของ ส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลา ด้วยการ ประยุกต์ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ผู้วิจัยได้ใช้ข้อมูล จากฐานข้อมูลตลาดเครือข่ายของส�ำนักงานตลาด กลางยางพาราจังหวัดสงขลา ปีงบประมาณ 2563- 2565 และข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยท�ำการ สัมภาษณ์ตัวแทนของตลาดเครือข่าย ของส�ำนักงาน ตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลา จ�ำนวน 7 แห่ง เพื่อ ทราบถึงรูปแบบการด�ำเนินงาน ปริมาณการผลิตรวม และปริมาณผลผลิตที่จ�ำหน่ายเข้าส�ำนักงานตลาด กลางยางพาราจังหวัดสงขลา ศักยภาพการให้บริการ และแนวทางการเพิ่มศักยภาพการบริการ มีราย ละเอียดดังนี้ ตลาดเครือข่ายในพื้นที่จังหวัดสงขลา มี จ�ำนวนทั้งหมด 43 แห่ง เมื่อใช้โปรแกรม ArcGIS น�ำ ข้อมูลพิกัดต�ำแหน่งมาแปลงเป็นจุดแล้วซ้อนทับกับ ข้อมูลแผนที่จังหวัดสงขลา แล้วท�ำการ Buffer จาก จุดตลาดเครือข่าย 5 กิโลเมตร น�ำพื้นที่ Buffer ไป ท�ำการ Clip กับข้อมูลแผนที่พื้นที่ปลูกยางพารา ได้ เป็นพื้นที่ปลูกยางพาราที่เข้าถึงแต่ละตลาดเครือข่าย การวิเคราะห์ศักยภาพการให้บริการของส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลา ด้วยการประยุกต์ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ รูปแบบการด�ำเนินงานของส�ำนักงานตลาดกลาง ยางพาราจังหวัดสงขลา ภาพที่ 1 พื้นที่ปลูกยางพาราจังหวัดสงขลาที่เข้าถึงแต่ละ ตลาดเครือข่ายระยะ 5 กิโลเมตร อัตราส่วน 1: 1,250,000 รายชื่อตลาดเครือข่ายในพื้นที่จังหวัดสงขลา พิกัด ต�ำแหน่งที่ตั้ง พื้นที่ปลูกยางในพื้นที่ การเข้าถึงตลาดระยะ 5 กิโลเมตร ปริมาณผลผลิตยางในพื้นที่การเข้าถึงตลาด ระยะ 5 กิโลเมตร และปริมาณผลผลิตยางเข้าตลาด แสดง ดังตารางที่ 1 พื้นที่ปลูกยางพาราในจังหวัดสงขลาทั้งหมด จุดตลาดเครือข่าย พื้นที่ปลูกยางยางพาราในระยะบัฟเฟอร์ของ ตลาดเครือข่าย ระยะรัศมี 5 กิโลเมตร


4 การวิเคราะห์ศักยภาพการให้บริการของส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลา ด้วยการประยุกต์ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ รายชื่อตลาดเครือข่ายในพื้นที่จังหวัดสงขลา พิกัดต�ำแหน่งที่ตั้ง พื้นที่ปลูกยางในพื้นที่การเข้าถึงตลาด ระยะ 5 กิโลเมตร ปริมาณผลผลิตยางในพื้นที่การเข้าถึงตลาดระยะ 5 กิโลเมตร และปริมาณผลผลิตยางเข้าตลาด แสดงดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 รายชื่อตลาดเครือข่ายพิกัดต�ำแหน่งที่ตั้ง พื้นที่ปลูกยางในพื้นที่การเข้าถึงตลาดระยะ 5 กิโลเมตร ปริมาณผลผลิตยางในพื้นที่ และปริมาณผลผลิตยางเข้าตลาด ที่มีสัดส่วนปริมาณผลผลิตยางเข้าตลาดต่อ ปริมาณผลผลิตยางในพื้นที่มากที่สุด 5 อันดับแรก จากตลาดเครือข่าย 39 แห่งในพื้นที่จังหวัดสงขลา ตลาดเครือข่าย พิกัด (UTM) พื้นที่ปลูกยางใน ระยะการเข้าถึง ตลาด 5 กม. (ไร่) พื้นที่ให้ผลผลิต ในระยะการเข้า ถึงตลาด 5 กม. (ไร่) ปริมาณผลผลิตยาง ในระยะการเข้าถึง ตลาด 5 กม. (กิโลกรัม/ปี) ปริมาณผลผลิต ยางผ่านเข้าตลาด (กิโลกรัม/ปี) สัดส่วนปริมาณ ผลผลิตยางเข้า ตลาดต่อ ปริมาณผลผลิต ยางในพื้นที่ (ร้อยละ) กลุ่มเกษตรกรท�ำสวน บ้านนาปรังพัฒนา X: 680984.00 Y: 733100.77 38,202.00 33,124.57 7,386,779.60 1,958,997.90 26.52 สหกรณฺ์การเกษตร จะนะ จ�ำกัด X: 687597.80 Y: 767748.66 25,533.00 22,139.41 4,937,088.20 1,417,001.02 28.70 กลุ่มน�้ำยาง บ้านทัพหลวง X: 701275.33 Y: 729864.06 26,795.00 23,233.68 5,181,109.87 1,366,744.15 26.38 สหกรณ์การเกษตร นาหม่อม จ�ำกัด X: 671683.18 Y: 769520.51 30,765.00 26,676.02 5,948,753.32 899,890.66 15.13 กลุ่มเกษตรกรชาว สวนยาง สกย.นาทวี X: 670270.66 Y: 744386.97 36,864.00 31,964.41 7,128,062.48 598,229.76 8.39 หมายเหตุ: 1) ปริมาณผลผลิตยางในพื้นที่การเข้าถึงตลาดค�ำนวณจากผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ เท่ากับ 223 กิโลกรัม/ไร่ 2) พื้นที่ให้ผลผลิตค�ำนวณจากร้อยละของพื้นที่ให้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ เท่ากับ ร้อยละ 86.809 ผลการศึกษาพบว่ามีพื้นที่ปลูกยางในระยะการเข้า ถึงตลาด 5 กิโลเมตร รวมทั้งหมด เท่ากับ 1,350,011.00 ไร่ พื้นที่ให้ผลผลิตรวมทั้งหมด เท่ากับ 1,170,581.04 ไร่ ปริมาณผลผลิตยางในพื้นที่รวมทั้งหมด เท่ากับ 261,039,571.47 กิโลกรัม ปริมาณผลผลิตยางเข้า ตลาดรวมทั้งหมด เท่ากับ 13,005,520.36 กิโลกรัม/ปี คิดเป็นเพียงร้อยละ 4.98 ของปริมาณผลผลิตยางในพื้นที่ การเข้าถึงตลาด การด�ำเนินงานของส�ำนักงานตลาดกลางยางพารา มีตลาดเครือข่ายถือเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นก�ำลังหลักขับ เคลื่อนการด�ำเนินงาน ตลาดเครือข่ายจะท�ำหน้าที่ในการดึง ปริมาณยางเข้าตลาดกลางยางพารา ซึ่งตลาดเครือข่าย เปรียบเสมือนหน่วยธุรกิจที่ด�ำเนินงานด้วยตนเอง แต่จะอยู่ ภายใต้การดูแลและสนับสนุนของส�ำนักงานตลาดกลาง ยางพาราและการยางแห่งประเทศไทย มีรายได้จากการรับ ซื้อยางในพื้นที่แล้วส่งต่อให้กับส�ำนักงานตลาดกลางพารา ความสามารถในการดูดซับปริมาณยางของตลาดเครือข่าย ก็ส่งผลต่อความมีศักยภาพในการให้บริการของส�ำนักงาน ตลาดกลางยางพารา หากตลาดเครือข่ายดูดซับปริมาณยาง ได้มาก ส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจะมีปริมาณยางเข้า ตลาดมากเช่นกัน เมื่อส�ำนักงานตลาดกลางยางพารา สามารถดึงปริมาณยางเข้าตลาดได้มาก ก็หมายความว่า ส�ำนักงานตลาดกลางยางพารามีศักยภาพในการให้บริการ ตลาดเครือข่ายที่มีสัดส่วนปริมาณผลผลิตยางเข้าตลาด


5 (1) พื้นที่ปลูกยางพาราในเขตการเข้าถึงตลาดเครือ ข่ายรายต�ำบล (2) พื้นที่นอกเขตเข้าถึงตลาดเครือข่าย พื้นที่ต�ำบลในจังหวัดสงขลา พื้นที่ปลูกยางพาราในเขตบัฟเฟอร์ตลาดเครือข่าย จุดตลาดเครือข่าย พื้นที่นอกเขตเข้าถึงตลาดเครือข่าย การวิเคราะห์ศักยภาพการให้บริการของส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลา ด้วยการประยุกต์ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ต่อปริมาณผลผลิตยางในพื้นที่มากที่สุด 5 อันดับแรก ถือได้ว่าเป็นตลาดเครือข่ายมีความสามารถในการดูด ซับปริมาณยางมากที่สุดในพื้นที่จังหวัดสงขลา ผลการศึกษาพบว่าพื้นที่ปลูกยางพารา ทั้งหมดในจังหวัดสงขลา เท่ากับ 2,168,939.00 ไร่ เป็นพื้นที่ให้ผลผลิตทั้งหมด เท่ากับ 1,880,665.32 ไร่ มีปริมาณผลผลิตทั้งหมด เท่ากับ 419,388,365.80 กิโลกรัม/ปี ปริมาณผลผลิตเข้าตลาดเครือข่ายราย ต�ำบลทั้งหมด เท่ากับ 13,047,446.18 กิโลกรัม/ปี ปริมาณผลผลิตเข้าตลาดเครือข่ายคิดเป็นร้อยละ ต�ำบลที่มีสัดส่วนปริมาณผลผลิตเข้าตลาด เครือข่ายรายต่อปริมาณผลผลิตทั้งหมดมากที่สุด คือ ต.นาหม่อม (อ.นาหม่อม) เท่ากับร้อยละ 60.96 ซึ่งถือ ตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลามีศักยภาพการ บริการด้านพื้นที่ในการดูดซับปริมาณผลผลิตในพื้นที่ นี้ เนื่องจากมีสัดส่วนปริมาณผลผลิตเข้าตลาดเครือ ข่ายต่อปริมาณผลผลิตทั้งหมดในพื้นที่ค่อนข้างมาก นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านพื้นที่ในการดูด ซับปริมาณผลผลิตในพื้นที่อื่น ๆ ดังตารางที่ 2 ต�ำบล ปริมาณผลผลิตในพื้นที่ (กิโลกรัม/ปี) ปริมาณยางเข้าตลาดเครือข่ายรายต�ำบล (กิโลกรัม/ปี) สัดส่วนปริมาณผลผลิตยางเข้าตลาดต่อ ปริมาณผลผลิตยางในพื้นที่ (ร้อยละ) (อ.นาหม่อม) ต.นาหม่อม 1,476,118.41 899,890.66 60.96 (อ.จะนะ) ต.บ้านนา 2,335,608.36 1,417,001.02 60.67 (อ.รัตภูมิ) ต.คูหาใต้ 2,402,898.02 1,366,744.15 56.88 (อ.นาทวี) ต.คลองกวาง 8,368,280.39 1,958,997.90 23.41 (อ.นาทวี) ต.ปลักหนู 3,487,653.62 509,811.12 14.62 ตารางที่ 2 พื้นที่ที่ตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลามีศักยภาพการบริการด้านพื้นที่ในการดูดซับปริมาณ ผลผลิตในพื้นที่มากที่สุด 5 อันดับแรก พื้นที่ศักยภาพในการเข้าถึงตลาดเครือข่าย และพื้นที่นอกเขตเข้าถึงตลาดเครือข่าย ของส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลา จากการท�ำการ Buffer จากจุดตลาดเครือ ข่าย 5 กิโลเมตร น�ำพื้นที่ Buffer ไปท�ำการ Clip กับข้อมูลแผนที่พื้นที่ปลูกยางพาราได้เป็นพื้นที่ปลูก ยางพาราที่เข้าถึงแต่ละตลาดเครือข่ายแล้วแบ่งแยก ข้อมูลตามเขตต�ำบลท�ำให้ได้ข้อมูลพื้นที่ปลูก ยางพาราในเขตการเข้าถึงตลาดเครือข่ายรายต�ำบล และพื้นที่นอกเขตเข้าถึงตลาดเครือข่าย ภาพที่ 2 พื้นที่ปลูกยางพาราในเขตการเข้าถึงตลาดเครือ ข่ายรายต�ำบล และพื้นที่นอกเขตเข้าถึงตลาดเครือข่าย อัตราส่วน 1: 1,300,000 (1) (2)


6 การวิเคราะห์ศักยภาพการให้บริการของส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลา ด้วยการประยุกต์ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ น�ำชุดมูลมาค�ำนวณพื้นที่ให้ผลผลิตและ ปริมาณผลผลิตในพื้นที่ แยกเป็นพื้นที่ในเขตการเข้า ถึงตลาดเครือข่าย และพื้นที่นอกเขตเข้าถึงตลาด เครือข่าย ผลการศึกษาพบว่า พื้นที่ในเขตการเข้าถึง ตลาดเครือข่ายในระยะรัศมี 5 กิโลเมตร มีพื้นที่ปลูก ยางทั้งหมด เท่ากับ 862,187.00 ไร่ เป็นพื้นที่ให้ ผลผลิต เท่ากับ 747,593.73 ไร่ คิดเป็นผลผลิต เท่ากับ 166,713,400.86 กิโลกรัม/ปี คิดเป็นร้อยละ 39.75 ของพื้นที่ทั้งหมด ส่วนพื้นที่นอกเขตการเข้าถึง ตลาดเครือข่ายในระยะรัศมี 5 กิโลเมตร มีพื้นที่ปลูก ยางทั้งหมด เท่ากับ 1,307,038.00ไร่ เป็นพื้นที่ให้ ผลผลิต เท่ากับ 1,133,319.58 ไร่ มีผลผลิตเท่ากับ 252,730,266.21 กิโลกรัม/ปี คิดเป็นร้อยละ 60.25 ของพื้นที่ทั้งหมด ศักยภาพการให้บริการในส่วนนี้จะค�ำนึงถึง ความสามารถในการเข้าถึงตลาดเครือข่ายและมี ความหนาแน่นของพื้นที่ปลูกยาง พื้นที่ที่มีสัดส่วน พื้นที่ปลูกยางในเขตการเข้าถึงตลาดเครือข่ายต่อ พื้นที่ปลูกยางทั้งหมดมากจึงถือเป็นพื้นที่ที่มี ศักยภาพในการเข้าถึงจุดบริการของส�ำนักงานตลาด กลางยางพาราจังหวัดสงขลาพื้นที่ปลูกยางที่มี สัดส่วนพื้นที่ปลูกยางที่อยู่ในเขตการเข้าถึงตลาด เครือข่ายต่อพื้นที่ทั้งหมดมากที่สุด คือ พื้นที่ต.ท่า ข้าม (อ.หาดใหญ่) ซึ่งมีพื้นที่ปลูกยาง 11,392 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 100 ของพื้นที่ทั้งหมด ยังมีพื้นที่อื่น ๆ ที่มีสัดส่วนพื้นที่ปลูกยางที่อยู่ในเขตการเข้าถึงตลาด เครือข่ายต่อพื้นที่ทั้งหมดมากที่สุด 5 อันดับแรก ดังตารางที่ 3 ตารางที่ 3 พื้นที่ที่มีศักยภาพในการเข้าถึงจุดบริการของส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลา มากที่สุด 5 อันดับแรก ต�ำบล พื้นที่ (ไร่) พื้นที่ให้ผลผลิต (ไร่) ปริมาณผลผลิต (ไร่) สัดส่วนพื้นที่ปลูกยางในเขตการเข้าถึงตลาด เครือข่ายต่อพื้นที่ปลูกยางทั้งหมดในต�ำบล (ร้อยละ) (อ.หาดใหญ่) ต.ท่าข้าม 11,392.00 9,877.89 2,202,769.31 100.00 (อ.นาหม่อม) ต.นาหม่อม 7,590.00 6,581.21 1,467,610.52 99.42 (อ.ควนเนียง) ต.บางเหรียง 30,255.00 26,233.81 5,850,139.17 98.86 (อ.รัตภูมิ) ต.ควนรู 11,657.00 10,107.67 2,254,009.99 98.00 (อ.จะนะ) ต.จะโหนง 17,365.00 15,057.02 3,357,714.98 97.07 นอกจากนี้เมื่อมีพื้นที่ที่มีศักยภาพในการเข้าถึงจุดบริการของส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัด สงขลา ก็ยังมีพื้นที่นอกเขตการเข้าถึงตลาดเครือข่ายในระยะรัศมี 5 กิโลเมตร ผู้วิจัยจึงเล็งเห็นจุดที่ควรเพิ่ม ตลาดเครือข่ายเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านพื้นที่ในการเข้าถึงจุดบริการของส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัด สงขลาในพื้นที่ดังกล่าว


7 การวิเคราะห์ศักยภาพการให้บริการของส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลา ด้วยการประยุกต์ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ แนวทางการเพิ่มศักยภาพการให้บริการของส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลา จากพื้นที่นอกเขตการเข้าถึงตลาดเครือข่ายในระยะรัศมี 5 กิโลเมตร เมื่อค�ำนวณพื้นที่ปลูกยางจะเห็น ถึงพื้นที่ที่มีการปลูกยางจ�ำนวนมากแต่อยู่นอกเขตการเข้าถึงตลาดเครือข่ายในระยะรัศมี 5 กิโลเมตร จึงควรเพิ่ม จุดตลาดเครือข่าย โดยพื้นที่ที่ควรเพิ่มตลาดเครือข่ายมากที่สุด 10 อันดับแรก ดังตารางที่ 4 ตารางที่ 4 พื้นที่ที่ควรเพิ่มตลาดเครือข่ายมากที่สุด 10 อันดับแรก ต�ำบล พื้นที่ (ไร่) พื้นที่ให้ผลผลิต (ไร่) ปริมาณผลผลิต (กก./ปี) (อ.เทพา) ต.ท่าม่วง 38,915.00 33,742.81 7,524,646.04 (อ.นาทวี) ต.ทับช้าง 41,508.00 35,991.17 8,026,031.29 (อ.นาทวี) ต.สะท้อน 47,529.00 41,211.92 9,190,258.30 (อ.รัตภูมิ) ต.ท่าชะมวง 31,232.00 27,080.95 6,039,052.94 (อ.สะเดา) ต.ส�ำนักขาม 52,943.00 45,906.35 10,237,115.13 (อ.สะเดา) ต.ส�ำนักแต้ว 76,657.00 66,468.52 14,822,479.54 (อ.สะเดา) ต.ปาดังเบซาร์ 56,951.00 49,381.64 11,012,106.30 (อ.สะบ้าย้อย) ต.เขาแดง 42,538.00 36,884.27 8,225,193.20 (อ.หาดใหญ่) ต.ทุ่งต�ำเสา 38,532.00 33,410.71 7,450,588.75 (อ.หาดใหญ่) ต.พะตง 51,732.00 44,856.30 10,002,954.87 ภาพที่ 3 จุดตั้งตลาดเครือข่ายเดิม และจุดที่ควรเพิ่มเติมอัตราส่วน 1: 1,300,000 จุดตั้งตลาดเครือข่ายเดิม และจุดที่ควรเพิ่มเติม โดยมีพื้นที่ต�ำบลในจังหวัดสงขลา จุดตลาดเครือข่าย พื้นที่ปลูกยางนอกเขตเข้าถึงตลาดเครือข่าย จุดตลาดเครือข่ายที่ควรเพิ่มเติม


8 การวิเคราะห์ศักยภาพการให้บริการของส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลา ด้วยการประยุกต์ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ผลการสัมภาษณ์เกี่ยวกับศักยภาพการให้ บริการด้านทั่วไปของส�ำนักงานตลาดกลางยางพารา จังหวัดสงขลา เพื่อทราบถึงการมีศักยภาพอื่น ๆ ที่จะมี ผลต่อการด�ำเนินงานของส�ำนักงานตลาดกลางยางพารา จังหวัดสงขลา โดยประเด็นในการสัมภาษณ์ที่เกี่ยวข้อง ศักยภาพการบริการของส�ำนักงานตลาดกลางยางพารา จังหวัดสงขลา รวม 5 ด้าน ดังนี้ 1. ศักยภาพในการให้บริการด้านความเป็นรูปธรรม ของการบริการ จากสัมภาษณ์ตัวแทนตลาดเครือ ข่ายของส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัด สงขลาพบว่าศักยภาพในการบริการในด้านความเป็น รูปธรรมของการบริการมีระดับความคาดหวังเฉลี่ย 4.96 ระดับการรับรู้เฉลี่ย 4.46 แสดงว่าส�ำนักงาน ตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลามีศักยภาพในการ บริการในด้านความเป็นรูปธรรมของการบริการมาก มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมาให้บริการ ท�ำให้ผู้ซื้อผู้ ขายมีความสะดวกสบายในการใช้บริการ มีการใช้โซ เชียลมีเดียและจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ในการติดต่อ สื่อสาร แจ้งข่าวสารข้อมูลต่างๆ และยังใช้ในการ ด�ำเนินเอกสาร มีการใช้ระเบียบรองรับที่ชัดเจนใน การให้บริการซื้อขาย มีการใช้มาตรฐานของ ISO เข้า มาควบคุมมาตรฐานของระบบการท�ำงานมีการ ก�ำหนดระเบียบในการเข้าเป็นตลาดเครือข่าย สถาน ที่มีความเหมาะสม อุปกรณ์มีเพียงพอในการให้ บริการ ให้ความสะดวกในการใช้บริการ พนักงานมี ความพร้อมในการปฏิบัติงานมีความเต็มใจให้บริการ มีความตั้งใจท�ำงาน ควรมีการพูดคุยกันในการ ก�ำหนดหรือแก้ไขระเบียบการซื้อขายกับผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียมีการปรับปรุงนโยบายบริหารจัดการให้มี ความเหมาะสมกับอุตสาหกรรมยางพาราที่เป็นอยู่ มากยิ่งขึ้น 2. ศักยภาพในการให้บริการด้านความน่าเชื่อถือ หรือไว้ใจได้ในการบริการ จากสัมภาษณ์ตัวแทน ตลาดเครือข่ายของส�ำนักงานตลาดกลางยางพารา จังหวัดสงขลาพบว่า ศักยภาพในการบริการในด้าน ความน่าเชื่อถือหรือไว้ใจได้ในการบริการ มีระดับ ความคาดหวังเฉลี่ย 4.86 ระดับการรับรู้เฉลี่ย 4.43 แสดงว่าส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัด สงขลามีศักยภาพในการบริการในด้านความน่าเชื่อ ถือหรือไว้ใจได้ในการบริการมาก จากการอยู่ภายใต้ การดูแลของการยางแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กร หลักในการรับผิดชอบดูแลการบริหารจัดการ ยางพารา ท�ำให้มีความเชื่อมั่นในการด�ำเนินงาน มี ความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ซื้อผู้ขาย มีความภักดีของผู้ใช้ บริการ (Brand Loyalty) มีความเชื่อใจ มี มาตรฐานการคัดคุณภาพยางที่ชัดเจนถูกต้องเป็นไป ตามมาตรฐานการยางแห่งประเทศไทยจนบางครั้ง มองว่าเข้มงวดจนเกินไป เครื่องชั่งมีความแม่นย�ำมี การตรวจและรับรองจากส�ำนักงานกลางชั่งตวงวัด ทุก ๆ 6 เดือน มีการทดสอบก่อนชั่งจริงทุกวันต่อ หน้าผู้ใช้บริการแสดงถึงการให้ความส�ำคัญกับผล ประโยชน์ของผู้ใช้บริการควรมีห้องปฏิบัติการทาง วิทยาศาสตร์เป็นของตนเองเพื่อที่จะสามารถ ทดสอบยางได้เองท�ำให้เราเทียบกับภาคเอกชนได้ 3. ศักยภาพในการให้บริการด้านการตอบสนอง ความต้องการ จากสัมภาษณ์ตัวแทนตลาดเครือข่าย ของส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลาพบ ว่าศักยภาพในการบริการในด้านการตอบสนอง ความต้องการ มีระดับความคาดหวังเฉลี่ย 4.89 ระดับการรับรู้เฉลี่ย 4.54 แสดงว่าส�ำนักงานตลาด กลางยางพาราจังหวัดสงขลามีศักยภาพในการ บริการในด้านการตอบสนองความต้องการมากที่สุด มีความพึงพอใจในราคาที่ได้รับ เนื่องจากราคาที่ได้


9 การวิเคราะห์ศักยภาพการให้บริการของส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลา ด้วยการประยุกต์ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ รับสูงกว่าราคาตลาดท้องถิ่น แต่ต้องการให้มีราคาที่ สูงขึ้นกว่านี้ มีการบริการอย่างครบวงจร ตั้งแต่การ บริการข้อมูลการผลิตมาตรฐานและคุณภาพยาง จนถึงการซื้อขายยาง มีการลงมาส�ำรวจตลาดเครือ ข่ายให้ค�ำแนะน�ำเพิ่มเติม ขั้นตอนการให้บริการ สะดวก พนักงานมีจ�ำนวนไม่ค่อยเพียงพอ ระบบการ โอนเงินค่ายางยังมีความล่าช้าเล็กน้อย การด�ำเนิน เอกสารใบเสร็จรับเงินยังมีความล่าช้า การซื้อขาย ยางหลากหลายชนิด คัดแยกคุณภาพชัดเจน มีขั้น ตอนการรับบริการอย่างเป็นระบบ มีเวลาท�ำการ ชัดเจน ควรมีการเพิ่มสาขาของตลาดกลางยางพารา มีการเพิ่มอุปกรณ์ในการผลิต/การขนส่ง ส�ำหรับให้ ตลาดเครือข่ายสามารถหยิบยืมได้ ควรมีการมา แนะน�ำการผลิตยางให้ได้มาตรฐานมากขึ้นพร้อมทั้ง ให้ค�ำแนะน�ำทางด้านการเงินกับเกษตรกรและตลาด เครือข่ายเพิ่มมากขึ้น เพิ่มโอกาสให้ยางมีราคาสูงขึ้น 4. ศักยภาพในการให้บริการด้านการให้ความมั่นใจ แก่ผู้รับบริการ จากสัมภาษณ์ตัวแทนตลาดเครือข่าย ของส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลาพบ ว่า ศักยภาพในการบริการในด้านการให้ความมั่นใจ แก่ผู้รับบริการ มี ระดับความคาดหวังเฉลี่ย 4.86 ระดับการรับรู้เฉลี่ย 4.62 แสดงว่าส�ำนักงานตลาด กลางยางพาราจังหวัดสงขลามีศักยภาพในการ บริการในด้านการให้ความมั่นใจแก่ผู้รับบริการมาก ที่สุด มีผู้น�ำที่ดี มีการท�ำงานอย่างเป็นระบบสามารถ ตรวจสอบได้ การด�ำเนินงานเป็นไปตามระเบียบข้อ บังคับของหน่วยงานและภาครัฐ มีความโปร่งใสใน การท�ำงาน พนักงานมีความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติ งาน แต่ยังต้องเพิ่มการท�ำความเข้าใจในบริบททาง ด้านสังคมในท้องถิ่น มีความมั่นใจและเชื่อใจใน ส�ำนักงานตลาดกลางยาพาราว่าพนักงานปฏิบัติงาน ด้วยความเที่ยงตรงสุจริต ไม่เคยพบเจอการทุจริต ควรมีการเปิดเผยข้อมูลด�ำเนินงานเพิ่มมากขึ้นเพื่อ ความโปร่งใสของตลาดกลางยางพารา สร้างความ เชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการ มีการตรวจสอบเกณฑ์การ จัดชั้นยางเล็กน้อย มีการจ�ำแนกยางตามมาตรการ ผลิตเพื่อให้ให้ราคาที่เหมาะสม เช่น ยางที่ผลิตโดย ควบคุมมาตรฐาน ISO GMP หรือ FSC ควรแยกกับ ยางที่ผลิตด้วยมาตรฐานทั่วไป 5. ศักยภาพในการให้บริการด้านการเอาใจใส่ในการ บริการ จากสัมภาษณ์ตัวแทนตลาดเครือข่ายของ ส�ำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลาพบว่า ศักยภาพในการบริการในด้านการให้ความมั่นใจแก่ ผู้รับบริการ มีระดับการรับรู้เฉลี่ย 4.52 ระดับความ คาดหวังเฉลี่ย 4.86 แสดงว่าส�ำนักงานตลาดกลาง ยางพาราจังหวัดสงขลามีศักยภาพในการบริการใน ด้านการให้ความมั่นใจแก่ผู้รับบริการมากที่สุด พนักงานมีกิริยามารยาท สุภาพ เป็นมิตร อัธยาศัยดี มีมนุษย์สัมพันธ์ดีให้การต้อนรับผู้ใช้บริการดี พนักงานปฏิบัติงานอย่างไม่เลือกปฏิบัติ แต่ด้วย ความที่พนักงานอาจมีจ�ำนวนไม่เพียงพอจึงเอาใจใส่ ได้ไม่ทั่วถึงในบางครั้ง มีการเอาใจใส่ผู้ใช้บริการแต่ละ คนอย่างเท่าเทียมกัน ส�ำนักงานตลาดกลางยางพารา จังหวัดสงขลามีการรับฟังความคิดเห็น มีการส�ำรวจ ความคิดเห็นอยู่บ้าง มีการมาประชุมพูดคุยเมื่อมี ปัญหาและให้ค�ำแนะน�ำ ควรประสาน ให้มีการ สื่อสารกันระหว่างผู้ซื้อผู้ขายผ่านตัวกลางคือตลาด กลางยางพารา สร้างความสัมพันธ์เชื่อมต่อมุมมอง ระหว่างผู้ซื้อผู้ขายในด้านความต้องการของผู้ใช้ยาง และความสามารถในการผลิตของผู้ขาย ควรมีการ ส�ำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ 2-3 เดือน/ครั้ง ซักถามข้อเสนอแนะต่าง ๆ และควรสื่อสารถึงผู้น�ำ ตลาดเครือข่ายโดยตรง


10 การจ�ำแนกอายุรายปีแปลงปลูกยางพารา การจ�ำแนกอายุรายปีแปลงปลูกยางพารา โดย สุเพชร จิรขจรกุล1 แสงดาว วงค์สาย1 วิญญู โครมกระโทก2 และ ดิษฐเดช วัฒนาพร3 1 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2 ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเศรษฐกิจยาง การยางแห่งประเทศไทย 3 ฝ่ายพัฒนาเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร การยางแห่งประเทศไทย ปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐ น�ำโดยกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ ได้มีการจัดท�ำฐานข้อมูล เกษตรกรที่เพาะปลูกพืชต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมถึง พืชเศรษฐกิจยางพารา การขึ้นทะเบียนเกษตรกรสวน ยางพารา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 มีการระบุข้อมูลส�ำคัญ ที่บ่งบอกอายุและขนาดพื้นที่ปลูก คือ ข้อมูลปีที่เริ่ม ปลูก และลักษณะรูปแปลงที่สามารถอ้างอิงต�ำแหน่ง พิกัดทางภูมิศาสตร์ได้ ตามล�ำดับ การทราบอายุและ ขนาดพื้นที่เป็นข้อมูลต้นน�้ำที่ส�ำคัญของห่วงโซ่คุณค่า ของอุตสาหกรรมยางพารา เช่น การประมาณการ ผลผลิตน�้ำยางและปริมาณไม้ยางพารา การแปรรูป ผลิตภัณฑ์ การประกันราคายางพาราในท้องตลาด การชดเชยความเสียหายจากภัยพิบัติ และการลด ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อ การผลิตยางพารา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การบันทึก ข้อมูลลักษณะรูปแปลงของเกษตรกรรายบุคคลให้ถูก ต้อง ครบถ้วน และครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ต้อง ใช้งบประมาณ ระยะเวลา และก�ำลังคน ข้อมูลที่จัด เก็บได้ในปัจจุบันจึงยังมีข้อจ�ำกัดด้านความถูกต้อง และความทันสมัย ยากต่อการน�ำไปสร้างสมการทาง คณิตศาสตร์เพื่อพยากรณ์ผลผลิตที่มีความถูกต้อง และแม่นย�ำ ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลของการวางแผนและการบริหารจัดการ อุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบ ดังนั้นการพัฒนาฐาน ข้อมูลการเกษตรที่มีความแม่นย�ำ (Precision Agriculture) ของพื้นที่เพาะปลูกยางพารา ให้เป็นข้อมูล พื้นฐานหรือข้อมูลต้นน�้ำที่มีความถูกต้องเชิงพื้นที่สูง ด้วยการใช้เทคโนโลยีด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS) และการ รับรู้ระยะไกล (Remote Sensing: RS) ที่สามารถ ช่วยในการส�ำรวจพื้นที่เพาะปลูกยางพาราในระดับ ประเทศ (สุทัศน์, 2553 และ กฤษดาและคณะ, 2565) จะช่วยยกระดับการบริหารจัดการการเพาะ ปลูกแบบองค์รวมและสมัยใหม่ (Smart Farming) เพื่อลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ป้องกันผลกระทบของ ผลผลิตที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิ อากาศ อีกทั้งข้อมูลต้นน�้ำที่มีความถูกต้องสูงนี้ ยัง รองรับและส่งเสริมการผลิตและแปรรูปสินค้าจาก วัตถุดิบยางพาราในอุตสาหกรรมกลางน�้ำ และปลาย น�้ำ และที่ส�ำคัญเป็นข้อมูลพื้นฐานประกอบการตัดสิน ใจในการวางแผนพัฒนา แผนด�ำเนินงาน ตาม ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการยางพาราของประเทศ ทั้งระบบ การศึกษาวิจัยนี้เป็นการประยุกต์ใช้องค์ ความรู้จากผลการวิจัยการจ�ำแนกอายุแปลงปลูก ยางพาราที่ได้ศึกษาวิจัยไปก่อนหน้านี้ในพื้นที่อ�ำเภอ ถลาง จังหวัดภูเก็ต (Somching et. al., 2020) มา ขยายผลในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีพื้นที่เพาะ ปลูกยางพารามากที่สุดของประเทศ เพื่อพัฒนาองค์ ความรู้ในการจ�ำแนกอายุแปลงปลูกรายปีที่จะ สามารถประยุกต์ใช้ในการสร้างฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ อายุรายปีแปลงปลูกยางพาราของประเทศ


11 การจ�ำแนกอายุรายปีแปลงปลูกยางพารา วิธีการวิจัย ขอบเขตการวิจัย พื้นที่ปลูกยางพาราในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ข้อมูลที่ใช้ในการวิจัย ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม ในการศึกษาวิจัยนี้ได้มีการใช้ข้อมูลอนุกรมเวลา ภาพถ่ายดาวเทียม Landsat ย้อนหลัง 33 ปี โดยจะท�ำการ ดาวน์โหลดภาพถ่ายดาวเทียม Landsat Collection 2 Level-2 (Surface Reflectance) จากดาวเทียม Landsat 8 OLI/TIRS, Landsat 7 ETM+, Landsat 4-5 TM (Landsat WRS Path 124 Row 54) ซึ่งมีจ�ำนวนทั้งหมด 875 ภาพ และครอบคลุมพื้นที่ประมาณร้อยละ 95 ของ พื้นที่ปลูกยางพาราในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามรูปภาพที่ 1 ทั้งนี้ได้ก�ำหนดเดือนสิ้นสุดช่วงเวลาศึกษาในเดือนที่ 4 ของปี 2565 เนื่องจากเป็นเดือนสิ้นสุดฤดูแล้งในพื้นที่ศึกษา ทั้งนี้ช่วงระยะเวลาหนึ่งปีที่ใช้ในการศึกษาวิจัยเริ่มตั้งแต่ เดือนที่ 5 ไปถึงสิ้นเดือนที่ 4 ในปีถัดไป เพื่อให้ตรงกับช่วง สิ้นสุดฤดูกาล รูปภาพที่ 1 Landsat scene ข้อมูลทุติยภูมิจากหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง • พื้นที่ปลูกยางพาราจากข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดิน (land use) ในพื้นที่ศึกษา ปี 2561 จาก กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ • ภาพถ่ายดาวเทียมไทยโชต ภาพถ่ายดาวเทียม Zi Yuan-3 ภาพถ่ายดาวเทียม SPOT-6 และ SPOT-7 ความละเอียด 2 เมตร จาก GISTDA WMS • ข้อมูลรูปแปลงที่ดิน จากกรมที่ดิน • ภาพถ่ายทางอากาศความละเอียดสูงหลายช่วงเวลา/ปี จาก Google Earth Platform ข้อมูลปฐมภูมิ และทุติยภูมิ (ข้อมูลส�ำหรับประเมินความ ถูกต้องของผลผลิต) • ข้อมูลการส�ำรวจภาคสนามพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี จาก โครงการวิจัยการประยุกต์ใช้ระบบภูมิสารสนเทศ เพื่อจัดท�ำฐานข้อมูลแผนที่พื้นที่ยืนต้นยางพาราใน การประเมินผลผลิตยางพาราตามช่วงอายุ ประเทศไทย ปีงบประมาณ 2564 จากการยางแห่ง ประเทศไทย ขั้นตอนการด�ำเนินงาน การเตรียมข้อมูล แปลงปลูกตัวอย่าง: ท�ำการเลือกแปลงปลูก ตัวอย่างในพื้นที่ศึกษาให้กระจากครอบคลุมพื้นที่ปลูก ยางพาราทั้งพื้นที่ภาพถ่าย Landsat โดยการสุ่มแบบเป็น ระบบตามพื้นที่ (Spatial Systematic Sampling) และ แบบแบ่งชั้นตามปีที่เริ่มการปลูก (Stratified Sampling) โดยแบ่งพื้นที่ศึกษาออกเป็น 10 ตารางกิโลเมตร ท�ำการ สุ่มแปลงปลูกตัวอย่างอย่างน้อย 4 แปลงในแต่ละพื้นที่ 10 ตารางกิโลเมตร และท�ำการเลือกแปลงปลูกที่มีปีเริ่ม การเพาะปลูกไม่ซ�้ำกัน และกระจายในช่วงเวลา 33 ปี โดย ใช้ข้อมูลพื้นที่การเพาะปลูกยางพาราที่คัดมาจากข้อมูลการ ใช้ประโยชน์ที่ดินที่ได้มาจากกรมพัฒนาที่ดิน ที่อยู่ใน


12 การจ�ำแนกอายุรายปีแปลงปลูกยางพารา ลักษณะรูปหลายเหลี่ยม (Polygon) มาเป็น Region of Interest (ROI) และข้อมูลภาพถ่ายแปลงปลูกยางพาราจาก GISTDA WMS ส�ำหรับระบุและตรวจสอบความถูกต้องของ ข้อมูลพื้นที่การเพาะปลูกของกรมพัฒนาที่ดิน ทั้งนี้ได้มีการ Re-shape และ Re-digitize รูปหลายเหลี่ยมแปลงปลูกให้ มีความถูกต้องเชิงพื้นที่มากที่สุด หลังจากท�ำการตรวจสอบ ความถูกต้องเชิงพื้นที่รูปหลายเหลี่ยมแปลงปลูกยางพารา แล้ว จากนั้นท�ำการระบุปีที่มีการเริ่มปลูกยางพาราให้กับรูป หลายเหลี่ยมแปลงปลูกตัวอย่าง โดยใช้ข้อมูลแปลงปลูก ยางพาราจาก GISTDA WMS และ ภาพถ่ายทางอากาศที่ มีความละเอียดสูงหลายช่วงเวลาจากแพลตฟอร์ม Google Earth หาช่วงวันที่มีการเตรียมพื้นที่และเริ่มปลูกยางพารา ร่วมกับการวิเคราะห์อนุกรมเวลาดัชนีพืชพรรณที่ได้จากการ สกัดภาพอนุกรมเวลาภาพถ่ายดาวเทียม Landsat ท�ำการแบ่งรูปหลายเหลี่ยมทั้งหมดที่ท�ำการระบุ ปีเริ่มปลูกออกเป็น 2 ส่วน ส�ำหรับการเรียนรู้และประมาณ การของแบบจ�ำลอง ประมาณร้อยละ 90 (Model Training) และส�ำหรับการประเมินความถูกต้องของการจ�ำแนกพื้นที่ ปลูกและอายุแปลงปลูกยางพารา ประมาณร้อยละ 10 (Product Validation) โดยข้อมูลแปลงปลูกในส่วนส�ำหรับ การประเมินความถูกต้องจะน�ำไปรวมกับข้อมูลการส�ำรวจ ภาคสนามที่ได้จาก กยท. หลังจากนั้นท�ำการสร้าง Point of Interest (POI) จากจุดกึ่งกลางของรูปหลายเหลี่ยมแปลง ปลูกยางพาราที่ได้จากการก�ำหนด ROI และได้ท�ำการระบุ ปีที่มีการเริ่มปลูกยางพาราแล้ว ทั้งนี้ได้มีการแบ่งข้อมูล ROI และ POI ออกเป็น 70 และ 30 ส�ำหรับการสร้างและประเมิน ประสิทธิภาพตัวแบบจ�ำลอง (Model Training and Testing) โดยได้มีการแบ่งข้อมูลส�ำหรับสร้างและทดสอบแบบจ�ำลอง นี้ออกเป็นกลุ่ม ๆ ตามพื้นที่แปลงปลูกยางพารา คือ (1) พื้นที่ราบทั่วไป (Plainland: PL) ที่เคยเป็นป่า เป็นแปลง ปลูกยางพารา หรือปาล์มน�้ำมันมาก่อน (2) พื้นที่สูงชันตาม ไหล่เขา (Hillside: HS) ที่เคยเป็นป่า หรือเป็นแปลงปลูก ยางพารามาก่อน (3) พื้นที่ราบลุ่ม ที่เคยเป็นนาข้าวมาก่อน (Post Active Paddy Field: P1) (4) พื้นที่ราบลุ่ม ที่เคย เป็นนาข้าวร้างมาก่อน (Post Abandoned Paddy Field: P2) และ (5) พื้นที่ราบลุ่ม ที่เคยเป็นพื้นที่ป่าชายเลนหรือป่า พรุน�้ำท่วมขังเสื่อมโทรมมาก่อน (Post Forest/Shrub Swamp: SS) ซึ่งลักษณะโปรไฟล์ดัชนีสเปกตรัมของแปลง ปลูกตัวอย่างมีความแตกต่างกัน ภาพถ่ายดาวเทียม Landsat: การประมวลผล ภาพถ่ายดาวเทียม Landsat จ�ำนวน 832 ภาพ ในช่วงเวลา ย้อนหลังมากกว่า 33 ปี และการสกัดค่าดัชนีพืชพรรณ (Normalized Difference Vegetation Index: NDVI) นั้น ด�ำเนินการบนแพลตฟอร์ม Google Earth Engine (GEE) ทั้งนี้ภาพถ่ายดัชนีพืชพรรณได้จากการสกัดค่าแต่ละ ภาพถ่ายดาวเทียม Landsat ที่น�ำเมฆออกที่แล้ว ถูกดาวน์โหลดจากแพลตฟอร์มมาสร้างเป็นอนุกรมเวลา ภาพถ่ายค่าดัชนีพืชพรรณ จากนั้นน�ำ POI ของแปลงปลูก ตัวอย่างที่ได้จากการสุ่มในขั้นตอนเตรียมข้อมูลแปลงปลูก ตัวอย่างมาสกัดและสร้างอนุกรมเวลาค่าดัชนีพืชพรรณ ส�ำหรับแปลงปลูกตัวอย่าง การสร้างแบบจ�ำลองและการพยากรณ์อายุแปลงปลูก ท�ำการวิเคราะห์อนุกรมเวลาค่าดัชนีพืชพรรณของ แปลงปลูกตัวอย่างที่ทราบปีเริ่มการเพาะปลูก โดยท�ำการ สร้างตัวแปรพยากรณ์ ส�ำหรับแบบจ�ำลอง โดยใช้คุณสมบัติ ของโปรไฟล์ดัชนีพืชพรรณระหว่างปี (Inter-annual NDVI profile) ที่มีลักษณะการตกลงของค่าดัชนีพืชพรรณในปีที่ มีการเตรียมพื้นที่เริ่มการเพาะปลูกอย่างมีนัยส�ำคัญ ตามตัวอย่างในรูปภาพที่ 3 ทั้งนี้โปรไฟล์ของดัชนีพืชพรรณ ระหว่างปีถูกสร้างมาจากค่าการกระจายของค่าดัชนีพืช พรรณ เช่น ค่าต�่ำสุด (Minimum) ค่าควอไทล์แรก (Q1) ค่ามัธยฐาน (Median) ค่าควอร์ไทล์ที่สาม (Q3) และค่าสูงสุด (Maximum) ในแต่ละช่วงปี รวมถึงค่าความแตกต่าง (Difference) ค่าอัตราส่วน (Ratio) ของดัชนีพืชพรรณ และ ค่าความชันของเส้นตรงเชื่อมค่ามัธยฐานระหว่างสองปีก่อน (T-2) ถึงหกปีหลัง (T+6) จากค่าดัชนีสเปกตรัมแต่ละปี (T0) ในอนุกรมเวลา


13 การจ�ำแนกอายุรายปีแปลงปลูกยางพารา ชุดข้อมูลตัวแปรพยากรณ์ถูกใช้เป็นตัวแปรการ ท�ำนาย (predictor) ปีที่เริ่มปลูกส�ำหรับแบบจ�ำลองการ จ�ำแนกที่ใช้อัลกอริทึมการแบ่งพาร์ติชันแบบเรียกซ�้ำ (Recursive Partitioning: RP) ทั้งนี้ได้ท�ำการสร้างแบบ จ�ำลองแยกตามกลุ่มพื้นที่การเพาะปลูกยางพาราในพื้นที่ ศึกษา มีการสร้างแบบจ�ำลองของแต่ละชุดข้อมูล จ�ำนวน 100 แบบจ�ำลอง ทุกแบบจ�ำลองที่สร้างขึ้นมีการประเมิน ประสิทธิภาพการท�ำนายโดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์คัปปา (Cohen’s Kappa coefficient) ส�ำหรับการจ�ำแนกแบบ ไบนารี (Binary classification) ทั้งส่วนการสร้าง (Model training) และส่วนการทดสอบ (Model testing) แบบจ�ำลอง และท�ำการเลือกแบบจ�ำลองที่ดีที่สุดโดย ประเมินจากค่าสัมประสิทธิ์คัปปาที่สูงที่สุดทั้ง 2 ส่วน และ มีความแตกต่างกันของค่าสัมประสิทธิ์คัปปาทั้ง 2 ส่วนน้อยที่สุด หลังจากนั้นน�ำโครงสร้างต้นไม้การตัดสินใจ (Decision-tree structure) จากแบบจ�ำลอง RP มาสร้าง ชุดเงื่อนไขที่น�ำไปใช้ในการพยากรณ์พื้นที่เริ่มการเพาะปลูก ของแต่ละปีในอนุกรมเวลาดัชนีพืชพรรณ ก่อนการสร้างภาพพื้นที่เริ่มการเพาะปลูกในแต่ละ ปี มีการสร้างอนุกรมเวลาภาพค่าการกระจายของค่าดัชนี พืชพรรณของแต่ละปีตามตัวแปรพยากรณ์ที่น�ำไปใช้ ในการสร้างต้นไม้การตัดสินใจของแบบจ�ำลองการพยากรณ์ เพื่อท�ำการประมวลผลและสร้างภาพพื้นที่เริ่มการเพาะปลูก จากชุดเงื่อนไขการพยากรณ์ที่ได้มาทั้ง 5 ชุด หลังจากนั้น ท�ำการรวมภาพพื้นที่เริ่มการเพาะปลูกตามอนุกรมเวลาที่ ได้พยากรณ์ไปในแต่ละชุดเงื่อนไขการพยากรณ์ให้เป็นภาพ สุดท้ายภาพเดียว โดยเลือกพื้นที่เริ่มการเพาะปลูกที่ พยากรณ์ในปีล่าสุด (กรณีที่มีการปลูกมากกกว่า 1 รอบใน ช่วงเวลา 33 ปี) จากนั้นท�ำการรวมภาพปีของพื้นที่เริ่มการ เพาะปลูกทุกชุดเข้าด้วยกัน โดยจะเลือกปีที่ถูกพยากรณ์มาก ที่สุดจากตัวแบบจ�ำลองการท�ำนาย หรือเลือกจากปีที่ถูก พยากรณ์โดยชุดเงื่อนไขการพยากรณ์ที่มีค่าสัมประสิทธิ์ คัปปามากที่สุดในกรณีจ�ำนวนปีที่ถูกพยากรณ์มีจ�ำนวนเท่า กัน ทั้งนี้ค่าสัมประสิทธิ์คัปปาส�ำหรับการจ�ำแนกแบบไบนารี เป็นไปตามสมการนี้ โดยที่ TP เป็นค่า true positive, FP เป็นค่า false positive, TN เป็นค่า true negatives, และ FN เป็นค่า false negatives ใน 2 × 2 confusion matrix. รูปภาพที่ 3 ตัวอย่าง Inter-annual NDVI profile ของแปลงปลูกยางพารา (Somching, et. al., 2020)


14 การจ�ำแนกอายุรายปีแปลงปลูกยางพารา ความถูกต้องการพยากรณ์อายุแปลงปลูกยางพารา น�ำ POI ส�ำหรับการประเมินความถูกต้องของ การจ�ำแนกอายุแปลงปลูกยางพารา ที่ได้แบ่งไว้ในขั้นตอน การเตรียมข้อมูลมาท�ำการประเมิน ซึ่ง POI ที่ใช้จะได้มาจาก จุดกึ่งกลางรูปแปลงปลูกที่ทราบปีเริ่มการเพาะปลูก โดย ค�ำนวณหาค่าความถูกต้องโดยรวม (Overall Accuracy) จากค่าสัมประสิทธิ์ความสัมพันธ์ Pearson ตามสมการนี้ โดย คือค่าของปีที่ทราบปีเริ่มการเพาะปลูกจริง, คือ ค่าเฉลี่ยของปีที่ทราบปีเริ่มการเพาะปลูกจริง, คือค่าของ ปีที่ได้พยากรณ์ และ คือค่าเฉลี่ยของค่าของปีที่ได้ พยากรณ์ และท�ำการหาค่ารากที่สองค่าเฉลี่ยความผิดพลาด กาลังสอง (Root mean square error : RMSE) ของการ ํ พยากรณ์ปีเริ่มการเพาะปลูก ตามสมการนี้ โดย คือค่าจริงของตัวอย่าง, คือค่าจากการ พยากรณ์ตัวอย่าง, N คือจ�ำนวน POI ตัวอย่างทั้งหมด ผลการด�ำเนินงาน การเตรียมข้อมูล ROI และ POI POI จะถูกสร้างมาจากจุดกึ่งกลางของ ROI รวมทั้งหมด 449 จุด รวมพื้นที่ประมาณ 23.95 ตาราง กิโลเมตร มีรายละเอียดตามตารางที่ 1 โดยมีการ กระจายตัวของปีที่พบการเตรียมพื้นที่การเพาะปลูก ตามกราฟแท่งในรูปภาพที่ 4 ทั้งนี้พบว่าจ�ำนวน ภาพถ่ายดาวเทียม Landsat ในปีช่วงปี 2556 (พฤษ จิกายน 2555 – ตุลาคม 2556) มีจ�ำนวนเพียง 3 ภาพ ซึ่งอาจส่งผลให้โปรไฟล์ดัชนีพืชพรรณระหว่างปีไม่ สมบูรณ์ในบางพื้นที่ได้ ตารางที่ 1 จ�ำนวนจุด POI (จุด) และพื้นที่ ROI (ตารางกิโลเมตร) รูปภาพที่ 4 จ�ำนวน POI แปลงปลูกยางพารา กระจายตัวตามปีที่พบการเริ่มปลูก ในช่วงเวลา 33 ปี การวิเคราะห์อนุกรมเวลา (Time Series Analysis) ในขั้นตอนการวิเคราะห์อนุกรมเวลาค่าดัชนี พืชพรรณของตัวอย่าง POI ในแต่ละกลุ่มพื้นที่ พบว่า ลักษณะของโปรไฟล์ดัชนีพืชพรรณมีความแตกต่างกัน ดังตัวอย่างแสดงตามรูปภาพที่ 5 ซึ่งลักษณะของการ ตกลงของค่าดัชนีพืชพรรณในอนุกรมเวลา ในแปลง ปลูกยางพาราในพื้นที่ราบทั่วไปที่ (PL) จะมีลักษณะ ชัดเจน อาจพบลักษณะของการตกของค่า NDVI ถึง 2 ครั้ง ในกรณีแปลงปลูกมีการโค่นต้นและปลูกใหม่ มากกว่า 1 รอบในช่วงเวลา 33 ปี ส่วนในพื้นที่ที่เคย เป็นนาข้าวมาก่อน (P1) จะไม่พบลักษณะของการ ตกลงของค่าดัชนีพืชพรรณ แต่จะเป็นการเพิ่มขึ้นของ ค่าดัชนีพืชพรรณอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาประมาณ 6 ปี ก่อนจะมีค่าคงที่หลังจากนั้น ลักษณะการกระจาย ตัวของค่าดัชนีพืชพรรณก่อนปีที่มีการเริ่มปลูก


15 การจ�ำแนกอายุรายปีแปลงปลูกยางพารา ยางพาราในพื้นที่ที่เคยเป็นนาข้าวมาก่อน จะมีความ แปรปรวนของค่าดัชนีพืชพรรณในช่วงเวลา 1 ปีสูง เนื่องจาก ค่าดัชนีพืชพรรณในแปลงปลูกข้าวจะแปรผันไปตามฤดูปลูก ในช่วง 1 ปี ช่วงที่มีการเตรียมแปลงนา ค่าดัชนีพืชพรรณจะ ต�่ำมาก (0 – 0.2) แล้วจะเพิ่มขึ้นตามอายุของต้นข้าว และ จะตกลงเมื่อต้นข้าวออกรวงจนถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยว หากไม่มีการปลูกพืชอื่น ๆ หลังการท�ำนา ค่าดัชนีพืชพรรณ จะต�่ำไปจนถึงช่วงเวลาปลูกข้าวในฤดูถัดไป (อาจเป็นปีถัดไป) หรือหากมีการปลูกพืชอื่น ๆ ค่าดัชนีพืชพรรณอาจจะสูงขึ้น และต�่ำลงตามวัฏจักรชีวิตพืชพรรณนั้น ๆ ทั้งนี้ลักษณะแตกต่างกันของค่าดัชนีพืชพรรณใน อนุกรมเวลาในช่วงระยะเวลา 3 ปีก่อนหน้า (T-3) ถึง 7 ปี หลัง (T+7) ปีที่พบว่ามีการเตรียมแปลงปลูก (T0) ของ POI แปลงปลูกยางพาราตัวอย่าง แสดงตามรูปภาพที่ 6 ลักษณะของการตกลงของค่าดัชนีพืชพรรณของ แปลงปลูกยางพาราในพื้นที่ราบทั่วไป (PL) จะชัดเจนที่สุด ส่วนในพื้นที่สูงตามไหล่เขา (HS) ซึ่งพบแปลงปลูกยางพารา เป็นส่วนมากจะมีลักษณะของการตกลงของค่าดัชนีพืช พรรณชัดเจนเหมือนกันแต่ค่าดัชนีพืชพรรณในที่พบการ เตรียมแปลงปลูก (T0) จะมีค่าไม่ต�่ำมากนัก เนื่องจาก ลักษณะการเตรียมแปลงปลูกบนพื้นที่ไหล่เขาจะมีการไถ ดินในลักษณะขั้นบันได และโดยส่วนใหญ่จะเหลือพืช ปกคลุมดิน เช่น พุ่มหญ้า ไม้พุ่มขนาดเล็ก อยู่ระหว่างขั้น บันได เพื่อเป็นการรักษาผิวหน้าดินและป้องกันการชะล้าง หน้าดิน ซึ่งค่าสเปกตรัมการสะท้อนพืชปกคลุมดินนี้อาจ ผสมอยู่ในจุดภาพ (Somching, et. al., 2020) และท�ำให้ ค่าดัชนีพืชพรรณอาจอยู่ระหว่างประมาณ 0.4 ถึง 0.6 ต่างจากค่าดัชนีพืชพรรณของแปลงปลูกในพื้นราบทั่วไปที่ อาจต�่ำได้ถึงประมาณ 0.1 หากมีการไถดินเตรียมการเพาะ ปลูกแบบไม่เหลือพืชปกคลุมดินเลย รูปภาพที่ 5 ตัวอย่างอนุกรมเวลาค่าดัชนีพืชพรรณของแปลงปลูกยางพาราในพื้นที่ราบทั่วไปที่มีการปลูกยางพารา หรือปาล์มน�้ำมันมาก่อน (PL) และพื้นที่ที่เคยเป็นนาข้าวมาก่อน (P1) รูปภาพที่ 6 ลักษณะแตกต่างกันของค่าดัชนีพืชพรรณใน อนุกรมเวลาในช่วง T-3 ถึง T+7 ในแต่ละพื้นที่ปลูก


16 การจ�ำแนกอายุรายปีแปลงปลูกยางพารา ค่าดัชนีพืชพรรณของแปลงปลูกยางพาราในพื้นที่ ลุ่มต�่ำ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เคยเป็นนาข้าวและนาร้าง หรือพื้นที่ เคยเป็นป่าชายเลนหรือป่าพรุ จะมีค่าดัชนีพืชพรรณต�่ำกว่า พื้นที่ราบทั่วไป เนื่องจากลักษณะของแปลงปลูกในพื้นที่ลุ่ม น�้ำที่อาจมีน�้ำท่วมขัง มีการขุดร่องน�้ำและระยะห่างระหว่าง ต้นยางพาราจะกว้างมากกว่าต้นยางในพื้นที่ราบทั่วไป ต้นยางพาราในช่วงปีที่ 1 ถึง 5 ซึ่งเป็นช่วงที่ทรงพุ่มของต้น ยางยังไม่คลุมผิวดินจนเต็มพื้นที่แปลงปลูก ค่าสเปกตรัมการ สะท้อนของน�้ำและดินในร่องสวนอาจผสมอยู่ในจุดภาพ ท�ำให้ค่าดัชนีพืชพรรณต�่ำลงการใช้ประโยชน์ที่ดินก่อนหน้า การเพาะปลูก และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีของ การเพาะปลูกยางพาราของเกษตรกรมีผลอย่างมากต่อ ลักษณะของอนุกรมเวลาค่าดัชนีพืชพรรณ ซึ่งมีผลท�ำให้เกิด ความแปรปรวนของตัวแปรพยากรณ์ที่ท�ำการสร้างมาจาก ค่าดัชนีพืชพรรณในแต่ละช่วงปีที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ได้รวมชุดข้อมูล พื้นที่ราบทั่วไปที่ พื้นที่สูงชัน ตามไหล่เขา และพื้นที่ราบลุ่มที่เคยเป็นป่าพรุ ที่ลักษณะการ ตกลงของค่าดัชนีพืชพรรณในอนุกรมเวลาใกล้เคียงกันเข้า ด้วยกัน การสร้างและทดสอบแบบจ�ำลองการพยากรณ์ (Supervised Model Training) เนื่องจากตัวแปรผลลัพธ์ (outcome) ของชุด ข้อมูลในการศึกษาวิจัยนี้เป็นตัวแปรแบบหมวดหมู่ คือ (1) ใช่ปีที่เริ่มการเพาะปลูก (‘YES’) และ (2) ไม่ใช่ปีที่เริ่มการ เพาะปลูก (‘NO’) ในอนุกรมเวลาค่าดัชนีพืชพรรณรายปี ซึ่งเป็นตัวแปรผลลัพธ์ที่เป็นแบบไบนารี หรือแบบตัวเลือก สองทาง (Binary response variable) ดังนั้น อัลกอริทึม การแบ่งพาร์ติชันแบบเรียกซ�้ำ (RP) ซึ่งเป็นอัลกอริทึมที่ไม่ ซับซ้อนและง่ายต่อการเข้าใจลักษณะโครงสร้างต้นไม้การ ตัดสินใจ ถูกน�ำมาใช้ในการสร้างแบบจ�ำลองการพยากรณ์ โดย RP เป็นอัลกอริทึมหนึ่งที่นิยมใช้ในการสร้างแบบจ�ำลอง การตัดสินใจส�ำหรับงาน ด้านการเรียนรู้ของโปรแกรมด้วย ตัวเอง (Machine Learning: ML) อัลกอริทึมนี้จะสร้าง โครงสร้างต้นไม้การตัดสินใจเพื่อแยกสมาชิกของประชากร ข้อมูลแบบวนซ�้ำออกเป็นกลุ่มประชากรย่อยตามตัวแปร อิสระ (หรือแปรพยากรณ์) ที่ส่งผลอย่างมีนัยส�ำคัญในการ ลดลงของความแตกต่างหรือความแปรปรวนของข้อมูลใน ตัวแปรพยากรณ์ การแยกจะสิ้นสุดลงเมื่อถึงเกณฑ์ที่ก�ำหนด ไว้ล่วงหน้า โดยก�ำหนดพารามิเตอร์ความซับซ้อน (Complexity Parameter: CP) ซึ่งเป็นพารามิเตอร์เพียง ตัวเดียวที่ใช้ในการควบคุมขนาดของโครงสร้างต้นไม้การ ตัดสินใจ ทั้งนี้ได้ท�ำการทดสอบความเหมาะสมของค่า CP ที่จะใช้กับชุดข้อมูลตัวอย่าง โดยการสุ่มแบ่งชุดข้อมูล POI เป็นร้อยละ 70 และ 30 ส�ำหรับสร้างและทดสอบแบบ จ�ำลองเป็นจ�ำนวน 100 ชุด แต่ละชุดท�ำการสร้างแบบ จ�ำลองตามค่า CP ที่แปรผันไป คือ 0.005, 0.01, 0.05 และ 0.1 โดยท�ำการวัดค่าสัมประสิทธิ์คัปปาการท�ำนายของทุก แบบจ�ำลองที่สร้าง ผลการทดสอบความเหมาะสมของค่า CP แสดงได้ในรูปภาพที่ 7 รูปภาพที่ 7 การทดสอบความเหมาะสมของค่า CP จากผลการทดสอบความเหมาะสมของค่า CP พบว่าค่า CP ที่ 0.01 มีความเหมาะสมกับข้อมูลในการ สร้างแบบจ�ำลองการพยากรณ์ของแต่ละชุดข้อมูล เนื่องจากมีค่าสัมประสิทธิ์คัปปาโดยเฉลี่ยที่สูง ถึงแม้ว่า แบบจ�ำลองที่ใช้ค่า CP ที่ 0.005 จะให้ค่าสัมประสิทธิ์ คัปปาโดยรวมที่สูงกว่า แต่มีค่าสัมประสิทธิ์คัปปาโดย รวมของการสร้างแบบจ�ำลองที่สูงค่าของการทดสอบ แบบจ�ำลอง ซึ่งแสดงถึงการ Overfitting ของแบบ จ�ำลอง ซึ่งที่แบบจ�ำลองได้สร้างขึ้นจากการใช้ชุดข้อมูล Training มีค่าความถูกต้องในการจ�ำแนกสูง


17 การจ�ำแนกอายุรายปีแปลงปลูกยางพารา แต่เมื่อน�ำไปใช้กับชุดข้อมูลทดสอบได้ค่าความถูกต้องต�่ำ อีกทั้งโครงสร้างต้นไม้การตัดสินใจมีความซับซ้อนมากกว่า มีจ�ำนวนเงื่อนไขการตัดสินใจ (Node) และจ�ำนวนระดับ ของรากต้นไม้ (Level) มากกว่าเกือบสองเท่า ซึ่งท�ำให้ชุด เงื่อนไขการตัดสินใจมีความซับซ้อมมากเกินไป เมื่อเทียบกับ ค่าสัมประสิทธิ์คัปปาที่สูงขึ้นเพียงเล็กน้อย (ค่าความถูกต้อง ในการพยากรณ์) หลังจากสร้างแบบจ�ำลองการพยากรณ์ด้วยค่า CP ที่ 0.01 ของชุดข้อมูลทั้ง 3 ชุดแบ่งแปลงปลูกตัวอย่างตาม พื้นที่การเพาะปลูก รูปภาพที่ 8 แสดงตัวอย่างโครงสร้าง ต้นไม้การตัดสินใจ ของข้อมูลชุดพื้นที่ราบทั่วไป รวมกับ พื้นที่สูงชันตามไหล่เขา และพื้นที่ราบลุ่มที่เคยเป็นป่าพรุ ที่จะน�ำไปใช้ในการพยากรณ์และสร้างแผนที่พื้นที่การเตรี ยมพื้นที่ปลูกยางพารา การน�ำเงื่อนไขจากโครงสร้างต้นไม้การตัดสินใจไปท�ำการ พยากรณ์ รูปภาพที่ 9 แสดงผลของการรวมภาพที่ได้จาก การพยากรณ์แต่ละปี รวมเป็น 1 ภาพ โดยแต่ละจุดภาพ จะเลือกพื้นที่จากปีล่าสุดหากจุดภาพนั้น ๆ มีค่ามาจากภาพ หลายปี หลังจากนั้นรวมภาพทั้ง 3 ภาพ ที่ได้จาก 3 เงื่อนไข การพยากรณ์ โดยแต่ละจุดภาพเลือกปีที่เริ่มการปลูกที่ซ�้ำ กันมากที่สุด หากมีกรณีที่ปีมีจ�ำนวนเท่ากันให้เลือกปีจาก ภาพที่สร้างจากเงื่อนไขการพยากรณ์ที่มีความถูกต้องมาก ที่สุด หลังจากนั้นท�ำ Post-classification เพื่อลดความแตก ต่างของจุดภาพ ผลการพยากรณ์อายุแปลงปลูกยางพารา จากโมเดลพยากรณ์ แสดงได้ตามรูปภาพที่ 9 โดยพื้นที่สี เขียวคือพื้นที่แปลงปลูกยางพาราที่ปีเริ่มเพาะปลูกเป็นไป ตามความเข้มของสี พื้นที่สีด�ำ คือพื้นที่อื่น ๆ เช่น แปลงปลูก ปาล์มน�้ำมัน สวนผลไม้ และพื้นที่สีขาว คือ พื้นที่ปลูก ยางพาราที่แบบจ�ำลองพยากรณ์ไม่สามารถระบุอายุได้ (Under-prediction) การประเมินความถูกต้องของภาพพื้นที่แปลงปลูก ยางพาราที่ทราบอายุ ผลสุดท้ายของการประเมินความถูกต้องของฐาน ข้อมูลเชิงพื้นที่ที่ได้สร้างขึ้นประกอบด้วยการประเมินความ ถูกต้องการพยากรณ์ของแบบจ�ำลอง และความคลาด เคลื่อนในการพยากรณ์อายุแปลงปลูกยางพารา สรุปได้ตาม ตารางที่ 2 รูปภาพที่ 8 โครงสร้างต้นไม้การตัดสินใจส�ำหรับชุด ข้อมูลพื้นที่ราบทั่วไป ตารางที่ 2 การประเมินความถูกต้องของข้อมูลเชิงพื้นที่อายุแปลงปลูกยางพารา


18 การจ�ำแนกอายุรายปีแปลงปลูกยางพารา รูปภาพที่ 9 แผนที่แสดงพื้นที่ปลูกยางพาราแยกตามอายุรายปี (นับจากปีเริ่มการเพาะปลูก)


19 การจ�ำแนกอายุรายปีแปลงปลูกยางพารา สรุปผลการวิจัย 1. จากผลการวิจัยพบว่าการประยุกต์ใช้คุณสมบัติของ โปรไฟล์ดัชนีพืชพรรณระหว่างปี (Inter-annual NDVI profile) และอัลกอริทึมการแบ่งพาร์ติชันแบบเรียกซ�้ำ (RP) สามารถพยากรณ์ปีเริ่มการเพาะปลูกยางพาราใน พื้นที่ศึกษาได้อย่างถูกต้องในระดับที่เป็นที่ยอมรับได้ และสามารถน�ำไปค�ำนวนหาอายุยืนต้นยางพาราเพื่อ จัดท�ำฐานข้อมูลเชิงพื้นที่อายุแปลงปลูกยางพาราได้ 2. จากการวิเคราะห์ความผิดผลาด (Error Analysis) พบว่าการที่ไม่สามารถพยากรณ์อายุได้ มีสาเหตุมาจาก หลายส่วน เช่น จ�ำนวนภาพถ่ายดาวเทียมในแต่ละช่วง ปีและปริมาณเมฆที่ปะบนอยู่ ขนาดจุดภาพที่ใหญ่ที่มี ผลกับการพยากรณ์อายุในแปลงปลูกขนาดเล็ก รวมไป ถึงเกษตรกรมีการปลูกยางพาราหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งมีผลต่อค่า NDVI ในช่วงผลัดใบของต้นยาง 3. การจ�ำแนกอายุรายปีของแปลงปลูกที่มีขนาดใหญ่นั้น ท�ำให้สามารถแยกแปลงปลูกได้เป็นรายแปลง ดังตัวอย่างในรูปภาพที่ 9 ซึ่งข้อมูลพื้นที่ปลูกยางพารา จากกรมพัฒนาที่ดิน (มากกว่าร้อยละ 90) ไม่ได้แยกได้ ในระดับรายแปลงได้ทั้งหมด ในบางพื้นที่สามารถแยก แปลงปลูกได้ตามรูปแปลงที่ดิน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะ การปลูก เช่น ปลูกในพื้นที่แปลงที่ดินทั้งหมด หรือแบ่ง ปลูกตามปีกัน และอาจขึ้นอยู่กับความแตกต่างกันของ ปีที่ปลูกของแปลงปลูกที่อยู่ติดกัน ข้อเสนอแนะ การลดพื้นที่ปลูกที่ไม่สามารถพยากรณ์อายุแปลง ปลูกได้ สามารถพัฒนากระบวนการและวิธีการสร้างแบบ จ�ำลองได้ เช่น ใช้ภาพถ่ายดาวเทียม Landsat 7, 8 และ 9 แล้วท�ำ Pan sharpening เพื่อให้ได้ความละเอียดจุดภาพที่ 15 เมตร ทั้งนี้จะสามารถจ�ำแนกแปลงที่เริ่มเพาะปลูกตั้งแต่ ปี 2543 (23 ปีย้อนหลัง) ได้เท่านั้น และใช้อัลกอริทึมแบบ ป่าสุ่ม (Random Forest) มาใช้แทนอัลกอริทึมการแบ่ง พาร์ติชันแบบเรียกซ�้ำ (RP) ที่มีกระบวนการพยากรณ์ข้อมูล แบบทีละอนุกรมเวลาจุดภาพ (Pixel-based time series processing) ซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการประมวลผลนานขึ้น หากจ�ำนวนจุดภาพมากขึ้นหรือมีความละเอียดมากขึ้น เอกสารอ้างอิง กฤษดา สังข์สิงห์ และ ฐิตาภรณ์ ภูมิไชย์. 2665. การติดตาม การระบาดของโรคใบร่วงยางพาราด้วยเทคโนโลยี ภูมิสารสนเทศ. ว.ยางพารา 43(1): 2-11. สุทัศน์ สุรวาณิช. 2553. เนื้อที่ยืนต้นยางพาราของ ประเทศไทยจากข้อมูลดาวเทียม SPOT 5 ปี 2551. ว.ยางพารา ฉบับอิเล็กทรอนิกส์ 2 ก.ค. – ก.ย. 2553 Somching, N., S. Wongsai, N. Wongsai, and W. Koedsin. 2020. Using machine learning algorithm and Landsat time series to identify establishment year of para rubber plantations: a case study in Thalang district, Phuket Island, Thailand. International Journal of Remote Sensing 41:23, 9075-9100.


20 การปรับปรุงคุณสมบัติทางวิศวกรรมและความเป็นฉนวนความร้อนของ มอร์ต้าร์ส�ำหรับฉาบด้วยน�้ำยางพารา จากคุณสมบัติเด่นของยางพารา เช่น สามารถรับแรงดึงได้ดีและมีความเป็นฉนวน สามารถน�ำมาใช้เพื่อ ปรับปรุงข้อด้อยของคุณสมบัติของวัสดุอื่น เช่น คอนกรีต และมอร์ต้าร์ เป็นต้น ถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถ สร้างนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ยางพาราได้ งานวิจัยที่ผ่านมาพบว่า ยางพารานอกจากจะสามารถปรับปรุง คุณสมบัติเชิงกลของคอนกรีตและมอร์ตาร์ได้แล้ว และยังช่วยเพิ่มความทนทานต่อสารละลายซัลเฟตและ กรดอะซิลิค (Chatveera and Wongkamjan, 2001; Chatveera and Kongsub, 2002) ผลการศึกษาของ Nagraj et al. (1988) ได้ชี้ให้เห็นว่าการใช้น�้ำยางข้นที่มีอัตราส่วนเนื้อยางต่อปูนซีเมนต์ร้อยละ 2.0 สามารถเพิ่ม ความเหนียวของคอนกรีตได้โดยไม่ท�ำให้ก�ำลังรับแรงอัดและก�ำลังรับแรงดึงลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับคอนกรีตที่ ไม่ผสมยางพารา ขณะที่ Shivananda and Ganesan (1998) แสดงให้เห็นว่าการใช้น�้ำยางข้นที่มีอัตราส่วนเนื้อ ยางต่อปูนซีเมนต์ไม่เกินร้อยละ 1.0 สามารถเพิ่มก�ำลังรับแรงอัดและความเหนียว และการใช้น�้ำยางข้นที่มีอัตราส่วน เนื้อยางต่อปูนซีเมนต์ร้อยละ 0.5 สามารถเพิ่มก�ำลังรับแรงดัดของคอนกรีตได้ Phohchuay and Khongtong (2018) ศึกษาการใช้ยางพาราร่วมกับไม้เพื่อใช้เป็นผนังกันความร้อนที่มีค่าสัมประสิทธ์การน�ำความร้อนระหว่าง 0.07 ถึง 0.08 วัตต์/เมตร.องศาเคลวิน ซึ่งต�่ำกว่าผนังอิฐและผนังคอนกรีตถึง 16 เท่า มอร์ต้าร์ส�ำหรับฉาบหรือปูนฉาบ เป็นวัสดุที่ใช้อย่างแพร่หลายในงานก่อสร้างอาคารในประเทศไทย มีปริมาณการใช้งานมากถึง 10 ล้านตันต่อปี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท จากงานวิจัยที่ผ่านมา พบ ว่าสามารถน�ำยางพารามาใช้ปรับปรุงคุณสมบัติทางกล (ก�ำลังรับแรงดึงและก�ำลังรับแรงดัด) ของคอนกรีตและ มอร์ตาร์ได้ดี อย่างไรก็ตาม การศึกษาวิจัยในอดีตยังไม่ครอบคลุมถึงคุณสมบัติทุกด้านของมอร์ต้าร์ผสมยางพารา ส�ำหรับฉาบตามมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก. 1776-2542 “มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมมอร์ต้าร์ส�ำหรับ ฉาบ” และ มอก. 2735-2559 “มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมมอร์ต้าร์ส�ำหรับฉาบคอนกรีตมวลเบา”) ท�ำให้ ไม่สามารถน�ำมอร์ต้าร์ส�ำหรับฉาบผสมยางพาราไปใช้งานได้จริง รวมถึงยังไม่มีการทดสอบค่าการน�ำความร้อน ของมอร์ต้าร์ส�ำหรับฉาบผสมน�้ำยางพารา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติการเป็นฉนวนความร้อนที่สามารถลด อุณหภูมิภายในอาคารที่ชัดเจน จึงมีแนวคิดที่ศึกษาคุณสมบัติพื้นฐานและคุณสมบัติทางวิศวกรรมของมอร์ต้าร์ ส�ำหรับฉาบผสมน�้ำยางพารา ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม มอก. 1776-2542 และ มอก. 2735-2559 รวมถึง คุณสมบัติด้านความร้อนของมอร์ต้าร์ส�ำหรับฉาบผสมยางพารา เพื่อแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติพื้นฐาน คุณสมบัติ ทางวิศวกรรม และการเป็นฉนวนความร้อนที่เหนือกว่ามอร์ต้าร์ส�ำหรับฉาบแบบธรรมดา รวมถึงทราบถึงปริมาณ ยางพาราที่เหมาะสมส�ำหรับการใช้งาน การปรับปรุงคุณสมบัติทางวิศวกรรมและความเป็นฉนวนความร้อนของมอร์ต้าร์ส�ำหรับฉาบด้วยน�้ำยางพารา วรพงษ์ พูลสวัสดิ์1, ราตรี สีสุข1, ศ. ดร.สุขสันติ์ หอพิบูลสุข2, ดร.อภิชาติ สุดดีพงษ์2 1 ฝ่ายอุตสากรรมยาง การยางแห่งประเทศไทย 2 ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี


21 การปรับปรุงคุณสมบัติทางวิศวกรรมและความเป็นฉนวนความร้อนของมอร์ต้าร์ส�ำหรับฉาบด้วยน�้ำยางพารา วิธีด�ำเนินการ การเตรียมน�้ำยางพรีวัลคาไนซ์ การศึกษานี้ได้น�ำวัตถุดิบน�้ำยางข้นชนิด High Ammonia (HA) ผสมกับสารเคมีต่างๆในรูปสารละลาย และสารดิสเพอชันผ่านการกวนอย่างต่อเนื่อง ที่สภาวะอุณหภูมิ 80 องศาเซสเซียส เป็นเวลา 30 นาที เพื่อให้ได้ น�้ำยางพรีวัลคาไนซ์ ตามสูตรการผสมน�้ำยางข้นและสารเคมีในตารางที่ 1 ตารางที่ 1 สูตรการผสมสารเคมีในการเตรียมน�้ำยางพรีวัลคาไนซ์ที่ใช้การทดลอง ยางและสารเคมี ปริมาณส่วนในน�้ำหนัก (phr) น�้ำยางข้นชนิดแอมโมเนียสูง เข้มข้นร้อยละ 60 โดยน�้ำหนัก 100 สารละลายโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ เข้มข้นร้อยละ 10 โดยน�้ำหนัก 0.2 สารละลายโพแทสเซียมลอเรต เข้มข้นร้อยละ 20 โดยน�้ำหนัก 0.3 สารละลายน�้ำสบู่เกลือซัลเฟต เข้มข้นร้อยละ 25 โดยน�้ำหนัก 1.0 สารดิสเพอชันก�ำมะถัน เข้มข้นร้อยละ 50 โดยน�้ำหนัก 1.3 สารดิสเพอชันแซดดีบีซี เข้มข้นร้อยละ 50 โดยน�้ำหนัก 0.2 สารดิสเพอชันแซดดีอีซี เข้มข้นร้อยละ 50 โดยน�้ำหนัก 0.2 สารดิสเพอชันแซดเอ็มบีที เข้มข้นร้อยละ 50 โดยน�้ำหนัก 0.4 สารดิสเพอชันซิงค์ออกไซด์ เข้มข้นร้อยละ 50 โดยน�้ำหนัก 1.0 การเตรียมมอร์ต้าร์ส�ำหรับฉาบผสมน�้ำยางพาราพรีวัลคาไนซ์ (Plastering Mortar with Pre-vulcanized Latex, PML) การเตรียมตัวอย่างมอร์ต้าร์ผสมน�้ำยางพาราพรีวัลคาไนซ์ มีการก�ำหนดอัตราส่วนปูนซีเมนต์ต่อทราย เท่ากับ 1 : 2.5 โดยใช้มอร์ต้าร์ผสมน�้ำยางพาราในอัตราส่วนเนื้อยางต่อปูนซีเมนต์ (rubber to cement ratio r/c) เท่ากับร้อยละ 0, 2, 3, 4, 5, 6 และ 7 โดยน�้ำหนักและอัตราส่วนน�้ำต่อปูนซีเมนต์ (water to cement ratio, w/c) เท่ากับ 0.65, 0.70 และ 0.75 จากนั้นน�ำตัวอย่างทั้งหมดมาเตรียมชิ้นงานทดสอบคุณสมบัติทาง วิศวกรรมและความเป็นฉนวนผ่านการหาค่าสัมประสิทธิ์กาน�ำความร้อนหลังการบ่มชิ้นงานไว้ 28 วัน


22 การปรับปรุงคุณสมบัติทางวิศวกรรมและความเป็นฉนวนความร้อนของมอร์ต้าร์ส�ำหรับฉาบด้วยน�้ำยางพารา ผลการทดลอง สมบัติเชิงกลทางวิศวกรรมของมอร์ต้าร์ผสมน�้ำยางพารา การทดสอบระยะเวลาก่อตัว (Setting Times) ตามมาตราฐานอุตสาหกรรม มอก. 1776-2542 ระบุให้ การกอตัวระยะต้นของมอร์ต้าร์  ส� ำหรับฉาบ ต้องไม่น้อยกว่า 60 นาที ระยะเวลาการก่อตัวของปูนซีเมนต์ คือระยะ เวลาตั้งแต่เริ่มผสมปูนซีเมนต์กับน�้ำจนกระทั่งซีเมนต์เริ่มก่อตัว หรือแข็งตัวจนไม่สามารถคืนสภาพเดิมได้ ระยะ เวลาก่อตัวของปูนซีเมนต์แบ่งออกเป็น 2 ระยะคือ การก่อตัวระยะต้น (Initial setting time) และการก่อตัวระยะ ปลาย (Final setting time) จากผลกาทดลองพบว่า เมื่ออัตราส่วนเนื้อยางต่อปูนซีเมนต์ (r/c) เพิ่มสูงขึ้น ส่งผล ท�ำให้ค่าระยะเวลาก่อตัวเริ่มต้นล่าช้าลง ในทุกอัตราส่วนน�้ำต่อปูนซีเมนต์ (w/c) ซึ่งถือว่าผลการทดสอบเป็นที่ น่าพอใจเนื่องจากผ่านเกณฑ์ตามมาตรฐานอุตสาหกรรมก�ำหนดไว้ ดังแสดงในรูปที่ 1 รูปที่ 1 แสดงการก่อตัวระยะต้น (Initial setting time) และการก่อตัวระยะปลาย (Final setting time) ของมอร์ต้าร์ผสมน�้ำยางพารา การทดสอบการไหลแผ่ (Flow Test) ด�ำเนินการทดสอบตามมาตรฐาน ASTM C230 โดยตามมาตรา ฐานอุตสาหกรรม มอก. 1776-2542 ระบุให้ค่าการไหลแผ่เบื้องต้นส�ำหรับปูนฉาบอยู่ในช่วงของค่าร้อยละการไหล แผ่เท่ากับ 105 ถึง 115 รูปที่ 2 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างค่าการไหลแผ่ของมอร์ตาร์กับอัตราส่วน r/c จะเห็นว่าการผสมน�้ำยางคอมพาวด์ส่ งผลให้ค่าการไหลแผ่ลดลงซึ้งแปรผันตามอัตราส่วน r/c ที่เพิ่มขึ้น และค่า การไหลแผ่สูงขึ้นตามอัตราส่วน r/c ที่เพิ่มขึ้น โดยอัตราส่วน w/c เท่ากับ 0.70 ที่อัตราส่วน r/c ร้อยละ 3 และ 4 และอัตราส่วน w/c เท่ากับ 0.75 ที่อัตราส่วน r/c ร้อยละ 5 6 และ 7 มีค่าการไหลแผ่ผ่านเกณฑ์ตามมาตรฐาน อุตสาหกรรม r/c (%) 0 1 2 3 4 5 6 7 Time (min) 0 100 200 300 400 500 600 700 800 900 1000 w/c=0.65 w/c=0.65 w/c=0.70 w/c=0.70 w/c=0.75 w/c=0.75 Initial setting time Final setting time Initial setting time > 60 minutes (TIS 1776-2542)


23 การปรับปรุงคุณสมบัติทางวิศวกรรมและความเป็นฉนวนความร้อนของมอร์ต้าร์ส�ำหรับฉาบด้วยน�้ำยางพารา รูปที่ 2 แสดงค่าการไหลแผ่ของมอร์ตาร์ผสมนํ้ายางพารา การทดสอบความอุ้มนํ้า (Water Retention) ดำเนินการทดสอบตามมาตรฐาน ASTM C1506 โดย มาตรฐานอุตสาหกรรม มอก. 1776-2542 ระบุค่าความอุ้มนํ้าของมอร์ตาร์สําหรับฉาบต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 เมื่อพิจารณาที่อัตราส่วน w/c เดียวกัน ค่าความอุ้มนํ้าของมอร์ตาร์มีค่าสูงสุดที่อัตราส่วน r/c ร้อยละ 2 และ ลดลงตามอัตราส่วน r/c ที่เพิ่มขึ้น โดยอัตราส่วนที่ผ่านเกณฑ์ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม ได้แก่ อัตราส่วน r/c ร้อยละ 0 2 3 4 และ 5 สำหรับอัตราส่วน w/c เท่ากับ 0.65 อัตราส่วน r/c ร้อยละ 0 2 3 4 5 และ 6 สำหรับ อัตราส่วน w/c เท่ากับ 0.70 และ 0.75 ดังแสดงตาม รูปที่ 3 รูปที่ 3 แสดงค่าร้อยละความอุ้มน้ำของมอร์ตาร์ผสมน้ำยางพารา r/c (%) 0 1 2 3 4 5 6 7 Flow (%) 50 60 70 80 90 100 110 120 130 140 150 160 170 w/c=0.65 w/c=0.70 w/c=0.75 Upper limit (TIS 1776-2542) Lower limit (TIS 1776-2542) 105 % 115 % r/c (%) Water retention (%) 0 20 40 60 80 100 120 w/c=0.65 w/c=0.70 w/c=0.75 TIS 1776-2542 75% 0 2 3 4 5 6 7


24 การปรับปรุงคุณสมบัติทางวิศวกรรมและความเป็นฉนวนความร้อนของมอร์ต้าร์ส�ำหรับฉาบด้วยน�้ำยางพารา การทดสอบก�ำลังรับแรงอัด (Compressive Strength), ก�ำลังรับแรงดัด (Flexural Strength) ก�ำลังรับแรงดึง (Tensile Strengths) และความต้านการยึดติด (Adhesion Strength) ด�ำเนินการทดสอบตามมาตรฐาน มอก 15-12, ASTM C243, ASTM C190 และ มาตรฐาน มอก 2735-2559 ตามล�ำดับ โดยแสดงผลการทดสอบตาม รูปที่ 4 พบว่าค่าก�ำลังรับแรงอัด ก�ำลังรับแรงดัด และก�ำลังรับแรงดึงของปูนฉาบที่มีน�้ำยางพรีวัลคาไนซ์ (PML) เพิ่มขึ้นเมื่ออัตราส่วน r/c เพิ่มขึ้น เป็นค่าสูงสุดที่อัตราส่วน r/c ที่เหมาะสมที่สุดส�ำหรับอัตราส่วน w/c ทั้งหมด นอกเหนือจากอัตราส่วน r/c ที่เหมาะสมแล้ว ความแข็งแรงจะลดลงเมื่ออัตราส่วน r/c เพิ่มขึ้นอีก ผลการศึกษา ยังพบว่าที่อัตราส่วน r/c เท่ากับ 3.0% และ w/c เท่ากับ 0.65 ให้ตัวอย่างที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด โดยมีค่าก�ำลัง รับแรงอัด 18.21 MPa, ค่าก�ำลังรับแรงดัด 4.28 MPa และค่าความก�ำลังรับแรงดึง 2.11 MPa ในทางกลับกัน ความต้านการยึดติดมีค่าสูงสุดที่อัตราส่วน r/c ที่เหมาะสม ซึ่งก็คืออัตราส่วน r/c เท่ากับ 2% ที่อัตราส่วน w/c ทั้งหมด นอกจากนี้ ความต้านการยึดติด ทุกตัวอย่างยังผ่านเกณฑ์ข้อก�ำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก. 1776-2542) ที่ 0.2 MPa ผลการศึกษานี้สอดคล้องกับผลการศึกษาของ Shivananda (1998) (a) (b) 28 days of curing r/c (%) Compressive strength (MPa) 0 2 4 6 8 10 12 14 16 18 20 22 24 w/c=0.65 w/c=0.70 w/c=0.75 0 2 3 4 5 6 7 2.5 MPa For brick wall (TIS 1776-2542) 5.0 MPa For concrete surface (TIS 1776-2542) 2.5 MPa 5.0 MPa 28 days of curing r/c (%) Flexural strength (MPa) 0.0 0.5 1.0 1.5 2.0 2.5 3.0 3.5 4.0 4.5 5.0 5.5 6.0 w/c=0.65 w/c=0.70 w/c=0.75 0 2 3 4 5 6 7 (c) (d) 28 days of curing r/c (%) Tensile strength (MPa) 0.0 0.5 1.0 1.5 2.0 2.5 3.0 w/c=0.65 w/c=0.70 w/c=0.75 0 2 3 4 5 6 7 28 days of curing r/c (%) Adhesive strength (MPa) 0.0 0.1 0.2 0.3 0.4 0.5 0.6 w/c=0.65 w/c=0.70 w/c=0.75 0.2MPa (TIS 2735-2559) 0 2 3 4 5 6 7 รูปที่ 4 (a) กำลังรับแรงอัด (Compressive Strength), (b) กำลังรับแรงดัด (Flexural Strength), (c) กำลังรับแรงดึง (Tensile Strengths) และ (d) ความต้านการยึดติด (Adhesion Strength)


25 การปรับปรุงคุณสมบัติทางวิศวกรรมและความเป็นฉนวนความร้อนของมอร์ต้าร์ส�ำหรับฉาบด้วยน�้ำยางพารา สมบัติความเป็นฉนวนของมอร์ต้าร์ผสมนํ้ายางพาราพรีวัลคาไนซ์ การทดสอบหาค่าการนำความร้อนและค่าความต้านทานความร้อนแบบ Heat Flow meter ตาม มาตรฐาน ASTM C 518 แสดงผลการทดสอบในตามรูปที่ 5 พบว่าเมื่อพิจารณาที่อัตราส่วน w/c เดียวกัน พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์การนำความร้อน (k) มีแนวโน้มลดลงถึงอัตราส่วน r/c เหมาะสม อัตราส่วน r/c เหมาะสม ร้อยละ 3 สำหรับอัตราส่วน w/c เท่ากับ 0.65 0.70 และ 0.75 หลังจากนั้นค่าสัมประสิทธิ์การนำความร้อน (k) มีค่าสูงขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของอัตราส่วน r/c และเมื่อพิจารณาที่อัตราส่วน r/c เดียวกัน พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์ การนำความร้อน (k) มีค่าสูงขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของอัตราส่วน w/c อาจกล่าวได้ว่า การผสมนํ้ายางคอมพาวด์ที่ อัตราส่วน r/c ร้อยละ 3 ส่งผลให้มอร์ต้าร์มีสภาพเป็นฉนวนมากที่สุด รูปที่ 5 ค่าสัมประสิทธิ์การนำความร้อน (Thermal conductivity coefficient) สรุปและข้อเสนอแนะ การพัฒนาคุณสมบัติปูนฉาบมอลต้าร์ด้วยนํ้ายางพาราต้องสามารถผ่านเกณฑ์ตามมาตรฐาน อุตสาหกรรมปูนฉาบที่กำหนด กล่าวคือ ความอุ้มน้ำอย่างน้อยร้อยละ 75, ระยะเวลาก่อตัวมีค่ามากกว่า 60 นาที, อัตราการไหลควรอยู่ระหว่าง 105 ถึง 115, ความต้านการยึดติดต้องมีอย่างน้อย 0.2 MPa และกำลังรับแรงอัด สำหรับผนังอิฐและพื้นผิวคอนกรีตไม่ควรน้อยกว่า 2.5 MPa และ 5.0 MPa ตามลำดับ ซึ่งระบุไว้ในมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก. 1776-2542) อัตราส่วนผสมที่ดีที่สุดของปูนฉาบมอลต้าร์ด้วยนํ้ายางพารา คือ อัตราส่วนเนื้อยางต่อปูนซีเมนต์ร้อยละ 3 และอัตราส่วนน้ำต่อปูนซีเมนต์เท่ากับ 0.70 เหมาะสมเนื่องจากตรง ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังพบว่าค่าสัมประสิทธิ์การนำความร้อนตํ่าสุด (k=0.74 W/m.K) แสดง ถึงคุณสมบัติการเป็นฉนวนความร้อนสูง สำหรับการศึกษาของคณะผู้วิจัยนี้เป็นเพียงงานวิจัยเบื้องต้นเพื่อศึกษา ถึงความเป็นไปได้ในการปูนฉาบมอร์ต้าร์ผสมน้ำยางพารามาใช้ในงานก่อสร้างเท่านั้น ควรมีการนำมาใช้งานจริง สำหรับฉาบพื้นผิวอาคารและเปรียบเทียบหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวข้องการประหยัดพลังงานของอาคารที่ใช้ปูน ฉาบมอร์ต้าร์ผสมนํ้ายางพาราด้วย 28 days of curing r/c (%) Thermal conductivity, k (W/m.°K) 0.0 0.1 0.2 0.3 0.4 0.5 0.6 0.7 0.8 0.9 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 w/c=0.65 w/c=0.70 w/c=0.75 0 2 3 4 5 6 7


26 การปรับปรุงคุณสมบัติทางวิศวกรรมและความเป็นฉนวนความร้อนของมอร์ต้าร์ส�ำหรับฉาบด้วยน�้ำยางพารา เอกสารอ้างอิง Chatveera, B. and Wongkamjan, W., 2001. Mechanical Behavior of Fine RHA Concrete. KMUTT Research and Development Journal, 24(3): 327-342. Chatveera, B. and Kongsub, T., 2002. Durability of Concrete Containing Black RHA from Rice Mill. KMUTT Research and Development Journal. 25(4): 374-389. Nagaraj, D.R., Lewellyn, M.E., Wang, S.S., Mingione, P.A., and Scanlon, M.J. 1988. New sulfide and precious metals collectors: for acid, neutral and mildly alkaline circuits, Proc. XVIth Int. Min. Process. Congress. Stockholm, Elselvier, Amsterdam. pp. 1221-1232. Phohchuay, P., Khongtong, S., 2018. Insulated sandwich panels from natural rubber and rubber wood. SWU Sci. J. 34(1): 31-44. Shivananda, K.P., Ganaesan, N., 1998. Performance of latex modified reinforced concrete flexural members with confied steel fibre concrete in compression zone. The Sixth NCB International Seminar on Cement and Building Materials, New Delhi. pp. 24-27.


27 นวัตกรรมการจัดการสวนยาง “เกษตรทฤษฎีใหม่สวนยางยั่งยืน” นวัตกรรมการจัดการสวนยาง “เกษตรทฤษฎีใหม่สวนยางยั่งยืน” เกษตรกรชาวสวนยางส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร รายย่อย มีพื้นที่ปลูกยาง ประมาณ 5-20 ไร่ ท�ำการ เกษตรแบบเกษตรกรรมเชิงเดี่ยว มีรายได้จากยางพารา เป็นหลัก ปัจจุบันมีรายงานว่าผลผลิตยางพาราต่อพื้นที่ ลดลงเรื่อย ๆ (ส�ำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) ประกอบกับราคายางตกต�่ำและขาดเสถียรภาพ ส่ง ผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรชาวสวนยาง เพื่อ เป็นทางเลือกและทางรอดใหม่ของเกษตรกรให้มีความ มั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม อย่างยั่งยืนโดยการพึ่งพา ตนเอง เกษตรกรชาวสวนยางต้องมีการปรับเปลี่ยน แนวคิดและวิธีการจัดการสวนยาง (กระบวนการผลิต) เพื่อสร้างความมั่นคง และยั่งยืนของรายได้ การยางแห่งประเทศไทยมุ่งยกระดับคุณภาพ ชีวิตของเกษตรกรชาวสวนยางและพัฒนาเกาตรกรให้ มีศักยภาพในการพึ่งพาตนเองสูง ให้เกษตรกรมีรายได้ คุ้มค่ากับการผลิตและมีความมั่นคงในการประกอบ อาชีพ โดยเกษตรกรขาวสวนยางมีรายได้ไม่น้อยกว่า 15,675 บาทต่อไร่ และมีพื้นที่สวนยางยั่งยืนเพิ่มขึ้นไม่ น้อยกว่า 125,000 ไร่ ภายใน พ.ศ. 2570 การสร้าง สวนยางแบบผสมผสาน หรือการสร้างสวนยางยั่งยืน ท�ำให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น จากการปลูกพืช ท�ำปศุสัตว์ และเพาะเลี้ยงสัตว์น�้ำใน สวนยาง ต้นทุนการผลิตลดลงจากการได้รับปุ๋ยจากพืช ชนิดอื่น การท�ำปศุสัตว์ และการเพาะเลี้ยงสัตว์น�้ำใน สวนยาง รวมถึงลดการใช้สารเคมีลง ค่าใช้จ่ายลดลง โดยการน�ำพืชและสัตว์เลี้ยงมาใช้หรือบริโภคในครัว เรือน เมื่อเทียบกับการสร้างสวนยางแบบปลูกพืช เชิงเดี่ยว ที่มีรายได้จากยางพาราอย่างเดียว สถาบันวิจัยยางได้มีการศึกษาค้นคว้าวิจัย เกี่ยวกับการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์เสริมรายได้ในสวน ยาง ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 ถึง 2546 และได้มีการถ่ายทอด วิชาการและเทคโนโลยีดังกล่าวให้กับเกษตรกรเพื่อน�ำ ไปใช้เป็นแนวทางในการจัดการสวนยางให้มีการใช้ ประโยชน์จากพื้นที่ให้คุ้มค่าและมีรายได้เสริมจาก ยางพารา ปัจจุบันได้มีการรวบรวมข้อมูลและจัดเก็บไว้ ในฐานข้อมูลขนาดใหญ่ขององค์กร เพื่อน�ำงานวิจัยไป ใช้ประโยชน์ได้จริงจึงได้น�ำองค์ความรู้ขององค์กรมาใช้ ความคิดสร้างสรรค์และประยุกต์ใช้ร่วมกับการน้อมน�ำ แนวพระราชด�ำริเกี่ยวกับเกษตรทฤษฎีใหม่ ของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาสร้างนวัตกรรม การจัดการสวนยาง “เกษตรทฤษฎีใหม่สวนยางยั่งยืน” ส�ำหรับเกษตรกรใช้เป็นแนวทางการพัฒนาสวนยาง เพื่อสร้างความมั่นคงทางรายได้อย่างยั่งยืน โดยมีการ จัดท�ำเอกสารวิชาการส�ำหรับใช้ประกอบการขับเคลื่อน นโยบายการสร้างสวนยางยั่งยืนขององค์กรและเป็น แนวทางการสร้างสวนยางยั่งยืนของเกษตรกร ได้แก่ 1) หลักการปลูกสร้างสวนยางแบบผสมผสาน 2) ระบบการสร้างสวนยางแบบผสมผสานโดยการปลูก ยางร่วมกับพืชชนิดอื่น 3) แนวทางการจัดการสวน ยางแบบผสมผสานโดยการปลูกยางร่วมกับพืชชนิด อื่น และ 4) กรณีศึกษาเกษตรกรชาวสวนยางที่ ประสบความส�ำเร็จในการปลูกสร้างสวนยางผสม ผสาน ตลอดจนมีการสร้างแปลงปลูกยางแบบสวนยาง ยั่งยืนเพื่อเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ของเกษตรกรชาวสวน ยางที่ศูนย์วิจัยยางบุรีรัมย์ ฉะเชิงเทรา และหนองคาย วิทยา พรหมมี กองวิจัยและพัฒนาการผลิตยาง สถาบันวิจัยยาง


28 นวัตกรรมการจัดการสวนยาง “เกษตรทฤษฎีใหม่สวนยางยั่งยืน” แนวพระราชด�ำริเกี่ยวกับทฤษฎีใหม่หรือ เกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นแนวทางการพัฒนาตามหลัก เศรษฐกิจพอเพียง คือ การพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐาน ของทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยค�ำนึงถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกัน ที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ความรู้ความรอบคอบ และ คุณธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจและ การกระท�ำ เป็นแนวทางในการพัฒนาที่น�ำไปสู่ความ สามารถในการพึ่งตนเอง ในระดับต่าง ๆ อย่างเป็นขั้น ตอน โดยลดความเสี่ยงเกี่ยวกับความผันแปรของ ธรรมชาติ หรือการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยต่าง ๆ ผลที่ คาดว่าจะได้รับจากการน�ำปรัชญาของเศรษฐกิจพอ เพียงมาประยุกต์ใช้ คือ การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความรู้และเทคโนโลยี ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อย เกินไปและไม่มากเกินไปโดยไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น เช่นการผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับ พอประมาณ ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับ ระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมี เหตุผลโดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนค�ำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการก ระท�ำนั้น ๆ อย่างรอบคอบ การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัว ให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้าน ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยค�ำนึงถึงความเป็นไปได้ของ สถานการณ์ ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งใกล้และไกล เงื่อนไขการตัดสินใจและการด�ำเนินกิจกรรม ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้นต้องอาศัยทั้งความรู้ และ คุณธรรมเป็นพื้นฐาน กล่าวคือ เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้ เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะน�ำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณา ให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และ ความระมัดระวังในขั้นปฏิบัติ เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความ ซื่อสัตย์สุจริตและมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติ ปัญญาในการด�ำเนินชีวิต เกษตรทฤษฎีใหม่


29 นวัตกรรมการจัดการสวนยาง “เกษตรทฤษฎีใหม่สวนยางยั่งยืน” ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชด�ำริ สามารถ เทียบกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบพื้นฐาน และแบบก้าวหน้า ได้ดังนี้ ทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 1 มุ่งแก้ปัญหาของเกษตรกร ที่อยู่ห่างไกลแหล่งน�้ำ ต้องพึ่งน�้ำฝนและประสบความ เสี่ยงจากการที่น�้ำไม่พอเพียง ถ้ามีที่ดินพอเพียงในการ ขุดบ่อเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวจากการแก้ปัญหา ความเสี่ยงเรื่องน�้ำ จะท�ำให้เกษตรกรสามารถมีข้าวเพื่อ การบริโภคยังชีพในระดับหนึ่งได้ และใช้ที่ดินส่วน อื่น ๆ สนองความต้องการพื้นฐานของครอบครัว รวม ทั้งขายในส่วนที่เหลือเพื่อมีรายได้ที่จะใช้เป็นค่าใช้จ่าย อื่น ๆ ที่ไม่สามารถผลิตเองได้ ทั้งหมดนี้เป็นการสร้าง ภูมิคุ้มกันในตัวให้เกิดขึ้นในระดับครอบครัว ในทฤษฎี ใหม่ขั้นที่ 1 ก็จ�ำเป็นที่เกษตรกรจะต้องได้รับความ ช่วยเหลือจากชุมชน ราชการ มูลนิธิ และภาคเอกชน ตามความเหมาะสม เทียบได้กับความพอเพียง ในระดับบุคคลและครอบครัวโดยเฉพาะเกษตรกร เป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน ทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 2 การสนับสนุนให้เกษตรกร รวมพลังกันในรูปกลุ่มหรือสหกรณ์ หรือการที่ธุรกิจต่าง ๆ รวมตัวกันในลักษณะเครือข่ายวิสาหกิจ กล่าวคือ เมื่อสมาชิกในแต่ละครอบครัวหรือองค์กรต่าง ๆ มีความพอเพียงขั้นพื้นฐานเป็นเบื้องต้นแล้วก็จะรวม กลุ่มกันเพื่อร่วมมือกันสร้างประโยชน์ให้แก่กลุ่มและ ส่วนรวมบนพื้นฐานของการไม่เบียดเบียนกัน การแบ่ง ปันช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามก�ำลังและความสามารถ ของตนซึ่งจะสามารถท�ำให้ ชุมชนโดยรวมหรือเครือ ข่ายวิสาหกิจนั้น ๆ เกิดความพอเพียงในวิถีปฏิบัติอย่าง แท้จริง เทียบได้กับความพอเพียงในระดับชุมชนและ ระดับองค์กรเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 3 การส่งเสริมให้ชุมชนหรือ เครือข่ายวิสาหกิจสร้างความร่วมมือกับองค์กรอื่น ๆ ในประเทศ เช่น บริษัทขนาดใหญ่ ธนาคาร สถาบันวิจัย เป็นต้น การสร้างเครือข่ายความร่วมมือในลักษณะเช่น นี้จะเป็นประโยชน์ในการสืบทอดภูมิปัญญา แลก เปลี่ยนความรู้ เทคโนโลยี และบทเรียนจากการพัฒนา หรือร่วมมือกันพัฒนา ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ท�ำให้ประเทศอันเป็นสังคมใหญ่อันประกอบด้วยชุมชน องค์กร และธุรกิจต่าง ๆ ที่ด�ำเนินชีวิตอย่างพอเพียง กลายเป็นเครือข่ายชุมชนพอเพียงที่เชื่อมโยงกันด้วย หลัก ไม่เบียดเบียน แบ่งปัน และช่วยเหลือซึ่งกันและ กันได้ในที่สุด เทียบได้กับความพอเพียงในระดับ ประเทศ เป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า


30 เนื่องจากป่าไม้ของประเทศไทยถูกท�ำลายลง อย่างรวดเร็วจากประชากรที่เพิ่มขึ้นและพลังผลักดัน ทางเศรษฐกิจระบบทุนนิยมเสรีที่มุ่งค้าขายโดยใช้ป่า เป็นตัวส�ำคัญเชิงพาณิชย์ ก่อให้เกิดภาวะแห้งแล้ง เนื่องจากต้นน�้ำล�ำธารถูกท�ำลาย ฝนไม่ตกต้องตาม ฤดูกาล เมื่อยามน�้ำหลากก็เกิดน�้ำท่วมฉับพลันและมี การพังทลายของดินอย่างรุนแรง จนเป็นปัญหาต่อการ ประกอบอาชีพทางการเกษตร กลายเป็นทุกข์ร้อนของ แผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนัก ถึงปัญหาดังกล่าวยิ่งนัก จึงได้ทดลองสร้างแปลงป่าไม้ ทดลองโดยการปลูกต้นยางนา และได้น�ำพันธุ์ไม้ต่างๆ ทั่วประเทศมาปลูกร่วมกันในแปลงปลูกยางนาใน ลักษณะป่าไม้สาธิต และมีการสร้างพระต�ำหนักเรือน ต้นในบริเวณป่าไม้สาธิตนั้นเพื่อทรงศึกษาธรรมชาติ วิทยาของป่าไม้ด้วยพระองค์เองอย่างใกล้ชิดและลึกซึ้ง ทรงสร้างความตระหนักให้มีความรักป่าไม้ ด้วยจิตส�ำนึกร่วมกัน (Awareness and Sharing Participation) มากกว่าวิธีการใช้อ�ำนาจบังคับ โดย มีพระราชด�ำริที่ยึดเป็นทฤษฎีการพัฒนาด้านป่าไม้โดย ปลูกฝังจิตส�ำนึกแก่ประชาชนว่า “เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ควรจะปลูกต้นไม้ลงในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่า นั้นก็พากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดินและรักษาต้นไม้ ด้วยตนเอง” นับเป็นทฤษฎีที่เป็นปรัชญาในด้านการ พัฒนาป่าไม้ที่ยิ่งใหญ่โดยแท้ ทรงเสนอแนวทางปฏิบัติว่าปลูกต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ เดิม คือศึกษาดูก่อนว่าพืชพันธุ์ไม้ดั้งเดิมมีอะไรบ้าง แล้วปลูกแซมตามรายการชนิดต้นไม้ที่ศึกษาได้ งดปลูก ไม้ผิดแผกจากถิ่นเดิม คือ ไม่ควรน�ำไม้แปลกปลอมต่าง พันธุ์ต่างถิ่นเข้ามาปลูกโดยยังไม่ได้ศึกษาอย่างแน่ชัด เสียก่อน ทรงแนะน�ำการปลูกป่าในเชิงผสมผสาน ทั้งด้านเกษตรวนศาสตร์และเศรษฐกิจสังคมไว้เป็น มรรควิธีปลูกป่าแบบลักษณะเบ็ดเสร็จนั้นไว้ด้วย ลักษณะทั่วไปของป่า 3 อย่าง คือ ปลูกแบบป่าใช้ไม่ หนึ่ง ป่าส�ำหรับใช้ผลหนึ่ง และป่าส�ำหรับใช้เป็นฟืน อย่างหนึ่ง การปลูกป่าถ้าจะให้ราษฎรมีประโยชน์ให้ เขาอยู่ได้ ให้ใช้วิธีปลูกไม้ 3 อย่าง แต่มีประโยชน์ 4 อย่าง คือ ไม้ใช้สอย ไม้กินได้ ไม้เศรษฐกิจ โดยรองรับ การชลประทาน ปลูกรับซับน�้ำ และปลูกอุดช่วงไหล่ ตามร่องห้วย โดยรับน�้ำฝนอย่างเดียว ประโยชน์อย่าง ที่ 4 ได้ระบบอนุรักษ์ดินและน�้ำ นวัตกรรมการจัดการสวนยาง “เกษตรทฤษฎีใหม่สวนยางยั่งยืน” ทฤษฎีการพัฒนาฟื้นฟูป่าไม้อันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ ที่มา: ส�ำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า กรมป่าไม้


31 นวัตกรรมการจัดการสวนยาง “เกษตรทฤษฎีใหม่สวนยางยั่งยืน” เป็นการสร้างสวนยางแบบผสมผสาน “วนเกษตร” โดยการสร้างสวนยางที่ปลูกยางพาราเป็นพืชหลัก มีการปลูกเป็นแถวเป็นแนวอย่างเป็นระเบียบ ร่วมกับการปลูกพืชชนิดอื่น ท�ำปสุสัตว์ และเพาะเลี้ยงสัตว์น�้ำ ใน สวนยางโดยไม่กระทบต่อการเจริญเติบโตของต้นยาง ปริมาณและคุณภาพผลผลิต การจัดระบบการปลูกพืชชนิดอื่นในระหว่างแถวยางให้เหมาะสมโดยให้พืชต่าง ๆ เหล่านั้นสามารถอยู่ ร่วมกับยางพาราได้โดยเกื้อกูลกันท�ำนองเดียวกับป่าดิบชื้น ซึ่งสามารถแบ่งลักษณะของชั้นเรือนไม้ตามโครงสร้าง ของป่าดิบชื้น สามารถแบ่งออกเป็น 4 ชั้นเรือน คือ ชั้นเหนือเรือน ชั้นเรือนยอด ชั้นใต้เรือน และชั้นล่างสุด หรือ พื้นสวน ต้นไม้แต่ละชั้นมีความต้องการปริมาณแสงที่แตกต่างกันออกไป คือ ชั้นเหนือเรือนยอดมีความต้องการ แสง 100 เปอร์เซ็นต์ ชั้นรองลงมาชั้นเรือนยอด ต้องการแสง 95 เปอร์เซ็นต์ ชั้นใต้เรือนยอด ต้องการแสง 5 เปอร์เซ็นต์ และ ชั้นล่างสุดหรือพื้นสวน ต้องการแสง 2 เปอร์เซ็นต์ (ภาพที่ 1) นวัตกรรมการจัดการสวนยาง “เกษตรทฤษฎีใหม่สวนยางยั่งยืน” ภาพที่ 1 การจัดชั้นเรือนของประเภทไม้ร่วมในการสร้างสวนยางแบบผสมผสาน ชั้นเรือนยอด ชั้นใต้เรือน เป็นไม้ที่มีขีดจ�ำกัด ความโตขนาดกลาง มีความต้องการแสงน้อยกว่าไม้ ชนิดที่อยู่ในชั้นบน ชั้นนี้มักจะมีการสอดแทรกอยู่ ระหว่างช่องว่างของไม้ชั้นบนและท�ำให้เรือนยอดสวน ยางแน่นทึบ และชั้นล่างสุด หรือพื้นสวนเป็นไม้ขนาด เล็ก มีความทนร่มเงาสูง บางครั้งขึ้นผสมกับไม้พุ่มสูง ปรากฏอยู่ภายใต้เรือนยอดชั้นบน ภายใต้เรือนชั้นล่าง สุดหรือพื้นสวน จะประกอบด้วย ชั้นยอดของไม้พุ่มเตี้ย มีความสูงไม่เกิน 2 เมตร ชั้นของหญ้าและพืชล้มลุก เป็นชั้นที่ประกอบด้วยต้นไม้จ�ำพวกหญ้าและพืชล้มลุก ชั้นผิวดิน เป็นชั้นของมอสส์ ไลเคน หรือพืชขนาดเล็ก ที่แปะติดกับผิวดิน ชั้นใต้ดิน เป็นชั้นรากของพืชและ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในดิน ซึ่งแต่ละชั้นจะมีความหลาก หลายทางชีวภาพที่แตกต่างกัน เนื่องจากปริมาณน�้ำ ฝนหรือแสงแดดที่ได้รับแตกต่างกัน


32 นวัตกรรมการจัดการสวนยาง “เกษตรทฤษฎีใหม่สวนยางยั่งยืน” นวัตกรรมการจัดการสวนยาง “เกษตรทฤษฎีใหม่สวนยางยั่งยืน” (ต่อ) ประโยชน์ที่ได้รับ 1) เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น จากการจ�ำหน่ายผลผลิตอื่น ๆ นอกจากผลผลิตยาง 2) เกษตรกรมีค่าใช้จ่ายครัวเรือนลดลงจากการบริโภค ผลผลิตและการใช้ประโยชน์จากไม้ใช้สอยในสวนยาง 3) เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตยางลดลงจากการลดค่าใช้ จ่ายในการจัดการศัตรูพืชและการจัดการดินปุ๋ยในสวนยาง 4) เกษตรกรมีงานท�ำตลอดทั้งปี 5) สร้างความสมดุลของระบบนิเวศน์ในสวนยาง ประเภทการสร้างสวนยางแบบผสมผสาน แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ 1) การปลูกยางร่วมกับพืชชนิดอื่น 2) การปลูกยางร่วมกับการเลี้ยงสัตว์หรือเพาะเลี้ยงสัตว์น�้ำ 3) การปลูกยางร่วมกับพืชชนิดอื่นและการเลี้ยงสัตว์หรือ เพาะเลี้ยงสัตว์น�้ำร่วมด้วย ระบบการสร้างสวนยางแบบผสมผสาน การจัดระบบการปลูกพืชเป็นสิ่งส�ำคัญ เริ่มจาก การปลูกยางร่วมกับการปลูกพืชชนิดอื่นแบบผสมผสาน ต่างระดับ 3-5 ระดับตามขนาดความสูงและความลึก ของราก อาศัยกันแบบเกื้อกูลกัน โดยการปลูกไม้ยืนต้น และไม้ที่ส�ำคัญทางเศรษฐกิจ ไม้ผลและพืชสมุนไพรเพื่อ เป็นไม้ใช้สอย บริโภคหรือสร้างรายได้ในครัวเรือน จาก นั้นจึงจัดระบบการท�ำปศุสัตว์ และการเพาะเลี้ยงสัตว์น�้ำ ลงไปในสวนยางตามความเหมาะสม สามารถแบ่งตาม ประเภทของพันธุ์พืชได้เป็น 7 ระบบ ดังนี้ 1) พืชหลัก + ไม้ยืนต้นและไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ + ไม้ผล + พืชผักและพืชสมุนไพร 2) พืชหลัก + ไม้ยืนต้นและไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ + ไม้ผล 3) พืชหลัก + ไม้ยืนต้นและไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ + พืชผักและพืชสมุนไพร 4) พืชหลัก + ไม้ยืนต้นและไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ 5) พืชหลัก + ไม้ผล + พืชผักและพืชสมุนไพร 6) พืชหลัก + ไม้ผล 7) พืชหลัก + พืชผักและพืชสมุนไพร หลักการพิจารณาในการสร้างสวนยางแบบผสมผสาน เป้าหมายของการสร้างสวนยางแบบผสมผสาน คือ การใช้ประโยชน์จากพื้นที่สูงสุดเพื่อการลดต้นทุน เพิ่มราย ได้ สร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนทางด้านสังคมและเศรษฐกิจให้กับเกษตรกร โดยพิจารณาตามหลักการ ดังนี้ 1) ภูมิสังคม และความต้องการของตลาดและความนิยมบริโภคในพื้นที่ 2) ความต้องการ ความคุ้มค่า และความสะดวกของเกษตรกร ในการจัดการสวนยาง 3) ความรู้ ความสามารถ ความถนัดของเกษตรกร ในการจัดการสวนยาง 4) พืชพื้นถิ่นของแต่ละชุมชน 5) ความเป็นมิตรและเกื้อกูลกันของพืชที่อยู่ร่วมกัน 6) ภูมินิเวศ สภาพพื้นที่เหมาะสม มีแหล่งน�้ำเพียงพอ และการคมนาคมสะดวก


33 นวัตกรรมการจัดการสวนยาง “เกษตรทฤษฎีใหม่สวนยางยั่งยืน”


34 รูปแบบการจัดการสวนยางแบบผสมผสาน สามารถจัดรูปแบบการปลูกยางได้โดยการปลูกยางแบบเดิมหรือขยายระยะปลูกระหว่างต้นระหว่างแถว และปลูกยาง แบบปลูกแถวเดี่ยวหรือแถวแถวคู่ ตามความเหมาะสมโดยพิจารณาจากจากหลักการพิจารณาการสร้างสวนยางแบบผสมผสาน 1. การปลูกยางแถวเดี่ยว ระยะปลูก 2.5 X 8 เมตร จ�ำนวนต้นยาง 80 ต้น/ไร่ ระยะปลูก 2.5 X 10 เมตร จ�ำนวนต้นยาง 64 ต้น/ไร่ ระยะปลูก 2.5 X 12 เมตร จ�ำนวนต้นยาง 53 ต้น/ไร่ ระยะปลูก 3 X 7 เมตร จ�ำนวนต้นยาง 76 ต้น/ไร่ ระยะปลูก 3 X 10 เมตร จ�ำนวนต้นยาง 53 ต้น/ไร่ ระยะปลูก 3 X 12 เมตร จ�ำนวนต้นยาง 44 ต้น/ไร่ ระยะปลูก 4 X 8 เมตร จ�ำนวนต้นยาง 50 ต้น/ไร่ ระยะปลูก 4 X 9 เมตร จ�ำนวนต้นยาง 44 ต้น/ไร่ 2. การปลูกยางแถวคู่ ระยะปลูก 2.5 X 6 X 10 เมตร จ�ำนวนต้นยาง 64 ต้น/ไร่ ระยะปลูก 3 X 5 X 10 เมตร จ�ำนวนต้นยาง 64 ต้น/ไร่ ระยะปลูก 3 X 5 X 12 เมตร จ�ำนวนต้นยาง 59 ต้น/ไร่ ระยะปลูก 3 X 6 X 10 เมตร จ�ำนวนต้นยาง 57 ต้น/ไร่ ระยะปลูก 3 X 6 X 12 เมตร จ�ำนวนต้นยาง 53 ต้น/ไร่ ตัวอย่างเกษตรกรสร้างสวนยางยั่งยืน 1. คุณวีระ ลิป่วน ปลูกยางแบบปลูกพืชและลี้ยงสัตว์ผสมผสาน (ผักเหลียง ผึ้ง เป็ดไข่ และไก่พื้นเมือง) พื้นที่ส่วนยาง 15 ไร่ ยางอายุ 19 ปี ผลก�ำไรรวมจากยางพารา 133,175 บาท/ไร่ ผลก�ำไรรวมจากสวนยางผสมผสาน 153,155 บาท/ไร่ ส่วน ต่างรวม 19,980 บาท/ไร่ รายได้จากการจ�ำหน่ายกิ่งตอนผักเหลียง 2. คุณอมรชัย บุญจันทร์ ปลูกยางแบบเลี้ยงสัตว์ผสมผสาน (ผึ้งโพรงไทยและชันโรง) พื้นที่สวนยาง 8 ไร่ ยางอายุ 21 ปี ผลก�ำไรรวมจากยางพารา 166,047 บาท/ไร่ ผลก�ำไรรวมจากสวนยางผสมผสาน 288,297 บาท/ไร่ ส่วนต่างรวม 122,250 บาท/ไร่ รายได้จากการจ�ำหน่าย รวงผึ้งสด ไขผึ้ง ลิปสติกผึ้ง และชันโรงพร้อมเลี้ยง 3. คุณพิทยา สุขอนันต์ ปลูกยางแบบปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ผสมผสาน (ผักเหรียง ไผ่ ปลา ผึ้งโพรงไทยและวัว) พื้นที่ สวนยาง 8 ไร่ ยางอายุ 18 ปี ผลก�ำไรรวมจากยางพารา 114,789 บาท/ไร่ ผลก�ำไรรวมจากสวนยางผสมผสาน 350,965 บาท/ไร่ ส่วนต่างรวม 236,176 บาท/ไร่ รายได้จากการจ�ำหน่าย ยอดผักเหลียง กิ่งตอน ปลาสด ลูกวัว หน่อไม้สด หน่อไม้ดอง น�้ำผึ้งบรรจุขวด 4. คุณพัฒนพงศ์ ประพัฒน์ ปลูกยางแบบปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ผสมผสาน (ผักเหรียง และ ผึ้งโพรงไทย) พื้นที่สวนยาง 10 ไร่ ยางอายุ 21 ปี ผลก�ำไรรวมจากยางพารา 159,213 บาท/ไร่ ผลก�ำไรรวมจากสวนยางผสมผสาน 373,013 บาท/ไร่ ส่วน ต่างรวม 213,800 บาท/ไร่ รายได้จากการจ�ำหน่าย รวงผึ้งสด น�้ำผึ้งบรรจุขวด ลังเลี้ยงผึ้ง และยอดผักเหลียง นวัตกรรมการจัดการสวนยาง “เกษตรทฤษฎีใหม่สวนยางยั่งยืน”


35 กระบวนทัศน์ใหม่ การบริหารงานวิจัยแบบบูรณาการ ศูนย์วิจัยยางบุรีรัมย์ เป็นหน่วยงานสังกัดสถาบันวิจัยยาง การยางแห่งประเทศไทย มีบทบาทภารกิจด้านการวิจัย พัฒนา และบริการด้านวิชาการยางพารา ในเขตพื้นที่ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 10 จังหวัด ได้แก่ อ�ำนาจเจริญ อุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม สุรินทร์ บุรีรัมย์ นครราชสีมา และชัยภูมิ อัตราก�ำลัง พนักงานรัฐวิสาหกิจ จ�ำนวน 9 คน ลูกจ้างชั่วคราว มาตรา 49(4) จ�ำนวน 8 คน ลูกจ้างชั่วคราว มาตรา 49(1) จ�ำนวน 13 คน พื้นที่ มีพื้นที่ทั้งหมด 233 ไร่ ประกอบด้วย พื้นที่ตั้งอาคารสถานที่ 31 ไร่ พื้นที่ส�ำหรับงานขยายพันธุ์ยาง 12 ไร่ พื้นที่ส�ำหรับงานวิจัย 145 ไร่ พื้นที่ส�ำหรับงานอนุรักษ์ 45 ไร่ สถานที่ตั้ง ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ 15 องศา 20 ลิปดา เหนือ และเส้นแวงที่ 103 องศา 11 ลิปดาตะวันออก ลักษณะพื้นที่เป็นลูกคลื่นลอนลาด มีความลาดชัน ประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 5 องศา สูงจาก ระดับน�้ำทะเลปานกลาง 173 เมตร ตั้งที่อยู่เลขที่ 17 หมู่ที่ 15 บ้านกระทุ่ม ต�ำบลร่อนทอง อ�ำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ 31150 โทรศัพท์ 044-666079 สภาพภูมิอากาศ มีลักษณะอากาศแบบมรสุมเขตร้อน มี 3 ฤดู คือ ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่ เดือนกุมภาพันธ์- พฤษภาคม ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่ มิถุนายน-ตุลาคม โดย การได้รับพายุจรในเดือนมิถุนายน-กันยายน ปริมาณ น�้ำฝนเฉลี่ย 1,200 มิลลิเมตรต่อปี มีความชื้นสัมพัทธ์ เฉลี่ย 70 เปอร์เซ็นต์ อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 38.0 องศา เซลเซียส และอุณหภูมิต�่ำสุดเฉลี่ย 14 องศาเซลเซียส ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-มกราคม ลักษณะดิน เป็นดินชุดยโสธร (Yasothon series : Fine-lome, sillicious, semiactive, isohyperthermic, TypicPaleustults) หน้าดินลึก ดินบนเป็นดิน ร่วนปนทราย สีน�้ำตาลเข้มหรือสีน�้ำตาลปนแดงเข้ม ดิน ล่างเป็นดินร่วนหรือเป็นดินร่วนเหนียวปนทราย สีแดง ปนเหลืองหรือสีแดง ปฏิกิริยาดินเป็นดินกรดจัดถึงปาน กลาง pH 5.5-7.0 ในดินบน และในดินล่าง pH 4.5-5.0 การคมนาคม ตั้งอยู่บนถนนกรมทางหลวงชนบทบ้าน กระทุ่ม ต�ำบลร่อนทอง อ�ำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ เชื่อมต่อระหว่างอ�ำเภอสตึก กับอ�ำเภอเมืองบุรีรัมย์ ห่างจากอ�ำเภอสตึก 17 กิโลเมตร และห่างจากอ�ำเภอ เมืองบุรีรัมย์ 29 กิโลเมตร ไปตามเส้นทางหลวง หมายเลข 219 ห่างจากกรุงเทพมหานคร ตามเส้น ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน-สระบุรี-เส้น ทางหลวงหมายเลข 2 ถนนมิตรภาพ-เส้นทางหลวง หมายเลข 24 โชคชัย-หนองกี่-นางรอง กรุงเทพฯบุรีรัมย์-เส้นทางหลวงหมายเลข 219 สตึก-มหาสารคาม รวมระยะทางประมาณ 410 กิโลเมตร กระบวนทัศน์ใหม่ การบริหารงานวิจัยแบบบูรณาการ “ศูนย์วิจัยยางบุรีรัมย์ ศูนย์บริหารงานวิจัยเพื่อการเรียนรู้แบบองค์รวม” ธมลวรรณ โทนุสิน และวิทัศ พันธ์ภูงา ศูนย์วิจัยยางบุรีรัมย์


36 โครงการวิจัยและพัฒนา ตามมาตรา 49(4) ได้แก่ 1. โครงการการวิจัยพันธุ์ยางให้เหมาะสมกับพื้นที่กึ่ง แห้งแล้ง มี 2 การทดลองคือ 1.1 การเปรียบเทียบพันธุ์ยางขั้นต้นสายพันธุ์ ยาง RRI-CH-56/1/1 1.2 การเปรียบเทียบพันธุ์ยางขั้นต้นสายพันธุ์ ยาง RRI-CH-57/1/1 2. โครงการวิจัยการทดสอบพันธุ์ยางในพื้นที่กึ่งแห้ง แล้ง มี 3 การทดลองคือ 2.1 การทดสอบพันธุ์ยางชุดที่ 1 ในพื้นที่ฟาร์ม ตัวอย่าง อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ 2.2 การทดสอบพันธุ์ยางที่มีศักยภาพในการ แนะน�ำพันธุ์ ชุดที่ 2(RRI-CH-36) ในพื้นที่ของเกษตรกร จังหวัดบุรีรัมย์ 2.3 การทดสอบพันธุ์ยางชุดที่ 2 ในพื้นที่ของ เกษตรกรจังหวัดบุรีรัมย์ 3. โครงการการทดสอบเทคโนโลยีพันธุ์ยางแนะน�ำปี 2559 ในแปลงเกษตรกรพื้นที่เขตปลูกยางใหม่ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 4. โครงการวิจัยผลของการใช้ปุ๋ยเคมีที่มีธาตุอาหาร รองต่อผลผลิตและคุณภาพของน�้ำยาง 5. โครงการวิจัยสร้างโปรแกรมประเมินความหลาก หลายทางชีวภาพส�ำหรับสวนยางพาราที่รับรอง มาตรฐาน FSC 6. โครงการประเมินไม้ยางพาราและผลผลิตยางพารา ตามค�ำแนะน�ำพันธุ์ยางชั้น 1 ปี 2559 เพื่อการตรวจร รับรองมาตรฐาน FSC 7. โครงการ การพัฒนาห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ดิน ของศูนย์วิจัยยางบุรีรัมย์ให้ได้การรับรองมาตรฐาน มอก.17025-2561 (ISO/IEC 17025 : 2017) 8. โครงการแปลงตัวอย่างสวนยางการสงเคราะห์ ปลูกแทนแบบ 3 : ปลูก แทนแบบเกษตรกรรมยั่งยืน โครงการ/กิจกรรมส่งเสริมเกษตรกรและสถาบัน เกษตรกร ตามมาตรา 49(3) ได้แก่ 1. โครงการสนับสนุนเกษตรกรและผู้ประกอบการ ในการเพิ่มประสิทธิภาพการแปรรูปยาง การยกระดับ มาตรฐานองค์กรด้านอุตสาหกรรมยาง คือ กิจกรรม ที่ 5 การผลิตยางเครปมาตรฐาน GMP 2. โครงการขับเคลื่อนเพื่อเพิ่มศักยภาพการจัดการ สวนยางตามหลัก GAP มี 3 กิจกรรม ได้แก่ 2.1 กิจกรรมที่ 1 โครงการเพิ่มศักยภาพการ จัดการสวนยางตามหลัก GAP 2.2 กิจกรรมที่ 2 การจัดการระบบควบคุม ภายในของกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยาง 2.3 กิจกรรมที่ 3 การประเมินศักยภาพของ กลุ่มเกษตรกรที่ผ่านมาตรฐาน GAP ยางพาราตาม ระบบมาตรฐานการควบคุมภายใน 3. โครงการแปลงต้นแบบการเรียนรู้การกรีดยาง หน้าสูงเพื่อเพิ่มศักยภาพการให้ผลผลิต และเป็น วัตถุดิบในอุตสาหกรรมยาง 4. โครงการ ส่งเสริมการท�ำสวนยางตามมาตรฐาน การจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน โครงการที่ศูนย์วิจัยยางบุรีรัมย์รับผิดชอบ กระบวนทัศน์ใหม่ การบริหารงานวิจัยแบบบูรณาการ


37 การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ให้การส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราที่มีการโค่นยางและประสงค์ขอรับ การสนับสนุนการสงเคราะห์ปลูกแทนจากการยางแห่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีการปลูกแทน 3 แบบคือ แบบที่ 1 ปลูกแทนด้วยยางพันธุ์ดี แบบที่ 2 ปลูกแทนด้วยไม้เศรษฐกิจหรือไม้แปรรูปอื่นๆ และแบบที่ 3 ปลูกแทนยางแบบ เกษตรกรรมยั่งยืน การปลูกแทนแบบเกษตรกรรมยั่งยืนใช้ยางเป็นหลัก หรือใช้ไม้ผล ไม้ยืนต้นเป็นหลักก็ได้ แต่จ�ำนวน ต้นยางพาราไม่ควรน้อยกว่า 40 ต้นต่อไร่ หากน้อยกว่านี้จะไม่คุ้มกับการลงทุนปลูกยาง การใช้ระยะปลูกยางขึ้นอยู่กับ วัตถุประสงค์ของผู้ปลูกจะมีการจัดการสวนยางที่มีพืชอื่นหรือกิจกรรมอื่นๆ เช่นการเลี้ยงสัตว์หรือการประมง ในแปลงยางอย่างไร การใช้ระยะปลูกและจ�ำนวนต้นยางตามระยะปลูกมีดังนี้ ความเป็นมาและวัตถุประสงค์ของ แปลงตัวอย่างสวนยางการสงเคราะห์ปลูกแทนแบบ 3 : ปลูกแทนแบบเกษตรกรรมยั่งยืน ระยะปลูก (เมตร) ความหนาแน่นของต้นยาง 2.5 x 10 64 ต้นต่อไร่ 2.5 x 12 53 ต้นต่อไร่ 3 x 10 53 ต้นต่อไร่ 3 x 12 44 ต้นต่อไร่ 4 x 8 50 ต้นต่อไร่ 4 x 9 44 ต้นต่อไร่ 4 x 10 40 ต้นต่อไร่ กระบวนทัศน์ใหม่ การบริหารงานวิจัยแบบบูรณาการ


38 ศูนย์วิจัยยางบุรีรัมย์ได้ด�ำเนินการปลูกยางเพื่อเป็นแปลงตัวอย่างของการสงเคราะห์ปลูกแทนแบบ 3 : ปลูกแทน แบบเกษตรกรรมยั่งยืน มีการจัดการระบบน�้ำเพื่อให้ปลูกพืชได้อย่างเหมาะสม โดยปลูกยางพาราพันธุ์ RRIT 3906 จ�ำนวน 53 ต้นต่อไร่ 2 ระยะปลูกคือระยะระหว่างแถวต่อระหว่างต้น 10 X 3 เมตร และ 2.5 x 12 เมตร พื้นที่แปลงละ 5 ไร่ ปลูกพืชร่วมยางได้แก่ ไม้ผลเช่น มะม่วง ขนุน ล�ำไย ฯลฯ ไม้ป่าเศรษฐกิจเช่น พยูง แดง สัก ตะเคียนทอง ยางนา กันเกรา ฯลฯ นอกจากนี้ได้มีการเลี้ยงไก่ไข่ เป็ดไข่ เลี้ยงปลา และปลูกพืชผักตามฤดูกาล เพื่อเป็นตัวอย่างเสริมรายได้ในช่วงที่ ยางพารายังไม่เปิดกรีด และเพื่อให้เป็นสถานที่ศึกษาดูงานส�ำหรับเป็นทางเลือกให้กับกลุ่มเกษตรกร และผู้สนใจทั่วไป ขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ศูนย์วิจัยยางบุรีรัมย์ สถาบันวิจัยยาง การยางแห่งประเทศไทย เลขที่ 17 หมู่ที่ 15 ต�ำบลร่อนทอง อ�ำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ 31150 Email : [email protected] โทร : 044-666079, 081-470-1611 ตัวอย่างแปลงยางพาราที่สงเคราะห์ปลูกแทนแบบ 3 : ปลูกแทนแบบเกษตรกรรมยั่งยืน กระบวนทัศน์ใหม่ การบริหารงานวิจัยแบบบูรณาการ


39 ศูนย์วิจัยยางบุรีรัมย์ มีอาคารปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ เครื่องมือวิทยาศาสตร์ วัสดุ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ทันสมัย เพื่อใช้ในงานการทดสอบและวิเคราะห์ธาตุอาหารพืชในดิน โดยรับบริการวิเคราะห์ดินให้แก่เกษตรกร และนักวิจัยทั่วไปที่สนใจส่งตัวอย่างดินมาวิเคราะห์ ดังรายการวิเคราะห์ดินในตารางที่ 1 เปิดรับบริการวิเคราะห์ดิน ตามมาตรฐาน มอก.17025-2561 โดย ศูนย์วิจัยยางบุรีรัมย์ ตารางที่ 1 แสดงรายการวิเคราะห์ดิน ล�ำดับที่ รายการวิเคราะห์ 1 ความเป็นกรดด่างของดิน ( Soil pH ) อัตราส่วนดินต่อน�้ำ 1:1 2 อินทรียวัตถุในดิน (Soil organic matter : OM) 3 ความต้องการปูนของดิน (Lime requirement : LR) 4 การน�ำไฟฟ้าของดิน (Electrical conductivity: EC) 5 ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ต่อพืชในดิน (Soil available phosphorus : P) 6 โพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ในดิน (Soil exchangeable potassium : K) 7 แคลเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ในดิน (Soil exchangeable calcium : Ca) 8 แมกนีเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ในดิน (Soil exchangeable magnesium : Mg) 9 โซเดียมที่แลกเปลี่ยนได้ในดิน (Soil exchangeable sodium : Na) 10 เหล็กในรูปที่เป็นประโยชน์ต่อพืช (Available iron : Fe) 11 แมงกานีสในรูปที่เป็นประโยชน์ต่อพืช (Available manganese : Mn) 12 สังกะสีในรูปที่เป็นประโยชน์ต่อพืช (Available zinc : Zn) 13 ทองแดงในรูปที่เป็นประโยชน์ต่อพืช (Available cupper : Cu) 14 เนื้อดิน (Soil Texture) โดยวิธี Hydrometer Method การเตรียมตัวอย่างและการวิเคราะห์ดิน กระบวนทัศน์ใหม่ การบริหารงานวิจัยแบบบูรณาการ


40 อัตราค่าวิเคราะห์ตัวอย่างดิน ส�ำหรับการคิดอัตราค่าบริการแต่ละรายการผู้วิจัยได้จัดท�ำฉบับร่างการก�ำหนดราคาค่าบริการวิเคราะห์ ดิน เพื่อขออนุมัติหลักการและคิดราคาค่าวิเคราะห์ดินของการยางแห่งประเทศไทย โดยให้ผู้ขอรับบริการที่เป็น เกษตรกร ส่งตัวอย่างด้วยตัวเอง หรือส่งผ่านกลุ่มเกษตรกร หรือหน่วยงานราชการ เพื่อวิเคราะห์ตัวอย่างดิน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และผู้ขอที่เป็นนักวิจัยให้เสียค่าใช้จ่าย เนื่องจากปัจจุบันราคาสารเคมี วัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการวิเคราะห์ตัวอย่างดินค่อนข้างสูง จึงได้ก�ำหนดร่างอัตราค่าบริการวิเคราะห์ดิน ดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 แสดงรายการวิเคราะห์ดิน ล�ำดับที่ รายการวิเคราะห์ ราคา (บาท/ตัวอย่าง) 1 ความเป็นกรดด่างของดิน ( Soil pH ) อัตราส่วนดินต่อน�้ำ 1:1 100 2 อินทรียวัตถุในดิน (Soil organic matter : OM) 200 3 ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ต่อพืชในดิน (Soil available phosphorus :P) 300 4 โพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ในดิน (Soil exchangeable potassium :K) 350 5 แคลเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ในดิน (Soil exchangeable calcium :Ca) 350 6 แมกนีเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ในดิน(Soil exchangeable magnesium :Mg) 350 ส�ำหรับเกษตรกรท่านไหนที่สนใจส่งตัวอย่างมา วิเคราะห์สามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มค�ำขอได้ที่ QR Code ด้านล่างนี้ ขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ศูนย์วิจัยยางบุรีรัมย์ สถาบันวิจัยยาง การยางแห่งประเทศไทย เลขที่ 17 หมู่ที่ 15 ต�ำบลร่อนทอง อ�ำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ 31150 Email : [email protected] โทร : 044-666079 ตัวอย่างแบบค�ำขอส่งตัวอย่างดิน กระบวนทัศน์ใหม่ การบริหารงานวิจัยแบบบูรณาการ


41 โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ชยพล สัตย์ธรรม นงค์ แก้ววิเศษ และเกษตร แนบสนิท ศูนย์วิจัยยางหนองคาย สถาบันวิจัยยาง การยางแห่งประเทศไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2536 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจ และท�ำให้ตระหนักถึงความส�ำคัญ ของทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีอยู่ในประเทศไทย ก่อให้เกิดกิจกรรมเพื่อให้มีการร่วมคิด ร่วมปฏิบัติที่น�ำผลประโยชน์มาถึง ประชาชนชาวไทย ตลอดจนให้มีการจัดท�ำระบบข้อมูลทรัพยากร ให้แพร่หลายสามารถสื่อถึงกันได้ทั่วประเทศ ในส่วนโครงการฯที่รับสนองพระราชด�ำริโดยศูนย์วิจัยยางหนองคาย เริ่มต้นตั้งแต่ปีพ.ศ. 2538 อธิบดีกรมวิชาการ เกษตร ร.ต. มนตรี รุมาคม (ในขณะนั้น) ได้ทูลเกล้าฯ ถวายศูนย์วิจัยและสถานีทดลองของกรมวิชาการเกษตรเพื่อ เป็นแหล่งรวบรวมพันธุกรรมพืชแด่สมเด็จพระเทพรัตนสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งศูนย์วิจัยยางหนองคายเป็นหน่วย งานหนึ่งที่ได้รับเลือกให้เป็นแหล่งรวบรวมพันธุกรรมพืช โดย ดร.พิสิษฐ์ วรอุไร ประธานคณะกรรมการบริการโครง การฯ ได้เดินทางไปดูสภาพพื้นที่แหล่งรวบรวมพันธุกรรมพืชที่ศูนย์วิจัยยางหนองคาย ต�ำบลพระบาทนาสิงห์ อ�ำเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย โดยศูนย์วิจัยยางหนองคายได้จัดพื้นที่ 155 ไร่ แบ่งเป็น 2 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรม ปกปักทรัพยากร จ�ำนวน 110 ไร่ และกิจกรรมปลูกรักษาทรัพยากร จ�ำนวน 45 ไร่ ส�ำหรับการจัดท�ำโครงการฯ จาก ปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา จากนั้นหลังการประกาศใช้พระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 ศูนย์วิจัย ยางหนองคาย สถาบันวิจัยยาง จึงได้โอนย้ายมาสังกัดหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ คือ การยางแห่งประเทศไทย กระทรวง เกษตรและสหกรณ์ จนถึงปัจจุบัน โครงการฯได้รับการจัดสรรงบประมาณจากกองทุนพัฒนายางพาราตามมาตรา ๔๙ (๓) ของการยางแห่งประเทศไทย ประจ�ำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ที่มาของโครงการ


42 วัตถุประสงค์โครงการ 1. เป็นการสนองพระราชด�ำริ ให้ด�ำเนินการรวบรวม รักษาพรรณพืชต่างๆ ในการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช 2. เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯของ พรรณพืชที่หายากและก�ำลังจะหมดไป 3. เพื่อเป็นสถานที่ศึกษาดูงานให้เกษตรกร สถาบัน เกษตรกรชาวสวนยางและผู้เกี่ยวข้องในด้าน รวบรวมอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ ที่สามารถน�ำไป ปรับใช้เพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต ตลอด จนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ หน่วยงานของการยางแห่งประเทศไทย ผลการด�ำเนินงาน (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2538 - ปัจจุบัน) 1. กิจกรรมปกปักทรัพยากร ส�ำหรับกิจกรรมปกปักทรัพยากร ที่ด�ำเนินการในพื้นที่ ศูนย์วิจัยยางหนองคาย พื้นที่ 110 ไร่ โดยแบ่งพื้นที่ ประมาณ 5 ไร่ ส�ำหรับเป็นเขตที่ผู้เข้าชมโครงการฯเข้า ศึกษาดูงานได้ตลอดปี โดยศูนย์ฯจัดท�ำเส้นทางเพื่อเข้า ศึกษาพันธุ์ไม้แล้วเสร็จ จ�ำนวน 3 เส้นทาง คือ เส้นทาง ที่ 1 ระยะทาง 354 เมตร เส้นทางที่ 2 ระยะทาง 588 เมตร และเส้นทางที่ 3 ระยะทาง 863 เมตร ส่วนเส้น ทางที่ 4 และ5 ระยะทางประมาณ 540 เมตร ยังไม่แล้ว เสร็จ ซึ่งลักษณะของเส้นทางเป็นเส้นทางที่เดินไป-กลับ ไม่ใช่เส้นทางวนกลับหรือเชื่อมต่อกับเส้นทางอื่น โดย ปรับแต่งพื้นที่เพื่อให้เกิดความสะดวกในการเข้าศึกษา และก�ำหนดขอบเขตของพื้นที่ปกปักทรัพยากร จากนั้น ได้มีการส�ำรวจโดยเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯร่วมกับเจ้าหน้าที่ โครงการฯ เพิ่อจัดท�ำข้อมูลพรรณไม้ในรูปแบบ QR CODE ร่วมกับการจัดท�ำป้ายแสดงชื่อพรรณไม้ ท�ำรหัส ประจ�ำต้นไม้ และท�ำรหัสพิกัดเพื่อรวบรวมเป็นฐาน ข้อมูลในพื้นที่ พบว่าสามารถตรวจสอบจ�ำแนกชนิด พันธุกรรมเพิ่มเติมจากที่เคยส�ำรวจไว้เพิ่มอีก 44 ชนิด จากเดิม 86 ชนิด ที่จ�ำแนกไว้เป็น ไม้ยืนต้น 55 ชนิด ไม้ ทรงพุ่ม 12 ชนิด เถาวัลย์ 8 ชนิด พืชชนิดเล็ก 5 ชนิด พืชพวกขิง ไพล ปรง บุก อีก 6 ชนิด นอกจากนี้ยังด�ำเนิน การซ่อมแซมป้ายโครงการ ซ่อมแซมเสารั้วโดยรอบพื้นที่ และซ่อมแซมศาลาส�ำหรับจัดนิทรรศการกึ่งถาวร ใน ส่วนของภายในพื้นที่มีการท�ำแนวกันไฟในก่อนช่วงฤดู แล้งเพื่อป้องกันไฟป่าโดยการใช้รถไถปรับสภาพพื้นถนน รอบโครงการฯ ในส่วนของการบูรณาการงานกับหน่วย งานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อมของพื้น โดยโครงการฯได้รับความอนุเคราะห์ ป้ายชื่อและข้อมูลพรรณไม้ที่ส�ำคัญจาก คือ ส�ำนักงาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดหนองคาย นอกจากในส่วนประชาสังคมนี้ศูนย์วิจัยยางหนองคาย ยังมีการรณรงค์สนับสนุนให้ประชาชนที่อยู่รอบๆพื้นที่ โครงการฯให้มีส่วนร่วมรักษาทรัพยากรในพื้นที่อีกด้วย 2. กิจกรรมปลูกรักษาทรัพยากร ส�ำหรับกิจกรรมปกปักทรัพยากร จ�ำนวน 45 ไร่ เป็น กิจกรรมต่อเนื่องจากกิจกรรมปกปักทรัพยากร โดยน�ำ พันธุ์ไม้ที่ได้รับจากโครงการฯ มาปลูกในพื้นที่โครงการ เดิมซึ่งมีสภาพดินที่ปลูกในศูนย์วิจัยยางหนองคายเป็น ดินชุดโพนพิสัย ความอุดมสมบูรณ์ต�่ำ และความชื้นต�่ำ มากในช่วงฤดูแล้ง ส่วนในช่วงฤดูฝนมีการระบายน�้ำไม่ ค่อยสมบูรณ์ ท�ำให้ดินมีสภาพแข็งจึงท�ำให้พืชไม่เจริญ เติบโตเต็มที่ ต้นไม้จะตายจากยอดลงมาถึงโคนต้นหรือ ตายทั้งต้น ท�ำให้จ�ำนวนพืชที่ปลูกเป็นไม้ตามโครงการฯ คงเหลือประมาณ 1,090 ต้น จากพืช 17 ชนิด เหลือพืช ตามโครงการฯ เพียง 12 ชนิด เท่านั้นที่สามารถเจริญ เติบโตได้แต่ไม่สมบูรณ์นัก เช่น มะเกียง กระโดน มะค่า โมง สมอพิเภก มะตูม สะแก มะเก็น ขนุน กระบก กัด ลิ้น หางนกยูง และแดง จึงได้จัดหาพืชที่หายากก�ำลังจะ สูญพันธุ์ และพืชมงคลมาปลูก เช่น มะขามป้อม สมอ ไทย เหม่าหลวง ตระคร้อ ยางนา ตะเคียน พยุง ประดู่ ชิงชัน แต่พืชบางชนิดไม่สามารถเจริญเติบโตได้ท�ำให้ ตายหรือเหลือน้อย และยังมีพืชที่สามารถเกิดขึ้นเองตาม ธรรมชาติเป็นพืชที่ก�ำลังจะสูญพันธุ์จึงเก็บดูแลรักษา เช่น เหมือดคนตัวผู้ ตะไก้ เหม่าตาเขียด เหมือดหลวง มะกอกป่า หว้า มะค่าแต้ พะยอม นนทรี ฯลฯ ซึ่ง ศูนย์วิจัยยางหนองคายได้ดูแลรักษา ท�ำความสะอาด ใช้ แรงงานในการก�ำจัดวัชพืช และมีแผนที่จะซ่อมแซมป้าย ชื่อกิจกรรมในโครงการฯ รวมถึงมีการเก็บเมล็ดพันธุ์พืช ในโครงการมาเพาะเพื่อปลูกขยายในพื้นที่ที่ยังว่างของ โครงการฯ เพื่อเป็นการปลูกรักษาและอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติพันธ์พืชเหล่านี้ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี


43 ประโยชน์ที่ได้รับ 1. เพื่ออนุรักษ์พันธุกรรมพืชและความหลากหลายทาง ชีวภาพ 2. เพื่อส�ำรวจและเก็บรวบรวมพันธุกรรมพืชท้องถิ่น พันธุกรรมพืชพันธุ์ดีของจังหวัดของภาคตะวันออก เฉียงเหนือ และของประเทศ 3. เพื่อปลูกรักษาพันธุกรรมพืชท้องถิ่น พันธุกรรม พืชพันธุ์ดีของจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และของประเทศ 4. เพื่ออนุรักษ์ และศึกษาการใช้เกิดประโยชน์จาก พันธุกรรมพืช 5. เพื่อสร้างจิตส�ำนึกในการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชให้แก่ เกษตรกรชาวสวนยาง เยาวชน นักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชนทั่วไป 6. เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวศึกษาดูงานเชิงอนุรักษ์ของ จังหวัดหนองคาย พบว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 ถึง กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 มี เกษตรกรชาวสวน ยาง นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปสนใจเข้า ศึกษาโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ ใน 2 กิจกรรม รวมทั้งสิ้น 93 ราย จากเป้าหมายโครงการฯ 200 ราย ต่อปี คิดเป็นร้อยละ 46.5 การพัฒนาสู่ความยั่งยืน ศูนย์วิจัยยางหนองคาย สถาบันวิจัยยาง การยางแห่ง ประเทศไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะได้พัฒนา ให้มีการด�ำเนินงานตามแผนแม่บทโครงการอนุรักษ์ พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริฯ ระยะ 5 ปี ภายใต้การด�ำเนินงานตามแนวทาง 8 กิจกรรม ภายใต้ 3 กรอบการด�ำเนินงาน คือ กรอบการเรียนรู้ทรัพยากร กรอบการใช้ประโยชน์ กรอบการสร้างจิตส�ำนึกบนฐาน ทรัพยากร 3 ฐาน ได้แก่ ทรัพยากรกายภาพ ทรัพยากร ชีวภาพ และทรัพยากรวัฒนธรรมและภูมิปัญญาต่อไป เอกสารอ้างอิง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 2566. โครงการ อนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. https://rspg.cmu.ac.th/about-us/history. วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2566 ส�ำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดชุมพร. 2566. โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจาก พระราชด�ำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรม ราชกุมารี. https://www.opsmoac.go.th/ cjmrsgp-history. วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2566 การศึกษาดูงานภายในโครงการฯ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี


44 สรุปข่าวสารยางพารา มกราคม - มีนาคม 2566 กองประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ ส�ำนักผู้ว่าการ การยางแห่งประเทศไทย สรุปข่าวสารยางพารา กยท. ขับเคลื่อนมาตรการดันสวนยาง มาตรฐานสากล หนุนราคาพุ่ง 6-10% พร้อมคาดปริมาณยางปี 66 สวนทางปริมาณการใช้ยาง “การซื้อขายยางพรีเมียมผ่านตลาด กยท. ช่วยให้เกษตรกรที่ ท�ำสวนยางตามมาตรฐานสากล มีตลาดรองรับ ขายยางได้ใน ราคาสูงกว่ายางทั่วไป ด้านผู้ซื้อจะได้รับยางที่มีคุณภาพและ มาตรฐานรับรอง ลดความเสี่ยงของปัญหาในกระบวนการผลิต และเพิ่มคุณภาพของสินค้าที่น�ำยางไปเป็นวัตถุดิบ” กยท.จัดสัมมนาชาวสวนยางภาคใต้ ตอนบนขยายผลควบคุมป้องกัน โรคใบร่วงในสวนยาง “การสัมมนาครั้งนี้ จะท�ำให้พนักงานการยางแห่ง ประเทศไทย และเกษตรกรชาวสวนยางในพื้นที่เป้า หมาย ได้รับความรู้ความเข้าใจ ทั้งในเรื่องการท�ำปุ๋ย อินทรีย์ น�้ำหมักชีวภาพ และการน�ำไปใช้ป้องกันและ ควบคุมโรคใบร่วงชนิดใหม่ในสวนยาง สามารถขยายผล ไปสู่การปฏิบัติในแปลงยางพาราของเกษตรกรชาวสวน ยางใน 4 จังหวัด ไม่น้อยกว่า 3,000 ไร่ ผู้เข้าร่วมโครงการ ครั้งนี้ จะได้ทราบพื้นที่การระบาด ผลกระทบจากการ ระบาดของโรค และการรายงานข้อมูลมายังส่วนกลาง ท�ำให้มีการบริหารจัดการโรคใบร่วงชนิดใหม่ในยางพารา ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อลดการระบาดของโรค ให้เหลือน้อยลงและค่อยๆ หมดไปในที่สุด ” ดร. กฤษดากล่าว


45 กยท. เปิดดีลยางมาตรฐานการจัดการ ป่าไม้ยั่งยืน กว่า 500 ตัน สหกรณ์ยางพาราชุมชนหนองแคน ปลื้ม ส่งมอบยาง บ. ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป สรุปข่าวสารยางพารา “การส่งมอบยางตามสัญญาการซื้อขายยางก้อนถ้วย ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการจัดการป่าไม้อย่าง ยั่งยืนตามหลักสากล ระหว่าง สหกรณ์ยางพาราชุมชน ต�ำบลหนองแคน จ�ำกัด และ บริษัท ไทยอิสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จ�ำกัด (มหาชน) โดย บริษัท อี.คิว. รับเบอร์ จ�ำกัด เป็นการซื้อขายยางกว่า 500 ตัน ซึ่งส่งมอบยาง ล๊อตแรกแล้ว 60 ตัน นับเป็นจุดเริ่มต้นและต้นแบบให้ เกษตรกรชาวสวนยางเกิดความมั่นใจในการท�ำสวน ยางตามมาตรฐานสากล เพื่อรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการ ขายยางที่ราคาสูงกว่ายางทั่วไป น�ำไปสู่ความยั่งยืนใน อาชีพการท�ำสวนยาง” ผอ.ฝ่ายเศรษฐกิจยาง กล่าว กยท. ขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง จับมือสภาหอฯ สรท. EXIM BANK และ บสย. เดินเครื่องโครงการยกระดับ ผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมยางพารา “การยางแห่งประเทศไทย มีภารกิจหลักในการ สนับสนุนผู้ประกอบการยางพาราอย่างครบวงจร ทั้งรายเล็ก รายใหญ่ โครงการนี้ท�ำให้เชื่อมั่นว่าจะ สามารถเพิ่มโอกาสในด้านการเงิน ด้านการตลาด และการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ยางพาราของไทย ได้ เป็นผลดีกับกลุ่ม SMEs ผู้ประกอบการรายเล็ก โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรเครือข่ายชาวสวนยาง จึงเชื่อมั่นว่าจะเป็นโครงการที่สร้างประโยชน์ให้กับ เกษตรกรชาวสวนยางและอุตสาหกรรมยางไทยได้ อย่างยั่งยืนแน่นอน” นายณกรณ์กล่าว


46 สรุปข่าวสารยางพารา กยท.ห่วงใยการส่งออกของกลุ่มสหกรณ์ยางภาคตะวันตก รุดหารือศุลกากรระนองอ�ำนวยความสะดวกการเก็บเงิน CESS รองผู้ว่าการด้านบริหาร การยางแห่ง ประเทศไทย (กยท.) และ กยท.จ.ระนอง ร่วมรับฟัง ข้อมูลการรวมยางก้อนถ้วยของสหกรณ์กองทุนสวน ยางคอคอดกระ จ�ำกัด จ.ระนอง พร้อมเข้าพบ ศุลกากรระนอง และด่านท่าเรือระนอง ผสานความ ร่วมมืออ�ำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการยางใน การส่งออกยาง ร่วมพัฒนาแนวทางจัดเก็บค่า ธรรมเนียมการส่งออกยาง (CESS) ให้มีประสิทธิภาพ ยิ่งขึ้น เมื่อ 18 – 19 มกราคม 2566 กยท. จัดสัมมนาให้ความรู้ชาวสวนยาง ภาคกลางและตะวันออก มุ่งขยายผล-บรรเทาความรุนแรงโรคใบร่วงชนิดใหม่ในยางพารา 10 มี.ค. 66 การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) โดยสถาบันวิจัยยาง จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “โครงการการ ป้องกันและควบคุมโรคใบร่วงชนิดใหม่ในยางพารา : การขยายผลสู่การปฏิบัติในแปลงเกษตรกร” โดยมี นายศิริพันธ์ ตรีไตรรัตนกูล นายกสมาคมก�ำนันผู้ใหญ่บ้านจังหวัดระยอง ให้เกียรติเป็นประธานเปิดพิธี ณ โรงแรม โกลเด้นซิตี้ จังหวัดระยอง เน้นสร้างความเข้าใจชาวสวนยาง เพื่อป้องกัน - ก�ำจัดโรคอย่างมี ประสิทธิภาพ บรรเทาความรุนแรงและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค “การให้ความรู้และการสร้างความเข้าใจที่ถูก ต้องแก่ชาวสวนยาง นับเป็นพื้นฐานในการบริหาร จัดการโรคใบร่วงอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในแง่การ บรรเทาและควบคุมการระบาด ป้องกันความเสีย หายในพื้นที่เกิดโรค พื้นที่เสี่ยงและพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่าย เพิ่มผลผลิต เสริมรายได้ ให้ กับชาวสวนยางได้” รองผู้ว่าการด้านบริหาร กล่าว


Click to View FlipBook Version