The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Nattanida Pantarak, 2022-07-10 13:40:49

A31E5803-F8A7-4093-9299-76E963966286

A31E5803-F8A7-4093-9299-76E963966286

รัตนโกสินทร์สมัย

ปรับปรุงและปฏิรูป

ประเทศ

คำนำ

E-Book เล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชา

ประวัติศาสตร์เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้ใน เรื่องกรุง

รัตนโกสินทร์สมัยปรับปรุงและปฏิรูปประเทศและได้ศึกษา

อย่างเข้าใจเพื่ อเป็ นประโยชน์กับการเรียน

ผู้จัดทำหวังว่า รายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน

หรือนักเรียน ที่กำลังหาข้อมูล เรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะนำ

หรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้ อมรับไว้และ

ขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วย

ด.ญ.ณัฐนิดา พันธรักษ์
05 / กรกฎาคม / 2565

สารบัญ

เรื่อง หน้า

การเมืองการปกครองสมัยรัตนโกสินทร์ยุค 1

ปฏิรูปบ้านเมือง 2
3
การผ่อนหนักเป็ นเบา
นโยบายผ่อนหนักเป็ นเบา 4
การปรับปรุงการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 4
4
สาเหตุสำคัญในการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5
5
การปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน 6
6
การปฏิรูปการปกครองส่วนกลางของรัชกาลที่5 7
การปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาคของรัชกาลที่ 5 8
การปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่นของรัชกาลที่ 5 8
ผลของการปฏิรูปการปกครองของรัชกาลที่ 5
การปรับปรุงการปกครองส่วนกลางของรัชกาลที่ 6 8
การปรับปรุงการปกครองส่วนภูมิภาคของรัชกาลที่ 6 9

การขยายกิจการทหารของรัชกาลที่ 6
พัฒนาการด้านการเมืองการปกครองสมัยรัชกาลที่ 7

การเมืองการปกครองสมัย

รัตนโกสินทร์ยุคปฏิรูปบ้านเมือง

การผ่อนหนักเป็นเบา

1.ยอมทำสนธิสัญญาเสียเปรียบ คือ สนธิสัญญาเบาริง ทำ

กับประเทศอังกฤษในสมัย รัชกาลที่ 4 แม้จะทรงทราบดีว่าเสีย

เปรียบ แต่ก็พยายามให้เสียเปรียบให้น้ อยที่สุด

2.การยอมเสียดินแดน รัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ทรง

ทราบดีถึงวิธีการเข้าครอบครองดินแดนไว้เป็ นอาณานิคมของ

ชาวตะวันตก เช่น ขั้นแรกจะเน้ นเข้ามาค้าขายหรือเผยแพร่

ศาสนาก่อนแล้วภายหลังก็จะอ้างถึงข้อขัดแย้ง หรือขอสิทธิ

พิเศษ (เช่น ขอเช่าเมือง,แทรกแซงกิจการ ภายในประเทศ) ขั้น

ต่อไปก็จะส่งกำลังทหารเข้ายึด อ้างว่าเพื่อคุ้มครองคนของตน

ให้ปลอดภัยหรือเพื่อเป็นหลักประกันให้ปฏิบัติตามสัญญา ขั้น

สุดท้ายก็ใช้กำลังเข้ายึดเพื่อเอาเป็นดินแดนอาณานิคม โดยอ้าง

ข้อพิพาทต่างๆ (กรณีอังกฤษยึดพม่า) ด้วยพระปรีชาสามารถใน

การหยั่งรู้ความคิดนี้ ทำให้พระองค์สามารถประคับ ประครอง

ให้ชาติไทยพ้นจากการถูกยึดครองของชาวตะวันตก ซึ่งเป็น

ประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นโยบายผ่อนหนักเป็นเบา

1. สนธิสัญญาเบาริง
ข้อเสียเปรียบอย่างยิ่งของไทยจากสนธิสัญญาเบาริง
สนธิสัญญาเบาริงเป็นสนธิสัญญาที่ไทยเสียเปรียบในทุกๆ ด้าน ในบรรดาความ

เสียเปรียบเหล่านั้นมีความเสียเปรียบ
ที่ยิ่งใหญ่ 2 ประการ

1.1ทำให้ไทยต้องเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้แก่คนอังกฤษและคนใน

บังคับอังกฤษ

สิทธิสภาพนอกอาณาเขต คือ สิทธิที่ไม่ต้องขึ้นศาลไทย เมื่อคนอังกฤษ

หรือคนในบังคับอังกฤษ
(ประเทศอาณานิคมของอังกฤษ) หรือคนชาติใดๆ ที่ขอจดทะเบียนเป็นคนใน

บังคับอังกฤษ ทำความผิดหรือมีคดี
กับคนไทย ในประเทศไทย ให้ไปขึ้นศาลกงสุลอังกฤษ โดยอ้างว่า กฎหมายของ

ไทยป่ าเถื่ อนและล้าหลัง

1.2ทำให้อังกฤษเป็นชาติอภิสิทธิ์ คือ อังกฤษเป็นชาติที่มีสิทธิพิเศษ ไม่ว่า

ไทยจะทำสัญญากับประเทศอื่นใด
ภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาริง ก็ให้ถือว่าอังกฤษมีสิทธิเช่นเดียวกับชาตินั้นๆ

โดยอัตโนมัติ
2. การยอมเสียดินแดนการเสียดินแดนของไทยเป็นการเสียให้แก่ชาติตะวันตก

เพียง 2 ชาติ คือ ฝรั่งเศสและอังกฤษ รวมทั้งสิ้น 6 ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นการเสียให้

แก่ฝรั่งเศส ครั้งแรกเสียไปในตอนปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า

เจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 4 หลังจากนั้นเป็นการเสียดินแดนในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระ

จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
ทั้งสิ้นการเสียดินแดนเป็ นมาตรการขั้นสุดท้ายในการรักษาเอกราชของชาติ
การที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงเร่งปรับปรุงชาติ

บ้านเมืองให้เจริญทัดเทียมนานาอารยประเทศ
และการเสด็จประพาสยุโรปเพื่อผูกมิตรกับชาติมหาอำนาจในยุโรปถึง 2 ครั้งของ

พระองค์ เป็นเครื่องยืนยันพระราชวิริยะอุตสาหะของพระองค์ที่จะรักษาเอกราช

ของชาติไว้ ทุกครั้งที่ทรงยินยอมเสียดินแดนไปนั้นล้วนแล้วแต่เป็นกรณีที่ไม่อาจ

หลีกเลี่ยงได้ทั้งสิ้น

การปรับปรุงการปกครองในสมัย

รัชกาลที่ 4

1.ออกประกาศต่างๆ เรียกว่า ประกาศรัชกาลที่ 4 เพื่อให้ประชาชนได้

รับข่าวสาร ระเบียบแบบแผนการปฏิบัติของผู้คนในสังคมอย่างถูกต้อง

2.ปรับปรุงกฎหมาย ทรงตราพระราชกำหนดกฎหมายใหม่ และออก

ประกาศข้อบังคับต่างๆ

ถือว่าเป็นกฎหมายเช่นเดียวกันรวมทั้งหมดประมาณ 500 ฉบับ
3.โปรดให้จัดตั้งโรงพิมพ์หลวงขึ้นในพระบรมหาราชวัง มีชื่อเรียกว่า

“โรงอักษรพิมพการ”เพื่อใช้พิมพ์ประกาศและกฎหมายต่างๆ เป็นหนังสือ

แถลงข่าวของทางราชการ เรียกว่า ราชกิจจานุเบกษา
4.ให้ราษฎรมีโอกาสได้ถวายฎีการ้องทุกข์ได้สะดวก พระองค์ทรง

เปลี่ยนแปลงระเบียบวิธีการร้องทุกข์ โดยพระองค์จะเสด็จออกมารับ

ฎีการ้องทุกข์ด้วยพระองค์เองทุกวันโกณ ณ พระที่นั่งสุทไธสวรรย์
เดือนละ 4 ครั้ง และโปรดเกล้าฯให้ตุลาการ ชำระความให้เสร็จโดย

เร็ว ทำให้ราษฎรได้รับความยุติธรรมมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
5.ทรงประกาศให้เจ้านายและข้าราชการทำการเลือกตั้งตำแหน่ง พระ

มหาราชครูปุโรหิตาจารย์ และตำแหน่งพระมหาราชครูมหิธร อันเป็น

ตำแหน่งที่ว่างลง แทนที่พระองค์จะทรงแต่งตั้งด้วยพระราชอำนาจ

ของพระองค์เอง นับเป็นก้าวใหม่ของการเลือกตั้งข้าราชการบาง

ตำแหน่ง
6.การปรับปรุงระบบการศาล ทรงเปลี่ยนแปลงประเพณีบางอย่างเกี่ยว

กับระบบ การศาล ได้แก่ ทรงยกเลิกการพิจารณาคดีแบบจารีตนครบาล

เริ่มมีการจัดตั้ง ศาลกงสุลเป็นครั้งแรก
7.ทรงเปลี่ยนแปลงพระราชพิธีการถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา โดย

พระองค์ทรงเสวย น้ำพระพิพัฒน์สัตยาร่วมกับขุนนางข้าราชการ และ

ทรงปฏิญาณนความซื่อสัตย์ของ พระองค์ต่อข้าราชการทั้งปวงด้วยซึ่ง

แต่เดิม ขุนนางข้าราชการจะเป็นผู้ ถวาย สัตย์ปฏิญาณแต่เพียงฝ่ายเดียว
นับว่าพระองค์ทรงมีความคิดที่ทันสมัยมาก
8.ทรงริเริ่มการจัดกองทหารแบบตะวันตกพัฒนาการด้านการเมืองการ

ปกครองในสมัยรัตนโกสินทร์ ยุคปฏิรูปบ้านเมืองรัชกาลที่ 5

สาเหตุสำคัญในการปฏิรูปการปกครองใน

สมัยรัชกาลที่ 5

1.ปรับปรุงประเทศให้เจริญก้าวหน้ าเพื่อป้ องกันการคุกคามของ

ประเทศมหาอำนาจตะวันตก

2.การปกครองแบบเก่า อำนาจการปกครองบ้านเมืองตกอยู่กับ

ขุนนาง ถ้าปฏิรูปการปกครองใหม่ จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์มี

พระราชอำนาจอย่างแท้จริง

การปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน

รัชกาลที่ 5 ทรงจัดตั้งสภาที่ปรึกษาเพื่อช่วยในการบริหารราชการ

แผ่นดิน ดังนี้

1.การจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of State)

สมาชิกสภาประกอบด้วยข้าราชการที่มีบรรดาศักดิ์ชั้นพระยาจำนวน

12 คน ที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งมีหน้ าที่ ถวายคำปรึกษาใน

เรื่องเกี่ยวกับราชการแผ่นดินโดยทั่วไป พิจารณาร่างกฎหมายต่างๆ

2.องคมนตรีสภา (สภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์) (Privy Council)

สมาชิกประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ
์และข้าราชการระดับต่างๆ จำนวน 49 คน ทำหน้ าที่ ถวาย คำ

ปรึกษาข้อราชการและเสนอความคิดเห็นต่างๆ
และมีหน้ าที่ช่วยปฏิบัติราชการตามแต่จะมีพระบรมราชโองการ

ปัจจุบันคือ คณะองคมนตรี ต่อมาภายหลัง 2 สภา
ถูกยกเลิกไปเพราะขุนนางไม่พอใจ คิดว่ากษัตริย์จะล้มล้างระบบ

ขุนนาง จึงเกิดการ ต่อต้าน

การปฏิรูปการปกครองส่วนกลางของ

รัชกาลที่5

มีการปฏิรูปการปกครองส่วนกลางโดยยกเลิก จตุสดมภ์ และใช้การบริหารงาน

แบบกระทรวง
ตามแบบอย่างของตะวันตก โดยจัดรวมกรมต่างๆ ที่มีลักษณะงาน คล้ายๆ กันมา

เป็นกรมขนาดใหญ่ 12 กรม ต่อมา
เปลี่ยนเป็น กระทรวง อยู่ในความดูแลของเสนาบดี มี 12 กระทรวง
1.กระทรวงมหาดไทย มีหน้ าที่บังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือรวมทั้งเมือง

ประเทศราชทางเหนือ
2.กระทรวงกลาโหม มีหน้ าที่บังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้รวมทั้งเมืองประเทศราชทาง

ใต้
3.กระทรวงการต่างประเทศ มีหน้ าที่จัดการเกี่ยวกับเรื่องการต่างประเทศ
4.กระทรวงวัง มีหน้ าที่จัดการเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนักและพระราชพิธีต่างๆ ตลอด

จนพิจารณาคดีแทนพระมหากษัตริย์
5.กระทรวงเมือง มีหน้ าที่จัดการเกี่ยวกับความปลอดภัยในพระนคร ดูแลรักษาบัญชี

คนดูแลเกี่ยวกับคุก ดูแลกิจการตำรวจ (ภายหลังเปลี่ยนเป็นกระทรวงนครบาล)
6.กระทรวงเกษตราธิการ มีหน้ าที่ จัดการเรื่องการเพาะปลูก การป่าไม้ เหมืองแร่

การค้าขาย และการขุดคลอง รวมทั้งโฉนดที่ดิน ที่เริ่มมีขึ้นตั้งแต่รัชกาลที่ 5 นี่เอง
7.กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ มีหน้ าที่จัดการเกี่ยวกับเรื่องภาษีอากร รายรับ-ราย

จ่ายของแผ่นดินตลอดจนรักษาทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน
8.กระทรวงยุทธนาธิการ มีหน้ าที่ดูแลจัดการเรื่องการทหาร ทั้งทหารบก และทหาร

เรือ
9.กระทรวงธรรมการ มีหน้ าที่จัดการเกี่ยวกับการศาสนา การศึกษา การพยาบาลและ

พิพิธภัณฑ์
10.กระทรวงโยธาธิการ มีหน้ าที่จัดการเรื่องการก่อสร้างต่างๆ ตลอดจนการไปรษณีย์

โทรเลขและการรถไฟ
11.กระทรวงยุติธรรม มีหน้ าที่ในการพิจารณาพิพากษาคดี โดยรวมการพิจารณา

พิพากษาคดี ที่กระจายอยู่ตามกระทรวงต่างๆเข้าด้วยกัน
12.กระทรวงมุรธาธิการ มีหน้ าที่ดูแลรักษาพระราชลัญจกร ตลอดจนพระราชกำหนด

กฎหมายและหนังสือราชการต่างๆ เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ต่อมาได้ยุบกระทรวง

ยุทธนาธิการไปรวมกับกระทรวงกลาโหมและยุบกระทรวงมุรธาธิการไปรวมกับ

กระทรวงวัง เพื่อความเหมาะสมและรัดกุมมากยิ่งขึ้นและให้กระทรวงกลาโหมทำ

หน้ าที่เกี่ยวกับการทหารทั่วประเทศอย่างเดียว

การปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาคของ

รัชกาลที่ 5

1.ยกเลิกหัวเมือง เอก โท ตรี จัตวา และยกเลิกหัวเมืองประเทศราช จัดการ

ปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล แบ่งเขตการปกครองเป็นมณฑล

เมือง อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย เป็นการ

รวมอำนาจตามหัวเมืองเข้าสู่ราชธานี

1.1 มณฑล มีข้าหลวงเทศาภิบาล เป็นผู้ดูแล แต่ละมณฑลแบ่งออกเป็น

เมือง

1.2 เมือง มีผู้ว่าราชการเป็นผู้ดูแล แต่ละเมืองแบ่งออกเป็นอำเภอ
1.3 อำเภอ มีนายอำเภอเป็นผู้ดูแล แต่ละอำเภอแบ่งออกเป็นตำบล
1.4 ตำบล มีกำนันเป็นผู้ดูแล แต่ละตำบลแบ่งออกเป็นหมู่บ้าน
1.5 หมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ดูแล

การปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่นของรัชกาล

ที่ 5

1.ทรงริเริ่มให้สิทธิแก่ราษฎรในการเลือกผู้ปกครองตนเองเป็ นครั้งแรโปรด

เกล้าฯให้มีการทดลองเลือกตั้ง “ผู้ใหญ่บ้าน”ที่บางปะอิน

จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แทนการแต่งตั้งโดยเจ้าเมือง ต่อมาใน

พ.ศ.2440 ทรงออกพระราชบัญญัติการปกครองท้องที่ ร.ศ.116

กำหนดการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน โดยอาศัยเสียงข้างมากของราษฎร
2.โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งสุขาภิบาลกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก และสุขาภิบาล

หัวเมืองแห่งแรก ที่ตำบลท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร โดยมีคณะ

กรรมการประกอบด้วย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ทำหน้ าที่บริหารงาน สุขาภิบาล

มีรายได้จากภาษีโรงเรือนในท้องถิ่น

ผลของการปฏิรูปการปกครองของ

รัชกาลที่ 5

1.ก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นผลสืบเนื่อง
มาจากการปกครองส่วนภูมิภาคในรูปมณฑลเทศาภิบาล โดยมีศูนย์รวมอยู่ที่

กรุงเทพมหานคร
2.รัฐบาลไทยที่กรุงเทพฯ สามารถขยายอำนาจเข้าควบคุมพื้นที่ภายในราช

อาณาจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพทางการ

เมือง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการหยุดยั้งการคุกคามจากประเทศมหาอำนาจ

ตะวันตก ต่อประเทศไทย
3.ทำให้กลุ่มผู้เสียผลประโยชน์จากการปฏิรูปการปกครอง พากันก่อปฏิกิริยาต่อ

รัฐบาลที่กรุงเทพฯ ดังจะเห็นได้จากกรณีกบฏผู้มีบุญภาคอีสาน ร.ศ.121 กบฏ

เงี้ยวเมืองแพร่ ร.ศ.121 กบฏแขกเจ็ดหัวเมือง ร.ศ.121 แต่รัฐบาลก็สามารถ

ควบคุมสถานสถารณ์ไว้ได้

การปรับปรุงการปกครองส่วนกลาง

ของรัชกาล 6

1.โปรดให้จัดตั้งกระทรวงใหม่ คือ กระทรวงมุรธาธิการ (ซึ่ง

รัชกาลที่ 5 ทรงยกเลิกไป) กระทรวงทหารเรือ กระทรวงพาณิชย์

2.ทรงยกเลิกกระทรวงนครบาล รวมเข้ากับกระทรวงมหาดไทย
3.ทรงให้เปลี่ยนชื่อกระทรวงโยธาธิการ เป็นกระทรวงคมนาคม

การปรับปรุงการปกครองส่วนภูมิภาค

ของรัชกาลที่ 6

1.ปรับปรุงเขตการปกครองของมณฑล บางมณฑล
2.โปรดฯให้รวมมณฑลที่อยู่ติดกันหลายๆ มณฑล รวมกันเป็น

ภาค แต่ละภาคมีอุปราชเป็นผู้บังคับบัญชา ทำหน้ าที่ตรวจตรา

ควบคุมดูแลการบริหารงานของสมุหทศาภิบาลมณฑลในภาคนั้น ๆ
3.เปลี่ยนคำว่า เมือง เป็น จังหวัด

การขยายกิจการทหารของรัชกาลที่ 6

1.ทรงจัดตั้งกระทรวงทหารเรือ กองบิน และสร้างสนามบินขึ้นเป็น

ครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีเหตุการณ์ ร.ศ.130 ในปีพ.ศ.2445 ได้

มีนายทหารและพลเรือนกลุ่มหนึ่ งได้เตรียมการยึดอำนาจเพื่ อ

เปลี่ยนแปลง
การปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตย แต่รัฐบาลได้ล่วงรู้ก่อนได้

จับกุมกลุ่มกบฏ ร.ศ.130 จำคุกและได้รับการลดโทษและอภัยโทษ

ภายหลัง

พัฒนาการด้านการเมืองการปกครองสมัย

รัชกาลที่ 7

1.ทรงแต่งตั้งอภิรัฐมนตรีสภา เพื่อเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน มีสมาชิก

ประกอบด้วย พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง 5 พระองค์
2.ทรงแต่งตั้งองคมนตรีสภา มีหน้ าที่พิจารณาถวายความคิดเห็นเกี่ยวกับร่าง

กฎหมายที่ออกใหม่
และการบริหารราชการด้านต่างๆ
3.ทรงแต่งตั้งเสนาบดีสภา มีหน้ าที่ในการถวายคำปรึกษาแด่พระมหากษัตริย์

หรือปฏิบัติหน้ าที่ตามที่ได้รับมอบหมายงานในหน้ าที่ของกระทรวง สมาชิก

เสนาบดีสภา ประกอบด้วย เสนาบดีบังคับบัญชากระทรวงต่างๆ

การปรับปรุงการบริหารราชการส่วนกลาง
การเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ.2475-2461) ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำทั่ว


โลก ประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างมาก รัฐบาลจึงมีนโยบายลดหน่วย

ราชการ จึงรวมกระทรวงคมนาคมกับกระทรวงพาณิชย์ เข้าด้วยกัน เรียกชื่อ

ว่า กระทรวงพาณิชย์และการคมนาคม
การปรับปรุงการบริหารส่วนภูมิภาค
1.ยกเลิกมณฑลบางมณฑลที่ตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 โดยรวมมณฑลหลาย

มณฑลเข้าด้วยกัน
2.ยุบเลิกจังหวัดบางจังหวัด
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง
1.เปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์(พระมหากษัตริย์มีอำนาจสูงสุด

ในแผ่นดิน) มาเป็นระบอบประชาธิปไตย(ประชาชนเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดใน

แผ่นดิน ทุกคนเท่าเทียมกัน)
2.ผู้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือ คณะราษฎร ประกอบด้วยทหาร

บก ทหารเรือและพลเรือน นำโดย พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้ า

ฝ่ายทหาร คือ จอมพลแปลก(ป)พิบูลสงคราม หัวหน้ าฝ่ายพลเรือน คือ นาย

ปรีดี พนมยงค์(หลวงประดิษฐ์ มนูธรรม)เข้าทำการยึดอำนาจและส่งผู้แทน
เข้าเฝ้ าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ซึ่งพระองค์ก็ทรง

ยอมรับข้อเสนอของคณะราษฎร และพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร เมื่อ

วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ 2475 ซึ่งประเทศไทยถือวันนี้ของทุกปีเป็นวัน

รัฐธรรมนูญ


Click to View FlipBook Version