The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nattaphat chantub, 2024-06-20 20:42:24

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น

พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น นำ เสนอ ครู ญานี อนันตอาจ รายวิชาประวัติศาสตร์ ๕ ส๒๓๑๐๒ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๕


ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นแบ่งออก เป็น ๓ รูปแบบ ๑. เป็นมิตรไมตรีกันเพื่อประโยชน์ทางด้านการค้า ๒. เป็นประเทศคู่สงครามกัน ๓. การดำ เนินนโยบายต่อประเทศ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นเป็นช่วงของการก่อสร้างราชธานี ใหม่จำ เป็น ต้องหารายได้เพื่อนำ มาใช้เป็นการทะนุบำ รุงประเทศจึง ส่งเสริมให้มีการค้าขายกับต่าง ประเทศโดยเฉพาะการค้าทางเรือสำ เภาซึ่งส่วนใหญ่จะค้าขายกับจีน พม่าในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีการทำ สงครามกับพม่า ๑๐ ครั้งสงครามครั้ง สำ คัญคือสงครามเก้าทัพซึ่งพระเจ้าปะดุง ต้องการแผ่อำ นาจครอบคลุมดินแดนสุวรรณภูมิ และเป็นการทำ ลายอาณาจักรไทยไม่ให้เติบโตเป็นอาณาจักรใหญ่อย่างกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าปะดุงจัดทัพมาถึง ๙ ทัพและมีความพร้อมเต็มที่ส่วน ไทยแม้จะมีกำ ลังน้อยกว่าพม่า แต่อาศัยที่มีผู้นำ ดีมีความสามารถทหาร จึงมีกำ ลังใจเข้มแข็งมีความสามัคคีพร้อมเพรียง และประสานงานกันเป็นอย่างดี กองทัพพม่าจึงแตกพ่ายกลับไป ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๒ กษัตริย์เขมรได้ไปฝักใฝ่กับญวน ทำ ให้ความสัมพันธ์ระหว่าง ไทยกับญวนจึงเสื่อมลงตามลำ ดับจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ ญวนมีนโยบายเข้าปกครองเขมร โดยตรงทำ ให้เกิดปัญหา ความขัดแย้งระหว่างไทยกับญวนจนถึงขั้นทำ สงครามกันเป็นเวลา นานถึง ๑๔ ปี ผลของสงครามผลัดกันแพ้ชนะจนในที่สุดสามารถตกลงยุติสงครามและร่วม กันปกครองเขมร ๑. เป็นมิตรไมตรีเพื่อผลประโยชน์ทางด้านการค้า ๒. เป็นประเทศคู่สงครามกัน


ลาวเป็นเมืองขึ้นของไทยมาแต่สมัยกรุงธนบุรี โดยลาวส่งเครื่องราชบรรณาการ มาถวายจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ความขัดแย้งระหว่างไทยกับลาวเกิดขึ้นใน สมัยรัชกาลที่ ๓ คือได้เกิดข่าวลือไปถึงเวียงจันทน์ว่าไทยขัดใจกับอังกฤษเจ้าอนุวงศ์ เห็นเป็นโอกาสจึงยกทัพมาตีเอาดินแดนไทย ขณะที่กองทัพเจ้าอนุวงศ์ถึงเมือง นครราชสีมา ก็ได้เกิดวีรสตรีขึ้นคือคุณหญิงโมภรรยาปลัดเมืองนครราชสีมาได้ร่วมกับ ราษฎรที่ถูกกวาดต้อนมาได้ออกอุบายเลี้ยงสุราอาหารแก่นายทหารไพร่ พลลาวพอเมา แล้วจึงจู่โจมฆ่าฟันจนทหารลาวแตกพ่ายไปเมื่อเสร็จศึกแล้วรัชกาลที่ ๓ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นท้าวสุรนารี หัวเมืองมลายูได้แก่ปัตตานีไทรบุรีกลันตันและตรัง - กานูต่างเคยเป็น ประเทศราชของไทยมาแต่สมัยอยุธยาเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ แล้วหัวเมืองเหล่านี้พากันแข็ง เมืองสมเด็จพระเจ้าตากสินจึงยกทัพไป ปราบต่อมาสมัยรัชกาลที่ ๑ หลังเสร็จศึกสงครามเก้าทัพแล้วได้ยกทัพไปตีเมือง ปัตตานีใน พ.ศ. ๒๓๒๘ ทำ ให้บรรดาหัวเมืองมลายูที่เหลือคือไทรบุรีกลันตันและ ตรังกานูพากันเกรงกลัวจึงส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวาย


โปรตุเกส เป็นชาวตะวันตกชาติแรกที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับไทย อันโตนิโอ เดอ วิเซนท์ (Autonio de Veesent) ผู้อัญเชิญพระราชสาสน์ จากกรุงลิสบอน มายัง ประเทศไทย รัชกาลที่ ๒ ได้ส่งเรือมาลาพระนครออกไปค้าขายกับโปรตุเกส ไทยได้รับ การต้อนรับเป็นอย่างดี และในขณะนั้นไทยมีความประสงค์จะซื้ออาวุธปืน ซึ่งโปรตุเกส ก็ยินยอมจัดหาซื้อปืนคาบศิลาให้ไทยถึง ๔๐๐ กระบอกกษัตริย์โปรตุเกสมีพระราช ประสงค์ จะขอตั้งสถานกงสุลขึ้นในประเทศไทย ซึ่งไทยก็ยอมรับแต่โดยดี ซึ่งนับว่า เป็นการตั้งสถานกงสุลต่างประเทศขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ สัมพันธไมตรีกับอังกฤษครั้งที่ ๑ (ในสมัยรัชกาลที่ ๒) ทูตจอห์นคอรว์ ฟอร์ด (John Crawford) ซึ่งคนไทยเรียกว่าการะฝัดนำ เครื่องราชบรรณาการเข้ามาเจริญ สัมพันธไมตรีกับไทยในพ.ศ.๒๓๖๕ ขอเจรจาทำ สนธิสัญญาทางการค้ากับไทยโดยขอให้ ไทยยกเลิกการผูกขาดและลดหย่อนภาษีบางอย่างและให้ไทยยอมรับอธิปไตยของไทร บุรีโดยเฉพาะการที่อังกฤษเช่าเกาะหมาก (ปีนัง) และสมารังไพรกับขอทำ แผนที่และ ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศไทยเช่นเรื่องพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์และสภาพประชากรของ ไทยเพื่อทำ รายงานเสนอรัฐบาลอังกฤษ ความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตก ปรากฏว่าการเจรจาคราวนี้ไม่ประสบความสำ เร็จ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่เข้าใจ ภาษากันดีพอ ต้องใช้ล่ามแปลกันหลายต่อทำ ให้เกิดคลาดเคลื่อนไป ล่ามของทั้งสอง ฝ่ายเป็นพวกคนชั้นต่ำ พวกกะลาสีเรือ ทำ ให้ขุนนางออกรับแขกเมืองไม่นิยมสวมเสื้อ


อังกฤษ ครั้งที่ ๒ (ตอนต้นรัชกาลที่ ๓) ขณะที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้า อยู่หัวรัชกาลที่ ๓ เสด็จขึ้นครองราชย์ใหม่ๆนั้น อังกฤษกำ ลังมีข้อพิพาททำ สงครามกับ พม่า ลอร์ด แอมเฮิร์สต์ (Lord Amherst) ผู้สำ เร็จราชการอังกฤษประจำ อินเดียได้ ส่งร้อยเอกเฮนรี่ เบอร์นี่ (Henry Berney) ซึ่งคนไทยเรียกว่า บารนี เป็นทูตเข้ามา เจรจาขอทำ สนธิสัญญากับไทย


สนธิสัญญาเบอร์นี มีสาระสำ คัญดังนี้ ๑. ไทยกับอังกฤษจะมีไมตรีอันดีต่อกัน ๒. เมื่อเกิดคดีความขึ้นในประเทศไทย ก็ให้ไทยดัดสินตามกฎหมาย ขนบธรรมเนียม และประเพณีของไทย ๓. ทั้งสองฝ่ายจะอำ นวยความสะดวกในด้านการค้าซึ่งกันและกัน และอนุญาตให้ฝ่ายตรง ข้ามเช่าที่ดินเพื่อตั้งโรงสินค้า ร้านค้า หรือ บ้านเรือนได้ ๔. อังกฤษยอมรับว่าดินแดนไทรบุรี กลันตัน และตรังกานู เประ เป็นของไทย นอกจากสัญญาทางพระราชไมตรีแล้ว ยังมีสนธิสัญญาต่อท้าย เป็นสนธิ สัญญาทางการค้าระหว่างไทยกับอังกฤษ ซึ่งมีสาระสำ คัญดังนี้ ๑. อาวุธและกระสุนดินดำ ที่อังกฤษนำ มาต้องขายให้แก่รัฐบาลไทยแต่ผู้เดียว ถ้ารัฐบาล ไทยไม่ต้องการ ต้องนำ ออกไป ๒. ห้ามนำ ฝิ่นเข้ามาขายในไทย และห้ามนำ ข้าวสาร ข้าวเปลือก ออกนอกประเทศไทย ๓. เรือสินค้าที่เข้ามาต้องเสียภาษีเบิกร่อง หรืออนุญาติให้พ่อค้าอังกฤษขายสินค้าทั่วราช อาณาจักร ๔. อนุญาตให้พ่อค้าชาวอังกฤษขายสินค้าได้ทั่วราชอาณาจักร ๕. พ่อค้าหรือคนในบังคับอังกฤษ พูดจาดูหมิ่น หรือไม่เคารพขุนนางไทย อาจถูกขับไล่ ออกจากประเทศไทยได้ทันที สนธิสัญญาฉบับนี้นับเป็นสนธิสัญญาโดยสมบูรณ์ฉบับแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ ผลของสนธิสัญญาฉบับนี้ ทำ ให้ไทยกับอังกฤษมีความผูกมัดซึ่งและกัน มีความเท่า เทียมกัน ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบกัน แต่ไม่เป็นที่พอใจของอังกฤษนัก เพราะอังกฤษต้องการค้าขายแบบภาษีปาก


ผู้จัดทำ ด.ช.ภาวิชญ์ เขาแก้ว ด.ช.รัชพล เนียมกลิ่นหอม ด.ช.ศุภณัฐ ปานเพ็ชร ด.ช.สุกัลย์ ลี้ภัยรัตน์ ด.ญ.ชลรัตน์ ชัยนนท์นอก ด.ญ.ณัฐภัทร จันทร์ทับ ด.ญ.ภวิษพร เกิดรื่น ด.ญ.โศภิฏฐา พึ่งสำ เภา ด.ญ.ไอริณ รัตนอักษรศิลป์ เลขที่ ๑๔ เลขที่ ๑๕ เลขที่ ๑๘ เลขที่ ๑๙ เลขที่ ๒๓ เลขที่ ๒๔ เลขที่ ๒๙ เลขที่ ๓๒ เลขที่ ๓๕


Click to View FlipBook Version