ก
ก
คำนำ
องค์การยเู นสโกไดย้ กย่องให้สุนทรภเู่ ปน็ ผมู้ ผี ลงานดเี ด่นทางวรรณกรรมระดบั โลก ตอ่ มาประเทศไทย
ได้จดั ต้งั สถาบันสนุ ทรภ่ขู ้นึ และกาหนดใหว้ นั ท่ี ๒๖ มถิ นุ ายน ของทุกปี เป็น วันสุนทรภู่ เอกสารเล่มนจ้ี ดั ทาขน้ึ
เพ่ือเชิดชกู วีเอกของโลก รวมไปถึงตระหนกั ถงึ ความสาคัญของภาษาไทย ซึ่งเป็นเอกลกั ษณ์และสมบัตอิ นั ลา้ คา่
ของชาตไิ ทย ใหช้ าวไทยได้ศึกษาประวัติความเป็นมา ผลงานทท่ี รงคณุ คา่ นาไปเป็นแบบอย่างในการดาเนนิ
ชวี ติ และการทางานให้บรรลุผลสาเรจ็
หอ้ งสมดุ ประชาชนอาเภอพระประแดง
เมษายน ๒๕๖๓
สำรบญั ข
หน้ำ
ประวตั สิ ุนทรภู่.................................................................................................................................................๑
๑. ตอนกอ่ นรับราชการ ..............................................................................................................................๑
๒. ตอนรับราชการ......................................................................................................................................๗
๓. ตอนบวช.............................................................................................................................................๑๕
๔. ตอนตกยาก ........................................................................................................................................๒๒
๕. ตอนสน้ิ เคราะห.์ ..................................................................................................................................๒๕
อา้ งองิ .......................................................................................................................................................๒๙
ประวตั ิสุนทรภู่
๑. ตอนก่อนรับรำชกำร
พระสุนทรโวหาร (ภู่) ซ่ึงคนท้ังหลายเรียกกันเป็นสามัญว่า “ สุนทรภู่ ” นั้น เกิดในรัชกาลที่ ๑
กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ ณ วันจันทร์ เดือน ๘ ขึ้นค่า ๑ ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๑๔๘ เวลาเช้า ๒ โมง
( ตรงกับวนั ท่ี ๒๖ มถิ ุนายน พ.ศ.๒๓๒๙ ) มผี ้รู ตู้ าราโหราศาสตรไ์ ดผ้ กู ดวงชะตาของสุนทรภู่ไว้ ดงั น้ี
จะตอ้ งอธบิ ายความนอกเรอื่ งประวัติ เผอื่ ผู้ทยี่ ังไม่รู้จกั เรือ่ งดวงชะตาแทรกลงตรงนไ้ี ว้ก่อน อันการ
ทาดวงชะตานั้น คือ จดจาจักรราศีทีส่ ถิตของดวงอาทติ ย์และดาวพระเคราะห์ต่างๆในขณะเวลาเกดิ เปน็ วธิ ีมี
มาเก่าแกแ่ ต่ดกึ ดาบรรพ์* ดวงชะตามีท่ใี ช้ในกจิ กรรมหลายอย่างคอื
………………………………………………………………………..…………………………………………..................
* พวกโหรในกรมโหรหลวงแต่โบราณกาลมา ย่อมมหี นา้ ท่ีสาคัญเป็นงานประจาอยูอ่ ย่างหน่ึง คือ ต้องทาปฏิทินโหร
โหรต้องทากันหลายคนแล้วเอามารวมกัน เมื่อถกู ต้องตรงกันดีแล้วทุกคน จึงจะจดลงเป็นปฏิทินสาหรับใช้ในปนี ั้นต่อไป ส่วน
สาคญั ของปฏทิ นิ โหร ก็คอื บอกว่า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวพระเคราะหอ์ ืน่ ๆ ไดโ้ คจรหรอื สถติ อยู่ในจักรราศีไหน ณ วันใด
เดือนใดบ้าง เช่น ณ เวลาแห่งวนั ที่สุนทรภู่เกิดนั้น พระพฤหัสบดี (๕) อยู่ราศีเมษ อาทิตย์ (๑) จนั ทร์ (๒) และพุธ (๔) ทั้ง ๓
พระเคราะห์นี้รวมอยู่ในราศีเมถุน อังคาร (๓) และศุกร์ (๖) ต่างอยู่ในราศีกรกฎ ท้ังสองพระเคราะห์ (๗) และราหู (๘) อยู่ใน
ราศีมังกรด้วยกัน และจักรราศีนอกจากน้ีที่ว่างๆอยู่นั้น ไม่มีพระเคราะห์อะไรสถิตอยู่เลย ตัวอักษรที่คล้ายตัว ส. ซ่ึงอยู่ใน
จักรราศีเดียวกันกับอังคารและศุกร์นั้น เป็นหน้าที่ของโหรผู้ผูกดวงชาตาสุนทรภู่ จะต้องคานวณเอาจากเวลาเกิดเป็นเกณฑ์
เรยี กวา่ ลัคนา เป็นสิ่งสาคญั ในการทานายทายทกั มาก ถ้าไมร่ ู้เวลาเกิด ก็คานวณลคั นาไม่ได้ และเปน็ เหตุให้ทายอะไรไมไ่ ดด้ ้วย
ในดวงสุนทรภู่น้กี ็เรียกว่า “ ลัคนาราศีกรกฎ ” ในสมยั สุนทรภู่เกิดนัน้ ในปฏิทินไมป่ รากฏพระเกตุ (๙) และมฤตยู (๐) ทั้งน้ี
เพราะพระเคราะหท์ งั้ ๒ น้เี พง่ิ จะมานยิ มกันในเมอื่ ราวรัชกาลท่ี ๔
๒
อย่างหน่ึง ถ้าจะกาหนดเวลาฤกษ์ยามทาการให้เป็นเสริมมงคลแก่ผู้ใด โหรย่อมเอาดวงชะตาของผู้นั้น มา
สอบสวนเลอื กเวลาอนั พระเคราะห์โคจรสจู่ ักรราศี ซงึ่ ตอ้ งตาราว่าเปน็ สิริมงคลแก่ชะตาของผู้นั้นกาหนดเวลา
เป็นมงคลฤกษ์ เป็นต้นวา่ ฤกษ์ยกกองทพั ก็ต้องหาเวลาที่เป็นสิริแก่แม่ทัพ ฤกษ์ปลูกเรือนก็ต้องหาเวลาที่
เป็นสิริมงคลแก่เจ้าของเรือน ฤกษ์โกนจุกก็ต้องหาเวลาท่ีเป็นเวลาให้เป็นสิริแก่เด็ก ท่ีจะโกนจุก ฉะนี้เป็น
ตวั อย่างอีกอย่างหนึ่ง ดวงชะตาที่ใช้ในการพยากรณ์ดีร้ายอันจะพึงมีแก่บุคคล เพราะเชื่อถือกันมาว่า เม่ือ
พระเคราะหโ์ คจรเข้าสจู่ กั รราศีนั้นๆ มกั เกิดความดหี รือความชวั่ แกผ่ ู้มีชะตาเชน่ นน้ั ๆ เปน็ ตน้ วา่ พระเคราะห์
ราหูเข้าสู่ราศีอันเป็นลัคนาของผู้ใด ว่าผู้น้ันมักจะไม่มีความสุขจนกวา่ พระเคราะห์ราหูจะพ้นจักรราศีน้ันไป
ดังน้ีเป็นตัวอย่างอาศัยความเชื่อในข้อน้ี จึงมีวิธีขับสอบดวงชะตาหาความรู้ ว่าเคราะห์ดีและเคราะห์ร้าย
ประการใด ยังมีความเช่อื ถือกันมาแตก่ ่อนอีกอย่างหน่ึงว่า ดวงชะตาของผู้ใดอาจจะสอ่ ให้รู้ได้ว่า บคุ คลนั้น
จะดหี รอื ชั่วและที่สุดจะมีอายยุ ืนหรอื มีอายุสั้น ความเชอ่ื อย่างที่วา่ น้ีเกิดแต่เอาดวงชะตาของผูท้ ่ีมเี รื่องประวัติ
อันปรากฏว่าเป็นคนดีหรือคนชวั่ ในอดตี กาล มาเปน็ หลักสาหรบั เทียบเคียง* กับดวงชะตาทจ่ี ะพยากรณ์ถา้ เหน็
คล้ายคลึงกับดวงชะตาตัวอย่างข้างฝา่ ยคนดี ก็พยากรณ์ว่าจะดี ถา้ ไปคลา้ ยคลึงกับดวงชะตาของฝ่ายชั่ว ก็
พยากรณว์ ่าจะชัว่ เป็นเคา้ ความ ผูท้ ี่นิยมการพยากรณ์อยา่ งวา่ น้ี เมื่อเห็นใครเป็นคนทรงคณุ หรือให้โทษอยา่ ง
วิสามัญ มักสบื วันและเวลาเกิดของผู้นั้นผูกดวงชะตาลงตาราไว้เป็นตัวอย่าง สาหรับใช้เปรยี บเทียบในการ
พยากรณ์ ดวงชะตาของบคุ คลตา่ งๆ ทัง้ ทางดแี ละทางชั่ว จึงมอี ยใู่ นตารา** เปน็ อนั มาก และมกั มีคาจดบอก
ไวว้ ่า เปน็ ผู้มีคณุ หรือมโี ทษอย่างนนั้ ๆดว้ ย
ที่ดวงชะตาของสุนทรภู่มีอยู่ในตาราดวงชะตาน้ัน
คงเป็นเพราะผู้พยากรณ์แต่ก่อนเห็นว่า สุนทรภู่ทรง
คณุ สมบัติในกระบวนการแต่งกลอนเปน็ อย่างวิเศษ นับว่า
เป็นวิสามัญบุรุษผู้หนึ่ง แต่จดจาคาอธิบายแถมไว้ข้างใต้
ดวงชะตาว่า “ สุนทรภู่อาลักษณ์ข้ีเมา ” ดังน้ี ด้วย
ความหมายว่าเป็น ผ้ทู รงท้ังความดแี ละความช่ัวระคนปน
กัน อันเปน็ ความจรงิ ตามเรื่องประวตั ิสนุ ทรภู่
……………………………………..……………………………………………………………………………………………………..................
* เรยี กวา่ “ ดวงประเทียบ ”
** ผศู้ ึกษาในทางโหราศาสตร์ ย่อมใส่ใจเสาะหาดวงประเทียบจดกันในสมดุ น้ีคนละมาก ๆ และย่ิงมากก็ย่ิงดี ท้ังได้
เกบ็ รักษากันเปน็ สิ่งหวงแหนนัก
๓
สกลุ วงศข์ องสุนทรภู่ บิดามารดาจะชื่อใดไม่ปรากฏ แต่ว่าบิดาของสุนทรภูเ่ ป็นชาวบ้านกร่า ในเขต
อาเภอแกลง แขวงจังหวัดระยอง ฝ่ายมารดาเป็นชาวเมืองอื่น เล่ากันว่าเป็นชาวเมืองฉะเชิงเทรา มาอยู่
ดว้ ยกันในกรุงเทพฯ สุนทรภู่เกิดเม่ือสร้างกรุงรัตนโกสินทร์แล้วได้ ๔ ปี แล้วบดิ ากับมารดาอยา่ กัน บิดา
กลับออกไปบวชอยู่ที่เมืองแกลง ฝ่ายมารดาได้สามีใหม่มีลูกหญิงอีก ๒ คน ช่ือฉิมคนหนึ่ง ช่ือน่ิมคนหนึ่ง
แลว้ ไดเ้ ป็นนางนมพระธดิ าในกรมพระราชวังหลัง (กล่าวกันว่าพระองค์เจา้ จงกล) เพราะฉะน้ันสุนทรภู่จึงได้
อยู่ที่พระราชวงั หลงั กับมารดา และได้ถวายตวั เปน็ ขา้ ในกรมพระราชวังหลังต้งั แตย่ งั เด็ก
การศึกษาของสุนทรภู่ ความท่ีกล่าวในนิราศเมืองสุพรรณมีเป็นเค้าเงื่อนเหมือนจะได้เล่าเรียนใน
สานักวัดชีปะขาว (ซงึ่ พระราชทานนามในรชั กาลที่ ๔ ว่า วดั ศรีสุดาราม) ทีร่ มิ คลองบางกอกนอ้ ย ดงั ปรากฏ
ในโคลงนิราศสพุ รรณ ของสุนทรภบู่ ทหนงึ่ ว่า
วดั ปะขาวคราวรนุ่ รู้ เรียนเขียน
ทาสูตรสอนเสมยี น สมุดน้อย
เดินระวางระวงั เวียน หว่างวดั ปะขาวเอย
เคยชน่ื กลืนกลิ่นสร้อย สวาทห้างกลางสวน
สนุ ทรภู่รู้หนังสือทาการเสมยี นได้ เคยเป็นเสมียนนายระวางกรมพระคลังสวน แตอ่ ุปนิสัยไม่ชอบทา
การงานอย่างอ่ืน นอกจากแต่งบทกลอน สันทัดถึงบอกดอกสร้อยสักวาได้แต่รุ่นหนุ่ม แล้วกลับมาอยู่ท่ี
พระราชวังหลังอย่างเดมิ เห็นจะเป็นเพราะท่ีเป็นเจ้าบทเจ้ากลอนน้นั เอง ชวนใหค้ ะนองจนทาความเกิดขึ้น
ดว้ ยไปลอบลักรักใครก่ บั ผู้หญิงข้างในคนหนง่ึ ชื่อจัน ถูกกร้ิวต้องเวรจาทั้งชายหญิง แต่เวลาน้นั กรมพระราชวัง
หลังใกล้จะทิวงคตอยู่แล้ว ติดเวรจาอยู่ไม่ช้านัก ทานองจะพ้นโทษเม่ือกรมพระราชวังหลงั ทิวงคตใน พ.ศ.
๒๓๔๙ สนุ ทรภู่จึงออกไปหาบิดาท่เี มืองแกลง แต่ง “ นริ ำศเมอื งแกลง ” ซ่งึ เป็นนริ าศเรอ่ื งแรกของสนุ ทรภู่
เมอื่ ไปคราวน้ี *
นา่ สงั เกตว่า สนุ ทรภู่ออกเดินทางไปเมืองแกลงอย่างรีบด่วน ไม่ทนั ได้บอกลาแม่จันหญิงคนรกั จึงได้
คร่าครวญละขออภัยในนริ าศเมืองแกลงว่า
ถึงทุกข์ใครในโลกท่โี ศกเศร้า ไม่เหมอื นเราภุมรนิ ถวลิ หา
จะพลดั พรากจากกนั ไมท่ นั ลา ใช้แตต่ าตา่ งถอ้ ยสนุ ทรวอน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………................
*กรมพระราชวังหลัง ทิวงคตเมื่อวนั จันทร์ เดอื นอ้าย ขึ้น ๑๐ ค่า ปลาย พ.ศ. ๒๓๔๙ สนุ ทรภู่ออกไปหาบิดาทเ่ี มอื ง
แกลง เมื่อราวเดือน ๗ พ.ศ. ๒๓๕๐ กลบั จากเมอื งแกลงเม่อื เดอื น ๙ และแต่งนิราศเมืองแกลงในคราวนี้
๔
และ
พจี่ ากไปได้แต่รักมาฝากน้อง มากกว่าของอ่ืนอื่นสกั หมืน่ แสน
พอเปน็ ค่าผ้าห่มทช่ี มแทน อยา่ เคืองแค้นเลยท่ฉี นั ไมท่ ันลา
จงึ อาจพิจารณาได้ว่า สุนทรภมู่ ิได้ตงั้ ใจจะเดินทางไปเมืองแกลงมากอ่ น แต่เป็นการออกเดินทางอย่าง
กะทันหันเนื่องจากมีเรื่องเดือดร้อนใจเก่ียวกับความรักของสุนทรภู่กับแม่จันอันมีบิดาของแม่จันเป็นสาเหตุ
ทานองวา่ ไม่ยนิ ดีที่จะรบั สนุ ทรภมู่ าเปน็ บุตรเขย เนื่องจากขณะนน้ั มชี ายสงู ศกั ดิผ์ ู้หนึ่งหมายปองแม่จนั อยู่ ดัง
ปรากฏในนิราศเมืองแกลงว่า
ดว้ ยเกิดความลามถงึ เพราะหึงหวง คนท้งั ปวงเขาคิดรษิ ยา
จึงหลกี ตวั กลัวบุญคณุ บดิ า ไปอยู่ป่าปิ้มชีวนั จะบรรลยั
และ
ถงึ ชาตินี้มิได้สมอารมณ์คิด ดว้ ยองคอ์ ศิ รารักษ์จะหักหาญ
ขอใหน้ อ้ งครองสตั ย์ซ่ึงปฏภิ าณ ไดพ้ นพานภายหน้าเหมอื นอารมณ์
ฉะนั้น การไปเมืองแกลงครัง้ นีจ้ งึ มสี าเหตุเนอื่ งมาจากสนุ ทรภ่ตู ้องการหลบหลีกเรื่องร้อนใจและคงจะ
ถือโอกาสนไ้ี ปเย่ยี มบิดาดว้ ย
พิเคราะห์เร่อื งราวที่ปรากฏในนิราศ ประกอบกับศกั ราชปีเกิดของสนุ ทรภู่ ดูเหมอื นเมือ่ แต่งนิราศท่ี
เมอื งแกลงอายจุ ะราวสัก ๒๑ ปี กลา่ วในนริ าศวา่ มศี ิษย์ติดตามไปดว้ ย ๒ คน ข้อนี้สอ่ ใหเ้ หน็ ว่าในเวลานั้น
สนุ ทรภู่ทานองจะมชี อ่ื เสยี งในการแต่งบทกลอนอยแู่ ลว้ จึงมผี ูฝ้ ากตัวเปน็ ศษิ ย์นา่ จะมีหนังสือเรอื่ งอื่น ท่ีสนุ ทร
ภไู่ ดแ้ ต่งไวก้ ่อนนริ าศเมืองแกลง ลองพเิ คราะห์ดหู นงั สือกลอนของสนุ ทรภูท่ ยี่ ังปรากฏอยู่บัดนี้ เหน็ มเี ค้าเง่อื น
ในทางสานวนว่าจะแตง่ กอ่ นนริ าศเมืองแกลง แต่เรือ่ ง โคบุตรเรอื่ งเดยี ว มคี าขนึ้ ข้างต้นวา่
“ แต่ปางหลังครั้งวา่ พระศาสนา
เป็นปฐมสมมตกิ ันสบื มา ดว้ ยปญั ญายงั ประวิงทง้ั หญิงชาย
ฉันชอื่ ภรู่ ูเ้ ร่อื งประจักษ์แจง้ จึงสาแดงคาคิดประดิษฐ์ถวาย
ตามสตริ ิเริ่มเรอ่ื งนยิ าย ใหเ้ พรศิ พรายพริง้ เพราะเสนาะกลอน ”
๕
ดังน้ี สานวนดูเหมือนจะแต่งถวายเจ้าวังหลงั องคใ์ ดองค์หนึ่ง เป็นหนังสือ ๘ เล่มสมุดไทย จะแต่ง
ในคราวเดียวทง้ั นน้ั หรือแตง่ เป็นหลายครั้งหลายคราวข้อน้ีทราบไม่ได้ แตว่ ่าแต่งคา้ งอยู่ไม่หมดเรอื่ ง กลอน
เรื่องอน่ื ของสุนทรภู่ ดูสานวนเป็นช้นั หลังโคบตุ รท้ังนั้น
สุนทรภไู่ ปเมอื งแกลงคราวนน้ั ออกจากกรงุ เทพ ในเดือน ๗ ไปเรอื ประทุน ศษิ ยแ์ จวไป ๒ คน กับ
มีคนข้ียาชาวเมืองระยองรับนาทางช่วยแจวอีกคนหน่ึง ในทางคลองสาโรง และคลองศีรษะจระเข้ ออก
ปากน้าบางมงั กง* ไปขนึ้ บกบางปลาสร้อย จงั หวดั ชลบุรี แล้วเดนิ บกต่อไป
ความในนริ าศตอนไปในคลอง สุนทรภู่อธบิ ายคาเก่าไวแ้ ห่งหนง่ึ ว่า
“ คาโบราณทา่ นผูกถกู ทุกสิ่ง เขาว่าลิงจองหองมนั พองขน ”
คาน้ีเองเปน็ มูลท่ีด่ากันวา่ “จองหองพองขน” คอื เปรียบเอาลงเป็นลิง ยังหาเคยพบใครอธิบายไว้ใน
ที่อื่นไม่
เม่ือสุนทรภู่ลงไปถึงเมืองระยอง คนขี้ยาท่ีนาทางไปถึงบ้านก็หลบเสีย แต่นั้นสุนทรภู่ต้องพยายาม
ถามหนทางตามพวกชาวบ้านเดนิ ต่อไปจนถงึ วัดท่บี ิดาบวชอยู่ ณ เมอื งแกลง กล่าวในนิราศวา่ เวลานน้ั บิดา
บวชมาได้ ๒0 พรรษา ข้อนี้ส่อให้เหน็ ว่า บดิ ากับมารดาเห็นจะพรากกันต้งั แต่สุนทรภู่ยงั เปน็ เด็กเลก็ ทีเดยี ว
และน้องสาว ๒ คนนั้นต่างบิดากบั สนุ ทรภู่ ในนิราศกลา่ วความอกี ขอ้ หน่ึงว่า บิดาทบ่ี วชอยู่ “ เปน็ ฐานานุ
ประเทศอธิบดี จอมกษัตริย์โปรดปรานประทานนาม เจ้าอารามอรัญธรรมรงั สี ” ดังน้ี สนั นษิ ฐานว่าเห็นจะ
เปน็ ฐานานุกรมของพระครธู รรมรังสี เจ้าคณะเมืองแกลง มใิ ช่ไดเ้ ป็นตาแหน่งพระครูเองทีส่ นุ ทรภู่ออกไปหา
บดิ า บางทีจะคดิ ออกบวช ด้วยเวลาน้ันอายุครบอปุ สมบท และจะล้างอัปมงคลท่ีต้องถูจองจาด้วยก็เป็นได้
แต่หาได้บวชไม่ เพราะไปอยู่ไดห้ น่อยหนึง่ กป็ ่วยเป็นไข้ป่า อาการแทบถึงประดาตาย รักษาพยาบาลกนั อยู่
กว่าเดอื นจงึ หาย พอหายก็กลบั เข้ามากรงุ เทพในเดือน ๙ รวมเวลาที่สุนทรภอู่ อกไปเมืองแกลงคราวน้ันราว
๓ เดือน
เร่อื งประวตั ิสุนทรภู่ เม่ือกลบั จากเมืองแกลงแล้ว มีอยู่ในเรื่องนิราศพระบาทวา่ มาเป็นมหาดเล็ก
พระองคเ์ จา้ ปฐมวงศ์ พระโอรสพระองค์นอ้ ยของกรมพระราชวังหลัง ซึ่งทรงผนวชอยู่ ณ วดั ระฆัง** แตต่ ัว
สนุ ทรภู่อยทู่ พ่ี ระราชวงั หลงั และไดห้ ญิงชื่อจนั ทเี่ คยเกิดความนนั้ เปน็ ภรรยา ทานองเจา้ คอกขา้ งใน (ทองอยู่)
ซึ่งเปน็ พระอัครชายาของกรมพระราชวังหลงั จะยกประทาน ด้วยปรากฏในนิราศวัดเจ้าฟ้าว่า เมอ่ื สนุ ทรภู่มี
บุตร เจ้าครอกช้างในรับเข้าไปทรงเลี้ยงดู แต่เม่ือได้นางจันเป็นภรรยาแล้ว อยู่ด้วยกันเป็นปกติไม่เท่าใด
เห็นจะเป็นเพราะสุนทรภู่จับเป็นคนขี้เมาในตอนน้ี ถึงปีเถาะ (พ.ศ.๒๓๕o) ภรรยาก็โกรธ สุนทรภู่ไดแ้ สดง
ความไว้ข้างต้นนิราศพระบาทวา่
๖
……………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………..................
*เดี๋ยวนี้เรียกกันวา่ “ บางปกง ” สันนิษฐานช่ือเดิมเห็นจะเรยี กว่า บางมังกง เช่น สุนทรภู่เรียก “ มังกง ” เป็นช่ือ
ปลาอยา่ งหนึ่ง แตค่ าวา่ ปกง นั้น แปลมาได้ความอยา่ งไร บางทีจะยอ่ สั้นมาแต่ บางปลา ( มงั ) กง ก็เปน็ ได้
**กล่าวกันว่า เพราะเป็นพระองค์เจ้าองค์แรกท่ีประสูติแต่ประดิษฐานพระราชวงศ์น้ี จึงได้พระนามว่า ปฐมวงศ์
แตท่ รงผนวชอยู่ตลอดพระชนมายุ สนิ้ พระชนม์ในรัชกาลท่ี ๓
“ แสนอาลัยใจหายไมว่ ายหว่ ง
ดังศรศกั ดป์ิ กั ซา้ ระกาทรวง เสยี ดายดวงจนั ทราพะงางาม
เจา้ คุมแค้นแสนโกรธพิโรธพี่ แต่เดอื นย่จี นย่างเขา้ เดือนสาม
จนพระหนอ่ สรุ ยิ ว์ งศ์ทรงพระนาม จากอารามแรมรา้ งทางกันดาร
ด้วยเรยี มรองมลุ ิกาเปน็ ข้าบาท จานริ าศรา้ งนชุ สดุ สงสาร
ตามเสด็จโดยแดนแสนกันดาร ไปนมัสการรอยพระบาทพระศาสดา ”
ดังนี้
เมื่อสนุ ทรภู่ตามเสด็จพระองค์เจา้ ปฐมวงศไ์ ปพระพุทธบาทคราวที่แต่งนิราศ ไมไ่ ด้ลงเรือลาทรงอาศัย
ไปในเรอื มหาดเลก็ ทีต่ ามเสดจ็ ตอ้ งพายเรอื ไปเอง กล่าวความอันนไี้ วใ้ นนริ าศเมอ่ื ถึงท่าเรอื วา่
“ พระหน่อสุริยวงศท์ รงสิกขา ข้นึ ศาลาโสรจสรงวารีศรี
ขา้ งพวกเราเฮฮาลงวารี แต่โดยดีใจตนด้วยพ้นพาย
อรุ ะเรียมเกรยี มกรมอารมณ์รอ้ น ระอาออ่ นอกใจมิใครห่ าย
แลตลง่ิ วิงหน้านยั น์ตาพราย หัวไหล่ตายตงึ ยอกตลอดตัว ”
ครั้นข้ึนเดินบก จะเป็นด้วยสุนทรภู่ไปเมาเหล้าหรืออยา่ งไร ถูกเขาแกล้งให้ข้ึนข่ีคอช้างตัวบ่มมันท่ี
ต้องให้นาไปขา้ งหนา้ กล่าวไว้ในนริ าศวา่
“ ท้งั สองข้างท่านวางล้วนช้างด้งั ระยะหลงั มหาดเลก็ น้นั เหลอื หลาย
แต่ตัวพ่ีน้จี าเพาะเป็นเคราะห์รา้ ย ตอ้ งขนึ้ พลายนาทางชา้ งนา้ มนั
๗
เพอื่ นเขาแกลง้ ตบมือกระพอื ผดั ชา้ งสะบดั พลดั ไปในไพรสัณฑ์
ผงะหงายคนทา้ ยเขาควา้ ทัน โอ้แมจ่ ันเจียนจะไมเ่ หน็ ใจจรงิ
นกึ กระโจนจากช้างลงกลางเถ่ือน คิดอายเพ่ือนเขาจะเย้ยวา่ ใจหญิง
แตต่ งึ เศยี รเวียนหนา้ นยั น์ตาวิง เอาขอพงิ พาดตกั มาตามทาง ”
เม่ือไปพักอยู่ท่ีริมบริเวณวัดพระพุทธบาท สุนทรภู่กล่าวในนิราศว่า ไปเที่ยวทางเขาขาด พบ
(พระองค์) เจ้าสามเณรองค์นึง่ กน้ั พระกลดหักทองขวางเสด็จมาทางน้นั พิเคราะห์ตามศักราชเห็นว่าจะเป็น
สมเด็จกรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรส เพราะเวลาน้นั ทรงผนวชเปน็ สามเณรอยแู่ ลว้ กลา่ วความอีกแหง่ หนึ่งว่า
“ พอแรมค่าวันนน้ั ทา่ นพระคลัง หาบุญยังไปฉลองศาลาลัย ”
คือพระยาพระคลัง (กุน) ซึ่งได้เปน็ เจ้าพระยารตั นาธเิ บศร์ ทสี่ มหุ นายกในรัชกาลท่ี ๒ หานายบุญ
ยังนายโรงละครนอกทีม่ ีชอ่ื เสยี งและเปน็ ผู้สร้างวัดละครทา ในจังหวัดธนบุรีน้ันไปเลน่ ละครฉลองศาลาทที่ า่ น
สรา้ งขึ้นใหม่ในลานพระพทุ ธบาท อาศัยเคา้ เงื่อนที่มดี งั ไดก้ ลา่ วมา สนั นิษฐานว่าหนังสือบทกลอนของสุนทรภู่
ที่ปรากฏอยู่ เป็นของแต่งในรชั กาลท่ี ๑ เมอ่ื ก่อนสุนทรภ่เู ขา้ รบั ราชกาล ๓ เรอื่ ง คือเรอ่ื งโคบุตรเรอ่ื งหน่ึง
นิราศเมืองแกลงเรื่องหน่ึง นิราศพระบาทเรื่องหน่ึง* ต่อมาในรัชกาลท่ี ๒ เม่ือสุนทรภเู่ ข้ารับราชการแล้ว
เห็นจะไม่มโี อกาสไปทางไกล จึงไม่ปรากฏวา่ แต่งนิราศใดอีกจนตลอดรัชกาล
๒. ตอนรบั รำชกำร
เรือ่ งประวตั ิสุนทรภู่ ตอนเข้ารับราชกาลในรัชกาลท่ี ๒ นนั้ มีคาเล่ากันมาวา่ เม่ือคราวเกิดทิ้งบตั ร
สนเท่ห์กันชุกชุมใน พ.ศ.๒๓๕๙ ที่กรมหมื่นศรีสุเรนทรต้องถูกชาระนั้น สุนทรภู่ก็ถูกสงสัยว่าเป็นผู้แต่ง
หนงั สือทิ้งดว้ ยคนหนึง่ ความขอ้ นมี้ ีเคา้ เงือ่ นในนริ าศเมืองเพชรบุรี ไปซุ่มซ่อนนอนอยู่ในถ้าเขาหลวงหลายวัน
แล้วไปอาศัยอยู่กับหม่อมบุนนาคในกรมพระราชวังหลัง ซ่ึงออกไปตั้งทานาอยู่ที่เมืองเพชร ** เม่ือกรม
พระราชวงั หลังทวิ งคตแล้ว บางทจี ะหนไี ปในคราวทถี่ ูกสงสยั ว่าแต่งหนงั สอื ทง้ิ และบางทพี ระบาทสมเดจ็ พระ
พทุ ธเลิศหล้านภาลัยจะได้ทอดพระเนตรเห็นสานวนกลอนของสุนทรภู่ในเวลาสอบสานวนหาตัวผู้ทิ้งหนังสือ
คราวน้ันเอง จึงเลยทรงพระกรุณาโปรดให้เอาตัวมารับราชการเป็นอาลักษณ์ มูลเหตุท่ีสุนทรภู่จะเข้ารับ
ราชการหาปรากฏเร่ืองเป็นอยา่ งอื่นไม่
๘
เม่ือสุนทรภู่ไดเ้ ป็นอาลักษณ์แลว้ มเี ร่อื งเล่ากันมาถงึ ทีส่ ุนทรภู่ไดท้ าความชอบในหน้าที่ว่า ในสมัยนั้น
กาลังทรงพระราชนิพนธบ์ ทละครเร่อื งรามเกยี รต์ิ ถึงตอนนางสีดาผกู คอตาย บทพระราชนพิ นธ์ รัชกาลที่ ๑
ซงึ่ เล่นละครกนั มา กล่าวบทนางสดี าตอนเมอ่ื จะผูกคอตายวา่
“ เอาภษู าผูกคอให้มัน่ แล้วพนั กับก่ิงโศกใหญ่
หลับเนตรจานงปลงใจ อรไทก็โจนลงมา ”
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….................
*เข้าใจว่า สุนทรภู่คงจะได้เร่ิมหาอาชพี ในทางเป็นผบู้ อกบทละครในตอนนี้บ้างแล้ว เชน่ กล่าวในนิราศสุพรรณ ซ่ึง
แต่งเป็นโคลงวา่
บางละมาดมงิ่ มิตรคร้งั คราวงาน
บอกบทบญุ ยังพยาน พยักหน้า
ประทุนประดษิ ฐาน แทนห้อง หอเอย
แหวนประดบั กับผ้า พ่ีอ้างรางวลั
เขา้ ใจวา่ อ้างถงึ บอกบทละครโรงนายบุญยัง
**สุนทรภู่คงกลับจากเมืองเพชรมาอยู่กรุงเทพฯ ราวเดือน ๔ ปีระกา พ.ศ. ๒๓๕๖ เพราะกล่าวไว้ใน
นริ าศเมืองเพชรว่า “ แตเ่ ดือนสีป่ ีระกานิรารา้ ง ไปอยูบ่ างกอกไกลกนั ใจหาย ” เห็นจะไม่ใชเ่ น่อื งด้วยบัตรสนเทห่ ์
ตอนนถ้ี ึงบทหนุมานวา่ วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า
“ บดั น้ัน ผกู คอโจนมากต็ กใจ
รอ้ นจติ ดงั หน่ึงเพลิงไหม้
ครั้นเหน็ องค์อคั รกลั ยา ด้วยกาลังว่องไวทนั ที (เชิด)
ตัวส่นั เพยี งส้นิ ชีวิต ท่ผี กู ศอองคพ์ ระลกั ษมี
โลดโผนโจนลงตรงไป ขนุ กระบกี่ ็โจนลงมา ”
ครนั้ ถงึ จึงแกภ้ ษู าทรง
หยอ่ นลงยังพืน้ ปถั พี
๙
พระบาทสมเดจ็ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงติว่า บทเก่าตรงน้ีกว่าหนุมานจะเข้าไปแก้ไขได้นาน
นกั นางสดี าจะต้องตายเสียแล้ว บทท่ีทรงพระราชนิพนธ์ใหมจ่ ึงคดิ จะใหห้ นุมานเข้าแกไ้ ขโดยรวดเรว็ แต่งบท
นางสดี าวา่
“ จงึ เอาผา้ ผกู พนั กระสันรัด เกยี่ วกระหวดั กบั กงิ่ โศกใหญ่ ”
ตอ่ ไปนเ้ี กดิ ขดั ข้องวา่ จะแต่งบทหนมุ านอย่างไรให้แก้นางสดี าไดโ้ ดยเรว็ เหลา่ กวที ที่ รงเป็นทปี่ รึกษาไม่
มใี ครสามารถจะแต่งบทใหพ้ อพระราชหฤทัยได้ จงึ ทรงลองดารัสส่ังใหส้ ุนทรภแู่ ตง่ ตอ่ ไปวา่
“ ชายหน่งึ ผูกศออรทัย แลว้ ทอดองคล์ งไปจะให้ตาย
บดั นน้ั วายุบตุ รแก้ไดด้ งั ใจหมาย ”
ดังนี้ก็ชอบพระราชหฤทัย ทรงยกย่องความฉลาดของสุนทรภู่คราวนี้ครั้งหน่ึง ด้วยการทรงพระราช
นิพนธ์บทละครในราชกาลที่ ๒ นั้น เล่ากันมาว่าเม่ือทรงพระราชนิพนธ์บทขึ้นแล้ว ให้เอาบทไปซ้อมละคร
เสียกอ่ น ถ้าบทยังขัดกับกระบวนเลน่ ละคร ก็ตอ้ งแก้ไขบทจนกว่าละครเลน่ ไดส้ ะดวกจึงเอาไปใช้ได้ บททสี่ นุ ทร
ภแู่ ต่งถวายครง้ั น้ันเขา้ กับกระบวนเล่นได้สะดวกดดี ้วย จึงไดโ้ ปรด ฯ
อีกคร้ังหนง่ึ เล่ากันมาว่า เมื่อแต่งบทเรื่องรามเกียรตถ์ิ งึ ตอนศกึ สิบขุนสบิ รถ ทรงพระราชนิพนธ์บทชม
รถทศกณั ฐว์ ่า
“ รถที่นัง่ บุษบกบัลลังก์ตัง้ ตระหง่าน
กวา้ งยาวใหญ่เท่าเขาจักรวาล ยอดเยย่ี มเทียมวมิ านเมอื งแมน
ดุมวงกงหันเป็นควนั ควา้ ง เทยี มสิงหว์ ่งิ วางข้างสะแสน
สารถขี ข่ี ับเขา้ ดงแดน พื้นแผน่ ดินกระเดน็ ไปเป็นจณุ ”
ทรงพระราชนิพนธม์ าไดเ้ พียงนี้ ทรงนกึ ความทจ่ี ะตอ่ ไปอย่างไรใหส้ มกับเปน็ รถใหญ่โตถงึ ปานน้นั ยงั ไม่
ออก จึงมีรบั ส่ังใหส้ นุ ทรภตู่ อ่ สุนทรภตู่ ่อวา่
“ นทตี ฟี องนองระลอก คลนื่ กระฉอกกระฉอ่ นชลข้นข่นุ
เขาพระเมรเุ อนเอียงออ่ นละมนุ อนนต์หนุนดินดานสะท้านสะเทือน
ทวยหาญโห่รอ้ งก้องกัมปนาท สุธาวาสไหวหวัน่ ลนั่ เลื่อน
บดบังสุรยิ นั ตะวันเดอื ด คลอดเคลือ่ นจตุรงค์ตรงมา ”
๑๐
เล่ากันว่าโปรดนัก แต่นั้นก็นับสุนทรภู่เป็นกวีที่ทรงปรึกษาด้วยอีกคนหน่ึง ทรงต้ังเป็นที่ ขุนสุนทร
โวหารในกรมพระอาลักษณ์ พระราชทานท่ีใหป้ ลูกเรอื นอยู่ที่ใตท้ ่าชา้ ง* และมีตาแหนง่ เฝา้ ฯ เป็นนิจ แม้เวลา
เสดจ็ ประพาส กโ็ ปรดฯให้ลงเรือพระทีน่ ัง่ เป็นพนกั งานอ่านเขยี นในเวลาทรงพระราชนิพนธบ์ ทกลอน**
แต่การท่ีสนุ ทรภไู่ ด้เป็นขนุ นาง และได้มตี าแหน่งรับราชการใกลช้ ิดตดิ พระองค์เชน่ น้นั ไมส่ ามารถจะ
คุ้มความทุกขย์ ากไดท้ ีเดยี ว เหตุดว้ ยสนุ ทรภู่ยงั เสพสุราไม่ทงิ้ ได้ เม่ือเป็นขุนสนุ ทรโวหารแล้วครั้งหนึ่งกาลงั เมา
สรุ าไปหามารดา มารดาว่ากล่าวกลับขู่เข็ญมารดา ขณะนั้นมีญาติผใู้ หญ่จะเป็นลุงหรือน้าคนหน่งึ เข้าไปห้าม
ปราม สนุ ทรภูท่ ุบตีจนบาดเจ็บถึงสาหัส เขาทลู เกล้า ฯ ถวายฎีกากถ็ ูกกรวิ้ มีรับส่ังให้เอาตวั ไปไว้ ณ คกุ เรอื่ ง
สุนทรภู่ตดิ คุกมีเค้าเง่ือนปรากฏแต่งไวใ้ นเสภา พรรณนาถงึ ลักษณะ ตดิ คกุ ตอนเมอ่ื พลายงามจะขออยู่ในคุก
กับขนุ แผนว่า
“ ขนุ แผนว่าจะอยดู่ ไู มไ่ ด้ ในคกุ ใหญย่ ามแคน้ มันแสนเขญ็
เหมอื นกับอยใู่ นนรกตกท้ังเป็น ไม่ว่างเว้นโทษทัณฑส์ ักวนั เลย
แตพ่ อ่ นี้ทา่ นเจา้ กรมยมราช อนุญาตใหอ้ ยูท่ ับในหบั เผย
คนทง้ั หลายนายมลู กค็ ุ้นเคย เขาละเลยพ่อไมต่ อ้ งถูกจองจา ”
มีคาเลา่ กันอีกข้อหนึ่งวา่ สนุ ทรภ่เู รมิ่ แตง่ หนงั สอื เร่ืองพระอภยั มณเี มือ่ อยู่ในคกุ คราวน้นั ขอ้ นี้กเ็ หน็ จะ
จรงิ *** เคา้ เง่ือนอยใู่ นเสภาตอนท่สี นุ ทรภู่แต่งถงึ ขนุ แผนติดคกุ นนั้ ว่า
“ อยู่เปล่าเปล่าเล่าก็จนพ้นกาลัง อุตสา่ ห์น่ังทาการสานกระทาย
ใหน้ างแก้วกิรยิ าชว่ ยทารัก ขุนแผนถกั ขอบรดั กระทดั หวาย
ในละบาทคาดไดโ้ ดยงา่ ยดาย แขวนไว้ขายทงั้ เรือนออกเกล่อื นไป ”
………………………………………………………………………………………………………………………………………..................
*ความข้อน้กี ลา่ วไว้ในนริ าศเมอื งสุพรรณ
**ความข้อน้ีกล่าวไว้ในนริ าศภูเขาทอง
***เข้าใจว่า คงจะได้แต่งหนังสือเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงขึ้นขายเป็นอาชีพจริง แต่คงไม่ใช่เร่ืองพระอภัยมณี เพราะเรื่อง
พระอภยั มณีนน้ั เขา้ ใจว่า สนุ ทรภ่เู ริ่มแต่งในรัชกาลท่ี ๓ โปรดดเู รอ่ื ง “ ตัวละครและเหตุการณ์ในเรื่องพระอภยั มณี ” ในกลอน
สุภาพเร่อื งงพระอภยั มณี เลม่ ๔
๑๑
สนุ ทรภคู่ งคดิ แต่งหนังสือเร่ืองพระอภยั มณีขนึ้ ขายฝปี ากเลี้ยงตัวในเวลาทต่ี ดิ คุกอยู่ อันประเพณีแต่ง
หนังสือในสมัยน้ันยังไม่ใช่การพิมพ์น้ัน เมื่อแต่งขึ้นแล้วใครอยากอ่านก็มาลอกเอาไป ผู้แต่งคิดจะเอาค่าแต่ง
ตามแต่ผตู้ อ้ งการอา่ นจะยอมให้ ผูม้ ีชื่อเสียงเช่นสุนทรภูก่ ็เหน็ จะได้ค่าแตง่ แรงอยู่ ประเพณที ่ีกลา่ วมาน้ีเป็นการ
หากินของพวกกวีท่ีขัดสนมาช้านาน คุณพุ่ม ธดิ าพระยาราชมนตรี (ภู่) ยังแต่งกลอนขายมาจนถึงราชการที่ ๕
บอกไว้ในเพลงยาวเฉลมิ พระเกยี รติทค่ี ณุ พุม่ แตง่
สนุ ทรภู่จะติดคกุ อยูช่ ้านานเท่าใดมไิ ด้ปรากฏ เล่ากนั แตถ่ ึงเหตทุ ี่จะพ้นโทษว่า พระบาทสมเด็จฯ พระ
พุทธเลิศหลา้ นภาลัยทรงพระราชนิพนธบ์ ทละครเร่ืองใดเรอ่ื งหนงึ่ เกดิ ติดขัด ไมม่ ีผใู้ ดจะต่อใหถ้ ูกพระราชหฤทัย
ไดจ้ ึงมีรับสั่งใหไ้ ปเบกิ ตวั สุนทรภู่มาจากคุกสุนทรภู่ต่อกลอนไดต้ ามพระราชประสงค์ กท็ รงพระกรณุ าโปรด ฯให้
พน้ โทษ กลับมารบั ราชการตามเดมิ มาถงึ ตอนปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศหลา้ นภาลัย โปรด
ให้สุนทรภเู่ ปน็ ครสู อนหนังสือถวายพระเจ้าลกู ยาเธอ เจ้าฟ้าอาภรณ์ สนุ ทรภู่แต่งกลอนเรื่องสวสั ดิรกั ษาถวาย
เจ้าฟ้าอาภรณ์ ข้นึ ต้นวา่
“ สนุ ทรทาคาสวสั ดริ ักษา
ถวายพระหน่อบพติ รอิสรา ตามพระบาลเี ฉลิมให้เพิ่มพูน ” *
และกลา่ วในตอนปลายเมอ่ื ก่อนจบ
“ ขอพระองค์จงจาไวส้ าเหนียก ดังนี้เรียกเร่ืองสวสั ดริ ักษา
สาหรับองคพ์ งศก์ ษัตรยิ ข์ ัตตยิ า ให้ผ่องผาสุกสวสั ด์ขิ จัดภยั
บทโบราณทา่ นทาเปน็ คาฉนั ท์ แตค่ นนนั้ มิใครแ่ จง้ แถลงไข
จึงกล่าวกลับซับซอ้ นเป็นกลอนไว้ หวังจะไดเ้ จนจาได้ชานาญ
สมองคุณมุลกิ าสาพภิ กั ด์ิ ใหส้ งู ศกั ดิ์สืบสมบัตพิ ัสถาน
แมน้ ผิดเพย้ี นเปลย่ี นเรอ่ื งเบื้องโบราณ ขอประทานอภัยโทษได้โปรดเอย ” **
………………………………………………………………………………………………………………….………………………..................
*เรื่องสวัสดิรกั ษาน้ี เข้าใจว่าคงจะแต่งข้ึนถวายระหว่าง พ.ศ. ๒๓๖๔-๒๓๖๗ ก่อน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ
หลา้ ฯ สวรรคต
**อนึ่ง เข้าใจว่า สุนทรภู่คงจะได้เร่มแต่งเร่ืองสิงไตรภพตอนต้นๆ ถวายเจ้าฟ้าอาภรณ์ สุนทรภู่เรียกเป็นพระ
นามแฝงว่า พระสงิ หไตรภพ และเม่ือพิจารณาสานวนกลอนในเรือ่ งสิงหไตรภพตอนต้นๆ กนั ในเร่ืองพระอภัยมณี จะเห็นได้ว่า
๑๒
เรอื่ งสิงหไตรภพน้นั สานวนโวหารการประพันธต์ อนต้นๆ เป็นการเริ่มลองมือไว้ อันทาให้โวหารการประพันธ์ในเร่ืองพระอภัย
มณเี พราะพรง้ิ ขน้ึ มาก
ดังนี้
ในบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน* มีสานวนสุนทรภู่ แต่งตอนหนึ่งตั้งแต่พลายงามเกิด ไปจน
ถวายตัวถวายงานเป็นมหาดเลก็ สานวนตัง้ ใจประจงแตง่ ดีหนกั หนา บทเสภาตอนนี้สันนษิ ฐานวา่ เหน็ จะแตง่ ใน
รชั กาลที่ ๒ ดว้ ยความตอนพลายงามอยกู่ ับจมน่ื ศรีว่า
“ คราน้ันพลายงามทรามสวาท แหลมฉลาดเลขผาปัญญาขยนั
อยู่บา้ นทา่ นหม่นื ศรียนิ ดคี รนั ทุกคนื วันตามหลงั เข้าวังใน
เธอเข้าเฝา้ เจ้าก็น่ังบังไม้ดดั คอยฟังตรัสตรกึ ตราอชั ฌาสัย
ค่อยรู้กิจผดิ ชอบรอบคอบไป ดว้ ยมไิ ดค้ บเพ่ือนเทย่ี วเชือนแช ”
ต่อมาอีกแห่งหนง่ึ กล่าวถงึ สมเด็จพระพนั วษาว่า
“ ครานน้ั สมเดจ็ พระพนั วษา เหลือบเห็นหน้าพลายงามความสงสาร
จะออกโอษฐโ์ ปรดขนุ แผนแสนสะท้าน แตก่ รรมน้นั บันดาลดลพระทัย
ให้เคลิม้ พระองคท์ รงกลอนละครนอก นกึ ไม่ออกเวียงวงใหห้ ลงใหล
ลืมประภาษราชกิจที่คดิ ไว้ กลบั เขา้ ในแท่นท่ีศรไี สยาฯ ”
๑๓
เรอ่ื งประวัติตอนเมื่อสุนทรภเู่ ปน็ กวที ่ีทรงปรึกษา ยังมีเร่ืองเกรด็ เล่ากันมาอกี หลายอย่าง เรือ่ งหน่งึ ว่า
สนุ ทรภู่คุยว่า สานวนกลอนที่แต่งให้เป็นคาปากตลาดนั้นต้องเป็นไพร่เช่นตวั จึงจะแต่งได้ บ่งความว่าถ้าเป็น
เจ้านายก็แต่งไม่ได้ ความนี้ทราบถึงพระกรรณพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงทรงพระราช
นพิ นธ์บทละครเรือ่ งไกรทอง เพ่อื พิสูจนใ์ ห้ปรากฏวา่ ถงึ เจ้านายจะทรงแตง่ กลอนใหเ้ ป็นคาปากตลาดกอ็ าจทรง
ได้ อกี เรอื่ งหนง่ึ เล่ากันวา่ เมือ่ ทรงพระราชนพิ นธ์บทละครเรือ่ งอิเหนา ทรงแบ่งตอนนางบุษบาเลน่ ธารเม่อื ทา้ ว
ดาหาไปใช้บน พระราชทานใหพ้ ระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกลา้ เจา้ อยู่หัว มรี ับส่ังวานสุนทรภอู่ า่ นตรวจดเู สยี ก่อน
สุนทรภอู่ า่ นและกราบทลู วา่ เห็นดอี ยู่แลว้ คร้ันเสด็จออก เมือ่ โปรดให้อ่านตอ่ หนา้ กวีท่ที รงปรกึ ษาพรอ้ มกนั ถึง
บทแห่งหน่งึ วา่
“ นา้ ใสไหลเย็นแลเหน็ ตวั ปลาแหวกกอบัวอยู่ไหวไหว ” **
สุนทรภู่ตวิ ่ายังไมด่ ี ขอแกเ้ ปน็
“ นา้ ใสไหลเยน็ เห็นตัวปลา ว่ายแหวกปทุมมาอยูไ่ หวไหว ”
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..................
*ฉบบั หอสมดุ ฯ เลม่ ๒ ตอนท่ี ๒๔ “
**ความวรรคหลังมกั กลา่ วกันว่า “ ว่ายแหวกกอบัวอยู่ไหวไหว ” ข้าพเจา้ เห็นวา่ คงเป็นคา “ ปลา ” มิใช่
ว่าย ”
โปรดตามท่ีสุนทรภู่แก้ พอเสดจ็ ขึ้นแล้วพระบาทสมเด็จฯ พระน่ังเกลา้ เจ้าอย่หู ัว ดารัสว่า เม่ือขอให้
ตรวจทาไมจึงไม่ยอมแก้ไข แกล้งนง่ิ เอาไว้ติหักหนา้ เลน่ กลางคนั เปน็ เร่อื งที่ทรงขัดเคืองสุนทรภคู่ รัง้ หน่งึ อกี ครงั้
หน่ึงรับส่ังให้พระบาทสมเด็จฯ พระน่งั เกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงแตง่ บทละครเร่ืองสงั ข์ทอง ตอนทา้ วสามลจะให้ลูก
สาวเลือกคู่ ทรงแต่งคาปรารภของทา้ วสามลวา่
“ จาจะปลกู ฝงั เสียยงั แล้ว ให้ลูกแกว้ สมมาดปรารถนา ”
ครั้นถึงเวลาอ่านถวาย สุนทรภู่ถามข้ึนว่า “ ลูกปรารถนาอะไร ” พระบาทสมเด็จฯ พระน่ังเกล้า
เจ้าอยหู่ ัว ต้องทรงแกว้ า่
“ ให้ลกู แกว้ มีคู่เสน่ห์หา ”
ทรงขดั เคอื งสุนทรภู่วา่ แกล้งปรามาสอีกคร้ังหน่ึง แตน่ ้ันก็ว่าพระบาทสมเด็จฯ พระนัง่ เกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงมนึ ตงึ ต่อสนุ ทรภ่มู าจนตลอดรัชกาลท่ี ๒
๑๔
ในระยะเวลาท่ีสุนทรภู่รับราชกาลอยู่เมื่อรัชกาลท่ี ๒ น้ัน มีบุตรสองคน บุตรชายคนใหญ่ช่ือพัด ดู
เหมือนภรรยาชื่อจันจะเปน็ มารดา ต่อมาสุนทรภไู่ ดภ้ รรยาอีกคนหนึง่ ชือ่ นมิ่ เป็นชาวบางกรวยมบี ุตรดว้ ยกนั ชื่อ
ตาบ* จะเป็นด้วยเหตุท่ีภรรยาใหม่หรือด้วยเหตุอ่ืนอย่างใดอย่างหนึ่ง ภรรยาที่ชื่อจันน้ันลงท้ายหย่ากันกับ
สุนทรภู่ แลว้ ไปมสี ามีใหม่ ความข้อนส้ี ุนทรภู่กล่าวไวใ้ นนิราศเมอื งสพุ รรณเป็นโคลงสองบทวา่
“ ยลย่านบ้านบุตัง้ ตีขัน
ขุกคิดเคยชมจันทร์ แจ่มฟ้า
ยามยากหากปันกนั กินซกี ฉลีกแฮ
มีคู่ชชู ื่นหนา้ นุชปลื้มลมื เดมิ ฯ
เสียดายสายสวาทโอ้ อาวรณ์
รกั พน่ี โ่ี ทษกรณ์ กบั นอ้ ง
จาจากพรากพลดั สมร เสมอชีพเรียมเอย
เสียนชุ ดุจทรวงต้อง แตกฟ้าผ่าสลาย ”
สว่ นภรรยาท่ีชื่อนิ่มนั้นพอมีบุตรได้ไม่ช้ากต็ าย** เจ้าครอกข้างในจึงรับบุตรของสุนทรภู่ไปเล้ียงไว้ท่ี
พระราชวังทัง้ ๒ คน
………………………………………………………………………………………………….…………………………………………...............
*นายพัดกับนายตาบอยู่มาจนถงึ รัชกาลท่ี ๕ ทั้งสองคน เป็นกวตี ามบิดา มีสานวนแตง่ เพลงยาวปรากฏอยู่
**นิราศพระประธมซึ่งสุนทรภแู่ ต่งไว้ในราว พ.ศ. ๒๓๘๕ วา่ “ เคยร่วมสุขทุกขร์ ้อนแต่ก่อนมา โอ้สิ้นอายุเจ้าได้
เกา้ ปี ” เขา้ ใจวา่ คงจะตายราว พ.ศ. ๒๓๗๖
นอกจากภรรยาชอื่ จนั กบั ช่ือน่ิม สองคนทกี่ ลา่ วมาแล้วสนุ ทรภ่ยู ังมคี ่รู ักระบุช่อื ไวใ้ นนิราศอีกหลายคน
ว่าเป็นภรรยาบา้ งเปน็ ชูบ้ า้ ง แตม่ ิไดป้ รากฏวา่ ใครยดื ยาวสักคนเดียว
๑๕
๓. ตอนบวช
สุนทรภตู่ ้งั แต่เยาว์มายังไมไ่ ดบ้ วชตลอดจนรัชกาลที่ ๒ พอถงึ รัชกาลท่ี ๓ กอ็ อกบวช เหตทุ จี่ ะออกบวช
นัน้ เล่ากนั มาวา่ เพราะหวาดหวัน่ เกรงพระราชอาญา ด้วยเหน็ วา่ พระบาทสมเดจ็ ฯพระน่ังเกลา้ เจ้าอย่หู วั ทรงขัด
เคืองแตร่ ชั กาลก่อน แต่ขอ้ นี้เมื่อพิเคราะห์ดูตามคาทีส่ ุนทรภ่กู ล่าวไวใ้ น นิราศภเู ขาทองวา่
"ถงึ สามโคกโศกถวิลถึงปิน่ เกล้า พระพุทธเจา้ หลวงบารงุ ซึ่งกรงุ ศรี
ประทานนามสามโคกเปน็ เมอื งตรี ชอ่ื ปทุมธานเี พราะมบี วั
โอ้พระคุณสญู ลบั ไม่กลับหลงั แต่ชอ่ื ตงั้ กย็ ังอยเู่ ขารู้ทั่ว
แต่เราน้ีทสี่ ุนทรประทานตวั ไม่รอดช่ัวเช่นสามโคกย่งิ โศกใจ
ส้นิ แผ่นดนิ สิ้นนามตามเสด็จ ต้องเท่ยี วเตรด็ เตรห่ าที่อาศัย"
คาของสุนทรภู่ท่ีกล่าวตรงน้ี ดูประหนึ่งว่าถึงรัชกาลที่ ๓ ถูกถอดจากท่ีขุนสุนทรโวหาร น่าจะเป็น
เช่นน้ันจริง คนท้ังหลายจึงได้เรียกกันว่า " สุนทรภู่ " เห็นจะมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งให้ต้องถูกถอดจาก
บรรดาศักดิ์แล้วจึงออกบวช ถ้าเวลาบวชยังเป็นขนุ นางคงจะได้รับพระราชูปถัมภ์ ไหนจะอนาถาดังปรากฏใน
เร่ืองประวัติ อีกประการหนึ่งในรัชกาลที่ ๓ เม่ือคราวแต่งจารึกวัดพระเชตุพนฯ มีแตง่ กลอนเพลงยาวกลบท
เป็นตน้ พระบาทสมเด็จ พระนง่ั เกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงเสาะหากวีท่ีชานาญกลอนแมจ้ นมหาดเล็กเลวก็ได้มีชื่อ
แต่งถวาย สุนทรภู่เป็นกวีคนสาคัญมาแต่ก่อน เหตุใดจึงมิได้ปรากฏช่ือว่าแต่งจารึกอย่างใดอย่างหนึ่งในคราว
น้ัน ข้อนี้ก็ส่อให้เห็นว่าคงจะเป็นผู้ต้องคาตาหนิติโทษ ทรงรังเกียจในรัชกาลที่ ๓ เห็นสมกับความท่ีกล่าวใน
กลอน จึงเข้าใจวา่ ถกู ถอด**
ความจรงิ ในเรื่องท่ีสนุ ทรภู่ออกบวช เห็นจะเป็นด้วยเหตุสองประการคือเพราะยังไมไ่ ด้บวชพระตาม
ประเพณีนยิ มประการหนงึ่ อกี ประการหนึ่งสนุ ทรภูว่ ิวาทกับญาติ เข้ากับใครไมต่ ิด มีภรรยาก็อยู่ดว้ ยกันไม่ยืด
เปน็ คนตัวคนเดียวอยู่แต่กับบุตรมาแต่ในรัชกาลท่ี ๒ ข้อนสี้ งั เกตไดด้ ้วย ในนริ าศของสุนทรภู่ เมอื่ กล่าวถึงญาติ
เม่อื ใดคงเปน็ คาโกรธแคน้ ว่าพง่ึ พาไม่ได้ กล่าวถึงภรรยาและคู่รกั ก็มักปรากฏวา่ อยดู่ ว้ ยกนั ไมย่ ืด
………………………………………………………………………………………………………………………………………..................
*มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อคร้ังทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้กวีแต่งกลอนจารึกท่ีวัดพระเชตุพนฯ คราวนี้ สุนทรภู่แอบแต่ง
ล้อเล่นโดยใช้คาผวน มีผ้จู าได้เล่ามากนั บทหนงึ่ ว่า “ โรคมากรากโมกตม้ กินหาย ”
ครัน้ เมื่อมาถูกถอดในรชั กาลท่ี ๓เจา้ นายและผู้มบี รรดาศักดิก์ ไ็ มม่ ีพระองค์ใดท่านผู้ใดกล้าชบุ เลีย้ งเก้ือหนนุ โดย
เปิดเผย ดว้ ยเกรงวา่ จะเปน็ ท่ีฝ่าฝนื พระราชนิยมในพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจา้ อยู่หัว แมเ้ จา้ ฟ้าอาภรณ์ซึ่ง
เป็นศิษย์กต็ ้องทาเพิกเฉยมึนตงึ สุนทรภู่ได้กล่าวความข้อน้ไี ว้ในเพลงยาว* ว่า
๑๖
" สิ้นแผน่ ดนิ ส้ินบุญของสุนทร ฟ้าอาภรณแ์ ปลกพักตร์อาลักษณ์เดมิ "
ดงั นี้
สนุ ทรภตู่ กยากสิ้นคดิ จงึ ออกบวช ด้วยเห็นว่าพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจา้ อยหู่ ัว ทรงเคารพตอ่ สงฆ์
มาก ถ้าบวชเป็นพระใครจะอปุ ถัมภก์ ็เห็นจะไม่ทรงติเตียน ความที่สนุ ทรภูค่ าดน้ีก็มมี ูลด้วยปรากฏในเพลงยาว
นน้ั ว่าเมื่อสุนทรภบู่ วชแลว้ พอถงึ ปฉี ลู พ.ศ.๒๓๗๒ เจา้ ฟา้ กุณฑลทิพยวดกี ท็ รงฝากเจา้ ฟา้ กลาง คือ ( สมเด็จเจา้
ฟา้ กรมพระยาบาราบปรปักษ์ ) กับเจ้าฟ้าปิ๋ว พระโอรสพระองค์น้อย เวลานั้นพระชันษาได้ ๑๑ ปี พระองค์
หน่ึง ๘ ปี พระองค์หน่ึงใหเ้ ป็นศษิ ย์สนุ ทรภ่เู หมอื นอย่างเจา้ ฟา้ อาภรณ์ พระโอรสพระองค์ใหญ่ไดเ้ คยเป็นศิษย์
มาในรัชกาลก่อน แล้วทรงส่งเสียอปุ การะต่อมาในช้นั นั้น มคี าสุนทรภไู่ ด้กลา่ วไวใ้ นเพลงยาว** วา่
" เคยฉันของสองพระองค์สง่ ถวาย มไิ ดว้ ายเว้นหนา้ ท่านข้าหลวง "
ดงั น้ี
สุน ท รภู่เห็ นจะบวชเม่ื อราวปี จอ พ .ศ.๒ ๓ ๖ ๙ *** เวลานั้ นอายุได้ ๔ ๑ ปี แรกบ วชอยู่
วดั ราชบรุ ณะ**** อยไู่ ด้ ๓พรรษา มีอธกิ รณ์เกดิ ขน้ึ ( กล่าวกันเป็นความสงสยั ว่าจะเปน็ ด้วยสุนทรภตู่ ้องหาว่า
เสพสุรา***** เพราะวสิ ยั ของสุนทรภู่นั้น เวลาจะแตง่ กลอนถ้ามีฤทธิ์สุราเปน็ เชือ้ อยู่แล้วแต่งคลอ่ งนกั นัยว่า
ถา้ มีฤทธ์ิสุราพอเหมาะแล้ว อาจจะคิดกลอนทันบอกให้เสมียนเขียนต่อกันถึงสองคนดังน้ี ) เพราะอธิกรณ์
เกิดข้ึนครั้งนัน้ สนุ ทรภถู่ ูกปัพพาชนยี กรรมขบั ไล่ใหไ้ ปจากวัดราชบุรณะ เดมิ คิดจะออกไปอยูเ่ สยี ตามหัวเมือง
จึงแต่งเพลงยาวทูลลาเจ้าฟ้ากลาง เจ้าฟ้าป๋ิว ในเพลงยาวนั้นมีคาคร่าครวญและถวายโอวาท แต่งเพราะดี
หลายแหง่ แห่งหนงึ่ วา่
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………........
* คอื เพลงยาวถวายโอวาทเจ้าฟ้ากลาง เจา้ ฟา้ ปวิ๋
**เพลงยาวความนี้ คงจะแตง่ ถวายเม่อื ราว พ.ศ. ๒๓๗๓
***สุนทรภู่บวชแต่ปีวอก พ.ศ. ๒๓๖๗ อายุ ๒๘ ปี เพราะบอกไว้ในราพันพิลาปว่า “ แต่ปีวอกออกบวชขาดราช
กจิ บรรพชิตพิศวาสพระศาสนา ” ดูในบนั ทึก “ ผแู้ ต่งนริ าศพระแทน่ ดงรงั ”
****สุนทรภู่กล่าวไว้ในราพันพิลาปว่า เมื่อบวชแลว้ ได้ท่องเที่ยวเตรด็ เตร่ไปตามหัวเมืองต่างๆ ๒-๓ ปี แล้วจึงกลับ
เขา้ มาอยวู่ ดั ราชบุรณะ
*****เห็นจะไม่ใชเ่ รื่องสุรา เข้าใจว่าเปน็ เร่ืองรกั ผู้หญงิ ดังจะเห็นไดจ้ ากทีส่ นุ ทรภพู่ รรณนาไว้บ้างในนริ าศภูเขาทอง
และนิราศสุพรรณคาโคลง
๑๗
“ นิจจาเอ๋ยเคยรองละอองบาท โปรดประภาษไพเราะเสนาะเสียง
แสนละมอ่ มน้อมพระองค์ดารงเรยี ง ดังเดือนเคียงแข่งคู่กบั สุริยา
ได้สืบวงศพ์ งศ์มกฎุ อยธุ ยา ราษฎร์ศาสนาถึงหา้ พัน
เหมือนสององค์ทรงนามพระรามลกั ษมณ์ เป็นปิ่นปกั ปกเกศทกุ เขตขัณฑ์
ปัจจามติ รคิดร้ายวายชวี นั เสวยชน้ั ฉตั รเฉลมิ เปน็ เจิมจอม
จะไปจากฝากสมเด็จพระเชษฐา จงรักพระอนชุ าอุตสา่ หถ์ นอม
พระองค์นอ้ ยค่อยประณตนง่ิ อดออม ทลู กระหมอ่ มครอบครองกันสององค์”
สุนทรภู่ออกจากวดั ราชบุรณะไปคราวน้ี กลบั แต่งนริ าศอีกคือ นิราศภูเขาทอง เห็นจะแตง่ เม่ือปีขาล
พ.ศ.๒๓๗๓* เม่อื ออกเรอื ไปกลา่ วความถึงเรอื่ งท่ตี อ้ งไปวัดราชบุรณะว่า
" โอ้อาวาสราชบรุ ณะพระวิหาร แตน่ น้ี านนับทิวาจะมาเห็น
หวนราลกึ นกึ น่าน้าตากระเด็น เพราะขกุ เข็ญคนพาลทารานทาง
จะหยบิ ยกธิบดเี ปน็ ที่ตงั้ กใ็ ชถ้ งั แทนสดั เห็นขดั ขวาง
จึงจาราอาวาสนริ าศรา้ ง มาอ้างวา้ งวิญญาณ์ในสาคร "
ในนิราศนี้กล่าวความตอนเม่ือผ่านพระบรมมหาราชวัง ครวญถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า
นภาลยั ว่าดีนัก นา่ สงสาร ผู้ทไี่ ด้อา่ นมกั จากันไดโ้ ดยมาก ว่า
" ถึงหน้าวังดังหนง่ึ ใจจะขาด คดิ ถงึ บาทบพติ รอดศิ ร
โอ้ผา่ นเกลา้ เจ้าประคณุ ของสนุ ทร แตป่ างก่อนเคยเฝ้าทกุ เชา้ เย็น
พระนพิ พานปานประหนึ่งศีรษะขาด ดว้ ยไร้ญาติยากแค้นถงึ แสนเข็ญ
ท้งั โรคซา้ กรรมซดั วบิ ัติเป็น ไม่เลง็ เหน็ ทซ่ี ึ่งจะพง่ึ พา
จงึ สรา้ งพรตอตสา่ หส์ ง่ ส่วนบุญถวาย ประพฤตฝิ ่ายสมถะท้งั วษา
เปน็ สง่ิ ของฉลองคณุ มุลิกา ขอเป็นข้ารองบาททุกชาตไิ ป
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
*เขา้ ใจว่าแต่งเม่ือปีชวด พ.ศ. ๒๓๗๑ เพราะกล่าวไว้ในนริ าศภูเขาทองน้ีว่า “ ถึงเขมาอารามอรา่ มทอง เพ่งิ ฉลอง
เลิกงานเม่อื วานซืน ” มปี ระกาศในรชั กาลท่ี ๔ ว่า “ ..ก็ได้ทรงพระศรทั ธาเสดจ็ ไปทามหกรรมการฉลอง ทรงบาเพญ็ การพระ
กศุ ลในท่ีนน้ั เป็นอันมาก ในปชี วดสมั ฤทธศิ ก ศักราช ๑๑๙๐ ( พ.ศ. ๒๓๗๑ ) ” ดปู ระวตั ิวดั เขมาภติ าราม ฉบบั พิมพแ์ จกใน
งานทอดกฐินพระราชทาน กรมศิลปากร พ.ศ. ๒๔๗๓ หน้า ๑๒
๑๘
ถงึ หน้าแพแลเห็นเรือที่น่งั คิดถงึ ครัง้ กอ่ นมานา้ ตาไหล
เคยหมอบรับกับพระจม่นื ไวย แล้วลงในเรือที่นั่งบลั ลังก์ทอง
พระทรงแตง่ แปลงบทพจนารถ เคยรบั ราชโองการอา่ นฉลอง
จนกฐินสิ้นแมน่ า้ แลลาคลอง มิได้ขอ้ งเคืองขัดพระหทั ยา
เคยหมอบใกล้ไดก้ ลนิ่ สุคนธ์ตลบ ละอองอบรสรน่ื ช่นื นาสา
ส้ินแผน่ ดนิ สน้ิ กล่นิ สคุ นธา วาสนาเราก็สิ้นเหมอื นกล่นิ สคุ นธ์ "
เม่อื ถึงเมอื งปทมุ ธานี ครวญอกี แหง่ หนงึ่ วา่ ตอ้ งเทีย่ วเตรด็ เตร่หาท่อี าศัย
"สนิ้ แผ่นดนิ สน้ิ นามตามเสด็จ ขอใหไ้ ด้เปน็ ขา้ ฝา่ ธุลี
อยา่ ร้รู ้างบงกชบทศรี
แมก้ าเนิดประสบภพใดใด ทกุ วนั นี้ซังตายทรงกายมา"
สิ้นแผน่ ดินขอให้ส้นิ ชวี ิตบา้ ง
เหลอื อาลยั ใจกรมระทมทวี
ตอนผ่านหนา้ โรงเหลา้ สนุ ทรภกู่ ลา่ วถึงเรอ่ื งเสพสรุ า กว็ ่าดี ว่า
"ถงึ โรงเหล้าเตากล่นั ควนั โขมง มคี ันโพงผกู สายไวป้ ลายเสา
โอ้บาปกรรมน้านรกเจียวอกเรา ใหม้ วั เมาเหมือนหนึง่ บ้าเปน็ นา่ อาย
ทาบุญบวชกรวดนา้ ขอสาเร็จ ให้สรรเพชญ์โพธิญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไมว่ อดวาย ไมใ่ กลก้ รายแกลง้ เมนิ จนเกินไป"
สนุ ทรภู่ไปพระนครศรีอยุธยาคราวน้ีบุตรชายคนท่ีชอ่ื พัดยังเป็นเดก็ ไปด้วย แต่ภรรยาเห็นจะร้างกัน
เสียแต่เมื่อกอ่ นบวชหมดแล้ว เมอื่ สุนทรภ่กู ลา่ วกลอนชมทุ่งในตอนเรือลัดไปทางเชยี งรากน้อยวา่
"ถึงตวั เราเลา่ ถ้าหากมีโยมหญิง ไหนจะนิง่ ดดู ายอายบปุ ผา
คงจะใช้ใหศ้ ิษย์ท่ีติดมา อตุ ส่าห์หาเอาไปฝากตามยากจน
น่ีจนใจไมม่ ีเทา่ ข้เี ล็บ ขเี้ กียจเกบ็ เลยทางมากลางหน"
เมื่อขึ้นไปถึงกรุงฯ เวลาน้ันพระยาไชยวิชิต(เผือก)ซ่ึงเคยเป็นพระนายไวยอยู่เมื่อรชั กาลท่ี ๒ ได้เป็น
ผู้รักษากรงุ ฯ แต่สนุ ทรภกู่ ระดากไมแ่ วะไปหา กล่าวในนิราศวา่
" มาทางท่าหนา้ จวนจอมผ้รู ้ัง คิดถงึ คร้ังกอ่ นมาน้าตาไหล
จะแวะหาถ้าท่านเหมอื นเมื่อเป็นไวย กจ็ ะได้รบั นมิ นตข์ ึน้ บนจวน
แต่ยามยากหากว่าถ้าทา่ นแปลก อกมิแตกเสยี หรือเราเขาจะสรวล
เหมือนเขญ็ ใจใฝส่ ูงไม่สมควร จะต้องม้วนหนา้ กลับอัประมาณ "
๑๙
จงึ เลยข้ึนไปนมัสการพระเจดีย์ภูเขาทอง แล้วจะเป็นไปด้วยเหตุใดไมป่ รากฏ สนุ ทรภู่ไปกลับใจไมอ่ ยู่
หวั เมืองตามความคิดเดิม หวนกลับมากรงุ เทพฯมาอยู่ท่วี ัดอรุณฯ แตจ่ ะมามเี หตอุ ันใดเกิดขึ้นอยา่ งไร สนุ ทรภู่
อยู่วัดอรณุ ฯ ไมช่ ้ากย็ ้ายไปอย่วู ดั เทพธิดา*
เม่ือสุนทรภู่ไปอยวู่ ัดเทพธิดานนั้ ** พระยาธรรมปรีชา(บุญ)บวชอย่วู ัดเทพธิดา พระยาธรรมปรีชาเล่า
วา่ สนุ ทรภแู่ ต่งคาเทียมเรือ่ งพระไชยสรุ ิยา (ทพี่ ิมพ์ในหนงั สอื มูลบทบรรพกจิ ) เม่ืออยวู่ ัดเทพธิดาคราวนน้ั และ
มหี นังสือนิราศเมืองสุพรรณอีกหน่ึงเรื่อง*** นิราศเมืองสุพรรณแปลกท่ี สุนทรภู่แต่งเป็นโคลง โคลงของ
สุนทรภ่มู ีปรากฏอยู่เรื่องเดียวเท่านนั้ ทานองเมื่อบวชอยู่วัดเทพธดิ าจะถูกปรามาสว่าแต่งเป็นแต่กลอนเพลง
ยาว
(หรอื ที่เรยี กกนั ภายหลงั ว่ากลอนสภุ าพ) จึงแตง่ กาพย์ใหผ้ ู้อ่นื เหน็ ว่า ถา้ จะแตง่ โคลงกาพย์ก็แตง่ ได้ แตท่ แี่ ท้น้ัน
สนุ ทรภูร่ ู้ตัวดที ีเดยี วว่า ถงึ แต่งได้ก็ไม่ถนัดเหมือนกลอนเพลงยาว ไดก้ ล่าวความข้อน้ีไว้ในเพลงยาวถวายโอวาท
ว่า
"อยา่ งหม่อมฉันอนั ทีด่ ีแลช่วั ถึงกลบั ตวั ก็แตช่ ่ือเขาลอื ฉาว
เปน็ อาลกั ษณน์ กั เลงทาเพลงยาว เขมรลาวลือเลอื่ งถงึ เมืองนคร"
สุนทรภู่จึงไม่แต่งโคลง กาพย์เรื่องอ่ืนอีก ข้อน้ีไม่แต่สุนทรภู่เท่านั้น ถงึ สมเด็จฯกรมพระปรมานุชิต
ชิโนรสกร็ ู้พระองคว์ ่าทรงถนัดแตล่ ิลติ และโคลงฉนั ท์จงึ ไม่ทรงแต่งหนังสือเป็นกลอนสุภาพเลยซักเรื่องเดียว มี
พระนิพนธก์ ลอนสุภาพแตเ่ ป็นของทรงแตง่ เลน่ เช่น เพลงยาว อันปรากฏอยู่ในเรอ่ื งเพลงยาวเจา้ พระนนั้ เป็น
ต้น
เหตทุ ส่ี ุนทรภู่ไปเมืองสพุ รรณคราวท่แี ตง่ นิราศนนั้ ความปรากฏในเร่ืองนริ าศว่าไปหาแร่ทานองจะเล่น
แปรธาตุเอง หรอื มิฉะนน้ั กไ็ ปหาแร่ให้ผอู้ น่ื ทเ่ี ล่นแปรธาตเุ พราะเชอ่ื กนั ว่าท่ใี นแขวงจังหวัดสพุ รรณมแี รอ่ ย่างใด
อย่างหนึ่ง ทรงคณุ วิเศษสาหรับใช้แปรธาตุ พวกเล่นแปรธาตยุ ังเชอื่ กันมาจนทุกวันนี้ สุนทรภู่ไปคร้ังน้ันพาบตุ ร
ไปดว้ ยสองคน และมศี ษิ ย์ไปด้วยก็หลายคน ลงเรือท่ีหน้าวดั เทพธิดา ผา่ นมาทางคลองมหานาค เม่ือถงึ วัดสระ
เกศกล่าวความว่า ในเวลานั้นมารดาเพิง่ ตาย ศพยังฝงั อย่ทู ่วี ดั นน้ั แลว้ ล่องเรอื ไปออกปากคลองโอ่งอ่าง เม่ือไป
ถงึ เมืองสุพรรณไดข้ ้นึ ไปทางลาน้าข้างเหนือเมือง ไปขน้ึ เดนิ บกท่ีวงั หิน เทีย่ วหาแร่แล้วกลบั มาลงเรอื ท่บี ้านทึง
ความทีพ่ รรณนาในนริ าศ อยใู่ นเขตแขวงสุพรรณในสมัยนัน้ ยงั เปลย่ี วมากทง้ั ข้างใต้และฝ่ายเมอื งเหนอื ถึงไปปะ
เส่อื ใกล้ๆลาแม่นา้ แต่แรท่ ่ีไปหาจะไดห้ รือไมไ่ ด้ หาได้กลา่ วถงึ ไม่
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..................
*เข้าใจวา่ ไปอยู่วดั พระเชตุพนฯ ก่อน แล้วจงึ ไปอยทู่ ี่วดั เทพธิดาภายหลัง เพราะเวลาน้ันวัดเทพธดิ ายังไม่ได้สร้าง ดู
บันทกึ “ ผแู้ ตง่ นริ าศพระแทน่ ดงรัง ”
๒๐
**สุนทรภู่ อยวู่ ัดเทพธดิ า ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๘๓-๒๓๘๕
***แต่งเมือ่ ปฉี ลู พ.ศ. ๒๓๘๔
เรือ่ งเมอื่ สุนทรภู่บวช เล่ากันมาเปน็ เรอื่ งเกรด็ เรอ่ื งหนึ่ง วา่ คร้งั หน่ึงสนุ ทรภูไ่ ปจอดเรือ ณ ทแี่ หง่ หน่งึ มี
ชาวบา้ นนาภัตตาหารมาถวาย แต่ถ้ายกนั้นว่าคาถวายภัตทานไม่เป็น อาราธนาสุนทรภู่ให้ช่วยสอนใหว้ ่า เวลา
นน้ั ทายกนง่ั อยบู่ นตลิ่งกบั สงิ่ ของท่ีนามาถวาย สุนทรภจู่ งึ สอนใหว้ า่ คาภตั ทานเป็นกลอนว่า
" อมิ สั มิงริมฝ่ัง อมิ ังปลารา้ ก้งุ แห้งแตงกวา อกี ปลาดุกยา่ ง ชอ่ มะกอก ดอกมะปราง เนอื้ ย่างยามะดัน
ขา้ วสุกคอ่ นขัน นา้ มนั ขวดหน่ึง นา้ ผึง้ ครงึ่ โถ สม้ โอแชอ่ ่ิม ทับทิมสองผล เป็นยอดกุศล สมั ฆสั สะ เทมิ " ดังนี้
เรอ่ื งนจ้ี ริงเท็จอย่างไรไมร่ บั ประกัน แตไ่ ด้ฟังเล่าถงึ สองแห่งจึงจดไว้ดว้ ย
เม่อื สนุ ทรภู่กลับจากเมืองสพุ รรณแลว้ ย้ายมาอยวู่ ัดพระเชตุพนฯ* ที่ย้ายมาน้นั เล่ากันมาเปน็ สองนัย
นยั หน่ึงวา่ มาพึ่งพระบารมีอยู่กับสมเด็จกรมพระยาปรมานุชิตชิโนรส ด้วยทรงปรานีว่าเป็นกวี อีกนยั หน่ึงว่า
เพราะพระองคเ์ จา้ ลกั ขณานุคณุ พระเจา้ ลูกเธอทีพ่ ระบาทสมเด็จพระน่ังเกลา้ เจ้าอยูห่ ัวโปรดปรานมากนกั ทรง
พระปรานีชกั ชวนใหม้ าอยวู่ ัดพระเชตพุ นฯ คดิ ดบู างทกี ็จะเป็นความจรงิ ท้งั สองนยั ดว้ ยพระองคเ์ จา้ ลกั ขณานุ
คณุ ทรงผนวช พระเม่ือ พ.ศ. ๒๓๗๕ เวลาน้ันสนุ ทรภู่บวชอยไู่ ด้ราวสัก ๖ พรรษา** เจา้ นายสมัยนั้นมัก
โปรดทรงการศึกษาการแต่งกลอน อาจจะมรี ับส่ังชวน สนุ ทรภ่มู าอยู่วัดพระเชตุพนฯ ในเวลาทรงผนวชอยู่
ที่วัดน้นั และสมเดจ็ ฯ กรมพระปรมานุชิตชโิ นรส ประทานอนญุ าตโดยทรงปราณสี นุ ทรภกู่ ไ็ ด้
เม่ือสุนทรภมู่ าอยวู่ ัดพระเชตพุ นฯ บตุ รคนใหญท่ ีช่ อ่ื พัดบวชเปน็ สามเณร เห็นจะบวชมาแต่บดิ ามาอยู่
วดั เทพธิดา สุนทรภู่มาอยู่วัดพระเชตุพนฯ แล้วพาเณรพัดกับบุตรคนเล็กท่ีช่ือตาบไปพระนครศรีอยุธยาอีก
ครง้ั หน่ึง แต่งนิราศวดั เจ้าฟ้าเมื่อไปคราวนี้ แตแ่ กลง้ แตง่ ใหเ้ ปน็ สานวนเณรพดั ว่า
“เณรหนพู ดั หดั ประดิษฐอ์ ักษร
เป็นเรอื่ งความตามติดท่านบิดร กาจรจากนิเวศน์เชตุพน”
เมอื่ ถงึ วดั ระฆงั กล่าววา่
“ถงึ วดั ระฆังบงั คมบรมธาตุ แทบพระบาทบษุ บงองคอ์ ัปสร
ไมท่ ันลับกปั กัลปพ์ ทุ ธันดร พระด่วนจรสูส่ วรรคค์ รรไล”
…………………………………………………………………………………………………………………………………………..................
*เขา้ ใจว่าไปเมอื งสุพรรณบุรีหลงั ยา้ ยจากวัดพระเชตพุ นฯ ไปอยู่วดั เทพธิดาแล้ว ดูเชิงอรรถข้างตน้
**เวลานส้ี ุนทรภ่บู วชอยรู่ าว ๘-๙ พรรษาแลว้
๒๑
ความตรงนี้ (และยังมีในนิราศพระประธมประกอบอีกแห่งหนึ่ง) บ่งว่า เจา้ ครอกข้างในซ่ึงเป็นพระ
อคั รชายาของกรมพระราชวังหลงั สิน้ ชพี ก่อนนนั้ ไมช่ ้านัก และไดพ้ ระราชทานเพลิงท่วี ัดระฆงั
เหตุท่ีสุนทรภู่จะไปกรุงศรีอยธุ ยาคราวนี้ ว่าได้ลายแทงแต่เมืองเหนือว่ามีอายุวัฒนะฝังไว้ท่ีวดั เจ้าฟ้า
อากาศ จึงพยายามไปหายาอายุวัฒนะนั้น เมื่อข้ึนไปถึงกรุงฯ ไปข้ึนบกท่ีวัดใหญ่ ได้อธิษฐาน ณ ท่ีน้ัน
กล่าวในคาอธษิ ฐานแห่งหนง่ึ วา่
“อนึง่ เล่าเจ้านายท่หี มายพ่งึ ใหท้ ราบซ่ึงสจุ รติ พิสมัย
อยา่ หลงลิน้ หินชาติขาดอาลัย นา้ พระทัยทูลเกลา้ ให้ยาวยนื ”
ความท่ีอธิษฐานน้ีแสดงว่า เวลาน้ันสุนทรภู่กาลังหมายจะพ่ึงพระองค์เจ้าลักขณานุคุณดังได้กล่าว
มาแล้ว* คร้ันออกจากวดั ใหญ่เดินบกต่อไปทางทิศตะวันออก คืนหน่ึงถึงวัดเจ้าฟ้า ว่าไปทาพิธีจะขุดก็เกิด
กัมปนาทหวาดไหวด้วยฤทธิ์ปีศาจ ไม่อาจขุดได้ ตอ้ งพากันกลับมา แต่เม่ือขากลับคราวน้ีได้แวะหาพระยา
ไชยวิชิต (เผือก) กลา่ วในนิราศว่า
“ จะเลยตรงลงไปวดั ก็ขดั ขอ้ ง ไมม่ ีขงขบฉนั จันหนั หุง
ไปพ่ึงบุญคุณพระยารกั ษากรุง ท่านบารุงรักษ์พระไม่ละเมนิ
ทง้ั เพลเชา้ คราวหวานสาราญรื่น ต่างชมุ ชืน่ ชวนกนั สรรเสรญิ
ทง้ั สูงศกั ดริ์ ักใครใ่ ห้เจริญ อายุเกนิ กปั กัลปพ์ ทุ ธนั ดร
ใหค้ รองกรุงฟงุ้ เฟอื่ งเปร่อื งปรากฏ เกยี รติยศอยตู่ ลอดอยา่ ถอดถอน
ท่านอารีมใี จอาลัยวรณ์ ถึงจากจรใจมิตรยังคิดคุณ
มาทไี รได้นมิ นต์ปรนนบิ ัติ สารพัดเผ่ือแผ่ช่วยเกอื้ หนนุ
ตา่ งช่ืนชว่ ยอวยกุศลผลบญุ สนองคณุ เจ้าพระยารกั ษากรงุ ”
ความท่ีกล่าวตอนน้ีแสดงว่า สุนทรภู่เม่ือบวชได้ขนึ้ ไปกรงุ ศรอี ยุธยาหลายคร้ัง กระดากพระยาไชย
วชิ ติ (เผือก) แตเ่ มื่อไปครัง้ แรกคร้งั เดียว ถึงคร้งั หลงั ๆ ต่อมาแวะไปหา พระยาไชยวชิ ิตกต็ ้อนรบั ฉันได้ชอบ
พอคุ้นเคยกนั มาแต่ในรัชกาลท่ี ๒
……………………………………………………………………………………….…………………………………………………..................
*เขา้ ใจวา่ คากลอนนห้ี มายถงึ กรมหม่ืนอัปสรสดุ าเทพ เพราะปที แ่ี ต่งนริ าศวดั เจ้าฟ้าน้นี ่าจะเป็นปี พ.ศ. ๒๓๗๙ ซงึ่
พระองคเ์ จ้าลักขณานุคุณส้ินพนะชนม์แล้วราวปเี ศษ ดคู านานิราศวัดเจ้าฟา้ ฉบบั ตรวจชาระใหม่ พมิ พ์ พ.ศ. ๒๕๐๕
๒๒
มคี าเล่ากันมาว่า สุนทรภ่เู ม่ือบวชนั้นไดไ้ ปอยู่วัดมหาธาตอุ ีกวัดหนง่ึ ข้อน้ีก็เหน็ จะเป็นความจริง คง
ไปอยู่เม่อื กลบั ลงมาจากพระนครศรอี ยธุ ยา คราวน้ี เพราะพระองคเ์ จา้ ลกั ขณานคุ ุณลาบวชเห็นจะทรงชวนให้
ไปอยู่ใกลว้ ังท่าพระ อนั เป็นท่ปี ระทบั เพือ่ จะได้สะดวกแกก่ ารทีท่ รงอุปถัมภ์ คือส่งสารับอาหาร เป็นตน้ เล่า
กันว่าในสมัยน้ัน พระองค์เจ้าลักขณานคุ ุณโปรดทรงสักวาเวลาไปทรงสักวาท่ีใด ให้นิมนต์สุนทรภู่ลงเรือไป
สักวาด้วยเสมอ ให้ไปเป็นผู้บอกสักวาทั้งยังเป็นพระ แต่สุนทรภู่คงสึกกลับออกเป็นคฤหัสถ์ในตอนนี้ รวม
เวลาทส่ี นุ ทรภูบ่ วชอย่เู หน็ จะราว ๗ หรือ ๘ พรรษา*
๔. ตอนตกยำก
เม่ือสุนทรภู่พึ่งพระบารมีพระองค์เจ้าลักขณานุคุณอยู่นั้น นอกจากเป็นผู้บอกสักวา คงจะได้แต่ง
หนังสอื บทกลอนถวายอีก ได้ยินวา่ แต่งเป็นกลอนเฉลิมพระเกียรติพระองค์เจา้ ลักขณานคุ ุณเร่ืองหน่ึง ผู้ที่ได้
เคยอ่านยังมีตัวอยู่ แต่หนังสือน้ันยังหาฉบับไม่พบ นอกจากนั้น จะได้แต่งเร่ืองใดอีกบ้างหาปรากฏไม่
พเิ คราะหด์ โู ดยสานวนกลอน เข้าใจว่า เรือ่ งนิทานอเิ หนา สุนทรภู่เห็นจะแต่งในตอนนเ้ี ร่อื งหน่ึง อนง่ึ เรอ่ื ง
พระอภัยมณี ซ่ึงสนุ ทรภไู่ ดเ้ ร่มิ แต่ในรชั กาลท่ี ๓ จะยกตัวอย่างดังคานางสุวรรณมาลวี ่ากับพระอภัยมณี เมื่อ
แรกดีกันที่เมืองลังกาว่า “ดว้ ยปีเถาะเคราะห์กรรมเกิดน้ามาก ข้นึ ท่วมปากท่วมล้ินเสียส้ินหนอ” อยู่ในเล่ม
สมุดไทยเล่ม ๓๕ ตรงน้ีเห็นได้ว่าต้องแต่งในรัชกาลที่ ๓ ภายหลัง พ.ศ. ๒๓๗๔** การที่สุนทรภู่แต่ง
หนงั สือพระอภยั มณีเห็นจะแต่งทลี ะเล่มสองเลม่ เร่อื ยมา ดว้ ยเปน็ หนังสือเร่ืองยาวทานองพระองคเ์ จ้าลักขณา
นคุ ณุ จะได้ทอดพระเนตรเหน็ หนงั สือเร่อื งพระอภยั มณี เม่ือสนุ ทรภู่ไปพ่งึ พระบารมีและมีรับส่ังให้แต่งถวาย
อกี สุนทรภู่จึงแต่งพระอภัยมณีอีกตอนหน่ึง แต่จะไปค้างอยู่เพียงใดหาปรากฏไม่ เพราะสุนทรภู่พ่ึงบารมี
พระองค์เจา้ ลักขณานคุ ุณอยไู่ ด้ไมช่ า้ พอถงึ พ.ศ. ๒๓๗๘ พระองคเ์ จา้ ลกั ขณานุคุณกส็ ้นิ พระชนม์
เมื่อพระองคเ์ จ้าลกั ขณานุคณุ ส้ินพระชนมล์ ง เห็นจะไม่มีใครกลา้ รบั อุปการะสุนทรภอู่ ีก เวลาน้นั เจ้า
ฟ้ากณุ ฑลก็ยงั มพี ระชนมอ์ ยู่ ชะรอยจะทรงขดั เคืองดว้ ยสุนทรภโู่ จทเจา้ ไปพง่ึ บญุ พระองคเ์ จา้ ลักขณานุคณุ จงึ
ทรงเฉยเสีย แตเ่ ล่ากันมาว่า สมเด็จเจา้ ฟ้าฯ กรมพระยาบาราบปรปักษน์ น้ั ยังทรงสงสารสนุ ทรภู่ ถ้าไปเฝ้า
เมอ่ื ใดก็มกั ประทานเงนิ เก้ือหนนุ
……………………………………………………………………………………………………………………………………..................
*เข้าใจวา่ สุนทรภูบ่ วชอยูร่ าว ๑๘-๒๐ พรรษา หรือมฉิ ะนั้นกต็ ้องบวชอย่สู องหน ดบู ันทกึ เรือ่ ง
“ ผูแ้ ต่งนิราศพระแทน่ ดงรงั ”
**เรอื่ งพระอภยั มณีน้ี สนุ ทรภคู่ งจะแต่งขึ้นต่อเมื่อในรชั กาลที่ ๓ เช่น กล่าวเปรยี บเทียบในเรอื่ ง “ ตวั ละครและ
เหตกุ ารณ์ในเร่อื งพระอภัยมณี ” ในหนงั สอื กลอนสุภาพเรื่องพระอภัยมณี เล่ม ๔
๒๓
แต่สุนทรภ่อู อกจะกระดากเองด้วยจึงไม่กล้าไปพึ่งสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาบาราบปรปักษ์ ต้องตกยากอีก
ครง้ั หนึ่ง กลบั อนาถายิ่งกว่าคราวก่อน นัยวา่ ถึงไม่มบี ้านเรอื นจะอาศัย ต้องลงลอยเรอื เท่ยี วจอดอยู่ตามสวน
หาเลย้ี งชพี ดว้ ยรับจ้างเขาแตง่ บทกลอนทาการค้าขายประกอบกัน
หนังสือสุนทรภู่แต่ในตอนเม่ือตกยากครั้งน้ีก็มีหลายเร่ือง คือเรื่องนิราศพระแท่นดงรังเร่ืองหน่ึง
กลา่ วในกลอนขา้ งตอนตน้ นิราศว่า
“ ปวี อกนักษัตรอฐั ศก ชะตาตกต้องไปถงึ ไพรสณฑ์
ลงนาวาหนา้ วัดพระเชตพุ น พท่ี ุกขท์ นถอนใจครรไลจร” *
ปีวอกอฐั ศกนัน้ พ.ศ. ๒๓๗๙ ภายหลงั พระองคเ์ จา้ ลกั ขณานคุ ุณสนิ้ พระชนมไ์ ด้ปหี นง่ึ สนุ ทรภูค่ ราว
นี้อาศัยผู้อื่นไป แตต่ ัวมิได้ไปโดยลาพังเหมือนเมอื่ คร้ังยังบวชเป็นพระ เรื่องนิราศท่ีแต่งก็วา่ อย่างดาดๆ ดูไม่มี
อกมีใจ มีเร่ืองประวัติบอกไว้แต่ว่า ในตอนท่ีศึกแล้วได้ภรรยาอีกคนหนึ่ง ชื่อม่วง แต่เม่ือแต่งนิราศน้ันยัง
ไมไ่ ด้เปน็ สทิ ธิ์ขาดทีเดียว เป็นแต่ไปมาหากนั และบอกความไวอ้ กี ข้อหน่ึงว่าเวลาน้ันอดเหลา้ ** ได้กล่าวไว้ใน
กลอนวา่
“ ถึงนครชัยศรีมโี รงเหล้า เป็นของเมาตดั ขาดไม่ปรารถนา ” ดงั น้ี
เม่อื ถึงท้ายเร่อื งนริ าศ ไดก้ ล่าวกลอนบอกเจตนาในการทีแ่ ตง่ นริ าศไว้วา่
“ ใชจ่ ะแกลง้ แต่งประกวดอวดฉลาด ทานิราศรกั มติ รพิสมัย
ดว้ ยจิตรกั กาพย์กลอนอักษรไทย จึงตง้ั ใจแตง่ คาแต่ลาพงั
หวงั จะใหล้ ือเลอื่ งในเมืองหลวง คนท้งั ปวงอย่าว่าเราบ้าหลงั
ถา้ ใครเป็นกจ็ ะเห็นว่าจรงิ จงั ประดจุ ดังน้าจิตรเราคิดกลอน
ขอเดชะถอ้ ยคาทรี่ า่ เรอ่ื ง ใหล้ ือเลอื่ งเลศิ ลักษณ์ในอกั ษร
ขอเชิญไทยเทวราชประสาทพร ให้สนุ ทรลือทว่ั ธานีเอย ”
ยงั หนังสือกลอนสุภาษิตสอนหญิง*** อีกเร่ืองหน่ึง ก็ดูเหมือนจะแต่งในตอนน้ี เม่ือก่อนจบกล่าว
กลอนไวข้ ้างตอนทา้ ยว่า
………………………………………………………………………………………………………………………………………..................
*ผ้แู ตง่ นิราศพระแท่นดงรังสานวนนี้ คือนายมี ไม่ใชส่ ุนทรภู่ สุนทรภูเ่ คยไปพระแทน่ ดงรังเหมอื นกัน แตไ่ ปคราว
สามเณรกลัน่ แตง่ พระแทน่ ดงรงั เม่อื พ.ศ. ๒๓๗๖
**เข้าใจว่าบวชอยู่
๒๔
***ในฉบบั ท่ีพิมพข์ ายเรยี กว่า สภุ าษติ ไทย เขา้ ใจว่าแต่งราว พ.ศ. ๒๓๘๐-๒๓๘๓
“ อย่าฟงั เปลา่ เอาแตก่ ลอนสุนทรเพราะ จงพเิ คราะห์คาเลศิ ประเสรฐิ ศรี
เอาเปน็ แบบสอนตนพ้นราคี กันบดั สตี ิฉินเขานินทา ”
ยงั มีหนงั สอื กลอนของสุนทรภู่อีกเรอื่ งหนึง่ บางทีจะแตง่ ในตอนน้คี ือเร่ืองลักษณวงศ์ พิเคราะห์ดูเหน็
เป็นสานวนกลอนสุนทรภแู่ ตง่ แต่ ๙ เลม่ สมุดไทย (เพยี งมา้ ตามไปเหน็ ศพนางเกสรา) ตอ่ น้ันดูเปน็ สานวน
ผอู้ ื่นแต่งตาม เป็นกลอนสุภาพอีก ๗ เล่ม แล้วแต่งเป็นบทละครอีกต่อไปอีก ๒๓ เล่ม รวมเป็นหนังสือ
๓๙ เล่มสมุดไทยในฉบับที่พิมพ์ขายมีกลอนนาหน้าว่าเป็นของแต่งถวายเจ้านาย แต่กลอนน้ันเห็นได้ว่าตัด
กลอนทีม่ อี ยูข่ ้างต้นเรอื่ งโคบุตรมาดัดแปลง น่าสงสัยว่าจะเป็นของผู้อน่ื เอามาเติมเข้าต่อชัน้ หลงั เพียงจะให้มี
ชื่อสนุ ทรภปู่ รากฏในหนังสือน้นั
อน่ึง มีคากล่าวกันมาวา่ สุนทรภแู่ ตง่ เรื่องพระสมทุ กับเรื่องจันทโครบกับเรอื่ งนครกายอีกสามเรื่อง
และว่าเรื่องพระสมุทนั้น สุนทรภู่แต่งเมื่อกาลังอยู่เรือลอย จึงให้ช่ือวีรบุรุษในตอนนั้นว่า “พระสมุท”
พเิ คราะห์ดูสานวนกลอนในฉบับที่พิมพ์ขาย เห็นว่ามใิ ชก่ ลอนของสุนทรภู่ นา่ จะกลา่ วกันโดยเขา้ ใจผิด เกิด
แตใ่ นหนังสือมกี ลอนข้างตน้ ว่า
“ขา้ พเจา้ ชื่อภผู่ ูป้ ระดิษฐ์ ไม่แจง้ จิตถ้อยคาในอกั ษร
แม่ผู้ใดได้สดบั คาสนุ ทร ชว่ ยเอื้อกลอนแถลงกลา่ วในราวความ”
ความท่ีกล่าวในกลอนนผ้ี ิดวิสัยสุนทรภู่ ซง่ึ ไมเ่ คยยอมถอ่ มตัวว่าความรู้ออ่ น มีตัวอย่างคาสุนทรภู่ใน
ข้อนี้ กล่าวไว้ในนริ าศพระประธมตอนอธิษฐานว่า
“ หนง่ึ ขอฝากปากคาทาหนงั สอื ให้สืบชื่อชว่ั ฟา้ สธุ าสถาน
สุนทราอาลักษณเ์ จา้ จกั รวาล พระทรงสารศรเี ศวตเกศกญุ ชร
อน่ึงมนุษย์อุตรติ ิต่างต่าง แล้วเอาอย่างเทยี บคาทาอกั ษร
ให้ฟนั่ เฟอื นเหมอื นเราสาปในกาพยก์ ลอน ตอ่ โอนออ่ นออกช่อื จงึ ลือชา ”
เรอ่ื งพระสมุทนัน้ กล่าวกันอีกนัยหนึ่งว่า มีคนชือ่ ภู่อีกคนหน่ึงแต่งเอาอย่างสุนทรภู่ในเวลาชนั้ หลังมา
เลยี นสนุ ทรภูด่ ้วยความนบั ถือจึงถ่อมตัววา่ เปน็ ผยู้ ังรู้น้อย ความจริงก็เห็นจะเปน็ เชน่ นี้ ส่วนเรอื่ งจนั ทโครบนั้
ไดพ้ ิเคราะห์ดู ไม่พบกลอนตอนใดทจ่ี ะเช่อื ได้ว่าเป็นสานวนกลอนสุนทรภู่สกั แห่งเดียว คาทก่ี ล่าวกันก็กลา่ ว
แต่ว่า สุนทรภู่แต่งกับผอู้ ่ืนอีกหลายคน จึงเห็นได้ว่านา่ จะเป็นสานวนผ้อู ื่นแต่งตามอยา่ งสุนทรภู่ หากวา่ จะ
เกี่ยวข้องกับสนุ ทรภู่ ก็เพียงแต่งแล้วบางทีจะเอาไปใหส้ ุนทรภ่ตู รวจแก้ไข จงึ ขึน้ ช่ือสุนทรภวู่ ่าได้เกีย่ วข้อง แต่
๒๕
ที่แท้หาไดแ้ ต่งไม่ ส่วนเรอื่ งนครกายนั้นมีกลอนบอกข้างตน้ หนงั สือนน้ั ว่า “นายภอู่ ยู่นาวาเท่ียวค้าขาย” เห็น
จะเปน็ นายภู่คนท่แี ต่งเรอ่ื งพระสมทุ หาใช่สุนทรภไู่ ม่
๕. ตอนสนิ้ เครำะห์
สุนทรภู่ตกยากสักกี่ปีข้อนี้ไม่ทราบชัด ปรากฏแต่ว่าพ้นทุกข์ยากด้วยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า
เจา้ อยหู่ ัว เม่ือยังดารงพระยศเป็น สมเดจ็ พระเจา้ น้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอศิ เรศรังสรรค์ ทรงพระปราณี
โปรดใหไ้ ปอยู่ทพ่ี ระราชวังเดิม ซ่ึงเป็นทเ่ี สดจ็ ประทบั ในสมัยน้ัน และตอ่ มากรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ พระเจ้า
ลกู เธอท่พี ระบาทสมเด็จฯ พระน่งั เกลา้ เจ้าอยูห่ ัวทรงพระเมตตามากอกี พระองคห์ นึ่ง ทรงอุปการะด้วย เหตุ
ท่ีกรมหม่ืนอัปสรสุดาเทพจะทรงอุปการะสุนทรภู่นั้น กล่าวกันว่า เดิมได้ทรงหนังสือเรื่องพระอภัยมณี
(ชะรอยจะๆได้หนังสือมรดกของพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ โดยเป็นอนุชาร่วมเจ้าจอมมาดากัน) ชอบพระ
หฤทยั ทรงเหน็ วา่ เรอ่ื งที่แตง่ ไวย้ ังคา้ งอยู่ จึงมีระบุส่ังให้สุนทรภแู่ ตง่ ถวายให้ทรงต่อไป สนุ ทรภแู่ ตง่ เรือ่ งพระ
อภัยมณีมาได้ ๔๙ เล่มสมุดไทย หมายจะจบเพยี งพระอภัยออกบวช (ความตงั้ ใจของสุนทรภู่เห็นได้ชดั ใน
หนงั สอื ท่แี ต่งน้ัน) แต่กรมหมื่นอปั สรฯ มรี บั สง่ั ใหแ้ ต่งต่อไปอกี ดว้ ยเหตนุ ้สี นุ ทรภูจ่ ึงตอ้ งคิดเรอ่ื งพระอภัยมณี
ตอนหลังตั้งแต่เล่มสมุดไทยที่ ๕๐ ขยายเรื่องออกไปจบต่อเล่มท่ี ๙๔ แต่พิเคราะห์ดหู นังสือพระอภัยมณี
ตอนหลงั สานวนไม่ใชข่ องสนุ ทรภคู่ นเดียว เล่ากนั ว่า กรมหม่ืนอปั สรฯ มรี ับส่งั ให้แต่งถวายเดอื นละเล่ม ถ้า
เชน่ น้นั จริงก็จะเปน็ ดว้ ยสนุ ทรภเู่ บ่ือหรอื ถูกเวลามกี จิ ติดขัดแต่งเองไมท่ ัน จึงวานศษิ ยห์ าให้ชว่ ยแต่งก็จะเปน็ ได้
นอกจากเร่ืองพระอภยั มณี สุนทรภู่แต่งเร่ืองสงิ หไตรภพถวายกรมหมื่นอัปสรฯ อีกเร่ืองหน่ึง หนงั สือนัน้ จึง
ขึน้ ต้นวา่ “ข้าบาทขอประกาศประกอบเร่อื ง” ดังน้ี แต่แตง่ ค้างพียง ๑๕ เล่มสมดุ ไทย ชะรอยจะหยดุ เม่ือ
กรมหมืน่ อปั สรสุดาเทพส้นิ พระชนมใ์ น พ.ศ. ๒๓๘๘*
ในระยะเวลาเมอ่ื สุนทรภู่อยใู่ นอกุ าระของพระบาทสมเดจ็ พระป่นิ เกล้าเจา้ อยหู่ วั และกรมหม่ืนอัปสร
ฯ นั้น ได้พระปฐมเจดีย์** จึงแต่งนิราศพระประธมอกี เร่ืองหน่ึง ไปคราวน้ีบตุ รไปด้วยทัง้ ๒ คน สังเกต
สานวนในนิราศเห็นได้วา่ แตง่ โดยใจคอชื่นบานกวา่ เมอ่ื แตง่ นริ าศพระแทน่ ดงรัง กล่าวถึงประวัติในเร่อื งนิราศ
พระประธมนี้ว่า แตกกับภรรยาคนที่ชื่อม่วง และกล่าวกลอนตอนแผ่ส่วนกุศลท้ ายนิราศ มีครวญถึง
พระบาทสมเดจ็ ฯพระพุทธเลศิ หลา้ นภาลยั ว่า
…………………………………………………………………………………………………………………………..………………..................
*เข้าใจวา่ สุนทรภเู่ ร่มิ แต่งเร่อื งสงิ หไตรภพ ตอนต้นๆ ( ถวาย ๙ เล่มสมุดไทย ) ขน้ึ กอ่ นน้ี แล้วแต่งถวายเจา้ ฟ้า
อาภรณ์ ผู้อ่านจะสังเกตเห็นได้จากสานวนการประพนั ธด์ งั บันทึกข้างตน้ แตต่ อนท้ายๆ อาจแต่งต่อในตอนหลัง และในหลงั ๆ
นี้บางทีอาจแต่งถวายกรมหมื่นอปั สรสดุ าเทพ
๒๖
**เข้าใจว่า ไปเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๕ ออกเร่อื นเมอ่ื วันจนั ทร์ ขน้ึ ๕ คา่ เดอื น ๑๒ สนุ ทรภูเ่ ห็นเพ่ิงจะสึกจากพระในปนี ้ี
“ แลว้ ลาออกนอกโบสถข์ ้นึ โขดหิน กรวดวารนิ รดทาคาอักษร
ส่งส่วนบุญสนุ ทราสถาพร ถึงบิดรมารดาครูอาจารย์
ถวายองค์มงกฎุ อยุธเยศ ทรงเศวตคชงามทงั้ สามสาร
เสด็จส่บู ุรีนฤี พาน เคยโปรดปรานเปรียบเป่ยี มได้เทียมคน
ส้นิ แผ่นดนิ ปนิ่ เกล้ามาเปลา่ อก น้าตาตกตายน้อยสกั รอ้ ยหน
ขอพบเหน็ เปน็ ขา้ ฝ่ายคุ ล พระคณุ ลน้ เลยี้ งเฉลมิ ใหเ้ พมิ่ พนู ”
ต่อนี้ กล่าวถวายพ ระพ รถึง พ ระบ าท สมเด็จพ ระปิ่ น เก ล้าเจ้าอ ยู่หั ว และกรมห ม่ื น
อปั สรสดุ าเทพ วา่
“ ถงึ ล่วงแลว้ แก้วเกดิ กบั บญุ ฤทธ์ิ ยังช่วยปิดปกอยู่ไม่ร้สู ูญ
สิ้นแผน่ ดินทนิ กรจรจารญู ให้เพม่ิ พนู พอสวา่ งหนทางเดนิ
ดงั จินดาหา้ ดวงชว่ งทวีป ไดช้ ูชพี ชว่ ยทุกข์เมือ่ ฉุกเฉนิ
เปน็ ทานอุ ปุ ถัมภไ์ มก่ ้าเกิน จงเจริญเรยี งวงศ์ทรงสธุ า
อนึ่งนอ้ มจอมนิกรอัปสรราช บารงุ ศาสนาสงฆ์ทรงสิกขา
จงึ ไพบูลย์พูนสวัสด์ิวฒั นา ชนมาหมนื่ แสนอย่าแค้นเคยี ง ”
ต่อมาเหน็ จะเปน็ หมื่นกรมหม่ืนอปั สรสุดาเทพส้ินพระชนม์แล้ว สุนทรภู่ทลู รับอาสาพระบาทสมเด็จ
พระปน่ิ เกล้าเจ้าอยู่หวั ไปหาของตอ้ งประสงค์ที่เมอื งเพชรบุรี แตจ่ ะเป็นของสงิ่ ใดหาปรากฎไม่ ได้แตง่ นิราศ
เมอื งเพชรบรุ ีอีกเรื่องหนงึ่ เป็นนิราศเร่ืองสุดทา้ ยของสุนทรภู่ นับถือกนั ว่าแตง่ ดีถึงนิราศภเู ขาทอง อันเป็น
อย่างยอดเยีย่ มในนิราศของสุนทรภู่ กลา่ วความไว้ในกลอนขา้ งตอนต้นวา่
“ อนาถหนาวคราวมาอาสาเสดจ็ ไปเมอื งเพชรบุรนิ ท่ีถ่ินหวาน
ลงนาวาหนา้ วดั *นมัสการ อธิษฐานถงึ พระคณุ กรณุ า
ช่วยชุบเล้ยี งเพียงชนกทป่ี กเกศ ถึงต่างเขตของประสงค์คงอาสา ”
เรื่องประวตั ิของสุนทรภู่ท่ปี รากฏในนิราศเรอ่ื งนี้ ว่ามบี ตุ รน้อยไปดว้ ยอีกคนหนงึ่ ช่ืนนิล ชะรอยจะเป็น
ลกู มกี ับภรรยาท่ีชือ่ ม่วง บุตรคนใหญ่ที่ช่ือพัดนนั้ ก็ไปด้วย ถึงตอนน้ีเป็นหนุ่มแล้ว แต่บตุ รชื่อตาบไม่ปรากฏใน
นริ าศเรื่องน้ี อน่งึ ในเวลาเม่ือสนุ ทรภู่ไปเมืองเพชรบุรีคราวนี้ เปน็ เวลาอยู่ตัวคนเดียวไม่มภี รรยา
๒๗
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
วัดอรณุ ฯ ริมพระราชวังเดิม
ได้กลา่ วความข้อน้ไี วใ้ นนริ าศหลายแห่ง มักจะวา่ น่าฟังจะคดั มาพอเป็นตัวอย่าง
“ ถึงคลองเตยเตยแตกใบแฉกงาม คดิ ถงึ ยามปลูกรกั มักเป็นเตย
จนไม่มีทรี่ ักเปน็ หลกั แหลง่ ต้องควา้ งแควง้ คว้าหานิจจาเอ๋ย
โอ้เปลยี่ วใจไร้รักที่จกั เชย ชมแต่เตยแตกหนามเมอ่ื ยามโซ ”
อกี แห่งหน่ึงวา่ กาดดั ดกึ นกึ หนา้ นา้ ตาไหล
“ โอ้อกเอย๋ เลยออกประตปู า่ ก็จนใจด้วยไม่มีไมตรตี รึง
ใครแลดเู รากน็ ึกราลกึ ถงึ
จะเหลียวหลงั ส่ังสาราสุดาใด เป็นแตพ่ ่ึงวาสนาพอพาใจ ”
ชา่ งเป็นไรไพร่ผู้ดกี ็มิรู้
จะปรับไหมได้หรอื ไม่อื้ออึง
ตรงถึงอ่าวยส่ี าน วา่ ด้วยหอยจุ๊บแจง เอาคาเหเ่ ด็กของเกา่ มาแตง่ เป็นกลอน กว็ า่ ดี
“ โอเ้ อ็นดูหนูนอ้ ยร้องหอยเหาะ ข้ึนไปเกาะก่งิ ตลอดยอดพฤกษา
ล้วนจุ๊บแจงแผลงฤทธเ์ิ ขาปลิดมา กวักตรงหน้าเรยี กให้มันไดย้ นิ
จุ๊บแจงเอย่ เผยฝาหาข้าวเปียก แมย่ ายเรยี กจะใหไ้ ปกฐนิ
ทงั้ ชา้ งงวงชา้ งงาออกมากิน ชว่ ยปดั รนิ้ ปัดยงุ กระทงุ ราย
เขาร่าเรยี กเพรยี กหูไดด้ เู ลน่ มันอยากเป็นลูกเขยทาเงยหงาย
เย่ยี มออกฟังทั้งตัวกลวั แม่ยาย โอน้ กึ อายจุ๊บแจงแกล้งสาออย
เหมือนจะรู้อยู่ในเล่ห์เสน่หา แต่หากวา่ พูดยากเปน็ ปากหอย
เปรียบเหมือนคนจนทุนทงั้ บุญน้อย จะกล่าวถ้อยออกไม่ได้ดังใจนึก ”
ถงึ รัชกาลท่ี ๔ พอพระบาทสมเด็จพระปิน่ เกลา้ เจา้ อยู่หัวบวรราชาภเิ ษกแล้ว ก็ทรงต้ังสนุ ทรภู่ให้เป็น
เจ้ากรมอาลักษณ์ฝ่ายพระบวรราชวัง มีบรรดาศักดิ์เป็นพระสุนทรโวหาร คงใช้ราชทินนามตามที่ได้รับ
พระราชทานเม่อื รชั กาลท่ี ๒ เวลาน้นั สนุ ทรภู่อายุได้ ๖๖ ปี
๒๘
หนังสือสุนทรภู่แต่งในเมื่อราชกาลที่ ๔ มีปรากฏ ๒ เร่ือง คือ บทละครเรื่องอภัยนุราช แต่งถวาย
พระองค์เจ้าดวงประภา พระราชธดิ าในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นหนังสือเล่มสมุดไทย ๑
เร่ืองหนึ่งกับเสภาเรื่องพระราชพงศาวดาร พระบาทสมเดจ็ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดารัสส่ังให้แต่งอีกเร่อื ง
หนึ่ง เป็นหนงั สือ ๒ เล่มสมุดไทยนอกจากนี้ยงั มบี ทเหส่ าหรับกล่อมเจ้านายทยี่ ังทรงพระเยาว์ กล่าวกันว่า บท
เห่เร่ืองจับระบากับบทเห่เรื่องกากี เรื่องพระอภัยมณี และเร่ืองโคบุตร เป็นของสุนทรภู่แต่ง บทเห่เหล้านี้จะ
แต่งเมื่อใด ดูโอกาสท่ีสุนทรภู่จะแต่งมีอยู่ ๓ คราวคือ แต่งเจา้ อยู่หัว เมอื่ ยังเป็นกรมอยู่ในราชกาลท่ี ๓ คราว
หน่ึง หรือมฉิ ะนน้ั กแ็ ต่งถวายสาหรบั กลอ่ มพระเจา้ ลูกเธอ ในพระบาทสมเดจ็ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั อย่างไร
กด็ ี เม่ือในราชกาลที่ ๔ บทเห่กลอ่ มของสุนทรภู่ใช้กลอ่ มบรรทมเจ้านายทว่ั ท้งั พระราชวงั จนตลอดรชั กาล
ตัง้ แต่สุนทรภูไ่ ดเ้ ป็นพระสุนทรโวหาร รับราชการอยู่ ๕ ปี ถึงแก่กรรมในราชกาลที่ ๔ เม่ือปีเถาะ พ.ศ.
๒๓๙๘ มีอายุได้ ๗๐ ปี *
๒๙
อ้ำงอิง
ธนิต อย่โู พธ์ิ. ประวตั ิสนุ ทรภู่. กรงุ เทพฯ : กรมแผนทท่ี หาร, ๒๕๑๗.
๓๐