กรงุ ศรีอยธุ ยา
1
กรงุ ศรอี ยธุ ยา
กรุงศรีอยุธยาก่อกาเนิดข้ึนเป็น ราชธานีในปี พ.ศ.1893 แต่มขี ้อถกเถียงกันมากว่า การถือกาเนิดของกรุง ศรี
อยุธยาน้ัน มิได้เกิดข้ึนอย่างปัจจุบันทันด่วนเสียทีเดียว มีหลักฐานว่าก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะสร้างเมืองขึ้นท่ีตาบลหนอง
โสน บริเวณนี้เคยมีผู้คนอาศยั มาก่อนแล้ว วัดสาคญั อย่างวัดมเหยงค์ วัดอโยธยา และวัดใหญ่ชัยมงคล ล้วนเปน็ วัดเก่าท่ีมี
มาก่อนสร้างกรุงศรี อยุธยาท้ังส้ิน โดยเฉพาะท่ีวัดพนัญเชิง วัดที่ประดิษฐาน หลวงพ่อโต พระ พุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่
แบบอู่ทอง พงศาวดารเก่าระบุว่า สร้างขึ้นก่อน การสร้างพระนครศรีอยุธยาถึง 26 ปี วัด เหล่าน้ี ต้ังอยู่ตามแนวฝ่ัง
ตะวันออกของแม่น้าป่าสัก นอก เกาะเมืองอยุธยาที่มีการขุดพบคูเมืองเก่าด้วย ทาให้เช่ือกันว่าบริเวณน้ีน่า จะเป็นเมือง
เก่าที่มีชื่ออยู่ในศิลาจารึกกรุงสุโขทัยว่า อโยธยาศรีรามเทพ นครอโยธยาศรีรามเทพนคร ปรากฏชื่อเป็นเมืองแฝดละโว้อ
โยธยา มาต้ังแต่ช่วงราวปี พ.ศ.1700 เป็นต้นมา ครั้นก่อนปี พ.ศ.1900 พระเจ้าอู่ ทองซ่ึงครองเมืองอโยธยาอยู่ก็ทรง
อภิเษกสมรสกบั พระราชธิดาของ กษัตริยท์ างฝ่ายสุพรรณภูมิ ซงึ่ ครองความเป็นใหญ่อยูอ่ ีกฟากหน่งึ ของแม่ น้าเจ้าพระยา
อโยธยาและสุพรรณภมู ิจึงรวมตัวกนั ขน้ึ โดยอาศยั ความ สัมพนั ธ์ทางเครือญาติ
คร้ันเมื่อเกิดโรคระบาด พระเจ้าอู่ทองจึงอพยพผู้คนจากเมืองอ โยธยาเดิม ข้ามแม่น้าป่าสักมาตั้งเมืองใหม่ที่
ตาบลหนองโสน หรอื ที่รูจ้ ัก กนั ว่า บึงพระราม ในปัจจบุ นั กรุงศรีอยธุ ยาจึงกอ่ เกดิ เป็นราชธานีขึน้ ใน ปี พ.ศ.1893 พระเจ้า
2
อู่ทองเสดจ็ ฯ เสวยราชย์เป็นสมเดจ็ พระรามาธิบดี ที่ 1 ปฐมกษตั ริย์แหง่ กรงุ ศรอี ยธุ ยา รัชสมัยของพระองค์นบั ไดว้ ่าเปน็ ยุค
ของการก่อร่างสร้างเมือง และวางรูปแบบการปกครองขึ้นมาใหม่ ทรงแบ่งการบริหารราชการออก เป็น 4 กรม
ประกอบด้วย เวียง วัง คลัง และ นา หรือที่เรียกกันว่า จตุสดมภ์ ระบบท่ีทรงวางไว้แต่แรกเริ่มน้ี ปรากฏว่าได้สืบทอดใช้
กนั มา ตลอด 400 กวา่ ปขี องกรงุ ศรอี ยธุ ยา
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ครองราชย์อยู่ได้เพียง 19 ปี ก็เสด็จ สวรรคต หลังจากรัชสมัยของพระองค์ ผไู้ ด้สร้าง
ราชธานีแหง่ นข้ี ึ้นจาก ความสัมพนั ธ์ของสองแว่นแคว้น กรุงศรีอยุธยาได้กลายเป็นเวทีแห่งการ แก่งแย่งชิงอานาจระหว่าง
สองราชวงศ์คอื ละโว้-อโยธยา และราชวงศ์ สุพรรณภมู ิ
สมเด็จพระราเมศวร โอรสของสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี 1 ข้ึนครอง ราชย์ต่อจากพระราชบิดาได้ไม่ทันไร ขุน
หลวงพะงัว่ จากราชวงศ์สุพรรณ ภมู ิ ผมู้ ีศักดเิ์ ปน็ อาก็แย่งชิงอานาจได้สาเร็จ ขึน้ ครองราชยเ์ ปน็ สมเด็จพระ บรมราชาธริ าช
เมอื่ สนิ้ รชั กาลของสมเด็จพระบรมราชาธริ าช สมเดจ็ พระ ราเมศวรกก็ ลับมาชิงราชสมบัตกิ ลบั คืน
มีการแย่งชิงอานาจผลัดกันขึ้นเป็นใหญ่ระหว่างสองราชวงศ์นี้อยู่ ถึง 40 ปี จนสมเด็จพระนครอินทร์ ซ่ึงเป็น
ใหญ่อยู่ทางสุพรรณภูมิและ สัมพันธ์แน่นแฟ้นอยู่กับสุโขทัย แย่งชิงอานาจกลับคืนมาได้สาเร็จ พระ องค์สามารถรวมทั้ง
สองฝ่ายให้เป็นอันหน่ึงอันเดียวกันได้อย่างแท้จริง ในช่วงของการแก่งแย่งอานาจกันเองน้ัน กรุงศรีอยุธยาก็ พยายามแผ่
อานาจไปตีแดนเขมรอยู่บ่อยคร้ัง จนกระทั่งปี พ.ศ.1974 หลัง สถาปนากรุงศรีอยุธยาได้แล้วราว 80 ปี สมเด็จเจ้าสาม
พระองค์ พระ โอรสของสมเด็จพระนครอินทร์ ก็ตีเขมรได้สาเร็จ เขมรสูญเสียอานาจจน ตอ้ งย้ายเมืองหลวงจากเมอื งพระ
นครไปอยูเ่ มืองละแวกและพนมเปญในทส่ี ุด ผลของชัยชนะครั้งนี้ ทาให้มีการกวาดต้อนเชลยศึกกลับมา จานวนมาก และ
ทาใหอ้ ทิ ธิพลของเขมรในอยุธยาเพม่ิ มากขนึ้ ซึ่งถอื เปน็ เรอ่ื งปกตทิ ่ผี ู้ชนะมักรับเอาวฒั นธรรมของผูแ้ พม้ าใช้
กรุงศรีอยุธยาหลังสถาปนามาได้กว่าคร่ึงศตวรรษก็เร่ิมเป็นศูนย์ กลางของราชอาณาจักรอย่างแท้จริง มีอาณา
เขตอันกว้างขวางด้วยการ ผนวกเอาสุโขทัยและสุพรรณภูมิเข้าไว้ มีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ โดยเฉพาะกับจีน
และวดั วาอารามต่าง ๆ ไดร้ ับการบูรณะข้นึ มาใหม่จน งดงาม
หลังรัชกาลสมเด็จเจ้าสามพระยา แล้ว กรุงศรีอยุธยาก็เข้าสู่ยุคสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซ่ึงเป็นช่วง เวลาที่
อาณาเขตได้แผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง มีการติดต่อค้าขาย กับบ้านเมืองภายนอก รวมท้ังมีการปฏิรูปการปกครอง
บ้านเมืองข้ึน พระองค์ทรงยกเลิกการปกครองท่ีกระจายอานาจให้เมืองลูกหลวงปกครองอย่างเป็นอิสระ มาเป็นการรวบ
อานาจไว้ท่ีพระมหากษัตริย์ แล้วทรงแบ่งเมืองต่าง ๆ รอบนอกออกเป็น หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองช้ันนอก ซึ่งเมืองเหล่าน้ี
ดูแลโดยขุนนางที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง นอกจากน้ีก็ยังได้ทรงสร้างระบบศักดินาขึ้น อันเป็นการให้ กรรมสิทธิ์ถือที่
นาได้มากน้อยตามยศ พระมหากษัตริย์มีสิทธิ์ท่ีจะ เพ่ิม หรือ ลด ศักดินาแก่ใครก็ได้ และหากใครทาผิดก็ต้องถูกปรับไหม
ตามศกั ดินานั้น
ในเวลานั้นเอง กรุงศรีอยุธยาท่ีเจริญมาได้ถึงร้อยปีก็กลายเป็น เมืองท่ีงดงามและมีระเบียบแบบแผน วัดต่าง ๆ
ที่ได้ก่อสร้างขึ้นอย่าง วิจิตรบรรจงเกิดขึ้นนับร้อย พระราชวังใหม่ได้ก่อสร้างข้ึนอย่างใหญ่โตก ว้างขวาง ส่วนที่เป็น
พระราชวงั ไมเ้ ดมิ ได้กลายเป็นวัดพระศรสี รรเพชญ์ วดั คู่เมืองทส่ี าคัญ
กรงุ ศรอี ยุธยากาลงั จะเติบโตเปน็ นครแหง่ พ่อค้าวาณิชอันรุ่งเรือง เพราะเสน้ ทางคมนาคมอันสะดวก ทีเ่ รอื สินค้า
น้อยใหญ่จะเข้ามาจอด เทียบท่าได้ แต่พร้อม ๆ กับความรุ่งเรืองและความเปลี่ยนแปลง สงครามก็ เกิดข้ึน ช่วงเวลานั้น
ล้านนา ที่มีพระมหากษัตริย์คือราชวงศ์เม็งราย ครองสืบต่อกันมา กาลังเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเป็นคู่แข่งสาคัญของกรุงศรี
อยุธยา พระเจ้าติโลกราชซึ่งได้ขยายอาณาเขตลงมาจนได้เมืองแพร่และ นา่ นกท็ รงดาริที่จะขยายอาณาเขตลงมาอีก เวลา
3
นน้ั เจา้ นายทางแคว้น สโุ ขทัยท่ีถูกลดอานาจดว้ ยการปฏิรูปการปกครองของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเกิดความไมพ่ อใจ
อยุธยา จึงไดช้ ักนาใหพ้ ระเจา้ ตโิ ลกราชยกทัพ มายึดเมืองศรีสัชนาลัยซง่ึ อย่ใู นอานาจของกรุงศรีอยุธยา
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถต้องเสด็จกลับไปประทับอยู่ที่เมือง สระหลวงหรือพิษณุโลก เพื่อทาสงครามกับ
เชียงใหม่ สงครามยืดเย้ือยาว นานอยถู่ ึง 7 ปี ในที่สุดอยุธยาก็ยึดเมืองศรีสัชนาลัยกลับคืนมาได้ ตลอดรัชกาลอันยาวนาน
ของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และ สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี 2 กรุงศรีอยุธยาได้เจริญอย่างต่อเน่ืองอยู่นานถึง 81 ปี
การค้ากับต่างประเทศก็เจริญก้าวหน้าไปอย่างกว้างขวาง วัฒนธรรมก็เฟ่ืองฟูทั้งทางศาสนาและประเพณีต่า ง ๆ แต่หลัง
รัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี 2การแย่งชิงอานาจภายใน ก็ทาให้กรุงศรีอยุธยาอ่อนแอลง ขณะเดียวกันท่ีพม่ากลับ
เข้มแข็งข้ึน ความเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจกั รไดท้ าใหเ้ กดิ สงครามครงั้ ใหญ่อย่างหลกี เล่ียงไมไ่ ด้
ประวัติศาสตรห์ นา้ ใหม่ อันอาจจะเรียก ได้ว่ายุคแห่งความคบั เข็ญย่งุ เหยงิ นี้ เริม่ ตน้ ดว้ ยการมาถึงของชาวตะวัน
ตกพร้อม ๆ กับการรุกรานจากพม่า เมื่อวาสโก ดากามา ชาวโปรตุเกสเดินเรือผ่านแหลมกูดโฮปได้ สาเร็จในราว พ.ศ.
2000 กองเรือของโปรตุเกสก็ทยอยกันมายังดินแดนฝ่ัง ทวีปเอเชีย ในปี พ.ศ.2054 อัลฟองโซ เดอ อัลบูเควิก ชาว
โปรตุเกสก็ยึด มะละกาไดส้ าเรจ็ ส่งคณะฑูตของเขามายังสยาม คือ ดูอารต์ เฟอรน์ ันเดซ ซง่ึ ถือเป็นชาวตะวันตกคนแรกท่ี
มาถึงแผ่นดินสยาม ชาวโปรตุเกสมาพร้อมกับวิทยาการสมัยใหม่ ความรู้เกี่ยวกับการสร้างป้อมปราการ อาวุธปืน ทาให้
สมยั ต่อมาพระเจ้าไชยราชาธิราชก็ยก ทัพไปตีล้านนาได้สาเร็จ กรุงศรอี ยุธยาเป็นใหญข่ น้ึ ในขณะทีพ่ มา่ เองในยุคของ พระ
เจ้า ตะเบ็งชะเวตี้ ก็กาลังแผ่อิทธิพลลงมาจนยึดเมืองมอญท่ีหงสาวดีได้ สาเร็จ อยุธยากับพม่าก็เกิดการเผชิญหน้ากันขึ้น
เม่ือพวกมอญจากเชียงกรานทีไ่ ม่ยอมอยู่ใต้อานาจพม่าหนีมาพ่ึงฝัง่ ไทย พระเจ้าไชยราชาธิราช ยกกองทัพไปขบั ไลพ่ ม่า ยึด
เมืองเชยี งกรานคนื มาไดส้ าเร็จ ความขดั แย้ง ระหวา่ งไทยกับพม่าก็เปิดฉากขน้ึ
หลังพระเจ้าไชยราชาธิราชเสด็จสวรรคตเพราะถูกปลงพระชนม์ แผ่นดินอยุธยาก็อ่อนแอลงด้วยการ แย่งชิง
อานาจ พระยอดฟ้าซึ่งมีพระชนม์เพียง 11 พรรษาข้ึนครองราชย์ได้ไม่ทันไรก็ถูกปลงพระชนม์อีก ในที่ สุดก็ถึงแผ่นดิน
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พม่าสบโอกาสยกทัพผ่านด่านเจดีย์ 3 องค์ เข้ามาปิดล้อมกรุงศรี อยุธยา สมเด็จพระมหา
จกั รพรรดินากองทัพออกสู้รบ ในช่วงนีเ้ องที่หน้า ประวัติศาสตร์ได้บนั ทึกวีรกรรมของวรี สตรีพระองค์หนง่ึ คือ สมเด็จพระ
ศรี สุริโยทัย ท่ีปลอมพระองค์ออกรบด้วย และได้ไสช้างเข้าขวางสมเด็จพระ มหาจักรพรรดิท่ีกาลังเพล่ียงพล้า จนถูกฟัน
สิ้นพระชนม์ขาดคอช้าง ทุกวันนี้อนุสาวรีย์เชิดชูวีรกรรมของพระองค์ยังคงต้ังเด่นเป็นสง่า อยู่ใจกลาง เมือง
พระนครศรอี ยธุ ยา
ครั้งน้ันเม่ือพม่ายึดพระนครไม่สาเร็จ เพราะไม่ชานาญภูมิประเทศ กองทัพพระเจ้าตะเบ็งชะเวต้ีต้องยกทัพ
กลับไปในทส่ี ุด ฝ่ายไทยก็ตระเตรยี มการป้องกันพระนครเพ่ือตั้งรับการรุกราน ของพม่าท่ีจะมีมาอีก การเตรียมกาลงั ผู้คน
การคล้องชา้ งเพื่อจัดหาช้างไว้ เป็นพาหนะสาคัญในการทาศึกคร้ังนี้ ทาให้มีการพบช้างเผือกถึง 7 เชือก อันเป็นบุญบารมี
สูงสุดของพระมหากษตั รยิ ์ แตน่ ัน่ กลบั นามาซง่ึ สงคราม ยืดเยื้อยาวนานอยู่นบั สบิ ปี
พระเจ้าบุเรงนอง ผู้นาพม่าคนใหม่อ้างเหตุการณ์ต้องการช้างเผือกที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิมีอยู่ถึง 7 เชือก
ยกทัพมาทาสงครามกับกรุงศรีอยธุ ยาอีกครงั้ แล้วไทยกเ็ สียกรุงแก่พม่าเป็นครงั้ แรกใน พ.ศ.2112 ช้างเผือกอนั เป็นสาเหตุ
ของสงครามก็ถูกกวาดต้อนไปพร้อมกับผู้คนจานวนมาก พระ นเรศวรและพระเอกาทศรถ พระโอรสของพระมหาธรรม
ราชาทีพ่ ม่าตงั้ ให้ เป็นกษัตรยิ ์ปกครองอยธุ ยาต่อไปในฐานะเมืองประเทศราชก็ทรงถูกบังคับ ให้ต้องไปด้วย
การเสียกรุงครั้งนั้นกินเวลายาวนานถึง 15 ปี ซ่ึงเวลาดังกล่าวพระเจ้าบุเรงนอง ทรงให้สมเด็จพระมหาธรรม
ราชาธิราช ขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยาในฐานะประเทศราช จนกระท่ังพระเจ้าบุเรงนองเสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ.
2524 พระนเรศ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (ขณะนั้นเป็นพระมหาอุปราชแห่งอยุธยา) พระราชโอรสในสมเด็จพระศรี
4
สรรเพชญ์ (พระมหาธรรมราชาธิราช-ขุนพิเรนทรเทพ) ทรงเสด็จหนีออกจากพม่าได้และ ทรงทาการประกาศอิสรภาพท่ี
เมืองแครง เมื่อปี พ.ศ. 2126 คร้ังน้ันพระบรมชนกนาถยังคงมีพระชนมชีพอยู่ ได้รับพระราชบัณฑูรเป็นสมเด็จพระ มหา
อุปราช ประทับ ณ พระราชวังจันทรฯ(วังหน้า) เมื่อสมเด็จพระนเรศวรประกาศอิสรภาพแล้ว กองทัพพม่านาโดย พระ
มหาอุปราชก็คุมทัพลงมาปราบ สมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปต้ังท่ี ตาบลหนองสาหร่าย จงั หวดั สุพรรณบุรี แล้วการรบคร้ัง
ย่ิงใหญ่กอ็ ุบตั ิข้ึน สมเดจ็ พระนเรศวรทรงทายทุ ธหัตถจี นไดช้ ยั ชนะ พระมหาอุปราชถูกฟนั ส้ินพระชนมข์ าดคอชา้ ง เป็นผล
ให้กองทัพพม่าต้องแตกพ่ายกลับไป ฉะนั้นพระวีรกรรมในคราวกอบกู้เอกราชจริงๆน้ัน สมเด็จพระนเรศวรราชาธิราช จึง
ยังอยู่ในพระฐานะรัชทายาททั้งสิ้น และถือได้ว่าพระองค์คือพระมหากษัตริย์ไทยที่ย่ิงใหญ่ท่ีสุดในหน้าประวัติศาสตร์ชาติ
ไทย
ภาพพระนเรศวรทรงกระทายทุ ธหตั ถี จากหอประวตั ิพระนเรศวร
ยคุ สมยั ของสมเด็จพระนเรศวร กรุงศรอี ยุธยาเป็นปกึ แผน่ ม่ันคง ศตั รูทางพม่าอ่อนแอลง ขณะเดยี วกันเขมรกถ็ ูก
ปราบปรามจนสงบ ความ ม่ันคงทางเศรษฐกิจจึงเกิดขึ้นตามมา อันส่งผลใหก้ รุงศรอี ยธุ ยากลายเป็น อาณาจักรที่รุ่งเรืองถึง
ขดี สุด ตามคากลา่ วของชาวยโุ รปที่หลัง่ ไหลเข้ามา ติดตอ่ คา้ ขายในช่วงเวลาดงั กล่าว
นบั ต้ังแต่สมัยพระนเรศวรเป็นต้นมา กรุงศรี อยุธยาก็กลายเป็นศูนย์กลางการค้าท้ังในและนอกประเทศ มีผู้คน
เดินทาง เข้ามาติดต่อค้าขายเป็นจานวนมากต่างก็ชน่ื ชมเมืองทโี่ อบล้อมไปด้วยแม่ น้าลาคลอง ผ้คู นสัญจรไปมาโดยใชเ้ รือ
เป็นพาหนะ จึงพากันเรียกพระ นครแห่งน้ีว่า เวนิสตะวันออก หลังจากโปรตุเกสเข้ามาติดต่อค้าขายเป็นชาติแรกแล้ว
ฮอลันดา ญี่ปุน่ และองั กฤษก็ตามเข้ามา ทั้งนไี้ ม่นับจนี ซึ่งค้าขายกับกรุงศรีอยธุ ยา อยู่ก่อนแล้ว ชนชาติตา่ ง ๆ เหลา่ นี้ได้รับ
การจดั สรรที่ดนิ ใหอ้ ยู่เปน็ ยา่ น เฉพาะ ดังปรากฏชอ่ื บ้านโปรตเุ กส บา้ นญี่ปนุ่ และบ้านฮอลนั ดามาจน ปัจจบุ นั
บันทกึ ของชาวฝร่ังเศสคนหนึ่งซึ่งบาทหลวงปาลเลอกวั ซ์ได้คดั ลอกมา เลา่ ถึงพระนครศรีอยุธยาในสมัยนั้นไว้ว่า
เป็นพระนครท่ีมีผู้คนต่างชาติต่างภาษารวมกันอยู่ ดูเหมือนเป็น ศูนย์กลางการค้าขายในโลก ได้ยินผู้คนพูดภาษาต่าง ๆ
ทุกภาษา ในบรรดาชาวต่างชาติท่ีมาค้าขายกับอยุธยาในยุคแรกน้ัน ญี่ปุ่น กลับเป็นชาติที่มีอิทธิพลมากท่ีสุด ยามาดะ นา
งามาซะ ชาวญี่ป่นุ ได้รบั ความไว้วางใจถึงขั้นไดด้ ารงตาแหน่งขนุ นางในราชสานักของพระเอกาทศรถ มียศเรยี กว่า ออกญา
5
เสนาภิมุข ตอ่ มาได้ก่อความยุ่งยากขึน้ จดหมดอิทธิพลไปในที่สดุ แม้จะมีชนชาตติ ่าง ๆ เข้ามาค้าขายดว้ ยมากมาย แต่กรุง
ศรี อยุธยากด็ ูเหมือนจะผูกพันการคา้ กับจีนไว้อยา่ งเหนยี วแน่น จีนเองก็ส่งเสริมให้อยุธยาผลิตเครื่องปัน้ ดินเผาโดยเฉพาะ
เคร่อื งสงั คโลก เพอ่ื สง่ ออก ไปยงั ตะวันออกกลางและหมเู่ กาะในแถบเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้
การคา้ ขายตา่ ง ๆ เหล่าน้ที าให้กรุงศรีอยุธยามีการเก็บภาษที ่ี เรยี กวา่ ขนอน มีด่านขนอนซ่งึ เป็นดา่ นเก็บภาษอี ยู่ตามลาน้า
ใหญ่ทง้ั 4 ทิศ และยงั มีขนอนบกคอยเกบ็ ภาษีที่มาทางบกอีกต่างหาก นอกเหนือจากความเปน็ เมืองท่าแล้ว อยุธยายังเป็น
ชมุ ทางการค้าภายในอีกด้วย ตลาดกว่า 60 แหง่ ในพระนคร มีท้ังตลาดน้า ตลาดบก และยงั มียา่ นต่าง ๆ ท่ผี ลิตสินค้าด้วย
ความชานาญเฉพาะด้าน มียา่ นท่ี ผลติ นา้ มันงา ยา่ นทามดี ย่านปั้นหม้อ ย่านทาแป้งหอมธปู กระแจะ ฯลฯ
พระนอนศิลปกรรมสมยั อยธุ ยา
คูคลองต่าง ๆ ในอยธุ ยาได้สร้างสงั คมชาวน้าขึ้นพร้อมไปกับวถิ ีชีวิตแบบเกษตรกรรม เม่ือถึงหน้าน้าก็มีการเล่น
เพลงเรือเปน็ ทีส่ นกุ สนาน เม่ือเสร็จหน้านาก็มีการทอดกฐิน ลอยกระทง งานรืน่ เริงต่าง ๆ ของชาว บ้านมกั ทาควบค่ไู ปกับ
พิธีการของชาววัง เช่น พระราชพิธีจองเปรียญตามพระประทีป ซึ่งต่อมาเปลี่ยนช่ือเป็นลอยกระทงทรงประทีป พระราช
พิธี สงกรานต์ พระราชพิธีแรกนาขวัญ พิธีกรรมเหล่าน้ีสะท้อนวิถีชีวิตของชาวอยุธยาที่ผูกพันอยู่กับธรรมชาติแม่น้าลา
คลองอยา่ งเหนียวแนน่
อยุธยาเจริญขึ้นมาโดยตลอด การค้าสร้างความม่ังค่ังให้พระคลัง ท่ีมีสิทธิ์ซือ้ สินค้าจากเรือสินค้าต่างประเทศทุก
ลาได้ก่อนโดยไม่เสียภาษี ความม่ังค่ังของราชสานักนาไปสู่การสร้างวัดวาอารามต่าง ๆ การทานุ บารุงศาสนาและการ
กอ่ สรา้ งพระราชวงั ให้ใหญ่โตสงา่ งาม
6
ในสายตาของชาวต่างประเทศแล้ว กรุงศรีอยุธยาเปน็ มหานคร อนั ยิ่งใหญ่ ที่มีพระราชวังเป็นศูนย์กลาง โยสเซา
เต็น พ่อค้าชาวฮอลันดาท่ี เข้ามายังกรุงศรอี ยุธยาในสมยั สมเด็จพระเจ้าปราสาททองไดบ้ ันทึกไว้ว่า กรุงศรีอยธุ ยาเปน็ นคร
ทใ่ี หญ่โตโอ่อ่าวิจิตรพสิ ดาร และพระมหากษัตริย์ สยามเป็นบุคคลท่รี า่ รวยท่ีสดุ ในภาคตะวันออกน้ี
พระนครแห่งนี้ ภายนอกอาจดูสงบงดงามและร่มเย็นจากสายตา ของคนภายนอก แต่แท้จริงแล้วบัลลังก์แห่ง
อานาจภายในของกรงุ ศรี อยุธยาไมเ่ คยสงบ เม่ือสมเดจ็ พระเอกาทศรถเสด็จสวรรคต การแยง่ ชิงอานาจได้ ดาเนินมาอย่าง
ตอ่ เนื่อง จนถึงปี พ.ศ.2172 ราชวงศ์สุโขทัยที่ครองราชย์ สืบต่อกันมาต้ังแต่สมัยของพระมหาธรรมราชาก็ถูกโคน่ ล้ม พระ
เจ้า ปราสาททองเสด็จขึ้นครองราชย์ และสถาปนาราชวงศ์ปราสาททองขึ้น ใหม่แม้จะครองบัลลังก์จากการโค่นล้ม
ราชวงศ์อ่ืนลง ยคุ สมยั ของ พระองคแ์ ละสมเด็จพระนารายณม์ หาราชทยี่ าวนานถึง 60 ปนี ้ัน กลับ เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลา
ท่ีกรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด พระเจ้าปราสาททองทรงมุ่งพัฒนาบ้านเมืองทั้งทางด้านศิลปกรรมและการค้ากับ
ตา่ งประเทศ ทรงโปรดให้สรา้ งวัดไชยวัฒนารามริมฝ่ัง แม่นา้ เจ้าพระยาข้ึนด้วยคตเิ ขาพระสุเมรุจาลอง อนั เปน็ แบบอย่างท่ี
ได้รับอิทธิพลมาจากปราสาทขอม พรอ้ มกันนี้ก็ได้มีการคิดค้นรูปแบบทางศิลปกรรมใหม่ ๆ ขนึ้ เช่นพระเจดีย์ย่อมุมไม้สิบ
สอง พระพทุ ธรปู ทรงเคร่ืองแบบอยธุ ยาอันงดงามกไ็ ดร้ ับการฟ้ืนฟูข้นึ มาในสมัยน้ี ทางดา้ นการค้ากับต่างประเทศ หลงั จาก
ท่ีโปรตุเกสเข้ามาค้า ขายกับกรุงศรีอยุธยาจนทาให้เมืองลิสบอนของโปรตุเกสกลายเป็นศูนย์ กลางการค้าเคร่ืองเทศและ
พริกไทยในยุโรปนานเกือบศตวรรษแล้ว ฮอลันดาจึงเริ่มเข้ามาสร้างอิทธิพลแข่ง กรุงศรีอยุธยาสร้างไมตรีด้วยการให้สิทธิ
พเิ ศษบางอยา่ งแก่พวก ดัตช์ เพอ่ื ถว่ งดุลกับชาวโปรตุเกสท่เี ริม่ กา้ วร้าวและเรยี กร้องสทิ ธิพเิ ศษเพิม่ ขึ้นทกุ ขณะ
ราชทูตฝร่งั เศสเข้าเฝ้าสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช
พอถึงสมัยพระเจ้าปราสาททอง การค้าของฮอลันดาเจริญรุ่งเรือง ขึ้นมาก จึงเริ่มแสดงอิทธิพลบีบคั้นไทย
ประกอบกับพระคลังในสมัยนั้นได้ ดาเนินการผูกขาดสินค้าหลายชนิด รวมทั้งหนังสัตว์ท่ีเป็นสินค้าหลักของ ชาวดัตช์ ทา
ให้เกดิ ความไม่พอใจถงึ ขัน้ จะใช้กาลงั กนั ข้นึ
7
ถึงสมัยของสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช ฮอลันดาก็คุกคามหนัก ขนึ้ ในท่สี ดุ ก็เข้ายึดเรือสินคา้ ของพระนารายณ์
ท่ีชักธงโปรตุเกสในอา่ วตังเก๋ยี ต่อมาไมน่ านก็นาเรอื 2 ลาเข้ามาปิดอ่าวไทย เรียกรอ้ งไมใ่ ห้จ้างชาว จนี ญี่ปุน่ และญวนใน
เรือสินค้าของอยุธยา เพื่อปิดทางไม่ให้อยุธยาค้า ขายแข่งด้วย มีการเจรจากันในท้ายที่สุด ซ่ึงผลจากการเจรจานี้ทาให้
ฮอลันดาได้สิทธิ์ผูกขาดหนังสัตว์อย่างเดิม เพื่อถ่วงดุลอานาจกับฮอลันดาท่ีนับวันจะเพิ่มข้ึนทุกขณะ สมเด็จพระนารายณ์
จึงหัน ไปเอาใจอังกฤษกับฝร่ังเศสแทน ในช่วงนี้เองความสัมพันธ์ระหว่างกรุงสยามกับ ฝร่ังเศสเจริญรุ่งเรืองอย่างที่สุด
บุคคลผู้หนึ่งที่ก้าวเข้ามาในช่วงน้แี ละต่อไปจะได้มี บทบาทอยา่ งมากในราชสานักสยาม กค็ อื คอนแสตนติน ฟอลคอน
ฟอลคอนเป็นชาวกรีกที่เข้ามารับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ราวกลาง รัชสมัย และเจริญก้าวหน้า
จนข้ึนเป็นพระยาวิชาเยนทร์ในเวลาอันรวดเร็ว เวลาเดียว กันกับท่ีฟอลคอนก้าวขึ้นมามีอานาจในราชสานักไทย ฝร่ังเศส
ในราชสานักของ พระเจ้าหลุยส์ท่ี 14 ท่ีเข้ามาติดต่อการค้าและเผยแพร่ศาสนาก็พยายามเกล้ียกล่อม ให้สมเด็จพระ
นารายณ์หันมาเขา้ รตี นกิ ายโรมันคาทอลิกตามอย่างประเทศฝร่ังเศส
ในชว่ งเวลาน้ีไดม้ กี ารสง่ คณะทตู สยามเดนิ ทางไปฝรัง่ เศสเพอ่ื เจรญิ สัมพันธไมตรี ทางฝร่งั เศสเองก็ส่งคณะทูตเข้า
มาในสยามบ่อยคร้ัง โดยมีจุดประสงค์หลักคือชัก ชวนให้พระนารายณ์ทรงเข้ารีต ฟอลคอนเองซ่ึงเปล่ียนมานับถือนิกาย
โรมันคาทอลิกตามภรรยา ได้สมคบกับฝร่ังเศสคิดจะเปล่ียนแผ่นดินสยามให้เป็น เมืองขึ้นของฝร่ังเศส ดังเช่นใน พ.ศ.
2228 โดยราชทูตเชอวาเลีย เดอโชมองต์, ปี พ.ศ. 2230 โดยลาลูแบร์ ก็กลับไม่ประสบความสาเร็จในการเปล่ียนให้พระ
เจ้าแผ่น ดินสยามหันมาเข้ารตี
ไม่นานชาวสยามก็เร่ิมชงิ ชังฟอลคอนมากข้ึน อิทธิพลของฟอลคอนท่มี ีตอ่ ราช สานกั สยามกเ็ พิ่มมากขน้ึ ทุกวัน ปี
พ.ศ. 2231 สมเด็จพระนารายณ์ทรงประชวน หนัก ไม่สามารถว่าราชการได้ มีรับสั่งให้ฟอลคอนรีบลาออกจากราชการ
และไป เสียจากเมืองไทย แต่ก็ช้าไปด้วยเกิดความวุ่นวายขึ้นเสียก่อน พระเพทราชาและ คณะผู้ไม่พอใจฝรั่งเศสจับฟอล
คอนไปประหารชีวิต เมื่อสมเด็จพระนารายณ์เสด็จ สวรรคตในเดือนต่อมาพระเพทราชาก็เสด็จขึ้นเถลิงราชสมบัติแทน
การเข้ามาของยุโรปจานวนมากในสมัยของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองและสมเด็จ พระนารายณ์ นอกจากจะทาให้
บ้านเมืองมีความม่ังคั่งแล้ว ยังก้าวหน้าไปด้วยวิทยา การสมัยใหม่ทั้งทางด้านสถาปัตยกรรม การแพทย์ ดาราศาสตร์
การทหาร มีการ ก่อสร้างอาคาร ป้อมปราการ พระท่ีน่ังในพระราชวังเพ่ิมเติมด้วยเทคโนโลยีแบบ ตะวันตก นอกจากน้ี
ภาพวาดของชาวตะวนั ตกยงั แสดงให้เห็นว่ามกี ารสอ่ งกล้องดู ดาวในสมยั สมเดจ็ พระนารายณด์ ้วย
เมอ่ื สน้ิ รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ความขัดแยง้ ภายในเมอื งจากการแย่งชงิ ราช สมบัติเกดิ ขึ้นอยูต่ ลอดเวลา ทา
ให้การตดิ ต่อกบั ตา่ งประเทศซบเซาลงไป ต้ังแตร่ ัช สมัยสมเด็จพระเพทราชาจนถึงพระเจ้าท้ายสระ มกี ารก่อสร้างส่ิงใหม่ๆ
เพยี งไมก่ ่อี ยา่ ง
ครั้นถึงสมัยพระเจ้าบรมโกศ บ้านเมอื งก็กลบั เจริญรุ่งเรืองขนึ้ มาอีกคร้ังในช่วง ระยะเวลาหนึ่ง จนกลา่ วได้ว่ายุค
สมยั ของพระองค์นบั เปน็ ยคุ ทองของศลิ ปวทิ ยา การอยา่ งแทจ้ รงิ ก่อนทีก่ รงุ ศรีอยุธยาจะตกตา่ ไปจนถงึ กาลล่มสลาย
ในรัชกาลน้ีได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์พระราชวังและวัดวาอารามต่างๆ ศิลปกรรม เฟ่ืองฟูขึ้นมาอย่างมากท้ังใน
ด้านลวดลายปูนปั้น การลงรักปิดทอง การชา่ งประดบั มุก การแกะสลักประตูไม้ ทางด้านวรรณคดีก็มีกวเี กิดข้นึ หลายคน
ท่โี ดเด่นและ เป็นท่ีรู้จักคือ เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร ผู้นิพนธ์กาพย์เห่เรือ ส่วนการมหรสพก็มีการฟื้น ฟูบทละครนอกละครใน
ขน้ึ มาเล่นกันอย่างกว้างขวาง กรุงศรอี ยธุ ยาถูกขับกล่อม ด้วยเสียงดนตรแี ละความรื่นเริงอยู่ตลอดเวลา แต่ทา่ มกลางความ
สงบสุขและรุ่งเรืองทางศิลปวัฒนธรรม ความขัดแย้งค่อยๆ ก่อตัวขึ้น การแย่งอานาจท้ังในหมู่พระราชวงศ์ ขุนนาง ทาให้
อกี ไมถ่ งึ 10 ปตี ่อ มากรงุ ศรอี ยธุ ยากเ็ สียแกพ่ ม่าในสมัยของพระเจ้าเอกทัศน์ เม่ือ พ.ศ.2310
8
กรุงศรีอยุธยาในสมัยของพระเจ้าบรมโกศจนถึงสมัยของพระเจ้าเอกทัศน์น้ัน คล้ายกับพลุท่ีจุดข้ึนสว่างโร่บน
ท้องฟ้าช่ัวเวลาเพียงไม่นานแล้วก็ดับวูบลงทันที กรุงแตกเม่ือ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 เล่ากันว่าในกาแพงเมืองมีผู้คนหนี
พม่า มาแออัดอยู่นับแสนคน ปรากฏว่าได้ถูกพม่าฆ่าตายไปเสียกว่าครึ่ง ท่ีเหลือก็หนี ไปอยู่ตามป่าตามเขา พม่าได้
ปล้นสะดม เผาบ้านเรือน พระราชวังและวัดวาอาราม ต่างๆจนหมดสิ้น นอกจากน้ียังหลอมเอาทองที่องค์พระและกวาด
ต้อนผู้คนกลับ ไปจานวนมาก อารยธรรมท่ีสั่งสมมากว่า 400 ปี ของกรุงศรีอยุธยาก็ถูกทาลาย ลงอย่างราบคาบเม่ือส้ิน
สงกรานต์ปีนัน้
กษัตริย์พระองค์สุดท้าย องค์ที่ 33 ของกรุงศรีอยุธยาคือพระเจ้าเอกทัศ หรือสมเด็จพระท่ีนั่งสุริยาศน์อัมรินทร์
ทรงข้ึนครองราชย์เมื่อปี พ.ศ. 2301 ต่อมาในปี พ.ศ. 2308 จึงเริ่มถูกรุกรานจากพม่า พอถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2310
หลังจากถูกล้อมกรุงมาเป็นเวลานาน ทหารพม่าก็ยกพลเข้ามาภายในกรุงศรีอยุธยาสาเร็จ บ้านเมืองถูกทาลายอย่างหนัก
ถอื เป็นอันส้ินสดุ ความย่ิงใหญ่ยาวนานกว่า 417 ปี ไวเ้ พยี งเท่านนั้
หลังจากกรุงแตกแล้วพม่าก็มิได้เข้ามาปกครองสยามอย่างเตม็ ตัว คงท้ิงใหส้ ุก้ี พระนายกองตงั้ อย่ทู ี่ค่ายโพธิ์สาม
ต้นเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย สภาพบ้าน เมืองหลังจากเสียแก่พม่าแล้วก็มีชุมนุมเกิดขึ้นตามหัวเมืองต่าง ได้แก่ ชุมนุม
เจ้าฝาง ชุมนุมเจ้าตาก ชุมนุมเจ้าพิษณุโลก ชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช ที่ต่างก็ซ่องสุมผู้คนเพ่ือเตรียมแผนการใหญ่ใน
บรรดาชุมนุมใหญ่น้อยเหล่านี้ พระยาวชิรปราการ(พระยาตาก)ได้เติบโตเข้มแข็งขึ้นเม่ือ ยึดได้เมืองจันทบูร ตราด และ
ธนบุรี กองทัพพระเจ้าตากใช้เวลาหลายเดือนในการรวบรวมผู้ คนตระเตรียมเรือรบ แล้วจึงเดินทัพทางทะเลข้ึนมาจนถึง
เมืองธนบุรี เข้ายึด เมืองธนบุรีได้แล้ว ไม่นานก็ตีค่ายพม่าท่ีโพธ์ิสามต้นแตกในวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2310 นับรวม
เวลาในกรุงศรีอยุธยาขับไล่กาลังพลพม่าออกไปสาเร็จไม่ถึงหน่ึงปี จากน้ันในวันท่ี 28 ธันวาคม พ.ศ. 2310 พระยาวชิร
ปราการได้ทาพิธีปราบดาภิเษกทานองเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา (แต่นักประวัติศาสตร์นับเป็นสมัยธนบุรี)
เฉลิมพระนามว่า "สมเด็จพระบรมราชาที่ 4" แต่ส่วนมากคนมักเรียกท่านว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ขณะมี
พระชนมายุได้ 33 พรรษา ทว่าด้วยสภาพเมอื งเสยี หายอย่างหนัก ทาให้พระยาตากเลือกท่ีมน่ั สร้างเมอื งใหม่ สถาปนากรุง
ธนบรุ ขี ึ้นเปน็ ราชธานี
เรกนัม เสยี น” (Regnum Sian) แผนท่รี ่วมสมัย “ยุทธหัตถี”
9
การขยายดินแดน
กรุงศรีอยุธยาดาเนินนโยบายขยายอาณาจักรด้วย 2 วิธคี ือ ใชก้ าลังปราบปราม ซึ่งเห็นไดจ้ ากชัยชนะในการยึดครองเมือง
นครธม (พระนคร) ได้อย่างเด็ดขาดในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี 2 และอีกวิธีหนึ่งคือ การสร้างความสัมพันธ์แบบ
เครอื ญาติ อันเห็นได้จากการผนวกกรุงสุโขทัยเขา้ เป็นส่วนหน่ึงของอาณาจกั ร
การล่มสลายของอาณาจักร
ช่วงสมัยรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เกิดการแย่งชิงราชสมบัติระหว่างพระเจ้าเอกทัศกับพระเจ้าอุทุมพร
เนื่องจากพระองค์ทรงเลือกพระอนุชาขนึ้ เปน็ กษัตรยิ ไ์ ม่เป็นไปตามราชประเพณี แต่พระเจ้าเอกทัศก็ทวงบัลลงั ก์ ไดข้ ้ึนเป็น
กษตั รยิ ์องค์สุดท้ายแหง่ กรุงศรอี ยธุ ยา ครั้นในปี พ.ศ. 2303 พระเจ้าอลองพญาทรงนาทัพมารุกรานอาณาจักรอยุธยา พระ
เจ้าอุทุมพรทรงถูกเรียกตัวมาบัญชาการต้ังรับพระนคร แต่ภายหลังจากท่ีกองทัพพม่ายกกลับนั้น พระองค์ก็ได้ลาผนวช
ดังเดิมในปี พ.ศ. 2308 พระเจ้ามังระ บุตรของพระเจ้าอลองพญา ก็ได้รุกรานอาณาจักรอยุธยาอีกคร้ังหนึ่ง โดยแบ่งกอง
กาลังออกเปน็ 2 ส่วน คอื ฝ่ายเหนือภายใต้การบงั คบั ของเนเมยี วสหี บดี และฝา่ ยใต้ภายใตก้ ารนาของมงั มหานรธา และมุ่ง
เข้าตีอาณาจักรอยุธยาพร้อมกันท้ังสองด้าน ฝ่ายอยุธยาทาการต้ังรับอย่างเข้มแข็ง และสามารถต้านทานการปิดล้อมของ
กองทัพพม่าไว้ได้นานถึง 14 เดือน แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งการล่มสลายได้ กองทัพพม่าสามารถเข้าเมืองได้ในวันที่ 7 เมษายน
พ.ศ. 2310
รายพระนามพระมหากษตั ริย์
ลาดบั พระนาม พระราช เริม่ สน้ิ รชั กาล สวรรคต รวมปีครองราชย์
สมภพ ครองราชย์
ราชวงศ์อทู่ อง (ครง้ั ท่ี 1)
1 สมเด็จพระรามาธบิ ดีท่ี 1 พ.ศ. 1855 พ.ศ. 1893 พ.ศ. 1912 20 ปี
(พระเจ้าอู่ทอง)
2 สมเด็จพระราเมศวร พ.ศ. 1885 พ.ศ. 1912 พ.ศ. 1913 พ.ศ. 1938 ไม่ถงึ 1 ปี
(1)
ราชวงศส์ พุ รรณภูมิ (คร้ังที่ 1)
3 สมเด็จพระบรมราชาธริ าชท่ี 1 พ.ศ. 1853 พ.ศ. 1913 พ.ศ. 1931 18 ปี
(ขุนหลวงพะงว่ั )
4 สมเดจ็ พระเจ้าทองลนั พ.ศ. 1917 พ.ศ. 1931 7 วัน
(เจา้ ทองจนั ทร)์
ราชวงศอ์ ทู่ อง (ครัง้ ท่ี 2)
10
2 สมเดจ็ พระราเมศวร พ.ศ. 1885 พ.ศ. 1931 พ.ศ. 1938 7 ปี
(2)
15 ปี
5 สมเดจ็ พระรามราชาธิราช พ.ศ. 1899 พ.ศ. 1938 พ.ศ. 1952 ?
15 ปี
ราชวงศส์ พุ รรณภูมิ (ครั้งที่ 2)
24 ปี
6 สมเดจ็ พระอินทราชา พ.ศ. 1902 พ.ศ. 1952 พ.ศ. 1967
(เจา้ นครอนิ ทร)์ 40 ปี
3 ปี
7 สมเด็จพระบรมราชาธริ าชที่ 2 พ.ศ. 1929 พ.ศ. 1967 พ.ศ. 1991 38 ปี
(เจา้ สามพระยา)
4 ปี
8 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พ.ศ. 1974 พ.ศ. 1991 พ.ศ. 2031
5 เดือน
9 สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท่ี 3 พ.ศ. 2005 พ.ศ. 2031 พ.ศ. 2034 12 ปี
10 สมเดจ็ พระรามาธิบดที ี่ 2 พ.ศ. 2015 พ.ศ. 2034 พ.ศ. 2072 2 ปี
11 สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชที่ 4 พ.ศ. 2040 พ.ศ. 2072 พ.ศ. 2076 42 วัน
(หน่อพุทธางกรู ) (ไม่ไดร้ บั การยก
ยอ่ ง แตผ่ า่ นพระ
12 พระรัษฎาธิราช พ.ศ. 2072 พ.ศ. 2077 ราชพธิ ีบรม
ราชาภเิ ษก)
13 สมเดจ็ พระไชยราชาธริ าช พ.ศ. 2045 พ.ศ. 2077 พ.ศ. 2089
20 ปี
14 พระยอดฟ้า พ.ศ. 2078 พ.ศ. 2089 พ.ศ. 2091
(พระแกว้ ฟ้า) 1 ปี
- ขนุ วรวงศาธริ าช พ.ศ. 2049 พ.ศ. 2091
15 สมเดจ็ พระมหาจักรพรรดิ พ.ศ. 2048 พ.ศ. 2091 พ.ศ. 2111
(พระเจา้ ชา้ งเผอื ก) พ.ศ. 2082 พ.ศ. 2111 7 สงิ หาคม พ.ศ. 2112
16 สมเด็จพระมหนิ ทราธิราช
เสียกรุงคร้งั ท่ี 1
11
ราชวงศส์ โุ ขทัย
สมเดจ็ พระมหาธรรม
17 ราชาธิราช พ.ศ. 2059 พ.ศ. 2112 พ.ศ. 2133 21 ปี
(สมเด็จพระสรรเพชญ์ท่ี 1)
18 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พ.ศ. 2098 29 15 ปี
(สมเดจ็ พระสรรเพชญท์ ี่ 2) กรกฎาคม พ 25 เมษายน พ.ศ. 2148
.ศ. 2133
19 สมเด็จพระเอกาทศรถ 25 5 ปี
(สมเด็จพระสรรเพชญ์ท่ี 3) พ.ศ. 2104 เมษายน พ.ศ พ.ศ. 2153
. 2148
20 พระศรเี สาวภาคย์ ? พ.ศ. 2153 2 เดือน
(สมเดจ็ พระสรรเพชญท์ ี่ 4)
21 สมเดจ็ พระเจ้าทรงธรรม พ.ศ. 2125 พ.ศ. 2154 12 ธนั วาคม พ.ศ. 2171 17 ปี
(สมเดจ็ พระบรมราชาที่ 1)
22 สมเดจ็ พระเชษฐาธิราช พ.ศ. 2156 พ.ศ. 2171 พ.ศ. 2173 1 ปี 8 เดือน
23 พระอาทติ ยวงศ์ พ.ศ. 2161 พ.ศ. 2173 พ.ศ. 2173 พ.ศ. 2178 36 วัน
ราชวงศป์ ราสาททอง
24 สมเดจ็ พระเจ้าปราสาททอง พ.ศ. 2143 พ.ศ. 2173 พ.ศ. 2199 25 ปี
(สมเดจ็ พระสรรเพชญท์ ี่ 5)
25 สมเดจ็ เจา้ ฟ้าไชย ? พ.ศ. 2199 9 เดอื น
(สมเดจ็ พระสรรเพชญท์ ่ี 6)
26 สมเดจ็ พระศรีสุธรรมราชา ? พ.ศ. 2199 2 เดือน 17 วนั
(พระสรรเพชญท์ ่ี 7)
27 สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช พ.ศ. 2175 พ.ศ. 2199 พ.ศ. 2231 11
(สมเดจ็ พระรามาธิบดีที่ 3) กรกฎาคม พ 32 ปี
.ศ. 2231
ราชวงศ์บา้ นพลูหลวง
12
28 สมเดจ็ พระเพทราชา พ.ศ. 2175 พ.ศ. 2231 พ.ศ. 2246 15 ปี
สมเด็จพระสรรเพชญท์ ี่ 8 5 ปี
29 (สมเดจ็ พระสรุ เิ ยนทราธบิ ด)ี พ.ศ. 2204 พ.ศ. 2246 พ.ศ. 2251
(พระเจา้ เสอื )
สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 24 ปี
30 (สมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ท้าย พ.ศ. 2221 พ.ศ. 2251 พ.ศ. 2275
สระ)
31 สมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั บรมโกศ พ.ศ. 2223 พ.ศ. 2275 พ.ศ. 2301 26 ปี
32 สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร พ.ศ. 2265 พ.ศ. 2301 พ.ศ. 2339 2 เดือน
(ขุนหลวงหาวัด)
สมเด็จพระที่น่ังสุรยิ าศน์อัมริ 7 26
33 นทร์ พ.ศ. 2252 พ.ศ. 2301 เมษายน พ.ศ. เมษายน พ.ศ 9 ปี
(พระเจ้าเอกทศั ) 2310 . 2311
พระราชวงศ์
ราชวงศก์ ษตั ริย์ของกรงุ ศรีอยุธยา ประกอบดว้ ย 5 ราชวงศ์ คือ
1.ราชวงศ์อู่ทอง มีกษัตรยิ ์ 3 พระองค์
2.ราชวงศส์ ุพรรณภมู ิ มีกษัตริย์ 13 พระองค์
3.ราชวงศส์ โุ ขทัย มีกษัตรยิ ์ 7 พระองค์
4.ราชวงศ์ปราสาททอง มีกษัตริย์ 4 พระองค์
5.ราชวงศ์บา้ นพลูหลวง มีกษัตริย์ 6 องค์
ซ่ึงรวมเป็นกษัตริย์รวม 34 (นับรวมขุนวรวงศาธิราช ) พระองค์ ซึ่งถือว่ามีมาก ซ่ึง อาณาจักรกรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานี
มาตงั้ แตว่ นั ที่ 3 เมษายน 1893 จนถึงวันที่ 7 เมษายน 2310 เป็นเวลายาวนานถงึ 417 ปีเลยทีเดยี ว
การปกครอง
การจัดการปกครองในสมัยอยุธยาสามารถแบ่งออกได้เป็นสามช่วง คือ ช่วงก่อนการปฏิรูปการปกครองของสมเด็จพระ
บรมไตรโลกนาถ (1-1991) ช่วงสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถจนถึงสมัยสมเด็จพระเพทราชา (1991-2231) และการปฏิรูป
การปกครองของสมเดจ็ พระเพทราชาเป็นต้นไป (2231-2310)
13
อยธุ ยาตอนต้น (1893-1991)
มีการปกครองคล้ายคลึงกับในช่วงสุโขทัย ในราชธานี พระมหากษัตริย์มีสิทธ์ิปกครองโดยตรง หากก็ทรงใช้อานาจผ่าน
ข้าราชการและขุนนางเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีระบบการปกครองภายในราชธานีที่เรียกว่า จตุสดมภ์ ตามการเรียกของ
สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอกรมพระยาดารงราชานุภาพอันได้แก่ กรมเวียง กรมวัง กรมคลัง และกรมนา
การปกครองนอกราชธานี ประกอบด้วย เมอื งหนา้ ดา่ น เมืองชั้นใน เมอื งพระยามหานคร และเมอื งประเทศราช
โดยมีรูปแบบกระจายอานาจออกจากศูนย์กลางค่อนข้างมากเมืองหน้าด่าน ได้แก่ ลพบุรี นครนายก พระประแดง และ
สุพรรณบุรี ตั้งอยู่รอบราชธานีท้ังสี่ทิศ ระยะเดินทางจากราชธานีสองวัน พระมหากษัตริย์ทรงส่งเชื้อพระวงศ์ท่ีไว้วาง
พระทัยไปปกครอง หากก็นามาซึ่งปัญหาการแยง่ ชิงราชสมบัติอยู่บ่อยคร้ัง เมืองชน้ั ในทรงปกครองโดยผู้ร้ัง ถัดออกไปเป็น
เมอื งพระยามหานครหรือหัวเมอื งชั้นนอก ปกครองโดยเจ้าเมอื งที่สืบเชื้อสายมาแต่เดมิ มีหน้าที่จา่ ยภาษแี ละเกณฑ์ผู้คนใน
ราชการสงคราม และสุดท้ายคือเมืองประเทศราช พระมหากษัตริย์ปล่อยให้ปกครองกันเอง เพียงแต่ต้องส่งเครื่อง
บรรณาการมาใหร้ าชธานที ุกปี
สมยั สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถถงึ พระเพทราชา (1991-2231)
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงยกเลิกระบบเมืองหน้าด่านเพื่อขจัดปัญหาการแย่งชิงราชสมบัติ และขยาย
อานาจของราชธานีโดยการกลืนเมืองรอบข้างเข้าเป็นส่วนหน่ึงของราชธานี สาหรับระบบจตุสดมภ์ ทรงแยกกิจการพล
เรือนออกจากกิจการทหารอย่างชัดเจน ให้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของสมุหนายกและสมุหกลาโหมตามลาดับ
นอกจากนย้ี ังมกี ารเปล่ยี นชอ่ื กรมและชือ่ ตาแหนง่ เสนาบดี แต่ยงั คงไว้ซ่ึงหนา้ ทคี่ วามรับผดิ ชอบเดิม
ส่วนการปกครองสว่ นภูมิภาคมีลักษณะเปล่ียนไปในทางการรวมอานาจเข้าสู่ศูนย์กลางให้มากท่ีสุด โดยให้เมือง
ช้ันนอกเข้ามาอยู่ภายใต้อานาจของราชธานี มีระบบการปกครองที่ลอกมาจากราชธานี มีการลาดับความสาคัญของหัว
เมืองออกเป็นช้ันเอก โท ตรี สาหรับหัวเมืองประเทศราชนั้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมากนัก
หากแต่พระมหากษัตริย์จะมีวิธีการควบคุมความจงรักภักดีต่อราชธานีหลายวิธี เช่น การเรียกเจ้าเมืองประเ ทศราชมา
ปรึกษาราชการ หรือมาร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษกหรือถวายพระเพลิงพระบรมศพในราชธานี การอภิเษกสมรสโดย
การใหส้ ่งราชธิดามาเป็นสนม และการส่งข้าราชการไปปกครองเมืองใกล้เคียงกับเมอื งประเทศราชเพอ่ื คอยส่งข่าว ซึ่งเมือง
ที่มหี นา้ ทีด่ งั กลา่ ว เชน่ พิษณุโลกและนครศรธี รรมราช
สมยั ต้ังแต่พระเพทราชา (2231-2310)
ในสมัยพระเพทราชา ทรงกระจายอานาจทางทหารซ่ึงเดิมข้ึนอยู่กับสมุหกลาโหมแต่ผู้เดียวออกเป็นสามส่วน
โดยให้สมุหกลาโหมเปลี่ยนไปควบคุมกิจการทหารในราชธานี กิจการทหารและพลเรือนของหวั เมืองทางใต้ ให้สมุหนายก
ควบคุมกิจการพลเรือนในราชธานี กิจการทหารและพลเรือนของหัวเมืองทางเหนือ และพระโกษาธิบดี ให้ดูแลกิจการ
ทหารและพลเรือนของหัวเมืองตะวันออก ต่อมา สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (2275-2301) ทรงลดอานาจของสมุ
หกลาโหมเหลือเพยี งทปี่ รึกษาราชการ และให้หัวเมอื งทางใตไ้ ปขนึ้ กับพระโกษาธิบดดี ว้ ย
นอกจากนี้ ในสมัยพระมหาธรรมราชา ยังได้จัดกาลังป้องกันราชธานีออกเป็นสามวัง ได้แก่ วังหลวง มีหน้าท่ี
ป้องกันพระนครทางเหนือ วังหน้า มีหน้าท่ีป้องกันพระนครทางตะวันออก และวังหลัง มีหน้าที่ป้องกันพระนครทาง
ตะวนั ตก ระบบดังกลา่ วใช้มาจนถงึ สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว
14
ประชากรศาสตร์
ในชว่ งปลายพุทธศตวรรษท่ี 20 อาณาจักรอยุธยามปี ระชากรประมาณ 1,900,000 คน ซง่ึ นับชายหญิงและเด็ก
อย่างครบถ้วน แต่ลาลูแบร์กล่าวว่า ตังเลขดังกล่าวน่าจะไม่ถูกต้องเนื่องจากมีผู้หนีการเสียภาษีอากรไปอยู่ตามป่าตามดง
อีกมาก มีกลุ่มชาติพันธุ์หลักคือไทยสยาม ซ่ึงเป็นกลุ่มชาติพันธ์ุในตระกูลภาษาไท-กะได ซึ่งบรรพบุรุษของไทยสยาม
ปรากฏหลักแหล่งของกลุ่มคนท่ีใช้ภาษาตระกูลไท-กะไดเก่าแก่ท่ีสุดอายุกว่า 3,000 ปี ซึ่งมีหลักแหล่งแถบกวางสี คาบ
เกี่ยวไปถึงกวางตุ้งและแถบลุ่มแม่น้าดา-แดงในเวียดนามตอนบน ซ่ึงกลุ่มชนน้ีมีความคลื่นไหวไปมากับดินแดนไทยใน
ปัจจุบันทั้งทางบกและทางทะเลและมีการคลื่นไหวไปมาอย่างไม่ขาดสาย ในยุคอาณาจักรทวารวดีในแถบลุ่มแม่น้า
เจา้ พระยาช่วงหลังปี พ.ศ. 1100 ก็มีประชากรตระกูลไทย-ลาว เปน็ ประชากรพ้นื ฐานรวมอยู่ดว้ ย ซ่ึงเป็นกล่มุ ชนอพยพลง
มาจากบริเวณสองฝ่ังโขงลงทางลุ่มน้าน่านแล้วลงสู่ลุ่มแม่น้าเจ้าพระยาฟากตะวันตกแถบสุพรรณบุรี ราชบุรี ถึงเพชรบุรี
และเกี่ยวข้องไปถึงเมืองนครศรีธรรมราช ซ่ึงในส่วนน้ีลาลูแบร์ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์
มหาราช ไดบ้ ันทกึ เกีย่ วกบั ชาวสยามว่า ชาวลาวกบั ชาวสยามเกอื บจะเป็นชนชาติเดยี วกัน
เอกสารจีนทบี่ ันทึกโดยหม่าฮวนได้กล่าวไว้ว่า ชาวเมอื งพระนครศรีอยุธยาพดู จาด้วยภาษาอยา่ งเดยี วกับกลมุ่ ชน
ทางตะวนั ออกเฉียงใต้ของจีน คือพวกทีอ่ ยู่ในมณฑลกวางตุ้งกับกวางสี และด้วยความที่ดินแดนแถบอุษาคเนย์เป็นดินแดน
ที่อุดมสมบูรณ์จึงมีกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายต้ังหลักแหล่งอยู่ปะปนกันจึงเกิดการประสมประสานทางเผ่าพันธ์ุ วัฒนธรรม
และภาษาจนไม่อาจแยกออกจากกันไดอ้ ยา่ งชัดเจน และดว้ ยการผลกั ดันของรัฐละโว้ ทาให้เกิดรัฐอโยธยาศรรี ามเทพนคร
ภายหลังปี พ.ศ. 1700 กไ็ ด้มกี ารเปล่ียนแปลงทางสังคมและวฒั นธรรมหลายอย่าง
ดว้ ยเหตุทก่ี รุงศรีอยธุ ยาเปน็ อาณาจักรท่ีมีความเจริญรุ่งเรืองกลุ่มชาติพันธ์ุกล่มุ อืน่ ๆ ได้อพยพเขา้ มาพึง่ พระบรม
โพธสิ มภาร เชลยท่ีถกู กวาดต้อน ตลอดจนถึงชาวเอเชียและชาวตะวันตกทีเ่ ขา้ มาเพ่ือการค้าขาย ในกฎมนเทียรบาลยุคต้น
กรุงศรีอยุธยาได้เรียกช่ือชนพื้นเมืองต่างๆได้แก่ "แขกขอมลาวพม่าเมงมอญมสุมแสงจีนจามชวา..." ซึ่งมีการเรียกชน
พื้นเมอื งทอี่ าศัยปะปนกันโดยไม่จาแนกว่า ชาวสยามในจานวนนม้ี ชี าวมอญอพยพเขา้ มาในสมยั สมเดจ็ พระมหาธรรมราชา
, สมเด็จพระนเรศวรมหาราช, สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง, สมเด็จพระนารายณ์มหาราช และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรม
โกศ เนื่องจากชาวมอญไม่สามารถทนการบีบค้ันจากการปกครองของพม่าในช่วงราชวงศ์ตองอู จนในปี พ.ศ. 2295 พม่า
ได้ปราบชาวมอญอย่างรุนแรง จึงมกี ารลีภ้ ัยเข้ามาในกรุงศรีอยุธยาจานวนมากโดยชาวมอญในกรุงศรีอยุธยาตงั้ ถิ่นฐานอยู่
ริมแม่นา้ เชน่ บ้านขม้ินรมิ วดั ขุนแสน ตาบลบ้านหลังวัดนก ตาบลสามโคก และวดั ทา่ หอยชาวเขมรอยู่วัดคา้ งคาวชาวพม่า
อยู่ข้างวัดมณเฑยี รส่วนชาวตังเก๋ียและชาวโคชนิ ไชนา่ (ญวน) ก็มีหม่บู า้ นเช่นกันเรียกวา่ หมู่บา้ นโคชินไชนา่ นอกจากนชี้ าว
ลาวก็มีจานวนมากเช่นกัน โดยในรัชสมัยของสมเด็จพระราเมศวรครองราชย์คร้ังที่สอง ได้กวาดต้อนครัวลาวเชียงใหม่
ส่งไปไว้ยังจังหวัดพัทลงุ สงขลา นครศรธี รรมราชและจนั ทบุรี และในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณม์ หาราชทีท่ รงยกทัพ
ไปตีล้านนาในปี พ.ศ. 2204 ได้เมืองลาปาง ลาพนู เชียงใหม่ เชยี งแสน และไดก้ วาดต้อนมาจานวนหน่ึงเป็นตน้ โดยเหตุผล
ทก่ี วาดต้อนเข้ามา ก็เพื่อวัตถปุ ระสงคท์ างด้านเศรษฐกจิ และการทหาร และนอกจากกลมุ่ ประชาชนแล้วกลมุ่ เชอ้ื พระวงศ์ท่ี
เปน็ เชลยสงครามและผูท้ ่ีเข้ามาพ่ึงพระบรมโพธิสมภาร มีทั้งเชื้อพระวงศ์ลาว, เช้ือพระวงศเ์ ชียงใหม่ (Chiamay), เชือ้ พระ
วงศพ์ ะโค (Banca), และเช้ือพระวงศก์ ัมพชู า
นอกจากชุมชนชาวเอเชียท่ีถูกกวาดต้อนมาแล้วก็ยังมีชุมชนของกลุ่มผู้ค้าขายและผู้เผยแผ่ศาสนาทั้งชาวเอเชีย
จากสว่ นอนื่ และชาวตะวันตก เช่น ชุมชนชาวฝร่งั เศสทบี่ า้ นปลาเหด็ ปัจจบุ ันอยทู่ างทิศใต้นอกเกาะอยุธยาใกลก้ บั วัดพุทไธ
สวรรย์ ซึ่งภายหลังบ้านปลาเห็ตไดเ้ ปล่ียนช่ือเป็นบ้านเซนต์โยเซฟ หมู่บ้านญี่ปุ่นอยู่รมิ แมน่ ้าระหว่างหมู่บ้านชาวมอญและ
โรงกลั่นสุราของชาวจีน ถัดไปเป็นชุมชนชาวฮอลันดาทางใต้ของชุมชนฮอลันดาเป็นถิน่ พานักของชาวอังกฤษ, มลายู และ
15
มอญจากพะโค นอกจากน้ีก็ยังมีชุมชนของชาวอาหรับ เปอร์เซีย และกลิงก์ (คนจากแคว้นกลิงคราฎร์จากอินเดีย)ส่วน
ชุมชนชาวโปรตุเกสตั้งอยู่ตรงข้ามชุมชนญ่ีปุ่น ชาวโปรตุเกสส่วนใหญ่มักสมรสข้ามชาติพันธุ์กับชาวสยาม จีน และมอญ
ส่วนชุมชนชาวจามมีหลักแหล่งแถบคลองตะเคียนทางใต้ของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาเรียกว่า ปทาคูจาม มีบทบาท
สาคัญดา้ นการคา้ ทางทะเล และตาแหน่งในกองทพั เรือ เรยี กวา่ อาษาจาม และเรยี กตาแหน่งหวั หน้าว่า พระราชวังสัน
ภาษา
สาเนียงดั้งเดิมของกรุงศรีอยุธยามีความเช่ือมโยงกับชนพื้นเมืองต้ังแต่ลุ่มน้ายมท่ีเมืองสุโขทัยลงมาทางลุ่มน้า
เจ้าพระยาฝ่ังตะวันตกในแถบสุพรรณบุรี, ราชบุรี,เพชรบุรี ซึ่งสาเนียงดังกล่าวมีความใกล้ชิดกับสาเนียงหลวงพระบาง
โดยเฉพาะสาเนียงเหน่อของสพุ รรณบุรีมีความใกลเ้ คียงกบั สาเนียงหลวงพระบาง ซึ่งสาเนงี เหน่อดังกลา่ วเป็นสาเนยี งหลวง
ของกรุงศรีอยุธยา ประชาชนชาวกรุงศรีอยุธยาทั้งพระเจ้าแผ่นดินจนถึงไพร่ฟ้าราษฏรก็ล้วนตรัสและพูดจ าใน
ชีวิตประจาวัน ซ่ึงปัจจุบันเป็นขนบอยู่ในการละเล่นโขนที่ต้องใช้สาเนียงเหน่อ โดยหากเปรียบเทียบกับสาเนียงกรุงเทพฯ
ในปัจจุบันนี้ ที่ในสมัยนั้นถือว่าเป็นสาเนียงบ้านนอกถิ่นเล็กๆของราชธานีที่แปร่งและเยื้องจากสาเนียงมาตรฐานของกรุง
ศรีอยุธยา และถือว่าผิดขนบ ภาษาด้ังเดิมของกรุงศรีอยุธยาปรากฏอยู่ในโองการแช่งน้า ซ่ึงเป็นร้อยกรองท่ีเต็มไปด้วย
ฉนั ทลักษณ์ทแี่ พรห่ ลายแถบแว่นแคว้นสองฝ่ังลุ่มแมน่ ้าโขงมาแต่ดึกดาบรรพ์ และภายหลงั ได้พากันเรียกว่าโคลงมณฑกคติ
เนอื่ งจากเข้าใจว่าได้รับแบบแผนมาจากอนิ เดีย ซึ่งแท้จรงิ คือโคลงลาว หรือ โคลงห้า ทเี่ ป็นต้นแบบของโคลงด้นั และโคลงส่ี
สุภาพ โดยในโองการแช่งน้าเต็มไปด้วยศัพท์แสงพื้นเมืองของไทย-ลาวส่วนคาท่ีมาจากบาลี-สันสกฤต และเขมรอยู่น้อย
โดยหากอ่านเปรียบเทียบก็จะพบว่าสานวนภาษาใกล้เคียงกับข้อความในจารึกสมัยสุโขทัย และพงศาวดารล้านช้างด้วย
เหตุที่กรุงศรีอยุธยาต้ังอยู่ใกล้ทะเลและเป็นศูนย์กลางการค้านานาชาติทาให้สังคมและวัฒนธรรมเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ต่างกับบ้านเมืองแถบสองฝั่งโขงที่ห่างทะเลเป็นเหตุท่ีทาใหม้ ีลักษณะท่ีล้าหลังจึงสืบทอดสาเนียงและระบบความเช่ือแบบ
ดงั้ เดิมไว้ไดเ้ กือบทั้งหมด ส่วนภาษาในกรุงศรีอยุธยาก็ได้รบั อิทธิพลของภาษาจากตา่ งประเทศจึงรับคาในภาษาต่างๆมาใช้
เช่นคาว่ากุหลาบ ที่ยืมมาจากคาว่า กุล้อบ ในภาษาเปอร์เซีย ท่ีมีความหมายเดิมว่า น้าดอกไม้ และยืมคาว่า ปาดรื
(Padre) จากภาษาโปรตเุ กส แลว้ ออกเสียงเรียกเป็น บาทหลวงเป็นตน้
ระบบไพร่
อาณาจักรอยุธยามีการใช้ระบบไพร่อันเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างมากเม่ือเทียบกับสมัย
สุโขทัย โดยกาหนดให้ชายทุกคนที่สูงตั้งแต่ 1.25 เมตรข้ึนไปต้องลงทะเบียนไพร่ ไพร่จะต้องทางานท่ีได้รับมอบหมาย
เดือนเว้นเดือน โดยไม่มีคา่ ตอบแทนหรือเสบียงอาหารใด ๆ ระบบไพร่มีความสาคัญต่อการรักษาอานาจทางการเมืองของ
พระมหากษัตริย์ เพราะหากมีการเบียดบังไพรโ่ ดยเจ้านายหรือขุนนางไว้เปน็ จานวนมากแลว้ ยอ่ มสง่ ผลต่อเสถียรภาพของ
ราชบัลลังก์ได้ ตลอดจนส่งผลให้กาลังในการป้องกันอาณาจักรก็จะอ่อนแอ ไม่เป็นปึกแผ่น นอกจากน้ี ระบบไพร่ยังเป็น
การเกณฑ์แรงงานเพ่ือใช้ประโยชน์ในโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ซึ่งล้วนแต่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานชีวิตและความม่ันคงของ
อาณาจักร
ความสมั พนั ธก์ ับต่างประเทศ
อาณาจักรอยุธยามักส่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายจักรพรรดิจีนเป็นประจาทุกสามปี เคร่ืองบรรณาการน้ี
เรียกว่า "จิ้มก้อง" นักประวัติศาสตร์เช่ือว่าการส่งเคร่ืองราชบรรณาการดังกล่าวแฝงจุดประสงค์ทางธุรกิจไว้ด้วย คือ เม่ือ
อาณาจกั รอยุธยาได้ส่งเครอ่ื งราชบรรณาการไปถวายแลว้ ก็จะได้เคร่ืองราชบรรณาการกลับมาเปน็ มลู ค่าสองเทา่ ทง้ั ยังเป็น
ธุรกิจที่ไม่มีความเสี่ยง จึงมักจะมีขุนนางและพ่อค้าเดินทางไปพร้อมกับการนาเครื่องราชบรรณาการไปถวายด้วย
อาณาจักรอยุธยามีความสัมพันธ์กับชาติตะวันตกในด้านการค้าขายและการเผยแผ่ศาสนา โดยชาวตะวันตกได้นาเอา
16
วิทยาการใหม่ ๆ เข้ามาด้วย ต่อมา คอนสแตนติน ฟอลคอนได้เขา้ มามีอิทธิพลและยังมีหลักฐานว่าคบคิดกับฝร่ังเศสจะยึด
ครองกรุงศรีอยุธยา บรรดาขุนนางจึงประหารฟอลคอนเสีย และลดระดับความสาคัญกับชาติตะวันตกตลอดช่วงเวลาท่ี
เหลอื ของอาณาจักรอยุธยา
สบื ค้นขอ้ มูลจาก
https://th.wikibooks.org/wiki/ประวตั ิศาสตร์ไทย/ประวตั ิศาสตร์ไทยสมยั อยธุ ยา
https://www.baanjomyut.com/76province/ayutthaya_2.html