The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by fernamazhing2002, 2022-12-30 10:03:25

กฎหมายละเมิดเบื้องต้น

กฎหมายละเมิด

CREATIVE PRESENTATION TEMPLATE

ค ว า ม รู้ เ กี่ ย ว กั บ
ก ฎ ห ม า ย ล ะ เ มิ ด

BY 2 GOOD 4 U

หลักเกณฑ์ทั่วไปของละเมิดอันเกิดจาก
กระทำของตนเอง
• ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือ ประมาทเลินเล่อ
ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสีย
หาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็
ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่ง
อย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้
ค่า สินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

PAGE 02 OF 12

องค์ประกอบของการกระทำละเมิดตามมาตรา 420

1.ผู้ใดกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ

2.ต่อบุคคลอื่ นโดยผิดกฎหมาย

3.บุคคลอื่ นได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย

อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่าง

ใด

4.มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับผล

ผู้ใดกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ การกระทำตาม
มาตรา 420ความหมายของคําว่า
“การกระทํา”

การกระทำแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ
1.การเคลื่อนไหวร่างกาย โดยอยู่ภายใต้บังคับของจิตใจหรือทำ
โดยรู้สำนึก เช่น การตี ตบ ยิง แทง โดยผู้กระทำรู้สำนึก
* แต่การเคลื่อนไหวร่างกายโดยไม่รู้สำนึกย่อมไม่ถือเป็นการกระทำ

2.การกระทําโดยงดเว้น การกระทําโดยงดเว้น คือ การไม่กระทำ
การตามหน้ าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งตนมีหน้ าที่ที่ต้องกระทำเพื่อ
ป้ องกันมิให้ เกิดผลนั้น

GRAPHIC DESIGNER

จงใจ กล่าวว่า การกระทำโดยรู้สำนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิด
จาก การกระทำของตน ถ้ารู้ว่าการกระทำนั้นจะเกิดผลเสีย
หายแก่เขาแล้ว ก็ถือเป็นการกระทำโดยจงใจ

ประมาทเลินเล่อ คือ การกระทำโดยมิได้จงใจ แต่กระทำโดยปราศจาก PAGE 04 OF 12
ความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลที่ อยู่ในภาวะเช่นนั้น จักต้องมีตามวิสัยและ
พฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ไม่เพียงพอ*
1.มิได้จงใจ

2.เป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลที่อยู่ในภาวะ
เช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและ พฤติการณ์
3ผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

การกระทำโดยผิดกฎหมาย ได้แก่
1.มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งว่าการกระทำนั้นเป็ นความผิด

2.ไม่มีกฎหมายบัญญัติโดยตรงว่าการกระทำนั้นเป็ นความผิด
แต่ได้กระทำให้ผู้อื่นเสียหาย โดยไม่มีอำนาจอัน ชอบธรรมที่จะ
กระทำไดถือว่าเป็ นการกระทำที่ผิดกฎหมายเช่นกัน

ตัวอย่างมาตรา 420 นายดำดื่มสุราแล้วเมา หลังจากนั้นจึงขับรถกลับ
บ้าน แต่ขณะที่ขับรถกลับนั้นนายดำได้ขับรถชนรถยนต์ ของนายตั้มได้
รับความเสียหาย การกระทําดังกล่าวของนายตัง ถือว่าเป็นความผิด
ฐานละเมิดโดยประมาทเลินเล่อทำให้ทรัพย์สินของเขาเสียหาย ตาม
มาตรา 420

ความรับผิดโดยการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่ง ข้อความ
อันฝ่ าฝื นต่อความจริง

มาตรา 423 วางหลักว่า ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่ง
ข้อความอันฝ่ าฝื นต่อความ จริง เป็ นที่เสียหายแก่ชื่อเสียง
หรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี หรือเป็ นที่เสียหายแก่ทางทำ
มา หาได้หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่นก็ดี ท่านว่าผู้
นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ เขาเพื่อความเสียหาย
อย่างใด ๆ อันเกิดแต่การนั้น แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อความ
นั้นไม่จริง แต่ หากควรจะรู้ได้ ผู้ใดส่งข่าวสารอันตนมิได้รู้ว่า
เป็ นความไม่จริง หากว่าตนเองหรือผู้รับข่าวสารนั้นมีทาง ได้
เสียโดยชอบในการนั้นด้วยแล้ว ท่านว่าเพียงที่ส่งข่าวสารเช่น

นั้นหาทำให้ผู้นั้นต้องรับผิดใช้ค่า สินไหมทดแทนไม่

องค์ประกอบความรับผิดตามมาตรา 423

1.ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย กระทำการต่างๆ ให้ผู้อื่น

2.ข้อความอันฝ่ าฝื นต่อความจริง

3.ต้องรู้ว่าไม่จริง หรือควรจะรู้ว่าข้อความที่กล่าวนั้นไม่จริง

4.เป็ นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณ ทางทำมาหาได้หรือทาง

เจริญของบุคคลอื่ น

5.มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับผล

1.ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย * การกล่าว หมายถึง การ
เปล่งเสียงออกมาเป็ นคำพูด อันทำให้ผู้อื่นเข้าใจความหมายได้ *

การไขข่าว หมายถึง การกระทำไม่ว่าโดยวิธีใดๆ อันทำให้ผู้อื่น
เข้าใจความหมายนั้น เช่น การเขียนเป็ นภาพ หนังสือ แสดง
กิริยาอาการหรือโดยวิธีการอย่างอื่ น


แพร่หลาย หมายถึง ต้องเป็ นการกล่าวหรือไขข่าวถึงบุคคลอื่น
ต่อบุคคลที่สาม แม้บุคคลที่ สามมีเพียงคนเดียวก็ถือว่าแพร่
หลายแล้ว

อันฝ่ าฝื นต่อความจริง * กล่าวคือข้อความที่กล่าวหรือไขข่าว
นั้นต้องไม่เป็ นความจริง โดยไม่จริงทั้งหมดหรือบางส่วน ก็ได้
ดังนั้น ถ้าเป็ นความจริงแล้วผู้กล่าวหรือไขข่าวย่อมไม่มีความ
ผิดตามมาตรานี้ ลักษณะข้อความ - ต้องเป็ นการยืนยันข้อเท็จ
จริงที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตหรือในปั จจุบัน กล่าวคือ ต้อง ยืนยัน
ข้อเท็จจริงว่าผู้เสียหายไปทำอะไรในทางเสื่ อมเสียในอดีตหรือ
ปั จจุบัน เช่น ใส่ความว่า ประพฤติชั่ว / ใส่ความว่าประพฤติ
เสื่อมเสียในทางประเวณี ใส่ความว่าประพฤติเสื่อมเสียใน ตำา
แหน่งหน้าที่หรืออาชีพ / ใส่ความว่าเป็ นโรคที่สังคมรังเกียจ

เป็ นต้น

ลักษณะข้อความ -ต้องเจาะจงหรือคนทั่วไปเข้าใจได้ว่าหมายถึงผู้เสีย
หายโดยเฉพาะ การยืนยันข้อเท็จจริงนี้จะต้องเฉพาะเจาะจงถึงผู้เสีย

หาย หรือที่คนทั่วไปเข้าใจได้ว่าหมายถึงตัวผู้เสียหาย



** ข้อยกเว้นตามมาตรา 423 วรรค 2
1.ผู้ส่งต้องไม่รู้ว่าข้อความที่ส่งไปนั้นไม่จริง ดังนั้นหากรู้ว่าไม่จริงจะ
อ้างไม่ได้
2.ต้องเป็ นการส่งข่าวระหว่างผู้ส่งและผู้รับโดยตรงเท่านั้น มิใช่
เป็ นการเผยแพร่ให้ผู้อื่นรู้ เช่น ส่งโดยทาง จดหมาย, จดหมาย
อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) เป็ นต้น 3.ผู้ส่ง หรือผู้รับ หรือทั้งสองฝ่ าย

ครูอาจารย์ นายจ้างหรือผู้รับดูแลร่วมรับผิดในการกระทำละเมิด
ของผู้ไร้ความสามารถ มาตรา 430

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 430 ครูบาอาจารย์
นายจ้าง หรือบุคคลอื่นซึ่งรับ ดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่
เป็ นนิตย์ก็ดี ชั่วครั้งคราวก็ดี จำต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ ความ
สามารถในการละเมิด ซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความ
ดูแลของตน ถ้าหาก พิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้น ๆ มิได้ใช้ความ
ระมัดระวังตามสมควร มาตรา 430 กำหนดให้ครู อาจารย์
นายจ้าง หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแล (บุคคลอื่นนอกเหนือจาก บิดา
มารดา หรือผู้อนุบาล) ซึ่งดูแลผู้ไร้ความสามารถตามข้อเท็จจริง
ต้องร่วมรับผิดในการ กระทำละเมิดของผู้ไร้ความสามารถ ผู้ไร้
ความสามารถตามมาตรานี้ หมายถึง ผู้เยาว์ บุคคลวิกลจริตไม่ว่า
ศาลจะมีคำสั่งให้เป็ นคน ไร้ฯหรือไม่ก็ตาม

บุคคลที่ต้องรับผิดตามมาตรา 430 ผู้รับผิดตามมาตรานี้ หมายถึง ครูบา
อาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่น ซึ่งรับดูแลผู้ไร้ฯ เป็ น หน้าที่ดูแลตามข้อ
เท็จจริง ไม่ว่าจะดูแลเป็ นการชั่วคราวหรือประจำ




1.ครูบาอาจารย์ หมายถึง ผู้ที่มีหน้าที่อบรมสั่งสอนให้การศึกษาแก่ผู้
ไร้ความสามารถไม่ว่าจะมีค่าตอบแทน หรือไม่ก็ตาม และมีหน้าที่
ดูแลผู้ไร้ความสามารถด้วย เช่น ครูหรืออาจารย์ในโรงเรียนอนุบาล
หรือโรงเรียนประถมหรือมัธยม แต่ไม่รวมถึง ครูสอนพิเศษ หรือ
อาจารย์ในมหาวิทยาลัย เพราะไม่ได้รับดูแลนักเรียนนิสิต นักศึกษา
ด้วย

2.นายจ้าง หมายถึง ผู้ที่มีความสัมพันธ์กับผู้ไร้ความ
สามารถตามสัญญาจ้างแรงงาน และมีหน้าที่ดูแลผู้ไร้ความ
สามารถนั้นด้วย ตามปกตินายจ้างต้องรับผิด ร่วมกับลูกจ้าง
เฉพาะการกระทำละเมิดในทางการที่จ้าง ตามมาตรา 425
แต่เมื่อมีหน้าที่ดูแลด้วย เช่น ให้ผู้ไร้ความสามารถมาอยู่ใน
บ้านแม้ผู้ไร้ ความสามารถจะกระทําละเมิดนอกทางการจ้าง
นายจ้างก็ต้องร่วมรับผิด ตามมาตรา 430

3.บุคคลอื่นซึ่งรับดูแล หมายถึง บุคคลนอกจากครูบาอาจารย์
และนายจ้าง ซึ่งจะเป็ นใครก็ได้ เมื่อรับดูแลผู้ไร้ความสามารถ
ก็เกิดหน้าที่ดูแลโดยข้อเท็จจริง เช่น -ปู่ ย่า ตา ยาย รับเลี้ยง
หลาน, ผู้รับเลี้ยงเด็กหรือบุคคลวิกลจริต -บิดาโดยไม่ชอบ
ด้วยกฎหมายรับเลี้ยงบุตร, พี่รับเลี้ยงน้อง เป็ นต้น

ครูบาอาจารย์ นายจ้างหรือผู้รับดูแลต้องร่วมรับผิดกับผู้ไร้ความ
สามารถ มีหลักเกณฑ์ดังนี้
1.ผู้ไร้ความสามารถกระทำละเมิดต่อบุคคลอื่ น
2.ผู้ไร้ความสามารถกระทำละเมิดขณะอยู่ในความดูแลของบุคคลดัง
กล่าว เช่น นักเรียนกระทำละเมิดระหว่างที่อยู่ในโรงเรียน ครูบา
อาจารย์ต้องร่วมรับผิดด้วย ถ้ากระทำละเมิดก่อนหรือหลังจากเลิก
เรียนแล้ว ครูบาอาจารย์ไม่ต้องร่วม รับผิด
3.ผู้เสียหายพิสูจน์ได้ว่า ผู้นั้นมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร
มาตรา 430 นี้ มิใช่บทสันนิษฐานว่าผู้รับดูแลผู้ไร้ความสามารถจะ
ต้องร่วมรับผิดเมื่อผู้ไร้ความสามารถทำละเมิด ดังนั้นผู้เสียหายจึงยัง
คงมีหน้าที่นำสืบให้ศาลเห็น ว่าบุคคลเหล่านี้มิได้ใช้ความระมัดระวัง
ตามสมควร

สิทธิไล่เบี้ยของนายจ้าง426

กรณีลูกจ้างทําละเมิดต่อบุคคลภายนอก ที่กล่าวว่า การละเมิดเป็ นบ่อเกิดแห่ง
หนี้ ฉะนั้น เมื่อ บุคคลกระทำการอันเรียกว่าเป็ นการละเมิดขึ้น และบุคคล อื่น

ได้รับความเสียหาย ผู้กระทำละเมิดย่อมต้องรับผิดชำระหนี้อันเกิด จากการ
ละเมิดนั้น ดังที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 บัญญัติไว้ ว่า
“ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อบุคคลอื่น โดยผิดกฎหมาย ให้เขาเสียหาย
ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัย ก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่าง
อื่นอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้น ทําละเมิด จ่าต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

และรับผลของงานนั้น จึงมีเหตุผลที่นายจ้างต้องรับผิด เพราะนายจ้าง
เป็ นผู้ควบคุม เป็ นผู้เลือก ลูกจ้างและไว้ใจลูกจ้างลูกจ้างประพฤติ ไม่ดี
นายจ้างมีสิทธิไล่ออกได้ ลูกจ้าง ต้องปฏิบัติตามคำสั่งด้วยเหตุผลเหล่านี้
หากการที่ลูกจ้างได้กระทําไปเป็ นละเมิด นายจ้างจึงต้องรับผลนั้นด้วย
โดยต้อง รับผิดในผลแห่งละเมิดที่ลูกจ้างได้ ทําไปในทางการที่จ้าง ความ
รับผิด ของนายจ้างนี้เป็ นความรับผิดร่วม กับลูกจ้าง แต่มีสิทธิไล่เบี้ยเอา
กับ ลูกจ้างได้ในภายหลัง ตามมาตรา 426 ที่บัญญัติไว้ว่า "นายจ้างซึ่ง
ได้ใช้ค่า ที่กล่าวมานี้เป็ นหลักทั่วไปในลักษณะละเมิด ซึ่งบุคคลผู้ก่อ ให้
เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่ ใน

บางกรณี ที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเพื่ อการกระทำละเมิดของ
บุคคลอื่น ซึ่งตนเองมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับการทำงานหรือมีหน้าที่

ควบคุมหรือมีส่วนในการกระทำผิดด้วย

ดังเช่นกรณีนายจ้างต้อง รับผิดในการกระทำของลูกจ้าง ที่
บัญญัติไว้ในมาตรา 425 ว่า “นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับ
ลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้ กระทำไปในทางการที่
จ้างนั้น" บทบัญญัตินี้กำหนดให้นายจ้างจะรับ ผิด ต้องเป็ น
เรื่องการงานที่ลูกจ้างทำให้แก่นายจ้างเป็ นการทำตาม นิติ
สัมพันธ์ระหว่างลูกจ้างกับนายจ้างเท่านั้น โดยนายจ้างเป็ น
เจ้าของ สินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อ ละเมิดอัน
ลูกจ้างได้ทำนั้น ชอบที่จะได้ชดใช้ จากลูกจ้างนั้น” สิทธิไล่เบี้ย
ของนายจ้างต่อ ลูกจ้าง เมื่อนายจ้าง ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

ไปแล้วจํานวนเท่าใดนายจ้างย่อมมีสิทธิไล่เบี้ย

The End


Click to View FlipBook Version