On the Job
Training
(OJT)
Presented by : Lakkana Watcharasincharoen 620610369
On the Job Training
(OJT)
โลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก การทำงานขององค์กรต่างๆในแต่ละวัน
ก็ต้องก้าวตามให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ดังนั้นเวลาจึงถือเป็นสิ่ง
สำคัญในการทำงานอย่างมาก นั่นทำให้การฝึกปฏิบัติงานในยุคนี้ต้องปรับตัว
จากยุคก่อน จากที่เคยมีเวลาฝึกฝนปฏิบัติงานก่อนลงมือทำงานจริง ก็ปรับมา
เป็นการฝึกปฏิบัติงานไปพร้อมการทำงานจริง หรือที่เรียกกันว่า On the Job
Training (OJT)
ความหมายของ
On the Job Training
การฝึกอบรมในขณะปฏิบัติงาน
หมายถึง กิจกรรมเพื่อสร้างการเรียนรู้
ด้วยการให้ผู้เข้ารับการสอนงานมีประสบการณ์
ตรง (direct experience) กับงานที่จะ
สอน
หมายถึง กระบวนการสำคัญที่ช่วยพัฒนา
หรือฝึกฝนบุคลากรในหน่วยงานให้มีความ
สามารถ ทักษะ ความชำนาญ ตลอดจน
ประสบการณ์ให้เหมาะสมกับการทำงาน
รวมถึงก่อให้เกิดทัศนคติ เจตคติที่ดีต่อการ
ปฏิบัติงาน อันจะส่งผลให้บุคลากรมีความ
สามารถสูงขึ้นและทำให้หน่วยงานหรือ
องค์การมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลดีขึ้น
หมายถึง การสอนงานในขณะปฏิบัติงาน
ตัวต่อตัวภายใต้การดูแลของผู้บังคับบัญชา
ผู้เรียนจะได้รู้ทักษะและพฤติกรรมใหม่ โดยการ
สังเกตและการลงมือทำงานภายใต้การแนะนำ
ของผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่นั้นจริงๆ ผู้เรียนได้รับ
อนุญาตให้ทำงานได้ตามความสามารถที่มีอยู่
ทำให้เกิดความมั่นใจและรู้สึกถึงผลงานที่ตน
ทำได้การเรียนในสภาพแวดล้อมของการ
ทำงานจริงจะทำให้เข้าใจงานและมีโอกาสได้
แก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ ก่อนที่เขาจะได้รับ
มอบหมายให้ทำงานนั้นๆ
On the Job Training
กับการพัฒนาองค์กร
การพัฒนาองค์กรให้มีความก้าวหน้าจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการ
ที่ดีและมีระบบการทำงานที่เป็นมาตรฐาน นอกจากนี้ต้องพัฒนาบุคลากร
ให้มีความรู้ ความสามารถในหน้าที่การงาน ซึ่งเป็นหน้าที่ที่สำคัญของผู้
บังคับบัญชาที่ต้องสอนงานแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้สามารถปฏิบัติ
งานได้อย่างถูกต้อง
การสอนงานด้วยวิธีการฝึกอบรมในขณะปฏิบัติงาน หรือที่เรียกกัน
ว่า On the Job Training (OJT) เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้กันอย่างแพร่
หลาย โดยเฉพาะบุคลากรที่เข้ามาทำงานใหม่ หรือได้รับการแต่งตั้ง
โยกย้าย ให้มาดำรงตำแหน่งใหม่ การฝึกอบรมด้วยวิธีนี้จะช่วยให้เกิด
ความสำเร็จสูง ทั้งนี้เพราะผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีโอกาสเรียนรู้ขั้นตอน
ของการปฏิบัติงานจากสภาพจริง
เมื่อไรจึงจะต้องทำ OJT
การฝึกอบรมในขณะปฏิบัติงานจะทำก็ต่อ
เมื่อ
1. เมื่อรับบุคลากรเข้ามาทำงานใหม่
2. เมื่อบุคลากรเลื่อนระดับสูงขึ้น
3. เมื่อมีการหมุนเวียนงาน
4. เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะงาน เช่น
การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ในการ
ปฏิบัติงาน
5. งานอย่างเดียวกันแต่ทำคนละแบบ วิธีไม่
เหมือนกัน
ระยะเวลาการทำ OJT
ระยะเวลาการฝึกปฏิบัติงานจากการ
ทำงานจริงนั้นไม่มีข้อกำหนดที่ชัดเจนแน่นอน
แต่องค์กรสามารถสร้างมาตรฐานของตนเอง
ขึ้นมาได้ โดยส่วนใหญ่แล้ว OJT ตามระบบ
สากลจะอยู่ที่ 1-6 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความ
เหมาะสมขององค์กรและความยากง่ายของ
แต่ละทักษะในการทำงานด้วย
การฝึกอบรมในขณะปฏิบัติงาน (OJT)
ดำเนินการเป็น 3 ระยะ
ระยะที่ 1 ก่อนเริ่มดำเนินการ จะต้องเตรียมความพร้อม ระยะที่ 2 ระหว่างดำเนินการ จะต้องแสดงการทำงานให้
ของผู้เรียน ได้แก่ ผู้เรียนได้เรียนรู้ ได้แก่
ให้ผู้เรียนมีความผ่อนคลายไม่เครียด อธิบายผลงานที่คาดหวังทั้งในเชิงปริมาณ และเชิง
อธิบายเหตุผลที่ผู้เรียนต้องได้รับการฝึกอบรม คุณภาพ
ค้นหาว่าผู้เรียนได้เคยรู้อะไรมาบ้างในงานที่จะทำ ให้ผู้เรียนปฏิบัติงาน ณ สถานที่ทำงานปกติ
อธิบายขอบเขตงานทั้งหมดและเปรียบเทียบ เสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยวิธีการ
เชื่อมโยงกับสิ่งที่ผู้เรียนเคยเรียนรู้มาก่อน ต่างๆ เช่น Telling เล่าอธิบายขั้นตอน ชี้แจง
ให้ผู้เรียนอยู่ในสภาพที่ใกล้เคียงกับการปฏิบัติงาน ความเข้าใจ/Showing แสดงตัวอย่างของจริง
จริงมากที่สุด หรือสาธิตให้ดู
ให้ผู้เรียนได้คุ้นเคยกับวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ ให้ผู้เรียนปฏิบัติงานช้าๆ หลายๆ ครั้ง อธิบายขั้น
ตอนการทำงานทีละขั้นตอนพร้อมทั้งอธิบายขั้น
ตอนที่สำคัญ และในส่วนที่ยุ่งยากหรือส่วนที่มัก
เกิดความผิดพลาดบ่อยครั้ง
ให้ผู้เรียนอธิบายขั้นตอนการทำงานเพื่อยืนยัน
ความเข้าใจไปพร้อมกับการปฏิบัติงานอย่างช้าๆ
หากมีความผิดพลาดต้องแก้ไขทันที
เมื่อผู้เรียนแสดงให้เห็นว่าสามารถทำงานได้ ก็ให้ผู้
เรียนเริ่มงาน แต่ยังอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของ
ผู้สอน
การฝึกอบรมในขณะปฏิบัติงาน (OJT)
ดำเนินการเป็น 3 ระยะ
ระยะที่ 3 หลังดำเนินการ เป็นการติดตามงานหลังการ
ดำเนินการ
กำหนดตัวบุคคลที่ผู้เรียนควรขอความช่วยเหลือ
ถ้ามีปัญหา
เพื่อคอยกำกับดูแล
ค่อยๆลดการควบคุมโดยใช้การตรวจสอบงานเป็น
ระยะแทน
แก้ไขรูปแบบการทำงานที่ผิดพลาดก่อนที่จะกลาย
เป็นนิสัยการทำงานที่ผิด แสดงให้ผู้เรียนได้เห็น
ความแตกต่างระหว่างรูปแบบการทำงานที่ผิดกับ
ถูก
ให้รางวัลการปฏิบัติงานที่ดีและถูกต้อง
ขั้นตอนการทำ
On the Job Training
ขั้นตอนการทำ
On the Job Training
1. ขั้นตอนการสำรวจ ผู้บังคับบัญชาสำรวจ และดูว่างานใดจำเป็น
ต้องให้พนักงานมีความรู้เพื่อปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง ทักษะใด
จำเป็นสำหรับการทำงานนั้นๆ รวมทั้งสำรวจดูว่ากลุ่มเป้าหมายที่
จะฝึกอบรมในขณะปฏิบัติงานเป็นใคร เป็นพนักงานใหม่หรือ
พนักงานที่มีประสบการณ์การทำงานแล้ว เพื่อที่จะดูว่าพนักงาน
คนนั้นมีความสามารถหรือศักยภาพอยู่ในระดับใด เพื่อที่จะทำ
OJT ได้ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด
2. ขั้นตอนการวางแผน ผู้บังคับบัญชากำหนดขอบเขต วางแผน
ระยะเวลา ระบุความคาดหวัง แผนการดำเนินงาน เป้าหมายและ
ผลลัพธ์ที่ต้องการ สถานที่ที่ต้องการฝึกปฏิบัติงานจริง รวมทั้ง
การจัดเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็นในการฝึก
อบรมในขณะปฏิบัติงาน
3. ขั้นตอนการสื่อสาร ผู้บังคับบัญชาจะต้องแจ้งให้ผู้เรียนทราบ
ถึงจุดประสงค์และเป้าหมายที่ชัดเจนก่อนที่จะมีการจัดฝึกอบรมใน
ขณะปฏิบัติงานจริง เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาและจัดเตรียมความ
พร้อมในการเรียนรู้ เป็นการสอบถามหรือซักถามในประเด็นใน
ส่วนที่ยังไม่เข้าใจไว้ล่วงหน้า
4. ขั้นตอนการนำไปปฏิบัติ ในช่วงการฝึกอบรมในขณะปฏิบัติงาน
ผู้บังคับบัญชาที่ทำหน้าที่สอนผู้เรียน จะต้องอธิบายขั้นตอนใน
รายละเอียดอย่างช้าๆ และมีการสาธิตวิธีการทำงานอย่างเป็นขั้น
ตอน
5. ขั้นตอนการประเมิน ผู้บังคับบัญชาประเมินติดตามผลการ
ทำงานอย่างใกล้ชิด ให้ข้อมูลป้อนกลับกับผู้เรียนทันที และให้ข้อ
แนะนำหากเกิดความผิดพลาด
ความแตกต่างระหว่างการฝึกอบรมขณะ
ปฏิบัติงาน (On the Job Training)
กับ การสอนงาน (Coaching)
On the Job Training Coaching
1. เกิดการเรียนรู้จากการฝึกปฏิบัติงานจริงใน 1. ไม่จำเป็นต้องเป็นการฝึกปฏิบัติในภาคสนาม
ภาคสนาม ในสถานที่จริง เท่านั้น สามารถจำลองสถานการณ์เสมือนจริง
เพื่อให้พนักงานได้ฝึกฝนและปฏิบัติ
2. เครื่องมือนี้จำเป็นต้องใช้ควบคู่ไปกับการ 2. เครื่องมือนี้ไม่จำเป็นจะต้องใช้ควบคู่กับ
สอนงานเสมอ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจที่ OJT เป็นการสอนในลักษณะ Off the Job
Training ได้ นั่นก็คือการสอนที่ไม่ใช้สถานที่
ถูกต้องในการปฏิบัติงาน
หรือสถานการณ์จริง
3. เน้นให้ผู้เรียนเกิดทักษะ (Skill) 3. เน้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้ (Knowledge)
เกิดความชำนาญในการปฏิบัติงานจริง ทักษะ (Skill) และทัศนคติ (Attitudes)
ที่ดีขึ้นจากการสอนงาน
4. เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการเรียนรู้ จำนวน 4. สามารถสอนงานได้ทั้งกลุ่มขนาดเล็กหรือ
กลุ่มคนไม่จำเป็นต้องมากนัก เพราะต้องให้ผู้ ขนาดใหญ่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการ
เรียนฝึกปฏิบัติงานจริงจากสถานที่จริง โดยผู้
สอนจะต้องติดตามเพื่อชี้แนะว่าข้อใดพึงปฏิบัติ สอนงาน
หรือไม่ปฏิบัติ
บุคคลสำคัญในการฝึกอบรมขณะปฏิบัติงาน
การฝึกงานแบบ OJT ที่ดีไม่ใช่แค่การบอกให้พนักงานใหม่เริ่มทำงานเลยโดยที่เขาไม่รู้
อะไร ไม่มีคนสอนงาน ไม่มีคนบอกงานชัดเจน ไม่มีคนดูแล นั่นอาจทำให้การทำงานมีโอกาสผิด
พลาดขึ้นได้ สำหรับองค์กรที่มีความพร้อมในการฝึกงานตามระบบ OJT อาจตั้งคนที่มีความ
รับผิดชอบในการดูแลอย่างเป็นระบบ โดยแบ่งเป็น
1. ครูฝึก (Trainer)
อาจเป็นระดับผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้างานคอยสอนการ
ทำงาน และด
ูภาพรวมของการทำงานให้
2. พี่เลี้ยง (Mentor)
อาจเป็นระดับพนักงานด้วยกันเอง หรืออาจเป็นระดับอาวุโส
(Senior) กว่าที่จะคอยเป็นคู่คิด ที่ปรึกษา ตลอดจนสอนในราย
ละเอียดลงลึกขึ้นในกระบวนการทำงานจริง ณ เวลาทำงานจริง
หากองค์กรที่มีขนาดเล็กลง Trainer กับ Mentor อาจเป็นคนคนเดียวกันก็ได้ แต่ทั้งนี้
ควรมีการตั้งคนดูแลอย่างเป็นทางการ และต้องสอบถามคนที่มาทำหน้าที่ด้วยว่าเต็มใจและ
สามารถทำหน้าที่ได้หรือไม่ หากได้ Trainer กับ Mentor ที่ไม่ตั้งใจ ไม่เต็มใจ ก็อาจทำให้ OJT
ไม่ประสบความสำเร็จได้ ซึ่งการจะทำ OJT นั้น องค์กรก็ควรต้องมีความพร้อมด้วย หากไม่มี
ความพร้อมก็อาจทำให้เสียเวลาเปล่า และขาดประสิทธิภาพในที่สุด
สิ่งที่ผู้บังคับบัญชาควรปฏิบัติในการฝึกอบรมขณะปฏิบัติงาน
ผู้บังคับบัญชาควรกำหนดเวลาว่างของตนเอง เพื่อเตรียมงานที่จะมอบหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชา
นำไปปฏิบัติและควรมีเวลาที่แน่นอนสำหรับให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าพบเพื่อขอคำปรึกษาด้วย
งานที่มอบหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำ ผู้บังคับบัญชาควรได้รู้และปฏิบัติงานนั้นแล้วทุกขั้นตอน
และเมื่อมอบหมายงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ควรชี้ให้เห็นถึงเป้าหมายในการทำงาน วิธีการทำงาน
และมาตรฐานของงานอย่างชัดเจน
การติดต่อสื่อสารกับผู้ใต้บังคับบัญชา ควรทำด้วยความจริงใจ รับฟังปัญหาของผู้ใต้บังคับบัญชา
เพื่อการชี้แนะอย่างถูกต้อง อย่าทำตนเป็นคนที่ยุ่งมากจนผู้ใต้บังคับบัญชาไม่กล้าขอคำปรึกษา
การมอบหมายงานแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้ใด ผู้บังคับบัญชาควรศึกษาให้ทราบขีดความสามารถของ
ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้นก่อน และมอบหมายงานให้ตรงกับระดับความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา
ผู้บังคับบัญชาควรทำตนเหมือนหัวหน้าทีมที่ต้องดึงความสามารถของลูกทีมแต่ละคนมาใช้
ประโยชน์ให้เต็มที่ และประสานงานในทีมให้มุ่งสู่ความสำเร็จให้ได้
สิ่งที่ผู้บังคับบัญชาควรปฏิบัติในการฝึกอบรมขณะปฏิบัติงาน
เป้าหมายในการทำงานนั้น ผู้บังคับบัญชาต้องเน้นเป้าหมายทั้ง 3 ด้าน ทั้งในด้านคุณภาพ
(Quality) กำหนดการส่งมอบ (Delivery) และต้นทุน (Cost) เพื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชามอง
ปัญหาอย่างรอบด้าน
ในระหว่างที่ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาควรมี
ส่วนช่วยชี้แนะทีละจุด เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างถูกต้อง และไม่เกิดความเสียหาย หากผู้บังคับ
บัญชาปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคิดเอง ทำเองทั้งหมด โอกาสที่จะผิดพลาดมีมาก
ผู้บังคับบัญชาควรมีตารางควบคุมงานประจำวัน และกาiตรวจสอบการปฏิบัติงานที่ดี เพื่อจะ
สามารถสนับสนุน แนะนำ สอนงานแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ในเวลาที่เหมาะสม ในบางกรณี
ผู้บังคับบัญชาควรมีส่วนช่วยผู้ใต้บังคับบัญชาในการขจัดปัญหาที่กีดขวางการปฏิบัติงานด้วย
ขั้นตอนการปฏิบัติงานที่สำคัญ ควรมีการจดบันทึกรวบรวมเป็นเอกสาร และมีการปรับปรุงพัฒนา
ตลอดเวลา เพื่อเป็นเครื่องมือในการฝึกอบรมบุคลากรใหม่ โดยอย่าให้ความรู้นั้นหายไปกับบุคลากร
ที่ต้องโยกย้ายหรือเปลี่ยนงานไป
สิ่งที่ผู้บังคับบัญชาควรปฏิบัติในการฝึกอบรมขณะปฏิบัติงาน
การฝึกอบรมในขณะปฏิบัติงาน (On the Job Training) จะเกิดผลดีถ้ามีการ
ฝึกอบรมนอกเวลาปฏิบัติงาน (Off the Job Training)มาก่อน เช่น การฝึกอบรมใน
ชั้นเรียน การสัมมนา กรณีศึกษาฯ เพราะการสอนงานนอกงานจะเป็นส่วนของการให้การ
ฝึกอบรมพื้นฐาน (Basic Training) เมื่อมีพื้นฐานมั่นคงก็จะทำให้ OJT พัฒนาได้เร็ว
และดำเนินไปอย่างถูกทาง
การฝึกอบรมในขณะปฏิบัติงานเป็นแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการสอนงานที่เน้นการให้ผู้เข้า
รับการสอนงานต้องมีประสบการณ์ตรงในงานที่จะต้องทำจริง ผู้บังคับบัญชาทุกคนต้อง
รับผิดชอบจัดให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้ารับการสอนงานในแนวทางปฏิบัติ OJT เพื่อพัฒนา
ให้เกิดการเรียนรู้ตามความต้องการของงานในหน้าที่และเข้าลักษณะสำคัญที่ถือว่าเป็น
หัวใจของ OJT นั่นคือการให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้มีประสบการณ์ตรงจากงาน
ข้อได้เปรียบสำหรับองค์กรในการทำ OJT
1. การเตรียมการไม่ยุ่งยากซับซ้อนและไม่เสียเวลา (Simplicity & Save Time)
การทำ OJT นั้นก็คือการทำงานจริงอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องเตรียมอะไรใหม่ให้เสียเวลา สามารถใช้
ข้อมูลหรือการเตรียมงานเดิมสำหรับพนักงานมาใช้กับพนักงานใหม่ได้เลย เพราะเป็นสิ่งเดียวกันที่ต้อง
รู้และต้องปฏิบัติตามอยู่แล้ว ขณะเดียวกันสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันเป็นองค์ความรู้ติดตัวอยู่แล้ว ผู้สอนงาน
หรือแม้กระทั่งพี่เลี้ยงไม่ต้องเสียเวลาเตรียมตัวอะไรใหม่ สามารถถ่ายทอดประสบการณ์จริงสู่พนักงาน
ใหม่ได้เลย
2. ประหยัดงบประมาณ (Economy)
การฝึกปฏิบัติงานแบบ OJT นั้นไม่ต้องเตรียมการอะไรมาก นั่นทำให้องค์กรประหยัดงบประมาณ
ลงได้มากเช่นกัน สามารถนำงบประมาณไปใช้ในการทำงานจริงเลย ไม่ต้องเสียงบประมาณเพิ่มในการ
ฝึกฝน หรือจัดสถานที่ใหม่ ขณะเดียวกันพนักงานใหม่ที่เข้าระบบ OJT ก็สามารถเป็นฟันเฟืองทำ
ประโยชน์ให้ธุรกิจเช่นเดียวกับพนักงานปกติด้วย
3. ได้ทำงานในสถานที่จริง (Actual Work Station)
การได้ทำงานในสถานที่จริงนั้นถือเป็นการปรับตัวให้เข้ากับการทำงานจริงไปในตัว ไม่ต้องมาเสีย
เวลาปรับตัวใหม่อีกครั้งหลังจากการฝึกปฏิบัติงานในรูปแบบอื่น ขณะเดียวกันพนักงานใหม่ก็ได้ฝึกฝน
การจัดการกับปัญหาและสถานการณ์จริงไปด้วย รวมถึงได้ฝึกใช้งานอุปกรณ์การทำงานจริง ตลอดจน
วัตถุดิบที่ต้องทำงานจริง สามารถสร้างความคุ้นเคยกับระบบงานได้อย่างรวดเร็ว
ข้อได้เปรียบสำหรับองค์กรในการทำ OJT
4.สร้างผลผลิตและผลประกอบการได้ทันที (Immediate Productivity)
ประโยชน์อย่างหนึ่งของ OJT ก็คือการไม่ต้องเสียวัตถุดิบไปเปล่าประโยชน์กับการฝึกการทำงาน
รูปแบบอื่น เพราะ OJT คือการทำงานจริง ดังนั้นพนักงานใหม่สามารถผลิตผลผลิตตลอดจนสร้างผล
ประกอบการให้กับองค์กรได้ทันทีพร้อมกับพนักงานคนอื่นๆ ทำให้บริษัทไม่เสียโอกาสทางธุรกิจด้วย
5.เรียนรู้ได้รวดเร็ว (Quick Learning)
เนื่องจากการฝึกงานแบบ OJT นั้นเป็นการทำงานในสภาพแวดล้อมจริง ดังนั้นจะช่วยส่งเสริมการ
เรียนรู้ที่รวดเร็วตามไปด้วย อีกทั้งยังทำให้พนักงานใหม่มีสมาธิจดจ่อในการทำงานมากขึ้น เพราะไม่
อยากสร้างความผิดพลาดที่จะส่งผลต่อการประเมินผลหรือความเสียหายในธุรกิจ นั่นทำให้เกิดการ
เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและรอบคอบได้เช่นกัน เพราะ OJT ไม่ใช่ฝึกงานบนสนามทดสอบ แต่เป็นการ
ทำงานบนสนามจริง
6. เรียนรู้ได้หลายทักษะในคราวเดียวกัน (Multi-skill)
ข้อดีของ OJT ในการทำงานจริงนั้นก็คือการได้เรียนรู้หลายทักษะไปในตัวอย่างอัตโนมัติ นอกจาก
ทักษะในงานของตนเองก็ยังต้องเรียนรู้ทักษะในการทำงานร่วมกับคนอื่น ทั้งในและนอกองค์กร ทักษะ
การแก้ปัญหา ทักษะการสื่อสาร หรือแม้กระทั่งทักษะในการอดทนต่อสภาวะการทำงานที่กดดัน เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้จะทำให้พนักงานใหม่เรียนรู้ได้หลายอย่างไปพร้อมกันในเวลาเดียวกัน
ข้อเสียเปรียบสำหรับองค์กรในการทำ OJT
1. สร้างผลเสียหรือผลกระทบต่อธุรกิจได้ง่าย
การฝึกงานแบบ OJT ที่ทำงานจริงนั้นทำให้เราไม่สามารถเห็นศักยภาพในการทำงานจริงของ
พนักงานใหม่ก่อนได้เลย ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงในการสร้างผลเสียตลอดจนผลกระทบต่อธุรกิจได้สูง
หากเลือกคนทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพเข้ามา
2. ไม่สามารถปกปิดความลับขององค์กรได้ เพราะต้องเปิดเผยทั้งหมดในการทำงานจริง
การฝึกงานแบบ OJT ที่ทำงานจริงนั้น พนักงานใหม่จะต้องรู้ถึงข้อมูลที่แท้จริงทุกอย่างเพื่อให้
ทำงานได้ บางข้อมูลที่เป็นความลับของบริษัท อาจเสี่ยงต่อการรั่วไหลได้ หากเลือกคนที่ไม่น่าไว้ใจเข้ามา
ร่วมงานกับองค์กร ซึ่งองค์กรยังไม่มีโอกาสเรียนรู้พนักงานคนนั้นได้อย่างลึกซึ้งในเวลาอันสั้น
3. ใช้เวลาในการทำความเข้าใจนาน
หากเป็นงานที่ละเอียดซับซ้อน การทำงานจริงเลยอาจจะยังไม่พร้อม พนักงานใหม่ไม่มีเวลาทบทวน
และจดจำรายละเอียดได้ครบถ้วนในเวลาอันรวดเร็ว บางครั้งอาจทำให้เกิดความผิดพลาดในการทำงาน
ได้ เนื่องจากพนักงานใหม่ยังไม่เข้าใจในระบบหรือเนื้องานที่แท้จริง
4. ขาดประสิทธิภาพในการติดตามผลและประเมินผล
เนื่องจากเป็นการฝึกงานจากการทำงานจริงเลย บางครั้งหัวหน้าหรือแม้แต่พี่เลี้ยงซึ่งก็มักจะเป็น
พนักงานที่ทำงานจริงอยู่แล้วอาจไม่มีเวลามาติดตามผลหรือประเมินผลอย่างใกล้ชิด เพราะแต่ละคน
อาจจะมีงานหนักอยู่แล้ว บางครั้งอาจทำให้เกิดการประเมินผลแบบขอไปที หรือไม่มีเวลาใส่ใจเท่าที่ควร
รวมถึงไม่มีเวลา feedback ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงทีด้วย และหากไม่สังเกตการทำงานทั้ง
กระบวนการก็มีส่วนทำให้การประเมินผลผิดพลาดได้เช่นกัน
ข้อพึงระวังในการทำ OJT
ในการจัดทำ OJT นั้น มีสิ่งที่ต้องพึงระวังอยู่บ้าง ซึ่งไม่ควรมองข้าม ได้แก่
ผู้ที่ทำหน้าที่ในการให้คำแนะนำ จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และความเข้าใจในการ
ปฏิบัติงานที่แท้จริง มิฉะนั้นอาจส่งผลให้เกิดผลการปฏิบัติงานที่ผิดพลาด
เป็นการยากที่จะนำบุคคลภายนอกที่มีความรู้ความชำนาญในเรื่องต่างๆมาให้คำ
แนะนำ ถ้าบุคคลนั้นขาดความเข้าใจในวิธีการปฏิบัติงานของส่วนราชการ
ในบางกรณีผู้ที่มีความรู้และความเข้าใจในการทำงานด้านนั้นๆ อาจจะไม่มีทักษะ
ในการเป็นผู้ฝึกสอนที่ดี
แนวความคิดยุคดิจิทัลที่เป็นประโยชน์ต่อการฝึกงานแบบ OJT
“Fail Fast – กล้าที่จะทำ กล้าที่จะผิดพลาด
แล้วเรียนรู้แก้ไขให้ไว”
“Fail Fast – กล้าที่จะทำ กล้าที่จะผิดพลาด แล้วเรียนรู้แก้ไขให้ไว” ไม่กลัวการทำพลาด
เพราะยุคนี้ทุกองค์กรต่างต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดเวลา มีสิ่งให้เรียนรู้อีกมากมาย รวมถึงมีสิ่งใหม่ที่
อาจจะต้องทดลองหรือสร้างด้วยตนเองเพื่อความสำเร็จในวันข้างหน้า หากจะก้าวไว การมีแนวความ
คิดกล้าที่จะผิดพลาดจะทำให้องค์กรกล้าทดลองทำอะไรใหม่ๆ เมื่อเกิดการผิดพลาดก็ยอมรับ ศึกษา
เรียนรู้ เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาให้ไวที่สุด ไม่ใช่การมานั่งโทษกัน จับผิดผู้ทำผิดพลาด หรือแม้แต่
กระทั่งลงโทษผู้ที่ทำผิดพลาด เพราะนั่นจะทำให้องค์กรไม่เกิดการกล้าทำอะไรใหม่ๆ การรีบผิดพลาด
อาจจะทำให้เราลุกขึ้นไวกว่าคนอื่น และเรียนรู้ได้ไวกว่าคนอื่นด้วย และอาจทำให้การทำงานมี
ประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าที่คิด
ดังนั้นจึงควรเปลี่ยนมุมมองให้ลองคิดบวกเพิ่มขึ้น มองความผิดพลาดให้เป็นเรื่องทัศนคติบวก
มองให้เป็นเคสตัวอย่างในการที่จะสอนเราในคราวต่อไป มองความผิดพลาดเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้
อะไรใหม่ และมองความผิดพลาดเป็นแรงผลักดันในการทำให้เกิดความสำเร็จใหม่ที่ดีกว่าเดิม
สรุป
OJT เป็นเครื่องมือในการพัฒนาทักษะและความชำนาญของบุคลากร ซึ่งจุดเด่นของ
เครื่องมือนี้คือการเน้นให้บุคลากรได้ฝึกปฏิบัติงานจริง ทำให้ผู้ที่ได้เข้ารับการฝึกอบรมได้
ทราบถึงขั้นตอนการทำงานและวิธีการทำงานที่ถูกต้อง หากพบการปฏิบัติที่ผิดพลาดก็
สามารถแก้ไขได้ทันทีโดยผู้สอนงาน เครื่องมือนี้ช่วยให้บุคลากรใช้เวลาในการเรียนรู้งาน
ไม่นาน เนื่องจากมีการทำงานจริงโดยมีหัวหน้างานหรือผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ
ตลอดระยะเวลาของการเรียนรู้งาน