๑ บทสรุปผู้บริหาร สำนักงานศึกษาธิการภาค 4 ได้ดำเนินการโครงการฝึกอบรมลูกเสือ เนตรนารี จราจร ประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2564 ในภาวการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา 2019 โดยเปลี่ยนรูปแบบการ จัดการฝึกอบรมแบบปกติ เป็นการฝึกอบรมแบบออนไลน์ ผ่านโปรแกรม Google Meet โดยขอใช้ห้องอบรม ณ ค่ายศรียานนท์ สังกัด กองกำกับการ 7 กองบังคับการฝึกพิเศษตำรวจตระเวนชายแดน อำเภอชะอำ จังหวัด เพชรบุรี ระหว่างวันที่ 28-29 สิงหาคม และวันที่ 4 กันยายน 2564 รวมระยะเวลา 3 วัน โดยมีกิจกรรม ดำเนินการเป็นขั้นตอน ดังนี้ กิจกรรมที่ 1 ประชุมปฏิบัติการคณะกรรมการดำเนินงานโครงการ กำหนดจัดประชุมคณะกรรมการดำเนินงานโครงการฯ ตามคำสั่งที่ 36/2564 เรื่อง การแต่งตั้ง คณะกรรมการดำเนินงานโครงการฝึกอบรมลูกเสือ เนตรนารีจราจร เพื่อให้การปฏิบัติงานและการดำเนินงาน ด้านต่าง ๆ ของโครงการฯ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ในวันอังคาร ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2564 ณ ห้องประชุมสำนักงานศึกษาธิการภาค 4 และผ่านระบบ Zoom Meeting มติที่ ประชุมให้ชะลอการจัดการฝึกอบรมแบบปกติไปก่อนในระยะแรก หากโรคติดเชื้อโคโรนา 2019 ยังไม่กลับสู่ ปกติ ก็ควรจัดฝึกอบรมแบบออนไลน์ เพื่อให้เกิดทักษะความรู้แก่ลูกเสือ เนตรนารีที่ลงทะเบียนขอเข้ารับการ ฝึกอบรมไว้ จำนวน 117 คน กิจกรรมที่ 2 ฝึกอบรมลูกเสือ เนตรนารีจรจาจร ดำเนินงานโครงการฝึกอบรมลูกเสือ เนตรนารีจราจร โดยมีสถานศึกษาในพื้นที่สำนักงาน ศึกษาธิการภาค 4 จากสถานศึกษา 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีสถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 17 โรงเรียน จำนวนผู้เข้ารับการ ฝึกอบรมทั้งสิ้น 117 คน มีผู้ผ่านการฝึกอบรมตามเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน 48 คน คิดเป็นร้อยละ 41.02 และผู้เข้ารับการฝึกอบรมฯ มีความรู้ความเข้าใจและทักษะเรื่องลูกเสือ เนตรนารีจราจร คิดเป็นร้อยละ 85.41 จากจำนวนผู้ผ่านการฝึกอบรมฯ จำนวน 48 คน โดยใช้หลักเกณฑ์การฝึกอบรมที่กำหนด ปัญหา อุปสรรค 1. ระบบสัญญาณอินเตอร์เน็ตขัดข้องในบางพื้นที่ทำให้ความชัดเจนของภาพและเสียงลดลง 2. ระยะเวลาในจัดการฝึกอบรมฯ ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานทำให้อุปกรณ์มีความร้อนสูงและ แบตเตอรี่ลดลงไม่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ในระหว่างการฝึกอบรมฯได้และการอบรมในระยะเวลาที่นาน ต่อเนื่องกันทำให้เกิดอาการปวดบริเวณดวงตาเนื่องจากการจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน 3. พื้นที่มีความเสี่ยงสูงของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID - 19 ข้อเสนอแนะ 1. ควรจัดการฝึกอบรมฯ แบบปกติ 2. ปรับลดเวลาการฝึกอบรมให้เหมาะสม หากใช้การอบรมด้วยระบบออนไลน์
๒ ส่วนที่ 1 บทนำ หลักการและเหตุผล จากยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาและเสริมสร้าง ศักยภาพคน พัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต การยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ให้มีคุณภาพเท่าเทียมทั่วถึง การปลูกฝังระเบียบ วินัย คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่พึงประสงค์และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔) ยุทธศาสตร์ที่ ๑ ยุทธศาสตร์พัฒนาหลักสูตร กระบวนการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล ที่มุ่งหวังให้คนไทยมีคุณธรรม จริยธรรม มีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนา ประเทศ ในอนาคต ซึ่งตอบสนองการพัฒนาในด้านคุณภาพและด้านการตอบโจทย์บริบทที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างรวดเร็ว จากสภาวะปัจจุบัน ในพื้นที่ที่มีประชากรรวมกันอยู่อย่างหนาแน่น มักจะประสบปัญหา ด้านการจราจร เช่น มีปริมาณรถมากไม่สัมพันธ์กับจำนวนถนน ฝนตก น้ำท่วม ทำให้วิสัยทัศน์ในการขับขี่ลดลง มีการก่อสร้างทาง เช่น การขุดถนนวางท่อระบายน้ำ โครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ อุบัติเหตุต่างที่เกิดขึ้นบนท้อง ถนน และที่สำคัญคือผู้ใช้รถใช้ถนนไม่เคารพและปฏิบัติตามกฎจราจร จากสภาพปัญหาที่กล่าวมาล้วนเป็น ปัญหาที่ต้องอาศัยระยะเวลาในการแก้ไข โดยจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น หน่วยงานของรัฐ เอกชน หรือประชาชนทั่วไป ต้องมีการประสานความร่วมมือและร่วมกันปฏิบัติงาน โดยมิใช่เห็นว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานหรือองค์กรใดเพียงลำพัง สำนักการลูกเสือ ยุวกาชาด และกิจการนักเรียน สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นองค์กร ที่เสริมสร้างและพัฒนานักเรียน นักศึกษาและเยาวชนให้เป็นคนดีของสังคม โดยผ่านกระบวนการทางด้าน ลูกเสือ ยุวกาชาด ได้เล็งเห็นถึงโอกาสที่จะส่งเสริมและพัฒนาลูกเสือ เนตรนารีทั้งทางกาย สติปัญญา จิตใจ และศีลธรรม ให้เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบและช่วยสร้างสรรค์สังคมให้เกิดความสามัคคีและ มีความเจริญก้าวหน้า มีจิตอาสาที่จะช่วยเหลือและบำเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวมและสังคมโดยการปฏิบัติ หน้าที่อำนวยความสะดวกด้านจราจร ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรในพื้นที่ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและ มีประสิทธิภาพ จึงกำหนดจัดโครงการฝึกอบรมลูกเสือ เนตรนารี จราจร ขึ้น และจัดสรรงบประมาณให้ สำนักงานศึกษาธิการภาค 4 กระทรวงศึกษาธิการ เป็นหน่วยงานในสำนักงานปลัดกระทรวง ศึกษาธิการ มีหน้าที่ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบายและยุทธศาสตร์ของกระทรวง ศึกษาธิการในพื้นที่รับผิดชอบ ดังนั้น เพื่อเป็นการดำรงรักษาไว้ ซึ่งผลการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ จนเป็นเลิศ เกิดการบูรณาการ เป็นแบบอย่างและขยายผลสู่สถานศึกษาอื่น ๆ อย่างจริงจัง จึงจัดทำโครงการฝึกอบรม ลูกเสือ เนตรนารี จราจร สำนักงานศึกษาธิการภาค 4 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ขึ้น วัตถุประสงค์ 1. เพื่อส่งเสริมให้ลูกเสือ เนตรนารี มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องกฎหมายจราจร และการใช้รถ ใช้ถนนอย่างปลอดภัย มีทักษะการใช้สัญญาณมือ สัญญาณนกหวีด ในการปฏิบัติหน้าที่การอำนวย ความสะดวกด้านการจราจร กับเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร และสามารถนำความรู้ ทักษะ ไปใช้ในการดำเนิน ชีวิตประจำวัน ได้อย่างถูกต้อง 2. เพื่อส่งเสริมให้เกิดการจัดตั้งเครือข่ายจิตอาสาและการบำเพ็ญประโยชน์ เพื่อช่วยเหลือสังคม ด้านการจราจรของลูกเสือ เนตรนารี ในสถานศึกษา
๓ เป้าหมาย (เชิงปริมาณ/เชิงคุณภาพ) 1. เป้าหมายเชิงปริมาณ ลูกเสือ เนตรนารี จราจรในสถานศึกษา จำนวน 80 คน ครูผู้ควบคุม จำนวน 10 คน ข้าราชการและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง จำนวน 10 คน รวมทั้งสิ้น 100 คน 2. เป้าหมายเชิงคุณภาพ 1) ลูกเสือ เนตรนารี มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องกฎหมายจราจร และการใช้รถ ใช้ถนนอย่าง ปลอดภัย มีทักษะการใช้สัญญาณมือ สัญญาณนกหวีด ในการปฏิบัติหน้าที่การอำนวยความสะดวก ด้านการจราจร กับเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร 2) จัดตั้งเครือข่ายจิตอาสาและการบำเพ็ญประโยชน์ เพื่อช่วยเหลือสังคมด้านการจราจรของลูกเสือ เนตรนารี ในสถานศึกษา ผลผลิต ผลลัพธ์ และดัชนีชี้วัดความสำเร็จ 1. ผลผลิต (Output) มีจำนวนลูกเสือ เนตรนารี เข้าร่วมกิจกรรม 80 คน 2. ตัวชี้วัดผลลัพธ์ (Outcomes) 1. ระดับความพึงพอใจของผู้เข้ารับการอบรม ไม่น้อยกว่าร้อยละ 85 2. ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ความเข้าใจและทักษะเรื่องลูกเสือ เนตรนารี จราจร โดยมี คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 85 ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1. ลูกเสือ เนตรนารี ที่เข้ารับการฝึกอบรม มีความรู้ความเข้าใจเรื่องกฎหมายจราจร และใช้รถใช้ถนน อย่างปลอดภัย มีทักษะการใช้สัญญาณมือ สัญญาณนกหวีด ในการปฏิบัติหน้าที่การอำนวยความสะดวก ด้านการจราจรร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้อง 2. มีการจัดตั้งเครือข่ายจิตอาสาและการบำเพ็ญประโยชน์ เพื่อช่วยเหลือสังคมด้านการจราจรของ ลูกเสือ เนตรนารี ในสถานศึกษา กลุ่มเป้าหมายผู้ได้รับผลประโยชน์ ลูกเสือ เนตรนารี ครูผู้ควบคุม สถานศึกษา บุคลากรในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด ในพื้นที่ รับผิดชอบสำนักงานศึกษาธิการภาค 4 วิธีดำเนินการ (Activity) –กิจกรรม 1. จัดทำโครงการเพื่อขออนุมัติ 2. จัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานดำเนินโครงการฯ ประชุมมอบหมายงาน 3. ดำเนินการจัดโครงการฝึกอบรมลูกเสือ เนตรนารี จราจร 4. คณะกรรมการติดตามประเมินผลฯ ดำเนินการติดตามประเมินผลการดำเนินการจัดโครงการ ฝึกอบรมลูกเสือ เนตรนารีจราจร 5. ประเมินผลและสรุปรายงานผลการฝึกอบรม ระยะเวลาดำเนินโครงการ 1 ตุลาคม 2563 – 30 กันยายน 2564 สถานที่ดำเนินการ สถานศึกษาในพื้นที่รับผิดชอบของสำนักงานศึกษาธิการภาค 4
๔ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณ กิจกรรม/ขั้นตอนการดำเนินงาน ช่วงระยะเวลาดำเนินการ หมายเหตุ ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. 1. ขออนุมัติโครงการ 2. แต่งตั้งคณะทำงานโครงการและ ประชุมมอบหมายงาน 4. ดำเนินการจัดโครงการฝึกอบรม ลูกเสือ เนตรนารี จราจร 5. ดำเนินการติดตามประเมินผลการจัด โครงการฝึกอบรมลูกเสือ เนตรนารี จราจร ในสถานศึกษา 6. ประเมินผลและสรุปรายงาน งบประมาณ จำนวนทั้งสิ้น 100,000 บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) จากงบประมาณประจำปีพ.ศ. ๒๕64 แผนงาน พื้นฐานด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ผลผลิตผู้ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม กิจกรรมลูกเสือ ยุวกาชาดและกิจการนักเรียน งบรายจ่ายอื่น ค่าใช้จ่ายโครงการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม เพื่อสร้างพื้นฐานแก่ผู้เรียนด้านการศึกษา 4 ด้าน ผู้รับผิดชอบโครงการ กลุ่มพัฒนาการศึกษา สำนักงานศึกษาธิการภาค 4 สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1. ลูกเสือ เนตรนารี ที่เข้ารับการฝึกอบรม มีความรู้ความเข้าใจเรื่องกฎหมายจราจร และใช้รถใช้ถนน อย่างปลอดภัย มีทักษะการใช้สัญญาณมือ สัญญาณนกหวีด ในการปฏิบัติหน้าที่การอำนวยความสะดวก ด้านการจราจรร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้อง 2. มีการจัดตั้งเครือข่ายจิตอาสาและการบำเพ็ญประโยชน์ เพื่อช่วยเหลือสังคมด้านการจราจรของ ลูกเสือ เนตรนารี ในสถานศึกษา
๕ สภาพทั่วไปพื้นที่รับผิดชอบสำนักงานศึกษาธิการภาค 4 สำนักงานศึกษาธิการภาค 4 เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งขาติ ที่ 19/2560 ลงวันที่ 3 เมษายน 2560 ข้อที่ 5 ให้มีการจัดตั้งสำนักงานศึกษาธิการภาค จำนวน 18 ภาค สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ตามบัญชีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศกำหนดโดย กำหนดให้สำนักงานศึกษาธิการภาค 4 ตั้งสำนักงานอยู่ที่จังหวัดสมุทรสงคราม รับผิดชอบกลุ่มจังหวัด จำนวน 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ คำขวัญประจำจังหวัด เมืองทองเนื้อเก้า มะพร้าวสับปะรด สวยสดหาดเขาถ้ำ งามล้ำน้ำใจ ที่ตั้ง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นจังหวัดภาคกลางของประเทศชายฝั่งทะเลยาวประมาณ 224.8 กิโลเมตร มีส่วนที่แคบที่สุดของประเทศอยู่ในเขตตำบลคลองวาฬ อำเภอเมืองฯ จากอ่าวไทยถึงเขตแดนพม่า ประมาณ 12 กิโลเมตร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีเนื้อที่ประมาณ 6,367.620 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 3,979,762.5 ไร่ อาณาเขตติดต่อ ทิศเหนือ ติดต่อกับ จังหวัดเพชบุรี ทิศใต้ ติดต่อกับ จังหวัดชุมพร ทิศตะวันออก ติดต่อกับ อ่าวไทย ทิศตะวันตก ติดต่อสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ลักษณะภูมิประเทศ ภูมิประเทศและลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่วนใหญ่เป็น เทือกเขาสูงเป็นแนวภูเขาที่ซับซ้อนมีที่ราบแคบ ๆ ในเขตหุบเขาเป็นแห่ง ๆ และมีที่ราบเชิงเขาต่อเนื่องกับ ที่ราบภาคกลางตามแนวฝั่งทะเลด้านตะวันออก มีความลาดเอียงจากทิศตะวันตกตามแนวเทือกเขาตะนาวศรี ลงสู่ทิศตะวันออกด้านอ่าวไทย ภูมิประเทศด้านตะวันออก บริเวณชายฝั่งทะเลย มีภูเขากระจัดกระจายทั่วไป ทั้งบริเวณชายฝั่งทะเลด้านตะวันตก และบริเวณส่วนกลางของพื้นที่ที่สำคัญเป็นแนวเทือกเขาสามร้อยยอดซึ่งมี ความสูงโดยเฉลี่ยประมาณ 750 เมตร ความสูงจากระดับน้ำทะเล ชายฝั่งทะเล ชายฝั่งตะวันออก โดยประมาณ 1-5 เมตร ความลาดชันค่อนข้างสูงนี้ทำให้เกิดลำห้วย เกาะเล็กเกาะน้อย เกาะสำคัญ คือ เกาะจานและเกาะทะลุ ภูมิประเทศด้านตะวันออก แนวเทือกเขาตะนาวศรี เป็นแนวป่าไม้ตลอดเขตจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ข้อมูลการปกครอง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์แบ่งเขตการปกครอง เป็น 8 อำเภอ 48 ตำบล 388 หมู่บ้าน โดยมี ประชากรจำนวน 509,134 คน แยกเป็น ประชากรชาย จำนวน 255,584 คน ประชากรหญิง จำนวน 253,550 คน
๖ แหล่งการเรียนรู้ อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ เปิดให้บริการฐานการเรียนรู้เป็น 3 กลุ่ม การเรียนรู้ โดยจัดแสดงแยกอยู่ตามอาคารต่าง ๆ ได้แก่ กลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประกอบด้วย ฐานการเรียนรู้เปิดโลกคอมพิวเตอร์ฐาน การเรียนรู้การคมนาคมและขนส่ง ฐานการเรียนรู้เมืองเด็ก ฐานการเรียนรู้เปิดโลกอนาคต ฐานการเรียนรู้ สวนวิทยาศาสตร์ บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย ฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ปฏิบัติการ ฐานการเรียนรู้เปิดโลก พลังงาน บ้านวิทยาศาสตร์ การเรียนรู้เทคโนโลยีเพื่ออาชีพ การเรียนรู้โบราณสถาน กลุ่มดาราศาสตร์และอวกาศ ประกอบด้วย ฐานการเรียนรู้ฟากฟ้า ณ หว้ากอ ฐานการเรียนรู้ มนุษย์กับดวงดาว ฐานการเรียนรู้พระราชวงศ์ไทยกับดาราศาสตร์ ฐานการเรียนรู้รวมใจชาวประจวบ ฐานการ เรียนรู้ความเป็นไปในจักรวาลเรียนรู้เทคโนโลยีกับเอกภพ และฐานการเรียนรู้พระบิดาแห่งเทคโนโลยีไทย กลุ่มธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย ฐานการเรียนรู้ธรรมชาติศึกษาฐานการเรียนรู้ นกและแมลง ฐานการเรียนรู้ทรัพย์จากแผ่นดินและสวนหิน ฐานการเรียนรู้ระบบนิเวศและโลกเรา ขุนเขา ฐานการเรียนรู้พื้นที่ชุ่มน้ำ จังหวัดเพชรบุรี คำขวัญประจำจังหวัด เขาวังคู่บ้าน ขนมหวานเมืองพระ เลิศล้ำศิลปะ แดนธรรมะ ทะเลงาม ที่ตั้ง จังหวัดเพชรบุรี มีพื้นที่ทั้งหมด 6,225.138 ตารางกิโลเมตร หรือ 3,890,711.20 ไร่ โดย มีส่วนที่กว้างที่สุดที่วัดได้ 103 กิโลเมตรจากทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตก ที่ยาวที่สุดที่วัดได้ 80 กิโลเมตร จากทิศเหนือถึงทิศใต้ อาณาเขตติดต่อ ทิศเหนือ ติดกับอำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี และอำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ทิศตะวันออก ติดกับอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทิศตะวันออก ติดกับชายฝั่ง (น่านน้ำติดต่อตรงข้ามกับน่านน้ำจังหวัดชลบุรี) ทิศตะวันตก ติดกับเขตตะนาวศรีของประเทศพม่า ลักษณะภูมิประเทศ ทางด้านทิศตะวันตกในเขตอำเภอแก่งกระจานและอำเภอหนองหญ้าปล้อง มีลักษณะเป็นที่ ราบสูง และภูเขาสูงชันแล้วค่อย ๆ ลาดต่ำมาทางทิศตะวันออกเกิดเป็นสันปันน้ำ แบ่งน้ำส่วนหนึ่งให้ไหลลงสู่ ทางประเทศพม่า และอีกส่วนหนึ่งไหลมาทางทิศตะวันออกเป็นต้นน้ำของแม่น้ำเพชรบุรี และแม่น้ำปราณบุรี สภาพเช่นนี้ทำให้ทางทิศตะวันตกของจังหวัดเพชรบุรีอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ และ แร่ธาตุ แต่มีประชาชนอาศัยอยู่น้อยเนื่องจากเป็นแดนกันดาร จะมีเพียงชาวกะเหรี่ยง และชาวกะหร่ายที่ อพยพข้ามแดนจากพม่าเข้ามาอาศัยเท่านั้น
๗ ข้อมูลปกครอง/ประชากร จังหวัดเพชรบุรีแบ่งเขตการปกครองเป็น 8 อำเภอ 93 ตำบล 698 หมู่บ้าน โดยมีประชากร จำนวน 464,033 คน แยกเป็น ประชากรชาย จำนวน 224,860 คน ประชากรหญิง จำนวน 239,173 คน แหล่งการเรียนรู้ โครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำริ ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านหนองคอกไก่ หมู่ที่ 5 ตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี เดิมบริเวณนี้เป็นพื้นที่แห้งแล้ง เกษตรส่วนใหญ่นิยมปลูกพืชไร่ แต่ด้วยแนวคิด อันยิ่งใหญ่จากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุยเดช มหาราชบรมนาถบพิตร ทำให้พลิกฟื้นพื้นดิน ที่แห้งผากหวนคือสู่ความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง เพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกร นอกเหนือจากพืชเศรษฐกิจในพื้นที่ ที่นี่ยังมีการปลูกไม้ผลพืชไร่และพืชผักต่าง ๆ มีแปลงสาธิต ปลูกข้าวเจ้า และข้าวเหนียว ปลูกยางพารา ซึ่งทั้งหมดนี้จะเน้นไม่ให้มีการใช้สารเคมี หรือหากต้องใช้ก็ต้องมีในปริมาณ ที่น้อยที่สุด เรื่องของการปศุสัตว์ ก็มีการทดลอง ทำฟาร์มโคนม ฟาร์มไก่ และมีการใช้พลังงานจากทุ่งกังหันลม เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ภายในโครงการ สำหรับเยาวชนและประชาชนที่เข้าเที่ยวชมสามารถนำความรู้ที่ได้รับมาปรับใช้กับพืชผล การเกษตรของตนได้ ปัจจุบันโครงการชั่งหัวมันถือว่าเป็นโครงการที่มีความสำคัญต่อเกษตรอย่างยิ่งในการ เลือกที่จะศึกษา และเป็นอีกหนึ่งแหล่งเรียนรู้ทางการเกษตรยั่งยืน รวมถึงเรื่องราวพระราชปณิธานอันยิ่งใหญ่ ของพระองค์ท่านที่มีต่อชาวไทยทุกคนอีกด้วย จังหวัดสมุทรสงคราม คำขวัญประจำจังหวัด เมืองหอยหลอด ยอดลิ้นจี่ มีอุทยาน ร.2 แม่กลองไหลผ่าน นมัสการหลวงพ่อบ้านแหลม ที่ตั้ง จังหวัดสมุทรสงครามเป็นจังหวัดในภาคกลาง (หน่วยงานบางแห่งถือเป็นส่วนหนึ่งของภาค ตะวันตก) ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลอง มีขนาดเล็กที่สุดของประเทศ คือประมาณ 416.7 ตารางกิโลเมตร อาณาเขต ทิศเหนือ ติดกับจังหวัดราชบุรี และจังหวัดสมุทรสาคร โดยมีลำคลองมะโนราและ รางห้าตำลึงในเขตท้องที่อำเภอบางคนที และอำเภอเมืองสมุทรสาคร เป็นแนวแบ่งเขต ทิศใต้ ติดทะเลอ่าวไทยตรงปากแม่น้ำแม่กลองและจังหวัดเพชรบุรี ทิศตะวันออก ติดกับจังหวัดสมุทรสาครที่คลองพรมแดนท้องที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร ทิศตะวันตก ติดต่อกับจังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดราชบุรี โดยมีลำคลองวัดประดู่เป็น แนวแบ่งเขตในท้องที่อำเภออัมพวา
๘ ลักษณะภูมิประเทศ พื้นที่โดยทั่วไปของจังหวัดเป็นพื้นที่ราบลุ่มริมทะเลโดยตลอด สภาพของดินเป็นดินเหนี่ยวปนทราย ไม่มีภูเขาหรือเกาะ เดิมเคยมีป่าโกงกาง ไม้แสม ตามชายฝั่งทะเล และมีป่าจากตามปากแม่น้ำ แต่ปัจจุบันได้มี การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ดังกล่าวในการเลี้ยงกุ้งกุลาดำเกือบทั้งหมด ต่อมาการเลี้ยงกุ้งได้เกิดการขาดทุน ทำให้ปล่อยบ่อกุ้งรกร้างจำนวนมาก แม่น้ำสำคัญไหลผ่าน คือ แม่น้ำแม่กลอง ผ่านบริเวณท้องที่อำเภอบางคนที อำเภออัมพวา และอำเภอเมืองฯ ไปออกทะเลอ่าวไทย ที่บริเวณปากน้ำแม่กลองในเขตอำเภอเมืองฯ นอกจาก มีลำคลองใหญ่น้อยมากมาย แยกจากแม่น้ำแม่กลอง 338 คลอง ลำประโดง 1,947 ลำประโดง กระจายอยู่ ทั่วพื้นที่ จากสภาพภูมิประเทศเช่นนี้ทำให้เกิดความสะดวกในด้านการคมนาคมทางน้ำ และการประกอบอาชีพ ด้านกสิกรรม ข้อมูลปกครอง/ประชากร จังหวัดสมุทรสาคร แบ่งเขตการปกครองเป็น 3 อำเภอ 36 ตำบล 284 หมู่บ้านโดยมี ประชากร จำนวน 191,843 คน แยกเป็น ประชากรชาย จำนวน 92,643 คน ประชากรหญิง จำนวน 99,200 คน แหล่งการเรียนรู้ อุทยานพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย หรือ อุทยาน ร.2 ตั้งอยู่ในอำเภออัมพวา มีสิ่งที่น่าสนใจ คือพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ลักษณะเป็น อาคารทรงไทย แบ่งออกเป็นส่วนต่าง ๆ เช่น หอกลาง ภายในประดิษฐานพระบรมรูปรัชกาลที่ 2 และจัดแสดง ศิลปะโบราณวัตถุประสงค์ต้นรัตนโกสินทร์ เช่น เครื่องเบญจรงค์ เครื่องถ้วย หัวโขนห้องชายจัดแสดงให้เห็น ลักษณะความเป็นอยู่ของหญิงไทยโบราณ โต๊ะเครื่องแป้ง คันฉ่อง ชานเรือน จัดแสดงตามแบบบ้านไทยโบราณ ตกแต่งด้วยกระถางไม้ดัด ไม้ประดับ ห้องครัวและห้องน้ำ จัดแสดงลักษณะครัวไทย มีเครื่องหุงต้ม ถ้วย โรงละครกลางแจ้ง และสวนพฤกษชาติ เป็นสวนพันธุ์ไม้ในวรรณคดีนานาชาติและมีร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง จำหน่ายพันธุ์ไม้ อุทยาน ร.2 เป็นสถานที่มีความร่มรื่น เหมาะสำหรับเข้าเยี่ยมชมบรรยายกาศแบบไทยที่ยังคง อนุรักษ์เอาไว้ จังหวัดสมุทรสาคร คำขวัญประจำจังหวัดสมุทรสาคร เมืองประมง ดงโรงงาน ลานเกษตร เขตประวัติศาสตร์ ที่ตั้ง จังหวัดสมุทรสาครเป็นจังหวัดชายทะเล ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำท่าจีน แม่น้ำท่าจีนในเขตพื้นที่ ภาคกลางตอนล่างของประเทศไทย ประมาณเส้นรุ้งที่ 130 องศาเหนือ และเส้นแวงที่ 100 องศาตะวันออก เป็นจังหวัดปริมณฑล ห่างจากกรุงเทพมหานคร ประมาณ 30 กิโลเมตร มีพื้นที่ 872.347 ตารางกิโลเมตร
๙ ลักษณะภูมิประเทศ จังหวัดสมุทรสาครมีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเล สูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 1.00 – 2.00 เมตร มีแม่น้ำท่าจีนไหลผ่านตอนกลางจังหวัดไหลคดเคี้ยวตามแนวเหนือใต้ลงสู่อ่าว ไทยที่อำเภอเมืองสมุทรสาครระยะทางยาวประมาณ 70 กิโลเมตร พื้นที่ตอนบนในเขตอำเภอบ้านแพ้ว และ อำเภอกระทุ่มแบนมีความอุดมสมบูรณ์ของดิน และมีโครงข่ายแม่น้ำลำคลองเชื่อมโยงถึงกันกระจายอยู่ทั่ว พื้นที่กว่า 170 สาย จึงเหมาะที่จะทำการเพาะปลูกพืชนานาชนิด และบางส่วนเป็นย่านธุรกิจ อุตสาหกรรม และที่อยู่อาศัย พื้นที่ตอนล่างของจังหวัดในเขตอำเภอเมืองสมุทรสาคร อยู่ติดชายฝั่งทะเลยาว 41.8 กิโลเมตร จึงเหมาะที่จะประกอบอาชีพประมงทะเล เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง และทำนาเกลือ ข้อมูลปกครอง/ประชากร จังหวัดสมุทรสาคร แบ่งเขตการปกครองเป็น 3 อำเภอ 40 ตำบล 290 หมู่บ้าน โดยมี ประชากร จำนวน 491,887 คน แยกเป็น ประชากรชาย จำนวน 237,906 คน ประชากรหญิง จำนวน 253,981 คน แหล่งการเรียนรู้ ศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำสมุทรสาคร เป็นศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำแห่งใหม่ ตั้งอยู่ที่เดียวกับ ศูนย์วิจัย และพัฒนาประมงชายฝั่งสมุทรสาคร ที่ศูนย์ฯนี้นับเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านทะเล ให้กับท้องถิ่น มีจุดเด่นอยู่ที่มีรูปปั้นวาฬบรูด้าสูง 17 เมตร ตั้งอยู่บนภูมิทัศน์หน้าศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำสมุทรสาคร เป็นสัญญาลักษณ์ที่เป็นจ้าวแห่งท้องสมุทรในน่านน้ำไทย ภายในศูนย์จัดแสดงปลา และสิ่งมีชีวิตทางทะเลต่าง ๆ จัดแสดงอย่างเป็นส่วน ๆ มีทั้งเป็นตู้ แทงค์กลมภายใน และทางเดินอุโมงค์ใต้น้ำ
๑๐ ส่วนที่ 2 ผลการดำเนินงาน สำนักงานศึกษาธิการภาค 4 ได้อนุมัติโครงการฝึกอบรมลูกเสือ เนตรนารีจราจร ประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยได้รับนโยบายจากสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำเนินการในภาระงาน หลักของสำนักงานศึกษาธิการภาค ในขั้นตอนการดำเนินงาน ดังนี้ กิจกรรมที่ 1 ประชุมปฏิบัติการคณะกรรมการดำเนินงานโครงการ กำหนดจัดประชุมคณะกรรมการดำเนินงานโครงการฯ ตามคำสั่งที่ 36/2564 เรื่อง การแต่งตั้ง คณะกรรมการดำเนินงานโครงการฝึกอบรมลูกเสือ เนตรนารีจราจร เพื่อให้การปฏิบัติงานและการดำเนินงาน ด้านต่าง ๆ ของโครงการฯ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ในวันอังคาร ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2564 ณ ห้องประชุมสำนักงานศึกษาธิการภาค 4 และผ่านระบบ Zoom Meeting กิจกรรมที่ 2 ฝึกอบรมลูกเสือ เนตรนารีจรจาจร ดำเนินงานโครงการฝึกอบรมลูกเสือ เนตรนารีจราจร โดยมีสถานศึกษาในพื้นที่สำนักงาน ศึกษาธิการภาค 4 จำนวน 4 จังหวัดได้แก่จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดเพชรบุรี และ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีสถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 17 โรงเรียน ได้แก่ 1. โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ สมุทรสาคร 2. โรงเรียนศรัทธาสมุทร 3. โรงเรียนอัมพวันวิทยาลัย 4. โรงเรียนพรหมานุสรณ์เพชรบุรี 5. โรงเรียนหนองจอกวิทยา 6. โรงเรียนหนองหญ้าปล้อง 7. โรงเรียนโยธินบูรณะเพชรบุรี 8. โรงเรียนห้วยทรายประชาสรรค์ 9. โรงเรียนบางตะบูนวิทยา 10. โรงเรียนป่าเด็งวิทยา 11. โรงเรียนคงคาราม 12. โรงเรียนชะอำคุณหญิงเนื่องบุรี 13. โรงเรียนเมืองปราณบุรี 14. โรงเรียนยางชุมวิทยา 15. โรงเรียนหัวหิน 16. โรงเรียนอ่าวน้อยวิทยานิคม 17. โรงเรียนชัยเกษมวิทยา มีจำนวนลูกเสือ เนตรนารีที่เข้ารับการฝึกอบรมฯ จำนวน 117 คน และมีครูผู้ควบคุมจำนวน 21 คน เข้ารับการฝึกอบรมในระหว่างวันที่ 28 – 29 สิงหาคม และวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2564 เป็นเวลา 3 วัน ผ่านระบบออนไลน์ Google Meet ณ ห้องเรียนออนไลน์ค่ายศรียานนท์ จังหวัดเพชรบุรี โดยมีวิทยากรผู้มีความรู้ ความสามารถ จากสถานีตำรวจภูธรเมืองเพชรบุรี เป็นผู้ให้ความรู้ มีการกำหนดหลักสูตรการฝึกอบรม ดังนี้
๑๑ หลักสูตรการฝึกอบรมลูกเสือ เนตรนารีจราจร วิชา เรื่อง เวลา/นาที 1. ปฐมนิเทศ/พิธีเปิด/ทดสอบก่อนเรียน 90 2. บทบาทหน้าที่ลูกเสือ เนตรนารีจราจร 105 3. พระราชบัญญัติจราจรทางบกและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 120 4. เครื่องหมายจราจรและสัญญาณจราจร 75 5. การสังเกต การจดจำและการรายงานเหตุ 120 6. การเดินเท้าและโดยสารรถประจำทางอย่างปลอดภัย 60 7. การปฐมพยาบาล 105 8. สัญญาณไฟจราจร สัญญาณจราจรและสัญญาณนกหวีด (ภาคทฤษฎี) 90 9. ฝึกปฏิบัติท่าสัญญาณจราจรและสัญญานกหวีด 150 10. การจัดโครงการลูกเสือ เนตรนารีจราจร 105 11. การประเมินผลทดสอบหลักเรียนและพิธีปิด 75 12. กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ 75 รวม 19 ชม. 30 นาที รวม กำหนดการฝึกอบรมลูกเสือ เนตรนารีจราจร ว/ด/ป เวลา วิชา เวลาอบรม วันที่ 28 ส.ค. 2564 08.00 – 08.30 น. ลงทะเบียน 08.30 – 10.00 น. - ปฐมนิเทศ - ทดสอบก่อนเรียน - พิธีเปิดการอบรม - ชี้แจงวัตถุประสงค์และแนะนำวิทยากร - กลุ่มสัมพันธ์ 90 นาที 10.00 – 10.15 น. อาหารว่างเครื่องดื่ม/นันทนาการ 10.15 – 12.00 น. บทบาทหน้าที่ลูกเสือ เนตรนารีจราจร 105 นาที 12.00 – 13.00 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน 13.00 – 14.00 น. พระราชบัญญัติจราจรทางบกและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 60 นาที 14.00 – 14.15 น. อาหารว่างและเครื่องดื่ม/นันทนาการ 14.15 – 15.30 น. เครื่องหมายจราจรและสัญญาณจราจร 75 นาที 15.30 – 16.30 น. การสังเกต การจดจำและการรายงานเหตุ 60 นาที วันที่ 29 ส.ค. 2564 08.00 – 09.00 น. รายงานตัว / กลุ่มสัมพันธ์ 09.00 – 10.00 น. การเดินเท้าและโดยสารรถประจำทางอย่างปลอดภัย 60 นาที 10.00 – 10.15 น. อาหารว่างและเครื่องดื่ม/นันทนาการ 10.15 – 12.00 น. การปฐมพยาบาล 105 นาที 12.00 – 13.00 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน
๑๒ ว/ด/ป เวลา วิชา เวลาอบรม วันที่ 29 ส.ค. 2564 13.00 – 13.15 น. กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ 13.15 – 14.45 น. สัญญาณไฟจราจร สัญญาณจราจรและสัญญาณนกหวีด 90 นาที 14.45 – 15.00 น. อาหารว่างและเครื่องดื่ม 15.00 – 16.30 น. ฝึกปฏิบัติท่าสัญญาณจราจรและเครื่องสัญญาณนกหวีด 90 นาที วันที่ 4 ก.ย. 2564 08.00 – 09.00 น. รายงานตัว / กลุ่มสัมพันธ์ 09.00 – 10.00 น. ฝึกปฏิบัติท่าสัญญาณจราจรและสัญญาณนกหวีด 60 นาที 10.00 – 10.15 น. อาหารว่างและเครื่องดื่ม/นันทนาการ 10.15 – 12.00 น. กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารีจราจร (การจัดโครงการ/โครงงาน/ กิจกรรม) 105 นาที 12.00 – 13.00 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน 13.00 – 14.00 น. พระราชบัญญัติจราจรทางบกและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 60 นาที 14.00 – 14.15 น. อาหารว่างและเครื่องดื่ม/นันทนาการ 14.15 – 15.15 น. การสังเกต การจดจำและการรานงานเหตุ 60 นาที 15.15 – 16.30 น. - สรุปประเมิน - ทดสอบหลังบทเรียน - พิธีมอบวุฒิบัตรและปิดการฝึกอบรม - พิธีปิดรอบเสาธง เกณฑ์การได้รับวุฒิบัตรผ่านการอบรมฯ การฝึกอบรมลูกเสือ เนตรนารีจราจร มีการประเมินผลลูกเสือ เนตรนารีที่ผ่านฝึกอบรมฯ จากเกณฑ์ ดังนี้ 1. แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน 2. จำนวนครั้งที่เข้ารับการฝึกอบรมฯ 3. ใบงานบทบาทหน้าที่ของลูกเสือ เนตรนารีจราจร 4. คลิปวีดีโอการปฏิบัติท่าสัญญาณจราจรและสัญญาณนกหวีด กิจกรรมที่ 3 ติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานโครงการ สำนักงานศึกษาธิการภาค 4 โดยคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการฝึกอบรมฯ ได้ประเมินผลการฝึกอบรมลูกเสือ เนตรนารีจราจร ที่เข้ารับการฝึกอบรมฯทั้งหมด 117 คน มีผู้ผ่าน การฝึกอบรมตามเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน 48 คน คิดเป็นร้อยละ 41.02 และผู้เข้ารับการฝึกอบรมฯ มีความรู้ ความเข้าใจและทักษะเรื่องลูกเสือ เนตรนารีจราจร คิดเป็นร้อยละ 85.41 จากจำนวนผู้ผ่านการฝึกอบรมฯ จำนวน 48 คน โดยใช้หลักเกณฑ์การฝึกอบรมฯ ดังกล่าว กิจกรรมที่ 4 สรุปผลการดำเนินงานโครงการ สำนักงานศึกษาธิการภาค 4 จัดทำสรุปผลการดำเนินงานโครงการฯ และเล่มรายงานผลการ ดำเนินงานโครงการฝึกอบรมลูกเสือ เนตรนารีจราจร โดยรายงานให้สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และ ประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ โดยใช้งบประมาณโครงการเสร็จสิ้นทุกกิจกรรม จำนวน 84,510 บาท (แปดหมื่นสี่พันห้าร้อยสิบบาทถ้วน)
๑๓ แบบทดสอบความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมฝึกอบรมลูกเสือ เนตรนารีจราจร แผนภูมิที่ 1 ประเภทของผู้เข้าฝึกอบรม จากแผนภูมที่ 1 ประเภทของผู้เข้ารับการฝึกอบรมฯ มีจำนวน 6 ประเภท โดยแยกเป็น ลูกเสือสามัญ เนตร นารีสามัญ ลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ เนตรนารีสามัญรุ่นใหญ่ ลูกเสือวิสามัญ และเนตรนารีวิสามัญ โดยแต่ละ ประเภทมีผู้เข้าร่วมฝึกอบรมฯ คิดเป็นร้อยละ ของผู้เข้ารับการฝึกอบรมฯ ที่ตอบแบบสอบถาม ได้ดังนี้ ลูกเสือสามัญ คิดเป็นน้อยละ 8.7 เนตรนารีสามัญ คิดเป็นร้อยละ 16.3 ลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ คิดเป็นร้อยละ 27.2 เนตรนารีสามัญรุ่นใหญ่ คิดเป็นร้อยละ 30.4 ลูกเสือวิสามัญ คิดเป็นร้อยละ 13 เนตรนารีวิสามัญ คิดเป็นร้อยละ 4.3 แผนภูมิที่ 2 ระดับชั้นการศึกษา จากแผนภูมิที่ 2 มีระดับชั้นการศึกษา จำนวน 6 ระดับ ตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่ 1 – 6 โดยแต่ละ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 6 โดยแต่ละระดับชั้นการศึกษา มีผู้เข้าร่วมฝึกอบรมฯ คิดเป็นร้อยละ ของผู้เข้า รับการฝึกอบรมฯ ที่ตอบแบบสอบถาม ได้ดังนี้ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีผู้เข้ารับการฝึกอบรมฯ คิดเป็นร้อยละ 12 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 คิดเป็นร้อยละ 34.8 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 คิดเป็นร้อยละ 37 ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 คิดเป็นร้อยละ 9.8 มัธยมศึกษาปีที่ 5 คิดเป็นร้อยละ 2.2 มัธยมศึกษาปีที่ 6 คิดเป็นร้อยละ 4.3
๑๔ แผนภูมิที่ 3 โรงเรียนภายใต้สังกัด จากแผนภูมที่ 3 สถานศึกษาที่ส่งลูกเสือ เนตรนารี ให้เข้ารับการฝึกอบรมฯ ภายใต้สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ ที่ตอบแบบสอบถาม ได้ดังนี้ สังกัดสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม คิดเป็นร้อยละ 35.9 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี คิดเป็นร้อยละ 22.8 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ คิดเป็นร้อยละ 41.3
๑๕ แผนภูมิที่ 4 ความพึงพอใจต่อกระบวนการ/ขั้นตอน จากแผนภูมิที่ 4 ความพึงพอใจต่อกระบวนการ/ขั้นตอน แบ่งออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านความ เหมาะสมของระยะเวลที่ใช้ในการจัดอบรม 2. ด้านความชัดเจนของวัตถุประสงค์ในการจัดอบรม 3. ด้านความ ชัดเจนการอธิบาย/ชี้แจงขั้นตอนการอบรม 4. ด้านจำนวนผู้เข้าอบรมมีความเหมาะสม โดยแต่ละด้านมีเกณฑ์ การประเมิน 5 ระดับ ได้แก่ ระดับมากที่สุด ระดับมาก ระดับปานกลาง ระดับน้อย และระดับน้อยที่สุด และ แต่ละด้านมีผู้เข้าร่วมฝึกอบรมฯ ที่ประเมินในแต่ละระดับ คิดเป็นร้อยละ ของผู้เข้ารับการฝึกอบรมฯ ดังนี้ 1. ด้านความเหมาะสมของระยะเวลาที่ใช้ในการจัดอบรม ระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 16.30 ระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 36.95 ระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 39.13 ระดับน้อย คิดเป็นร้อยละ 6.52 ระดับน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 1.08 สรุปได้ว่าด้านความเหมาะสมของระยะเวลาที่ใช้ในการจัดอบรม มีความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลาง 2. ด้านความชัดเจนของวัตถุประสงค์ในการจัดการอบรม ระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 28.26 ระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 53.26 ระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 16.30 ระดับน้อย คิดเป็นร้อยละ 2.19 ระดับน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 0 สรุปได้ว่าด้านความชัดเจนของวัตถุประสงค์ในการจัดการอบรม มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก 3. ด้านความชัดเจนในการอธิบาย/ชี้แจงชั้นตอนการอบรม ระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 36.95 ระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 44.56 ระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 14.13 ระดับน้อย คิดเป็นร้อยละ 4.34 ระดับน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 0 สรุปได้ว่าด้านความชัดเจนในการอธิบาย/ชี้แจงชั้นตอนการอบรม มีความพึงพอใจอยู่ในระดับพอใจมาก 4. ด้านจำนวนผู้เข้าอบรมมีความเหมาะสม ระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 27.17 ระดับมาก คิดเป็น ร้อยละ 48.91 ระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 22.22 ระดับน้อย คิดเป็นร้อยละ 2.17 ระดับน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 0 สรุปได้ว่าด้านจำนวนผู้เข้าอบรมมีความเหมาะสม มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
๑๖ แผนภูมิที่ 5 ความพึงพอใจต่อเจ้าหน้าที่ผู้จัดอบรมฯ จากแผนภูมิที่ 5 ความพึงพอใจต่อเจ้าหน้าที่ผู้จัดอบรม แบ่งออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ 1. เจ้าหน้าที่มี ความสุภาพเป็นมิตร 2. เจ้าหน้าที่เอาใจใส่กระตือรือร้นเต็มใจให้บริการ 3. เจ้าหน้าที่ให้คำอธิบายและตอบข้อ ซักถามการจัดอบรม 4. เจ้าหน้าที่สามารถแก้ไขอุปสรรคตามที่ได้รับการร้องขอ 5. เจ้าหน้าที่ให้บริการอย่าง เป็นกลาง ไม่เลือกปฏิบัติ โดยแต่ละด้านมีเกณฑ์การประเมิน 5 ระดับ ได้แก่ ระดับมากที่สุด ระดับมาก ระดับปานกลาง ระดับน้อย และระดับน้อยที่สุด และแต่ละด้านมีผู้เข้าร่วมฝึกอบรมฯ ที่ประเมินใน แต่ละระดับ คิดเป็นร้อยละ ของผู้เข้ารับการฝึกอบรมฯ ดังนี้ 1. ด้านเจ้าหน้าที่มีความสุภาพเป็นมิตร ระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 65.21 ระดับมาก คิดเป็น ร้อยละ 27.17 ระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 6.52 ระดับน้อย คิดเป็นร้อยละ 1.08 ระดับน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 0 สรุปได้ว่าด้านเจ้าหน้าที่มีความสุภาพเป็นมิตร มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด 2. ด้านเจ้าหน้าที่เอาใจใส่กระตือรือร้นเต็มใจให้บริการ ระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 53.26 มาก คิดเป็นร้อยละ 35.86 ระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 9.78 ระดับน้อย คิดเป็นร้อยละ 1.08 ระดับน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 0 สรุปได้ว่าด้านเจ้าหน้าที่เอาใจใส่กระตือรือร้นเต็มใจให้บริการ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด 3. ด้านเจ้าหน้าที่ให้คำอธิบายและตอบข้อซักถามการจัดอบรม ระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 47.82 ระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 42.39 ระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 8.60 ระดับน้อย คิดเป็นร้อยละ 1.08 ระดับน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 0 สรุปได้ว่าด้านเจ้าหน้าที่ให้คำอธิบายและตอบข้อซักถามการจัดอบรม มีความพึงพอใจอยู่ในระดับ มากที่สุด 4. ด้านเจ้าหน้าที่สามารถแก้ไขอุปสรรคตามที่ได้รับการร้องขอ ระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 44.56 ระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 44.21 ระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 11.95 ระดับน้อย คิดเป็นร้อยละ 3.62 ระดับน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 0 สรุปได้ว่าด้านเจ้าหน้าที่สามารถแก้ไขอุปสรรคตามที่ได้รับการร้องขอ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับ มากที่สุด
๑๗ 5. ด้านเจ้าหน้าที่ให้บริการอย่างเป็นกลางไม่เลือกปฏิบัติระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 54.34 ระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 32.60 ระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 10.86 ระดับน้อย คิดเป็นร้อยละ 1.08 ระดับน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 1.08 สรุปได้ว่าด้านเจ้าหน้าที่ให้บริการอย่างเป็นกลางไม่เลือกปฏิบัติมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด แผนภูมิที่ 6 ความพึงพอใจต่อสิ่งอำนวยความสะดวก จากแผนภูมิที่ 6 ความพึงพอใจต่อสิ่งอำนวยความสะดวก แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านมี ช่องทางเลือกใช้บริการหลายรูปแบบ 2. ด้านมีความสะดวกในการเข้าถึงการใช้บริการ 3. ด้านรูปแบบ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ใช้ในการอบรมฯ โดยแต่ละด้านมีเกณฑ์การประเมิน 5 ระดับ ได้แก่ ระดับมากที่สุด ระดับมาก ระดับปานกลาง ระดับน้อย และระดับน้อยที่สุด และแต่ละด้านมีผู้เข้าร่วมฝึกอบรมฯ ที่ประเมินใน แต่ละระดับ คิดเป็นร้อยละ ของผู้เข้ารับการฝึกอบรมฯ ดังนี้ 1. ด้านมีช่องทางเลือกใช้บริการหลายรูปแบบ ระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 22.86 ระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 40.21 ระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 32.60 ระดับน้อย คิดเป็นร้อยละ 1.08 ระดับน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 0 สรุปได้ว่าด้านมีช่องทางเลือกใช้บริการหลายรูปแบบ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก 2. ด้านมีความสะดวกในการเข้าถึงการใช้บริการ ระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 27.17 ระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 48.91 ระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 19.56 ระดับน้อย คิดเป็นร้อยละ 4.37 ระดับน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 0 สรุปได้ว่าด้านมีความสะดวกในการเข้าถึงการใช้บริการ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก 3. ด้านรูปแบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ใช้ในการอบรม ระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 31.52 ระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 41.30 ระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 20.65 ระดับน้อย คิดเป็นร้อยละ 1.08 ระดับน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 0 สรุปได้ว่าด้านรูปแบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ใช้ในการอบรม มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
๑๘ แผนภูมิที่ 7 ความพึงพอใจต่อคุณภาพการจัดอบรม จากแผนภูมิที่ 7 ความพึงพอใจต่อคุณภาพการจัดอบรม แบ่งออกเป็น 6 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านความรู้ ความเข้าใจหลักการอบรม 2. ด้านเนื้อหาสาระที่ได้รับหลังการอบรม 3. ด้านความรู้ที่ได้รับสามารถนำไปใช้ให้ เกิดประโยชน์ในการปฏิบัติงาน 4. ด้านความเหมาะสมของหลักสูตร 5. ด้านความเหมาะสมของวิทยากร 6. ด้านคุณภาพการจัดอบรมในภาพรวม โดยแต่ละด้านมีเกณฑ์การประเมิน 5 ระดับ ได้แก่ ระดับมากที่สุด ระดับ มาก ระดับปานกลาง ระดับน้อย และระดับน้อยที่สุด และแต่ละด้านมีผู้เข้าร่วมฝึกอบรมฯ ที่ประเมินในแต่ละ ระดับ คิดเป็นร้อยละ ของผู้เข้ารับการฝึกอบรมฯ ดังนี้ 1. ด้านความรู้ความเข้าใจหลักการอบรม ระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 30.43 ระดับมาก คิดเป็น ร้อยละ 47.82 ระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 18.47 ระดับน้อย คิดเป็นร้อยละ 1.08 ระดับน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 2.17 สรุปได้ว่าด้านความรู้ความเข้าใจหลักการอบรม มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก 2. ด้านเนื้อหาสาระที่ได้รับหลังการอบรม ระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 38.04 ระดับมาก คิดเป็น ร้อยละ 38.04 ระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 22.82 ระดับน้อย คิดเป็นร้อยละ 0 ระดับน้อยที่สุด คิดเป็น ร้อยละ 1.08 สรุปได้ว่าด้านเนื้อหาสาระที่ได้รับหลังการอบรม มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด 3. ด้านความรู้ที่ได้รับสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการปฏิบัติงาน ระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 51.08 ระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 30.60 ระดับปานกลาง คิดเป็น ร้อยละ 14.13 ระดับน้อย คิดเป็นร้อยละ 1.08 ระดับน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 1.08 สรุปได้ว่าด้านความรู้ที่ได้รับสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการปฏิบัติงาน มีความพึงพอใจอยู่ใน ระดับมากที่สุด 4. ด้านความเหมาะสมของหลักสูตร ระดับพอใจมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 36.94 ระดับมาก คิดเป็น ร้อยละ 42.39 ระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 17.39 ระดับน้อย คิดเป็นร้อยละ 2.17 ระดับน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 1.08 สรุปได้ว่าด้านความเหมาะสมของหลักสูตร ระดับพอใจมากที่สุด มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
๑๙ 5. ด้านความเหมาะสมของวิทยากร ระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 54.65 ระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 41.30 ระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 11.95 ระดับน้อย คิดเป็นร้อยละ 0 ระดับน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 1.08 สรุปได้ว่าด้านความเหมาะสมของวิทยากร มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด 6. ด้านคุณภาพการจัดอบรมในภาพรวม ระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 40.21 ระดับมาก คิดเป็น ร้อยละ 36.95 ระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 19.56 ระดับน้อย คิดเป็นร้อยละ 1.08 ระดับน้อยที่สุด คิด เป็นร้อยละ 2.17 สรุปได้ว่าด้านคุณภาพการจัดอบรมในภาพรวม มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด
๒๐ ส่วนที่ 3 ปัญหา อุปสรรคและข้อเสนอแนะ ปัญหา อุปสรรค 1. ระบบสัญญาณอินเตอร์เน็ตขัดข้องในบางพื้นที่ทำให้ความชัดเจนของภาพและเสียงลดลง 2. ระยะเวลาในจัดการฝึกอบรมฯ ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานทำให้อุปกรณ์มีความร้อนสูงและ แบตเตอรี่ลดลงไม่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ในระหว่างการฝึกอบรมฯได้และการอบรมในระยะเวลาที่นาน ต่อเนื่องกันทำให้เกิดอาการปวดบริเวณดวงตาเนื่องจากการจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน 3. พื้นที่มีความเสี่ยงสูงของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID - 19 ข้อเสนอแนะ 1. ควรจัดการฝึกอบรมฯ แบบปกติ 2. ปรับลดเวลาการฝึกอบรมให้เหมาะสม หากใช้การอบรมด้วยระบบออนไลน์