6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต มาโนช นิสรา เรื่องราวนัยสวนชีวิต จากเสียงแห่งสรรพสิ่งนัยสวน
ทศวรรษ นัย สวนชีวิต
ทศวรรษนัยสวนชีวิตเรื่องราวนัยสวนชีวิต จากเสียงแห่งสรรพสิ่งนัยสวน
ทศวรรษนัยสวนชีวิต 6 มาโนช นิสรา หนังสือที่ระลึกในวาระงานกตเวทิตาจิต ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. มาโนช ดินลานสกูล 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน 2566 จัดทำ ในวาระชื่นชมสวนชีวิตของนิสรา 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา. (2566). สาขาภาษาไทย (พิมพ์ครั้งที่ 60). สงขลา : มหาวิทยาลัยทักษิณ
ทศวรรษนัยสวนชีวิตกองบรรณาธิการ รังสิมันต์ จุลหริก อัษฎาวุธ ไชยวรรณ นิยา บิลยะแม พนมไพร ออกแบบ/จัดเล่ม ธนกฤต เฉี้ยนเงิน ออกแบบปก พงศกร เจะดราแม
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. มาโนช ดินลานสกูล
“นิสรา” เอนกคุณอดุลย์จิต “มา” ส่งศิษย์ถึงฟากฝั่งดั่งทิวแถว “โนช” โจษจันทุกทางครูสร้างแนว “เกษียณ” แล้ววางพายที่กรายมา ชัชชานนท์ พลฤทธิ์ “ ”
ดอกไม้ถึงคนนัยสวน
สารบัญ นัยสวนชีวิต #เรื่องของเรื่อง เสียงจาก สรรพสิ่งนัยสวน #ความนัยใจ นัยทรงจำ #ศิษย์ถึงครู 1 6 41
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. มาโนช ดินลานสกูล สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา # 1 #เรื่องของเรื่อง มาโนช นิสรา
2 # 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา ผลงานเขียนสร้างสรรค์ : มาโนช นิสรา
6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา # 3 ผลงานทางวิชาการ
รางวัล / เกียรติคุณ 4 # 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา
คือบุคคลคมเข้มเต็มคุณค่า ผู้สืบสานภาษาโดยการสอน ฝึกระบบปฏิบัติชัดแน่นอน แม่นขั้นตอนแนวคิดทฤษฎี หนึ่งในศิษย์สร้างชื่อปาริชาต บานแย้มกลีบแกร่งประกาศเกียรติศักดิ์ศรี สมสังคมคาดหวังทั้งโท, ตรี เรียนหรือมีกิจกรรมก็ทำ ครบ เป็นนายกองค์การฯ งานนิสิต นำ มวลมิตรอย่างผู้รู้ระบบ นอกและในสถาบันสัมพันธ์พบ หลังเรียนจบกลับมาเป็นอาจารย์ 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา # 7 คือปาริชาต งามช่อ
คือปาริชาต งามช่อ 8 # 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา ศึกษาไม่สูงสุดไม่หยุดท้อ แม้เรียนต่อต้องไปเรียนไกลบ้าน ดุษฎีบัณฑิตประสิทธิ์การ ชีวิตผ่านมงคลล้วนผลบุญ คือศิษย์ดี อาจารย์ดี คือพี่น้อง คือเพื่อนพ้อง เพียงพบก็อบอุ่น คือคุณค่ามาโนช ดินลานสกูล คนเคยคุ้นแม้เกษียณไม่เปลี่ยนแปลง รัก เรื่อง 1 กันยายน 2566 จำเริญ แสงดวงแข
6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา # 9 ใจไม่เกษียณ ผศ.ดร.มาโนช ดินลานสกูลเป็นนักเขียน เป็นกวีและเป็นครู การทำ งาน สามหน้าที่นี้ต้องมี “หัวใจเป็นนักฟัง นักอ่านและนักคิด” ผศ.ดร.มาโนชซึ่งดิฉัน ขอเรียกอย่างเป็นกันเองในฐานะครูกับศิษย์และผู้เคยร่วมงานกันว่า “มาโนช” มีคุณสมบัตินี้เสมอมา การเป็นนักฟังและนักอ่านจะกระตุ้นให้เกิดความสนใจใคร่รู้ ขยายราก แตกหน่อให้ค้นคว้าหาความรู้ไม่จบสิ้น ยิ่งเกิดความรู้มาก ก็ยิ่งใคร่ครวญ ทั้งยอมรับ ศรัทธา และเกิดความเห็นต่าง แลกเปลี่ยนความคิดกับคน “คอเดียวกัน” ถกเถียงหรือถูกคอ เกิดความรู้เท่าทันตนเอง เท่าทันสังคมและ เท่าทันโลก ถ่ายทอดเป็นนักเขียน เป็นกวี ด้วยชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ซึ่งมีอยู่ เป็นลีลาของตนเอง มาโนชนำ ประโยชน์จากการเป็นนักเขียน เป็นกวี มาเติม ความเป็นครูโดยทำ หน้าที่ผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ ดูแล รดน้ำ พรวนดิน เพื่อขยาย กิ่งก้าน เพาะสร้างเมล็ดพันธุ์ใหม่ เมื่อรากแข็งแรงก็เป็นต้นไม้ที่งดงาม ศิษย์ก็เติบโตเป็นนักเขียนและเป็นกวีตามครู ดิฉันเห็นศิษย์ของมาโนช ชื่นชม ศรัทธา ครูมาโนช ของเขาอยู่เสมอ มาโนชก็ส่งเสริมให้กำ ลังใจศิษย์ พาศิษย์ ไปเสาะหาครูเพื่อเป็นต้นแบบ หาความรู้ ประสบการณ์ ฝึกคิดนอกห้องเรียนบ่อยๆ สุขใจเมื่อเห็นความก้าวหน้า ของศิษย์มาตลอดเวลา ดิฉันจึงเชื่อว่า ใจมาโนชจะไม่มีวันเกษียณ จากความเป็นนักเขียน เป็นกวีและเป็นครูขออวยพร ให้มาโนช มีชีวิตที่รุ่งเรือง เรียบง่ายและงดงามเสมอ รองศาสตราจารย์ยุรฉัตร บุญสนิท สิงหาคม, 2566
กวีบทหนึ่งดั่งดวงดาวแห่งมาโนช นิสรา กวีบทนั้นฉันสัมพันธ์ใกล้ชิด จากวัยละอ่อนซึ่งคลื่นใหม่ซัดสาดสู่พื้นที่ชายขอบของบางสวรรค์โพ้น ก่อนจะกลับมาเกยหาด ณ แผ่นดินบกสทิงพระ มาถึงวันนี้ที่เชิงเขารูปช้าง และพรุ่งนี้ที่ ‘ขนำ นัยสวน’ ข้างสถานีรถไฟบ้านดินลาน เป็นบทกวีที่วรรคสดับและวรรคส่งทาบอยู่กับร่มเงาแห่งพุ่มปาริชาต เป็นปาริชาตสล้างที่ซ้อนทับอยู่ในเงื้อมเงาของ ‘ปู่เลียบ’ มาเนิ่นยาว บทกวีแห่งแสงตะวันเจิดจ้า ไม่แนบชิดจนมอดไหม้ ไม่ห่างหายจนหนาวเหน็บ จากลาเมื่อปาริชาตทิ้งใบสุดท้ายลงซบดิน กลับมาเมื่อบางกิ่งของปู่เลียบกวักใบเพรียกหา ฉันไม่ได้รักและจดจำ กวีบทนี้จนขึ้นใจ เพียงชื่นชมห่างๆในระยะพอเหมาะกับความสัมพันธ์ หมั่นจัดระยะเพื่อยืดอายุคำ สัมผัสดั่งวรรคสดับที่เลือกใช้คำ อย่างเจาะจงและเชื่อม โยงสู่ความรู้สึกอย่างรวบรัด ก่อนจะขยายความในวรรครับ สรุปความในวรรครอง และปิดไม่ค่อยสนิทนักในวรรคส่ง เป็นบทกวีที่มีจุดด้อยในวรรครับและวรรคส่ง กวีบทหนึ่ง หากให้บางมุมของเขาเนง ดร.มาโนช ดินลานสกูล 10 # 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา
กวีบทหนึ่ง หากให้บางมุมของเขาเป็นดั่ง ดร.มาโนช ดินลานสกูล แม้จะเห็นด้วยกับทัศนะของกวีรุ่นใหม่ ‘อย่าลุ่มหลงคำ สัมผัสจนจารีต’ แต่ไม่ง่ายนักหรอกที่นักเรียนภาษาไทยจะหลุดจากมายาของสุนทรภู่ ต้องมั่นใจและมีแบบการเขียนเป็นของตัวเองชัดเจน ถึงอย่างไรสัมผัสสระก็พุ่งเข้าหาส่วนลึกของความเป็นเรา ลองนึกดูสิ นิ้วนางรำ จะกระดิกในเสียงฉับทับให้ตรึงใจได้อย่างไร หากสัมผัสระหว่างวรรคไม่เฉียบขาด อย่างที่รู้กัน โนราเติมเป็นโนราไม่สวมเทริด ไม่มีหางหงส์ ไม่ใช้ลูกปัทม์ แต่เขาเข้าไปนั่งอยู่กลางใจนักชมได้ด้วยปฏิภาณสัมผัส เคยได้ยินไหม… ลูกกราบกรานถึงพ่อท่านวัดตะเครียะ…ขอกราบกรานถึงพ่อท่านวัดตะเครียะ… ที่เพียบเปรียะด้วยธรรมกรรมฐาน วรรครับแห่งมาโนช นิสราให้ความหมายเชิงเปรียบเทียบได้ลึกซึ้ง แต่อ่านแล้วสะดุดเพราะสัมผัสไม่เฉียบขาด จุดด้อยที่เห็นยังแบ่งส่วนเฉลี่ยไปปรากฏที่วรรครอง ส่วนเสียงตรีท้ายวรรคส่งที่ไม่ค่อยสบอารมณ์ของนักกลอนนั้น เชื่อว่าการหลีกออกจากร่องจารีตเป็นความกล้าหาญในบางกรณี ความกล้าหาญทำ ให้เสียงตรีท้ายวรรคมีพลังในตัวเอง อยากหลีกสัมผัสสระแบบสุนทรภู่ก็อาจเลือกสัมผัสอักษรแบบพระยาตรัง หากตัดเสียงออดอ้อนออกไป ในหลายกรณีกวีของพระยาตรังจะมีพลังกว่า พลังกวีของพระยาตรังเป็นพลังของกวีขบถ 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา # 11
12 # 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา กวีบทหนึ่ง หากให้บางมุมของเขาเป็นดั่ง ดร.มาโนช ดินลานสกูล ส่วนวรรคส่งหรือวรรคสุดท้ายนั้น กวี ๔ วรรคควรปิดให้สนิทและมีพลังกว่านี้ รวมทั้งเชื่อมโยง ตีกระทบ แตะสะกิด ไปสู่จุดคิดร่วมสมัยที่เป็นนัยถึงอะไรสักอย่าง กวีบทนี้จึงควรมีที่ทาง มีเพื่อน มีคุณค่าสำ หรับคนใกล้ชิด กระทบความรู้สึก ฉุกคิด จำ ได้ และกลายเป็นความคิดถึง ต้องขอโทษด้วยนะ หากพูดอะไรล้ำ สิทธิ์ส่วนตัวไปบ้าง ฉันกล้าพูดเพราะเราเป็นเพื่อนกัน หวังไว้เสมอ กวีบทใหม่ ณ ขนำ นัยสวน คือบทกวีของนกเสรีในเช้าวันเริ่มต้นฤดูฝน รื่นเริงกลางแดดสายในปราดปรายของฝนพรำ เป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนตามคารมของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เป็นนกพิราบขาวตามวาทะของวัฒน์ วรรลยางกูร เป็นนกบี่เบในคาถาของพนม นันทพฤษ์ เป็นโจนาทาน ลิฟวิงสตัน นางนวลของริชาร์ด บาค หรือเป็นนกการเวกที่ร่อนผ่านแสงจันทร์รุบหรู่ด้วยเพลงรักเฉพาะตัว ดีใจที่ได้คบหากัน มาโนช นิสรา ประมวล มณีโรจน์
6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา # 13 แด่..มาโนช นิสรา เป็นนักเขียนนักสู้เป็นผู้สร้าง เป็นแสงเทียนส่องทางสว่างหวัง เป็นนักคิดกล้าแกร่งแรงพลัง เป็นฟากฝั่งแห่งธรรมที่นำ พา เป็นที่รักทั้งผองของมวลมิตร เป็นธงชัยแห่งลูกศิษย์ลูกหา เป็นทุกสิ่งที่ดีงามตามอัตตา เป็น "มาโนช นิสรา"..ผู้น่ารักฯ สำ นักกวีน้อยเมืองนคร 30 สิงหาคม 2566 รัตนธาดา แก้วพรหม
14 # 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา “ โดยวิถีคนดินลาน ” เคยเป็นเด็กบ้าน-บ้าน ดินลานลึก อยู่กับเสียงอึกทึกไม่รีบเร่ง แต่ละตู้กระทบรางร้องครางเครง ผ่านไปอย่างวังเวงเพลงเงียบงัน ยินมาแต่ทารกจวนหกสิบ กี่ขบวนเลยลิบแตกดอกฝัน “บาดแผลของผีเสื้อ” เมื่อครานั้น เขม่าควันของฟืนสุมกองไฟ เกาะขบวนชั้นสามเมื่อยามบ่าย สร้างความหมายด้วยฝันเริ่มวันใหม่ แสวงหาหนทางระหว่างใจ เกิดความเงียบภายในก่อรุ้งราง มาเรียนรู้รื่นรมย์พร้อมบ่มเพาะ เลียบเลาะความเป็นครูรู้กระจ่าง ยิ่งลุ่มลึกวรรณกรรมเส้นนำ ทาง หนึ่งแบบอย่างภูมิใจในสถาบัน ต้องร่อนเร่แรมถิ่นแผ่นดินอื่น แสวงหาจุดยืน “บางสวรรค์” ไปสร้างชื่อลือล้ำ พอจำ นรรจ์ ก่อนแปรผันมาเป็นครูอยู่ริมเล
แล้วโยกย้ายถ่ายเทดั่งเปลคลื่น ที่โยนฟองกลับคืนฟังคลื่นเห่ เย็นสายลมปาริชาตโบกพัดเว คล้ายกล่อมเปลต้อนรับชวนกลับมา มาเป็นผู้สร้างงานสอนป้อนงานศิลป์ ผู้สร้างครูของแผ่นดินอันทรงค่า พร้อมวิถีวิชาการสานศรัทธา ก่อวรรณกรรมภูมิปัญญา “โนราห์โรงครู” เมื่อจริตมั่นคงตรงบรรทัด เป็นวิถีปฏิบัติของนักสู้ ด้วยทิฐิเรียบง่ายจึงหมายชู ครองใจให้รับรู้ทุกผู้คน มาจากบ้าน-บ้านดินลานไกล โดยขบวนรถไฟ,สุดถนน ฝากวรรณกรรมวิถีกวีนิพนธ์ “มาโนช นิสรา” ชน คนดินลานฯ. 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา # 15 สายธารสิโป 31 สิงหาคม 2566 |ชายขอบเมืองนราธิวาส|
16 # 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา หัวใจตื่นรู้ ท่วงจังหวะ อะหา...มาโนช สะโอดสหาย อย่าเพิ่งผ้ายกรายใจให้วัยผ่าน ชีวิตเพิ่งเริ่มด้นแค่ต้นธาร เปรี้ยว เค็ม หวาน มัน ขม เพิ่งรู้รส อะหา...นาทีแห่งชีวิต เพื่อเต็มเพิ่มสุขจริต ทิ้งกำ สรด ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ต้องใช้ชด เพียรวิถีธรรมบทจิตวิญญาณ อะหา มาโนชสะโอดสหาย ที่เคลื่อนคลายภารภพแค่พ้นผ่าน ชั่วเสี้ยวเดือนแสงดาวแตะวาวธาร วงเส้นใจสะท้านเพื่อโลกสะเทือน ทั้งใจกายกรายกรำ กำ ยำหยัด เลือดลมยังผ่องพัดโคจรเคลื่อน วิญญาณสดถวิลยิ่งตอกเตือน ปิยมิตรในเรือนยังร่วมทาง ยังแจ่มฝันบันดาลสัญญาณจิต บอกชีวิตยังเข้มบนโลกกว้าง กี่ขุนเขายิ่งใหญ่รอเท้าวาง ดึกน้ำ ค้างยังพรมเพาะบ่มใจ และหัวใจตื่นรู้ท่วงจังหวะ แจ่มกระจะเพียงแสงตะวันใส ยิ่งปริ่มรักอวลละมุนอุ่นละไม ผละภาระสู่สมัยใช้ชีวิต. รมณา โรชา
6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา # 17 ของช่างต่อเรือ นก พลังจากต้นกำ เนิดฝันเจิดจ้า โอบใจข้าอย่างนุ่มนวลอย่างอวลอุ่น ปีต่อปีโลกข้างในละไมละมุน ไม่เคยขุ่นขอดกลายร้างสายธาร คงด้านงามอยู่เช่นนั้น คงปันยื่น เช้าสดชุ่ม บ่ายสดชื่น คืนชุ่มฉาน คงป้องปกนกน้อยเริงร้อยกาล ขับเพลงผ่านรักร้อยรัดมหัศจรรย์ ผู้กรำ เคร่งงานต่อเรือสร้างเนื้อสาร ให้เหล่านักล่าวาฬพุ่งหอกฝัน กลับสอดคล้องข้องเกี่ยวคนเดียวกัน กับเจ้าของนกตัวนั้นขับกลั่นคีย์ เป็นใยเยื่อเนื้อนามความหมายหนึ่ง ที่ลึกซึ้งสู่การแย้มบานคลี่ ของดอกไม้จากตุ่มตาวินาที บันทึกปีเดือนเรื่องราวรักยาวไกล
18 # 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา ของช่างต่อเรือ นก หล่อเลี้ยงข้าแล้วร้อยเรียงหล่อเลี้ยงโลก ด้วยประโยคย้อนทวนตรึกครวญใคร่ 'รากเวลาหากรองเรืองจากเบื้องใน เช้าหมาดใหม่ย่อมอิ่มงามความทรงจำ 'คงอบอุ่นอยู่เช่นนั้น คงปันยื่น เช้าเฉิดฉาย บ่ายสดชื่น คืนชุ่มฉ่ำ นกน้อยในห้วงรู้สึกฝันลึกล้ำ ยังกู่พร่ำ ยังร้อยรัดมหัศจรรย์. .วิสุทธิ์ ขาวเนียม.
6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา # 19 บทกวี:ท่ามกลางหมู่ดาว จักรวาลไร้ขอบเขต หมู่ดาวกำ เนิดใหม่พร้อมการหว่านโปรยเมล็ด เกสรดอกไม้ฟุ้งว่อนเป็นบทกวีเหนือคาบสมุทร นับวันวัยหนุ่มยิ่งทำ ตัวเล็กลง อ่านหนังสือเงียบๆ ครุ่นคิดโดยลำ พัง โพสต์สเตตัสในเฟสบุ๊คส์บ้าง สนทนาวรรณกรรมกับลูกศิษย์ในสรวล ตัดแต่งกิ่งต้นไม้ ลานหญ้าสีเขียวหอมแดดเช้า กลางวันหยัดยืนด้วยคมพร้า จอบ เสียม เลื่อย ลูกขวาน และเครื่องมือเกษตรอื่นๆ หาดอกไม้ใส่แจกัน
20 # 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา ทำ กับข้าว กลางคืนดวงไฟเหนือโต๊ะหนังสือ พาท่องไปในโลกวรรณกรรม จากประโยคเป็นบรรทัด จากบรรทัดเป็นย่อหน้า จากย่อหน้าเป็นหลายหน้า จากหลายหน้าเป็นหนึ่งบท ทุกบทรวมกันเป็นหนึ่งเล่ม หลายพันเล่มหล่อหลอมเป็นหนึ่งชีวิต บางคืนอ่านนิทานให้หิ่งห้อยที่พลัดหลงเข้ามาในสวนฟัง หิ่งห้อยนำ แสงของเรื่องเล่า บินไปท่ามกลางหมู่ดาว… ประสานต์ พรหมทอง นิติกรอบต.หนองธง 29 สิงห์ 66 , ในวาระ ผศ.ดร.มาโนช ดินลานสกูล เกษียณอายุราชการ
6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา # 21 ชีชี ชีชี วิวิวิวิตลัลัลัลับเหลี่ลี่ ลี่ลี่ ยมตึตึ ตึตึ กโผล่ล่ล่ล่พ้พ้ พ้พ้ นขอบฟ้ฟ้า ฟ้ฟ้ ค่ำ คืนแสนสามัญ เสียงยวดยวนแว่วมาเหมือนคนกระแทกเสียงก่นด่าใส่หูคุณตลอดเวลา ผู้คนที่คุณพบเจอเหมือนจะเรียกร้องสิ่งที่คุณไม่มีเสมอ พอคุณบอกว่า “ไม่มีหรอก” คุณก็กลายเป็นผู้ร้ายในสายตาเขาไป แสงอาทิตย์ลับเหลี่ยมตึก ความฝันของคุณหนีตามมันไป แทนที่จะชุ่มเย็นกับเม็ดฝนโปรย คุณกลับเหนียวเหนอะหนะและหงุดหงิด ยิ่งวันไหนที่ร้อนดั่งเพลิงเผา กำ ลังใจก็เหือดแห้งไปด้วย คุณมองไปยังขอบฟ้าด้านตะวันตก ถัดจากกลุ่มเมฆครึ้มหนาไปนั้นคือแสงเรืองจาง ใช่! แสงแห่งความหวังเป็นเช่นนี้ พรุ่งนี้จะมีอีกครั้งในนามแสงทองแห่งรุ่งอรุณมนุษย์ถูกสร้างมาด้วยเหตุและผล ผู้สร้างหรือเหตุได้หมดหน้าที่แล้ว ชีวิตนี้คือความรับผิดชอบของคุณถ่ายเดียว ตั้งสติไว้เถิด หายใจเข้าลึก ๆ พินิจความสามัญแห่งชีวิต ชีวิตนี้แสนสามัญ แน่นอน! น้ำ ฝนอาจถล่มลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เราก็มีร่มนี่นา เสียงก่นด่า คำ นินทาว่าร้าย วิจารณ์เสียดสีอาจมีได้ตลอดกาลสมัย แต่ไม่ได้ขึ้นอยู่ กับปากของเรา หน้าที่นี้ล้วนมีคนจับจองไว้แล้วหมดสิ้น สิ่งเหล่านี้แหละคือคู่ตรงข้ามของความเป็นเรา สรรพสิ่งทั้งรักและชังล้วนก่อกำ เนิดความเป็นตัวตนของเรา
จงสร้างฉันทะต่อเสียงที่ไม่น่าอภิรมย์ เพราะนั่นคือมืออีกข้างที่จะปรบมือให้แก่เรา ในภายภาคหน้า จงสร้างฉันทะในการปฏิสัมพันธ์กับคนที่สาปแช่งเราอยู่ลึก ๆ หรือ ตื้น ๆ เพราะ นั่นคือเท้าอีกข้างที่คอยเหวี่ยงให้เราก้าวเดิน จงสร้างฉันทะในการเผชิญกับด้านมืดภายในตน เพราะนั่นคือเส้นทางสู่อิสรภาพเราอาจมิได้เลือกพื้นที่ที่ย่ำ แย่แต่แรก แต่เราเลือกที่จะอยู่กับความจริงแท้ ในความวิเวกแห่งจิตมักจะปรากฏเส้นทางอยู่สายหนึ่งให้เราก้าวเดิน เปลี่ยนไปทุกขณะและทุกห้วงอารมณ์ แม้เปลี่ยนสภาวะแต่ก็มีเส้นทางอยู่สายหนึ่ง ที่เหมาะเหม็งกับเรา คุณเกิดมาเพื่อสิ่งนั้น! นั่นคือตัวตนอันแสนสามัญของคุณ ชีวิตสามัญบรรจุอยู่ในระหว่างการก้าวเดินสู่อิสระ เป็นลมหายใจ หัวใจ เส้นโลหิต โลหิต เป็นเนื้อเป็นหนัง ข้อต่อ เอ็น กระดูก อวัยวะทั้งภายนอกภายใน สวรรค์บันดาลความสุขในท่ามกลางห้วงทุกข์ ชีวิตก็ไม่ไร้สาระทีเดียวนัก 22 # 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา
ยามเช้าแสนสามัญ แดดสีทองอุ่นไล้ผิวกายละมุนกว่าบ่าย เสียงยวดยานก็ฟังดูไพเราะกว่าเมื่อคืน นั่นไงมาแล้ว! รถเมล์สายอิสระ มีใครอยู่บนนั้นบ้างล่ะ มีพ่อแม่ที่เป็นห่วงคุณตลอดเวลา มีครูทางโลกที่คอยสอนวิชาการทุกท่าน (ครูคนนั้นไงที่มักจะเรียกคุณว่า “ว่าไง นักเขียน!” ทุกครั้งที่เจอหน้า) มีครูทางธรรมที่สอนวิชาชีวิตด้านใน มีมิ่งมิตรที่ต่างโบกมือและเรียกชื่อคุณกันเกรียว รวมทั้งมีหมู่มารที่จับจ้องคุณไม่วางตา เผชิญหน้ากับมันเถิดเพื่อนเอ๋ย คุณรู้อยู่แก่ใจแล้วว่ารถเมล์สายนี้จะพาไปสู่นรกหรือสวรรค์ตั้งแต่ก้าวขึ้นมาบนนี้ แล้ว โอ้ชีวิตนี้ช่างคุ้มค่ายิ่งนักที่ได้เลือก. 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา # 23 อนาคาริก (นายพีระยุทธ พลตรี รหัส 461011331 เอกภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ)
24 # 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา ขนำนัยสวน เมื่อโปรยหว่านความรักไปพักหนึ่ง กิ่ง กอ จึงแตกตาเมื่อหน้าฝน ผลิบาน กระจายกระจัด ระบัดบน ออกผล งดงาม ไปตามกาล จึ่งปลูกขนำ ไว้พำ นัก บ่ม เพาะ ความรัก เป็นสถาน ทายทัก ฟักศิลป์ จินตนาการ กรุ่นไอรักแผ่ซ่าน จึงบานใบ ใต้ร่มเงานัยสวน เคยพรวน ปลูก พันผูก งาม จริง และยิ่งใหญ่ ส่งมอบ ตอบแทน ใจแทนใจ เป็นมิ่งไม้ มิ่งขวัญ บรรดาเรา นัยสวนรัก จากใคร ให้ความรัก แน่นและหนัก อย่างนั้น แม้วันเก่า เป็นเพิงพักจากภายในโลมไล้เงา เป็นเรือนเหย้า เป็นอู่ฝัน วรรณกรรม แตกกิ่งก้านเป็นงานเขียนเลียนโลกลึก เติมน้ำ หมึก แต้มน้ำ ใจ ให้ชุ่มฉ่ำ กี่บรรทัดทอดไว้มิหายดำ ด้วยคมคำ ครูเติมติด - นิสรา ฉัตรปกรณ์ กำ เหนิดผล 5 ก.ย. 66
1. ห้องพักครูบนอาคารชั้นที่ห้า ใครนั่นนั่งหยดน้ำ ตาหยาดที่หนึ่ง กับกฎเกณฑ์บางประการรำ พันรำ พึง คิดคำ นึงถึงโอกาสวาดหวังมา ในนิ่งสงัดนั้นไม่สงบกระทบสนั่น นิสิตคนนั้นมั่นหมายย้ายสาขา ไม่อาจรู้ปลายเหตุแห่งเจตนา แม้นดวงตาก็ไม่เห็นคิดเช่นไร 2. ในห้องเรียนวรรณกรรมถ้อยคำ ผ่อง น้ำ ตาหยดที่สองก็ล่องไหล เป็นความลึกซึกซึ้งตรึงภายใน เห็นทางสว่างใสในวรรณกรรม อ่านแล้วคิด คิดแล้วค้น จนอ่านต่อ อ่านแล้วก่อ ก่อประกายให้ดื่มด่ำ วรรณกรรมปัจจุบันดาลใจจำ ขอบฟ้ากว้างเบิกนำ ให้ตามคิด ในห้องเรียนภูเขา ลำ เนาป่า แม่น้ำ เบื้องหน้านั้นศักดิ์สิทธิ์ น้ำ ตาหยดที่สามหวามชีวิต ใกล้ชิด ฟังนักเขียน เรียนกับกวี ได้เรียนรู้เสรีกวีนิพนธ์ พวงผลแห่งน้ำ ตาเยียวยาวิถี เหมือนค้นพบภาษาอัญมณี จากถ้อยที่ง่ายงามตามเหมือนเงา 3. น้ำ ตาหยดที่สี่ที่คิดถึง ปรากฏในห้วงคำ นึงถึงวันเก่า ความหลังความรักผลักดันเรา ให้มาเหย้ามาเยือนเหมือนเคยมา ไม่ต้องกล่าวอะไรให้มากถ้อย ดูรูปรอยปรากฏหยดที่ห้า แทนผูกพันลึกซึ้งที่ตรึงตรา ด้วยภาษาในภาษาสื่อท่าที น้ำ ตาแห้งหายไปแล้ว... เป็นพลังไหวแว่วในทุกวิถี แด่... มาโนช นิสรา ทุกวรรควลี นักเขียน/กวี ที่สร้างให้ใจสร้างงาน 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา # 25 น้ำตาห้าหยด รังสิมันต์ จุลหริก รหัสนิสิต 531031569 และ 541031377 คณะศึกษาศาสตร์ วิชาเอกภาษาไทย มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา
26 # 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา เฝ้ารดน้ำ นัยสวนหมั่นพรวนดิน ผึ้ง ผีเสื้อว่อนบินฟุ้งกลิ่นหอม แตกผลิดอกใบชวนไต่ตอม รุมล้อมพืชพันธุ์พร่างต่างลวดลาย เป็นครู อีกขณะเป็นกวี ปรุงพื้นที่สีสันอันหลากหลาย ลงแรงลงรัก ขุดปักเรียงราย งอกงามความหมายดอกไม้บาน แนบชิดเนื้อดินชุ่มกลิ่นกรุ่น รุ่นต่อรุ่นแน่นหนักค่อยถักสาน กิ่งไหวยอดชู ฤดูกาล โปรยหว่านเพาะบ่มแผ่ร่มเงา มีรากแก้วรากฝอย อาจลอยปลิว สู่แถวทิวทิศทางต่างแบบเบ้า ฝนหล่อ แดดหลอม ลมกล่อมเกลา รอยเท้าทอเส้นเป็นโค้งรุ้ง ผ่านเวลาปรากฏหกทศวรรษ ระบัดชัดฉายหมายมุ่ง ผืนป่าไม่แห้งแล้งเติมแต่งปรุง เต็มทุ่ง ผีเสื้อ ผึ้งเอื้ออวล เพียรเพาะหว่านด้วยนามของความรัก ปลูกและปักต่อไปสุขนัยสวน เพื่อเม็ดพันธุ์ผลิสะพรั่งหอมทั้งมวล ทั่วถ้วนผืนดินย่อมยินดี... ผืนดินจึงยินดี วิศิษฐ์ ปรียานนท์ 22 สิงหาคม 2566 ฤดูฝน สังขละบุรี ชายแดนไทย-พม่า
6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา # 27 อาจารย์มาโนช เคยพูดไว้ว่า อาจารย์มาโนชเคยพูดไว้ในคาบเรียนรายวิชาวรรณกรรมปัจจุบันหลังนำเสนองานตอนเรียนอยู่ปีสามเทอมหนึ่งว่า “ถ้าไม่กลับไปแก้เล่มรายงานจะให้เอฟกับสมาชิกกลุ่มนี้” คำ พูดนี้ทรงพลัง อย่างน้อยก็ทำ ให้สมาชิกกลุ่มทั้งสามคนตื่นรู้ และรู้ตัวว่าได้ ทำ สิ่งผิดพลาด หรืออาจจะรู้สึกอะไรบางอย่างมากกว่านั้น ไม่พ้นสามคนนี้ ไม่พ้นการียาและเพื่อนหนุ่มอีกสองคน กิตติศักดิ์และวิศิษฐ์ ขอถือวิสาสะกล่าวถึงเพื่อนทั้งสองไว้ตรงนี้ หลายวิชาที่เราต้องทำ งานกลุ่มด้วยกันชนิดที่ถ้าให้แบ่งกลุ่มสามคนก็ไม่ต้องมองหาสมาชิกคนอื่น มองในแง่ดี เราอาจเป็นสามคนของความสมบูรณ์แบบที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้ แต่มองอีกแง่ ผมเคยคิดเล่นๆว่า เพราะเราเหมาะที่จะอยู่กันแค่สามคนนี้เพื่อความสมดุลของชั้นปี มันอาจฟังดูแปลกๆ แต่ผมคิดแบบนั้นเสมอ การเขียนร้อยแก้ว วรรณกรรมปัจจุบัน และการเขียนร้อยกรอง เป็นสามวิชาที่ผมเรียนกับอาจารย์มาโนชตอนเรียนปริญญาตรี ความทรงจำ ในฐานะลูกศิษย์ เกิดขึ้นในคาบเรียนมากกว่าการได้สนทนากันเป็นการส่วนตัว แค่นั้นก็เพียงพอ ต่อการสร้างชุดความทรงจำ ที่ค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัวมาจนทุกวันนี้ ส่วนหนึ่ง ของการสร้างตัวตนขึ้นมาเป็นการียามีอาจารย์มาโนชเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในนั้น รวมถึง อาจารย์คนอื่นๆที่ไม่ได้กล่าวถึง “ขอบคุณครับ” นั่นคือสิ่งที่ผมคิดว่าต้องพูดถ้ามี โอกาส บนชั้นหกตึกคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มีบทกวีจากปลายปากกา มาโนช นิสรา ติดอยู่หน้าห้อง ผศ.ดร.มาโนช ดินลานสกูล หัวหน้าสาขาภาษาไทย นั่นเป็นความทรงจำ ส่วนหนึ่งเมื่อนึกถึงอาจารย์มาโนช “เขาเป็นครูและเป็นกวี” รวมถึง “เป็นครูของกวี” อีกหลายคนด้วย บ่อยครั้งเมื่อขึ้นไปบนชั้นสูงสุดของตึก ตระหง่านเคียงเขารูปช้าง ผมจะแวะอ่านบทกวี วิพากษ์วิจารณ์อย่างเงียบๆ ด้วย ความเจียมเนื้อเจียมตัวพอหอมปากหอมคอแล้วก็เดินจาก ครั้งต่อไปก็ทำเช่นนั้นซ้ำๆกันอีกหลายหน
ผมแน่ใจว่าอาจารย์คงไม่รู้ว่าผมทำ เช่นนั้น หมายถึงใช้เวลายืนอยู่หน้าห้องเพื่ออ่านบทกวีชิ้นเดิม ซ้ำ วนอยู่หลายรอบ อ้อ ผมเคยถ่ายรูปบทกวีเก็บไว้ด้วย แต่ไม่รู้ว่า หายไปไหนแล้ว สี่ปีในฐานะนิสิตสาขาวิชาภาษาไทย ผมไม่รู้ว่าตัวเองถูกจัดหรือถูกนับให้เป็นคนแบบไหนในสายตาอาจารย์ แต่ข้อสงสัยบางอย่างก็ไร้สาระเกินจะมา ถามหาคำ ตอบ จนเรียนจบ ผมหอบความทรงจำ กลับบ้านในเดือนรอมฎอน ตรงกับเดือนมิถุนายน 2560 ราวๆนั้น มิถุนาปีนั้นมีฝนตก น่าจะเป็นฝนกลุ่มสุดท้ายที่ผมเห็นตอนเป็นนิสิต ย้อนกลับไปที่คำ พูดที่อาจารย์มาโนชเคยพูดวันนั้นกว่าหกปีแล้วที่รูปรอยและเสียงสุขุมเยือกเย็นในห้องแอร์หนาวเหน็บอาคารเรียนรวม18 ดังชัดอยู่ในโสตประสาทและความทรงจำ สมควรแล้วที่เกือบได้เกรดเอฟ ไม่มีข้อแก้ตัวใดถ้าเทอมนั้นผมต้องลงเรียนวิชาวรรณกรรมปัจจุบันใหม่ อีกรอบ แต่สุดท้ายเกรดก็ไม่ใช่เอฟ มันดีกว่านั้น ไม่ได้ดีจนเอาไปเล่าให้ใครฟังได้ แต่ถือว่ารอดตัวไม่ต้องลงเรียนใหม่ให้ที่บ้านด่าซ้ำข่าวว่ากำ ลังจะครบรอบหกทศวรรษบนเส้นทางครู นักวิชาการ หกทศวรรษที่จิตวิญญาณความเป็นครูได้ฝังรากไว้ในตัวลูกศิษย์รุ่นต่อรุ่นได้เบิกบาน ผลิดอกงอกงาม และเติบโตไปตามเส้นทางที่มีจุดเริ่มเดียวกัน ด้วยรักและยินดี ผมอาจกล่าวได้เพียงเท่านี้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับอาจารย์มาโนชล้วนเป็นเรื่องราวสำ คัญต่อการผลักดันชีวิตผมให้ไปข้างหน้า และอาจหมายรวมคนอื่นๆ ด้วย แต่ผมไม่กล้ายืนยันแทนใครต่อใครในเรื่องนี้ ขอให้มวลไม้รอบขนำ นัยสวนบ้านดินลานจงอวยพร สะพรั่งบานอยู่เคียง ข้างครูผู้สร้างครู ผศ.ดร.มาโนช ดินลานสกูล คนที่เคยกล่าวกับผมและเพื่อนอีกสองคนว่า “ถ้าไม่กลับไปแก้เล่มรายงานจะให้เอฟกับสมาชิกกลุ่มนี้” การียา ยูโซ๊ะ 28 # 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา
6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา # 29 แด่...ครูที่รัก (มาโนช นิสรา) หนึ่ง : ถึงครูมาโนช แด่...ครูที่รักนักกลอนนักสอนศิษย์ ปลูกความคิดจุดไฟให้รู้ฝัน แต้มสีรุ้ง กลบรอยเปื้อน เติมฝ่าฟัน สร้างของขวัญ ‘ศรัทธา’ ในตัวตน ครูเคยบอก ‘ฟ้าทะเล’ โอบความเหมือน จึงคอยเตือน ‘แตกต่าง’ เรียนรู้ค้น บรรจงวาดศาสตร์ศิลป์ความเป็นคน เพียงผ่านพ้นมรสุมคืนสู่ดิน สอง : เป็นต้นแบบ ต้นแบบ ‘ครู’ คืออย่างไร ตั้งคำ ถาม ในแง่งามเงื่อนเงาใสกระจ่าง คืนขบถสอนมนุษย์มอบแนวทาง ใช่จัดวางคิดประดิษฐ์ชีวิตคน ผู้เงียบขรึมซ่อนรู้สึกแนบเนียนเนตร เชื่อมผลเหตุให้ตีความหาแห่งหน จักเห็นรักสื่อสัญญะเสรีชน ช่วย-อด-ทนเพื่อ ‘ศิษย์’ ได้เติบโต สาม : ฝึกอ่านเขียน สร้างพล็อตเรื่อง ‘เกมลูกแก้ว’ ตกผลึก เพียรอ่านฝึกเขียนเส้นร่างแผนที่ ชีวิตเอ็งจะแตกหน่อระวังมี... หล่มล้านปีฝังกลบติดอัตตา แก้วหนึ่งล้ม...ต่อแก้วล้ำ ลุย! แข็งแกร่ง หมั่นผ่อนแรงปรับสมดุลเร็ว-กลาง-ช้า ถนอมคุณความดีญาณปัญญา หยุดขว้างปาโลกกลวงลวงอัศจรรย์ สี่ : หลอมคุณค่า วิเศษเป็นพิเศษทุกคำ สอน ดั่งคำ กลอนขับทำ นองเอกภพ กะเทาะแก่นศักยภาพทับทบ เพ่งบรรจบกลางลี้ลับมีเพชรพราว แสงส่องเพชรสะท้อนจับประกอบค่า บ่มเวลาเรียนรู้อุ่น-ร้อน-หนาว อคติคร่ำ ครึนัยครั้งคราว หล่นร่วงกราวมอดมลายเผย ‘คนดี’ โดย นิยา บิลยะแม
30 # 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา ห้า : ผลิดอกทัศนคติ เปล่งประกายทัศนคติกล้า มือไขว่คว้าออกซิเจนหุบโถงถ้ำ แม้นมืดมนอ่อนแรงใช้ใจนำ กล่าวซ้ำ ซ้ำ ‘ผลิดอกได้’ เย้ยชีวิน ศิษย์ครูร่วมอุดมการณ์มุ่งมั่น แห่งความฝันความหวังมิรู้สิ้น สลับแร่แปรธาตุขาวเขียวนิล เนื้อในหินซากพฤกษายังเบ่งบาน หก : ด้วยรักตลอดไป เหนือโพ้นฟ้าทะเลกว้างคุณเห็นไหม ทรงจำ ไหวตั้งเค้ากลั่นเมฆฝน หลั่งน้ำ ทิพย์เสียงเปาะแปะไร้จำ นน น้อยมากล้นสานสัมพันธ์เนินนานมา ‘รัก’ เพราะ ‘รัก’ ดลจิตบริสุทธิ์ โปรยดอกพุด ‘สำ นึกดี’ ที่ใฝ่หา ผูกพลังศิษย์ครูกตัญญุตา คือสัญญาอมตะเมื่อต้องการ...
กรุ่นดอกแก้วกลีบนวลหอมอวลอก นุ่มเพลงนกหวานพริ้งจึงยิ่งหอม บ่มกล้วยเครือเนื้องามให้สุกงอม ท่ามรายล้อมดอกดวงปวงพืชพันธุ์ ใต้ร่มต้นมังคุดผลผุดพร่าง ร่มมิกว้างแต่จำ เพาะมุมเหมาะมั่น เมื่อแดดสายร้อนแรงทอแสงวัน ลมพัดผ่านเท่านั้นรื่นลานดิน ลานยังเอื้ออารีย์ผ่านผีเสื้อ คลี่นัยเนื้อดอกไม้ให้หอมกลิ่น กลีบเกสรจึงบันดาลน้ำ หวานริน นาฏการทั้งสิ้นล้วนสัมพันธ์ งามดอกเหงื่อเรื่อพราวชายชาวสวน เฝ้าขุดพรวน เพาะ หว่าน มิไหวหวั่น ด้วยแรงมือเคี่ยวกรำ เป็นสำ คัญ ด้วยแรงรักยืนยันเป็นสวนงาม ดินจากลานลำ เลียงหล่อเลี้ยงสวน ธาตุทั้งมวลบำ รุงต้นพ้นไหน่หนาม จนเติบโตหยั่งรากฝากนิยาม หลอมเนื้อนาม คน - สวน ซึ้งเป็นหนึ่งเดียว ใต้ร่มต้นมังคุดจึงผุดพร่าง แผ่ร่มกว้างกล้าแกร่งด้วยแรงเรี่ยว สวนข้างนอกเย็นห่มด้วยลมเรียว สวนข้างในข้นเคี่ยวด้วยค่าคุณ หกทศวรรษตระการใต้ลานร่ม ดินลานบ่มเรียงร้อยผ่านสร้อยสุนทร์ ฝ่าพายุเขี้ยวคมจนสมดุล ชีพนัยสวนอบอุ่นด้วยคุณคัมภิร์ กรุ่นดอกแก้วกลีบนวลหอมอวลอก นุ่มเพลงนกประจำ ถิ่นหวานรินร่ำ บูชาชีพและเนื้องานผ่านลำ นำ กล่อมดินลานลึกล้ำ มิรู้ลืม “เรามิต่างพฤกษ์พันธุ์วรรณกรรม แตกกิ่งก้านจากลำ นำ แห่งดินลาน” ด้วยหัวใจเคารพรัก 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา # 31 “ร่มดินลาน” กันตภณ
32 # 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา คารวะ หัวใจครู วันแรกทุกอย่างยังแปลกตาในรู้สึก คล้ายหลงทางกลางป่าลึกมิติใหม่ วนเวียนซับซ้อนจนอ่อนใจ ผู้คนหลั่งไหลทุกทิศทาง ช่วงเวลาแปลกประหลาด ชายผู้มีอำ นาจยังนิ่งขรึม บรรยากาศภายนอกยังอึมครึม คล้ายเมฆฝนครึ้มช่วงปลายปี ช่วงเวลาระหว่างนั้น สังเกตปรากฏการณ์รุ้งเปลี่ยนสี รอยยิ้มที่หายไปก็ยินดี กลับมาบานคลี่ เผยอีกครั้ง จากชายผู้มีอำ นาจ กลับมีบทบาทให้วาดหวัง ความรู้ถูกถ่ายทอดไม่ปิดบัง ปรารถนาเพียงสร้างพลังแห่งฝันเยาว์ อาจารย์มาโนชคือครูที่แท้จริง ผู้อยู่หลังทุกสิ่งดังขุนเขา คอยโอบล้อมผืนป่าให้ร่มเงา นกจึงกางปีกบางเบาสู่ฟ้าไกล กระพือปีกแห่งฝันอันแข็งกล้า มุ่งหน้าสู่หนทางที่ฝันใฝ่ ครูจึงมองนกน้อยอย่างภูมิใจ และนกน้อยภูมิใจเป็นศิษย์ครู ขอคารวะหัวใจครูจากใจศิษย์ ผู้เป็นดั่งเข็มทิศชี้ทางสู่ ความสำ เร็จวิชาชีพได้เชิดชู ศิษย์ได้ดีเพราะมีครูเป็นร่มเงา ปวีณ์สุดา เหนือคลอง
6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา # 33 แด่ครูฉัน..... มุทิตาจิตศิษย์…แด่ครูฉัน ผู้รังสรรค์สอนสั่งให้เกิดผล ทั้งศาสตร์ศิลป์ศาสตร์วิชาความเป็นคน ครูอดทนบ่มเพาะศิษย์ให้ได้ดี ฉันจดจำ ถ้อยคำ ครูผู้สอนศิษย์ วาจาสิทธิ์เฉียบคมสมศักดิ์ศรี รู้จักเจรจาถ้อยวาที สอนศิษย์นี้ด้วยปัญญาด้วยหัวใจ คำ สอนครูทุกคำ มีความหมาย ศิษย์จำ ได้ทุกเรื่องราวทุกสมัย แม้วันนี้ครูเกษียณตามกาลวัย แต่ศิษย์จะไม่ลืมบุญคุณครู จากวรางคณา ถึงอาจารย์มาโนช หนูอยากบอกอาจารย์ว่าตลอดเวลา ที่ผ่านมา หนูไม่เคยลืมอาจารย์เลยค่ะ เพราะว่าอาจารย์คืออาจารย์คนแรก ที่ทำ ให้หนูรู้จักวรรณกรรมแบบที่ไม่ใช่แค่ดูผ่านละครโทรทัศน์ หนูอาจไม่ได้มี ความสามารถทางการเขียนวรรณกรรมมากนัก แต่เพราะหนูเคยร่วมค่ายการ เขียนของอาจารย์ตั้งแต่ปี 1 ถึงปี 4 ทำ ให้หนูสนใจส่งงานประกวดบ้าง แม้จะไม่กี่ครั้งแต่นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นทำ ให้คนอื่นจดจำ หนูในฐานะเด็กที่เขียน เรื่องสั้นที่สำ คัญคือมีคนจำ ได้ว่านี่คือลูกศิษย์อาจารย์มาโนช ตอนนี้หนูมาทำ งานเป็นอาจารย์ แล้วเพื่อนร่วมงานชอบถามถึงอาจารย์ ว่าหนูรู้จักอาจารย์หรือเปล่า เขาเอางานอาจารย์มาอ้างอิงแล้วบอกว่าอาจารย์ เขียนดี หนูเลยรู้สึกภูมิใจที่หนูได้เป็นลูกศิษย์อาจารย์ค่ะ ณ วันนี้อาจารย์กำ ลัง จะเกษียณแล้ว หนูขออวยพรให้อาจารย์ประสบแต่ความสุขนะคะ อยากให้ อาจารย์สุขภาพแข็งแรง เป็นคนอารมณ์ดีแบบนี้เสมอ ขอให้อุดมสมบูรณ์ ด้วยทรัพย์และความสุขค่ะอาจารย์ ขอบคุณที่สอนหนูและเพื่อน ๆ มาเป็นอย่างดีนะคะ วรางคณา สุพรรณชนะบุรี
คือสวนแห่งชีวิตนักคิด-เขียน เมล็ดพันธุ์ความเพียรยังแตกผลิ ผลิราก.. ที่ไร้รั้งการเริ่มริ แตกใบ.. ไร้ที่ติเพื่อผลิบาน คือสวนแห่งชีวิต “นิสรา” ทุกวันวัยท่ามเวลาที่ไหลผ่าน ไม่เคยสิ้นลับสูญไปกับกาล คิด-เขียน ยังชัชวาล เล่าชีวิต เล่าชีวิตเส้นทางสร้างต้นอ่อน เป็นร่มเงาโอบสอนงานแก่ศิษย์ ป้องอ่อนใบจากระอุ อย่างผู้อุทิศ จนต้นอ่อน เขียน-คิด เลือกทิศเดิน คือชีวิต มาโนช นิสรา ง่ายงาม ธรรมดา มานานเนิ่น อย่างที่เคย งามง่าย มาหลายเผชิญ ทุกรอยเขียนไม่เคยเกินประสบการณ์ 34 # 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา นัยสวนชีวิต ประสบการณ์จึงส่งผ่านละลานประสบ ให้เหล่าศิษย์ค้นพบเส้นทางผ่าน เส้นทางที่จรุงค่า กว่าทางอาจารย์ แจ่มปณิธาน จากมาโนช นิสรา เบื้องหลัง.. ความสำ เร็จของศิษย์รู้ ทุกอณูละอองรักฤๅเลือนค่า ยังโอบคุ้มเมล็ดพันธุ์ไร้พันธนาฯ ได้เติบต้นจากอ่อนกล้าเป็นป่าไม้ จึงสวนแห่งชีวิตนักคิด-เขียน เมล็ดพันธุ์ความเพียรยังพราวไสว หยัดราก.. ทุกร่องลึกที่แล้งไร้ ผลิใบ.. นัยสวนชีวิต “นิสรา” ทักษิณ ทุนเกิด
6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา # 35 มาโนช ดินลานสกูล; อาจารย์ผู้เป็นแสงแดด ฉันไม่รู้ว่าจะต้องเติบโตอย่างไร ให้เป็นดอกปาริชาต รวงดอกแดงสดเข้มคลั่ง ความสง่างามและโดดเด่นอย่างนั้น คือสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจ และไม่มีวันจะได้เป็น สำ หรับนิสิตคนหนึ่ง ที่เฉียดใกล้คำ ว่าธรรมดามากกว่าพิเศษ หยั่งรากลงในดินที่ไม่คุ้นเคย ตั้งคำ ถามต่อลมฝน สับสนระหว่างสีเหลืองของดอกไม้ กับแสงสุดท้ายของวัน เฝ้าโทษในความเป็นฉัน ที่สิ้นไร้ความเก่งกาจ ไม่เฉลียวฉลาดหรือแข็งแกร่ง
36 # 6 ทศวรรษนัยสวนชีวิต : มาโนช นิสรา ในรัศมีของลมมรสุมเขตร้อน ใต้ฟ้าอ่วมฝนผืนนี้ ฉันเคยเป็นวัชพืชแบบนั้น กระทั่งในช่วงบ่ายวันหนึ่ง วันที่ฝนหยุดตกและแสงส่องถึง อาจารย์มองมาที่ฉัน บอกว่าความผิดพลาดไม่ใช่ทุกสิ่ง ความเปราะบางไม่ใช่เรื่องผิดบาป และไม่มีใครควรถูกสาป แค่เพราะยังไม่รู้จักตัวเอง ฉันจึงได้เข้าใจ ว่าคนเราไม่ได้กลายเป็นวัชพืช เพราะงอกงามอย่างปาริชาตไม่ได้ เราเพียงแต่รอคอยฤดูกาลอันเหมาะสม เพื่อมีตัวตนในฐานะดอกพยับหมอก ที่แม้กลีบใบจะบอบบางจ้อยจิ๋ว แต่สีฟ้าเหมือนฟ้า ขอบคุณ แสงแดด ในวันนั้น ที่ทำ ให้ฉันรู้จักไม้พรรณมากมาย และหว่านสร้างความเป็นไปได้ที่จะผลิบาน ภมุ ภามุ