ตำนานลายลักษณ์อักษร
คำนำ
รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ส 31104
ประวัติศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่4 โดยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษา
ความรู้จากข้อมูลเกี่ยวกับลายลักษณ์อักษรของชนชาติต่างๆ
อย่างไรก็ตามข้อมูลเกี่ยวกับลายลักษณ์อักษร สามารถนำไปใช้ให้
เกิดประโยชน์ตามความเหมาะสม
ผู้จัดทำหวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้ความรู้เเละเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่า
นทุกๆท่าน
ผู้จัดทำ
อรยา ลาภส่งผล ม.4/3 เลขที่23
อรญา ผิวอ่อน ม.4/3 เลขที่34
สารบัญ
เรื่อง หน้า
หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร 1-2
ลายลักษณ์อักษรเกาหลี
3
ลายลักษณ์อักษรไทย
4
ลายลักษณ์อักษรญี่ปุ่น
5
ลายลักษณ์อักษรจีน
ลายลักษณ์อักษรพม่า 6
7
ลายลักษณ์อักษรเขมร
8
หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร
ประกอบด้วย
ตำนาน
เป็นเรื่องที่เร้าต่อ ๆ กันมาด้วยวาจา ต่อมาภายหลังจึงมีการจดบันทึกและ
พิมพ์เผยแพร่ ดังนั้นเรื่องที่อยู่ในตำนานจึงอาจถูกเปลี่ยนแปลงจากเรื่อง
เดิมได้เพราะการลืม ความไม่แม่นยำในการจดจำการแต่งเติมเรื่อง การไม่ให้
ความสำคัญในเรื่องการเวลา เรื่องที่ปรากฏในตำนานมักจะกล่าวถึงเรื่องใน
พระพุทธศาสนา เรื่องราวของบุคคล เรื่องราวของปูชะนีสถาน
จารึก
ทำขึ้นเพื่อใช้อธิบายเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม โดยมีจุดมุ่งหมายอย่างใด
อย่างหนึ่งจารึกของไทยปรากฏในหลาย ลักษณะ เช่น จารึกบนแท่นศิลา หรือ ศิลา
จารึก จารึกลงแผ่นทองเรียกว่า จาลึกลานทอง จารึกลงแผ่นเงิน เรียกว่า จารึกลาน
เงิน จารึกหรือจานบนใบลาน เรียกว่าหนังสือใบลาน จารึกเป็นหลักการทางหวัดดีสส
ไทยที่มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะในสมัยสุโขทัย จารึกที่ค้นพบในประเทศไทย
มีประมาณ 500 ชิ้น
พงศาวดาร
เป็นการบันทึกเรื่องราวในอดีตภายใต้การอุปถัมภ์ของราชสำนัก เนื้อหาในพงศาวดาร
จาเน้ นเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับอาณาจักรและกษัตริย์ที่ปกครองอาณาจักรนั้นๆ พงศาวดาร
ที่มีอยู่ในปัจจุบันมีเนื้อหา 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ พงษาวดารกรุงศรีอยุธยา พงษาวดารกรุง
รัตนโกสินทร์จนถึงต้นราชการที่ 5 พงษาวดารท้องถิ่นและประเทศเพื่อนบ้าน
บันทึก
ของชาวต่างชาติ
ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในดินแดนประเทศไทยสมัยต่างๆ มีทั้งที่เป็น นักการทูต
พ่อค้า ได้บันทึกเรื่องราวต่างๆ ทั้งที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม การดำรง
ชีวิต เป็นต้น ทำให้เราได้ทราบเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ไทยมากขึ้นกว่สเดิม บันทึก
ที่สำคัญของชาวต่างชาติในสมัยอยุธยา เช่น พงษาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับฟาน ฟลีต
หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร
ประกอบด้วย
จดหมายเหตุ
เป็นหลักฐาน ทางประวัติศาสตร์ ประเภท พงศาวดาร แต่
แตกต่างกันตรงที่จดหมายเหตุ
เป็นการบันทึกร่วมสมัย บอกเกี่ยวกับวันเวลา ที่มี
เหตุการณ์เกิดขึ้น มีลักษณะเด่นในเรื่อง
การให้รายละเอียด และความถูกต้องในเรื่องเวลา พร้อมทั้ง
แทรกความคิดเห็นของผู้บันทึก
ลงไปด้วย จดหมายเหตุแบ่งออกเป็นหลายประการ ได้แก่
จดหมายเหตุของหลวง จดหมาย
เหตุโหร จดหมายเหตุของบุคคล และเอกสารคำให้การของ
รัฐหรือฝ่ ายปกครอง
เอกสารทางราชการ
เป็ นเอกสารที่เกี่ยวข้องกั
บการบริหารราชการ
และการปกครองที่รัฐบาล มีต่อ
ข้าราชการทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เช่น
รายงานการตรวจสอบราชการ
รายงานความคิดเห็นเพื่อกราบบังคมทูล
รายงานการประชุม เป็นต้น
ลายลักษณ์อักษรเกาหลี
ภาษาเกาหลี เป็นภาษาที่ส่วนใหญ่พูดใน ประเทศ
เกาหลีใต้ และ ประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งใช้เป็นภาษา
ราชการ และมีคนชนเผ่าเกาหลีที่อาศัยอยู่ในสาธารณรัฐ
ประชาชนจีนพูดโดยทั่วไป(ในจังหวัดเหยียนเปี ยน
มณฑลจื๋อหลิน ซึ่งมีพรมแดนติดกับเกาหลี ทั่วโลกมี
คนพูดภาษาเกาหลี 78 ล้านคน รวมถึงกลุ่มคนในอดีต
สหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา แคนาดา บราซิล ญี่ปุ่น
และเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีผู้พูดใน ฟิลิปปินส์ ด้วย การจัด
ตระกูลของภาษาเกาหลีไม่เป็ นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป
แต่คนส่วนมากมักจะถือเป็นภาษาเอกเทศ นัก
ภาษาศาสตร์บางคนได้จัดกลุ่มให้อยู่ใน ตระกูลภาษาอัล
ไตอิกด้วย
ลายลักษณ์อักษรไทย
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงประด
ิษฐ์ลายสือไทยหรือตัวหนังสือไทย
ขึ้นเมื่อมหาศักราช ๑๒๐๕ (พุทธศักราช ๑๘๒๖) นับมาถึงพุทธศักราช
๒๕๒๖ ได้ ๗๐๐ ปีพอดี ในระยะเวลาดังกล่าว ชาติไทยได้สะสมความรู้
ทั้งทางศิลปะ วัฒนธรรม และวิชาการต่าง ๆ และได้ถ่ายทอดความรู้
เหล่านั้นสืบต่อกันมา โดยอาศัยลายสือไทยของพรองค์ท่านเป็นส่วน
ใหญ่ ก่อนสมัยสุโขทัย ชาติไทยเคยรุ่งเรืองอยู่ที่ไหนอย่างไร ไม่มีหลัก
ฐานยืนยันให้ทราบแน่ชัด แต่เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรง
ประดิษฐ์ลายสือไทยขึ้นแล้ว มีศิลาจารึกและพงศาวดารเหลืออยู่เป็น
หลักฐานยืนยันว่า ชาติไทยเคยรุ่งเรืองมาอย่างไรบ้าในยุคสุโขทัย
อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ ในโอกาสครบรอบ ๗๐๐ ปีนี้ คนไทย
ทุกคนจึงควรน้ อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และพระปรีชาสามารถ
ของพระองค์ท่านโดยพร้อมเพรียงกัน
ลายลักษณ์อักษรญี่ปุ่น
ก่อนพ.ศ. 900 ภาษาญี่ปุ่นไม่มีระบบการเขียนเป็นของตนเอง หลังจากนั้ น เริ่ม
ปรับปรุงอักษรจีนมาใช้ คาดว่าผ่านมาทางเกาหลี ครั้งแรกภาษาญี่ปุ่นเขียน
ด้วยอักษรจีนโบราณ หรือรูปแบบผสมระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ตัวอย่างของรูป
แบบผสมเช่นโกจิกิ (kojiki:บันทึกประวัติศาสตร์) เขียนเมื่อ พ.ศ. 1255 พวก
เขาเริ่มใช้รูปแบบอักษรจีนเขียนภาษาญี่ปุ่น ในรูปอักษรพยางค์ใบไม้หมื่นใบ
ภาษาญี่ปุ่นสมัยใหม่เขียนด้วยรูปแบบผสมของฮิระงะนะ คะตะคะนะร่วมกับ
คันจิ หนั งสือสมัยใหม่จะรวม โรมาจิ (อักษรโรมัน) ซึ่งเป็นรูปแบบมาตรฐาน
สำหรับการเขียนภาษาญี่ปุ่นด้วย อักษรโรมัน คำที่ไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่นเขียนด้วย
อักษรของภาษานั้ นหรือหรือสัญลักษณ์ที่เรียก คิโกะ
ลายลักษณ์อักษรจีน
อักษรจีนเป็นระบบการเขียนที่ใช้กันมาอย่างต่อเนื่ องอันเก่าแก่ที่สุด
ในโลก[1][2][3] นั กภาษาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า การเขียนในจีนที่เก่า
สุดเริ่มเมื่อ 957 ปีก่อนพุทธศักราช ไม่มีหลักฐานแสดงความเกี่ยวข้อง
王㦤榮กับการเขียนในบริเวณอื่น ตัวอย่าง
ก พ.ศ. 2442 หวัง อี้หรง (
)
นั กวิชาการจากปักกิ่ง พบสัญลักษณ์คล้ายอักษรบนกระดูกมังกร
(กระดูกสัตว์ที่ชาวบ้านคิดว่าเป็นกระดูกมังกร) ที่เขาได้รับจาก
เภสัชกร ในเวลานั้ น กระดูกมังกรซึ่งมักเป็นซากฟอสซิลของสัตว์ ยัง
ใช้ในการแพทย์แผนจีน กระดูกสัตว์เหล่านั้ นพบมาก ในซากปรักหัก
พังของเมืองหลวงในสมัยราชวงศ์ซัง ทางเหนื อของ มณฑลเหอ
หนานารเขียนภาษาจีนที่เก่าสุดมีอายุราว 957 – 407 ปี ก่อน
พุทธศักราช (ราชวงศ์ซาง) ซึ่งเป็นจารึกบนกระดูกวัวและกระดองเต่า
ลายลักษณ์อักษณพม่า
ตัวอักษรพม่าคือการปรับตัวของสคริปต์ Pyu , [2]หรือเก่า
จันทร์สคริปต์[4]และมันเป็ นที่สุดของภาคใต้ของอินเดียต้น
กำเนิดจากทั้งKadamba [2]หรืออักษรปัลลวะ นักวิชาการ
Aung-Thwin ได้โต้แย้งว่าอักษรพม่าน่าจะสืบเชื้อสายมาจาก
อักษร Pyu และไม่ได้มาจากอักษรมอญเก่าเนื่องจากไม่มี
บันทึกทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการอพยพของชาวมอญ
จากทวารวดีไปยังพม่าตอนล่างไม่พบจารึกในอักษรทวารวดี
ตอนล่าง พม่าไม่มีความสัมพันธ์ที่พิสูจน์ได้ระหว่างระบบการ
เขียนของทวารวดีและปากะญอและไม่มีจารึกภาษามอญเก่า
ยกเว้นที่เขียนด้วยอักษรพม่าในประเทศพม่าทั้งหมด
ลายลักษณ์อักษรเขมร
อักษรเขมร (เขมร: អក្សរខ្មែរ)คือรูปอักษรที่ดัดแปลงมาจากอักษร
หลังปัลลวะ (ราว พ.ศ. 1200-1400) ซึ่งเป็นอักษรที่พัฒนามาจา
กอักษรปัลลวะ (ราว พ.ศ. 1100-1200) อีกต่อหนึ่ง อักษรปัลลวะนี้
เป็นอักษรที่มาจากอินเดียตอนใต้ ซึ่งเป็นชุดอักษรที่มีกำเนิดมาจาก
อักษรพราหมี ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
(ราว พุทธศตวรรษที่ 3) จารึกอักษรเขมรเก่าสุด พบที่ปราสาทโบเร็ย
จ.ตาแก้ว ทางใต้ของพนมเปญ อายุราว พ.ศ. 1154 รูปแบบโบราณ
ของอักษรเขมร ที่เรียกอักษรขอม เป็นแม่แบบของ อักษรไทย
อักษรลาว อักษรเขมรใช้เขียนภาษาเขมร และมนต์คาถา
อ้างอิง
https://sites.google.com/site/teksupalak0047/prapheth-khxng-hlak-
than-thang-prawatisastr-thiy/hlak-than-thi-pen-lay-laksn-xaksr
https://siamrath.co.th/n/117483
https://sites.google.com/site/aaworaruthai/home/prawati-
phasa-keahli
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E
0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A3%E0%B8%8D%E0%
B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B9
%88%E0%B8%99
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E
0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%
B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%A3
https://hmong.in.th/wiki/Burmese_alphabet
http://www.sukhothai.go.th/history/hist_07.htm
ผู้จัดทำ
อรยา ลาภส่งผล ม.4/3 เลขที่23
อรญา ผิวอ่อน ม.4/3 เลขที่34