เชิดศก ั ดิ์ กำ ปั น่ทอง นิติกรช ำนำญกำรพิเศษ ค ำพิพำกษำ เกี่ยวกับ คดีแรงงำน รวบรวมถึงปี ล่ำสุด พ.ศ. 2564
คำนำ ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าข้อพิพาทด้านแรงงานจะมีคดีขึ้นสู่ศาลจำนวนมาก เนื่ องจากความสัมพั นธ์ระห ว่างน ายจ้างและลูกจ้างย่อมก่อให้ เกิด ข้อพิ พ าท ได้เสมอ หากทั้งสองฝ่ายไม่ปฏิบัติต่อกันให้ถูกต้องตามข้อสัญญาและข้อกฎหมาย อีกฝ่ายจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาล ผลของการพิจารณาคดีของศาล ย่อมมีผู้แพ้และชนะคดี และคำพิพากษาของศาลหลายคดี ได้วางแนวทางในการตีความและเรียบเรียงถ้อยคำ ให้เกิดความกระจ่างชัดและสละสลวย การศึกษาคำพิพากษาจึงเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง สำหรับผู้ปฏิบัติงานด้านทรัพยากรบุคคลและผู้สนใจกฎหมายแรงงานที่จะนำไปใช้ประโยชน์ ในการทำงานได้อย่างกว้างขวาง หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนได้รวบรวมคำพิพากษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับการย้าย สถานประกอบกิจการตามมาตรา ๑๒๐ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และการหยุดกิจการชั่วคราวตามมาตรา ๗๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ โดยสรุปย่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ผู้เขียนจึงมุ่งหวังว่า หนังสือเล่มนี้จะช่วย ให้ผู้ทำงานด้านทรัพยากรบุคคลและผู้ที่สนใจศึกษากฎหมายแรงงาน สะดวก ประหยัดเวลา และเข้าใจกฎหมายมากขึ้น เชิดศักดิ์ กำปั่นทอง มีนาคม ๒๕๖๕
สารบัญเรื่องย่อ การย้ายสถานประกอบกิจการ มาตรา ๑๒๐ หน้า ๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๗๙๖ - ๗๙๙/๒๕๖๔ (คณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน) เรื่อง อนุกรรมการสวัสดิการแรงงานตรวจสอบโดยใช้โปรแกรม Google Map ซึ่งเป็น มาตรฐานสากลใช้กันทั่วโลกมาอ้างอิงเปรียบเทียบ คำนวณค่าสูญเสียเวลาในการเดินทาง คำนวณค่าใช้จ่ายที่ เพิ่มขึ้นคิดเป็นเปอร์เซ็นต์แม้การที่นายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการแห่งใหม่ซึ่งมีระยะทางห่างจาก สถานประกอบกิจการแห่งเดิมเพียง ๓.๗ กิโลเมตร แม้การย้ายจะมีผลกระทบอยู่บ้าง แต่ยังถือไม่ได้ว่า มีผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้าง ลูกจ้างจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษ ตามมาตรา ๑๒๐ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ๑ ๒. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๕๙๗/๒๕๖๓ เรื่อง อำนาจบริหารจัดการ - โรงแรมสาขาที่เปิดใหม่ห่างจากที่ลูกจ้างทำงานประมาณ ๑๒๐ เมตร ประกอบกับสัญญาจ้างยังกำหนดว่า ลูกจ้างจะต้องปฏิบัติงานในหน้าที่ หรืองานอื่นใดที่บริษัท มอบหมายให้ทำอย่างเต็มความสามารถ เมื่อนายจ้างมีคำสั่งมอบหมายงานให้ลูกจ้างไปทำงานที่โรงแรมสาขา แต่ลูกจ้างกลับปฏิเสธที่จะไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย โดยอ้างเพียงว่าได้มาสมัครทำงานที่เดิมเพียงแห่ง เดียวเช่นนี้ ข้อกล่าวอ้างจึงไม่อาจรับฟังได้ เป็นการขัดคำสั่งหรือจงใจฝ่าฝืนไม่เชื่อฟังคำสั่งอันชอบด้วย กฎหมายของผู้บังคับบัญชาแล้ว และเป็นความผิดสถานหนักตามข้อบังคับ เลิกจ้างได้โดยไม่จ่ายค่าชดเชย , ค่าเสียหายจากโรคที่เกิดขึ้นเนื่องจากการทำงาน ค่าเสียหายจากการไม่ออกใบสำคัญการทำงาน ค่าเซอร์วิส ชาร์จหรือค่าบริการไม่เป็นค่าจ้าง ๒ ๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๖๑/๒๕๖๓ (คณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน) เรื่อง นายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการตามมาตรา ๑๒๐ แม้หลังจากลูกจ้างยื่นหนังสือต่อ นายจ้างว่าไม่ประสงค์จะไปทำงานที่โรงงานแห่งใหม่ ลูกจ้างบางรายจะยังคงไปทำงานที่โรงงานเดิม บางรายไป ทำงานที่โรงงานใหม่ ใช้สิทธิลาป่วย และนายจ้างจ่ายค่าจ้างให้ก็ตาม ก็แสดงให้เห็นว่า ลูกจ้างบางคนต้องการ ทดลองเดินทางไปทำงานที่โรงงานแห่งใหม่ บางคนรอความชัดเจน จึงถือไม่ได้ว่าลูกจ้างได้เพิกถอนการแสดง เจตนาบอกเลิกสัญญาจ้างต่อนายจ้าง เมื่อการย้ายสถานประกอบกิจการดังกล่าวลูกจ้างได้รับผลกระทบสำคัญ ฯ จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษฯ ๕
การย้ายสถานประกอบกิจการ มาตรา ๑๒๐ หน้า ๔. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๙๔/๒๕๖๒ เรื่อง นายจ้างจะปิดสถานประกอบกิจการสาขาเชียงใหม่ และให้ลูกจ้างย้ายไปทำงานที่ สำนักงานใหญ่กรุงเทพฯ โดยให้ลูกจ้างตอบภายในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ ว่าจะยินยอมไปทำงานหรือไม่ แต่นายจ้างกลับมีหนังสือเลิกจ้างในวันเดียวกัน โดยที่ลูกจ้างยังไม่ได้แจ้งว่าจะเลือกอย่างไร กรณีถือเป็น การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๗ ๕. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๘๑๘/๒๕๖๒ (คณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน) เรื่อง นายจ้างย้ายจากสาขา ๑ ไปอยู่สาขา ๔ ที่สร้างขึ้นใหม่ สาขาดังกล่าวยังไม่มีพนักงานเคย ไปทำงานมาก่อน จึงมิใช่สาขาที่มีอยู่ก่อนแล้ว กรณีถือว่าการย้ายสถานประกอบกิจการตามมาตรา ๑๒๐ วรรค หนึ่ง , ๑๐ เมษายน ๒๕๖๐ นายจ้างแจ้งการย้ายแล้วเลื่อนการย้ายซึ่งไม่กำหนดวันย้ายที่แน่นอน จนกระทั่ง วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ จึงเรียกประชุมพนักงานแล้วแจ้งว่าจะย้ายและให้ลูกจ้างเริ่มทำงานที่สาขาในวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ ดังนั้น วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ จึงเป็นวันที่นายจ้างแจ้งการย้ายที่ชัดเจนและแน่นอน กรณีถือได้ว่านายจ้างแจ้งการย้ายให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าน้อยกว่า ๓๐ วันก่อนวันย้าย ลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับ ค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๘ ๖. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๘๔๑/๒๕๖๒ (บังคับเขียนใบลาออก) เรื่อง บังคับเขียนใบลาออก : ลูกจ้างต่างด้าว ถูกนายจ้างและผู้บังคับบัญชาเรียกไปในห้อง และ ให้เขียนใบลาออกมิฉะนั้นจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายไทย โดยลูกจ้างมิได้สมัครใจอย่างแท้จริง พฤติการณ์เป็น “การเลิกจ้างโดยปริยาย” และเป็นการกระทำละเมิดต่อลูกจ้าง นายจ้างต้องร่วมรับผิด ในการกระทำละเมิดร่วมกับผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายห้องพักชดใช้ค่าเสียหายในมูลละเมิด ๑๐๐,๐๐๐ บาท และจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๕๕๐,๐๐๐ บาท (๑๐ เดือน) ๙ ๗. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๘๕๕ - ๘๕๖/๒๕๖๒ เรื่อง พฤติการณ์เลิกจ้าง : นายจ้างเปลี่ยนแปลงหน้าที่การงานลูกจ้างจากขับรถยนต์บรรทุกหัว ลากสิบแปดล้อแล้วลดค่าจ้างและเสนองานอื่นให้ทำในสวนลำไย เมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างดังกล่าวมี ผลทำให้เกิดเป็นข้อพิพาทคดีนี้ขึ้นโดยลูกจ้างไม่ยินยอม และนายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างให้ กรณีถือเป็นการเลิกจ้าง ตามมาตรา ๑๑๘ วรรคสองแล้ว , เมื่อลูกจ้างยินยอมรับเงินเดือนของเดือนกุมภาพันธ์ – ตุลาคม ๒๕๕๙ เพียงเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท เป็นเวลา ๙ เดือน โดยไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน แสดงว่าลูกจ้างยินยอมให้นายจ้าง ปรับลดเงินเดือนแล้ว ๑๑ ๘. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๖๓๖๓/๒๕๖๒ (คณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน) เรื่อง แม้วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ นายจ้างจะได้แจ้งแก่ลูกจ้างว่าจะย้ายสถานประกอบ กิจการ แต่ยังไม่ได้แจ้งกำหนดวันย้ายที่แน่นอน และมีการเลื่อนวันย้ายออกไปอีก จนกระทั่งวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ นายจ้างจึงแจ้งว่าจะย้ายและให้ทำงานที่แห่งใหม่วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๑ ดังนั้น วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ จึงเป็นวันที่นายจ้างได้แจ้งแก่ลูกจ้างทราบ เมื่อลูกจ้างบอกเลิกสัญญาจ้างวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๑ จึงถือว่าใช้สิทธิภายใน ๓๐ วันนับแต่ได้รับแจ้ง ลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษ ๑๒
การย้ายสถานประกอบกิจการ มาตรา ๑๒๐ หน้า ๙. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๖๓๖๔/๒๕๖๒ (คณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน) เรื่อง แม้วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ นายจ้างจะได้แจ้งแก่ลูกจ้างว่าจะย้ายสถานประกอบ กิจการ แต่ยังไม่ได้แจ้งกำหนดวันย้ายที่แน่นอน และมีการเลื่อนวันย้ายออกไปอีก จนกระทั่งวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ นายจ้างจึงแจ้งว่าจะย้ายและให้ทำงานที่แห่งใหม่วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๑ ดังนั้น วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ จึงเป็นวันที่นายจ้างได้แจ้งแก่ลูกจ้างทราบ เมื่อลูกจ้างบอกเลิกสัญญาจ้างวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๑ จึงถือว่าใช้สิทธิภายใน ๓๐ วันนับแต่ได้รับแจ้ง ลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษตามมาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง (เดิม) ๑๔ ๑๐. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ที่ ๒๖๔๒/๒๕๖๑ (ย้ายสถานประกอบกิจการ) เรื่อง ลูกจ้างทำ “หนังสือแจ้งความประสงค์ไม่ไปทำงานที่สำนักงานแห่งใหม่ของนายจ้าง”เป็น การแสดงเจตนาเลิกสัญญาต่อนายจ้างแล้ว แม้ไม่มีข้อความบอกเลิกสัญญาโดยตรงก็ตาม หนังสือดังกล่าวจึง เป็นการบอกเลิกสัญญาจ้างภายใน ๓๐ วันแล้ว ส่วน “หนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง” ที่มีถึงนายจ้างภายหลัง แม้เกิน ๓๐ วัน นั้น เป็นเพียงการบอกย้ำว่าลูกจ้างยกเลิกสัญญาจ้างเท่านั้น กรณีถือว่าลูกจ้างใช้สิทธิภายใน ๓๐ วันนับแต่ทราบหนังสือแจ้งโดยชอบตามมาตรา ๑๒๐ วรรคแรกแล้ว ๑๕ ๑๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๕๖๖ - ๕๕๙๘/๒๕๖๑ (ย้ายสถานประกอบกิจการ) เรื่อง การย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่นตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง หมายถึง นายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการแห่งเดิมไปตั้งสถานประกอบ กิจการอีกแห่งหนึ่งไปที่แห่งใหม่ มิใช่หมายความถึงกรณีลูกจ้างไปทำงานที่สถานประกอบกิจการของนายจ้าง อีกแห่งหนึ่งที่มีอยู่ก่อนแล้ว ๑๖ ๑๒. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๑๑๗๕ – ๑๒๖๙/๒๕๖๐ เรื่อง นายจ้างมีสาขา ๘ สาขา ต่อมาปิดสาขาบุรีรัมย์แล้วมีคำสั่งย้ายลูกจ้างทั้งหมด ๙๕ คน ให้ไปสาขากรุงเทพ โดยนายจ้างไม่มีเจตนาย้ายพนักงานไปทำงานที่สำนักงานสาขาอย่างแท้จริง เพียงรอเวลา หาโอกาสที่จะบีบหรือหว่านล้อมลูกจ้างที่เล็งเห็นว่าไม่สามารถย้ายไปทำงานตามคำสั่งได้อยู่แล้วให้ลาออก เพื่อพ้นความรับผิดในการจ่ายค่าชดเชย อันเป็นการทำให้นายจ้างได้เปรียบลูกจ้างเกินสมควร ฝ่าฝืนมาตรา ๑๔/๑ ทั้งเป็นการกลั่นแกล้งให้ลูกจ้างลาออก คำสั่งจึงไม่ชอบ ถือเป็นการเลิกจ้าง ๑๘ ๑๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๕๕๖/๒๕๕๙ (คดีฟ้องเพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน) เรื่อง แม้นายจ้างย้ายลูกจ้างไปเพียงบางแผนกไปอยู่โรงงานแห่งใหม่อันมิใช่สาขาเดิม ที่นายจ้างมีอยู่ก็ตาม แต่นายจ้างได้ปิดแผนกนั้นทั้งหมด ถือเป็นการ “ย้ายสถานประกอบกิจการ” ตามมาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ๑๙
การย้ายสถานประกอบกิจการ มาตรา ๑๒๐ หน้า ๑๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๗๕๙/๒๕๕๘ (ลูกจ้างฟ้องต่อศาลแรงงานโดยตรง) เรื่อง ย้ายต้นสายการเดินรถ ปอ. ๐๐๐ จากปากน้ำมาอยู่ที่สายใต้ใหม่ เป็นการย้าย “สถานประกอบกิจการ” ตามมาตรา ๑๒๐ ลูกจ้างระดับล่างพักอาศัยอยู่จังหวัดสมุทรปราการได้รับผลกระทบ เนื่องจากต้องรับส่งหลานไปโรงเรียน กลับมาทำงานพิเศษไม่ทัน ลำบากและเสียเวลาเดินทางมากกว่าเดิม ทำให้มีเวลาพักผ่อนน้อยลงกว่าเดิม ถือว่าลูกจ้างได้รับผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิต ๒๐ ๑๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๕๕๐/๒๕๕๘ (คดีฟ้องเพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน) เรื่อง นายจ้างมีเจตนาย้ายสำนักงานจากกรุงเทพ ไปจังหวัดสมุทรสาคร โดยทยอยย้ายทีละ แผนกรวมเวลา ๒ ปีเศษ จึงปิดการดำเนินการที่สาขากรุงเทพ แม้จดเปลี่ยนแปลงให้จังหวัดสมุทรสาคร เป็นสำนักงานใหญ่และสำนักงานกรุงเทพเป็นสาขาก็ตาม ก็ถือเป็นการ “ย้ายสถานประกอบกิจการ” ตามมาตรา ๑๒๐ ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษ ๒๓ ๑๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๒๐๙ – ๑๑๒๑๑/๒๕๕๗ เรื่อง ย้ายต้นสายการเดินรถ ปอ. ๕๐๗ จากปากน้ำมาอยู่ที่สายใต้ใหม่ เป็นการย้าย “สถานประกอบกิจการ” ตามมาตรา ๑๒๐ ลูกจ้างระดับล่างพักอาศัยอยู่จังหวัดสมุทรปราการได้รับผลกระทบ เนื่องจากต้องรับส่งหลานไปโรงเรียน กลับมาทำงานพิเศษไม่ทัน ลำบากและเสียเวลาเดินทางมากกว่าเดิม ทำให้มีเวลาพักผ่อนน้อยลงกว่าเดิม ถือว่าลูกจ้างได้รับผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิต ๒๔ ๑๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๕๗๔ – ๑๓๕๗๕/๒๕๕๗ เรื่อง การฟ้องเรียกร้องค่าชดเชย หามีบทบัญญัติกฎหมายบังคับให้ต้องยื่นคำร้องต่อ คณะกรรมการสวัสดิการแรงงานเพื่อให้พิจารณาและมีคำสั่งก่อนที่จะนำคดีมาสู่ศาลแรงงานไม่ ดังนั้น ลูกจ้าง จึงมีอำนาจนำคดีไปฟ้องศาลแรงงานได้ ๒๖ ๑๘. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๕๕๔/๒๕๕๗ (ย้ายตัว) เรื่อง นายจ้างสั่งให้ลูกจ้างย้ายไปทำงานที่สาขาเปิดใหม่จังหวัดภูเก็ต ลูกจ้างไม่ไป นายจ้าง เลิกจ้าง ไม่ถือเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๒๖ ๑๙. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๘๙๖๗/๒๕๕๕ เรื่อง นายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการจากเดิมเขตบางรักไปตั้งที่เขตประเวศ ลูกจ้าง ไม่สามารถไปทำงานได้เพราะส่งแฟนไปทำงานและกลับส่งงานพิเศษไม่ทัน การย้ายจึงมีผลกระทบสำคัญต่อ การดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้างและครอบครัว ลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษ ๒๗
การย้ายสถานประกอบกิจการ มาตรา ๑๒๐ หน้า ๒๐. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๑๙๘-๓๒๗๙/๒๕๕๑ เรื่อง นายจ้างย้ายลูกจ้างที่ทำงานอยู่จังหวัดปราจีนบุรี ไปทำงานที่จังหวัดสมุทรปราการ โดยให้ค่าเช่าบ้านคนละ ๑,๐๐๐ บาท มาจากสาเหตุที่หมดสัญญาให้บริการขายอาหาร ไม่เข้าข่าย การย้ายสถานประกอบกิจการตามมาตรา ๑๒๐ ลูกจ้างจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษ ๒๗ ๒๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๘๘๑-๖๘๙๒/๒๕๔๙ เรื่อง นายจ้างไม่อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการสวัสดิการแรงงานต่อศาลแรงงานภายใน กำหนด ๓๐ วันนับแต่วันได้รับแจ้งคำวินิจฉัย คำวินิจฉัยย่อมเป็นที่สุด นายจ้างไม่อาจยกเรื่องการย้าย สถานประกอบกิจการและการบอกเลิกสัญญาในชั้นศาลได้อีก ๓๐ ๒๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๓๙๘/๒๕๔๖ เรื่อง นายจ้างมีสำนักงานใหญ่ที่คลองเตย โรงงานอยู่จังหวัดสมุทรปราการ นายจ้างย้าย สำนักงานไปรวมอยู่ที่โรงงาน ไม่ใช่การย้ายสถานประกอบกิจการตามมาตรา ๑๒๐ ๓๑ ๒๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๒๒๘/๒๕๔๕ เรื่อง นายจ้างสั่งปิดสำนักงานขายที่กรุงเทพ และย้ายพนักงานทั้งหมดไปทำงานที่หน่วยงาน จังหวัดภูเก็ต มิใช่การย้ายสถานประกอบกิจการตามมาตรา ๑๒๐ ๓๒
สารบัญเรื่องย่อ การหยุดกิจการชั่วคราว มาตรา ๗๕ หน้า ๑ . คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๕๐๙/๒๕๕๙ (เข้าข่าย) เรื่อง นายจ้างมีโรงงานผลิตเครื่องเสียงติดรถยนต์ที่ชลบุรี โดยต้องสั่งซื้อชิ้นส่วนจากโรงงานซึ่ง อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดปทุมธานี แต่นิคมอุตสาหกรรมดังกล่าว เกิดอุทกภัยน้ำท่วมจนไม่สามารถประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนส่งนายจ้างได้นายจ้างจึงต้องหยุดกิจการชั่วคราว บางส่วนเฉพาะลูกจ้างในแผนกผลิต ถือได้ว่าเป็นกรณีมีความจำเป็นตามมาตรา ๗๕ ๓๔ ๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๘๗๙ - ๙๘๘๑/๒๕๕๗ (เข้าข่าย) เรื่อง การแจ้งการหยุดกิจการชั่วคราวตามมาตรา ๗๕ : นายจ้างแจ้งหยุดงานวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ โดยให้ลูกจ้างไม่ต้องมาทำงานในวันที่ ๒๓ – ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ แต่ได้รับค่าจ้าง ตามปกติ และเริ่มจ่ายค่าจ้างร้อยละ ๗๕ ของค่าจ้างปกติตั้งแต่วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ถือว่าแจ้ง การหยุดชอบด้วยกฎหมายแล้ว ๓๕ ๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๒๖๔-๑๕๔๓๑/๒๕๕๖ (เข้าข่าย) เรื่อง นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากมีความจำเป็นต้องปรับลดองค์กรเนื่องจากได้รับ ความเสียหายอย่างร้ายแรงจากอุทกภัยปี ๒๕๕๔ ถือเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม ๓๖ ๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๐๐๑-๓๐๕๑/๒๕๕๕ (เข้าข่าย) เรื่อง หยุดกิจการชั่วคราวเนื่องจากเกิดเหตุไฟไหม้แผนกผสมวัตถุดิบโดยไม่ปรากฏว่านายจ้าง ประมาทเลินเล่อ นายจ้างอ้างหยุดกิจการชั่วคราวตามมาตรา ๗๕ ได้ ๓๖ ๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๙๔๙/๒๕๕๐ (เข้าข่าย) เรื่อง นายจ้างขาดทุนสะสมถึง ๑๑๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท ไม่มีคำสั่งซื้อและสินค้าจำหน่ายไม่ได้ การที่นายจ้างสั่งสินค้าจากประเทศจีนมาจำหน่ายก็เพราะมีราคาต่ำกว่าต้นทุนการผลิต อันเป็นวิธีการแก้ไข ปัญหาวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจไม่ใช่เปลี่ยนประเภทกิจการ กรณีมีความจำเป็นต้องหยุดกิจการชั่วคราว ตามมาตรา ๗๕ ได้ ๓๗ ๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๐๗๘-๖๑๙๙/๒๕๔๙ (เข้าข่าย) เรื่อง นายจ้างประกอบกิจการผลิตเครื่องหนังเครื่องหมายการค้าต่างประเทศ ผลิตตามคำสั่งซื้อ ต้องรอวัตถุดิบต่างประเทศ ส่งผลกระทบอย่างมาก จึงต้องปิดโรงงานบางส่วน ย่อมถือได้ว่าเป็นการหยุด กิจการชั่วคราวตามมาตรา ๗๕ ๓๘
การหยุดกิจการชั่วคราว มาตรา ๗๕ หน้า ๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๒๖๖/๒๕๔๘ (เข้าข่าย) เรื่อง นายจ้างมีคำสั่งซื้อสินค้าลดลงมาก ย่อมมีงานไม่เพียงพอให้ลูกจ้างทำ ตลอดจนประสบ ภาวะขาดทุน เป็นหนี้ค่าวัสดุ หากยังคงสภาพการผลิตเท่าเดิมต่อไปจะส่งผลให้ขาดทุนมากยิ่งขึ้น นายจ้าง ประกาศให้ลูกจ้างสลับกันหยุดครั้งละ ๑ - ๕ วัน ย่อมเป็นธรรมมากกว่าที่จะให้หยุดประจำเฉพาะกลุ่มใดกลุ่ม หนึ่งเท่านั้น ก่อให้เกิดความเสมอภาคแก่ลูกจ้างอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ก่อให้เกิดปัญหาเลือกปฏิบัติ การประกาศให้ลูกจ้างหยุดงานดังกล่าวจึงชอบด้วยตามมาตรา ๗๕ ๓๙ ๘. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๖๗๕/๒๕๔๘ (เข้าข่าย) เรื่อง เงินที่จ่ายระหว่างหยุดกิจการชั่วคราวตามมาตรา ๗๕ ไม่ใช่ค่าจ้าง ในระหว่างนั้นนายจ้าง ก็มิได้มอบหมายงานให้ลูกจ้างทำ และกฎหมายมิได้บัญญัติห้ามลูกจ้างไปทำงานกับบุคคลอื่นในระหว่างหยุด กิจการชั่วคราว กรณีจึงมิใช่การละทิ้งหน้าที่และไม่เป็นการเอาเปรียบนายจ้างที่รับเงินสองทาง นายจ้าง เลิกจ้างจึงต้องจ่ายค่าชดเชย ๔๐ ๙. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๖๗๘/๒๕๔๘ (เข้าข่าย) เรื่อง นายจ้างหยุดกิจการชั่วคราวเนื่องจากยอดการสั่งซื้อสินค้าลดลงมาก โดยนายจ้าง แบ่งลูกจ้างออก ๓ กลุ่ม ให้หมุนเวียนกันหยุดกลุ่มละ ๖ วัน ไม่ได้เลือกปฏิบัติหรือกลั่นแกล้ง ย่อมถือได้ว่า เป็นการหยุดกิจการชั่วคราวตามมาตรา ๗๕ ๔๑ ๑๐. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๑๒๘/๒๕๔๗ (เข้าข่าย) เรื่อง นายจ้างได้รับคำสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าลดลง หากยังคงผลิตสินค้าในปริมาณเดิม เห็นได้ว่าไม่สามารถจำหน่ายสินค้าได้หมด โดยเฉพาะปัญหาด้านเทคโนโลยีที่ไม่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มี คุณภาพสูงขึ้นตามความต้องการของตลาดได้ การที่นายจ้างลดการผลิตลง โดยให้ลูกจ้างสลับกันหยุดงาน จึงเข้าข่ายตามมาตรา ๗๕ ๔๑ ๑๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๓๑๓-๙๙๗๖/๒๕๔๗ (เข้าข่าย) เรื่อง นายจ้างประกาศหยุดกิจการชั่วคราวเป็นช่วงๆ รวม ๔ ครั้ง (รวม ๓๓ วัน) โดยทุกแผนก ยังคงจัดให้มีลูกจ้างบางส่วนทำงานตามความมากน้อยของปริมาณงาน นายจ้างลดการผลิตและลดการส่งออก จริงมากกว่า ๑๐ เท่าของมูลค่าที่เคยส่งออก เพื่อดำรงสถานะของบริษัทให้อยู่รอดต่อไป จึงเป็นการหยุด กิจการบางส่วนชั่วคราวตามมาตรา ๗๕ , เบี้ยขยันไม่ใช่สิทธิได้รับเงินตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ พนักงานตรวจแรงงานไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้ว ๔๓
การหยุดกิจการชั่วคราว มาตรา ๗๕ หน้า ๑๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๙๖๖-๒๔๐๖/๒๕๔๖ (เข้าข่าย) เรื่อง นายจ้างหยุดกิจการชั่วคราวเนื่องจากลูกค้ายกเลิกคำสั่งซื้อสินค้าจำนวนมาก หากนายจ้าง ยังคงผลิตสินค้าอยู่ก็ไม่แน่นอนว่าจะจำหน่ายสินค้าได้หรือไม่ ย่อมเสี่ยงต่อการขาดทุนอันจะส่งผลกระทบอย่าง มากต่อสถานะทางการเงินและความคงอยู่ของกิจการซึ่งอยู่ในระหว่างฟื้นฟูกิจการ แม้ต่อมาภายหลังนายจ้าง จะได้รับชดใช้ค่าเสียหายบางส่วนจากลูกค้า ก็เป็นจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับความเสียหายที่นายจ้างได้รับ จึงไม่เป็นการลบล้างความจำเป็นที่นายจ้างมีอยู่แต่อย่างใด กรณีย่อมถือได้ว่าเป็นความจำเป็นตามความหมาย ของมาตรา ๗๕ แล้ว ๔๔ ๑๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๑๙๓/๒๕๔๓ (เข้าข่าย) เรื่อง นายจ้างประสบปัญหาด้านการตลาด คำสั่งซื้อสินค้าลดลงมาก ทำให้ส่วนการประกอบ มีคำสั่งซื้อลดลง ถือว่าเป็นเหตุจำเป็นที่โจทก์สามารถสั่งให้หยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราวได้ การที่นายจ้างสั่งให้ลูกจ้างที่ทำงานในส่วนการประกอบหยุดงานชั่วคราว ๒ เดือนโดยนายจ้างได้จ่ายค่าจ้าง ร้อยละ ๗๐ เบี้ยขยันและค่าอาหารบวกรวมแล้วประมาณร้อยละ ๘๐ ของค่าจ้าง นับว่าเป็นคุณแก่ลูกจ้าง อยู่แล้ว จึงชอบด้วยมาตรา ๗๕ ๔๕ ๑๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๘๘๐-๘๘๘๖/๒๕๔๒ (เข้าข่าย) เรื่อง นายจ้างหยุดกิจการชั่วคราวและจ่ายเงินร้อยละ ๕๐ ให้แก่กรรมการลูกจ้าง ไม่ถือว่า นายจ้างฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๕๒ ๔๕
การหยุดกิจการชั่วคราว มาตรา ๗๕ หน้า ๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๕๔/๒๕๖๐ (ไม่เข้าข่าย) เรื่อง พนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินค่าจ้างเนื่องจากการหยุดกิจการชั่วคราว ของนายจ้างไม่เข้าข่ายมาตรา ๗๕ นายจ้างนำคดีไปฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานโดยไม่นำเงิน ตามคำสั่งไปวางศาล การที่ศาลแรงงานมีคำสั่งงดไต่สวนและมีคำสั่งไม่รับคำฟ้อง จึงชอบแล้ว ๔๗ ๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๙๐๑/๒๕๕๖ (ไม่เข้าข่าย) เรื่อง ความจำเป็นของนายจ้าง จะต้องเป็นความจำเป็นที่สำคัญอันจะมีผลกระทบต่อการ ประกอบกิจการของนายจ้างอย่างมาก มิใช่แต่เพียงความจำเป็นทั่วไปเล็กน้อยซึ่งไม่ส่งผลกระทบแก่ กิจการของนายจ้างมากนัก ดังนั้น การที่นายจ้างอ้างว่าประสบปัญหาการสั่งซื้อและนำเข้าวัตถุดิบจาก ต่างประเทศล่าช้านั้นเป็นปัญหาในการบริหารจัดการของโจทก์เอง นายจ้างควรวางแผนการบริหารกิจการให้ ลูกจ้างได้ทำงานต่อเนื่อง มิใช่การเร่งทำงานล่วงเวลาแล้วหยุดกิจการในเวลาต่อมาเนื่องจากไม่มีงานทำ ซึ่งหากนายจ้างบริหารจัดการธุรกิจได้ดีแล้วย่อมไม่ต้องหยุดกิจการ กรณีไม่เข้าข่ายหยุดกิจการชั่วคราว ตามมาตรา ๗๕ ๔๘ ๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๑๓๑/๒๕๕๓ (ไม่เข้าข่าย) เรื่อง ความจำเป็นของนายจ้าง จะต้องเป็นความจำเป็นที่สำคัญอันจะมีผลกระทบต่อการ ประกอบกิจการของนายจ้างอย่างมาก เมื่อนายจ้างอ้างยอดสั่งซื้อลดลงซึ่งไม่มีความแน่นอน แม้จะอ้างว่าลูกค้า จะสั่งซื้อสินค้าเป็นรายสัปดาห์ นายจ้างจะทราบการสั่งซื้อล่วงหน้าเพียง ๓ วัน ถึง ๕ วันก็ตาม ก็เป็นเรื่องปกติ ของการค้าที่อาจจะมีความไม่แน่นอนบ้าง ควรจะต้องวางแผนการบริหารกิจการล่วงหน้ามิใช่นำสาเหตุดังกล่าว มาสั่งให้ลูกจ้างหยุดทำงานชั่วคราวเป็นบางวันเป็นระยะ ๆ เช่นนี้ กรณียังมิใช่เหตุจำเป็นถึงขนาดต้องหยุด กิจการชั่วคราวตามมาตรา ๗๕ ๔๘ ๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๗๐๓ - ๖๗๕๒/๒๕๔๙ (ไม่เข้าข่าย) เรื่อง ความจำเป็นของนายจ้าง จะต้องเป็นความจำเป็นที่สำคัญอันจะมีผลกระทบต่อการ ประกอบกิจการของนายจ้างอย่างมาก เมื่อนายจ้างให้คนอื่นเช่าอาคาร ที่ดิน และเครื่องจักร เดือนละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท แล้วประกาศให้ลูกจ้างหยุดงาน ๒ ครั้งๆ ละ ๑ เดือน นายจ้างหามีเจตนาที่จะประกอบ กิจการอย่างแท้จริงอีกต่อไปไม่ จึงมิใช่เป็นการหยุดกิจการชั่วคราวตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง ๕๐ ๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๙๖๐/๒๕๔๘ (ไม่เข้าข่าย) เรื่อง นายจ้างให้ลูกจ้าง ๔๔๔ คน หยุดงาน ๑๗ ครั้งๆ ละไม่เกิน ๒ วัน รวม ๓๑ วันลักษณะ การสั่งให้หยุดงานชั่วคราวดังกล่าวเป็นการหยุดงานตามที่นายจ้างคาดหมายว่าจะประสบปัญหาการสั่งซื้อ สินค้าของลูกค้าซึ่งไม่มีความแน่นอน ประกอบกับนายจ้างมีปัญหาด้านแรงงานกับลูกจ้างและบางครั้งขาด วัตถุดิบเนื่องจากไม่ได้กักตุนวัตถุดิบไว้ การหยุดงานชั่วคราวดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากการบริหารจัดการ ของนายจ้างเองที่ขาดการวางแผนงานที่ดีและมีปัญหาด้านแรงงาน มิใช่เป็นเหตุจำเป็นถึงขนาดต้องหยุด กิจการชั่วคราวตามมาตรา ๗๕ ๕๑
การหยุดกิจการชั่วคราว มาตรา ๗๕ หน้า ๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๓๕๖/๒๕๔๘ (ไม่เข้าข่าย) เรื่อง นายจ้างให้ลูกจ้างหยุดงาน ๒๓ ครั้งๆ ละไม่เกิน ๒ วัน รวม ๓๗ วัน อ้างยอดสั่งซื้อสินค้า ลดลง แต่ความจำเป็นเนื่องมาจากการบริหารจัดการของนายจ้างเองที่ขาดการวางแผน มิใช่ความจำเป็น ถึงขนาด ไม่เข้าข่ายหยุดกิจการชั่วคราวตามมาตรา ๗๕ ๕๒ ๗. พิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๗๘๒-๘๗๘๕/๒๕๔๗ (ไม่เข้าข่าย) เรื่อง นายจ้างต้องหยุดกิจการชั่วคราวเนื่องจากโรงงานเกิดเพลิงไหม้ อันไม่ใช่เหตุสุดวิสัยแต่มี สาเหตุจากการที่นายจ้างไม่ได้จัดทำแผนการซ่อมบำรุงเครื่องจักร แต่นายจ้างยังมีโรงงานปั่นด้ายอื่น ที่สามารถเปิดเพื่อรองรับลูกจ้างได้ประมาณ ๔๐๐ คน และยังสามารถนำลูกจ้างที่เหลืออีก ๓๐๐ คน ไปจัดสรรทำงานโดยการเกลี่ยไปทำงานที่อื่นได้ แต่นายจ้างไม่ทำ นอกจากนั้นนายจ้างยังทยอยรับลูกจ้างใหม่ การหยุดกิจการชั่วคราวดังกล่าวจึงมิใช่กรณีมีเหตุจำเป็นตามมาตรา ๗๕ ๕๓ ๘. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๒๘๘-๖๓๘๓/๒๕๔๖ (ไม่เข้าข่าย) เรื่อง นายจ้างไม่พอใจคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานต้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลแรงงาน แต่นายจ้าง ไปอุทธรณ์คำสั่งต่อผู้ว่าราชการจังหวัด แม้ผู้ว่าไม่เห็นด้วยกับคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน แต่การดำเนินการ ของนายจ้างก็ไม่ชอบตามมาตรา ๑๒๕ คำสั่งพนักงานตรวจแรงงานย่อมเป็นที่สุด นายจ้างต้องปฏิบัติตาม ๕๔ ๙. พิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๙๗๑/๒๕๔๕ (ไม่เข้าข่าย) เรื่อง นายจ้างอ้างเหตุจำเป็นหยุดกิจการชั่วคราวตามมาตรา ๗๕ ประธานสหภาพแรงงานมิได้มี ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ใดๆ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๕๕ และไม่ได้รับ มอบอำนาจจากสหภาพแรงงาน จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนลูกจ้าง ๕๕ ๑๐. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๗๖๖/๒๕๔๔ (ไม่เข้าข่าย) เรื่อง นายจ้างขึ้นรูปสินค้าเสื้อผ้าแล้วส่งไปให้โรงงานในเครือเป็นผู้เย็บแทน และประกาศหยุด กิจการชั่วคราวโดยลดวันทำงานของลูกจ้างลง อ้างว่ามีปัญหาด้านการตลาดและขาดสภาพคล่องเพื่อจะไม่จ่าย ค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างเต็มอัตราโดยลูกจ้างไม่ได้ตกลงด้วย จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาจ้างแรงงาน และไม่เป็นการหยุดกิจการชั่วคราวตามมาตรา ๗๕ ๕๖
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑ - มาตรา ๑๒๐ ย้ายสถานประกอบกิจการ ๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๗๙๖ - ๗๙๙/๒๕๖๔ (คณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน) เรื่อง อนุกรรมการสวัสดิการแรงงานตรวจสอบโดยใช้โปรแกรม Google Map ซึ่งเป็น มาตรฐานสากลใช้กันทั่วโลกมาอ้างอิงเปรียบเทียบ คำนวณค่าสูญเสียเวลาในการเดินทาง คำนวณ ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นคิดเป็นเปอร์เซ็นต์แม้การที่นายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการแห่งใหม่ซึ่งมีระยะทาง ห่างจากสถานประกอบกิจการแห่งเดิมเพียง ๓.๗ กิโลเมตร แม้การย้ายจะมีผลกระทบอยู่บ้าง แต่ยังถือ ไม่ได้ว่ามีผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้าง ลูกจ้างจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษ ตามมาตรา ๑๒๐ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ คดีนี้โจทก์กับพวกรวม ๔ คน (ลูกจ้าง) ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการสวัสดิการ แรงงานที่ ../๒๕๖๒ กรณีที่มีคำสั่งว่าการย้ายสถานประกอบกิจการของนายจ้างยังไม่ถือว่ามีผลกระทบสำคัญ ต่อการดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้าง จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษ ตามมาตรา ๑๒๐ แห่งพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ โจทก์กับพวกไม่เห็นด้วย กล่าวคือ คำสั่งของจำเลยที่ ๑ มิได้พิจารณา ผลกระทบด้านสุขภาพจิต ความสัมพันธ์ในครอบครัว สถานะทางเศรษฐกิจ และความเสียหายอื่นที่จะ ได้รับ จึงขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๑ และบังคับให้จำเลยที่ ๒ นายจ้าง จ่ายค่าชดเชยพิเศษให้โจทก์ กับพวกทั้ง ๔ คน จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การที่โจทก์ทั้งสี่สามารถออกเดินทางไปยังสถานประกอบกิจการ แห่งใหม่ในเวลาเดิมได้ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเวลาออกเดินทางไปทำงานให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ยังไม่ถือว่า มีผลกระทบสำคัญฯ จำเลยที่ ๒ ให้การว่า สถานประกอบกิจการแห่งใหม่มีระยะห่างจากสถานประกอบ กิจการเดิมเพียง ๓.๗ กิโลเมตร มีระบบขนส่งสาธารณะ รถไฟฟ้า เรือโดยสาร และรถโดยสารสาธารณะ หลายสาย ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษฯ ตรวจสำนวนแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ ปิดประกาศแจ้งย้ายสถานประกอบกิจการจากเดิมที่อาคาร เอ ถนนพระราม ๙ แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร ไปยังสถานประกอบกิจการแห่งใหม่อาคาร บี ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร โจทก์ทั้ง ๔ คน ไม่เคยเดินทางออกจากบ้านพักไปยัง สถานประกอบกิจการแห่งใหม่ในเวลาเดียวกันกับเวลาที่โจทก์ทั้งสี่เดินทางจากบ้านพักไปยังสถานที่ทำงาน แห่งเดิม ค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันและระยะทางเพิ่มขึ้นตามที่โจทก์อ้างล้วนเกิดจากการคาดคะเนประมาณการ เอาเองของโจทก์ โดยไม่มีหลักเกณฑ์ใดมาอ้างอิง ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุน อย่างไรก็ดี อนุกรรมการสวัสดิการแรงงานตรวจสอบโดยใช้โปรแกรม Google Map ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลใช้กัน ทั่วโลกมาอ้างอิงเปรียบเทียบเพื่อให้ได้ระยะทางและระยะเวลาที่ใกล้เคียงกับข้อมูลที่ได้จากนายจ้างและ ฝ่ายลูกจ้าง คำนวณค่าสูญเสียเวลาในการเดินทางโดยใช้ค่าใช้จ่ายของโจทก์แต่ละคนเป็นฐานในการคำนวณ
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒ - รวมกับค่าน้ำมันรถยนต์กิโลเมตรละ ๓ บาท หรือจักรยานยนต์กิโลเมตรละ ๒ บาท จากนั้นนำข้อมูลทั้งหมด มาประชุมร่วมกันหาข้อสรุป นับว่าเป็นคุณและเป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งสี่ โดยพนักงานตรวจแรงงานคำนวณ ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เสนอต่อจำเลยที่ ๑ เป็นขั้นตอนสุดท้าย แล้วเห็นว่าค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ยังไม่ถึง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ถือไม่ได้ว่าเป็นผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติของโจทก์ทั้งสี่ฉะนั้น การที่จำเลยที่ ๒ ย้ายสถานประกอบกิจการแห่งใหม่ซึ่งมีระยะทางห่างจากสถานประกอบกิจการแห่งเดิมเพียง ๓.๗ กิโลเมตร แม้จะมีผลกระทบอยู่บ้าง แต่ยังถือไม่ได้ว่ามีผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติ ของโจทก์ทั้งสี่ คำสั่งของจำเลยที่ ๑ จึงชอบแล้ว ที่โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์ในทำนองว่า การย้ายสถานประกอบกิจการไปที่แห่งใหม่ไกลกว่าเดิม สภาพจราจรติดขัดมากในช่วงเช้า โจทก์ที่ ๑ ต้องเตรียมอาหารให้มารดาและบุตรก่อนไปทำงาน ต้องเปลี่ยนแปลงเวลาเดินทาง ไม่มีเวลาดูแลมารดาและบุตรได้เต็มที่เหมือนเดิม สภาพจิตใจและความสัมพันธ์ ในครอบครัวลดน้อยลงไป โจทก์ที่ ๒ ต้องพาบุตรทุกคนไปโรงเรียนพร้อมกันและรับประทานอาหารเช้าก่อน โจทก์ที่ ๓....อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสี่เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณา คดีแรงงานพ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย ๒. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๕๙๗/๒๕๖๓ เรื่อง อำนาจบริหารจัดการ - โรงแรมสาขาที่เปิดใหม่ห่างจากที่ลูกจ้างทำงานประมาณ ๑๒๐ เมตร ประกอบกับสัญญาจ้างยังกำหนดว่า ลูกจ้างจะต้องปฏิบัติงานในหน้าที่ หรืองานอื่นใดที่บริษัท มอบหมายให้ทำอย่างเต็มความสามารถ เมื่อนายจ้างมีคำสั่งมอบหมายงานให้ลูกจ้างไปทำงานที่โรงแรม สาขาแต่ลูกจ้างกลับปฏิเสธที่จะไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย โดยอ้างเพียงว่าได้มาสมัครทำงานที่เดิม เพียงแห่งเดียวเช่นนี้ ข้อกล่าวอ้างจึงไม่อาจรับฟังได้ เป็นการขัดคำสั่งหรือจงใจฝ่าฝืนไม่เชื่อฟังคำสั่งอัน ชอบด้วยกฎหมายของผู้บังคับบัญชาแล้ว และเป็นความผิดสถานหนักตามข้อบังคับ เลิกจ้างได้โดยไม่จ่าย ค่าชดเชย , ค่าเสียหายจากโรคที่เกิดขึ้นเนื่องจากการทำงาน ค่าเสียหายจากการไม่ออกใบสำคัญการ ทำงาน ค่าเซอร์วิสชาร์จหรือค่าบริการไม่เป็นค่าจ้าง คดีนี้โจทก์ (ลูกจ้าง) ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ประกอบกิจการโรงแรม มีจำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการ ผู้จัดการ จำเลยที่ ๓ เป็นนิติบุคคลประเภทกองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งจดทะเบียนแล้ว จำเลยที่ เป็นนิติบุคคล ประเภทบริษัทจำกัด (บริษัทหลักทรัพย์) วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๓ โจทก์ตกลงทำงานกับจำเลยที่ ๑ ตำแหน่ง ลูกจ้างประจำทำงานในเวลากลางคืนตำแหน่ง (Night Auditor) แผนกบัญชีที่เดียวเท่านั้น จำเลยที่ ๑ และ จำเลยที่ ๒ จะให้โจทก์ไปทำงานที่อื่นไม่ได้ ค่าจ้างเดือนละ ๒๕,๔๔๔ บาท ต่อมาวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ จำเลยที่ ๑ โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลแจ้งเลิกจ้างโจทก์ด้วยวาจาเนื่องจากไม่ไปทำงาน ณ สถานที่แห่งใหม่ที่เพิ่ง สร้างเสร็จ (โรงแรม เอ) โจทก์เห็นว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอบังคับให้จำเลยที่ ๑ และ ๒ จ่ายเงิน ดังนี้
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓ - - ค่าเสียหายฐานผิดสัญญาจ้าง ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย - ค่าเสียหายจากการกระทำละเมิด ๓,๐๔๖ บาท พร้อมดอกเบี้ย - ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๒,๔๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย - ค่าเสียหายจากการไม่ได้รับเงินทดแทนว่างงานภายในกำหนด ๑๐๐,๙๑๖.๑๒ บาท พร้อม ดอกเบี้ย - ค่าเสียหายจากโรคที่เกิดขึ้นเนื่องจากการทำงาน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย - ค่าจ้างที่หักค่าจ้างไม่ชอบ และเงินเพิ่มร้อยละ ๑๕ ทุกระยะเวลา ๗ วัน ของต้นเงิน - สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๒๕,๔๔๔ บาท พร้อมดอกเบี้ย - ค่าล่วงเวลา ๙๑๕,๘๔๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย - ค่าชดเชย ๒๐๙,๘๒๗.๓๖ บาท พร้อมดอกเบี้ย - ออกใบสำคัญการทำงานเพื่อแสดงว่าโจทก์ได้ทำงานมานานเท่าใดเป็นงานอะไรบ้างภายใน ๗ วัน หากไม่ดำเนินการภายในกำหนดให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย ๒๐,๐๐๐ บาท - เงินประกัน ๒,๔๐๐ บาท และเงินเพิ่ม - ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันจ่ายเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินสะสมกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพ จ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบ พร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ ๑ และ ๒ ให้การว่า โจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับฯ หลายครั้ง นอนหลับในขณะปฏิบัติงาน แสดงกิริยาไม่สุภาพผ่านบทสนทนาทางแอปพลิเคชั่นไลน์ จำเลยออกหนังสือเตือน พักงาน ๗ วัน โจทก์ ขัดคำสั่งไม่ยอมปิดยอดและตรวจสอบบัญชีของโรงแรม บี ที่เพิ่งเปิดให้บริการซึ่งเป็นส่วนขยายบริการโรงแรม ของจำเลยที่ ๑ มีระยะห่างกันประมาณ ๑๒๐ เมตร ไม่เป็นการย้ายให้โจทก์ไปทำงานที่อื่น และจำเลยได้ออก หนังสือเตือนแล้ว และปลดโจทก์ออกจากการเป็นพนักงาน ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ออกใบสำคัญแสดงการทำงานให้แก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๕ ให้จำเลยที่ ๑ คืนค่าจ้าง ค่าเซอร์วิสชาร์จที่ได้หักไว้ จำนวน ๑๗,๓๙๒ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก โจทก์อุทธรณ์ ๑. ประเด็นค่าเสียหายจากการไม่ออกใบสำคัญการทำงานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๕ บัญญัติว่า เมื่อการจ้างแรงงานสิ้นสุดลงแล้วลูกจ้างชอบที่จะ ได้รับใบสำคัญแสดงว่าลูกจ้างนั้นได้ทำงานมานานเท่าไรและงานที่ทำนั้นเป็นอย่างไร อันเป็นการกำหนดให้ ลูกจ้างมีสิทธิได้รับหนังสือรับรองการทำงาน ส่วนที่โจทก์ฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องว่า หากไม่ดำเนินการภายใน ๗ วัน ให้จำเลยที่ ๑ และ ๒ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท เมื่อศาลแรงงานกลาง ฟังข้อเท็จจริงว่า ก่อนที่จะมีการฟ้องและดำเนินคดีนี้ โจทก์ไม่เคยไปดำเนินการยื่นคำขอให้จำเลยที่ ๑ ออกใบสำคัญแสดงการทำงานให้ อีกทั้งยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้รับความเสียหายอย่างไร โจทก์จึง ไม่มีสิทธิได้รับความเสียหายในส่วนนี้ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นพ้องด้วย
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๔ - ๒. ประเด็นค่าเซอร์วิสชาร์จหรือค่าบริการถือเป็นค่าจ้างหรือไม่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า ค่าเซอร์วิสชาร์จหรือค่าบริการ เป็นเงินที่จำเลยที่ ๑ เรียกเก็บ จากลูกค้าหรือผู้ใช้บริการซึ่งได้ชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ ๑ แล้วนำเงินมาจัดสรรปันส่วนให้ลูกจ้าง จำเลยที่ ๑ จึงเป็นเพียงผู้เรียกเก็บค่าเซอร์วิสชาร์จหรือค่าบริการจากลูกค้าหรือผู้ใช้บริการแล้วนำมาจัดแบ่งให้ลูกจ้าง เท่านั้น ค่าเซอร์วิสชาร์จหรือค่าบริการดังกล่าว จึงมิใช่เงินของจำเลยที่ ๑ ที่จ่ายให้แก่โจทก์แต่อย่างใด และ ไม่ใช่ค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ๓. ประเด็นมีเหตุเพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างหรือไม่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า โรงแรม บี เป็นสาขาหรือส่วนหนึ่งของจำเลยที่ ๑ ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรม เอ ที่ทำงานเดิมที่โจทก์เคยทำงานประมาณ ๑๒๐ เมตร ประกอบกับสัญญาจ้างยังกำหนดว่า ลูกจ้างจะต้องปฏิบัติงานในหน้าที่ หรืองานอื่นใดที่บริษัท มอบหมายให้ทำอย่างเต็มความสามารถ มีประสิทธิภาพ และด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เมื่อจำเลยที่ ๑ มีคำสั่ง มอบหมายให้ทำอย่างเต็มความสามารถ มีประสิทธิภาพ และด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เมื่อจำเลยที่ ๑ มีคำสั่ง มอบหมายงานให้โจทก์ไปทำงานที่โรงแรม บี แต่โจทก์กลับปฏิเสธที่จะไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย โดยอ้าง เพียงว่าได้มาสมัครทำงานที่โรงแรม เอ เพียงแห่งเดียวเช่นนี้ ข้อกล่าวอ้างของโจทก์จึงไม่อาจรับฟังได้ การกระทำของโจทก์เป็นการขัดคำสั่งหรือจงใจฝ่าฝืนไม่เชื่อฟังคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของผู้บังคับบัญชา แล้ว และเป็นความผิดสถานหนักตามข้อบังคับ จำเลยที่ ๑ ย่อมมีสิทธิเลิกจ้างได้โดยไม่จ่ายค่าชดเชย กรณีไม่มี เหตุเพิกถอนคำสั่งเลิกจ้าง ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟัง ไม่ขึ้น ๔. ประเด็นโจทก์มีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากโรคที่เกิดขึ้นเนื่องจากการทำงานหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า โจทก์สมัครเข้าทำงานกับจำเลยที่ ๑ ในตำแหน่ง (Night Auditor) หรือพนักงาน ตรวจสอบบัญชีรอบกลางคืนที่แผนกการเงินบัญชี มีหน้าที่สรุปยอดรายได้ของห้องอาหารต่าง ๆ และห้องพัก ตรวจสอบเอกสารรายงานสรุปที่พนักงานรอบกลางวันส่งมา โดยมีวันทำงานในวันจันทร์ อังคาร พุธ เสาร์ และ วันอาทิตย์ทำงานตั้งแต่เวลา ๒๑.๐๐ - ๐๗.๐๐ น. การทำงานในตำแหน่งและเวลาดังกล่าวจึงเกิดจากความ สมัครใจของโจทก์เอง ประกอบกับไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์เคยแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ทราบว่าไม่ประสงค์จะ ทำงานในเวลาดังกล่าว หรือขอโยกย้าย สับเปลี่ยนไปทำงานในตำแหน่งอื่นแต่อย่างใด จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้อง รับผิดจ่ายค่าเสียหายในส่วนนี้ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๕ - ๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๖๑/๒๕๖๓ (คณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน) เรื่อง นายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการตามมาตรา ๑๒๐ แม้หลังจากลูกจ้างยื่นหนังสือต่อ นายจ้างว่าไม่ประสงค์จะไปทำงานที่โรงงานแห่งใหม่ ลูกจ้างบางรายจะยังคงไปทำงานที่โรงงานเดิม บางรายไปทำงานที่โรงงานใหม่ ใช้สิทธิลาป่วย และนายจ้างจ่ายค่าจ้างให้ก็ตาม ก็แสดงให้เห็นว่า ลูกจ้าง บางคนต้องการทดลองเดินทางไปทำงานที่โรงงานแห่งใหม่ บางคนรอความชัดเจน จึงถือไม่ได้ว่าลูกจ้างได้ เพิกถอนการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจ้างต่อนายจ้าง เมื่อการย้ายสถานประกอบกิจการดังกล่าว ลูกจ้างได้รับผลกระทบสำคัญฯ จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษฯ คดีนี้โจทก์(นายจ้าง) ฟ้อง ขอให้เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการสวัสดิการแรงงานที่.../๒๕๕๙ กรณีที่คณะกรรมการฯ มีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยพิเศษและค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ให้ลูกจ้างกับพวกจำนวน ๙ คน โจทก์เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ โจทก์ประกอบกิจการ รับจ้างผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่จังหวัดสมุทรปราการ มีสาขา ๑ ตั้งอยู่จังหวัดสมุทรปราการ และมีสาขา ๒ ตั้งอยู่จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยโจทก์ขยายกิจการสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นสาขา ๒ เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ โจทก์ได้ประกาศแจ้งย้ายโรงงานให้ลูกจ้างทุกคนทราบล่วงหน้า แล้วว่าในช่วงปี ๒๕๕๖ โจทก์จะย้ายโรงงานบางส่วนไปจังหวัดฉะเชิงเทรา แต่โจทก์ไม่อาจย้ายได้ตามแผน เนื่องจากมีปัญหาการติดตั้งเครื่องจักร ลูกจ้างกับพวกทั้ง ๙ คน ในฝ่ายผลิตแจ้งความประสงค์ที่จะไม่เดินทาง ไปทำงานที่โรงงานแห่งใหม่ แต่ได้ยื่นหนังสือแก่โจทก์วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นเพียงหนังสือแจ้ง ความประสงค์ที่จะไม่ไปทำงานโรงงานแห่งใหม่เท่านั้น มิใช่เป็นการใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างแก่โจทก์ ตามกฎหมาย และหลังจากนั้นลูกจ้างทั้งเก้าคนยังมาทำงานตามปกติอีกหลายวัน และละทิ้งหน้าที่ โจทก์จึงมี หนังสือเลิกจ้าง นอกจากนี้ระยะทางจากโรงงานใหม่ห่างจากโรงงานเดิมประมาณ ๖๐ กิโลเมตร โจทก์จัดรถ ตู้รับส่งอำนวยความสะดวกให้... ฯลฯ การย้ายโรงงานจึงไม่กระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้าง ลูกจ้างกับพวกจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษและค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า คำสั่งของ จำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว จำเลยให้การว่า โจทก์ได้ทยอยย้ายลูกจ้างไปทำงานที่โรงงานแห่งใหม่ การย้ายดังกล่าวมี ผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้าง ลูกจ้างกับพวกใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างและยื่นคำร้อง ต่อจำเลยภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดแล้ว ไม่มีเหตุเพิกถอน ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว เห็นว่า เป็นการย้ายสถานประกอบกิจการตามพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๐ (กฎหมายที่ใช้ในขณะนั้น) แล้ว แต่หลังจากลูกจ้างยื่นหนังสือต่อ โจทก์ ลูกจ้างกับพวกยังมาทำงานกับโจทก์อีกระยะหนึ่งและโจทก์ได้จ่ายค่าจ้างตามปกติ จึงไม่ถือว่าลูกจ้าง กับพวกมีเจตนาบอกเลิกสัญญาจ้างอันจะเป็นเหตุให้มีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษฯ พิพากษาให้เพิกถอน คำสั่งของจำเลย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงาน เห็นว่า แม้หลังจากลูกจ้างยื่นหนังสือแล้ว ลูกจ้าง จะยังคงไปทำงานกับโจทก์ ต่อมาอีกระยะหนึ่งและโจทก์จ่ายค่าจ้างให้ตามปกติก็ตาม แต่หลังจากนั้นก็ไมได้ไป
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๖ - ทำงานกับโจทก์อีก จึงถือไม่ได้ว่าลูกจ้างกับพวกเพิกถอนการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจ้างต่อโจทก์ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมา ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษฯ ไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า บทบัญญัติมาตรา ๑๒๐ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ กำหนดหน้าที่ให้ลูกจ้างที่ไม่ประสงค์จะไปทำงานกับนายจ้าง ในกรณีที่นายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่นอันมีผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติ ของตนเองหรือครอบครัว จะต้องใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากนายจ้าง หรือวันที่นายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการ ซึ่งการใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างของลูกจ้างดังกล่าวนั้น ย่อมทำได้ ด้วยแสดงเจตนาแก่นายจ้าง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงเจตนาโดยปริยาย ด้วยวาจา หรือเป็นหนังสือก็ตาม ดังที่ บัญญัติไว้ใน มาตรา ๓๘๖ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อพิจารณาหนังสือฉบับ ลงวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ของลูกจ้างกับพวก ปรากฏข้อความทำนองเดียวกันว่าไม่ประสงค์ที่จะไปทำงาน ที่โรงงานแห่งใหม่ของโจทก์ โดยระบุความจำเป็นเดือดร้อนที่แต่ละคนได้รับ แม้จะมีข้อความในเอกสารของ ลูกจ้างบางคนให้โจทก์พิจารณาให้ความเป็นธรรมและเห็นใจตนก็ตาม แต่ตามข้อความที่ปรากฏก็มีความ ชัดเจนแล้วว่า ลูกจ้างทั้ง ๙ คน ไม่ประสงค์จะไปทำงานที่โรงงานแห่งใหม่กล่าวคือ จะไม่ทำงานเป็นลูกจ้าง ของโจทก์อีกต่อไป อันถือเป็นการใช้สิทธิแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจ้างตามมาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่งแล้ว (ที่ใช้ บังคับขณะนั้น) แม้ภายหลังยื่นหนังสือ ลูกจ้างกับพวกจำนวน ๓ ราย ยังคงไปทำงานที่โรงงานเดิมระหว่างวันที่ ๑๕ – ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ลูกจ้างอีก ๒ ราย ไปทำงานที่โรงงานแห่งใหม่ระหว่างวันที่ ๑๕ –๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๙ อีกรายทำงานที่โรงงานเดิมและใช้สิทธิลาป่วยตั้งแต่วันที่ ๑๘ –๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๙ และอีกรายไป ทำงานที่โรงงานแห่งใหม่และใช้สิทธิลาป่วยวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ โดยโจทก์จ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างกับ พวกจนถึงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ก็ตาม แต่พฤติการณ์ของลูกจ้างกับพวกที่ไปทำงานให้แก่โจทก์ไม่ว่า ที่โรงงานเดิมหรือโรงงานใหม่ก็เป็นการทำงานหลังจากยื่นหนังสือแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจ้างเป็น ระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ทั้งลูกจ้างบางคนเมื่อเดินทางไปที่ทำงานใหม่ก็ใช้สิทธิลาป่วยแล้วไม่เดินทางไปทำงานที่ โรงงานใหม่อีก แสดงให้เห็นว่า ลูกจ้างบางคนต้องการทดลองเดินทางไปทำงานที่โรงงานแห่งใหม่ ลูกจ้าง บางคนรอความชัดเจนว่าจะทำงานที่โรงงานเดิมต่อไปได้หรือไม่ จนกระทั่งวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ลูกจ้างทั้ง ๙ คน ได้ยื่นคำร้องต่อจำเลยเพื่อให้จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยพิเศษฯ ตามมาตรา ๑๒๐ แล้วไม่ไปทำงานแก่โจทก์อีก พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าลูกจ้างทั้งเก้าคนยังคงมีเจตนาที่จะไม่ทำงาน เป็นลูกจ้างโจทก์ถ้าโจทก์ย้ายโรงงานไปที่แห่งใหม่ อันเป็นการยืนยันเจตนาเดิมตามที่ได้แสดงไว้ในหนังสือ บอกเลิกสัญญาจ้างการที่ลูกจ้างกับพวกยังคงทำงานให้แก่โจทก์ภายหลังยื่นหนังสือ ถือไม่ได้ว่าเพิกถอน การแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจ้างแก่โจทก์ จึงไม่มีเหตุเพิกถอนคำสั่งของจำเลยฯ พิพากษายืน
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๗ - ๔. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๙๔/๒๕๖๒ เรื่อง นายจ้างจะปิดสถานประกอบกิจการสาขาเชียงใหม่ และให้ลูกจ้างย้ายไปทำงานที่ สำนักงานใหญ่กรุงเทพฯ โดยให้ลูกจ้างตอบภายในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ ว่าจะยินยอมไปทำงานหรือไม่ แต่นายจ้างกลับมีหนังสือเลิกจ้างในวันเดียวกัน โดยที่ลูกจ้างยังไม่ได้แจ้งว่าจะเลือกอย่างไร กรณีถือเป็น การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๓๙ จำเลยรับโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่งสุดท้าย ธุรการอาวุโสประจำสาขาเชียงใหม่ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๓๑,๑๑๐ บาท ต่อมาวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ จำเลยมีหนังสือแจ้งเปลี่ยนแปลงตำแหน่งและสถานที่ทำงานเนื่องจากจำเลยมีความจำเป็นต้องปิดสาขา เชียงใหม่ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ โดยให้โจทก์ปฏิบัติงานในตำแหน่ง Sale Excutive ประจำเครื่อง สูบน้ำ ดูแลงานขายและบริการลูกค้าในเขตภาคเหนือ เงื่อนไขการจ้างยังคงเหมือนเดิมเว้นแต่สวัสดิการต่าง ๆ จะเป็นไปตามตำแหน่งพนักงานขายและเปลี่ยนแปลงสถานที่ทำงานให้โจทก์มาทำงาน ณ สำนักงานแห่งใหญ่ ที่กรุงเทพมหานคร โดยให้โจทก์ตอบกลับเป็นภายในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ ต่อมาในวันเดียวกันจำเลยมี หนังสือสิ้นสุดสัญญาจ้างระบุว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะย้ายไปทำงานประจำสำนักงานใหญ่โดยให้ทำงานวันสุดท้าย วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ ข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์และ ครอบครัวได้รับผลกระทบในการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก บุตรของโจทก์กำลังศึกษาในระดับประถมศึกษา โจทก์มีอายุ ๕๔ ปีแล้ว เป็นอายุที่มากเกินไปสำหรับการสมัครเข้าทำงานที่ใหม่ ขอบังคับให้จำเลยจ่าย ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า จำเลยมีความ ประสงค์จะปิดสำนักงานสาขาเชียงใหม่ แต่โจทก์ไม่ประสงค์จะย้ายไปสำนักงานแห่งใหญ่ จำเลยจึงเลิกจ้างโดย จ่ายค่าชดเชย และเงินอื่น ๆ ตามกฎหมายแล้ว สาขาเชียงใหม่ผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่องและมีแนวโน้ม จะขาดทุนเรื่อยๆ ศาลแรงงานภาค ๕ พิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท พร้อม ดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๐) เป็นต้นไป จำเลยอุทธรณ์ ประเด็นเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ ให้อำนาจศาลแรงงานใช้ดุลพินิจพิจารณา หากเห็นว่านายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างไม่เป็นธรรม ก็ให้มีอำนาจกำหนดให้นายจ้างชดใช้ค่าเสียหายแก่ลูกจ้างได้ เมื่อศาลแรงงานภาค ๕ ฟังข้อเท็จจริงว่าการที่จำเลยแจ้งกับโจทก์ถึงเหตุแห่งการปิดสำนักงานเชียงใหม่วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ โดยให้โจทก์ตอบภายในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ ว่าจะยินยอมไปทำงานกรุงเทพมหานคร หรือไม่ แต่จำเลยกลับมีหนังสือเลิกจ้างในวันเดียวกัน โดยที่โจทก์ยังไม่ได้แจ้งว่าโจทก์จะเลือกอย่างไร ศาลแรงงานภาค ๕ จึงเห็นว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม แม้จำเลยจะให้การ ต่อสู้ว่าสำงานสาขาเชียงใหม่ประสงภาวะขาดทุน แต่สำงานเชียงใหม่เป็นเพียงสถานที่ประกอบกิจการ อีกแห่งหนึ่งของจำเลยเท่านั้น ไม่ได้มีสถานะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากจำเลย เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีผลประกอบการขาดทุนจนไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ดังนั้น คำวินิจฉัยของศาลแรงงานภาค ๕ จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว พิพากษายืน
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๘ - ๕. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๘๑๘/๒๕๖๒ (คณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน) เรื่อง นายจ้างย้ายจากสาขา ๑ ไปอยู่สาขา ๔ ที่สร้างขึ้นใหม่ สาขาดังกล่าวยังไม่มีพนักงาน เคยไปทำงานมาก่อน จึงมิใช่สาขาที่มีอยู่ก่อนแล้ว กรณีถือว่าการย้ายสถานประกอบกิจการตามมาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง , ๑๐ เมษายน ๒๕๖๐ นายจ้างแจ้งการย้ายแล้วเลื่อนการย้ายซึ่งไม่กำหนดวันย้ายที่ แน่นอน จนกระทั่งวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ จึงเรียกประชุมพนักงานแล้วแจ้งว่าจะย้ายและให้ลูกจ้าง เริ่มทำงานที่สาขาในวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ ดังนั้น วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ จึงเป็นวันที่นายจ้างแจ้ง การย้ายที่ชัดเจนและแน่นอน กรณีถือได้ว่านายจ้างแจ้งการย้ายให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าน้อยกว่า ๓๐ วัน ก่อนวันย้าย เมื่อต่อมาลูกจ้างบอกเลิกสัญญาจ้างกับโจทก์ในวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ ลูกจ้างจึงมีสิทธิ ได้รับค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการสวัสดิการแรงงานกรณีที่มี คำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยพิเศษจำนวน ๕๕๐,๐๐๐ บาท และค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จำนวน ๕๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยให้กับนาย A โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าว กล่าวคือ โจทก์ประกอบ ธุรกิจผลิตและส่งออกเครื่องประดับ มีสำนักงาน ๕ แห่ง สำนักงานใหญ่อยู่ห้วยขวาง สำนักงานสาขา ๑ อยู่เขตปทุมวัน สำนักงานสาขา ๔ อยู่เขตประเวศ โจทก์มีคำสั่งย้ายให้นาย A ลูกจ้าง ย้ายไปสำนักงานสาขา ๔ เขตประเวศ จึงไม่เป็นการย้ายสถานประกอบกิจการตามมาตรา ๑๒๐ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และลูกจ้างไม่ได้รับผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิต จึงขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยดังกล่าว จำเลยให้การว่า คำสั่งของจำเลยชอบแล้ว การย้ายสถานประกอบกิจการส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของ ลูกจ้างและโจทก์แจ้งการย้ายน้อยกว่า ๓๐ วัน ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า ขณะที่โจทก์ประสงค์จะโยกย้ายพนักงานจากสาขา ๑ ปทุมวัน ไปสาขา ๔ เขตประเวศ สำนักงานสาขา ๔ ยังสร้างไม่เสร็จและยังไม่มีพนักงานคนใดเคยได้ไป ทำงานมาก่อน จึงไม่ใช่กรณีการย้ายสถานประกอบกิจการไปยังสถานที่อื่นซึ่งโจทก์มีอยู่ก่อน จึงเป็นการย้าย สถานประกอบกิจการตามมาตรา ๑๒๐ ลูกจ้างต้องเดินทางเพิ่มขึ้นประมาณ ๕๐ กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ ๓ ชั่วโมงในช่วงเช้า และต้องใช้เวลาในการเดินทางกลับ ๑ ชั่วโมง ๔๕ นาที ในช่วงเย็น ซึ่งมากกว่า เดิมเป็นจำนวนมาก และเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพิ่มขึ้น ๕๐๐ บาท การย้ายจึงส่งผลกระทบต่อการ ดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้าง พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ประเด็นเป็นการย้ายสถานประกอบกิจการหรือไม่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า การย้าย สถานประกอบกิจการตามความหมายมาตรา ๑๒๐ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ นั้น เป็นกรณีที่นายจ้างเปลี่ยนแปลงสถานที่ทำงานหรือย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่นอันมิใช่ สถานที่ทำงานเดิมหรือสาขาของนายจ้างซึ่งมีอยู่เดิม โดยไม่ใช้สถานที่ประกอบกิจการเดิมอีกต่อไป สำนักงาน สาขา ๔ เป็นสำนักงานที่โจทก์สร้างขึ้นใหม่ก่อนวันที่โจทก์จะย้ายไปสำนักงานสาขาที่ ๔ ปรากฏว่าสาขา ดังกล่าวยังไม่มีพนักงานของโจทก์คนใดเคยไปทำงานมาก่อน แสดงว่าสำนักงานสาขาที่ ๔ มิใช่สถานที่ ทำงานสาขาที่โจทก์มีอยู่ก่อนแล้วแม้จะจดทะเบียนตั้งสำนักงานสาขาดังกล่าวแล้วก็ตาม และเมื่อโจทก์ย้าย
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๙ - พนักงานของโจทก์จากสาขา ๑ ไปยังสาขาที่ ๔ แล้ว ปรากฏว่าไม่มีพนักงานของโจทก์เหลือทำงานในสำนักงาน สาขาที่ ๑ อีกเลย แสดงว่าโจทก์ไม่ใช้สำนักงานสาขาที่ ๑ เป็นสถานที่ประกอบกิจการอีกต่อไป แม้โจทก์จะ ยังไม่ได้จดทะเบียนเลิกการใช้สาขาดังกล่าวก็ตาม จึงถือว่าการย้ายสถานที่ทำงานของโจทก์ดังกล่าว เป็นการย้ายสถานประกอบกิจการตามมาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ แล้ว ประเด็นการแจ้งย้ายสถานประกอบกิจการ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า ตามมาตรา ๑๒๐ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ บัญญัติว่า ในกรณีที่นายจ้างจะย้ายสถานประกอบ กิจการไปตั้งสถานที่อื่น...นายจ้างต้องแจ้งให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน ก่อนวันย้ายสถาน ประกอบกิจการ...โดยนายจ้างจะต้องแจ้งวันที่จะย้ายสถานที่ทำงานให้ลูกจ้างทราบอย่างชัดเจนและ แน่นอนเป็นสำคัญ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๐ โจทก์ได้แจ้งพนักงานของโจทก์ ในสำนักงานสาขาที่ ๑ ว่าโจทก์มีนโยบายจะย้ายจากสำนักงานสาขาที่ ๑ ไปยังสำนักงานสาขาที่ ๔ โดยกำหนด วันย้ายเป็นวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ ต่อมาเดือนมิถุนายน ๒๕๖๐ โจทก์ขอเลื่อนวันย้ายออกไปก่อนเนื่องจาก อุปกรณ์สำนักงานยังไม่พร้อม โดยเลื่อนไปเดือนตุลาคม ๒๕๖๐ แต่ยังไม่ได้กำหนดวันที่แน่นอน โจทก์เรียก ประชุมพนักงานโจทก์ทั้งหมดแล้วแจ้งว่าในวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๐ โจทก์จะย้ายอุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงาน ไปสาขาที่ ๔ แล้วให้เริ่มทำงานวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ จึงเห็นได้ว่า แม้วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๐ โจทก์จะได้ แจ้งแก่พนักงานว่าจะย้ายโดยกำหนดวันย้ายเป็นวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ ก็ตาม แต่ต่อมาได้มีการเลื่อนการ ย้ายออกไปซึ่งไม่กำหนดวันย้ายที่แน่นอนจนกระทั่งวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ โจทก์จึงแจ้งพนักงานว่าจะย้าย ไปทำงานสาขา ๔ ในวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ และพนักงานก็ได้เริ่มทำงานที่สาขา ๔ ในวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ ซึ่งถือได้ว่าวันดังกล่าวเป็นวันที่โจทก์ย้ายสถานประกอบกิจการที่ชัดเจนและแน่นอน ดังนั้น วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ จึงเป็นวันที่โจทก์แจ้งนาย A ว่าโจทก์จะย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้งสถานที่อื่นตาม มาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ กรณีถือได้ว่า โจทก์แจ้งให้ นาย A ทราบล่วงหน้าน้อยกว่า ๓๐ วัน ก่อนวันย้ายสถานประกอบกิจการ เมื่อต่อมานาย A บอกเลิกสัญญา จ้างกับโจทก์ในวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ นาย A จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย ๓๐ วัน พิพากษายืน ๖. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๘๔๑/๒๕๖๒ (บังคับเขียนใบลาออก) เรื่อง บังคับเขียนใบลาออก : ลูกจ้างต่างด้าว ถูกนายจ้างและผู้บังคับบัญชาเรียกไปในห้อง และให้เขียนใบลาออกมิฉะนั้นจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายไทย โดยลูกจ้างมิได้สมัครใจอย่างแท้จริง พฤติการณ์เป็น “การเลิกจ้างโดยปริยาย” และเป็นการกระทำละเมิดต่อลูกจ้าง นายจ้างต้องร่วมรับผิด ในการกระทำละเมิดร่วมกับผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายห้องพักชดใช้ค่าเสียหายในมูลละเมิด ๑๐๐,๐๐๐ บาท และจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๕๕๐,๐๐๐ บาท (๑๐ เดือน)
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๐ - คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ประกอบกิจการโรงแรม ภัตตาคาร บาร์ และไนต์คลับ โจทก์ เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๕๐ ตำแหน่งผู้จัดการแผนกต้อนรับส่วนหน้า ค่าจ้าง อัตราสุดท้าย ๕๕,๐๐๐ บาท วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ตำแหน่งผู้ช่วย ผู้อำนวยการฝ่ายห้องพัก จำเลยที่ ๓ ตำแหน่งรองผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล และนาย ป. ทนายความและ ที่ปรึกษากฎหมาย ร่วมกันบังคับข่มขืนใจโจทก์ขณะนั่งอยู่ด้วยกันภายในห้องการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยนาย ป. อ้างว่าโจทก์ได้ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับอาคารห้องพักของโรงแรมอันเป็นข้อมูลความลับ ออกไปให้บุคคลภายนอกเป็นเหตุให้หน่วยราชการมาตรวจสอบโรงแรม ทำให้จำเลยที่ ๑ เสียหายซึ่งโจทก์ ไม่ทราบว่าผู้ใดส่งเอกสารดังกล่าว จำเลยที่ ๒ ข่มขืนใจโจทก์ว่าหากไม่ยอมลาออกจะต้องถูกดำเนินคดีตาม กฎหมายไทยโจทก์ไม่ใช่คนไทย ฉะนั้นจะเป็นคดีร้ายแรง นาย ป. พูดข่มขู่ว่า หากไม่ลาออกประวัติจะ ด่างพร้อยโจทก์ขอเวลาไตร่ตรองตัดสินใจ แต่จำเลยที่ ๒ แจ้งว่าไม่สามารถออกจากห้องได้ต้องตัดสินใจทันที ว่าจะลาออกหรือโดนไล่ออก โจทก์เกรงกลัวจึงลงลายมือชื่อในหนังสือลาออกโดยมิได้เกิดจากเจตนาที่แท้จริง ถือเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เป็นการละเมิดต่อโจทก์ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการละเมิด และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๑๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ค่าชดเชย ๕๕๐,๐๐๐ บาท สินจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๕๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานภาค ๕ พิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นการเลิกจ้างโดยปริยาย พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยค่าชดเชย ๕๕,๐๐๐ บาท สินจ้างแทนการ บอกกล่าวล่วงหน้า ๕๕,๐๐๐ บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๕๕๐,๐๐๐ บาท และให้ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายในมูลละเมิด ๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานภาค ๕ ฟังข้อเท็จจริง ว่านายอำเภอเมือง A มีคำสั่งห้ามจำเลยที่ ๑ เปิดบริการให้ลูกค้าเช่าห้องพัก จำเลยที่ ๑ จึงให้นำกุญแจ ห้องพักทั้งหมดที่โจทก์เก็บรักษามอบให้จำเลยที่ ๒ มีการตรวจนับและส่งมอบกุญแจซึ่งมีรายชื่อผู้เข้าพัก หลังจากนั้นมีการนำเอกสารดังกล่าวไปเผยแพร่ในแอปพลิเคชั่นเฟชบุ๊ก ใช้ชื่อเพจว่า พิชิตความสกปรก เพื่อให้ เห็นว่าจำเลยที่ ๑ ฝ่าฝืนคำสั่ง โจทก์ถูกเรียกให้ไปพบจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และนาย ป. ที่ห้อง และอ้างว่าโจทก์เป็น คนส่งข้อความในเอกสารดังกล่าวไปให้บุคคลภายนอก แล้ววินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสามฟังไม่ได้ ว่าโจทก์เป็นคนส่งเอกสารดังกล่าวไปให้บุคคลภายนอก จำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายประสงค์ให้โจทก์ยื่นใบลาออก จากงาน ไม่ใช่โจทก์สมัครใจยื่นใบลาออกเอง เป็นการที่จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์โดยปริยาย โดยโจทก์มิได้ กระทำความผิด ถือเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยที่ ๒ (ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายห้องพัก) กระทำละเมิด ต่อโจทก์ จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนายจ้างต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดกับจำเลยที่ ๒ ด้วย ส่วนจำเลยที่ ๓ ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าร่วมกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิด ที่จำเลยอุทธรณ์ในทำนองว่า ไม่ใช่คำพูดข่มขู่ให้โจทก์หวาดกลัวจนต้องเขียนใบลาออก จึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์อุทธรณ์ดังกล่าว เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานภาค ๕ เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ตามมาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๑ - ๗. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๘๕๕ - ๘๕๖/๒๕๖๒ เรื่อง พฤติการณ์เลิกจ้าง : นายจ้างเปลี่ยนแปลงหน้าที่การงานลูกจ้างจากขับรถยนต์บรรทุก หัวลากสิบแปดล้อแล้วลดค่าจ้างและเสนองานอื่นให้ทำในสวนลำไย เมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง ดังกล่าวมีผลทำให้เกิดเป็นข้อพิพาทคดีนี้ขึ้นโดยลูกจ้างไม่ยินยอม และนายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างให้ กรณี ถือเป็นการเลิกจ้างตามมาตรา ๑๑๘ วรรคสองแล้ว , เมื่อลูกจ้างยินยอมรับเงินเดือนของเดือนกุมภาพันธ์ – ตุลาคม ๒๕๕๙ เพียงเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท เป็นเวลา ๙ เดือน โดยไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน แสดงว่าลูกจ้าง ยินยอมให้นายจ้างปรับลดเงินเดือนแล้ว คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ประกอบกิจการขนส่งและขนถ่ายสินค้ารวมถึงคนโดยสาร ทั้งทางบก ทางอากาศและทางน้ำทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ ตำแหน่งพนักงานขับรถหัวลากสิบแปดล้อ ขนส่งผลไม้สดไปส่งตามที่ได้รับมอบหมาย ค่าจ้างเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท เบี้ยเลี้ยงเที่ยวละ ๑,๒๐๐ บาท รวมรายได้ประมาณเดือนละ ๒๕,๐๐๐ บาท เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ – ตุลาคม ๒๕๕๙ จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าจ้างให้โจทก์เดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท คงค้างค่าจ้างแก่โจทก์ ทั้งสองเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท รวม ๙ เดือน ต่อมาวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๐ จำเลยที่ ๑ แจ้งแก่โจทก์ทั้งสอง และพนักงานขับรถคนอื่นว่าจะขายรถหัวลาก ๔ คัน เนื่องจากประสบปัญหาการเงิน ไม่มีงานและไม่มีรถให้ขับแล้ว จำเลยที่ ๑ จ่ายเงินเดือนแก่โจทก์เพียงเดือนละ ๗,๕๐๐ บาท โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องต่อพนักงาน ตรวจแรงงานสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเชียงใหม่ค่าจ้างเดือนพฤษภาคม และเดือน มิถุนายน ๒๕๖๐ สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย โจทก์ทั้งสองรับเงินค่าจ้าง ๒ เดือน แล้วถอนคำร้อง ต่อมาจำเลยที่ ๑ แจ้งเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองอ้างขาดงาน ๑๕ วัน และวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๐ โจทก์ทั้งสองมิได้กระทำผิด ขอบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันจ่ายค่าจ้างค้างจ่าย ค่าชดเชย สินจ้างแทนการ บอกกล่าวล่วงหน้า พร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ทั้งสองยินยอมปรับลดเงินเดือนเหลือเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท โจทก์ไม่ได้เลิกจ้าง ศาลแรงงานภาค ๕ พิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เพียงแต่เปลี่ยนงานและลดเงินเดือนโจทก์ ทั้งสองเท่านั้น แต่การกระทำดังกล่าวไม่เป็นการเลิกจ้าง การที่โจทก์ทั้งสองไม่มาทำงานตามพฤติการณ์ถือว่า โจทก์ทั้งสองเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาเอง พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ ประเด็นเป็นเลิกจ้างหรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ในทำนองว่าการที่จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งเปลี่ยนแปลง สภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณต่อลูกจ้างโดยลูกจ้างไม่ยินยอมตกลงด้วยเป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย และไม่เป็นธรรม หากนายจ้างสามารถทำได้เช่นนี้ ก็จะทำให้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘ ไร้ผล และจะเกิดความไม่เป็นธรรมและเกิดปัญหาในระบบแรงงาน ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า ก่อนขายรถบรรทุกหัวลากสิบแปดล้อ จำเลยทั้งสองได้แจ้งให้คนขับรถทั้ง ๔ คัน รวมทั้งโจทก์ทั้งสอง ทราบแล้วและบอกด้วยว่ายังมีงานอื่นให้ทำในสวนลำไย การที่จำเลยที่ ๑ แจ้งให้โจทก์ทั้งสองทำงานอื่น แทนการขับรถยนต์บรรทุกหัวลากสิบแปดล้อแล้วลดค่าจ้างโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับค่าจ้าง เงื่อนไข การจ้างหรือการทำงาน จึงเป็นสภาพการจ้าง จำเลยที่ ๑ จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ไม่เป็นคุณแก่
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๒ - ลูกจ้างไม่ได้ และจะกระทำได้ต่อเมื่อลูกจ้างตกลงยินยอมด้วย กรณีจึงถือได้ว่ามูลเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลง สภาพการจ้างเกิดขึ้นจากฝ่ายจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นนายจ้าง เมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างดังกล่าวมี ผลทำให้เกิดเป็นข้อพิพาทคดีนี้ขึ้นโดยโจทก์ทั้งสองไม่ยินยอมเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างและจำเลยทั้งสอง ไม่จ่ายค่าจ้างให้โจทก์ทั้งสอง ตามพฤติการณ์แห่งคดีเช่นนี้ย่อมอยู่ในนัยของการเลิกจ้างตามพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘ วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า “การเลิกจ้างตามมาตรานี้ หมายความว่า การกระทำใดที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้าง หรือเหตุอื่นใด และหมายความรวมถึงกรณีที่ลูกจ้างไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้างเพราะเหตุที่นายจ้าง ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไป” จึงเป็นกรณีที่จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองแล้ว มิใช่โจทก์ทั้งสองเป็นฝ่าย บอกเลิกสัญญาจ้างแต่อย่างใด เมื่อศาลแรงงานภาค ๕ ฟังข้อเท็จจริงว่า การที่โจทก์ยินยอมรับเงินเดือนของ เดือนกุมภาพันธ์ – ตุลาคม ๒๕๕๙ เพียงเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท เป็นเวลา ๙ เดือน โดยไม่ได้โต้แย้ง คัดค้าน จนกระทั้งโจทก์ทั้งสองไปยื่นคำร้องต่อสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเชียงใหม่ ก็ไม่ได้เรียกร้องเอาเงินส่วนนี้แสดงว่าโจทก์ทั้งสองยินยอมให้จำเลยที่ ๑ ปรับลดเงินเดือนได้ดังนั้น อัตรา ค่าจ้างสุดท้ายของโจทก์จึงเป็นเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจ่าย ค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งสองคนละ ๓๐,๐๐๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าคนละ ๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๕ ๘. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๖๓๖๓/๒๕๖๒ (คณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน) เรื่อง แม้วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ นายจ้างจะได้แจ้งแก่ลูกจ้างว่าจะย้ายสถานประกอบ กิจการ แต่ยังไม่ได้แจ้งกำหนดวันย้ายที่แน่นอน และมีการเลื่อนวันย้ายออกไปอีก จนกระทั่งวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ นายจ้างจึงแจ้งว่าจะย้ายและให้ทำงานที่แห่งใหม่วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๑ ดังนั้น วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ จึงเป็นวันที่นายจ้างได้แจ้งแก่ลูกจ้างทราบ เมื่อลูกจ้างบอกเลิกสัญญาจ้างวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๑ จึงถือว่าใช้สิทธิภายใน ๓๐ วันนับแต่ได้รับแจ้ง ลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษ ตามมาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง (เดิม) คดีนี้โจทก์ (นายจ้าง) ฟ้องคณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน จำเลย กรณีที่มีคำสั่ง ให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยพิเศษให้กับลูกจ้างทั้งสองคน โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าว เนื่องจาก เดิมโจทก์มีสำนักงานตั้งอยู่เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร โดยเช่าพื้นที่จากบริษัท เอ จำกัด สัญญาเช่า ครบกำหนดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ แต่ผู้เช่าไม่ต่อสัญญาเช่า โจทก์จึงย้ายสถานประกอบกิจการไปอยู่ที่ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ โจทก์เรียกประชุมชี้แจงเกี่ยวกับการย้าย สถานประกอบกิจการแห่งใหม่ให้ลูกจ้างทุกคนทราบ แต่ลูกจ้างทั้งสองไม่ประสงค์จะย้ายไปโดยยื่นหนังสือ ต่อโจทก์วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๑ เป็นการยื่นหนังสือเกิน ๓๐ วันตามที่กฎหมายกำหนด จึงไม่ชอบด้วย กฎหมาย และการย้ายสถานประกอบกิจการไม่มีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้าง ลูกจ้าง
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๓ - ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษ คำสั่งของจำเลยที่ ๑ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่ง ของจำเลยที่ ๑ และขอให้ศาลมีคำสั่งคืนค่าชดเชยพิเศษที่วางไว้ต่อศาล จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ลูกจ้างทั้งสองได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างภายใน ๓๐ วันนับแต่ได้รับแจ้ง จากนายจ้าง และได้รับผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติของตนเองและครอบครัว ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว เห็นว่า คำสั่งของจำเลยที่ ๑ ชอบด้วยกฎหมายแล้ว พิพากษายก ฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๐ (เดิม) บัญญัติว่า ในกรณีที่นายจ้างจะย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่น...นายจ้างต้องแจ้งให้ ลูกจ้างทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๓๐ วันก่อนวันย้ายสถานประกอบกิจการ...โดยนายจ้างจะต้องแจ้งวันที่ จะย้ายสถานประกอบกิจการไปยังที่แห่งใหม่ให้ลูกจ้างทราบอย่างชัดเจนและแน่นอนเป็นสำคัญเพื่อให้ ลูกจ้างได้มีเวลานับแต่วันที่นายจ้างแจ้งให้ทราบ ได้คิดไตร่ตรอง ศึกษาเส้นทาง และทบทวนผลกระทบใน ด้านต่าง ๆ ของลูกจ้างหรือบุคคลในครอบครัวกรณีที่จะต้องเดินทางไปทำงานยังสถานประกอบกิจการ แห่งใหม่ มิใช่ว่านายจ้างเพียงแต่แจ้งลูกจ้างว่าย้ายสถานประกอบกิจการแต่ยังไม่ได้กำหนดวันย้ายไปทำ การยังที่แห่งใหม่ หรือกำหนดวันย้ายสถานประกอบกิจการแล้ว แต่ต่อมามีการเลื่อนวันย้ายออกไปเรื่อยๆ จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่นายจ้างแจ้งให้ลูกจ้างทราบว่าจะย้ายสถานประกอบ กิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่นตามมาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง (เดิม) ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่า วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ โจทก์เรียกประชุมชี้แจงให้ลูกจ้างทุกคนทราบว่าจะย้ายสถานประกอบกิจการแห่งใหม่ประมาณวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นเพียงการประมาณเท่านั้น โดยไม่ได้กำหนดวันย้ายที่แน่นอน แสดงว่ากำหนด วันย้ายสถานประกอบกิจการยังไม่ชัดเจน และปรากฏว่าสถานประกอบกิจการแห่งใหม่ไม่สามารถซ่อมแซม ให้เสร็จภายในวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ต่อมาวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ นางสาว บี เจ้าหน้าที่ธุรการ โจทก์แจ้งตัวแทนลูกจ้างแต่ละฝ่ายว่าจะเริ่มขนย้ายสิ่งของวันที่ ๒๓ – ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๑ และเริ่มปฏิบัติงาน ณ สถานที่แห่งใหม่วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๑ และโจทก์ได้ย้ายสถานประกอบกิจการไปอยู่ที่แห่งใหม่วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๑ จึงเห็นได้ว่า แม้วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ โจทก์จะได้แจ้งแก่ลูกจ้างว่าจะย้ายสถาน ประกอบกิจการแต่ยังไม่ได้แจ้งกำหนดวันย้ายที่แน่นอน และมีการเลื่อนวันย้ายออกไปอีก จนกระทั่งวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ นางสาว บี แจ้งว่าจะย้ายสถานประกอบกิจการและทำงานที่แห่งใหม่วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๑ ดังนั้น วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ จึงเป็นวันที่โจทก์ได้แจ้งแก่ลูกจ้างว่าจะย้ายสถานประกอบ กิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่นตามมาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง (เดิม) เมื่อลูกจ้างทั้งสองบอกเลิกสัญญาจ้างวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๑ จึงถือว่าใช้สิทธิภายใน ๓๐ วันนับแต่ได้รับแจ้งจากโจทก์จำเลยร่วมทั้งสอง (ลูกจ้าง) จึงมี สิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษ ตามมาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง (เดิม) พิพากษายืน
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๔ - ๙. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๖๓๖๔/๒๕๖๒ (คณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน) เรื่อง แม้วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ นายจ้างจะได้แจ้งแก่ลูกจ้างว่าจะย้ายสถานประกอบ กิจการ แต่ยังไม่ได้แจ้งกำหนดวันย้ายที่แน่นอน และมีการเลื่อนวันย้ายออกไปอีก จนกระทั่งวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ นายจ้างจึงแจ้งว่าจะย้ายและให้ทำงานที่แห่งใหม่วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๑ ดังนั้น วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ จึงเป็นวันที่นายจ้างได้แจ้งแก่ลูกจ้างทราบ เมื่อลูกจ้างบอกเลิกสัญญาจ้างวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๑ จึงถือว่าใช้สิทธิภายใน ๓๐ วันนับแต่ได้รับแจ้ง ลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษ ตามมาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง (เดิม) คดีนี้โจทก์(นายจ้าง) ฟ้องคณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน จำเลยที่ ๑ กรณีที่มีคำสั่งให้ โจทก์จ่ายค่าชดเชยพิเศษให้กับจำเลยร่วมทั้งสอง (ลูกจ้าง) โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าว เนื่องจาก เดิมโจทก์มีสำนักงานตั้งอยู่เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร โดยเช่าพื้นที่จากบริษัท เอ จำกัด สัญญาเช่า ครบกำหนดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ แต่ผู้เช่าไม่ต่อสัญญาเช่า โจทก์จึงย้ายสถานประกอบกิจการไปอยู่ที่ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ โจทก์เรียกประชุมชี้แจงเกี่ยวกับการย้าย สถานประกอบกิจการแห่งใหม่ให้ลูกจ้างทุกคนทราบ แต่ลูกจ้างทั้งสองไม่ประสงค์จะย้ายไปโดยยื่นหนังสือ ต่อโจทก์วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๑ เป็นการยื่นหนังสือเกิน ๓๐ วันตามที่กฎหมายกำหนด จึงไม่ชอบด้วย กฎหมาย และการย้ายสถานประกอบกิจการไม่มีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้าง ลูกจ้าง ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษ คำสั่งของจำเลยที่ ๑ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่ง ของจำเลยที่ ๑ และขอให้ศาลมีคำสั่งคืนค่าชดเชยพิเศษที่วางไว้ต่อศาล จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ลูกจ้างทั้งสองได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างภายใน ๓๐ วันนับแต่ได้รับแจ้ง จากนายจ้าง และได้รับผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติของตนเองและครอบครัว ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว เห็นว่า คำสั่งของจำเลยที่ ๑ ชอบด้วยกฎหมายแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๐ (เดิม) บัญญัติว่า ในกรณีที่นายจ้างจะย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่น...นายจ้างต้องแจ้งให้ ลูกจ้างทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๓๐ วันก่อนวันย้ายสถานประกอบกิจการ...โดยนายจ้างจะต้องแจ้งวันที่ จะย้ายสถานประกอบกิจการไปยังที่แห่งใหม่ให้ลูกจ้างทราบอย่างชัดเจนและแน่นอนเป็นสำคัญเพื่อให้ ลูกจ้างได้มีเวลานับแต่วันที่นายจ้างแจ้งให้ทราบ ได้คิดไตร่ตรอง ศึกษาเส้นทาง และทบทวนผลกระทบใน ด้านต่าง ๆ ของลูกจ้างหรือบุคคลในครอบครัวกรณีที่จะต้องเดินทางไปทำงานยังสถานประกอบกิจการ แห่งใหม่ มิใช่ว่านายจ้างเพียงแต่แจ้งลูกจ้างว่าย้ายสถานประกอบกิจการแต่ยังไม่ได้กำหนดวันย้ายไปทำ การยังที่แห่งใหม่ หรือกำหนดวันย้ายสถานประกอบกิจการแล้ว แต่ต่อมามีการเลื่อนวันย้ายออกไปเรื่อยๆ จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่นายจ้างแจ้งให้ลูกจ้างทราบว่าจะย้ายสถานประกอบ กิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่นตามมาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง (เดิม) ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่า วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ โจทก์เรียกประชุมชี้แจงให้ลูกจ้างทุกคนทราบว่าจะย้ายสถานประกอบกิจการแห่งใหม่ประมาณวันที่
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๕ - ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นเพียงการประมาณเท่านั้น โดยไม่ได้กำหนดวันย้ายที่แน่นอน แสดงว่ากำหนด วันย้ายสถานประกอบกิจการยังไม่ชัดเจน และปรากฏว่าสถานประกอบกิจการแห่งใหม่ไม่สามารถซ่อมแซม ให้เสร็จภายในวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ต่อมาวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ นางสาว บี เจ้าหน้าที่ธุรการ โจทก์แจ้งตัวแทนลูกจ้างแต่ละฝ่ายว่าจะเริ่มขนย้ายสิ่งของวันที่ ๒๓ – ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๑ และเริ่มปฏิบัติงาน ณ สถานที่แห่งใหม่วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๑ และโจทก์ได้ย้ายสถานประกอบกิจการไปอยู่ที่แห่งใหม่วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๑ จึงเห็นได้ว่า แม้วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ โจทก์จะได้แจ้งแก่ลูกจ้างว่าจะย้ายสถาน ประกอบกิจการแต่ยังไม่ได้แจ้งกำหนดวันย้ายที่แน่นอน และมีการเลื่อนวันย้ายออกไปอีก จนกระทั่งวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ นางสาว บี แจ้งว่าจะย้ายสถานประกอบกิจการและทำงานที่แห่งใหม่วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๑ ดังนั้น วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ จึงเป็นวันที่โจทก์ได้แจ้งแก่ลูกจ้างว่าจะย้ายสถานประกอบ กิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่นตามมาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง (เดิม) เมื่อลูกจ้างทั้งสองบอกเลิกสัญญาจ้างวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๑ จึงถือว่าใช้สิทธิภายใน ๓๐ วันนับแต่ได้รับแจ้งจากโจทก์จำเลยร่วมทั้งสอง (ลูกจ้าง) จึงมี สิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษ ตามมาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง (เดิม) พิพากษายืน หมายเหตุ ศาลฎีกามีคำสั่ง ที่ ครพ.ร.๒๐๙/๒๕๖๓ ไม่อนุญาตให้โจทก์ฎีกา ยกคำร้องขออนุญาตฎีกา และไม่รับฎีกาของโจทก์ ๑๐. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ที่ ๒๖๔๒/๒๕๖๑ (ย้ายสถานประกอบกิจการ) เรื่อง ลูกจ้างทำ “หนังสือแจ้งความประสงค์ไม่ไปทำงานที่สำนักงานแห่งใหม่ของนายจ้าง” เป็นการแสดงเจตนาเลิกสัญญาต่อนายจ้างแล้ว แม้ไม่มีข้อความบอกเลิกสัญญาโดยตรงก็ตาม หนังสือ ดังกล่าวจึงเป็นการบอกเลิกสัญญาจ้างภายใน ๓๐ วันแล้ว ส่วน “หนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง” ที่มีถึง นายจ้างภายหลังแม้เกิน ๓๐ วัน นั้น เป็นเพียงการบอกย้ำว่าลูกจ้างยกเลิกสัญญาจ้างเท่านั้น กรณีถือว่า ลูกจ้างใช้สิทธิภายใน ๓๐ วันนับแต่ทราบหนังสือแจ้งโดยชอบตามมาตรา ๑๒๐ วรรคแรกแล้ว คดีโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้าง ฟ้องคณะกรรมการสวัสดิการเป็นจำเลยที่ ๑ และฟ้องลูกจ้างกับพวก ทั้งสามคนเป็นจำเลยร่วม โดยขอให้เพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการสวัสดิการที่ ๗/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่ง เนื่องจากโจทก์ได้แจ้งย้ายสถานประกอบกิจการจากเดิมตั้งอยู่ซอยลาดพร้าว ๙๔ เขตวังทองหลาง ไปอยู่ที่ถนนพระราม ๙ เขตห้วยขวาง (ระยะทางประมาณ ๑๐ กิโลเมตร) โดยมีผลตั้งแต่ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ โจทก์เห็นว่าการย้ายไม่มีผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติของจำเลยร่วม ทั้งสามคน การที่คณะกรรมการสวัสดิการมีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยพิเศษแก่จำเลยร่วมทั้งสามเป็นเงิน จำนวน ๗๔๕,๑๗๒ บาท เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว จำเลยให้การว่า การย้ายสถานประกอบกิจการมีผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติของจำเลยร่วมทั้งสามและครอบครัว ทางด้านการเดินทาง ค่าใช้จ่าย และสุขภาพ ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๖ - ประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ว่า “หนังสือแจ้งความประสงค์ไม่ขอย้าย...” มิใช่หนังสือบอกเลิก สัญญาจ้าง หนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างของจำเลยร่วมพ้นกำหนด ๓๐ วัน ตามกฎหมาย จำเลยร่วมทั้งสามจึงไม่ มีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า หนังสือแจ้งความประสงค์ไม่ไปทำงานที่ สำนักงานแห่งใหม่ของจำเลยทั้งสามมีข้อความทำนองเดียวกันว่า สำนักงานแห่งใหม่ไกลจากที่พัก...ซึ่งมี ความหมายทำนองว่า จำเลยร่วมทั้งสามไม่ประสงค์จะไปทำงานยังสำนักงานแห่งใหม่ของโจทก์ เมื่อโจทก์ ต้องย้ายสถานประกอบกิจการไปยังสถานที่ใหม่โดยสถานที่เดิมมิได้ใช้เป็นที่ประกอบกิจการอีก ข้อความ ตามหนังสือดังกล่าวของจำเลยร่วมทั้งสาม จึงเป็นการแสดงเจตนาเลิกสัญญาต่อโจทก์แล้ว แม้จะไม่มีข้อความ บอกเลิกสัญญาโดยตรงก็ตาม ส่วนหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างที่มีถึงโจทก์ในภายหลังนั้นเป็นเพียงการบอกย้ำว่า จำเลยร่วมยกเลิกสัญญาจ้างเท่านั้น ส่วนการนับระยะเวลาบอกเลิกสัญญาตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๐ วรรคแรก นั้น ลูกจ้างจะต้องทราบถึงหนังสือแจ้งเสียก่อนจึงจะนับระยะเวลา คดีนี้จำเลยร่วมที่ ๑ - ๓ ลงลายมือชื่อทราบวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๙ และ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๙ จึงต้องนับวันที่จำเลยร่วม ลงลายมือชื่อทราบ มิใช่นับวันที่โจทก์ปิดประกาศตามที่โจทก์อุทธรณ์การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยร่วมทำหนังสือแจ้งความประสงค์ไม่ขอย้ายตามไปปฏิบัติงานยังสำนักงานแห่งใหม่ อันเป็นการ บอกเลิกสัญญาจ้างต่อโจทก์เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๙ และวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ จึงเป็นการใช้สิทธิ ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันรับทราบการย้ายสถานประกอบกิจการจากโจทก์ตามมาตรา ๑๒๐ วรรคแรกแล้ว พิพากษายืน ๑๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๕๖๖ - ๕๕๙๘/๒๕๖๑ (ย้ายสถานประกอบกิจการ) เรื่อง การย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่นตามพระราชบัญญัติคุ้มครอง แรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง หมายถึง นายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการแห่งเดิมไปตั้ง สถานประกอบกิจการอีกแห่งหนึ่งไปที่แห่งใหม่ มิใช่หมายความถึงกรณีลูกจ้างไปทำงานที่สถานประกอบ กิจการของนายจ้างอีกแห่งหนึ่งที่มีอยู่ก่อนแล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องทั้ง ๓๓ คน ฟ้องว่า จำเลยประกอบกิจการรับจ้างขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ทางบกและทางน้ำภายในและภายนอกประเทศ จำเลยมีหน่วยงานอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี มีลูกจ้าง ทำงานในหน่วยงานนี้ ๓๕ คน รวมทั้งโจทก์กับพวกด้วย วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ จำเลยแจ้งว่าจะปิด หน่วยงานลำลูกกกา หากคนใดประสงค์จะทำงานให้ย้ายไปทำงานที่หน่วยงานจังหวัดระยอง หากไม่ไปให้ ลาออก จำเลยจะจ่ายเงินช่วยเหลือให้ตามอายุงาน วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ จำเลยมีคำสั่งให้ลูกจ้างใน หน่วยงานลำลูกกาไปทำงานจังหวัดระยองโดยให้ไปรายงานตัวภายในวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ โจทก์กับ พวกไปไม่แต่ยังคงมาทำงานที่หน่วยงานลำลูกกาตามปกติ จนกระทั่งวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ จำเลยมี คำสั่งเลิกจ้างโจทก์กับพวกด้วยเหตุผล “ละทิ้งหน้าที่หรือขาดงานเป็นเวลา ๓ วัน ติดต่อกันโดยไม่มีเหตุ อันสมควร” ซึ่งไม่เป็นความจริง คำสั่งย้ายมีผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติ เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วย
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๗ - กฎหมายและเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ค่าชดเชยพิเศษแทนการบอก กล่าวล่วงหน้า พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า จำเลยมีสำนักงานแห่งใหญ่ที่เขตคันนายาว มีสาขาที่จังหวัด สระบุรี สาขาที่แขวงวังทองหลาง สาขาที่จังหวัดระยอง โจทก์กับพวกทำงานที่หน่วยงานลำลูกกาซึ่งเป็นการที่ จำเลยเช่าที่ดินบริเวณใกล้เคียงกับคลังน้ำมันจัดตั้งขึ้นชั่วคราวเพื่อใช้เป็นที่จอดรถบรรทุก ตลอดจนบำรุงรักษา รถบรรทุกที่ใช้ขนส่ง สัญญาเช่าได้หมดลง จำเลยจึงต้องขนย้าย และมีคำสั่งให้โจทก์กับพวกไปรายงานตัวที่ บริษัท แต่โจทก์กับพวกจงใจขัดคำสั่ง ละทิ้งหน้าที่ ศาลแรงงานพิจารณาแล้วเห็นว่า คำสั่งย้ายของจำเลย ไม่ใช่การย้ายพนักงานไปปฏิบัติงานใน หน่วยงานของจำเลยตามปกติ แต่เป็นกรณีที่จำเลยประสงค์จะย้ายพนักงานขับรถทั้งหมดไปทำงานหน่วยงานที่ จังหวัดระยอง อันเป็นการย้ายสถานประกอบกิจการที่มีผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตปกติของพนักงาน เมื่อโจทก์กับพวกไม่ไป จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษให้แก่โจทก์กับพวก พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงิน ค่าชดเชยพิเศษพร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ ประเด็นว่าเป็นการย้ายสถานประกอบกิจการตามมาตรา ๑๒๐ หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า การย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่นตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง หมายถึง นายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการแห่งเดิมไปตั้งสถานประกอบกิจการอีกแห่งหนึ่ง ไปที่แห่งใหม่ มิใช่หมายความถึงกรณีนายจ้างไปทำงานที่สถานประกอบกิจการของนายจ้างอีกแห่งหนึ่งที่มีอยู่ ก่อนแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า หน่วยงานสาขาระยอง นายทะเบียนรับจดทะเบียนเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ก่อนที่จำเลยจะมีคำสั่งย้ายโจทก์กับพวกไปทำงานหน่วยงานนั้นเป็นเวลาถึง ๖ ปี และไม่ปรากฏว่า จำเลยตั้งสถานประกอบกิจการขึ้นใหม่ที่จังหวัดระยอง หน่วยงานจังหวัดระยองจึงเป็นสถานประกอบกิจการ ของจำเลยอีกแห่งหนึ่งที่มีอยู่ก่อนแล้ว การที่จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์กับพวกไปทำงานที่หน่วยงานดังกล่าว มิใช่ กรณีที่นายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่นตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมานั้นจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นเป็นการละทิ้งหน้าที่ตามมาตรา ๑๑๙ (๕) หรือไม่ เห็นว่า โจทก์กับพวกบรรยายฟ้อง ให้เห็นว่าความจริงแล้วจำเลยมีเจตนาที่จะเลิกจ้างโดยจ่ายค่าชดเชยอยู่ก่อนแล้ว จึงกลั่นแกล้งโดยมีคำสั่งย้าย ซึ่งจำเลยรู้อยู่แล้วว่าไม่มีงานให้ทำมรที่สุดก็เลิกจ้าง คำสั่งย้ายจึงไม่ชอบ และมีคำขอให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย อัน เป็นการบรรยายฟ้องกล่าวถึงข้อเท็จจริงในลักษณะเล่าเรื่องตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความเข้าใจของโจทก์ และเรียกเงินอันเกิดจากการเลิกจ้างด้วย ซึ่งเป็นหน้าที่ของศาลที่ต้องปรับข้อเท็จจริงเข้ากับตัวบทกฎหมายเพื่อ วินิจฉัย ส่วนจำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์จงใจฝ่าฝืนคำสั่ง ละทิ้งหน้าที่ และขาดงานติดต่อกันเกิน ๓ วัน โดยไม่มี เหตุอันสมควร จึงเป็นหน้าที่ของศาลแรงงานต้องไต่สวนให้ได้ความว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่โจทก์กับพวก กล่าวอ้างเป็นไปตามที่จำเลยต่อสู้หรือไม่ แต่ศาลแรงงานกลางยังไม่ได้ดำเนินการไต่สวนให้ได้ความถึง ข้อเท็จจริงดังกล่าว และข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัยในประเด็นนี้ได้ เห็นควรย้อนสำนวนให้ศาล แรงงานดำเนินการไต่สวนให้ได้ความเพื่อจะวินิจฉัยว่าคำสั่งย้ายของจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และมีผล ทำให้จำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์กับพวกได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๘ - พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ (๕) หรือไม่ พิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางฟัง ข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นให้ชัดเจนก่อน แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ๑๒. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๑๑๗๕ – ๑๒๖๙/๒๕๖๐ เรื่อง นายจ้างมีสาขา ๘ สาขา ต่อมาปิดสาขาบุรีรัมย์แล้วมีคำสั่งย้ายลูกจ้างทั้งหมด ๙๕ คน ให้ไปสาขากรุงเทพ โดยนายจ้างไม่มีเจตนาย้ายพนักงานไปทำงานที่สำนักงานสาขาอย่างแท้จริง เพียงรอ เวลาหาโอกาสที่จะบีบหรือหว่านล้อมลูกจ้างที่เล็งเห็นว่าไม่สามารถย้ายไปทำงานตามคำสั่งได้อยู่แล้ว ให้ลาออกเพื่อพ้นความรับผิดในการจ่ายค่าชดเชย อันเป็นการทำให้นายจ้างได้เปรียบลูกจ้างเกินสมควร ฝ่าฝืน มาตรา ๑๔/๑ ทั้งเป็นการกลั่นแกล้งให้ลูกจ้างลาออก คำสั่งจึงไม่ชอบ ถือเป็นการเลิกจ้าง คดีนี้โจทก์ทั้ง ๙๕ คน ฟ้องว่า จำเลยประกอบกิจการอุตสาหกรรมสิ่งทอ ทำงานประจำที่สาขา จังหวัดบุรีรัมย์ วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๙ จำเลยออกประกาศถึงพนักงานรวมทั้งโจทก์กับพวกว่าจำเลย มีความจำเป็นต้องย้ายสถานที่ทำงาน โดยให้พนักงานและโจทก์ทั้ง ๙๕ คน ย้ายไปทำงานรวมกับพนักงานของ จำเลยที่สำนักงานสาขาเพชรเกษม กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ ซึ่งจำเลยรู้อยู่แล้วว่าจำเลย เดือดร้อนเพราะไม่สามารถย้ายครอบครัวไปทำงานได้ จำเลยไม่ได้จัดหาที่พักและสวัสดิการให้ เป็นการ เปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณ ฝ่าฝืนและขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๔/๑ ถือว่าจำเลยมีเจตนาเลิกจ้างโจทก์ จำเลยให้การว่าจำเลยประสบปัญหาทางเศรษฐกิจจำเป็นต้องปิด กิจการบางสาขา ไม่เป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๑๔/๑ การที่โจทก์ทั้ง ๙๕ คน ไม่ไปทำงานในสถานที่ใหม่ตาม ประกาศเป็นการละทิ้งหน้าที่ ศาลแรงงานภาค ๓ เห็นว่า จำเลยมีสำนักงานสาขา ๘ แห่ง สำนักงานใหญ่อยู่เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร จำเลยจ้างโจทก์ทั้ง ๙๕ คน เป็นลูกจ้างประจำสำนักงานสาขาจังหวัดบุรีรัมย์ จำเลยได้ออก ประกาศย้ายพนักงานทั้งหมดรวมทั้งโจทก์กับพวก โจทก์กับพวกไม่ยอมไปและไม่สามารถทำงานอยู่ที่สาขา บุรีรัมย์ได้เนื่องจากจำเลยยุบสำนักงานสาขาดังกล่าวและต่อมายุบสำนักงานสาขาอื่นทั้งหมดคงเหลือ แต่สำนักงานใหญ่ของจำเลยเพียงแห่งเดียว เห็นว่า จำเลยไม่มีเจตนาย้ายพนักงานไปทำงานที่สำนักงานสาขา แห่งใหม่โดยจัดสวัสดิการให้ตามที่แจ้งในประกาศอย่างแท้จริง จำเลยเพียงรอเวลาหาโอกาสที่จะบีบหรือหว่านล้อม โจทก์ทั้ง ๙๕ คน ที่จำเลยเล็งเห็นว่าไม่สามารถย้ายไปทำงานตามคำสั่งได้อยู่แล้วให้ลาออกเพื่อพ้นความรับผิด ในการจ่ายค่าชดเชย อันเป็นการทำให้จำเลยได้เปรียบโจทก์ทั้ง ๙๕ คน เกินสมควร ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคุ้มครอง แรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๔/๑ ทั้งเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ให้ลาออก คำสั่งของจำเลยในประกาศจึงไม่ ชอบ โจทก์กับพวกไม่จำต้องปฏิบัติตามและถือเป็นการเลิกจ้าง พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ กับพวก พร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยออกใบสำคัญแสดงการทำงานแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก จำเลยอุทธรณ์ว่า มาตรา ๑๔/๑ ใช้บังคับกับลูกจ้างในขณะที่อยู่ในช่วงระยะเวลาการปฏิบัติงานให้แก่นายจ้างในเวลาปกติและ การออกคำสั่งของนายจ้างเป็นการเอาเปรียบลูกจ้างเกินสมควร ไม่ได้นำไปใช้กับกรณีที่นายจ้างออกคำสั่ง ในทางบริหารที่นายจ้างออกคำสั่งในทางบริหารเพื่อแก้ไขปัญหาการดำเนินกิจการในสภาวะที่ไม่ปกตินั้น
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๙ - เห็นว่า จำเลยไม่ได้ยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นต่อสู้ในคำให้การ ดังนั้น อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นข้อที่ไมได้ยกขึ้น ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานภาค ๓ ไม่อาจยกขึ้นอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่งมาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๗ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย ส่วนอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่มีเจตนากลั่นแกล้ง ทั้งไม่มีเจตนาเพื่อบังคับโจทก์ต้องลาออกแทนการเลิกจ้าง เป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟัง พยานหลักฐานของศาลแรงงานภาค ๓ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับ วินิจฉัย พิพากษายืน ๑๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๕๕๖/๒๕๕๙ (คดีฟ้องเพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน) เรื่อง แม้นายจ้างย้ายลูกจ้างไปเพียงบางแผนกไปอยู่โรงงานแห่งใหม่อันมิใช่สาขาเดิม ที่นายจ้างมีอยู่ก็ตาม แต่นายจ้างได้ปิดแผนกนั้นทั้งหมด ถือเป็นการ “ย้ายสถานประกอบกิจการ” ตามมาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน ที่ ๕/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๕ กรณีที่สั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยพิเศษและค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้าให้แก่ลูกจ้างกับพวกรวม ๕๒ คน ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการสวัสดิการ แรงงาน จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์ศาลฎีกาเห็นว่า มาตรา ๑๒๐ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มีเจตนารมณ์ที่จะคุ้มครองลูกจ้างในกรณีที่นายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่น อันจะทำให้ลูกจ้างหรือครอบครัวได้รับความเดือดร้อน ซึ่งการย้ายสถานประกอบกิจการตามบทบัญญัติ ดังกล่าวไม่จำต้องย้ายไปทั้งสถานประกอบกิจการ เดิมโจทก์มีสถานประกอบกิจการอยู่ที่จังหวัดปทุมธานี เพียงแห่งเดียว ต่อมาโจทก์ได้ตั้งโรงงานสาขาอีกแห่งที่จังหวัดชลบุรี และโจทก์มีคำสั่งย้ายพนักงานบางส่วนไปอยู่ ที่โรงงานสาขา จำเลยร่วมทั้ง ๕๒ คน จึงบอกเลิกสัญญา แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่าสถานประกอบกิจการเดิม ยังมีพนักงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรขนาดเล็ก พนักงานซึ่งทำหน้าที่ประกอบชิ้นงาน พนักงานฝ่าย ผลิตอุปกรณ์บางส่วนและพนักงานประจำสำนักงานทำงานอยู่ คงย้ายเฉพาะพนักงานฝ่ายฉีดพลาสติกและ พนักงานฝ่ายซ่อมแม่พิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรขนาดใหญ่ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ปิดฝ่ายงานดังกล่าวที่โรงงาน เดิมแล้วย้ายพนักงานในฝ่ายงานดังกล่าวทั้งหมดไปทำงานที่โรงงานสาขาใหม่จังหวัดชลบุรี ไม่ใช่สาขาเดิมที่ โจทก์มีอยู่แล้ว เป็นสถานที่ใหม่ที่ลูกจ้างไม่ทราบมาก่อน การตัดสินใจไปเปิดสาขาใหม่เป็นการตัดสินใจของ นายจ้างแต่เพียงฝ่ายเดียว ลูกจ้างไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ดังนั้น การที่โจทก์ย้ายพนักงานทั้ง ๒ ฝ่าย รวมทั้งจำเลยทั้ง ๕๒ คน ไปอยู่โรงงานสาขาที่เพิ่งเปิดใหม่อันมิใช่สาขาเดิมที่โจทก์มีอยู่ จึงเป็นการย้ายสถาน ประกอบกิจการตามมาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ที่ศาลแรงงาน กลางวินิจฉัยในเรื่องนี้มานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๐ - ประเด็นการย้ายสถานประกอบกิจการมีผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้าง หรือครอบครัวหรือไม่ เห็นว่า เป็นข้อเท็จจริงที่ทราบอยู่ทั่วไปว่าจังหวัดปทุมธานีกับชลบุรี ทั้งสองจังหวัดอยู่ ห่างกัน การไปทำงานในสถานประกอบกิจการดังกล่าวย่อมต้องทำให้ผู้ที่ไปทำงานต้องมีที่อยู่ใหม่ มีเส้นทาง ในการเดินทางใหม่ บางครอบครัวต้องหาสถานที่เรียนให้บุตรใหม่ ดังนั้นการย้ายดังกล่าวจึงมีผลกระทบสำคัญ ต่อการดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้าง ปัญหานี้แม้ศาลแรงงานกลางจะมิได้วินิจฉัยมาก็ตาม ศาลฎีกาเห็นสมควร วินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยอีก พิพากษากลับให้ปฏิบัติตาม คำสั่งของคณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน แต่ให้จำเลยร่วมทั้ง ๕๒ คน ได้รับค่าชดเชยพิเศษฯ เท่ากับ จำนวนเงินตามที่ระบุในเอกสารหมาย จลร.๑ ๑๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๗๕๙/๒๕๕๘ (ลูกจ้างฟ้องต่อศาลแรงงานโดยตรง) เรื่อง ย้ายต้นสายการเดินรถ ปอ. ๐๐๐ จากปากน้ำมาอยู่ที่สายใต้ใหม่ เป็นการย้าย “สถานประกอบกิจการ” ตามมาตรา ๑๒๐ ลูกจ้างระดับล่างพักอาศัยอยู่จังหวัดสมุทรปราการได้รับ ผลกระทบเนื่องจากต้องรับส่งหลานไปโรงเรียน กลับมาทำงานพิเศษไม่ทัน ลำบากและเสียเวลาเดินทาง มากกว่าเดิม ทำให้มีเวลาพักผ่อนน้อยลงกว่าเดิม ถือว่าลูกจ้างได้รับผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิต โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าชดเชยพิเศษ และเงิน ประกันการทำงาน พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยพิเศษ พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จำเลยอุทธรณ์ศาลฎีกาแผนกคดี แรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและปรากฏข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันเป็นยุติว่า จำเลย จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการขนส่งคนโดยสารโดยรถยนต์ปรับอากาศ สาย ปอ.๐๐๐ เข้าร่วมกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพหรือ ขสมก. วิ่งรับส่งผู้โดยสารจากอู่ปากน้ำ จังหวัด สมุทรปราการ ถึงขนส่งสายใต้ใหม่ เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร และวนกลับอู่ปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๓๙ โจทก์ได้เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยครั้งสุดท้ายมีตำแหน่งเป็นพนักงานขับ รถยนต์โดยสารประจำทางปรับอากาศสาย ปอ.๐๐๐ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเป็นรายวัน วันละ ๑๙๑ บาท กำหนดจ่ายทุกวัน และได้รับค่าจ้างจากเปอร์เซ็นต์ค่าตั๋วโดยสารคิดจากวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ รวมเวลา ๑๐ เดือน คิดเป็นเงินจำนวนรวม ๘๗,๘๗๕ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ ๑๕ และวันสิ้นเดือน โจทก์พักอยู่กับพี่สาวที่มีอายุ ๕๖ ปี ซึ่งเจ็บป่วยบ่อย และโจทก์กับพี่สาวต่างดูแลกัน ต่อมาวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๐ จำเลยได้มีประกาศคำสั่งพิเศษ/๒๕๕๐ และเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๐ โจทก์ ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างกับจำเลย ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๐ เป็นต้นไป เนื่องจากจำเลยย้าย สถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่น อันมีผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้างหรือ ครอบครัว แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์มีบ้านพักอยู่ที่บ้านเลขที่ ๐๐๐/๕๙ หมู่ที่ ๐ ตำบลท้ายบ้านใหม่ อำเภอเมือง สมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งระยะทางจากบ้านพักถึงอู่ปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ ประมาณ ๓ กิโลเมตร ระยะทางจากบ้านถึงสายใต้ใหม่ เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ประมาณ ๕๘ กิโลเมตร จำเลยย้ายอู่ ปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ ไปเปิดอู่ที่สายใต้ใหม่ เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร เป็นเหตุทำให้การเริ่มต้น
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๑ - ปฏิบัติงานของโจทก์จะต้องเริ่มต้นไปลงเวลาทำงานรับรถยนต์ที่อู่สายใต้ใหม่ เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร และเมื่อปฏิบัติงานเสร็จโจทก์ก็จะต้องนำรถยนต์ไปเก็บที่อู่สายใต้ใหม่ เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร แล้วเติม น้ำมันแล้วจึงจะกลับบ้านโจทก์ที่จังหวัดสมุทรปราการได้ จึงถือว่าการย้ายอู่ของจำเลยเป็นการย้ายสถาน ประกอบกิจการของจำเลยแล้ว เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะไปทำงานโดยเริ่มต้นทำงานที่อู่สายใต้ใหม่ เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้โดยชอบด้วยมาตรา ๑๒๐ จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชย พิเศษแก่โจทก์ สำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีและวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสม เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายบอกเลิก สัญญาจ้างกับจำเลยซึ่งเป็นนายจ้าง จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีและค่าจ้าง สำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสมแก่โจทก์ ส่วนเงินประกันการทำงาน เมื่อจำเลยให้การและนำสืบยอมรับ ว่าเก็บเงินประกันการทำงานไว้จากโจทก์ ๙,๗๒๐ บาท ดังนั้นเมื่อโจทก์ออกจากงานจำเลยจึงมีหน้าที่ต้องคืนให้ โจทก์ แต่ถ้าโจทก์ทำความเสียหายให้แก่จำเลย จำเลยย่อมมีสิทธินำไปหักกับความเสียหายของจำเลยได้ แต่เมื่อระหว่างโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย โจทก์ได้ขับรถยนต์โดยสารประจำทางสาย ปอ.๐๐๐ โดยประมาท เลินเล่อไปชนรถยนต์ของผู้อื่นจนได้รับความเสียหายเป็นเหตุให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างต้องรับผิดชอบชดใช้ ค่าเสียหายไป ๓๐,๘๓๕ บาท จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างย่อมมีสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาจากโจทก์ ซึ่งโจทก์มีหน้าที่จะต้อง ชดใช้ค่าเสียหายให้จำเลย ๓๐,๘๓๕ บาท เมื่อนำเงินประกันการทำงานของโจทก์มาหักหนี้แล้ว ๙,๗๒๐ บาท คงเหลือที่โจทก์จะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้จำเลย ๒๑,๑๑๕ บาท และเมื่อนำเงินที่โจทก์จะต้องชดใช้ ๒๑,๑๑๕ บาท มาหักออกจากค่าชดเชยพิเศษที่จำเลยจะต้องจ่ายให้โจทก์ ๗๒,๕๘๗.๕๐ บาท แล้วคงเหลือค่าชดเชย พิเศษที่จำเลยจะต้องจ่ายให้โจทก์ ๕๑,๔๗๒.๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า การย้ายอู่จอดรถยนต์โดยสาร ประจำทางของจำเลยเป็นกรณีนายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่น อันมีผลกระทบสำคัญต่อ การดำรงชีวิตตามปกติของโจทก์หรือครอบครัว และจำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษให้แก่โจทก์ตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง หรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า การที่ จำเลยย้ายอู่จอดรถยนต์โดยสารประจำทางปรับอากาศสาย ปอ.๐๐๐ จากต้นทางที่อู่ปากน้ำ จังหวัด สมุทรปราการ ไปยังปลายทางที่อู่สายใต้ใหม่ เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ไม่ใช่เป็นการย้ายสถานประกอบ กิจการ แต่เป็นเพียงการเปลี่ยนจุดจอดรถเท่านั้น เพราะการเดินรถยังเดินในเส้นทางเดิม และเพื่อความ เหมาะสมในการทำงานจึงเปลี่ยนจุดจอดรถ จุดลงเวลาทำงานและรับส่งรถ กำหนดเวลาทำงานให้สิทธิเลือก เป็น ๔ กะ หากทำกะดึกอนุญาตให้ทำกะต่อไปโดยมิใช่กะแรกได้ ลักษณะการทำงานอยู่บนรถตลอดเวลามิได้ อยู่ในสำนักงานจึงไม่ได้มีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตตามปกติของโจทก์ นั้น เห็นว่า กรณีที่นายจ้างย้ายสถาน ประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่น ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง หมายถึงนายจ้างได้ปิดสถานที่ซึ่งใช้ประกอบกิจการเป็นประจำแห่งเดิมแล้วย้ายไปเปิดในที่ แห่งใหม่อันมิใช่สถานที่ซึ่งใช้ประกอบกิจการเป็นประจำอยู่ก่อนแล้ว เมื่อจำเลยใช้อู่ปากน้ำเป็นสถานที่จอดเก็บ รถยนต์โดยสารประจำทางปรับอากาศ สาย ปอ.๐๐๐ ในการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานขับรถ จะต้องเริ่มต้นมาที่อู่ปากน้ำ เวลา ๓ นาฬิกา ซึ่งเป็นกะแรก เพื่อลงชื่อก่อนทำงานแล้วรับรถขับออกจากอู่ไปยัง
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๒ - ปลายทางสายใต้ใหม่แล้วขับวนกลับมาที่อู่ปากน้ำ เมื่อปฏิบัติหน้าที่เสร็จแล้วโจทก์จะต้องนำรถไปเติมน้ำมัน และนำรถไปจอดเก็บไว้ที่อู่ปากน้ำจึงกลับบ้านได้ ต่อมาจำเลยได้ย้ายไปใช้อู่สายใต้ใหม่เป็นสถานที่จอดเก็บรถ แทน และในการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ จำเลยเปลี่ยนให้โจทก์จะต้องเริ่มต้นทำงานโดยมาลงชื่อก่อนทำงานที่อู่ สายใต้ใหม่แล้วรับรถขับจากอู่ที่สายใต้ใหม่ไปยังปลายทางที่อู่ปากน้ำ แล้วขับวนมาที่อู่สายใต้ใหม่ และเมื่อ ปฏิบัติหน้าที่เสร็จแล้วต้องนำรถไปเติมน้ำมันและนำไปจอดเก็บที่อู่สายใต้ใหม่จึงจะกลับบ้านได้ แสดงว่าเดิม จำเลยได้ใช้อู่ปากน้ำเป็นสถานที่ประกอบกิจการประจำ เมื่อจำเลยได้ปิดสถานที่ประกอบกิจการเป็นประจำ แห่งเดิมที่อู่ปากน้ำแล้วย้ายไปเปิดใช้อู่สายใต้ใหม่อันมิใช่สถานที่ที่จำเลยใช้ประกอบกิจการประจำอยู่ก่อนแล้ว เป็นสถานที่ประกอบกิจการประจำแห่งใหม่ของจำเลย จึงเป็นกรณีที่จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างย้ายสถานประกอบ กิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่น ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง แล้ว โจทก์มีบ้านอยู่ที่บ้านเลขที่ ๐๐๐/๕๙ หมู่ที่ ๐ ตำบลท้ายบ้านใหม่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งมีระยะทางห่างจากอู่ปากน้ำ ๓ กิโลเมตร และห่างจากอู่สายใต้ใหม่ ๕๘ กิโลเมตร โดยโจทก์พักอาศัยอยู่กับพี่สาวที่มีอายุ ๕๖ ปี ซึ่งเจ็บป่วยบ่อยและโจทก์ต้องดูแล เมื่อพิจารณาประกอบการ ปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ที่จำเลยเปลี่ยนให้โจทก์จะต้องเริ่มต้นทำงานโดยมาลงชื่อก่อนทำงานที่อู่สายใต้ใหม่แล้ว รับรถขับจากอู่ที่สายใต้ใหม่ไปยังปลายทางที่อู่ปากน้ำ แล้วขับวนมาที่อู่สายใต้ใหม่ และเมื่อปฏิบัติหน้าที่เสร็จ แล้วต้องนำรถไปเติมน้ำมันและนำไปจอดเก็บที่อู่สายใต้ใหม่จึงจะกลับบ้านได้แล้ว แสดงว่าหากโจทก์ต้อง ทำงานตามที่จำเลยย้ายสถานประกอบกิจการจากอู่ปากน้ำไปที่อู่สายใต้ใหม่ซึ่งมีระยะทางห่างจากบ้านพัก ๕๘ กิโลเมตร ย่อมมีความลำบากและเสียเวลาในการเดินทางมากกว่าเดิม อันจะเป็นเหตุให้โจทก์มีเวลาพักผ่อน น้อยลงกว่าเดิมและไม่มีเวลาดูแลครอบครัวเช่นเดิม เป็นการเพิ่มภาระและก่อความเดือดร้อนแก่โจทก์หรือ ครอบครัว ถือได้ว่ามีผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติของโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างหรือครอบครัวตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง แล้ว หากโจทก์ไม่ประสงค์ไปทำงานด้วย ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้โดยมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของอัตราค่าชดเชยที่ โจทก์พึงมีสิทธิตามมาตรา ๑๑๘ เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์ไปทำงานด้วยโดยได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างให้มีผล ในวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๐ จึงเป็นการใช้สิทธิโดยชอบตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษดังกล่าว จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษ ดังกล่าวให้แก่โจทก์ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการต่อไปว่า ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้ จำเลยจ่ายค่าชดเชยพิเศษให้แก่โจทก์มากกว่าที่โจทก์ขอชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า ศาล แรงงานกลางกำหนดให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยพิเศษให้แก่โจทก์มากกว่าที่โจทก์ขอเป็นการไม่ชอบและขัดต่อ กฎหมาย นั้น เห็นว่า การได้รับค่าชดเชยพิเศษตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๐ วรรคหนึ่ง ลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของอัตราค่าชดเชยที่ลูกจ้างพึงมีสิทธิได้รับตามมาตรา ๑๑๘ เมื่อโจทก์ทำงานกับจำเลยติดต่อกันมาครบ ๑๐ ปีขึ้นไป โจทก์จึงพึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่า ค่าจ้างอัตราสุดท้าย ๓๐๐ วัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงาน ๓๐๐ วันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับ
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๓ - ค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘ วรรค หนึ่ง (๕) และโจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ ๑๙๑ บาท และค่าจ้างจากเปอร์เซ็นต์ค่าตั๋วโดยสารอันถือ เป็นค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย เมื่อคิดค่าชดเชยจากค่าจ้างรายวันโจทก์จะได้รับเป็นเงิน ๕๗,๓๐๐ บาท และคิดค่าชดเชยจากค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย ซึ่งนับ ๓๐๐ วันสุดท้าย (วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๐) เป็นเงิน ๘๗,๘๗๕ บาท รวมเป็นค่าชดเชยที่โจทก์พึงมี สิทธิได้รับเป็นเงิน ๑๔๕,๑๗๕ บาท เมื่อคิดเป็นค่าชดเชยพิเศษคือร้อยละ ๕๐ ของอัตราค่าชดเชยที่โจทก์พึงมี สิทธิได้รับจะได้เป็นเงิน ๗๒,๕๘๗.๕๐ บาท การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าเห็นสมควรเพื่อความเป็นธรรมแก่ คู่ความและอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๕๒ ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยพิเศษเป็นเงิน ๗๒,๕๘๗.๕๐ บาท แก่โจทก์ แม้เกินไปจากที่โจทก์มีคำขอ บังคับ แต่เป็นการวินิจฉัยให้จ่ายค่าชดเชยพิเศษตามจำนวนเงินที่ถูกต้องแท้จริงโดยอ้างเหตุผลว่าเห็นสมควร เพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความและระบุอำนาจตามกฎหมายในการวินิจฉัยไว้ด้วยแล้ว จึงเป็นการพิพากษาที่ ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๕๒ แล้ว อุทธรณ์ ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน พิพากษายืน ๑๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๕๕๐/๒๕๕๘ (คดีฟ้องเพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน) เรื่อง นายจ้างมีเจตนาย้ายสำนักงานจากกรุงเทพ ไปจังหวัดสมุทรสาคร โดยทยอยย้ายทีละ แผนกรวมเวลา ๒ ปีเศษ จึงปิดการดำเนินการที่สาขากรุงเทพ แม้จดเปลี่ยนแปลงให้จังหวัดสมุทรสาคร เป็นสำนักงานใหญ่และสำนักงานกรุงเทพเป็นสาขาก็ตาม ก็ถือเป็นการ “ย้ายสถานประกอบกิจการ” ตามมาตรา ๑๒๐ ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษ โจทก์ฟ้องให้เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการสวัสดิการแรงงานที่ ๕/๒๕๕๒ ลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๒ กรณีที่สั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยพิเศษให้แก่ลูกจ้าง เนื่องจากโจทก์เห็นว่ากรณีของโจทก์มิใช่การย้าย สถานประกอบกิจการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. มาตรา ๑๒๐ ศาลแรงงานกลางพิพากษา ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า การย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่นตามพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. มาตรา ๑๒๐ หมายถึง ผู้ประกอบกิจการย้ายสถานที่ผลิตสินค้า ขายสินค้าหรือสถานที่ ให้บริการซึ่งมีอยู่เดิมจากแห่งหนึ่งไปยังสถานที่แห่งใหม่ เดิมปี ๒๕๓๖ โจทก์ประกอบกิจการเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ มีสำนักงานเทพลีลา กรุงเทพมหานคร เป็นสถานที่ประกอบกิจการแห่งเดียว ต่อมาปี ๒๕๔๙ โจทก์เปิด สถานประกอบกิจการอีกแห่งหนึ่งที่จังหวัดสมุทรสาคร โดยจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงสถานประกอบกิจการ แห่งใหม่เป็นสำนักงานใหญ่ สำนักงานเทพลีลาเป็นสำนักงานสาขา ตั้งแต่ปลายปี ๒๕๔๙ โจทก์ปิดประกาศ ทยอยย้ายลูกจ้างเป็นแผนกๆ และในที่สุดเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๒ โจทก์ได้ปิดการดำเนินการที่สำนักงาน เทพลีลาอย่างถาวรอันแสดงให้เห็นวัตถุประสงค์ของโจทก์ว่าที่โจทก์เปิดสถานที่ประกอบกิจการที่จังหวัด สมุทรสาครโดยจดทะเบียนให้เป็นสำนักงานใหญ่ โจทก์ต้องการจะย้ายสถานที่ประกอบกิจการสำนักงาน เทพลีลาไปอยู่จังหวัดสมุทรสาครเพียงแห่งเดียวตั้งแต่ปี ๒๕๔๙ นั่นเอง เพียงแต่ทยอยย้ายแผนกงานและ
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๔ - ลูกจ้างเท่านั้นไม่ได้ย้ายไปทั้งหมดโดยทันที การที่โจทก์จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงให้สำนักงานเทพลีลาเป็นสาขา เป็นวิธีการหรือกระบวนการของการย้ายสถานประกอบกิจการของโจทก์เท่านั้น แม้จะใช้เวลาย้ายถึง ๒ ปีเศษ ก็หาใช่โจทก์ย้ายสถานประกอบกิจการไปยังสถานที่อื่นซึ่งโจทก์มีอยู่ก่อนแล้วไม่ จึงถือได้ว่าเป็นการย้าย สถานประกอบกิจการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. มาตรา ๑๒๐ ประเด็นการย้ายสถานประกอบกิจการของโจทก์มีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้าง ทั้งสองหรือครอบครัวหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องที่ ๑ ลูกจ้าง มีภาระต้องดูแลมารดาซึ่งมีอายุมากและป่วยเป็นโรค ทางสมอง มีภาระการดูแลความเป็นอยู่ของครอบครัวและส่งบุตรไปโรงเรียน การเดินทางไปทำงานที่ใหม่ใช้ เวลาเพิ่มขึ้นประมาณ ๑ ชั่วโมง ผู้ร้องที่ ๒ มีภาระต้องดูแลสามีป่วยเป็นโรคทางระบบประสาท เบาหวานและ ความดัน การเดินทางไปทำงานที่ใหม่ใช้เวลาเพิ่มขึ้นประมาณ ๑ ชั่วโมง แม้โจทก์จะได้บรรเทาความเดือดร้อน โดยจัดสวัสดิการที่พักเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท - ๒,๐๐๐ บาท จัดรถรับส่ง ๒ เส้นทางแล้ว ก็คงเป็นการบรรเทา ความเดือดร้อนหรือแก้ไขผลกระทบที่ลูกจ้างได้รับเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางและที่พักอาศัยเท่านั้น ผู้ร้องทั้งสองยังคงได้รับผลกระทบด้านครอบครัว และด้านระยะเวลาในการเดินทาง มีเวลานอนพักผ่อนน้อยลง ต้องตื่นเร็วขึ้น กลับถึงบ้านช้ากว่าเดิม ทำให้ไม่มีเวลาดูแลความเป็นอยู่ของบุคคลในครอบครัว จึงถือว่าเป็น ผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติ เมื่อลูกจ้างทั้งสองบอกเลิกสัญญาโดยชอบแล้ว จึงมีสิทธิได้รับ ค่าชดเชยพิเศษ ๑๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๒๐๙ – ๑๑๒๑๑/๒๕๕๗ เรื่อง ย้ายต้นสายการเดินรถ ปอ. ๕๐๗ จากปากน้ำมาอยู่ที่สายใต้ใหม่ เป็นการย้าย “สถาน ประกอบกิจการ” ตามมาตรา ๑๒๐ ลูกจ้างระดับล่างพักอาศัยอยู่จังหวัดสมุทรปราการได้รับผลกระทบ เนื่องจากต้องรับส่งหลานไปโรงเรียน กลับมาทำงานพิเศษไม่ทัน ลำบากและเสียเวลาเดินทางมากกว่าเดิม ทำให้มีเวลาพักผ่อนน้อยลงกว่าเดิม ถือว่าลูกจ้างได้รับผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิต โจทก์ทั้งสามฟ้องเพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการสวัสดิการที่ ๑/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๑ ที่วินิจฉัยว่าโจทก์กับพวกไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษ ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑๓ (นายจ้าง) ประกอบกิจการขนส่งคนโดยสารโดยรถยนต์โดยสารปรับอากาศสาย ปอ. ๕๐๗ เดิมวิ่งจากต้นสาย อู่ปากน้ำ ไปยังสถานีขนส่งผู้โดยสารสายใต้ใหม่ (ตลิ่งชัน) ซึ่งเป็นปลายสายแล้วแล้ววิ่งกลับอู่ปากน้ำ จำเลย ได้ประกาศย้ายสถานที่ทำงานจากอู่ปากน้ำไปยังสถานที่ทำงานแห่งใหม่ที่สายใต้ใหม่ ในวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๐ เหตุที่จำเลยที่ ๑๓ ต้องย้ายเนื่องจากเจ้าของสถานที่ไม่ต่อสัญญาเช่า อู่ปากน้ำเดิมเป็นที่ตั้งสำนักงาน เป็นอู่ซ่อมรถและเป็นที่เก็บรถประมาณ ๓๖ คัน หลังจากย้ายต้นสายไปอู่ที่สายใต้ใหม่แล้ว ที่ปากน้ำกลายเป็น ปลายสาย แต่เดิมตอนที่ต้นสายอยู่ปากน้ำพนักงานล้างรถจะล้างรถตอนรถเข้าจอด แต่เมื่อย้ายต้นสายไปที่ สายใต้ใหม่ จำเลยที่ ๑๓ จัดให้พนักงานล้างรถที่สายใต้ใหม่ด้วย ในวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๐ โจทก์ทั้งสามได้มี หนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างต่อจำเลยที่ ๑๓ ให้มีผลในวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๐ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า คำว่า “สถานประกอบกิจการ” ตามมาตรา ๑๒๐ นั้น มีจุดประสงค์ที่จะให้หมายถึงสถานที่ที่ลูกจ้างจะต้อง
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๕ - ปฏิบัติงานในหน้าที่ของตนในการประกอบกิจการของนายจ้างเป็นสำคัญ ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ที่ ๑ และ ๒ ในการล้างทำความสะอาดรถ และการทำหน้าที่เป็นแม่บ้านสำนักงานของโจทก์ที่ ๓ นั้นจะทำได้ที่ต้น สายการเดินรถเท่านั้น ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในขณะรถวิ่งบริการหรือที่ปลายสายใต้ได้การที่จำเลยที่ ๑๓ (นายจ้าง) ย้ายต้นสายจากอู่ปากน้ำไปอู่สายใต้ใหม่เป็นการย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่นตาม มาตรา ๑๒๐ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ แล้ว อู่สายใต้เดิมเป็นเพียงปลายสายซึ่งเป็น เพียงจุดจอดรถลงเวลาในช่วงเวลาสั้นๆ จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นสถานประกอบกิจการอีกแห่งหนึ่งของนายจ้างที่มี อยู่ก่อนแล้วได้ พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการสวัสดิการ และให้จำเลยที่ ๑๓ (นายจ้าง) จ่ายค่าชดเชยพิเศษแก่โจทก์ทั้งสาม จำเลยที่ ๑๓ (นายจ้าง) อุทธรณ์ ศาลฎีกาพิจารณาประเด็น “ผลกระทบต่อการดำรงชีพ” แล้วเห็นว่า โจทก์ที่ ๑ ทำหน้าที่ล้างรถ ค่าจ้างวันละ ๑๙๑ บาท พักอาศัยบ้านของตนเองที่ อ. บางพลี จังหวัดสมุทรปราการ อาศัยอยู่กับบุตรสาวอายุ ๑๘ ปี หลานชายอายุ ๓ เดือน โจทก์ที่ ๑ มีหน้าที่รับส่งหลานโดยนำไปฝากเลี้ยง ส่วนบุตรสาวเป็นพนักงาน จ้างเหมาเวลาเข้างานไม่แน่นอน ไม่สามารถดูแลบุตรเองได้ หากจ้างคนเลี้ยงต้องเสียค่าใช้จ่าย โจทก์ที่ ๒ ทำหน้าที่ล้างรถค่าจ้างวันละ ๑๙๑ บาท อยู่บ้านเช่า อ.เมือง จังหวัดสมุทรปราการ อาศัยอยู่กับบุตรชาย อายุ ๑๕ ปี กำลังเรียนมัธยม ๓ ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดหากย้ายไปทำงานแห่งใหม่จะกลับมาทำงานพิเศษไม่ทัน ทำให้ขาดรายได้พิเศษเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท ส่วนโจทก์ที่ ๓ ทำหน้าที่แม่บ้านสำนักงาน ค่าจ้างเดือนละ ๕,๘๐๐ บาท อาศัยอยู่บ้านตนเองที่ อ.เมือง จังหวัดสมุทรปราการ โจทก์ที่ ๓ มีหน้าที่คอยรับส่งหลาน ๒ คน ไปโรงเรียน บ้านพักของโจทก์ทั้งสามอยู่ห่างจากอู่ปากน้ำเดิมไม่เกิน ๑ กิโลเมตร แต่อู่สายใต้ใหม่อยู่หากจาก บ้านพักโจทก์ทั้งสามกว่า ๕๐ กิโลเมตร หากโจทก์ทั้งสามย้ายไปทำงานที่ใหม่ย่อมมีความลำบากและเสียเวลา ในการเดินทางมากกว่าเดิม และต้องเดินทางโดยรถโดยสารสาย ปอ. ๕๐๗ ไปทำงานที่อู่สายใต้ใหม่ให้ทันใน เวลา ๐๘.๐๐ ต้องขึ้นรถที่ปากน้ำในเวลา ๐๖.๐๐ น. เป็นอย่างช้า และหลังจากโจทก์ทั้งสามเสร็จงานในเวลา ๑๗.๐๐ น. และขึ้นรถกลับในทันทีก็จะมาถึงปากน้ำอย่างเร็ว ๑๙.๓๐ น. อันเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสามมีเวลา พักผ่อนน้อยลงกว่าเดิม และไม่มีเวลาดูแลครอบครัวได้เช่นเดิม ดังนั้น เมื่อโจทก์ทั้งสามเห็นว่าการย้ายสถาน ประกอบกิจการเป็นเหตุให้ได้รับผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติของตนเองและครอบครัวจึงบอก เลิกสัญญาจ้างจึงชอบแล้ว พิพากษายืน ๑๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๕๗๔ – ๑๓๕๗๕/๒๕๕๗ เรื่อง การฟ้องเรียกร้องค่าชดเชย หามีบทบัญญัติกฎหมายบังคับให้ต้องยื่นคำร้องต่อ คณะกรรมการสวัสดิการแรงงานเพื่อให้พิจารณาและมีคำสั่งก่อนที่จะนำคดีมาสู่ศาลแรงงานไม่ ดังนั้น ลูกจ้างจึงมีอำนาจนำคดีไปฟ้องศาลแรงงานได้ คดีนี้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นลูกจ้างฟ้องว่าจำเลยจ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งพนักงานบรรจุ ผ้า ได้รับค่าจ้างสุดท้ายวันละ ๒๐๓ บาท วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำ ความผิด จำเลยให้การว่าจำเลยมิได้เลิกจ้างโจทก์ แต่เป็นกรณีจำเลยย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๖ - สถานที่อื่น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากโจทก์ทั้งสองไม่ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างแรงงานต่อจำเลย โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษ และโจทก์ทั้งสองมิได้ใช้สิทธิยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการ สวัสดิการแรงงาน จึงเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองมิได้ปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติไว้ ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระค่าชดเชยคนละ ๑๘,๒๗๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลย อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘ มิใช่กรณีที่โจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกค่าชดเชย พิเศษอันเนื่องมาจากกรณีที่จำเลยผู้เป็นนายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่นตาม มาตรา ๑๒๐ ทั้งศาลแรงงานกลางก็ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติได้ความว่าจำเลยเป็นฝ่ายเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองไม่ได้ กระทำความผิด โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามมาตรา ๑๑๘ การฟ้องเรียกร้องค่าชดเชยตามมาตรา ๑๑๘ หามีบทบัญญัติกฎหมายบังคับให้ต้องยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการสวัสดิการแรงงานเพื่อให้พิจารณาและ มีคำสั่งก่อนที่จะนำคดีมาสู่ศาลแรงงานไม่ โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องเรียกร้องค่าชดเชยจากจำเลยต่อ ศาลแรงงานกลาง ๑๘. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๕๕๔/๒๕๕๗ (ย้ายตัว) เรื่อง นายจ้างสั่งให้ลูกจ้างย้ายไปทำงานที่สาขาเปิดใหม่จังหวัดภูเก็ต ลูกจ้างไม่ไป นายจ้าง เลิกจ้าง ไม่ถือเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ฟ้องว่าจำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้าง ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการสาขารองเมือง จำเลยมี คำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิด จำเลยให้การว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับ เกี่ยวกับการทำงาน ฝ่าฝืนสัญญาจ้างและจงใจขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างกรณีที่ร้ายแรง คดีนี้ โจทก์ปฏิเสธไม่ยอมไปทำงานที่สาขาเปิดใหม่จังหวัดภูเก็ตอ้างว่า “บุตรยังเล็ก ไม่มีความพร้อมทางครอบครัว” ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเปิดสาขาที่จังหวัดภูเก็ต จำเลยประสงค์ให้โจทก์ไปเป็นผู้จัดการสาขาจังหวัดภูเก็ต เนื่องจากโจทก์เคยเป็นผู้จัดการสาขารัชดาภิเษกซึ่งจำหน่ายรถยนต์ย่อห้อเดียวกับที่จำหน่ายจังหวัดภูเก็ต โจทก์มีความรู้ดีมีพื้นเพอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต การปฏิเสธไม่ยอมไปเป็นผู้จัดการสาขาจังหวัดภูเก็ตทำให้งานขัดข้อง ในการบริหารงานบุคคลและเกิดผลเสียหายแก่กิจการของจำเลย ทั้งยังถือว่าโจทก์ผิดสัญญาจ้างแรงงานต่อ จำเลยด้วย จึงมีเหตุผลสมควรเพียงพอที่จะเลิกจ้างได้มิใช่การเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ๑๙. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๘๙๖๗/๒๕๕๕ เรื่อง นายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการจากเดิมเขตบางรักไปตั้งที่เขตประเวศ ลูกจ้างไม่ สามารถไปทำงานได้เพราะส่งแฟนไปทำงานและกลับส่งงานพิเศษไม่ทัน การย้ายจึงมีผลกระทบสำคัญต่อ การดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้างและครอบครัว ลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๐ ที่ใช้บังคับในขณะที่เกิดเหตุคดีนี้ บัญญัติในวรรคหนึ่งว่า ในกรณีที่นายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่นอันมีผลกระทบสำคัญ
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๗ - ต่อการดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้างหรือครอบครัว นายจ้างต้องแจ้งให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า สามสิบวันก่อนวันย้ายสถานประกอบกิจการ ในการนี้ถ้าลูกจ้างไม่ประสงค์จะไปทำงานด้วยให้ลูกจ้างมีสิทธิ บอกเลิกสัญญาจ้างได้โดยลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของอัตราค่าชดเชยตาม มาตรา ๑๑๘ ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๐ จำเลยแจ้งพนักงานว่าจำเลยจะย้ายสถานประกอบกิจการจากเดิมเขต บางรักไปตั้งที่เขตประเวศ โจทก์แจ้งว่าขัดข้องไม่สามารถไปทำงานได้เพราะส่งแฟนไปทำงานไม่ทันและกลังส่ง งานพิเศษไม่ทัน วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๑ จำเลยเริ่มย้ายทรัพย์สินไปโดยโจทก์ก็ช่วยด้วยและยังไปทำงาน ณ สถานที่ประกอบกิจการใหม่ อยู่จนถึงวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ต่อมาวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ โจทก์นำ หนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างแรงงานมายื่นฝ่ายบุคคลแต่ไม่ยอมรับเพราะต้องการหลักฐานทางไปรษณีย์ โจทก์จึง ส่งหนังสือทางไปรษณีย์จำเลยได้รับวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ตั้งแต่วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ โจทก์ไม่ได้ ไปทำงานอีก การย้ายสถานประกอบกิจการของจำเลยมีผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติของโจทก์ซึ่ง เป็นลูกจ้างและครอบครัวและโจทก์ไม่ประสงค์จะไปทำงานด้วย โจทก์บอกเลิกสัญญาจ้างแรงงานต่อจำเลยแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษ ๒๐. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๑๙๘-๓๒๗๙/๒๕๕๑ เรื่อง นายจ้างย้ายลูกจ้างที่ทำงานอยู่จังหวัดปราจีนบุรี ไปทำงานที่จังหวัดสมุทรปราการ โดยให้ค่าเช่าบ้านคนละ ๑,๐๐๐ บาท มาจากสาเหตุที่หมดสัญญาให้บริการขายอาหาร ไม่เข้าข่ายการ ย้ายสถานประกอบกิจการตามมาตรา ๑๒๐ ลูกจ้างจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษ คดีนี้โจทก์ทั้งแปดสิบสองสำนวนฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ ตกลงว่าจ้างจำเลยที่ ๑ ให้ดำเนินงานทั้งหมด หรือบางส่วนของงานใดเพื่อประโยชน์แก่ตน โดยจะจ่ายสินจ้างตอบแทนผลสำเร็จแห่งการงานที่ทำนั้น จำเลยที่ ๒ จึงเป็นนายจ้างร่วมกับจำเลยที่ ๑ โจทก์ทั้งแปดสิบสองเป็นลูกจ้างจำเลยทั้งสอง เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๔๙ จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์ทั้งแปดสิบสองโดยไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า อันเป็นการเลิกจ้างที่ไม่ เป็นธรรม ขอให้จำเลยทั้งสองจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง ที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งแปดสิบสอง ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เดิมชื่อ บริษัท เซอร์วิส จำกัด ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เคเทอร์ริ่ง จำกัด ประกอบธุรกิจจำหน่ายอาหาร จำเลย ที่ ๒ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ทำสัญญาอนุญาตให้จำเลยที่ ๑ เข้ามาดำเนินงานผลิตและขายอาหารในบริเวณโรงงาน ของจำเลยที่ ๒ โดยมิได้คิดค่าใช้จ่ายหรือได้รับประโยชน์ใด ๆ จากจำเลยที่ ๑ ทั้งนี้ จำเลยที่ ๑ จะทำการผลิต อาหารเพื่อจำหน่ายให้แก่พนักงานของจำเลยที่ ๒ ให้มีมาตรฐานถูกสุขลักษณะและมีราคาที่เป็นธรรมไม่สูง เกินไป โดยจำเลยที่ ๑ จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายและต้นทุนการผลิตอาหารรวมทั้งจัดหาพนักงานมาเองใน การดำเนินการผลิตและบริการขายอาหารดังกล่าว โจทก์ทั้งแปดสิบสองเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ทำงาน ประจำอยู่ที่หน่วยงานในบริษัท เอเอ (ประเทศไทย) จำกัด จังหวัดปราจีนบุรีซึ่งเป็นโรงงานของจำเลยที่ ๒
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๘ - กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ ๓๐ ของเดือน สัญญาอนุญาตให้บริการขายอาหารระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จะ ครบกำหนดในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๙ และจำเลยที่ ๒ ไม่ประสงค์ที่จะให้จำเลยที่ ๑ ดำเนินธุรกิจในสถานที่ ของจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๒ ได้เตรียมดำเนินการให้บริษัท ดีดี(ประเทศไทย) จำกัด เข้าดำเนินกิจการต่อ จากจำเลยที่ ๑ ในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๙ ต่อมาวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๙ จำเลยที่ ๑ ได้ประกาศแจ้งให้ พนักงานทราบว่าสัญญาระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ จะหมดอายุลงในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๙ และ จำเลยที่ ๑ จะโอนย้ายพนักงานทุกคนไปทำงานที่สาขาแห่งอื่นของจำเลยที่ ๑ โดยให้สิทธิพนักงานเลือกสาขาที่ จะไปปฏิบัติงานตามสะดวกของโจทก์ทั้งแปดสิบสองซึ่งมี ๔ สาขา คือ โรงพยาบาลจังหวัดสมุทรปราการ โรงพยาบาลเอฟเอฟ ๑ โรงพยาบาลเอฟเอฟ ๒ และโรงพยาบาลเอฟเอฟ ๓ กรุงเทพมหานคร โดยให้แสดง ความจำนงไปยังจำเลยที่ ๑ ภายในวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๔๙ ต่อมาวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๙ โจทก์ทั้งแปด สิบสองทำหนังสือสอบถามจำเลยที่ ๑ เกี่ยวกับการโอนย้ายพนักงานไปทำงานที่สาขาอื่น จำเลยที่ ๑ ได้ให้ คำชี้แจงว่าจำเลยที่ ๑ หมดสัญญากับจำเลยที่ ๒ จึงต้องย้ายพนักงานไปทำงานที่สาขาอื่นซึ่งมิใช่เป็นการย้าย สถานประกอบกิจการอันมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้างตามนัยแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครอง แรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๐ และพนักงานที่สามารถโอนย้ายสาขาได้ จำเลยที่ ๑ มีเงินช่วยเหลือค่าเช่า บ้านเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท แต่เมื่อครบกำหนดโจทก์ทั้งแปดสิบสองไม่แสดงความจำนง จำเลยที่ ๑ จึงมีคำสั่ง ให้โจทก์ทั้งแปดสิบสองไปทำงานที่สาขาโรงพยาบาลเคเค จังหวัดสมุทรปราการ โดยให้เวลาพนักงานทุกคน เตรียมเวลาการเดินทางระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๙ ถึงวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๙ และเริ่มปฏิบัติหน้าที่ใน วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๔๙ ต่อมาวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๔๙ โจทก์ทั้งแปดสิบสองทำหนังสือมายังจำเลยที่ ๑ ว่าไม่ ประสงค์จะไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานแห่งอื่นของจำเลยที่ ๑ และถือว่าจำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญา ต่อโจทก์ ให้จำเลยที่ ๑ จ่ายเงินชดเชยพิเศษและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า หลังจากนั้นโจทก์ ทั้งแปดสิบสองไม่ไปทำงาน ตั้งแต่วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๔๙ เป็นต้นมาจนถึงวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๔๙ จำเลยที่ ๑ มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ทั้งแปดสิบสองโดยอ้างเหตุว่า ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุ อันสมควรและฝ่าฝืนคำสั่งที่ปรับโอนย้ายตำแหน่งโดยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งซึ่งออกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ศาลแรงงานภาค ๒ วินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๒ ไม่ใช่นายจ้างของโจทก์ทั้งแปดสิบสอง โจทก์ทั้งแปดสิบสองจงใจ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ ๑ และขาดงานเกินสามวัน เป็นการละทิ้งการงานไปเสียจึงไม่มีสิทธิได้รับเงิน ตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งแปดสิบสองอุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “...ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริงว่าเมื่อสัญญาอนุญาต ให้บริการขายอาหารระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ จะครบกำหนดในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๙ จำเลย ที่ ๒ ไม่ประสงค์ให้จำเลยที่ ๑ ดำเนินการต่อแต่จะให้บริษัท ดีดี(ประเทศไทย) จำกัด เข้าดำเนินการแทนวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๙ จึงได้ประกาศแจ้งให้พนักงานทราบว่าสัญญาระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ จะครบ กำหนดดังกล่าว และจำเลยที่ ๑ จะโอนย้ายพนักงานทุกคนไปทำงานที่สาขาแห่งอื่นของจำเลยที่ ๑ ที่มีอยู่ใน ขณะนั้นโดยให้พนักงานเลือกสาขาที่จะไปปฏิบัติงานตามความสะดวกคือที่โรงพยาบาลเคเค จังหวัด สมุทรปราการ โรงพยาบาลเอฟเอฟ ๑ โรงพยาบาลเอฟเอฟ ๒ หรือที่โรงพยาบาลเอฟเอฟ ๓ กรุงเทพมหานคร
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๙ - การโอนย้ายดังกล่าวได้มีหนังสือแจ้งให้พนักงานหรือโจทก์ทั้งแปดสิบสองทราบแล้วว่ามิใช่เป็นกรณีการย้าย สถานประกอบกิจการอันมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครอง แรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๐ และการโอนย้ายไปนี้จำเลยที่ ๑ จะมีเงินช่วยเหลือค่าเช่าบ้านให้เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท แต่เมื่อถึงวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๔๙ ที่จำเลยที่ ๑ ให้โจทก์ทั้งแปดสิบสองแสดงความจำนง ก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งแปดสิบสองแสดงความจำนง จำเลยที่ ๑ จึงได้มีคำสั่งให้โจทก์ทั้งแปดสิบสองไปทำงานที่ โรงพยาบาลเคเค จังหวัดสมุทรปราการ ดังนี้ การที่จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งให้โจทก์ทั้งแปดสิบสองไปทำงานที่ โรงพยาบาลเคเค จังหวัดสมุทรปราการ จึงมาจากเหตุที่จำเลยที่ ๑ หมดสัญญาอนุญาตให้บริการขายอาหาร ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้เสนอให้โจทก์ทั้งแปดสิบสองเลือกไปทำงานในสาขาอื่นของ จำเลยที่ ๑ ที่มีอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการและกรุงเทพมหานคร โดยจะให้เงินช่วยเหลือเป็นค่าเช่าบ้านเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท เมื่อโจทก์ทั้งแปดสิบสองไม่เลือกและไม่แสดงความจำนงให้จำเลยที่ ๑ ทราบ จำเลยที่ ๑ จึงมี ความจำเป็นต้องสั่งให้โจทก์ทั้งแปดสิบสองไปทำงานที่โรงพยาบาลเคเค จังหวัดสมุทรปราการ ในตำแหน่ง ไม่ต่ำกว่าเดิม ทั้งปรากฏข้อเท็จจริงในชั้นพิจารณาคดีของศาลแรงงานภาค ๒ ว่า จำเลยที่ ๑ ได้เจรจากับบริษัท เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด ขอให้รับพนักงานเดิมของจำเลยที่ ๑ เข้าทำงาน ซึ่งโจทก์ทั้งแปดสิบสองก็ได้ สมัครเข้าทำงานกับบริษัทดังกล่าวต่อมาด้วยการให้ย้ายสถานที่ทำงานจึงมิได้เป็นการเลือกปฏิบัติหรือเป็นการ กลั่นแกล้งและจำเลยที่ ๑ ก็ได้หาวิธีเยียวยาความเดือดร้อนให้โจทก์ทั้งแปดสิบสอง และแม้ว่าการย้ายสถานที่ ทำงานดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มภาระให้แก่โจทก์ทั้งแปดสิบสองมากขึ้นแต่ก็เป็นไปตามสัญญาจ้างแรงงาน ระหว่างโจทก์ทั้งแปดสิบสองกับจำเลยที่ ๑ ซึ่งระบุในข้อ ๔ ว่าจำเลยที่ ๑ สามารถย้ายโจทก์ทั้งแปดสิบสองไป ทำงานในสาขาอื่นของจำเลยที่ ๑ ได้ทั่วราชอาณาจักรและจำเลยที่ ๑ ก็ได้ให้เงินช่วยเหลือเป็นค่าเช่าบ้าน คนละ ๑,๐๐๐ บาท การใช้สิทธิในการย้ายโจทก์ทั้งแปดสิบสองไปทำงานที่โรงพยาบาลเคเค จังหวัด สมุทรปราการ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมแล้ว เมื่อโจทก์ทั้งแปดสิบสองมีหนังสือแจ้งจำเลย ที่ ๑ ว่าไม่ประสงค์จะไปปฏิบัติงานหน่วยงานแห่งอื่นของจำเลยที่ ๑ และไม่ไปปฏิบัติหน้าที่ตามวันเวลาที่ จำเลยที่ ๑ กำหนด จึงเป็นการละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑มาตรา ๑๑๙ (๕) และเป็นการละทิ้งการงานไปซึ่งจำเลยที่ ๑ จะไล่ออกโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๓ และการเลิกจ้างด้วยเหตุดังกล่าวเป็นกรณีมีเหตุจำเป็นและสมควรจึงมิใช่การเลิกจ้าง ที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ ที่ศาลแรงงานภาค ๒ วินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์ทั้งแปดสิบสองได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยสินจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ทั้งแปดสิบสองจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งแปดสิบสองประการแรกนี้ฟังไม่ขึ้น สำหรับอุทธรณ์ประการสุดท้ายของโจทก์ทั้งแปดสิบสอง ซึ่งโจทก์ทั้งแปดสิบสองอุทธรณ์ว่า โจทก์ ทั้งแปดสิบสองทำงานอยู่ในโรงงานของจำเลยที่ ๒ การที่จำเลยที่ ๑ ประกอบธุรกิจจำหน่ายอาหารเป็น ส่วนหนึ่งในกระบวนการผลิตของจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๒ ให้ใช้สถานที่ อุปกรณ์ต่าง ๆ โดยไม่ได้เรียกเก็บ จากจำเลยที่ ๑ เป็นการตอบแทน จำเลยที่ ๒ จึงเป็นนายจ้างของโจทก์ทั้งแปดสิบสองด้วยนั้น เห็นว่า การจะ
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๐ - วินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๒ เป็นนายจ้างของโจทก์ทั้งแปดสิบสองหรือไม่ ย่อมไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลคำวินิจฉัยของ ศาลแรงงานภาค ๒ เรื่องการจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง ที่ไม่เป็นธรรมได้ จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดี แรงงาน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย” พิพากษายืน ๒๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๘๘๑-๖๘๙๒/๒๕๔๙ เรื่อง นายจ้างไม่อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการสวัสดิการแรงงานต่อศาลแรงงาน ภายในกำหนด ๓๐ วันนับแต่วันได้รับแจ้งคำวินิจฉัย คำวินิจฉัยย่อมเป็นที่สุด นายจ้างไม่อาจยกเรื่อง การย้ายสถานประกอบกิจการและการบอกเลิกสัญญาในชั้นศาลได้อีก โจทก์ทั้งสิบสองสำนวนฟ้องเป็นใจความทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๒ เป็นลูกจ้างโจทก์ สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๒ ไม่มีกำหนดระยะเวลา ต่อมาจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๒ บอกเลิกสัญญาจ้างให้โจทก์ทราบไม่ถึง ๑๕ วัน จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและข้อบังคับ จึงต้องรับผิด ในค่าเสียหายจากการบอกเลิกสัญญาจ้างดังกล่าว ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีวัตถุประสงค์หลายอย่าง รวมทั้งประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการส่งออก โจทก์มีสำนักงานใหญ่และโรงงานผลิตอยู่ที่ กรุงเทพมหานคร และยังมีสำนักงานและโรงงานผลิตสาขาอยู่ที่จังหวัดนครพนม จำเลยทั้งสิบสองทำงานอยู่ที่ โรงงานผลิตกรุงเทพมหานคร ศาลฎีกาพิจารณาอุทธรณ์โจทก์แล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก จำเลยทั้งสิบสองอ้างว่าจำเลยทั้งสิบสองบอกเลิกสัญญาจ้างไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๒ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๗ วรรคสอง และระเบียบการลา ของโจทก์ที่ระบุว่าลูกจ้างที่ประสงค์จะลาออกต้องยื่นใบลาล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๑๕ วัน ก่อนถึงกำหนดวันจ่าย ค่าจ้างในงวดหรือเดือนถัดไป จำเลยทั้งสิบสองต่อสู้ว่า จำเลยทั้งสิบสองบอกเลิกสัญญาจ้างเนื่องจากโจทก์ย้าย สถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่นอันมีผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้างหรือ ครอบครัว และคณะกรรมการสวัสดิการแรงงานได้วินิจฉัยตามคำสั่งที่ ../๒๕๔๖ ลงวันที่..มกราคม ๒๕๔๖ ว่าการย้ายสถานประกอบกิจการของโจทก์เป็นกรณีที่จำเลยทั้งสิบสองมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างโดยมีสิทธิได้รับ ค่าชดเชยพิเศษ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๐ การบอกเลิกสัญญาจ้าง ของจำเลยทั้งสิบสองจึงไม่ใช่การบอกเลิกตามกฎหมายและระเบียบที่โจทก์กล่าวอ้าง คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาท โดยตรงว่า จำเลยทั้งสิบสองได้บอกเลิกสัญญาจ้าง เนื่องจากโจทก์ย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่ อื่นอันมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตตามปกติของจำเลยทั้งสิบสองและครอบครัวหรือไม่ และการบอกเลิก สัญญาดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้บังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๒ พระราชบัญญัติคุ้มครอง แรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๗ วรรคสอง คณะกรรมการสวัสดิการแรงงานได้วินิจฉัยตามคำสั่งที่ .../๒๕๔๖ แล้วว่า การที่โจทก์ย้ายโรงงานและสำนักงานแห่งใหญ่ที่กรุงเทพมหานคร ไปรวมกับสำนักงานสาขาที่จังหวัด
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๑ - นครพนม เป็นการย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่นอันมีผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิต ตามปกติของลูกจ้างหรือครอบครัว จำเลยทั้งสิบสองซึ่งเป็นลูกจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างโดยมีสิทธิได้รับ ค่าชดเชยพิเศษตามมาตรา ๑๒๐ ซึ่งหากโจทก์ไม่พอใจคำสั่งดังกล่าวโจทก์ย่อมมีสิทธินำคดีไปสู่ศาลแรงงานได้ ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยตามมาตรา ๑๒๐ วรรคสี่ ปรากฏว่าโจทก์ได้รับแจ้งคำวินิจฉัย ของคณะกรรมการสวัสดิการแรงงานที่ .../๒๕๔๖ เมื่อวันที่...มกราคม ๒๕๔๖ แล้วโจทก์ไม่อุทธรณ์คำวินิจฉัย ดังกล่าวต่อศาลแรงงานกลางภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัย คำวินิจฉัยของคณะกรรมการ สวัสดิการแรงงานจึงเป็นที่สุดและย่อมผูกพันโจทก์ โจทก์หามีสิทธิที่จะยกประเด็นเรื่องการย้ายสถานประกอบ กิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่น อันมีผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้างหรือครอบครัว และ ประเด็นเรื่องจำเลยทั้งสิบสองใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างตามมาตรา ๑๒๐ วรรคห้า ซึ่งยุติไปแล้วในชั้น คณะกรรมการสวัสดิการแรงงานมาอ้างในชั้นนี้ได้ไม่ ดังนั้น เมื่อเป็นที่ยุติว่าโจทก์ย้ายสถานประกอบกิจการไป ตั้ง ณ สถานที่อื่น อันมีผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้างหรือครอบครัวและจำเลยทั้งสิบ สองมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างโดยมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษตามมาตรา ๑๒๐ การใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาจ้าง ของจำเลยทั้งสิบสองจึงเป็นการใช้สิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ ไม่อยู่ภายใต้บังคับประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๒ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๑๗ วรรคสอง และระเบียบของโจทก์ฉบับที่ ๒ เรื่อง การลา อันเป็นกฎหมายและระเบียบที่ใช้บังคับแก่การบอกเลิกสัญญา จ้างในกรณีทั่วไป ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสิบสอง สำนวนฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ๒๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๓๙๘/๒๕๔๖ เรื่อง นายจ้างมีสำนักงานใหญ่ที่คลองเตย โรงงานอยู่จังหวัดสมุทรปราการ นายจ้างย้าย สำนักงานไปรวมอยู่ที่โรงงาน ไม่ใช่การย้ายสถานประกอบกิจการตามมาตรา ๑๒๐ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างทำหน้าที่ผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงิน เดิมจำเลยมีสถานประกอบกิจการอยู่ที่เขตคลองเตย ต่อมาเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๓ จำเลยย้ายสถานประกอบ กิจการไปยังจังหวัดสมุทรปราการ โจทก์บอกเลิกสัญญาจ้างโดยการเขียนในลาออก โจทก์จึงมีสิทธิได้รับ ค่าชดเชยพิเศษไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของอัตราค่าชดเชยที่โจทก์มีสิทธิได้รับ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าการย้ายสถานประกอบกิจการมีผลกระทบต่อการดำรงชีพของโจทก์ พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยพิเศษจำนวน ๓๗,๕๐๐ บาท จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า ในกรณีที่นายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่นอันมีผลกระทบ ต่อการดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้างหรือครอบครัว และลูกจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้โดยได้รับค่าชดเชย พิเศษ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๐ นั้น ย่อมหมายถึง การที่นายจ้างย้าย สถานประกอบกิจการไปสถานที่อื่นหรือสถานที่แห่งใหม่ แต่มิได้หมายความรวมถึงสถานประกอบกิจการอื่นซึ่ง นายจ้างมีอยู่ก่อนแล้ว ทั้งนี้ เนื่องจากนายจ้างย่อมมีอำนาจในการบริหารงานที่จะสั่งให้ลูกจ้างไปทำงานใน
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๒ - สถานประกอบกิจการอื่นๆ ของนายจ้างตามความเหมาะสมได้ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงว่า ขณะที่โจทก์ ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลย จำเลยมีสถานที่ทำงาน ๒ แห่ง คือ สำนักงานตั้งอยู่ที่เขตคลองเตย และมีโรงงานอยู่ อำเภอพระประแดง การที่จำเลยย้ายสำนักงานจากเขตคลองเตย ไปรวมอยู่ที่โรงงานของจำเลยซึ่งอยู่อำเภอ พระประแดง เป็นกรณีที่นายจ้างสั่งย้ายลูกจ้างให้ไปทำงานที่สถานประกอบกิจการของนายจ้างอีกแห่งหนึ่งซึ่งมี อยู่แล้ว ไม่ใช่เป็นกรณีที่นายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๐ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษตามฟ้อง พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ๒๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๒๒๘/๒๕๔๕ เรื่อง นายจ้างสั่งปิดสำนักงานขายที่กรุงเทพ และย้ายพนักงานทั้งหมดไปทำงานที่หน่วยงาน จังหวัดภูเก็ต มิใช่การย้ายสถานประกอบกิจการตามมาตรา ๑๒๐ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยจ้างโจทก์เป็นพนักงานขาย โดยให้โจทก์ทำงานที่สำนักงานแผนกการขาย ณ โรงแรม A เขตบางรัก ต่อมาจำเลยย้ายสำนักงานแผนกการขายและให้โจทก์ไปทำงานที่สำนักงานแผนกการ ขายตั้งอยู่อาคาร B เขตปทุมวัน เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๔๒ จำเลยมีคำสั่งปิดสำนักงานแผนกการขายที่ อาคาร B โดยให้มีผลนับแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๓ พร้อมกับสั่งให้โจทก์ไปทำงานประจำที่สำนักงานแผนก การขายของจำเลยตั้งอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต แต่เนื่องจากโจทก์เป็นสตรียังไม่แต่งงานและมีภูมิลำเนาอยู่ใน กรุงเทพมหานคร คำสั่งของจำเลยที่ให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในต่างจังหวัดในทันทีโจทก์ไม่สามารถจัดการเรื่องที่อยู่ อาศัยใหม่และภารกิจในครอบครัวเดิมได้ทัน คำสั่งดังกล่าวจึงมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตตามปกติของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยพิเศษ ค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าเป็นการย้ายสถานที่ประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่นอันมี ผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติของโจทก์หรือครอบครัว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยพิเศษ ค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกา เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๐ เป็นบทบัญญัติ ยกเว้นพิเศษให้นายจ้างต้องมีความรับผิดมากขึ้นกว่าปกติโดยให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษและ ค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ดังนั้นจึงต้องแปลความโดยเคร่งครัด เมื่อพิเคราะห์ข้อความตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๐ ซึ่งบัญญัติว่า “ในกรณีที่นายจ้างย้าย สถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่น” ย่อมไม่หมายความรวมถึงสถานประกอบกิจการที่อื่นซึ่งนายจ้างมี อยู่ก่อนแล้ว ทั้งนี้เนื่องจากนายจ้างย่อมมีอำนาจในการบริหารงานที่จะสั่งให้ลูกจ้างไปทำงานในสถานประกอบ กิจการอื่น ๆ ของนายจ้างตามความเหมาะสมได้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีคำสั่งปิดสำนักงาน แผนกการขายที่กรุงเทพมหานครในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๓ และย้ายพนักงานขายทั้งหมดไปทำงานที่ หน่วยงานของจำเลยในจังหวัดภูเก็ต แม้ศาลแรงงานกลางมิได้ชี้ชัดว่าจำเลยมีสถานประกอบกิจการอยู่ที่จังหวัด ภูเก็ตอยู่ก่อนแล้วก็ตาม แต่ก็ได้ความชัดจากคำเบิกความของโจทก์ว่า โจทก์เคยถูกจำเลยสั่งให้ไปช่วยทำงานที่ สำนักงานของจำเลยสาขาภูเก็ตคราวละประมาณ ๑ เดือน ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยตั้งสถานประกอบกิจการ
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๓ - ขึ้นใหม่ที่จังหวัดภูเก็ต แสดงว่าขณะจำเลยสั่งย้ายโจทก์จำเลยมีสถานประกอบกิจการที่จังหวัดภูเก็ต อยู่ก่อนแล้ว จึงเป็นกรณีนายจ้างสั่งย้ายลูกจ้างให้ไปทำงานที่สถานประกอบกิจการของนายจ้างอีกแห่งหนึ่งที่มี อยู่แล้ว ไม่ใช่นายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการ ดังนั้น การที่จำเลยสั่งย้ายโจทก์ไปทำงานในสถานประกอบ กิจการของจำเลยที่จังหวัดภูเก็ตจึงไม่เป็นกรณีที่จำเลยย้ายสถานประกอบกิจการ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครอง แรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๐ โจทก์ไม่มีสิทธิได้ค่าชดเชยพิเศษและค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้า เมื่อได้วินิจฉัยดังกล่าวแล้วก็ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยข้ออื่นอีก เพราะไม่ทำให้ผลคดี เปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลแรงงานกลางให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยพิเศษและค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้าพร้อมดอกเบี้ยนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาอุทธรณ์จำเลยฟังขึ้น” พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลย ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษและค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ นอกจากที่ แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๔ - มาตรา ๗๕ หยุดกิจการชั่วคราว กรณีเข้าข่าย ๑ . คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๕๐๙/๒๕๕๙ (เข้าข่าย) เรื่อง นายจ้างมีโรงงานผลิตเครื่องเสียงติดรถยนต์ที่ชลบุรี โดยต้องสั่งซื้อชิ้นส่วนจากโรงงาน ซึ่งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดปทุมธานี แต่นิคมอุตสาหกรรมดังกล่าว เกิดอุทกภัยน้ำท่วมจนไม่สามารถประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนส่งนายจ้างได้นายจ้างจึงต้องหยุดกิจการ ชั่วคราวบางส่วนเฉพาะลูกจ้างในแผนกผลิต ถือได้ว่าเป็นกรณีมีความจำเป็นตามมาตรา ๗๕ คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างฟ้องให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ .../ ๒๕๕๕ ลงวันที่ .. เมษายน ๒๕๕๕ กรณีที่พนักงานตรวจแรงงาน จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ค่าจ้างส่วนที่ขาดร้อยละ ๒๕ ให้แก่ลูกจ้าง เนื่องจากหยุดงานไม่ชอบด้วยมาตรา ๗๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นการเลือก ปฏิบัติต่อลูกจ้าง โจทก์ไม่เห็นด้วย ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์ประกอบกิจการผลิตเครื่องเสียงติดรถยนต์อยู่ที่ จังหวัดชลบุรี โดยต้องสั่งซื้อชิ้นส่วนจากโรงงานซึ่งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัด ปทุมธานี ปรากฏว่านิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวเกิดอุทกภัยน้ำท่วมจนไม่สามารถประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วน ส่งโจทก์ได้ อุทกภัยน้ำท่วมเป็นเหตุสุดวิสัย ดังนั้น การส่งชิ้นส่วนให้โจทก์จึงเป็นการสุดวิสัยเช่นกัน โจทก์จึงต้องหยุดกิจการชั่วคราว กล่าวคือ วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๔ โจทก์ประกาศหยุดการผลิตระหว่างวันที่ ๒๗ ตุลาคม – ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โดยแจ้งพนักงานตรวจแรงงานวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ ต่อมาวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โจทก์ประกาศขยายระยะเวลาหยุดชั่วคราวตั้งแต่วันที่ ๗ – ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โดยแจ้งพนักงานตรวจแรงงานทราบวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ต่อมาวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โจทก์ได้ ประกาศขยายการหยุดการผลิตชั่วคราวเพิ่มวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน – ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ โดยแจ้งพนักงาน ตรวจแรงงานวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โจทก์จ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างในอัตราร้อยละ ๗๕ ของค่าจ้าง เห็นได้ว่าโจทก์ประกาศหยุดกิจการชั่วคราวดังกล่าวเนื่องจากเหตุสุดวิสัย โจทก์จึงไม่จำต้องแจ้งล่วงหน้าให้ ลูกจ้างและพนักงานตรวจแรงงานทราบก่อนหยุดไม่น้อยกว่า ๓ วันทำการ ตามมาตรา ๗๕ การที่โจทก์ให้ พนักงานประกอบเครื่องเสียงหยุดกิจการชั่วคราวถือว่าโจทก์ได้ใช้วิถีทางน้อยที่สุดเพื่อรักษาคุณภาพ ประสิทธิภาพและชื่อเสียงทางการค้าของโจทก์ คำสั่งพนักงานตรวจแรงงานย่อมไม่ชอบ พิพากษาให้เพิกถอน คำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า มาตรา ๗๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มิได้บัญญัติไว้ว่า เหตุสุดวิสัยที่เป็นเหตุให้นายจ้างต้องหยุดกิจการนั้นจักต้องรุนแรงถึงขนาดให้นายจ้างไม่สามารถประกอบ กิจการตามปกติได้โดยสิ้นเชิงเท่านั้นแต่อย่างใด โดยเพียงแต่บัญญัติไว้ว่าหากมีความจำเป็นโดยเหตุสำคัญอันมี ผลกระทบต่อการประกอบกิจการของนายจ้างจนไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกตินั้น นายจ้างก็อาจหยุด กิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราวได้ สำหรับคดีนี้เมื่อปรากฏว่าโจทก์ประกาศหยุดกิจการชั่วคราว กับลูกจ้างบางส่วนเฉพาะในแผนกผลิตเครื่องเสียงติดรถยนต์ยี่ห้ออื่นๆ โดยมูลเหตุสืบเนื่องมาจากโรงงานผู้ผลิต
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๕ - ชิ้นส่วนที่โจทก์ต้องสั่งซื้อเพื่อนำมาประกอบกิจการผลิตเครื่องเสียงติดรถยนต์ประสบเหตุอุทกภัยน้ำท่วม ไม่สามารถประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนส่งโจทก์ได้ซึ่งเหตุดังกล่าวนั้นย่อมมีผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจใน กิจการโจทก์ การที่โจทก์หยุดกิจการผลิตบางส่วนชั่วคราวย่อมถือได้ว่าเป็นกรณีมีความจำเป็นตามบทบัญญัติ ดังกล่าวข้างต้นแล้ว พิพากษายืน ๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๘๗๙ - ๙๘๘๑/๒๕๕๗ (เข้าข่าย) เรื่อง การแจ้งการหยุดกิจการชั่วคราวตามมาตรา ๗๕ : นายจ้างแจ้งหยุดงานวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ โดยให้ลูกจ้างไม่ต้องมาทำงานในวันที่ ๒๓ – ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ แต่ได้รับค่าจ้าง ตามปกติ และเริ่มจ่ายค่าจ้างร้อยละ ๗๕ ของค่าจ้างปกติตั้งแต่วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ถือว่าแจ้ง การหยุดชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์ฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด สมุทรปราการที่มีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าจ้างส่วนที่ขาดให้แก่ลูกจ้างที่โจทก์สั่งหยุดงาน เนื่องจากโจทก์เห็นว่า การหยุดกิจการชั่วคราวของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยให้การว่าโจทก์เลือกปฏิบัติโดยให้ลูกจ้างทั้ง ๓๒ คน หยุดงานเฉพาะบุคคลจึงไม่จำเป็นตามมาตรา ๗๕ และโจทก์ไม่แจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานตรวจแรงงาน ทราบล่วงหน้าก่อน ๓ วัน ประกาศหยุดงานจึงไม่ชอบ ศาลแรงงานกลางพิพากษาเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์แจ้งหยุดงานวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ โดยให้ลูกจ้างไม่ต้องมา ทำงานในวันที่ ๒๓ – ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ แต่ได้รับค่าจ้างตามปกติ และเริ่มจ่ายค่าจ้างร้อยละ ๗๕ ของค่าจ้างปกติ ในวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ นั้น ถือได้ว่าวันที่ ๒๓ – ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ โจทก์ยังไม่ได้ หยุดกิจการชั่วคราวตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง เนื่องจากโจทก์ ได้จ่ายค่าจ้างตามปกติแต่ไม่ให้ลูกจ้างมาทำงานเท่านั้น โจทก์จึงเริ่มหยุดกิจการชั่วคราวตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง ตั้งแต่วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ซึ่งเป็นวันที่จ่ายค่าจ้างตามอัตราร้อยละ ๗๕ ของค่าจ้างตามปกติ ตามบทบัญญัติดังกล่าวเท่านั้น จึงถือว่าโจทก์แจ้งการหยุดกิจการชั่วคราวตั้งแต่วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ – ๒๕ กุมภาพันธ์๒๕๕๒ รวมเป็นเวลาสามวันทำการแล้ว การแจ้งการหยุดกิจการชั่วคราวจึงชอบด้วยกฎหมาย ในส่วนการอุทธรณ์ในประเด็นว่าการหยุดกิจการชั่วคราวของโจทก์ไม่มีเหตุจำเป็นเนื่องจาก ปัญหาลูกค้าสั่งซื้อสินค้าน้อยลงและจำนวนพนักงานมากกว่างานเกิดจากสภาวะเศรษฐกิจที่โจทก์สามารถ คาดการณ์ได้นั้น อุทธรณ์ของจำเลยเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๖ - ๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๒๖๔-๑๕๔๓๑/๒๕๕๖ (เข้าข่าย) เรื่อง นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากมีความจำเป็นต้องปรับลดองค์กรเนื่องจากได้รับ ความเสียหายอย่างร้ายแรงจากอุทกภัยปี ๒๕๕๔ ถือเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม โจทก์ทั้ง ๑๘๖ คน ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโดยอ้างว่าจำเป็นต้องลดองค์กรเนื่องจากได้รับความ เสียหายอย่างร้ายแรงจากอุทกภัย เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ โรงงานของจำเลยที่นิคมอุตสาหกรรมนวนครจำนวน ๔ โรงงานและจังหวัด พระนครศรีอยุธยาประสบภาวะน้ำท่วมเป็นเหตุให้จำเลยไม่สามารถประกอบกิจการได้ สูญเสียลูกค้าโดย ยอดขายในแต่ละเดือนลดลงอย่างมาก ขณะเกิดปัญหาจำเลยได้หยุดกิจการชั่วคราวโดยจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง ร้อยละ ๗๕ ของค่าจ้างตามมาตรา ๗๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ยังไม่ได้เลิกจ้าง ลูกจ้างทันที และจำเลยมีโครงการให้ลูกจ้างสมัครใจลาออกซึ่งต้องลดจำนวนลูกจ้างลง ๘,๐๐๐ คน แต่มีลูกจ้าง เข้าร่วมโครงการ ๔,๒๓๙ คน จึงจำเป็นต้องเลิกจ้างลูกจ้างเพิ่มเติม จำเลยกำหนดหลักเกณฑ์โดยพิจารณาจาก ผลการปฏิบัติงานที่ผ่านมาประกอบกับอายุงานของลูกจ้างเป็นสำคัญ มิได้เลือกปฏิบัติ โจทก์ทั้ง ๑๘๖ คน ได้เกรดบี ซี ดี ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่จะต้องถูกเลิกจ้าง การเลิกจ้างโจทก์กับพวกจึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุจำเป็น และสมควรเพียงพอแล้ว ไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๐๐๑-๓๐๕๑/๒๕๕๕ (เข้าข่าย) เรื่อง หยุดกิจการชั่วคราวเนื่องจากเกิดเหตุไฟไหม้แผนกผสมวัตถุดิบโดยไม่ปรากฏว่า นายจ้างประมาทเลินเล่อ นายจ้างอ้างหยุดกิจการชั่วคราวตามมาตรา ๗๕ ได้ จำเลยจ้างโจทก์ทั้ง ๕๒ ราย เป็นลูกจ้าง เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๐ เกิดเพลิงไหม้ที่แผนกผสม วัตถุดิบหรือแบนบูรี่ซึ่งเป็นส่วนเริ่มต้นกระบวนการผลิต ทำให้เครื่องผสมวัตถุดิบ ส่วนควบคุมและระบบไฟฟ้า ถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหมด ส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตของโรงงาน ทำให้จำเลยไม่สามารถดำเนินการ ผลิตสินค้าได้และประกาศหยุดกิจการบางส่วน โดยหยุดกิจการชั่วคราวระหว่างวันที่ ๑๓ มีนาคม ถึงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ทำให้โจทก์ซึ่งอยู่ฝ่ายผลิตทั้งหมดต้องหยุดงานชั่วคราว จำเลยจ่ายค่าจ้างแกโจทก์ร้อยละ ๗๕ ของค่าจ้างที่โจทก์ได้รับก่อนหยุดกิจการสำหรับการหยุดใน ๓ วันแรกของเดือน และร้อยละ ๕๐ สำหรับการหยุด ตั้งแต่วันที่ ๔ เป็นต้นไปตลอดระยะเวลาที่จำเลยไม่ได้ให้โจทก์ทำงาน ส่วนปัญหาว่าจำเลยกระทำโดยประมาท เลินเล่อเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไม้โรงงานนั้น เห็นว่า จำเลยมีมาตรการด้านความปลอดภัยและแผนป้องกันอัคคีภัย อยู่หลายประการ นอกจากนั้นจำเลยได้จัดให้มีชุดเฝ้าระวังเหตุฉุกเฉินในวันที่ ๒ และ ๓ มีนาคม ๒๕๕๐ และไม่ได้ประกาศเปลี่ยนแปลงยกเลิกชุดเฝ้าระวังเหตุฉุกเฉินนั้นแต่อย่างใด อีกทั้งกองพิสูจน์หลักฐานสำนักงาน ตำรวจแห่งชาติก็ไม่สามารถยืนยันถึงสาเหตุเพลิงไหม้ได้จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเลินเล่อ จนเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้โรงงาน ดังนั้นจำเลยจึงอ้างเหตุดังกล่าวเพื่อหยุดกิจการชั่วคราวตามพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๕ ได้
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๗ - ๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๙๔๙/๒๕๕๐ (เข้าข่าย) เรื่อง นายจ้างขาดทุนสะสมถึง ๑๑๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท ไม่มีคำสั่งซื้อและสินค้าจำหน่ายไม่ได้ การที่นายจ้างสั่งสินค้าจากประเทศจีนมาจำหน่ายก็เพราะมีราคาต่ำกว่าต้นทุนการผลิต อันเป็นวิธีการ แก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจไม่ใช่เปลี่ยนประเภทกิจการ กรณีมีความจำเป็นต้องหยุดกิจการ ชั่วคราวตามมาตรา ๗๕ ได้ คดีนี้โจทก์ฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จังหวัดสมุทรสาครกรณีที่มีคำสั่งที่ .../๒๕๔๗ ลงวันที่ ........ ๒๕๔๗ ให้โจทก์จ่ายค่าจ้างและค่าครองชีพอีก ร้อยละ ๕๐ ให้แก่ลูกจ้าง ๘ คน โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าวเนื่องจากโจทก์ปิดกิจการชั่วคราว ในระหว่างเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๖ จนถึงเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๗ เพราะไม่มีการสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้า สินค้า ไม่เป็นที่ต้องการของลูกค้าเนื่องจากราคาสูง ในการที่โจทก์สั่งปิดกิจการชั่วคราวโจทก์ก็ได้แจ้งต่อพนักงาน ตรวจแรงงานทราบแล้ว จำเลยให้การโจทก์ไม่ได้มีการปิดกิจการชั่วคราวโจทก์เปิดกิจการตลอดเวลาแต่ได้ ว่าจ้างบุคคลภายนอกมาทำงานและจ้างลูกจ้างรายเหมาทำงานแทนลูกจ้างรายวัน รวมทั้งโจทก์ได้สั่งซื้อสินค้า จากต่างประเทศมาขายแทน ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกา เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง ให้สิทธิแก่ นายจ้างที่ประสบวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจสามารถหยุดดำเนินกิจการไว้ชั่วคราวเพื่อให้โอกาสแก้ไข วิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นให้หมดสิ้นไปหรือบรรเทาลงได้ปรากฏข้อเท็จจริงรับกันว่าในระหว่างหยุดกิจการชั่วคราว โจทก์ผลิตสินค้าบางส่วนเพราะมีวัตถุดิบเหลืออยู่ เมื่อวัตถุดิบหมดก็หยุดผลิต และปรากฏตามงบการเงินของ โจทก์และหมายเหตุประกอบงบการเงิน โจทก์ขาดทุนสะสม ๑๑๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท มีวัตถุดิบคงเหลือ ๓๐,๘๐๐,๐๐๐ บาท งานระหว่างทำ ๑๖,๗๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์เจรจากับเจ้าหนี้เงินกู้ระยะยาวเพื่อหา แนวทางการขายกิจการและจ่ายคืนเงินกู้ แสดงว่าแม้โจทก์จะมีการผลิตระหว่างวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ ถึงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๖ แล้ว โจทก์ก็ยังคงมีวัตถุดิบคงเหลือและงานระหว่างทำ (สินค้าที่อยู่ระหว่าง การผลิต) เหลืออยู่อีก การผลิตของโจทก์ในช่วงที่หยุดกิจการชั่วคราว จึงเป็นไปเพื่อไม่ให้วัตถุดิบและงาน ระหว่างทำเสียเปล่าทั้งยังมีรายรับเข้าสู่กิจการ เป็นการบรรเทาวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจทางหนึ่ง โจทก์ ประกอบกิจการผลิตลวดเหล็ก ลวดผูกเหล็ก ลวดหนาม ลวดชุบสังกะสี ตะแกรงเหล็กเสริมคอนกรีต ลวดตา ข่ายทุกชนิด ไม่ได้ประกอบกิจการประเภทซื้อมา-ขายไป การที่โจทก์สั่งสินค้าจากประเทศสาธารณรัฐ ประชาชนจีนมาจำหน่ายก็เพราะมีราคาต่ำกว่าต้นทุนการผลิตของโจทก์ เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ ทางเศรษฐกิจไม่ใช่โจทก์เปลี่ยนประเภทกิจการ การพิจารณาว่าโจทก์จำเป็นต้องหยุดกิจการหรือไม่ ต้องพิจารณาจากการประกอบกิจการผลิตของโจทก์ เมื่อปรากฏว่าโจทก์ขาดทุนสะสมถึง ๑๑๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท เกินกว่าทุนจดทะเบียนที่มีเพียง ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ไม่มีคำสั่งซื้อและสินค้าที่ผลิตจำหน่ายไม่ได้จนโจทก์ต้อง หาทางขายกิจการเพื่อนำเงินมาจ่ายคืนให้เจ้าหนี้จึงเป็นกรณีโจทก์มีความจำเป็นต้องหยุดกิจการผลิตทั้งหมด หรือบางส่วนเป็นการชั่วคราวโดยเหตุที่มิใช่เหตุสุดวิสัยตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง โจทก์จึงชอบที่จะจ่ายเงิน
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๘ - ให้แก่ลูกจ้างร้อยละ ๕๐ ของค่าจ้างในวันทำงานที่ลูกจ้างได้รับก่อนโจทก์หยุดกิจการตลอดระยะเวลาที่โจทก์ ไม่ได้ให้ลูกจ้างทำงานได้ พิพากษายืน ๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๐๗๘-๖๑๙๙/๒๕๔๙ (เข้าข่าย) เรื่อง นายจ้างประกอบกิจการผลิตเครื่องหนังเครื่องหมายการค้าต่างประเทศ ผลิตตามคำสั่ง ซื้อต้องรอวัตถุดิบต่างประเทศ ส่งผลกระทบอย่างมาก จึงต้องปิดโรงงานบางส่วน ย่อมถือได้ว่าเป็นการ หยุดกิจการชั่วคราวตามมาตรา ๗๕ คดีนี้โจทก์ทั้ง ๑๒๒ สำนวนฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อย ละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยสั่งให้โจทก์แต่ละคนหยุดงานจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์กับพวกอุทธรณ์ ศาลฎีกา เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง เป็นบทบัญญัติที่ต้องการคุ้มครองนายจ้างในกรณีที่นายจ้างประสบปัญหาในการดำเนินกิจการ มีความ จำเป็นต้องหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราว โดยนายจ้างยังมีความประสงค์จะประกอบ กิจการของตนต่อไปอีก เพื่อบรรเทาค่าใช้จ่ายของนายจ้าง จึงให้นายจ้างรับภาระจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างใน ระหว่างการหยุดงานเพียงไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของค่าจ้างโดยไม่จำต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างเต็มจำนวนใน ระหว่างที่หยุดกิจการนั้น ขณะเดียวกันก็ถือว่าเป็นบทบัญญัติที่คุ้มครองประโยชน์ลูกจ้างด้วย ซึ่งหากไม่มี บทบัญญัติดังกล่าวนายจ้างอาจไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายในด้านแรงงานทั้งหมดได้ จำเป็นต้องเลิกจ้าง ลูกจ้าง ก็จะทำให้ลูกจ้างไม่มีงานทำ ขาดรายได้และได้รับความเดือดร้อน สำหรับความจำเป็นของนายจ้างที่ จะยกขึ้นอ้างเพื่อให้ได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติดังกล่าวนี้จะต้องมีความจำเป็นที่สำคัญอันจะมี ผลกระทบต่อการประกอบกิจการของนายจ้างอย่างมากทำให้นายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการตามปกติได้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยผลิตกระเป๋าโดยไม่มีเครื่องหมายการค้าเป็นของจำเลยเอง แต่ผลิตตามคำสั่งซื้อ ของผู้ซื้อจากต่างประเทศ เครื่องหนังและผ้าที่ใช้ในการผลิตกระเป๋าส่วนมากจะมีตราเครื่องหมายการค้า ของผู้สั่งซื้อสินค้าติดอยู่ ซึ่งต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ แสดงว่าถ้าไม่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศจำเลยก็ไม่ได้ ผลิตสินค้า แต่ถ้ามีคำสั่งซื้อเข้ามาจำเลยก็ต้องสั่งวัตถุดิบจากต่างประเทศเพื่อนำมาผลิตสินค้าตามความประสงค์ ของผู้สั่งซื้อ โดยไม่อาจสั่งวัตถุดิบเตรียมไว้ล่วงหน้าได้เพราะไม่รู้ว่าการสั่งซื้อในแต่ละครั้ง ผู้สั่งซื้อจะสั่งให้ผลิต สินค้าในรูปแบบใด เป็นจำนวนเท่าใด ซึ่งอาจไม่ใช่สินค้าแบบที่เคยสั่งซื้อก็ได้ ปรากฏว่านับแต่ปี ๒๕๔๗ เป็นต้นมาจำเลยประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ทำให้ต้องปิดโรงงานผลิตไปบางส่วน มีคำสั่งซื้อสินค้าน้อยลงและ ขาดช่วงหรือบางครั้งก็มีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างกะทันหันทำให้เกิดมีช่วงเวลาที่ต้องรอวัตถุดิบในการผลิตส่งผลให้ ไม่มีงานให้ลูกจ้างทำในขั้นตอนแรก ๆ ของการผลิต และมีผลไปถึงขั้นตอนต่อไปของการผลิตด้วย ดังนั้น การที่ จำเลยหยุดกิจการบางส่วนแล้วสั่งให้โจทก์ทั้ง ๑๒๒ คน หยุดงานเป็นการชั่วคราว โดยไม่ได้เลือกปฏิบัติ เพื่อรอ วัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิตสินค้าดังเหตุผลที่กล่าวมา จึงเป็นความจำเป็นที่สำคัญอันจะมีผลกระทบ