The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ฎีกา-สัญญาประนีประนอมยอมความ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ฎีกา-สัญญาประนีประนอมยอมความ

ฎีกา-สัญญาประนีประนอมยอมความ

จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๑ - ค ำพิพำกษำศำลฎีกำ เกี่ยวกับประนีประนอมยอมควำม


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๒ - ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑. ค ำพิพำกษำศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษ ที่ ๑๑๐๙/๒๕๖๑ เรื่อง นำยจ้ำงแบ่งจ่ำยค่ำชดเชยให้แก่ลูกจ้ำง ขณะที่แบ่งจ่ำยค่ำชดเชยดังกล่ำว ไม่ปรำกฏ ข้อเท็จจริงว่ำลูกจ้ำงตกลงยอมรับค่ำชดเชยตำมจ ำนวนที่ระบุในหนังสือเลิกจ้ำง กำรที่ลูกจ้ำงยังคงพัก อำศัยอยู่บ้ำนของนำยจ้ำงเพื่อรอกำรแบ่งจ่ำยค่ำชดเชย ยังไม่ถือว่ำลูกจ้ำงยอมรับค่ำชดเชยตำมจ ำนวน ดังกล่ ำวโดยไม่ติดใจเรียก ร้อง ค่ำช ดเชยห รือสิทธิประโยชน์ใดๆ อีก จึงไม่เข้ำลักษณ ะเป็นสัญญำ ประนีประนอมยอมควำมตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ ๘๕๐ ลูกจ้ำงจึงยังคงมีสิทธิ เรียกร้องค่ำชดเชยหรือสิทธิประโยชน์ใดๆ ตำมกฎหมำยส่วนที่ยังขำดได้อีก คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลสัญชาติสิงคโปร์ฟ้องว่า จ าเลยที่ ๑ จ้างโจทก์เป็นลูกจ้างต าแหน่งผู้จัดการ ฝ่ายการตลาด เริ่มท างานวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ ค่าจ้าง ๖,๕๐๐ เหรียญ สิงคโปร์ คิดเป็นเงินไทย ๑๒๑,๐๙๓.๕๐ บาท และค่าเดินทางเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท ต่อมาโจทก์ได้เลื่อนเงินเดือนเป็น ๒๔๒,๘๕๕ บาท วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๘ จ าเลยมีหนังสือแจ้งหักเงินค่าจ้างโจทก์ลงร้อยละ ๓๐ เป็นเงิน ๗๒,๘๕๖.๕๐ บาท อ้างเหตุประสบภาวะเศรษฐกิจและขาดทุน ท าให้โจทก์ได้รับค่าจ้างเหลือเดือนละ ๑๖๙,๙๙๘.๕๐ บาท ต่อมา วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๙ จ าเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีเหตุอันสมควร ขอบังคับให้จ าเลยจ่ายค่าจ้างที่หัก ไปร้อยละ ๓๐ จ านวน ๑๓ เดือน สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๒ เดือน ค่าชดเชย ๓๐๐ วัน เป็นเงิน ๒,๔๒๘,๕๕๐ บาท (ใช้ฐานก่อนถูกลดค่าจ้าง) ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย และเงินเพิ่ม จ าเลยให้การว่า เลิกจ้างโจทก์โดยจ าเลยเสนอค่าชดเชยให้โจทก์ ๑๒ เดือน แบ่งจ่ายเป็นงวด งวดละ ๕๔,๕๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๖๕๔,๐๐๐ บาท โจทก์ยินยอมรับค่าชดเชยดังกล่าว ศา ลแ รงง านภ าค ๒ พิ จา รณา แล้ วเห็น ว่า ใน กา รป รับลดค่า จ้างโจทก์เหลือเดือน ล ะ ๑๖๙,๙๙๘.๕๐ บาท ไม่ปรากฏว่าในขณะนั้นโจทก์ได้โต้แย้งหรือไม่ยินยอมแต่ประการใด ส่วนที่จ าเลยที่ ๑ น าสืบว่าโจทก์ถูกปรับลดค่าจ้างเหลือเดือนละ ๔๕,๐๐๐ บาท จ าเลยที่ ๑ ไม่มีหลักฐานใดมาแสดง ข้อเท็จจริง จึงฟังได้ว่าโจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายก่อนถูกเลิกจ้างเดือนละ ๑๖๙,๙๙๘.๕๐ บาท พิพากษาให้จ าเลยจ่าย ค่าชดเชย ๘๘๒,๔๘๕ บาท พร้อมดอกเบี้ย นับแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๙ และสินจ้างแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้า ๑๘๖,๙๙๘.๓๕ บาท นับแต่วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จ ยกฟ้อง จ าเลยที่ ๒ – ๖ ค าขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จ าเลยที่ ๑ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษเห็นว่า หนังสือเลิกจ้างโจทก์ระบุว่าจ าเลยที่ ๑ จะจ่ายค่าชดเชย ให้แก่โจทก์เป็นงวด งวดละ ๕๔,๕๐๐ บาท ทุกวันที่ ๑๕ ของเดือนกันยายน ตุลาคม พฤศจิกายน เมื่อโจทก์ ส่งมอบลูกค้าเก่าให้แก่จ าเลยที่ ๑ เรียบร้อยแล้ว จ าเลยที่ ๑ จะจ่ายเงินก้อนที่เหลือในวันที่ ๒๕ ธันวาคม รวมเป็น เงิน ๖๕๔,๐๐๐ บ าท หลังจา กนั้น จ า เลยที่ ๑ ได้โอน เงิน เข้า บัญ ชีธนา คา รโจทก์เป็น เงิน ๘๑๗,๕๐๐ บาท ขณะที่จ าเลยที่ ๑ แบ่งจ่ายค่าชดเชยดังกล่าว ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ตกลงยอมรับ ค่าชดเชยตามจ านวนที่จ าเลยที่ ๑ ระบุในหนังสือเลิกจ้างโดยไม่ติดใจเรียกร้องค่าชดเชยหรือสิทธิประโยชน์ใดๆ


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๓ - จากจ าเลยที่ ๑ อีก การที่โจทก์ยังคงพักอาศัยอยู่บ้านของจ าเลยที่ ๑ เพื่อรอการแบ่งจ่ายค่าชดเชย ยังไม่ถือว่า โจทก์ยอมรับค่าชดเชยตามจ านวนดังกล่าวโดยไม่ติดใจเรียกร้องค่าชดเชยหรือสิทธิประโยชน์ใดๆ จากจ าเลย ที่ ๑ อีก จึงไม่เข้าลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๐ โจทก์จึงยังคงมีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยหรือสิทธิประโยชน์ใดๆ ตามกฎหมายส่วนที่ยังขาดได้อีก การที่ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษาให้จ าเลยที่ ๑ จ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ตามกฎหมายโดยหักค่าชดเชยที่โจทก์ ได้รับบางส่วนแล้ว จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๒. ค ำพิพำกษำศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษ ที่ ๑๑๐๙/๒๕๖๑ เรื่อง นำยจ้ำงแบ่งจ่ำยค่ำชดเชยให้แก่ลูกจ้ำง ขณะที่แบ่งจ่ำยค่ำชดเชยดังกล่ำว ไม่ปรำกฏ ข้อเท็จจริงว่ำลูกจ้ำงตกลงยอมรับค่ำชดเชยตำมจ ำนวนที่ระบุในหนังสือเลิกจ้ำง กำรที่ลูกจ้ำงยังคงพัก อำศัยอยู่บ้ำนของนำยจ้ำงเพื่อรอกำรแบ่งจ่ำยค่ำชดเชย ยังไม่ถือว่ำลูกจ้ำงยอมรับค่ำชดเชยตำมจ ำนวน ดังกล่ ำวโดยไม่ติดใจเรียก ร้อง ค่ำช ดเชยห รือสิทธิประโยชน์ใดๆ อีก จึงไม่เข้ำลักษณ ะเป็นสัญญำ ประนีประนอมยอมควำมตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ ๘๕๐ ลูกจ้ำงจึงยังคงมีสิทธิ เรียกร้องค่ำชดเชยหรือสิทธิประโยชน์ใดๆ ตำมกฎหมำยส่วนที่ยังขำดได้อีก คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลสัญชาติสิงคโปร์ฟ้องว่า จ าเลยที่ ๑ จ้างโจทก์เป็นลูกจ้างต าแหน่งผู้จัดการ ฝ่ายการตลาด เริ่มท างานวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ ค่าจ้าง ๖,๕๐๐ เหรียญ สิงคโปร์ คิดเป็นเงินไทย ๑๒๑,๐๙๓.๕๐ บาท และค่าเดินทางเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท ต่อมาโจทก์ได้เลื่อนเงินเดือนเป็น ๒๔๒,๘๕๕ บาท วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๘ จ าเลยมีหนังสือแจ้งหักเงินค่าจ้างโจทก์ลงร้อยละ ๓๐ เป็นเงิน ๗๒,๘๕๖.๕๐ บาท อ้างเหตุประสบภาวะเศรษฐกิจและขาดทุน ท าให้โจทก์ได้รับค่าจ้างเหลือเดือนละ ๑๖๙,๙๙๘.๕๐ บาท ต่อมา วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๙ จ าเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีเหตุอันสมควร ขอบังคับให้จ าเลยจ่ายค่าจ้างที่หัก ไปร้อยละ ๓๐ จ านวน ๑๓ เดือน สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๒ เดือน ค่าชดเชย ๓๐๐ วัน เป็นเงิน ๒,๔๒๘,๕๕๐ บาท (ใช้ฐานก่อนถูกลดค่าจ้าง) ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อม ดอกเบี้ย และเงินเพิ่ม จ าเลยให้การว่า เลิกจ้างโจทก์โดยจ าเลยเสนอค่าชดเชยให้โจทก์ ๑๒ เดือน แบ่งจ่ายเป็นงวด งวดละ ๕๔,๕๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๖๕๔,๐๐๐ บาท โจทก์ยินยอมรับค่าชดเชยดังกล่าว ศา ลแ รงง านภ าค ๒ พิ จา รณา แล้ วเห็น ว่า ใน กา รป รับลดค่า จ้างโจทก์เหลือเดือน ล ะ ๑๖๙,๙๙๘.๕๐ บาท ไม่ปรากฏว่าในขณะนั้นโจทก์ได้โต้แย้งหรือไม่ยินยอมแต่ประการใด ส่วนที่จ าเลยที่ ๑ น าสืบว่าโจทก์ถูกปรับลดค่าจ้างเหลือเดือนละ ๔๕,๐๐๐ บาท จ าเลยที่ ๑ ไม่มีหลักฐานใดมาแสดง ข้อเท็จจริง จึงฟังได้ว่าโจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายก่อนถูกเลิกจ้างเดือนละ ๑๖๙,๙๙๘.๕๐ บาท พิพากษาให้จ าเลยจ่าย ค่าชดเชย ๘๘๒,๔๘๕ บาท พร้อมดอกเบี้ย นับแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๙ และสินจ้างแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้า ๑๘๖,๙๙๘.๓๕ บาท นับแต่วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะช าระเสร็จ ยกฟ้อง จ าเลยที่ ๒ – ๖ ค าขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จ าเลยที่ ๑ อุทธรณ์


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๔ - ศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษเห็นว่า หนังสือเลิกจ้างโจทก์ระบุว่าจ าเลยที่ ๑ จะจ่ายค่าชดเชย ให้แก่โจทก์เป็นงวด งวดละ ๕๔,๕๐๐ บาท ทุกวันที่ ๑๕ ของเดือนกันยายน ตุลาคม พฤศจิกายน เมื่อโจทก์ ส่งมอบลูกค้าเก่าให้แก่จ าเลยที่ ๑ เรียบร้อยแล้ว จ าเลยที่ ๑ จะจ่ายเงินก้อนที่เหลือในวันที่ ๒๕ ธันวาคม รวมเป็น เงิน ๖๕๔,๐๐๐ บ าท หลังจา กนั้น จ า เลยที่ ๑ ได้โอน เงิน เข้า บัญ ชีธนา คา รโจทก์เป็น เงิน ๘๑๗,๕๐๐ บาท ขณะที่จ าเลยที่ ๑ แบ่งจ่ายค่าชดเชยดังกล่าว ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ตกลงยอมรับ ค่าชดเชยตามจ านวนที่จ าเลยที่ ๑ ระบุในหนังสือเลิกจ้างโดยไม่ติดใจเรียกร้องค่าชดเชยหรือสิทธิประโยชน์ใดๆ จากจ าเลยที่ ๑ อีก การที่โจทก์ยังคงพักอาศัยอยู่บ้านของจ าเลยที่ ๑ เพื่อรอการแบ่งจ่ายค่าชดเชย ยังไม่ถือว่า โจทก์ยอมรับค่าชดเชยตามจ านวนดังกล่าวโดยไม่ติดใจเรียกร้องค่าชดเชยหรือสิทธิประโยชน์ใดๆ จากจ าเลย ที่ ๑ อีก จึงไม่เข้าลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๐ โจทก์จึงยังคงมีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยหรือสิทธิประโยชน์ใดๆ ตามกฎหมายส่วนที่ยังขาดได้อีก การที่ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษาให้จ าเลยที่ ๑ จ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ตามกฎหมายโดยหักค่าชดเชยที่โจทก์ ได้รับบางส่วนแล้ว จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๓. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำ ที่ ๑๒๒๖ – ๑๒๒๙/๒๕๖๑ เรื่อง แม้ลูกจ้ำงลงลำยมือชื่อสละสิทธิเรียกร้องในขณะที่นำยจ้ำงเลิกจ้ำง แต่ลูกจ้ำงย่อมมี อิสระในกำรตัดสินใจว่ำจะรับเงินตำมสัญญำและสละสิทธิเรียกร้องอื่นใดอันมีอีกต่อไป หรือจะไม่รับเงิน ดังกล่ำวแล้วไปฟ้องร้องตำมสิทธิในภำยหลัง ข้อตกลงดังกล่ำวจึงมีลักษณะเป็นสัญญำประนีประนอม ยอมควำม ไม่ขัดต่อกฎหมำย ลูกจ้ำงจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินโบนัส คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจ าเลย ต่อมาวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ จ าเลยเลิกจ้างโจทก์ ทั้งสี่อ้างว่ามีความจ าเป็นต้องปรับลดขนาดองค์กรเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ประกอบธุรกิจในปัจจุบัน โดยไม่จ่ายโบนัสตามสิทธิ เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม จ าเลยให้การว่าโจทก์ได้ลงลายมือชื่อสละสิทธิเรียกร้อง เงินใดๆ ในหนังสือเลิกจ้าง ก ารเลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่มิใช่กา รเลิกจ้ างที่ไม่เป็นธรรม ศาลแรงงานภ าค ๒ พิจารณาแล้วพิพากษาให้จ าเลยจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์ที่ ๑ – ๔ พร้อมดอกเบี้ย ค าขออื่นให้ยก จ าเลย อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ทั้งสี่ลงลายมือชื่อรับทราบในหนังสือเลิกจ้างโดยสละสิทธิในการรับเงินใดๆ จากจ าเลย โดยหนังสือดังกล่าวระบุว่าจ าเลยขอยกเลิกสัญญาจ้างและตกลงจ่ายเงินค่าบอกกล่าว ๑ งวด การจ้างและค่าชดเชยให้แก่โจทก์แต่ละคน และตอนท้ายในหนังสือระบุว่าโจทก์แต่ละคนขอสละสิท ธิเรียกร้อง ใดๆ อันอาจมีอีกต่อไปทั้งสิ้น ดังนี้ แม้โจทก์ลงลายมือชื่อสละสิทธิเรียกร้องในขณะที่จ าเลยเลิกจ้างโจทก์ แต่โจทก์มีอิสระใน การตัดสินใจว่าจะรับเงินตามสัญญาและสล ะสิทธิเรียกร้องอื่นใดอันอาจมีอีกต่อไป หรือจ ะไม่รับเงินดังกล่ าวแ ล้ วไปฟ้องเรีย กร้องเงิน ต่างๆ ตา มที่โจทก์มีสิท ธิต ามกฎหมาย ภายหลัง ทั้งตามกฎหมายแรงงานก็ไม่ได้บัญญัติบังคับให้นายจ้างจ่ายเงินโบนัสแก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้ าง ข้อตกลงดังกล่ าว


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๕ - มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งไม่ขัดต่อกฎหมายและความสงบเรียบร้อย ของป ระชา ชน มีผลบังคับแล ะผูกพันโจทก์ทั้งสี่ โจทก์ทั้งสี่จึงไม่มีสิทธิเรีย กร้องเงินโบนัสจา กจ าเลย พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๔. ค ำพิพำกษำศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษ ที่ ๓๕๗/๒๕๖๑ เรื่อง แม้ในขณะที่ทรำบกำรเลิกจ้ำงจะยังคงเป็นลูกจ้ำงอยู่ก็ตำม แต่ลูกจ้ำงมีอิสระที่จะ ตัดสินใจได้โดยไม่อยู่ในภำวะที่จะต้องเกรงกลัวหรือถูกบังคับ ข้อตกลงไม่ติดใจเรียกร้องขอค่ำตอบแทนหรือ ค่ำชดเชยใดๆ จึงมีผลผูกพันลูกจ้ำง ไม่ขัดต่อพระรำชบัญญัติคุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ แต่มีลักษณะ เป็นสัญญำประนีประนอมยอมควำมตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ ๘๕๐ ลูกจ้ำงจึงไม่มี สิทธิเรียกร้องค่ำตอบแทนใดๆ อีก ซึ่งหมำยควำมรวมถึงค่ำท ำงำนในวันหยุด คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้าง ฟ้องขอบริษัท จ. จ ากัด จ าเลยที่ ๑ นางสาว พ. จ าเลยที่ ๒ และบริษัท ป. จ ากัด จ าเลยที่ ๓ ว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจ าเลยทั้งสาม ต าแหน่งสุดท้ายเป็นผู้ตรวจสอบงาน ค่าจ้างสุดท้าย วันละ ๖,๓๐๐ บาท วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ จ าเลยทั้งสามเลิกจ้างโจทก์ ขอบังคับให้จ าเลยทั้งสาม ร่วมกันจ่ายค่าล่วงเวลา ค่าท างานในวันหยุด ค่าล่วงเวลาในวันหยุด พร้อมดอกเบี้ย จ าเลยทั้งสามให้การใน ท านองเดียวกันว่า จ าเลยที่ ๑ เลิกจ้างโดยจ่ายค่าชดเชย ๕๖๗,๐๐๐ บาท ให้โจทก์แล้ว โจทก์ตกลงไม่เรียกร้อง ค่าตอบแทนหรือค่าชดเชยใดๆ จากจ าเลยทั้งสามอีก ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อตกลงสละสิทธิไม่ติดใจเรียกร้องค่าตอบแทนหรือ ค่าชดเชยใดๆ ตามหนังสือเลิกจ้างเป็นข้อสัญญาที่ขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งเป็น กฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนตกเป็นโมฆะ พิพากษาให้จ าเลยที่ ๑ และจ าเลยที่ ๒ ร่วมกันจ่ายค่าท างานในวันหยุด ๕๖,๗๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย ยกฟ้องส าหรับจ าเลยที่ ๓ ค าขออื่นให้ยก จ าเลยที่ ๑ และจ าเลยที่ ๒ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษเห็นว่า วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ จ าเลยที่ ๑ มีหนังสือเลิกจ้าง โจทก์หนังสือเลิกจ้างมีข้อความตอนแ รกเป็นเรื่องแจ้งการเลิกจ้างระบุสัญญ าจ้างสิ้นสุดลงขอให้โจทก์ ออกจา กงานนับตั้งแต่ วันที่ ๓๑ มก ราคม ๒๕๕๙ เป็น ต้นไป แ ละจ าเลยที่ ๑ ตกลงจ่ าย ค่าชดเช ย ๕๖๗,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ ตอนท้าย มีข้อความว่า โจทก์ยอมรับตามข้อความข้างต้นและไม่ติดใจเรียกร้องขอ ค่าตอบแทนหรือค่าชดเชยใดๆจากจ าเลยที่ ๑ หรือลูกค้าของจ าเลยที่ ๑ อีกทั้งสิ้น โดยโจทก์ลงลายมือชื่อไว้ เป็นหลักฐาน ดังนี้ ข้อความตามหนังสือเลิกจ้างดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโจทก์รับทราบการเลิกจ้างเป็นหนังสือ จากจ าเลยที่ ๑ แล้ว และยังท ราบว่าจ าเลยที่ ๑ ตกลงจ่ายค่าชดเชยที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามกฎหมาย แม้ในขณะนั้นโจทก์ยังคงเป็นลูกจ้ำงของจ ำเลยที่ ๑ อยู่ก็ตำม แต่โจทก์มีอิสระที่จะตัดสินใจได้โดยไม่อยู่ใน ภาวะที่จะต้องเกรงกลัวจ าเลยที่ ๑ หรือถูกบังคับให้รับเงินตามที่จ าเลยที่ ๑ เสนอให้ โดยโจทก์สามารถเลือกได้ อย่างอิสระว่าจะตกลงยอมรับเงินจ านวนดังกล่าว หรือไม่ยอมรับแล้วไปใช้สิทธิฟ้องเรียกร้องเงินค่าจ้างและเงิน อื่นๆ ที่โจทก์มีสิทธิจะได้รับตามกฎหมายจากจ าเลยที่ ๑ ในภายหลัง ข้อตกลงที่โจทก์ยอมรับดังกล่าวจึงไม่ขัด


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๖ - ต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ทั้งไม่ต้องห้ามโดยกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย ของประชาชน แต่มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๐ ข้อตกลงดังกล่าวนี้จึงมีผลบังคับและผูกพันโจทก์ พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องส าหรับจ าเลยที่ ๑ และจ าเลยที่ ๒ ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามค าพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑. ค ำพิพำกษำศำลอุทธรณ์คดีช ำนัญพิเศษ ที่ ๒๒๒๑ – ๒๒๓๔/๒๕๖๐ เรื่อง ลูกจ้ำงได้สมัครใจท ำข้อตกลงกำรเลิกจ้ำงแล้วและยินยอมรับเงินตำมจ ำนวนที่ตกลงกับ นำยจ้ำง โดยไม่ได้ถูกขู่บังคับหรือขู่เข็ญ ทั้งยังได้สละสิทธิเรียกร้องไม่ด ำเนินกำรทำงกฎหมำยใดๆ อีก ข้อตกลงดังกล่ำวจึงเป็นสัญญำประนีประนอมยอมควำม มีผลสมบูรณ์ตำมกฎหมำยแล้ว หำได้ขัดต่อ กฎหมำยคุ้มครองแรงงำน และควำมสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชำชนไม่ คดีนี้โจทก์กับพวกรวม ๑๔ คน ฟ้องว่าจ าเลยเลิกจ้างโจทก์โดยจ่ายค่าชดเชยไม่ครบตามกฎหมาย โจทก์กับพวกลงลายมือชื่อในข้อตกลงเลิกจ้างและสัญญาประนีประนอมยอมความในสภาวะที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ได้ ขอบังคับให้จ าเลยจ่ายค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ย จ าเลยให้การว่าจ าเลยไม่ได้เลิกจ้าง แต่โจทก์กับพวก ไม่ประสงค์ย้ายไปที่โรงงานอีกแห่งหนึ่ง โจทก์กับพวกและจ าเลยจึงตกลงกันรับเงินช่วยเหลือร้อยละ ๗๕ โดยมี การเรียกร้องเปลี่ยนแปลงข้อความในข้อตกลงใหม่เป็นเลิกจ้างเพื่อจะได้ใช้สิทธิรับเงินว่างงานจากส านักงาน ประกันสังคมมากกว่าที่จะระบุว่าลาออก จ าเลยเกรงจะเกิดความรุนแรงจึงตกลง โจทก์กับพวกลงลายมือชื่อ ด้วยความสมัครใจไม่ได้ถูกบังคับ ศาลแรงงานภาค ๒ เห็นว่า ก่อนท าข้อตกลงดังกล่าว โจทก์กับพวกกับจ าเลย มีการเจรจาตกลงสรุปจ านวนเงินให้โจทก์ทราบ โจทก์กับพวกรับทราบการเลิกจ้างเป็นหนังสือและยังทราบว่า จ าเลยจะจ่ายเงิน แม้ในขณะนั้นโจทก์กับพวกยังเป็นลูกจ้างของจ าเลยก็ตาม แต่โจทก์กับพวกมีอิสระที่จะ ตัดสินใจโดยไม่อยู่ในภาวะที่จะต้องเกรงกลัวจ าเลยหรือถูกบังคับให้รับเงินต่างๆ ตามที่จ าเลยเสนอให้ ศาล แรงงานภาค ๒ จึงพิพากษายกฟ้อง โจทก์กับพวกอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีช านัญพิเศษเห็นว่า ตามบันทึกข้อตกลงดังกล่ าว โจทก์กับพวกได้ท าข้อตกลงกัน โดยที่โจทก์ทราบเรื่องการเลิกจ้างแล้วและตกลงยินยอมรับเงินตามจ านวนที่ตกลงกันของโจทก์แต่ละคน ทั้งยังได้สละสิทธิเรียกร้องไม่ด าเนินการทางกฎหมายใดๆ ต่อจ าเลยอีก เมื่อโจทก์กับพวกสมัครใจท าข้อตกลง ดังกล่าวโดยไม่ได้ถูกขู่บังคับหรือขู่เข็ญ ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ กับจ าเลยอันมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว หาได้ขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่ ที่ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษามานั้นชอบแล้ว พิพากษายืน -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๗ - ปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ๑. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๒๐๘/๒๕๕๙ เรื่อง ลูกจ้ำงท ำควำมเสียหำยต่อนำยจ้ำง ต่อมำนำยจ้ำงลูกจ้ำงตกลงระงับข้อพิพำทซึ่งเป็น มูลหนี้เดิมโดยกำรแปลงหนี้ใหม่ด้วยกำรท ำสัญญำประนีประนอมยอมควำมโดยลูกจ้ำงช ำระหนี้เดือนละ ๑,๐๐๐ บำท สัญญำดังกล่ำวไม่เป็นกำรพ้นวิสัย หรือขัดต่อควำมสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของ ประชำชน คู่สัญญำย่อมผูกพันตำมสัญญำนั้น โจทก์เป็นสหกรณ์ ฟ้องว่าจ าเลยที่ ๓ เป็นลูกจ้างโจทก์ต าแหน่งพนักงานการตลาด ระหว่าง ปฏิบัติงานจ าเลยที่ ๓ ท าผิดสัญญาท าให้โจทก์เสียหายหลายครั้ง ต่อมาจ าเลยทั้งสี่ท าสัญญารับใช้หนี้จากการ กระท าผิดสัญญ าของจ าเลยที่ ๓ แต่เมื่อผู้แทนโจ ทก์ลงลายมือชื่อในสัญญา ดังกล่ าวเสนอที่ป ระชุม คณะกรรมการด าเนินการของโจทก์ปรากฏว่าไม่ให้ความเห็นชอบเนื่องจากค่างวดต่อเดือนที่ต้องช าระเพียง เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท เป็นจ านวนที่ต่ าเกินไปเมื่อเทียบกับยอดหนี้หลักล้าน ไม่มีก าหนดระยะเวลาสิ้นสุดของ การช าระหนี้ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นการพ้นวิสัยขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนจึงไม่ มีผลบังคับตามกฎหมาย โจทก์แจ้งให้จ าเลยทั้งสี่ทราบเพื่อแก้ไขสัญญาแล้ว แต่จ าเลยเพิกเฉย ขอให้พิพากษา หรือมีค าสั่งให้สัญญาข้อ ๒ เป็นโมฆะ หรือมีค าสั่งให้จ าเลยทั้งสี่แก้ไขสัญญาให้มีผลบังคับได้ตามกฎหมาย เพื่อความเป็นธรรม ศาลแรงงานภาค ๕ พิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ ศาลแรงงานภาค ๕ วินิจฉัยว่าโจทก์จ าเลยตกลงระงับข้อพิพาทซึ่งเป็นมูลหนี้เดิมโดยการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการ ท าสัญญาประนีประนอมยอมความ ดังนั้นคู่สัญญาย่อมได้สิทธิตามที่ปรากฏในสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งหลังจากที่ท าสัญญาฉบับดังกล่าวแล้วโจทก์จะให้การรับรองสัญญาดังกล่าวหรือไม่ ก็หาเป็นสาระส าคัญที่จะ ท าให้สัญญานั้นไม่มีผลบังคับใช้ตามเจตนา ทั้งไม่ปรากฏว่าเป็นสัญญามีเงื่อนไขบังคับก่อน หรือเป็นสัญญาที่มี การพ้น วิสัย ขัดต่อความสงบเรียบ ร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเป็น สัญญาที่ไม่เป็นธร รม เป็นเพียงแต่ว่าโจทก์ไม่ยอมรับเงื่อนไขที่ได้ท าขึ้นตามสัญญาฉบับดังกล่าวเท่านั้น โจทก์อุทธรณ์โดยอ้าง ข้อเท็จจริงว่าผู้แทนโจทก์มิได้รับมอบอ านาจจากคณะกรรมการให้ท าสัญญารับใช้หนี้แทนนั้น เป็นการอ้าง ข้อเท็จจริงซึ่งเป็นเหตุใหม่ขึ้นในชั้นอุทธรณ์ ถือเป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๒. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๑๔๐๒/๒๕๕๙ เรื่อง ลูกจ้ำงท ำบันทึกข้อตกลงไว้ในหนังสือเลิกจ้ำงว่ำไม่ติดใจเรียกเงินอื่นใด จำกนำยจ้ำง อีกต่อไป บันทึกสละสิทธิในกำรเรียกร้องเงินย่อมผูกพันลูกจ้ำง ลูกจ้ำงจึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่ำเสียหำย จำกกำรเลิกจ้ำงที่ไม่เป็นธรรมและเงินอื่นอีก โจทก์ฟ้องว่าจ าเลยที่ ๑ จ้างโจทก์เป็นลูกจ้าง ต าแหน่งผู้จัดการออกแบบกราฟฟิก และต้อง ท างานให้ จ าเลยที่ ๒ ด้วย ต่อมาจ าเลยทั้งสองกลั่นแกล้งและไล่โจ ทก์ออก ขอบังคับให้จ าเลยทั้งสอง


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๘ - จ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ค่าเช่าที่พัก ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ จ าเลยที่ ๑ โอนลูกจ้างทั้งหมดรวมทั้งโจทก์ไปเป็น ลูกจ้างของจ าเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเดียวกัน จ าเลยที่ ๒ ยกเลิกต าแหน่งโจทก์และว่าจ้างบริษัท ซ. มาดูแลด้านกราฟฟิกแทน ต่อมาวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๓ จ าเลยที่ ๒ จึงเลิกจ้างโจทก์โดยจ่ายค่าจ้าง ค่าชดเชย ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ลงชื่อรับทราบและขอสละสิทธิและข้อเรียกร้องไม่ว่าจะตาม กฎหมายใดๆ อีก ดังนั้นในขณะที่จ าเลยที่ ๒ เลิกจ้างโจทก์ จ าเลยที่ ๑ จึงมิได้มีฐานะเป็นนายจ้างของโจทก์ จ าเลยที่ ๑ จึงมิต้องร่วมรับผิดกับจ าเลยที่ ๒ ในค่าเสียหายอันเนื่องจากที่จ าเลยที่ ๒ เลิกจ้างแต่อย่างใด ประเด็นปัญหาค่าเสียหายนั้น เห็นว่า สัญญ าประนีประนอมยอมความที่ไม่เป็นการขัดต่อ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน หากเป็นการตกลงเรื่องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธี พิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ หรือค่าเสียหายอื่นใดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นายจ้างและลูกจ้างย่อมตกลงระงับข้อพิพาทกันได้ ดังนั้น การที่โจทก์ท าบันทึกข้อตกลงไว้ในหนังสือเลิกจ้างว่า ไม่ติดใจเรียกเงินอื่นใด จากจ าเลยที่ ๒ อีกต่อไป เงินค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและเงินอื่นที่ โจทก์เรียกร้องมานั้น เป็นเงินอื่นนอกเหนือจากเงินตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ โจทก์ ย่อมตกลงระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นและมีอยู่ตามข้อตกลงที่บันทึกไว้ได้ การที่โจทก์ท าบันทึกสละสิทธิในการ เรียกร้องเงินดังกล่าวย่อมมีผลผูกพันโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และเงินอื่นอีก พิพากษายืน ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๓. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๘๓๑๕ – ๘๓๑๖/๒๕๕๙ (ค ำสั่งคณะกรรมกำรแรงงำนสัมพันธ์) เรื่อง ค ำสั่งเลิกจ้ำงที่ระบุว่ำ “โดยพนักงำนไม่เรียกร้องสิ่งอื่นใดอีก” แม้ลูกจ้ำงจะลงลำยมือ ชื่อด้ำนล่ำงแต่ก็ไม่มีข้อควำมระบุว่ำตกลงยินยอมรับเงื่อนไขหรือตกลงสละสิทธิไม่เรียกร้องสิ่งอื่นใดอีก ลูกจ้ำงจึงใช้สิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับกำรกระท ำอันไม่เป็นธรรมได้ คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างฟ้องให้เพิกถอนค าสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ทั้ง ๒ ค าสั่ง กรณีที่ วินิจฉัยว่าเป็นการกระท าอันไม่เป็นธรรมฝ่าฝืนมาตรา ๑๒๑ และมาตรา ๑๒๓ แห่งพระราชบัญญัติแรงงาน สัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ และมีค าสั่งให้โจทก์รับลูกจ้างกลับเข้าท างานและจ่ายค่าเสียหาย โจทก์เห็นว่าค าสั่ง ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้ศาลเพิกถอน ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์เลิกจ้างลูกจ้างกับพวก ๒๑ คน ก่อนเลิกจ้างผู้กล่าวหากับพวกยื่นข้อเรียกร้อง ขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างแต่ตกลงกันไม่ได้ วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ผู้กล่าวหากับพวกใช้สิทธิ นัดหยุดงาน จนกระทั่งวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๓ ตกลงกันได้และจัดท าบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โจทก์รับผู้กล่าวหาเข้าท างานวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓ แต่ไม่นานก็มีการเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นผู้กล่าวหา จ านวน ๑๘ คน อันเป็นการเลิกจ้างหลังจากที่มีการนัดหยุดงานแล้วมีการท าบันทึกข้อตกลงเพียงไม่กี่วัน แสดงว่าการเลิกจ้างผู้กล่าวหาทั้ง ๑๘ คน มาจากสาเหตุที่ผู้กล่าวหาร่วมชุมนุมยื่นข้อเรียกร้องเช่นเดียวกับ


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๙ - ผู้กล่าวหาอีก ๓ คน จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๑๒๑ และมาตรา ๑๒๓ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ และการที่จ าเลยทั้ง ๑๔ คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ก าหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าเสียหาย โดยพิจารณาจากอายุการท างานและค่าจ้าง คือหากท างานไม่เกิน ๑ ปี ให้ค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตรา สุดท้าย ๖๐ วัน หากเกิน ๑ ปี เพิ่มค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายปีละ ๓๐ วัน เป็นการใช้ดุลพินิจ ก าหนดค่าเสียหายตามสมควรซึ่งอาจค านึงถึงระยะเวลาในการท างานของลูกจ้าง มูลเหตุแห่งการเลิกจ้าง ความเดือดร้อน หรืออายุของลูกจ้างประกอบการพิจารณา ไม่ใช่อาศัยความรู้สึกของแต่ละบุคคลหรือไม่มี หลักเกณฑ์ ค าสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จึงชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นอุทธรณ์โจทก์ว่า ค าสั่งเลิกจ้างระบุว่า “โดยพนักงานไม่เรียกร้องสิ่งอื่นใดอีก” เห็นว่า เมื่อพิจารณาค าสั่งเลิกจ้างและขั้นตอนปฏิบัติก่อนพ้นสภาพความเป็นพนักงานมีข้อความว่า “บริษัทฯ จึงแจ้ง ให้ท่านพ้นสภาพจากความเป็นพนักงานของบริษัทฯ...และบริษัทฯ ยินดีจ่ายค่าจ้าง ค่าชดเชย และค่าบอก กล่าวล่วงหน้าให้กับท่านอย่างครบถ้วน...” ข้อ ๕ ระบุว่า บริษัทฯ จะจ่ายเงินดังกล่าวและพนักงานได้รับเงิน ดังกล่าวครบถ้วนเรียบร้อยแล้วในวันนี้ โดยพนักงานไม่เรียกร้องสิ่งอื่นใดอีก จึงแจ้งมาเพื่อทราบ โดยมีผู้บริหาร โจทก์ลงลายมือชื่อไว้ เห็นได้ว่า ข้อความตามค าสั่งเลิกจ้างจัดท าขึ้นเพื่อแจ้งบอกเลิกจ้างผู้กล่าวหาและแจ้ง ให้ทราบว่าโจทก์จะจ่ายเงินประเภทใดให้บ้าง และแม้ผู้กล่าวหาจะลงลายมือชื่อด้านล่างแต่ก็ไม่มีข้อความระบุ ว่าผู้กล่าวหาดังกล่าวตกลงยินยอมรับเงื่อนไขเกี่ยวกับการเลิกจ้างหรือตกลงสละสิทธิไม่เรียกร้องสิ่งอื่นใดอีก ดังนั้นค าสั่งเลิกจ้างที่ระบุว่า “โดยพนักงานไม่เรียกร้องสิ่งอื่นใดอีก” จึงไม่มีสภาพเป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์กับ ผู้กล่าวหา ผู้กล่าวหาจึงใช้สิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับการกระท าอันไม่เป็นธรรมได้ พิพากษายืน ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๔. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๘๓๗๒/๒๕๕๙ เรื่อง แม้ขณะนั้นท ำหนังสือสละสิทธิเรียกร้องยังคงเป็นลูกจ้ำงอยู่ก็ตำม แต่ขณะท ำหนังสือ ดังกล่ำวลูกจ้ำงก็ทรำบแล้วว่ำได้ถูกเลิกจ้ำง ย่อมมีอิสระที่จะตัดสินใจได้โดยไม่อยู่ในภำวะที่จะต้องเกรงกลัว จ ำเลยแต่อย่ำงใด หนัง สือสละสิทธิเรียกร้องย่อมผูกพันลูกจ้ำง ลูกจ้ำงจึงไม่มีสิทธิเรียก ค่ ำชดเช ย ค่ำเสียหำยจำกกำรเลิกจ้ำงที่ไม่เป็นธรรมอีก โจทก์ฟ้องว่าจ าเลยจ้างโจทก์เข้าท างานเป็นลูกจ้างต าแหน่งสุดท้ายรักษาการหัวหน้าฝ่าย โลจิสติกส์ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๔ จ าเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระท าความผิด ขอบังคับให้จ าเลย จ่ายค่าชดเชย ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เงินสมทบส่วนของนายจ้างจากกองทุนส ารองเลี้ยงชีพ พร้อมดอกเบี้ย จ าเลยให้การว่าโจทก์ไม่มีอ านาจฟ้องเพราะได้สละสิทธิดังกล่าวไว้ในหนังสือเลิกจ้างแล้ว ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารราแล้วเห็นว่า ในหนังสือเลิกจ้างมีข้อความว่า “ข้าพเจ้าฯ รับทราบและขอสละสิทธิฯ ในการด าเนินการฟ้องร้องหรือเรียกร้องผลประโยชน์อื่นใดอันพึงมีตามกฎหมายกับบริษัทต่อไป” และโจทก์ได้ ท าบันทึกข้อตกลงไว้อีกว่า “ ข้าฯ ตกลงด้วยความสมัครใจว่าบริษัทไม่มีความผูกพันหรือหนี้อื่นใดที่จะต้องจ่าย ให้แก่ข้าฯ อีกแล้วในเรื่องการจ้าง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด และตกลงสละสิทธิที่ข้าฯ มีอยู่ในขณะนี้ หรือจะ เกิดขึ้นในการเรียกร้องเงินจากบริษัท ข้าฯ ยอมรับและยืนยันว่าบริษัทไม่มีหนี้อื่นใดที่จะต้องช าระให้แก่ข้าพเจ้า


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๑๐ - จากเหตุที่ข้าฯ เคยเป็นพนักงานของบริษัทฯ” ข้อความดังกล่าวมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่เป็นโมฆะ พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามหนังสือเลิกจ้าง มีข้อความเป็นเรื่องพ้นสภาพ จากการเป็นลูกจ้างนับแต่วันที่ -๗ สิงหาคม ๒๕๕๔ และบันทึกของโจทก์เป็นการรับเงินจากจ าเลยส าหรับ ค่าจ้างและค่าเสียหายและเงินอื่นทั้งปวงที่ถึงก าหนดต้องจ่ายหรือที่จ าเลยตกลงจ่ายเมื่อถูกเลิกจ้างเป็นเงิน ๑๔๕,๙๔๘ บาท โดยโจทก์ยืนยันตามหนังสือทั้งสองฉบับว่าตกลงสละสิทธิที่มีอยู่และจะเกิดขึ้น แม้ขณะนั้น โจทก์ยังคงเป็นลูกจ้างของจ าเลยอยู่ก็ตาม แต่ขณะท าหนังสือดังกล่าวโจทก์ก็ทราบแล้วว่าได้ถูกเลิกจ้าง ย่อมมี อิสระที่จะตัดสินใจได้โดยไม่อยู่ในภาวะที่จะต้องเกรงกลัวจ าเลยแต่อย่างใด เพราะจ าเลยไม่มีฐานะเป็นนายจ้าง แล้ว หนังสือที่โจทก์ลงลายมือชื่อไว้ย่อมผูกพันโจทก์การท าหนังสือย่อมไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของ ประชาชน โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าชดเชยและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พิพากษายืน ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๑๐๒๖๕/๒๕๕๘ เรื่อง นำยจ้ำงได้เลิกจ้ำงลูกจ้ำงกับพวกโดยเรียกเข้ำไปรับเช็คค่ำชดเช ยและเงินอื่นๆ เป็น ชุดๆ พร้อมจัดเตรียมเอกสำรมีข้อควำมว่ำลูกจ้ำงไม่ติดใจเรียกค่ำเสียหำยใดๆ อีก ทั้ งหมดใช้เวลำ ด ำเนินกำรชุดละเพียง ๒๐ นำทีพฤติกำรณ์ดังกล่ำวเชื่อว่ำลูกจ้ำงไม่สำมำรถใช้วิจำรณญำณตัดสินใจ ในกำรลงลำยมือชื่อในช่วงเวลำอันสั้นได้อย่ำงถูกต้อง ข้อตกลงสละสิทธิเรียกร้องค่ำเสียหำยใดๆ จึงไม่ สำมำรถมีผลใช้บังคับได้ลูกจ้ำงจึงฟ้องค่ำเสียหำยจำกกำรเลิกจ้ำงไม่เป็นธรรมได้ โจทก์กับพวกฟ้องให้จ าเลยชดใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เงินโบนัส และเงินอื่นๆ จ าเลยให้การว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเนื่องจากโจทก์ตกลงจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายใดๆ อีก ศาลแรงงานกลาง พิพากษาให้จ าเลยช าระค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย ค าขออื่นให้ยก จ าเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกา เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จ าเลยประกอบธุรกิจเป็นตัวแทนสายการเดินเรือ เอเวอร์กรีน ส านักงานใหญ่อยู่ไต้หวัน รายได้หลักมาจากค่าระวางการขนส่งสินค้าขาออกไปยังสหรัฐอเมริกา จ าเลยมีก าไรลดลงปี ๒๕๕๑ จาก ๑๐๐ ล้านบาท เหลือ ๒๐ ล้านบาท ปี ๒๕๕๒ จ าเลยจึงเลิกจ้างโจทก์กับ พวก การเลิกจ้างนั้นจ าเลยมีการแจ้งก่อนเลิกงานเล็กน้อย เรียกโจทก์กับพวกไปห้องประชุมทีละชุดๆ ละ ๔- ๕ คน จากนั้นชี้แจ้งสถานการณ์และเหตุผลในการเลิกจ้าง จ าเลยจัดเตรียมเอกสารเลิกจ้างพร้อมเช็คสั่ง จ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เงินบ าเหน็จ และหนังสือลาออก ในหนังสือบอกเลิกจ้างระบุ จ านวนเงินและข้อความว่าไม่ติดใจเรียกค่าเสียหายใดๆ จากจ าเลยอีก จ าเลยใช้เวลาด าเนินการทั้งหมดแต่ละ ชุดเพียง ๒๐ นาทีศาลแรงงานกลางพิจารณาข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ววินิจฉัยว่า เนื่องจากสถานการณ์ใน ขณะนั้นคงมีความชุลมุนเนื่องจากเพิ่งมีการแจ้งว่าจะเลิกจ้าง โจทก์กับพวกย่อมตกใจเป็นธรรมดา เชื่อว่าไม่มี สมาธิเพียงพอที่จะอ่านหนังสือบอกเลิกจ้างดังกล่าว ทั้งพนักงานที่ถูกเลิกจ้างแต่ละคนใช้เวลาเฉลี่ยน่าจะไม่เกิน


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๑๑ - ๕ นาที และการจะฟังค าชี้แจงเกี่ยวกับสถานการณ์ไปพร้อมกับอ่านหนังสือเลิกจ้างไปในขณะเดียวกันก็เป็น เรื่องที่ไม่สามารถจะท าได้ ระยะเวลาดังกล่าวโจทก์กับพวกไม่น่าจะใช้วิจารณญาณตัดสินใจในการ ลงลายมือชื่อในช่วงเวลาอันสั้นได้อย่างถูกต้อง ข้อตกลงสละสิทธิเรียกค่าเสียหายในหนังสือเลิกจ้าง ในหนังสือแสดงจ านวนเงินที่ได้รับและจดหมายลาออกก็ดี จึงไม่สามารถมีผลใช้บังคับได้ถือได้ว่าโจทก์ กับพวกไม่สมัครใจที่จะไม่เรียกร้องค่าเสียหายใดๆ จากจ าเลยอีก โจทก์กับพวกจึงมีสิทธิฟ้องค่าเสียหายจากการ เลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมได้ที่จ าเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์กับพวกมีเวลาเพียงพอที่จะอ่านหนังสือเลิกจ้าง มีเวลา ไตร่ตรอง เอกสารเป็นภาษาไทย มีคุณวุฒิการศึกษาทั้งปริญญาตรี ปวส. ปวช. มิได้ส าคัญผิด หรือกลฉ้อฉล ไม่ได้เกิดจากการข่มขู่ เป็นอุท ธรณ์โต้แย้งดุลพินิจใน การรับฟังพยานหลักฐานของศ าลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส าหรับประเด็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมนั้น เห็นว่า แม้ตามข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมา ว่าปลายปี ๒๕๕๑ สายการเดินเรือเอเวอร์กรีนขาดทุนอย่างมากจึงปิดส านักงานสาขาในสหรัฐอเมริกาและ ยุโรป ซึ่งย่อมส่งผลให้ระวางการขนส่งสินค้าลดลงก็ตาม แต่เมื่อจ าเลยมีผลการประกอบการที่มีก าไรมาโดย ตลอด ทั้งในปี ๒๕๕๒ ก็ยังมีก าไรมากกว่า ๒๐ ล้านบาท นับว่ามีจ านวนพอสมควรทั้งที่สภาพเศรษฐกิจ โดยทั่วไปในขณะนั้นไม่ดี แต่ก็ไม่ปรากฏว่าแนวโน้มในการด าเนินธุรกิจของจ าเลยในปีต่อๆ ไปจะต้องประสบ ภาวะวิกฤตจนถึงขั้นไม่อาจด าเนินกิจการต่อไปได้ เมื่อได้ความเพียงว่าจ าเลยเลิกจ้างโจทก์กับพวกเพื่อพยุง ฐานะของจ าเลย ทั้งที่ผลประกอบการของจ าเลยยังมีก าไร จ าเลยเองก็ยังไม่ได้ถูกยกเลิกจากการเป็นตัวแทน ของสายการเดินเรือเอเวอร์กรีน จึงไม่มีเหตุผลจ าเป็นและสมควรเพียงพอที่จะเลิกจ้างโจทก์กับพวก จึงเป็นการ เลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พิพากษายืน ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๒. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๑๐๓๓๙/๒๕๕๘ เรื่อง นำยจ้ำงและลูกจ้ำงตกลงเลิกสัญญำกัน ลูกจ้ำงไม่ประสงค์ท ำงำนกับนำยจ้ำงต่อไป และนำยจ้ ำงไม่ประสงค์ให้ลูกจ้ำงท ำงำนด้วยอีกต่อไปเช่นกัน โดยนำยจ้ ำงจะจ่ำยเงินตอบแท นให้ ๗๘,๐๐๐ บำท กรณีไม่ใช่กำรเลิกจ้ำง แต่นำยจ้ำงต้องผูกพันตำมข้อตกลงนั้น โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจ าเลย จ าเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดเป็นการเลิกจ้าง ที่ไม่เป็นธรรม ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จ าเลยชะระเงินตอบแทนจ านวน ๗๘,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย ค าขออื่นให้ยก จ าเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๒ โจทก์กับจ าเลยท าบันทึกข้อตกลง ต่อกันไว้ ๒ ข้อ ระบุว่า จ าเลยไม่ประสงค์ที่จะว่าจ้างโจทก์ และโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะท างานกับจ าเลยต่อไป โดยทั้งนี้ให้ถือว่าสัญญาจ้างสิ้นสุดในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๒ และ ข้อ ๒ ระบุว่า จ าเลยตกลงที่จะให้เงิน ตอบแทนแ ก่โจทก์เกี่ยวกับค่าจ้ าง ค่ าจ้างแทนการบอกกล่ าวล่วงหน้ า ค่าชดเชย แล ะเงิน อื่นๆ ตา ม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานและกฎหมายแรงงานที่เกี่ยวข้องจ านวน ๗๘,๐๐๐ บาท ทั้งนี้โจทก์จะไม่ขอ เรียกร้องแก่จ าเลยใน ค่าจ้าง ค่าชดเชย ค่าจ้างแทนการ บอกกล่าวล่วงหน้า และอื่นๆ ศาลฎีกาเห็นว่า


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๑๒ - การที่โจทก์กับจ าเลยตกลงว่า โจทก์ไม่ประสงค์ท างานกับจ าเลยต่อไปและจ าเลยไม่ประสงค์ให้โจทก์ท างานด้วย อีกต่อไปเช่นกัน จึงเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างกับจ าเลยซึ่งเป็นนายจ้างทั้งสองฝ่ายตกลงเลิกสัญญาจ้าง แรงงานต่อกัน ไม่ใช่เป็นการแสดงเจตนาบอกเลิกจ้างโดยจ าเลยซึ่งเป็นนายจ้างแต่ฝ่ายเดียวที่จะถือเป็นการ เลิกจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘ วรรคสอง เมื่อบันทึกข้อตกลงไม่เป็น การเลิกจ้าง แต่เป็นกรณีต่างฝ่ายต่างตกลงเลิกสัญญาจ้างแรงงานซึ่งใช้บังคับได้ ดังนั้น จ าเลยต้องจ่ายเงินให้แก่ โจทก์ตามบันทึกดังกล่าวจ านวน ๗๘,๐๐๐ บาท ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษานั้นชอบแล้ว พิพากษายืน ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๓. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๑๒๓๕๒/๒๕๕๘ เรื่อง กำรไกล่เกลี่ยให้ลูกจ้ำงได้รับค่ำชดเชยต่ ำกว่ำกฎหมำย ในชั้นศำลแรงงำนยังมิได้รับฟัง ข้อเท็จจริงว่ำโจทก์มีสิทธิได้รับค่ำชดเชยหรือไม่เพียงใด เงินที่จ ำเลยตกลงจ่ำยให้โจทก์ระบุไว้ชัดเจนว่ำเป็น เงินช่วยเหลือ ไม่ใช่ค่ำชดเชย “กำรไกล่เกลี่ยของศำลแรงงำน” จึงไม่ใช่กำรไกล่เกลี่ยให้ลูกจ้ำงได้รับ ค่ำชดเชยต่ ำกว่ำกฎหมำย คดีนี้สืบเนื่องจากที่โจทก์มอบอ านาจให้ทนายฟ้องคดีเรียกค่าชดเชย ค่าจ้างแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่ธรรม ต่อมาศาลแรงงานไกล่เกลี่ยแล้วจ าเลยตกลงจ่ายเงิน ช่วยเหลือแก่โจทก์จ านวน ๑๕๐,๐๐๐ บาท โจทก์จึงขอถอนฟ้องโดยที่จ าเลยมิได้คัดค้าน ศาลแรงงานกลาง อนุญาต แต่โจทก์มายื่นค าร้องสรุปว่าโจทก์มอบอ านาจให้ทนายฟ้องคดีเท่านั้น การประนีประนอม การสละ สิทธิ การถอนฟ้องและการรับเงินโจทก์จะเป็นผู้ตัดสินใจเอง การที่ศาลไกล่เกลี่ยจนท าให้ลูกจ้างได้รับค่าชดเชย และประโยชน์อื่นน้อยกว่าจ านวนที่ลูกจ้างพึงได้รับจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย กระบวนพิจารณาจึงไม่ชอบด้วย กฎหมาย ขอให้เพิกถอน ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่าตามหนังสือมอบอ านาจมีข้อความให้ผู้รับมอบ อ านาจถอนฟ้องหรือประนีประนอมยอมความได้ การด าเนินกระบวนพิจารราชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีเหตุ เพิกถอน ยกค าร้อง โจทก์อุทธรณ์ประเด็นว่าศาลแรงงานไกล่เกลี่ยให้ลูกจ้างได้รับค่าชดเชยต่ ากว่ากฎหมาย ก าหนดไม่ได้ศาลฎีกาเห็นว่า ในชั้นไกล่เกลี่ยศาลแรงงานยังไม่ได้รับฟังข้อเท็จจริงว่าจ าเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยไม่มีความผิดอันเป็นฐานที่จะไปวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยหรือไม่เพียงใด เงินที่จ าเลยตกลง จ่ายระบุไว้ชัดเจนว่าเงินช่วยเหลือ ไม่ใช่ค่าชดเชย การไกล่เกลี่ยของศาลแรงงานจึงไม่ใช่การไกล่เกลี่ยให้ โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างได้รับเงินต่ ากว่าค่าชดเชยตามกฎหมาย ดังที่โจทก์อุทธรณ์พิพากษายืน ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๔. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๑๒๖๔๐/๒๕๕๘ เรื่อง ลูกจ้ำงถูกร้องเรียนเรื่องกำรกระท ำควำมผิด นำยจ้ำงเสนอแนวทำงให้พิจำรณำลำออก และรับเงินต่ำงๆ ตำมที่ตกลงกัน ลูกจ้ำงตกลงรับเงินและเขียนหนังสือลำออก ถือได้ว่ำลูกจ้ำงลำออก โดยสมัครใจไม่ได้ถูกบีบบังคับ กรณีไม่ใช่เป็นกำรเลิกจ้ำง โจทก์เป็นลูกจ้างจ าเลยต าแหน่งผู้จัดการฝ่ายจัดหามันฝรั่ง โจทก์ถูกร้องเรียนเกี่ยวกับการซื้อ มันฝรั่ง วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๔ นาง ด. ผู้อ านวยการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ นาย ท. ผู้อ านวยการฝ่ายปฏิบัติการ


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๑๓ - และนาย ศ. ผู้อ านวยการฝ่ายส่งเสริมการเกษตร นัดโจทก์ไปสอบถามข้อเท็จจริงและเสนอแนะแนวทางให้ โจทก์พิจารณา ในระหว่างพูดคุยไม่มีการใช้ก าลังประทุษร้ายหรือแสดงท่าทีว่าจะใช้ก าลังประทุษร้าย ส่วน เจ้ า ห น้ า ที่ ของจ า เล ยที่ โ จ ท ก์ อ้า ง ว่ า เป็ น ผู้ ข่ ม ขู่บัง คับ ให้ โ จ ท ก์ลงล า ย มื อ ชื่อ ใน ใบ ล า อ อ ก ก็ไม่ปรากฏว่าเป็นใครมีตัวตนจริงหรือไม่ ทั้งนับแต่วันเกิดเหตุจนถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกือบ ๑ ปี โจทก์ก็ไม่ได้ไป แจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานต ารวจให้ด าเนินคดีแก่ผู้ข่มขู่โจทก์ ประกอบกับหนังสือตกลงยอบรับ การลาออกมีข้อความระบุว่าจ าเลยตกลงจ่ายเงินต่างๆ แก่โจทก์รวม ๓,๕๕๔,๗๖๐ บาท ซึ่งโจทก์พอใจและ ยินยอมตกลงรับเงินดังกล่าว กับให้ถือว่าหนังสือดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาลาออกของโจทก์ จึงเป็นข้อบ่งชี้ ว่าโจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือตกลงยอมรับการลาออกจากการเป็นพนักงานด้วยความสมัครใจ โจทก์จึงไม่มี สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจากจ าเลย ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๑๓๑๐/๒๕๕๗ เรื่อง ลูกจ้ำงลงลำยมือชื่อจะไม่เรียกร้องสิทธิประโยชน์ใดๆ จำกนำยจ้ำงอีกมีลักษณะเป็น สัญญำประนีประนอมยอมควำมลูกจ้ำง จึงไม่มีสิทธิน ำคดีมำฟ้องค่ำเสียหำยจำกกำรเลิกจ้ำงที่ไม่เป็นธรรม จำกนำยจ้ำง โจทก์เป็นลูกจ้างจ าเลยต าแหน่งผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ นางพ. ผู้ช่วยผู้จัดก ารฝ่ายบุคคลของจ าเลยเป็นผู้แจ้งให้โจทก์ท ราบว่าจ าเลยเลิกจ้างโจทก์ในวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ และจ าเลยเตรียมจ่ายเงินค่าชดเชย ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าท างานใน วันหยุดพักผ่อนประจ าปีด้วยแคชเชียร์เช็ค แต่โจทก์ต้องลงลายมือชื่อในเอกสาร ซึ่งมีข้อความว่าเมื่อได้รับเงิน แล้วจะไม่เรียกร้องสิทธิประโยชน์ใดๆ จากจ าเลยอีก โจทก์ทราบข้อความแล้วลงลายมือชื่อ โจทก์ย่อมเข้าใจ ข้อตกลงตามใบรับเงินซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงมีผลผูกพันว่าโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้อง เงินใดๆ จากจ าเลยอีก โจทก์จึงไม่มีสิทธิน าคดีมาฟ้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจากจ าเลย ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๒. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๑๙๗๗/๒๕๕๗ เรื่อง สัญญำประนีประนอมที่ลูกจ้ำงท ำกับน ำยจ้ำงภำยหลังพ้นสภำพเป็นลูกจ้ำงแล้ว บังคับได้ไม่เป็นโมฆะ โจทก์ฟ้องว่าจ าเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างต าแหน่งพนักงานขับรถเทรลเลอร์ ต่อมาจ าเลยเลิกจ้าง โดยจ าเลยค้างจ่ายค่าตอบแทนการท างานเกินเวลาท างานปกติ ค่าท างานในวันหยุด จ าเลยให้การว่า โจทก์และ จ าเลยตกลงท าบันทึกข้อตกลงอันถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความต่อกันเพื่อยุติข้อพิพาทที่เกิดจากการ เลิกจ้างทั้งหมด ณ ส านักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดปราจีนบุรี โดยโจทก์ได้รับเงินค่าชดเชยและ


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๑๔ - สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้ารวม ๖๒,๖๒๙.๕๖ บาท โจทก์ตกลงยินยอมไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่นใดอีก ศาลแรงงานพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้เริ่มต้นการเจรจาเป็นเรื่องค่าชดเชยและค่าจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้า แต่โจทก์ก็ยังสมัครใจตกลงกับจ าเลยโดยมีเงื่อนไขในข้อ ๓ ว่า “หากนายจ้างจ่าย ค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าครบถ้วนแล้ว ลูกจ้างตกลงว่าจะไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่นๆ เช่น ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างอันไม่เป็นธรรมจากนายจ้างอีกต่อไป” ซึ่งเงินอื่นๆ ที่โจทก์ไม่ติดใจย่อมหมายถึง เงินทุกประเภท รวมทั้งค่าตอบแทนการท างานเกินเวลาท างานปกติ ฯลฯ ด้วย อันเป็นการตกลงระงับข้อพิพาท ที่จะมีขึ้นในอนาคต บันทึกข้อตกลงจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับ เงินค่าตอบแทนการท างานเกินเวลาท างานปกติ ฯลฯ และที่โจทก์อุทธรณ์ว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นกฎหมายเกี่ยวกับความ สงบเรียบร้อยของประชาชน หากมีการตกลงกันเช่นนั้นถือว่าเป็นโมฆะนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าแม้สิทธิเรียกร้อง ดังกล่าวจะเป็นสิทธิเรียกร้องที่ก าหนดไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ อันเป็นกฎหมาย เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ตาม แต่เมื่อโจทก์และจ าเลยท าบันทึกข้อตกลงซึ่งเกิดขึ้นหลังจาก โจทก์ออกจากงานพ้นการเป็นลูกจ้างของจ าเลยแล้ว โจทก์ย่อมมีอิสระแก่ตนพ้นพันธะกรณีและอ านาจบังคับ บัญชาของจ าเลยโดยสิ้นเชิง การสละสิทธิเรียกร้องในเงินดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และไม่เป็นโมฆะ ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๓. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๑๙๗๙-๑๙๘๑/๒๕๕๗ เรื่อง บันทึกที่นำยจ้ำงและลูกจ้ำงท ำต่อหน้ำพนักงำนตรวจแรงงำนว่ำจะไม่เรียกร้องเงินใดๆ อีก ย่อมหมำยถึงเงินทุกประเภท รวมถึงค่ำตอบแทน ค่ำท ำงำนในวันหยุด ฯลฯ ด้วย อันมีลักษณะเป็น สัญญำประนีประนอม ลูกจ้ำงจึงไม่มีอ ำนำจฟ้อง โจทก์ทั้งสามท างานเป็นพนักงานขับรถเทลเลอร์ ต่อมาจ าเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยจ าเลยไม่จ่าย ค่าตอบแทนการท างานเกินเวลาท างานปกติ ค่าท างานในวันหยุด ค่าตอบแทนเกินเวลาท างานในวันหยุด จ าเลยให้การว่าโจทก์ได้ไปยื่นค าร้องที่สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดปราจีนบุรีและได้ตกลงเจรจากัน โดยจ าเลยยินยอมจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า โดยโจทก์ทั้งสามไม่ติดใจเรียกร้องเงิน อื่นใดจากจ าเลยอีก โจทก์จึงไม่มีอ านาจฟ้อง ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า บันทึกดังกล่าวระบุว่า “หากนายจ้างจ่ายค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้าครบถ้วนแล้ว ลูกจ้างตกลงว่าจะไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่นๆ เช่น ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจากนายจ้าง อีกต่อไป” ซึ่งเงินอื่นๆ ที่โจทก์ไม่ติดใจเรียกร้อง ย่อมหมายถึงเงินทุกประเภท รวมทั้งค่าตอบแทนการท างาน เกินเวลาท างานปกติ ค่าท างานในวันหยุด และค่าตอบแทนการท างานเกินเวลาท างานปกติในวันหยุด อันเป็น การตกลงระงับข้อพิพาทที่จะมีขึ้นในอนาคต บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่ง โจทก์ทั้งสามท าบันทึกดังกล่าวหลังจากพ้นจากการเป็นลูกจ้างของจ าเลยไปแล้ว โจทก์ทั้งสามย่อมมีอิสระแก่ตน พ้นพันธกรณีและอ านาจบังคับบัญชาของจ าเลยโดยสิ้นเชิง การสละสิทธิเรียกร้องในเงินดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อ


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๑๕ - ความสงบเรียบร้อยของประชาชนและไม่เป็นโมฆะ สิทธิเรียกร้องของโจทก์เกี่ยวกับเงินใดๆ รวมทั้งค่าตอบแทน การท างาน ฯ ย่อมร ะงับสิ้นไปตา มป ระมวลกฎหมาย แพ่งแล ะพาณิ ชย์มา ตรา ๘๕๒ โจทก์ทั้งสา ม จึงไม่มีอ านาจฟ้อง ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๔. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๒๑๖๗/๒๕๕๗ เรื่อง นำยจ้ำงเลิกจ้ำงโดยจ่ำยค่ำชดเชยและสินจ้ำงแทนกำรบอกกล่ำวล่วงหน้ำให้ตำม กฎหมำยและลูกจ้ำงลงชื่อไม่เรียกร้องใดๆ อีก ลูกจ้ำงจะมำฟ้องร้องอีกไม่ได้ โจทก์ฟ้องว่าจ าเลยเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ขอคิดค่าเสียหาย ๒,๑๐๕,๖๐๐ บาท ศาลแรงงาน กลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า จ าเลยจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้าให้ตามกฎหมายและโจทก์ลงชื่อยอมรับข้อตกลงว่าโจทก์จะไม่เรียกร้องหรือใช้สิทธิเรียกร้องใดๆ ใน ภายหลังอันเนื่องมาจากการกระท าผิดไว้ในเอกสารดังกล่าว เป็นการสมัครใจเลิกสัญญาจ้าง ไม่เป็นการเลิก จ้างที่ไม่เป็นธรรม ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๕. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๒๘๑๙/๒๕๕๗ เรื่อง ข้อตกลงที่ไม่ติดใจเรียกร้องเงินใดๆจำกนำยจ้ำงอีก แม้ท ำในวันรับทรำบกำรเลิกจ้ำง ซึ่งขณะนั้นยังคงเป็นลูกจ้ำงอยู่ก็ตำม แต่ลูกจ้ำงย่อมมีอิสระตัดสินใจ มีลักษณะเป็นสัญญำประนีประนอม ยอมควำม ไม่ขัดต่อพระรำชบัญญัติคุ้มครองแรงงำน พ.ศ. ๒๕๔๑ ใช้บังคับได้ วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๑ จ าเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลในวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๑ โดย ระบุว่าที่ผ่านมาไม่พอใจการปฏิบัติงานของโจทก์ และจ าเลยตกลงจ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าชดเชย ฯลฯ แก่ จ าเลยเป็นเงิน ๑๔๓,๙๓๗.๖๗ บาท และมีข้อความระบุไว้ว่าโจทก์ยืนยันไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่นใดจากจ าเลย อีกต่อไป และโจทก์ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน ข้อความตามเอกสารแสดงให้เห็นว่าจ าเลยตกลงจ่ายเงินที่ โจทก์มีสิทธิได้รับตามกฎหมายต่างๆ แก่โจทก์ แม้ในขณะนั้นโจทก์ยังคงเป็นลูกจ้างของจ าเลยอยู่ก็ตามแต่โจทก์ ก็มีอิสระที่จะตัดสินใจได้โดยไม่อยู่ในภาวะที่จะต้องเกรงกลัวจ าเลย หรือถูกบีบบังคับให้รับเงินต่างๆ ตามที่ จ าเลยเสนอให้ โดยโจทก์สามารถเลือกได้อย่างอิสระว่าจะตกลงยอมรับเงินจ านวนดังกล่าวหรือไม่ตกลงยอมรับ แล้วไปใช้สิทธิฟ้องร้องเรียกเงินค่าจ้างและเงินอื่นๆ ที่โจทก์มีสิทธิจะได้รับตามกฎหมายจากจ าเลยในภายหลัง ดังนั้นข้อตกลงจึงไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ ทั้งไม่ต้องห้ามโดยกฎหมายหรือขัดต่อความ สงบเรียบร้อยของประชาชน แต่มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีผลบังคับ ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๖. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๒๘๔๑/๒๕๕๗ เรื่อง ลูกจ้ำงสละสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับกรณีเลิกจ้ำง ลูกจ้ำงจึงฟ้องเรียกค่ำเสียหำยจำกกำร เลิกจ้ำงที่ไม่เป็นธรรมตำมมำตรำ ๔๙ แห่งพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลแรงงำนและวิธีพิจำรณำคดีแรงงำน พ.ศ. ๒๕๒๒ มิได้


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๑๖ - ข้อความในหนังสือบอกเลิกจ้างที่ระบุว่าโจทก์จะไม่เรียกร้องหรือฟ้องร้องด าเนินคดีใดๆ แก่จ าเลย อีกต่อไปเป็นการสละสิทธิของโจทก์ที่จะเรียกร้องเงินอื่นใดอันจะพึงได้รับตามกฎหมายจากจ าเลยอีก โจทก์ ลงลายมือชื่อด้วยความสมัครใจไม่ได้ถูกบังคับ ขณะลงลายมือชื่อโจทก์ทราบดีว่าจ าเลยเลิกจ้างโจทก์แล้ว จึงมี อิสระที่จะตัดสินใจ ค่าเสียหายที่โจทก์สละสิทธิเรียกร้องเป็นค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตาม มาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งไม่ใช่เงินตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ การที่โจทก์สละสิทธิเรียกร้องในเงินดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อความ สงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ข้อความดังกล่าวย่อมแปลได้ว่าโจทก์จะไม่เรียกร้องหรือฟ้องร้อง เอกแก่จ าเลยอีกต่อไปที่จ าเลยเลิกจ้างโจทก์ครั้งนี้ และแม้ขณะที่โจทก์ลงลายมือชื่อ โจทก์ไม่ทราบว่าโจทก์จะ เรียกร้องเงินค่าเสียหายได้ตามกฎหมายก็ตาม ก็ไม่ท าให้โจทก์กลับมีสิทธิเรียกร้องได้อีกเพราะโจทก์ได้สละสิทธิ นี้แล้ว ทั้งโจทก์จะอ้างว่าไม่ทราบว่ากฎหมายให้เรียกเงินค่าเสียหายนี้ก็ตาม ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๗. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๓๕๓๖/๒๕๕๗ เรื่อง ลูกจ้ำงท ำบันทึกต่อพนักงำนตรวจแรงงำนสละสิทธิเรียกร้องไม่ติดใจเรียกร้องใดๆ เกี่ยวกับกำรเลิกจ้ำงอีก รวมถึงสิทธิเรียกร้องค่ำเสียหำยจำกกำรเลิกจ้ำงที่ไม่เป็นธรรมด้วย ลูกจ้ำงจึงน ำ คดีมำฟ้องอีกไม่ได้ โจทก์ฟ้องว่าจ าเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างต าแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคล ต่อมาจ าเลยเลิกจ้างโดยที่ โจทก์ไม่มีความผิด เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จ าเลยให้การว่าสิทธิเรียกร้องกรณีการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ยุติแล้ว เนื่องจากโจทก์ท าบันทึกต่อพนักงานตรวจแรงงานว่าไม่ติดใจฟ้องจ าเลยทั้งทางแพ่งและทางอาญาใดๆ อีก ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จ าเลยช าระเงิน ๕๐,๔๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จ าเลย อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า บันทึกค าให้การที่โจทก์ท าขึ้นต่อพนักงานตรวจแรงงานเมื่อได้รับค่าชดเชยและค่าจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจากจ าเลยจ านวน ๗๕,๖๐๐ บาท มีข้อความระบุว่าโจทก์ขอยุติเรื่องแต่เพียงนี้ และ จะไม่ร้องทุกข์ ร้องเรียนที่ใด หรือเรื่องใดๆ อีก ข้อความดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องใดๆ เกี่ยวกับ การเลิกจ้างในเรื่องนี้อีก ซึ่งรวมถึงค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมด้วย ดังนั้นโจทก์จะมาฟ้องจ าเลยให้ ช าระค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมอีกไม่ได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๘. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๔๗๑๑ - ๔๗๑๒/๒๕๕๗ เรื่อง ลูกจ้ำงท ำบันทึกสละสิทธิเรียกร้องเงินอื่นใดจำกนำยจ้ำงภำยหลังจำกพ้นสภำพกำรเป็น ลูกจ้ำงแล้ว ลูกจ้ำงจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่ำเสียหำยจำกกำรเลิกจ้ำงที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ท างานเป็นลูกจ้างของจ าเลย วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๐ จ าเลยเลิกจ้างโจทก์ ต่อมาวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๐ จ าเลยจ่ายค่าชดเชย ๑๐ เท่าของค่าจ้าง สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างแก่ โจทก์ และมีบันทึกตอนท้ายว่าโจทก์ไม่เรียกร้องเงินอื่นใดจากจ าเลยอีก ซึ่งข้อความในบันทึกหมายความว่า โจทก์ได้สละสิทธิเรียกร้องเงินอื่นใดซึ่งรวมทั้งค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมด้วย เมื่อบันทึก


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๑๗ - ดังกล่าวได้ท าภายหลังจากที่โจทก์พ้นสภาพการเป็นลูกจ้างของจ าเลยไปแล้ว โจทก์ย่อมมีอิสระแก่ตน พ้นพันธะ กรณีและอ านาจบังคับบัญชาจากจ าเลยโดยสิ้นเชิง จึงเป็นการท าตามใจสมัครโดยแท้จริงปราศจากเหตุอันควร วิตกว่าโจทก์ก ระท าเพร าะถูกจ าเลยใช้อุบ ายข่มขู่ ทั้งค่า เสียหาย จากก ารเลิกจ้างที่ไม่เป็นธ รรมตา ม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ ก็ไม่ใช่ค่าชดเชยตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์ย่อมสละสิทธิเงินดังกล่าวได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินค่าเสียหายจากจ าเลยอีก ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๙. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๔๗๒๐/๒๕๕๗ เรื่อง บันทึกสละสิทธิเรียกร้องเงินใดๆ หลังจำกลูกจ้ำงทรำบกำรเลิกจ้ำงแล้ว มีผลใช้บังคับ ได้ กำรที่ลูกจ้ำงน ำคดีมำฟ้องอีกจึงเป็นกำรใช้สิทธิไม่สุจริต ลูกจ้ำงไม่มีอ ำนำจฟ้อง โจทก์ท างานต าแหน่งพนักงานขายของจ าเลย ก่อนเลิกจ้างโจทก์ได้มีการตกลงจ่ายเงินจ านวน สุดท้ายเป็นยอดเงินค่าจ้างและค่าชดเชยจนถึงวันที่สัญญาจ้างสิ้นสุดจ านวน ๓๗๐,๐๓๓ บาท โดยโจทก์ตกลง รับเงินจ านวนดังกล่าวและจะไม่เรียกร้องสิทธิใดๆ จากจ าเลยอีกต่อไปนั้น เห็นว่า ข้อตกลงได้มีการตกลงให้หัก เงินจ านวน ๗๓,๕๐๐ บาท ซึ่งเท่ากับเงิน ๒๑๐,๐๐๐ เยน ที่โจทก์ท าหายไปออกไปด้วย โจทก์ได้ตรวจสอบ เงินดังกล่าวและลงลายมือชื่อในเอกสารกับรับเช็คดังกล่าวมาจากจ าเลยจนครบถ้วนแล้ว เมื่อโจทก์มีต าแหน่ง เป็นพนักงานขายอาวุโส ท างานกับจ าเลยมากกว่า ๑๐ ปี จบการศึกษาระดับชั้นปริญญาตรี โจทก์ย่อมเข้าใจ ในสิทธิและหน้าที่หากมีการลงนามในเอกสาร เมื่อจ าเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ และโจทก์ลงนามรับเงินจากจ าเลยและตกลงจะไม่เรียกร้องสิทธิใดๆ จากจ าเลยอีก การสละสิทธิของโจทก์จึง เป็นการกระท าโดยสมัครใจมีผลใช้บังคับผูกพันโจทก์ได้ การที่โจทก์น าคดีมาฟ้องจึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต โจทก์จึงไม่มีอ านาจฟ้อง ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๑๐. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๔๗๒๑/๒๕๕๗ เรื่อง บันทึกสละสิทธิเรียกร้องเงินใดๆ หลังจำกลูกจ้ำงทรำบกำรเลิกจ้ำงแล้ว มีลักษณะเป็น สัญญำประนีประนอม ลูกจ้ำงจึงเรียกร้องค่ำเสียหำยจำกกำรเลิกจ้ำงที่ไม่เป็นธรรมและสินจ้ำงแทนกำร บอกกล่ำวล่วงหน้ำมิได้อีก โจทก์รับทราบการเลิกจ้างและตกลงยอมรับเงินโดยลงลายมือชื่อด้วยความสมัครใจในบันทึก มีข้อความว่า “ข้าพเจ้าไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่นใดจากบริษัทอีก และข้าพเจ้าขอสละสิทธิที่จะเรียกร้องหรือ ฟ้องร้องให้บริษัทช าระเงินใดๆ ให้แก่ข้าพเจ้าเกี่ยวกับการท างานของข้าพเจ้ากับบริษัทเสียทั้งสิ้น” เงินอื่นใด และเงินใดๆ ที่โจทก์ไม่ติดใจเรีย กร้องหรือสิทธิย่อมหมายถึงสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่ วงหน้าตา ม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๗ และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ โจทก์ย่อมสละสิทธิเงิน ดังกล่าวได้ นอกจากนี้เมื่อโจทก์ตกลงรับเงินโดยลงลายมือชื่อด้วยความสมัครใจในใบรับเงินหลังจากโจทก์ทราบ


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๑๘ - การเลิกจ้างแล้ว บันทึกการสละสิทธิสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ ไม่เป็นธรรมตามย่อมมีผลผูกพันโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินดังกล่าวจากจ าเลยอีก ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๑๑. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๑๐๘๙๙/๒๕๕๗ เรื่อง บันทึกในหนังสือเลิกจ้ำงลูกจ้ำงสละสิทธิไม่เรียกร้องเงินใดๆ เพิ่มเติมอีก ลูกจ้ำงจึงไม่มี สิทธิเรียกร้องค่ำเสียหำยจำกำรเลิกจ้ำงที่ไม่เป็นธรรม ตามบันทึกในหนังสือเลิกจ้างระบุว่า จ าเลยที่ ๑ ขอเลิกจ้างโจทก์โดยพิจารณาจ่ายค่าชดเชยและ สิทธิประโยชน์อื่นๆ อันเนื่องมาจากการเลิกจ้างตามระเบียบข้อบังคับทั่วไปเกี่ยวกับการท างาน ตามอายุงาน ให้โจทก์เป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๑๔๒,๕๑๔.๘๗ บาท และโจทก์ลงชื่อรับทราบว่าได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆตาม กฎหมายคุ้มครองแรงงานและจะไม่เรียกร้องผลประโยชน์ใดๆ เพิ่มเติมนั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์จบ การศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาบัญชีและได้รับใบอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีและได้อ่านข้อความบันทึกหนังสือ เลิกจ้างเข้าใจแล้วจึงลงชื่อ แสดงว่าเมื่อโจทก์ได้รับเงิน ๑,๑๔๒,๕๑๔.๘๗ บาท จากจ าเลยแล้วโจทก์ตกลง ไม่ติดใจเรียกผลประโยชน์ใดเพิ่มเติมก็คือค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจากจ าเลยอีก สิทธิเรียกร้อง ของโจทก์ในค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเป็นอันระงับไป โจทก์จึงไม่มีอ านาจฟ้อง ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๒๖๖๖/๒๕๕๖ เรื่อง เลิกจ้ำงไปแล้ว ต่อมำลูกจ้ำงนำยจ้ำงตกลงกันโดยลูกจ้ำงเขียนใบลำออกด้วยควำม สมัครใจรับเงินช่วยเหลือ ๑๐๐,๐๐๐ บำท ลูกจ้ำงจะน ำคดีมำฟ้องเกี่ยวกับกำรเลิกจ้ำงอีกไม่ได้ แม้สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์จ าเลยสิ้นสุดลงทันทีด้วยการเลิกจ้างตามที่โจทก์อุทธรณ์มาก็ ตาม แต่เมื่อศาลแรงงานภาค ๘ รับฟังข้อเท็จจริงว่าในระหว่างพิจารณาอุทธรณ์ค าสั่งเลิกจ้างโจทก์ได้ท าหนังสือ ลาออกด้วยความสมัครใจและรับเงินช่วยเหลือจากจ าเลยจ านวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเมื่อใบลาออกของโจทก์ เป็นการกระท าขึ้นภายหลังที่โจทก์ถูกเลิกจ้างทั้งอยู่ในระหว่างพิจารณาอุทธรณ์ หนังสือเลิกจ้างที่อ้างว่าโจทก์ ทุจริตค่าน้ ามันรถโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการลาออกด้วยความสมัครใจ แม้ใบลาออกของโจทก์ดังกล่าวหาเป็น เหตุให้สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์จ าเลยสิ้นสุดลงไปก็ตาม แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีประกอบ พฤติกรรมของโจทก์ที่โจทก์ตกลงยินยอมรับเงินช่วยเหลือจากจ าเลยจ านวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ไปแล้วภายหลัง โดยปราศจากข้อโต้แย้งคัดค้านอื่นใด ทั้งสิ้น จึงเป็นกรณีที่โจทก์ตกลงยินยอมกับจ าเลยเพื่อยุติเรื่องการเลิกจ้าง ที่อ้างเหตุว่าโจทก์ทุจริตค่าน้ ามันรถ เท่ากับว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเรียกร้องเกี่ยวกับการเลิกจ้างดังกล่าวต่อไป -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๑๙ - ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๒๑๒๖/๒๕๕๕ เรื่อง ข้อตกลงตำมสัญญำประนีประนอมยอมควำมกรณีไม่ติดใจเรียกร้องสิทธิอื่นอีกนั้น ไม่ รวมถึงเงินค่ำบริหำรทีมขำยกับค่ำคอมมิสชั่นส่วนตัวด้วย ลูกจ้ำงจึงมีอ ำนำจฟ้องเรียกร้องเงินค่ำบริหำรทีม ขำยกับค่ำคอมมิสชั่นส่วนตัวได้ โจทก์ไปร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานอ้างว่าถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิดขอให้จ าเลยจ่ายค่าจ้าง ค่าชดเชย ค่าบริหารทีมขายและค่าคอมมิสชั่นการขาย ต่อมาพนักงานตรวจแรงงานพิจารณาแล้วเห็นว่า เงินค่าบริหารทีมขายและค่าคอมมิสชั่นการขายไม่ใช่ค่าจ้าง จึงมีค าสั่งให้จ าเลยจ่ายเฉพาะค่าจ้าง ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกการล่วงหน้าแก่โจทก์ ต่อมาโจทก์น าคดีมาฟ้องจ าเลยต่อศาลแรงงานเรียกเงินค่าบริหารทีมขาย และค่าคอมมิสชั่นการขาย ส่วนจ าเลยอุทธรณ์ค าสั่งพนักงานตรวจแรงงานและโจทก์เข้าร่วมเป็นจ าเลยร่วมกับ พนักงานตรวจแรงงานโดยศาลแรงงานอนุญาต คดีก็ยังคงมีประเด็นพิพาทเฉพาะค าสั่งเรื่องค่าจ้าง ค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ในระหว่างพิจารณาปรากฏว่าโจทก์จ าเลยตกลงท าสัญญาประนีประนอม ยอมความโดยโจทก์ยอมรับเงินเพียง ๑๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งลดลงจากจ านวนค าสั่งพนักงานตรวจแรงงานถึง ๑ ใน ๕ จึงไม่น่าเชื่อว่าโจทก์จะยอมสละสิทธิเรียกร้องเงินค่าบริหารทีมขายและค่าคอมมิสชั่นการขายที่ฟ้องเรียกร้อง รวมเป็นเงินกว่าห้าแสนบาทอีกด้วย ดังนั้นข้อตกลงที่ว่าโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องอื่นๆ อีกนั้น จึงไม่ได้หมายความ รวมถึงสิทธิเรียกร้องในค่าบริหารทีมขายและค่าคอมมิสชั่นด้วย โจทก์จึงมีอ านาจฟ้อง ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๒. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๑๕๗๘๐/๒๕๕๕ เรื่อง นำยจ้ำงตกลงจ่ำยค่ำชดเชยแก่ลูกจ้ำงแต่ไม่ครบจ ำนวนตำมที่กฎหมำยก ำหนด ลูกจ้ำง มีอ ำนำจฟ้องให้นำยจ้ำงจ่ำยค่ำชดเชยส่วนที่ขำดได้ จ าเลยประกอบกิจการรับจ้างซ่อมคอมพิวเตอร์ ผลิตและจ าหน่ายหมึกที่ใช้พิมพ์ ต่อมาจ าเลย ประสบปัญหาภาวะการขาดทุนจึงเลิกจ้างโจทก์เพื่อลดค่าใช้จ่าย โจทก์ฟ้องให้จ าเลยจ่ายค่าชดเชยในส่วนที่ จ าเลยจ่ายไม่ครบ สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จ าเลยต่อสู้ ประเด็นค่าชดเชยว่าโจทก์ได้ท าบันทึกข้อตกลงยอมรับค่าชดเชยและได้รับไปแล้วตามที่ตกลงกันถือว่าโจทก์ได้ ตกลงระงับข้อเรียกร้องค่าชดเชยและเงินอื่นๆ โจทก์ไม่มีอ านาจฟ้อง ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จ าเลยจ่าย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๔,๗๗๕ บาท และจ่ายค่าชดเชยเป็นเงินจ านวน ๔๗,๗๕๐ บาท พร้อม ดอกเบี้ย จ าเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า จ าเลยมีสิทธิได้รับค่าชดเชย ๒๔๐ วัน เป็นเงินจ านวน ๗๖,๔๐๐ บาท แต่จ าเลยให้โจทก์รับไปแล้วเป็นเงินจ านวน ๒๘,๖๕๐ บาท จ าเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์อีกเป็นเงิน จ านวน ๔๗,๗๕๐ บาท แม้โจทก์จะได้ตกลงยอมรับค่าชดเชยจากจ าเลยดังกล่าวมาแล้ว แต่เมื่อยังไม่ครบ จ านวนที่จ าเลยจะต้องจ่ายตามบทบัญญัติมาตรา ๑๑๘ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ โจทก์ก็ยังมีสิทธิได้รับตามกฎหมายต่อไป โจทก์จึงมีอ านาจฟ้องค่าชดเชยที่ยังขาดอยู่


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๒๐ - ๓. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๑๗๘๘๑/๒๕๕๕ เรื่อง ลูกจ้ำงแสดงเจตนำลำออกโดยยอมรับเงินสิทธิประโยชน์จำกนำยจ้ำงและสละสิทธิ เรียกร้องใดๆ อันมีลักษณะเป็นสัญญำประนีประนอมยอมควำม ย่อมท ำให้สิทธิเรียกร้องระงับไป เมื่อโจทก์แสดงเจตนาลาออกจากการเป็นลูกจ้างจ าเลยนั้น โจทก์ได้รับเงินช่วยเหลือพิเศษ เพิ่มเติมจากจ าเลยเท่ากับค่าจ้าง ๕ เดือน เป็นเงิน ๑๒๒,๖๔๐ บาท ซึ่งจ าเลยจ่ายให้โดยครอบคลุมถึงสิทธิ ดังกล่าวที่โจทก์เห็นว่ามีสิทธิได้รับ ซึ่งโจทก์ก็ได้ลงลายมือชื่อในหนังสือปลดหนี้และสละสิทธิโดยสละสิทธิ เรียกร้องใดๆ อีก อันมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ย่อมท าให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่าย ได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๘๕๒ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับตั๋ว เครื่องบินหรือเงินจ านวนดังกล่าวจากจ าเลยที่ ๑ อีก ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกา เห็นพ้องด้วย ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๕๐๑๖/๒๕๕๔ เรื่อง นำยจ้ำงเลิกจ้ำงแล้วต่อมำลูกจ้ำงเขียนใบลำออก ถือว่ำสัญญำจ้ำงแรงงำนระงับสิ้นไป ไม่มีผลท ำให้กำรเลิกจ้ำงก่อนหน้ำสิ้นผลผูกพัน แต่อย่ำงไรก็ตำม ข้อตกลงระหว่ำงนำยจ้ำงลูกจ้ำงตำม หนังสือขอลำออกเป็นสัญญำต่ำงตอบแทนเพื่อระงับข้อพิพำทโดยต่ำงยอมผ่อนผันให้แก่กันที่นำยจ้ำง จะไม่ด ำเนินคดีอำญำฐำนยักยอกมีผลบังคับได้ ลูกจ้ำงจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่ำชดเชยและสินจ้ำงแทนกำร บอกกล่ำวล่วงหน้ำ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จ าเลยจ้างโจทก์ท างานเป็นลูกจ้างต าแหน่งผู้จัดการส่วนมาตรฐาน ค่าจ้าง สุดท้ายเดือนละ ๖๐,๐๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๔๙ จ าเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระท าผิด ขอบังคับให้จ าเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พร้อมดอกเบี้ย จ าเลยให้การว่าโจทก์เบียด บังเงินจ านวน ๔๐,๐๐๐ บาท จ าเลยทราบเรื่องจึงเลิกจ้างพร้อมด าเนินคดีอาญา โจทก์น าเงินมาคืนและขอให้ จ าเลยไม่ด าเนินคดีอาญาโดยจะขอลาออกในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ พร้อมกับท าหนังสือลาออก จ าเลย ไม่ด าเนินคดีอาญา ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า จ าเลยเลิกจ้างโจทก์ในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ โดยจะจ่ายค่าชดเชยให้ แล้ว ต่อมาจ าเลยทราบเรื่องว่าโจทก์ในระหว่างที่ยังเป็นลูกจ้างของจ าเลยได้ทุจริตต่อหน้าที่กระท าความผิด ทางอาญายักยอกเงินของจ าเลย โจทก์และจ าเลยจึงเจรจาตกลงกันว่าจ าเลยจะไม่ด าเนินคดีอาญากับโจทก์ ส่วนโจทก์ท าหนังสือขอลาออกจากการเป็นพนักงานของจ าเลยโดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ นั้น เมื่อจ าเลยเลิกจ้างโจทก์ถือว่าสัญญาจ้างแรงงานระงับสิ้นไป แม้โจทก์จะลงนามในหนังสือลาออก ก็ไม่มีผลท าให้การเลิกจ้างของจ าเลยก่อนหน้าสิ้นผลผูกพัน อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงระหว่างโจทก์และจ าเลย


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๒๑ - ตามหนังสือขอลาออกดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทนเพื่อระงับข้อพิพาทโดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน ที่โจทก์จะไม่ด าเนินคดีอาญาจ าเลยฐานยักยอกส่วนจ าเลยท าหนังสือขอลาออกให้มีผลย้อนหลังไปถึง วันที่จ าเลยเลิกจ้างโจทก์อันถือเป็นการแสดงเจตนาว่าโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องเงินค่าชดเชยและสินจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ข้อตกลงตามหนังสือขอลาออกนั้นมีผลใช้บังคับได้ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้อง ค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พิพากษายืน ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๒. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๑๑๖๑๑/๒๕๕๔ เรื่อง ข้อตกลงจ่ำยสิทธิประโยชน์เมื่อเลิกสัญญำจ้ำงย่อมผูกพันข้อควำม จ าเลยมีนโยบายที่จะให้พนักงานออกจากงานโดยไม่มีความผิดโดยจะให้ผลประโยชน์ตอบแทน และจ าเลยได้เลือกโจทก์เพื่อเข้าร่วมนโยบายดังกล่าวโดยโจทก์ยอมตกลงด้วย ต่อมาโจทก์และจ าเลยได้ท า บันทึกแนบหนังสือยกเลิกสัญญาจ้างงาน ดังนั้นการเลิกสัญญาจ้างงานระหว่างโจทก์กับจ าเลยจึงเป็นไป ตามข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจ าเลย มิใช่จ าเลยเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาจ้างแก่โจทก์เพียงฝ่ายเดียว สัญญาจ้าง ระหว่างโจทก์และจ าเลยจึงสิ้นผลผูกพันกัน ทั้งโจทก์และจ าเลยย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องใดๆ ต่อกันโดยอาศัย สัญญาจ้างงานซึ่งสิ้นผลผูกพันไปแล้ว คงมีความผูกพันกันตามที่ได้ตกลงกันไว้ในหนังสือยกเลิกสัญญาจ้างงาน และบันทึกแนบหนังสือยกเลิกสัญญาจ้างงาน นอกจากนี้ในบันทึกดังกล่าวยังได้ระบุไว้ชัดเจนว่าในการจ่ายเงิน พิเศษดังกล่าวได้รวมค่าจ้างส าหรับวันหยุดพักผ่อนประจ าปีที่โจทก์ยังไม่ได้ใช้ไว้ด้วยแล้ว และบันทึกดังกล่าวมี ข้อความว่า โจทก์เห็นว่าเงินผลประโยชน์และเงินช่วยเหลือพิเศษทั้งหมดที่จ าเลยจัดให้ครอบคลุมผลประโยชน์ ต่างๆ ที่โจทก์พึงได้รับไว้ครบถ้วนเป็นธรรมแล้ว โจทก์ย่อมผูกพันตามข้อความดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับ เงินช่วยเหลือพิเศษที่โจทก์อ้างว่าจ าเลยค านวณผิดพลาด ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ปี พ.ศ. อื่นๆ ๑. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๓๖๗/๒๕๔๗ เรื่อง ลูกจ้ำงท ำข้อตกลงรับเงินผลประโยชน์พิเศษจำกนำยจ้ำง ๕๐๐,๐๐๐ บำท และมี ข้อควำมตอนท้ำยว่ำไม่มีข้อเรียกร้องใดที่เกิดก่อนวันที่ตกลงกัน ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญำประนีประนอม ยอมควำม โดยลูกจ้ำงตกลงยอมรับภำยหลังจำกที่ลูกจ้ำงได้แสดงเจตนำจะลำออกแล้ว ลูกจ้ำงย่อมมีอิสระ ที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับผลประโยชน์ของตน ข้อตกลงมีผลใช้บังคับได้ เอกสารที่ท าขึ้นระห ว่างโจ ทก์กับ จ าเลยทั้งส ามระบุว่า โจทก์ลาออกจากงาน ตั้งแต่วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๔ โดยจ าเลยทั้งสามจ่ายเงินผลประโยชน์พิเศษให้จ านวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท และโจทก์จะไม่ เรียกร้องสิทธิใด ๆ ที่เกิดขึ้นในวันที่หรือก่อนวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๔ นั้น มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอม ยอมความ และโจทก์ตกลงกับจ าเลยทั้งสามตามข้อตกลงดังกล่าวโดยลงลายมือชื่อยอมรับภาย หลังจากที่โจทก์


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๒๒ - แสดงความประสงค์จะลาออกจากการเป็นพนักงานของจ าเลยที่ ๓ แล้ว โจทก์ย่อมมีอิสระที่จะตัดสินใจ เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของตนเองได้ ข้อตกลงตามเอกสารดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน มีผลบังคับได้ ไม่ตกเป็นโมฆะ ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๒. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๕๖๙/๒๕๔๗ เรื่อง สัญญำจ้ำงที่ระบุว่ำกำรเลิกจ้ำงตำมสัญญำนี้ นำยจ้ำงไม่มีควำมผูกพันที่จะต้องจ่ำย ค่ำชดเชยและลูกจ้ำงไม่มีสิทธิตำมกฎหมำยที่จะเรียกร้องค่ำชดเชย เป็นโมฆะ โจทก์ท างานเป็นลูกจ้างจ าเลยตั้งแต่วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๘ นับถึงวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๔๔ ที่มีการท าสัญญาจ้างงานใหม่ โจทก์ท างานติดต่อกันมาถึง ๕ ปีเศษ สัญญาจ้างใหม่ระหว่างโจทก์กับ จ าเลยก าหนดว่าเมื่อสัญญาสิ้นสุดลง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นโจทก์เป็นลูกจ้างที่มี สิทธิได้รับค่าชดเชยอยู่แล้ว สัญญาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ที่จะหลีกเลี่ยงไม่จ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ซึ่งเป็น ลูกจ้างตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ มาตรา ๑๑๘ อันเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงตก เป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๐ ดังนั้น ระยะเวลาการท างานของโจทก์กับจ าเลยตามสัญญาจ้างเดิมจึงต้อง นับรวมเข้ามาด้วย โจทก์มีอายุงานครบ ๖ ปี แต่ไม่ครบ ๑๐ ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตรา สุดท้าย ๒๔๐ วัน ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๓. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๓๑๒๑/๒๕๔๓ เรื่อง ลูกจ้ำงตกลงรับเงินระบุว่ำค่ำชดเชยและสินจ้ำงแทนกำรบอกกล่ำวล่วงหน้ำจ ำนวน ๑๖๙,๖๐๐ บำท ภำยหลังถูกเลิกจ้ำงแล้วถึง ๒ เดือนเศษ โดยจะไม่ฟ้องร้องด ำเนินคดีเรียกเงินใดๆ อีก ข้อตกลงมีผลใช้บังคับได้ไม่เป็นโมฆะ และเงินใดๆ หมำยถึงเงินทุกประเภท รวมทั้งค่ำล่วงเวลำที่ลูกจ้ำง อำจมีสิทธิได้รับด้วย ลูกจ้ำงจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่ำล่วงเวลำจำกนำยจ้ำง จ าเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลเป็นการเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๒ ซึ่งโจทก์ ทราบการเลิกจ้างและไม่ไปท างานตั้งแต่วันดังกล่าวโจทก์ไปท าหนังสือ ยินยอมการสละสิทธิเรียกร้องของโจทก์ หลังจากโจทก์ไม่ไปท างานถึง ๒ เดือนเศษ โจทก์จึงมีอิสระแก่ตน พ้นพันธะกรณีและอ านาจบังคับบัญชาของ จ าเลยโดยสิ้นเชิง การสละสิทธิเรียกร้องของโจทก์ตามเอกสารดังกล่าวไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของ ประชาชนและไม่เป็นโมฆะ จึงมีผลใช้บังคับ เอกสารฉบับพิพาทระบุว่า จ าเลยแจ้งให้โจทก์ทราบว่าโจทก์ถูกเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๒ โดยจ าเลยตกลงจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้ ๑๖๙,๖๐๐ บาท โจทก์ทราบ แล้วตกลงรับเงินจ านวนดังกล่าวโดยจะไม่ฟ้องร้องด าเนินคดีเรียกค่าชดเชยหรือเงินใด ๆ จากจ าเลยอีก ซึ่งเงิน ใด ๆ ที่โจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องอีกดังกล่าวนั้น ย่อมหมายถึงเงินทุกประเภท รวมทั้งค่าล่วงเวลาที่โจทก์อาจจะมี สิทธิได้รับจากจ าเลยด้วย เมื่อการสละสิทธิเรียกร้องดังกล่าวมีผลใช้บังคับได้โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มี สิทธิเรียกร้องค่าล่วงเวลาจากจ าเลย -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๒๓ - ๔. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๙๘/๒๕๔๐ เรื่อง น ำยจ้ำงเลิกจ้ำงลูกจ้ำงและได้ท ำหนั งสือบันทึกว่ำลูกจ้ำงได้รับเงินบ ำเหน็จและ เงินชดเชยตำมกฎหมำยแรงงำนถูกต้องแล้ว และจะไม่ฟ้องร้องด ำเนินคดีแต่ประกำรใดทั้งสิ้น ข้อควำม ในเอกสำรมิได้ระบุถึงค่ำเสียหำยเนื่องจำกกำรเลิกจ้ำงไม่เป็นธรรมและเงินโบนัสด้วย กรณีไม่อำจถือได้ว่ำ ลูกจ้ำงสละสิทธิเรียกร้องในค่ำเสียหำยเนื่องจำกกำรเลิกจ้ำงไม่เป็นธรรมและเงินโบนัสด้วย ลูกจ้ำงจึงมี อ ำนำจฟ้องเรียกค่ำเสียหำยเนื่องจำกกำรเลิกจ้ำงไม่เป็นธรรมและเงินโบนัสจำกนำยจ้ำงได้ โจทก์เข้าท างานเป็นลูกจ้างจ าเลย ต่อมาจ าเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ และจ าเลยได้จ่ายค่าชดเชยและเงินบ าเหน็จจ านวน ๔๒๔,๐๘๓ บาท แก่โจทก์ โจทก์ได้ท าหนังสือตามบันทึก เอกสารหมาย จ.๗ ให้แก่จ าเลย ความว่า "ตามที่ ชสท.(จ าเลย)ได้เลิกจ้างข้าพเจ้าตามค าสั่งที่ ๔๖/๒๕๓๗ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน๒๕๓๗ ข้าพเจ้าได้รับเงินบ าเหน็จตามระเบียบ ชสท.ว่าด้วยการพนักงาน ชสท. พ.ศ. ๒๕๓๕ และเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานเป็นเงิน๔๒๔,๐๘๓ บาท ถูกต้องแล้ว และจะไม่ฟ้องร้องด าเนินคดีแต่ ประการใดทั้งสิ้น" ข้อความในเอกสารที่โจทก์ลงลายมือชื่อให้ไว้แก่จ าเลยดังกล่าวได้ระบุประเภท ของเงินไว้ เฉพาะเงินบ าเหน็จและค่าชดเชยเท่านั้น มิได้ระบุถึงค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและเงินโบนัส ด้วยแต่ อย่างใด ข้อความตอนท้ายที่ว่าจะไม่ฟ้องร้องด าเนินคดีแต่ประการใด ซึ่งจ าเลยถือว่าเป็นการที่โจทก์ สละสิทธิหรือปลดหนี้ให้แก่จ าเลยนั้น ข้อความดังกล่าวหาได้ระบุไว้โดยแจ้งชัดว่าโจทก์ทั้งสองได้ปลดหนี้ในเงิน อื่น ๆ รวมทั้งค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและเงินโบนัสด้วยไม่ บันทึกตามเอกสารหมาย จ.๗ ดังกล่าวโจทก์เพียงแต่รับรองว่าจะไม่ฟ้องร้องจ าเลยเฉพาะที่เกี่ยวกับเงิน บ าเหน็จและค่าชดเชยเท่านั้น กรณีไม่ อาจถือได้ว่าโจทก์สละสิทธิเรียกร้องในค่าเสียหายเนื่องจากการเลิก จ้างไม่เป็นธรรมและเงินโบนัสด้วย โจทก์จึง มีอ านาจฟ้องเรียกค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและเงิน โบนัสจากจ าเลยได้ปัญหาที่ว่าการที่ จ าเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือไม่ หากเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจ าเลยต้องชดใช้ ค่าเสียหายเพียงใด และโจทก์มีสิทธิได้รับเงินโบนัสหรือไม่จ านวนเท่าใดนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่ ศาลแรงงานกลาง ยังมิได้วินิจฉัยศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนส านวนไปให้ศาลแรงงานกลาง วินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวต่อไป ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๕. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๒๔๙๙/๒๕๓๗ เรื่อง สัญญำจ้ำงที่ระบุว่ำให้สิทธิผู้ว่ำจ้ำงบอกเลิกสัญญำจ้ำงได้โดยผู้รับจ้ำงไม่มีสิทธิเรียกร้อง ค่ำเสียหำยหรือค่ำตอบแทน เป็นโมฆะ จึงไม่อำจบังคับแก่กำรจ่ำยค่ำชดเชยได้ ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า "จ าเลยอุทธรณ์ว่า ข้อตกลงตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.๑ เป็นข้อสัญญาซึ่งคู่กรณีสามารถตกลงได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๖ ซึ่งข้อสัญญาระบุ ไว้โดยแจ้งชัดว่า หากผู้ว่าจ้างเลิกจ้างผู้รับจ้างไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายหรือค่า ตอบแทนใด ๆ จาก ผู้ว่าจ้างได้อีกเมื่อจ าเลยใช้สิทธิเลิกจ้างโดยชอบโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าชดเชยจากจ าเลยได้ คดีจึงมีปัญหา ในชั้นนี้เพียงว่า จ าเลยต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการ คุ้มครองแรงงาน ข้อ ๔๖ ก าหนดให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมี วัตถุประสงค์ในอันที่จะก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ ลูกจ้าง เป็นการคุ้มครองและอ านวยประโยชน์แก่ลูกจ้าง จึงเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ดังนั้น แม้สัญญาจ้างเอกสารหมาย ล.๑ จะมี ข้อความว่าผู้ว่าจ้างมีสิทธิจะบอกเลิกสัญญาว่าจ้างนี้ต่อผู้รับจ้างได้ตลอดเวลาหากเห็นว่าผู้รับจ้างหมดความ จ าเป็นที่จะให้ปฏิบัติหน้ าที่การงาน หรือด้ วยเหตุอื่น ผู้รับจ้างไม่มีสิท ธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายห รือ


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๒๔ - ค่า ตอบแทนใด ๆ จ ากผู้ ว่า จ้างได้ก็ต าม แต่ข้อสัญญ าดังกล่า วก็ผิดแ ผกแตกต่างไป จ ากป ระก า ศ กระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ ๔๖ อันเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของ ประชาชนจึงไม่อาจบังคับใช้แก่การ จ่ายค่าชดเชยอันเป็นหน้าที่ของจ าเลยผู้เป็นนายจ้างตามบทกฎหมาย ข้างต้นได้ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จ าเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์นั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจ าเลยฟังไม่ขึ้น" ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๖. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๒๔๐๙/๒๕๒๗ เรื่อง ลูกจ้ำงท ำหนังสือสละสิทธิเรียกร้องค่ำชดเชย ต่อมำเปลี่ยนใจไปฟ้องศำลแรงงำนเรียก ค่ำชดเชย ศำลวินิจฉัยว่ำ กำรจ่ำยค่ำชดเชยเป็นหน้ำที่ของนำยจ้ำง ถือเป็นกฎหมำยเกี่ยวกับควำมสงบ เรียบร้อย กำรที่ลูกจ้ำงท ำหนังสือสละสิทธิเรียกร้องค่ำชดเช ย จึงไม่ท ำให้สิทธิของลูกจ้ำงที่จะได้รับ ค่ำชดเชยระงับไปไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาได้ความว่า จ าเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างมีก าหนด ๓ เดือน และได้ท าสัญญาจ้างติดต่อกันมารวม ๙ ครั้ง ครั้งละ ๓ เดือนบ้าง ๖ เดือนบ้าง ครั้งสุดท้ายมีก าหนด ๑ เดือน การจ้างติดต่อกันดังกล่าวเพราะมีความจ าเป็นตามฤดูกาลทาง เกษตรกรรม ซึ่งฤดูกาลดังกล่าวไม่เป็นการแน่นอนว่าจะหมดเมื่อใด หากยังมีอยู่ต่อไปจ าเลยก็จ้างโจทก์ต่อไป อีกและหากหมดฤดูกาลทางเกษตรก่อน จ าเลยก็เลิกจ้างก่อนก าหนดสัญญาได้จึงเห็นได้ว่าการจ้างระหว่าง โจทก์จ าเลยมิได้ถือเอาระยะเวลาการจ้างเป็นส าคัญ หากแต่ถือเอาความจ าเป็นของจ าเลยเป็นเหตุในการเลิก จ้างตามสัญญา ฉะนั้น ก าหนดระยะเวลาการจ้างระหว่างโจทก์จ าเลยซึ่งได้ท าสัญญาติดต่อกันมาจนกระทั่ง สัญญาจ้างครั้งสุดท้ายสิ้นสุดลง ย่อมไม่มีผลบังคับอย่างแท้จริง เพราะก่อนครบก าหนดเวลาดังกล่าวตามสัญญา จ าเลยจะเลิกจ้างโจทก์เสียเมื่อใดก็ได้ หากความจ าเป็นของจ าเลยหมดไป จึงถือไม่ได้ว่าสัญญาจ้างระหว่าง โจทก์จ าเลยเป็นการจ้างที่มีก าหนดระยะเวลา แน่นอนอันจ าเลยได้รับยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้าง ตามก าหนดนั้น การจ่ายค่าชดเชยเป็นหน้าที่ของนายจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานการฝ่าฝืนเป็นความผิด ทางอาญ า ถือว่าเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนการที่โจทก์ท าหนังสือสละสิทธิไม่ เรียกร้อง ค่าชดเชยจากจ าเลย จึงหาท าให้สิทธิของโจทก์ที่จะได้รับค่าชดเชยจากจ าเลยระงับไปไม่ ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๗. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๓๕๘๓/๒๕๒๔ เรื่อง สัญญำประนีประนอมยอมควำมเกี่ยวกับค่ำชดเชย ซึ่งผิดแผกแตกต่ำงไปจำกกฎหมำย คุ้มครองแรงงำน ซึ่งเป็นกฎหมำยเกี่ยวกับควำมสงบเรียบร้อย ตกเป็นโมฆะ ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๔๖ ซึ่งแก้ไขโดยประกาศกระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่ ๖) ลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๒๑ข้อ ๒ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ทั้งสามถูกเลิกจ้างนั้น มีวัตถุประสงค์ใน อันที่จะก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ลูกจ้าง เป็นการคุ้มครองและอ านวยประโยชน์แก่ลูกจ้าง เพราะลูกจ้างย่อม มีฐานะในทางเศรษฐกิจด้อยกว่านายจ้าง หากปล่อยให้มีการท าความตกลงเกี่ยวกับค่าชดเชยกันได้ฐานะทาง เศรษฐกิจอันเสีย เปรียบของลูกจ้างก็อาจเป็นเหตุโน้มน้าวให้ลูกจ้างจ าต้องยอมรับข้อเสนอที่ไม่ เป็นธรรมของ นายจ้าง เพื่อแก้ไขความเดือดร้อนเฉพาะหน้าของตน เป็นเหตุของความระส่ าระสายและเกิดความไม่สงบสุข ในบ้านเมือง ประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวจึงเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของ ประชาชน


จัดท ำโดย : นำยเชิดศักดิ์ ก ำปั่นทอง นิติกรช ำนำญกำร กองนิติกำร กรมสวัสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน - ๒๕ - สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งท าขึ้นผิดแผกแตกต่างไปจากประกาศกระทรวงมหาดไทย ดังกล่าวจึงเป็น โมฆะ ใช้บังคับมิได้แม้จ าเลยจะอ้างในอุทธรณ์ว่าฝ่ายตนต้องได้ความเดือดร้อนยิ่ง กว่าฝ่ายลูกจ้างเพราะต้อง ประสบกับการหมดเนื้อหมดตัวก็เป็นปัญหาในชั้นบังคับ คดีว่า จ าเลยจะสามารถช าระหนี้ให้โจทก์ได้เพียงใด หรือไม่ ซึ่งไม่เป็นเหตุให้หลักกฎหมายในข้อนี้ต้องเปลี่ยนแปลงไป ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ๘. ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๒๘๓/๒๕๑๖ เรื่อง สัญญำประนีประนอมยอมควำมที่ผิดแผกแตกต่ำงไปจำกกฎหม ำยคุ้มครองแรงงำน ซึ่งเป็นกฎหมำยเกี่ยวกับควำมสงบเรียบร้อย เป็นโมฆะ ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๙ เป็นกฎหมายพิเศษ เกี่ยวด้วยแรงงาน ซึ่งประกาศขึ้นใช้แทนพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. ๒๔๙๙ และปรากฏตามค าปรารภของ คณะปฏิวัติว่าเพื่อก าหนดการคุ้มครองและอ านวยประโยชน์แก่ลูกจ้าง และป้องกันมิให้เกิดความระส่ าระสาย ในการประกอบอุตสาหกรรม พาณิชยกรรมอันจะเป็นภัยร้ายแรงแก่การด าเนินงานเศรษฐกิจเพื่อความเจริญ รุ่งเรืองของประเทศวัตถุประสงค์ที่ออกประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้กล่าวโดยสรุปก็เพื่อให้มีเหตุการณ์ต่าง ๆ อันเกิดจากความไม่เป็นธรรมแก่ลูกจ้าง เป็นการคุ้มครองและอ านวยประโยชน์แก่ลูกจ้าง ทั้งป้องกันมิให้เกิด ความระส่ าระสายในการเศรษฐกิจของประเทศและความสงบสุขของ บ้านเมือง ฉะนั้น ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับนี้จึงเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของ ประชาชน การที่โจทก์และนางดี อินอ่อน มารดาของนายบุญน้อย อินอ่อนลูกจ้างโจทก์ ได้ท าสัญญ า ประนีประนอมยอมความในเรื่องเงินค่าทดแทนกันไว้ศาลฎีกาเห็นว่าย่อมเป็นการหลีกเลี่ยงก่อให้เกิดความไม่ เป็นธรรมแก่ลูกจ้าง กล่าวคือ หากโจทก์จะต้องจ่ายเงินค่าทดแทนตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๙ ตาม ค าวินิจฉัยของจ าเลยที่ ๒ โจทก์จะต้องจ่ายเงินค่าทดแทนเป็นรายเดือน ๆ ละ ๒๐๐ บาท มีก าหนด ๕ ปี ค านวณแล้วเป็นเงินถึง ๑๒,๐๐๐ บาท แต่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จ่ายเงินเพียง ๒,๐๐๐ บาท เท่านั้น ดังนั้น สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวกับเงินค่าทดแทน จึงเป็นข้อตกลงที่ ผิดแผกแตกต่างไปจากประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๙ ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของ ประชาชน สัญญาประนีประนอมยอมความนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับเงินค่าทดแทน จึงตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับ จ าเลยจึงมีอ านาจวินิจฉัยสั่งให้โจทก์จ่ายเงินค่าทดแทนได้ตามประกาศของคณะ ปฏิวัติฉบับที่ ๑๙ และ ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินค่าทดแทนตลอดจน จ านวนเงินค่าทดแทน ศาล อุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


Click to View FlipBook Version