ก ฏ ห ม าย ก าร
ปก ค ร อ ง
การจดั ระเบยี บบรหิ ารราชการของไทย แบง่
ออกเป็ น 3 รูปแบบ
1.การบรหิ ารราชการส่วนกลาง
เป็นหน้ าท่ีของรฐั บาลท่ีจะต้องดาเนิ นการตาม
นโยบายท่แี ถลงตอ่ รัฐสภา มุ่งก่อให้เกิดประโยชน์
สขุ ต่อประชาชน มีฐานะเป็นนิ ตบิ ุคคล
การจดั ระเบยี บบริหารราชการ
ส่วนกลาง ประกอบดว้ ย
1.สานักนายกรฐั มนตรี
มนี ายกรัฐมนตรีเป็นผู้บงั คับบญั ชา
2.กระทรวงหรือทบวง
มีรัฐมนตรีวา่ การกระทรวงเป็นผู้บงั คับบัญชา
3.กรม
มอี ธบิ ดเี ป็นผบู้ ังคับบัญชาแต่ละกรม
2. ระเบยี บบริหารส่วนภมู ภิ าค
การจดั ระเบียบบริหาร มีดังน้ี
1 .จังหวัด (ใหญ่สดุ )
มีผู้ว่าราชการจังหวดั เป็นผู้นา
2. อาเภอ
มีนายอาเภอเป็นผู้บังคับบัญชา
3. ตาบล
จะมีกานั นเป็นหัวหน้ าปกครอง
4. หมู่บ้าน (เลก็ สดุ )
มีผ้ใู หญ่บ้านเป็นหัวหน้าปกครอง
3.ระเบียบบรหิ ารราชการส่วนท้องถ่ิน
การจดั ระเบียบบรหิ าร มีดังน้ี
1.องค์การบรหิ ารส่วนจังหวัด(อบจ.) ประกอบดว้ ยฝ่ายนิ ติ
บัญญัติ และฝ่ายบรหิ ารดแู ล
2.เทศบาล ประกอบดว้ ย สภาเทศบาล และนายกเทศมนตรี
3.องค์การบรหิ ารส่ วนตาบล(อบต.) ประกอบด้วย สภาองค์การ
บรหิ ารส่วนตาบล และนายกองคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล
4.กรุงเทพมหานคร (การปกครองรูปแบบพิเศษ) ประกอบดว้ ย
1.ผวู้ า่ ราชการกรุงเทพมหานคร 2. สภากรุงเทพมหานคร
5.เมืองพัทยา (การปกครองรูปแบบพิเศษ) ประกอบด้วย
1.สภาเมืองพัทยา 2. นายกเมอื งพัทยา
คำถำม
ข้อใดไม่ใช่รูปแบบการปกครองส่วนท้องถ่ิน
1. องค์การบริหารส่วนจังหวัด
2. อาเภอ
3. เทศบาล
4. กรุงเทพมหานคร
ลุยกนั ตอ่ ออ!!
กฎหมาย
การอนุรกั ษพ์ นั ธุส์ ตั ว์่์ า
พระราชบญั ญตั วิสง์น
และคุม้ ครองสตั ว์่์ า พ.ศ. 2535
เป็ นกฎหมายทบี่ ญั ญตั ขิ นึ้ เพอื่ สงวนและคมุ้ ครองสตั วป์ ่ าไวเ้ พอื่ ไม่ใหส้ ูญพนั ธ ์
ความหมายของสตั วป์ ่ าตามพระราชบญั ญตั สิ งวนและคมุ ้ ครองสตั วป์ ่ า พ.ศ. 2535
หมายถงึ สตั วท์ กุ ชนิด ซงึ่ โดยธรรมชาตยิ อ่ มเกดิ และดารงชวี ติ อยู่ในป่ าหรอื ในนา้
สตั ว์่์ า แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1.สตั ว์่์ าสง์น
หมายถงึ สตั ว์่์ าหายาก 15 ชนิด เชน ก์าง่า ค์ายผา แรด
2.สตั ว์่์ าคุม้ ครอง
หมายถงึ สตั วป์ ่ าตามท่กี ฎกระทรวงกาหนดให้เป็นสตั วป์ ่ าคุ้มครอง พ.ศ.2546
แบงออกเ่็ น 7 ่ระเภท เชน ก้ ิงกาแก์้ หมาไม้ นกยูง
1.หา้ ม บุคคลลา่ มไี วค้ รอบครองหรอื คา้ สตั วป์ ่ า
สงวน สตัสาวระป์ ส่ าาคคญั มุข้ อคงพรรอะรงาชซบญัาญกตั วขิสงอ์นงแสลตะั ควุม้ ปค์ ร่ าองสสงตั วว์่์ นา สตั ว ์
ป่ าคมุ ้ ครอง
2.หา้ มเพาะพนั ธสุ ์ ตั วป์ ่ าสงวนหรอื สตั วป์ ่ า
คมุ ้ ครอง เวน้ แตจ่ ะไดร้ บั อนุญาตโดยปฏบิ ตั ติ าม
กฎหมาย
3.เขตรกั ษาพนั ธสุ ์ ตั วป์ ่ าเป็ นเขตทรี่ ฐั บาลได ้
กาหนดใหบ้ รเิ วณทดี่ นิ น้ันเป็ นทอี่ ยอู่ าศยั ของสตั ว ์
ป่ าโดยปลอดภยั ซงึ่ ทกุ คนจะตอ้ งปฏบิ ตั ติ าม
จากข่าวนายเปรมชัยล่าเสื อดาใน
เขตรกั ษาพันธุส์ ัตวป์ ่า ผดิ กฎหมาย
เพราะกฎหมายกลา่ วไวว้ า่ ห้ามบคุ คล
ลา่ มไี วห้ รอื ค้า สัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่า
คุ้มครอง (ในทน่ี ี้ เสือดาเป็นสัตวป์ ่า
คุ้มครอง) นั่ นเอง
โทษของผู้ฝ่ าฝืนตามพระราชบญั ญตั ิสงวนและคุ้มครองสตั ว์ป่ า
ผู้ใดฝ่ าฝืนจะมีความผดิ ได้รับโทษต้ังแต่ปรับ
จนถึงจาคุก ข้ึนอยู่กบั แต่ละลักษณะของความผดิ
แนวทางปฏบิ ตั เิ ก่ยี วกบั การอนุรักษ์ธรรมชาติ
• ใช้ทรัพยากรธรรมชาตอิ ย่างเหมาะสมและได้ • ไม่ทาลายทรัพยากรธรรมชาติ ช่วยเป็นหูเป็นตาแก่
ประโยชน์อย่างคุ้มค่า ทางราชการ
• มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ • ศกึ ษาหาความร้เู ก่ยี วกบั กฎหมายการอนุรักษ์
ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อม เพ่ือนาไป
ปรับใช้
แนวทางปฏบิ ตั เิ มอื่ เกดิ ปัญหาสงิ่ แวดลอ้ ม
1. ประชาชนรวมตวั เป็น 3. ต้องมีการดาเนินการอย่าง
อาสาสมัครรักษาส่ิ งแวดล้อม เครง่ ครดั และจริงจงั กับผทู้ ่ี
และใช้ประโยชน์ จาก กระทาความผดิ
ทรพั ยากรธรรมชาติอย่าง
เหมาะสม 4. ต้องมีการพิจารณ์เพ่ือให้
ประชาชนได้แสดงความ
2. รณรงค์เผยแพรค่ วามรู้และ คิดเห็นก่อนท่ีจะดาเนิ นการ
สร้างจิตสานึกเก่ยี วกับ ใดๆ
ส่ิงแวดลอ้ มให้แก่ประชาชน