The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เรื่องวิวัฒนาการนาฏศิลป์ไทย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tonghathairat_242, 2022-02-18 01:24:13

เอกสารการเรียนรู้วิชานาฏศิลป์ไทย

เรื่องวิวัฒนาการนาฏศิลป์ไทย

เอกสารการเรียน
เร่อื ง วิวฒั นาการนาฏศลิ ปไ์ ทย

นางสาวหทยั รัตน์ อุทธา
ครผู สู้ อน

คานา

เอกสารประกอบการจัดการเรียนร้เู ลม่ นี้ จดั ทาขึน้ เพ่ือใช้
ประกอบการจดั การเรยี นรกู้ ลมุ่ สาระเรียนรศู้ ลิ ปะ (สาระนาฏศลิ ป์)
มุง่ เนน้ ให้ผเู้ รยี นไดเ้ รยี นรเู้ ก่ยี วกับวิวัฒนาการละครและนาฏศลิ ปไ์ ทยใน
อดีตถงุ ปจั จุบนั นาฏศิลป์ไทย เป็นศิลปะประจาชาติทมี ีวิวัฒนาการมา
ต้ังแตส่ มยั สุโขทยั จนถึงปัจจบุ ัน และมเี อกลกั ษณ์แตกต่างกันไปตาม
ยคุ สมยั จนกระท้ังพฒั นามาเป็นนาฏศลิ ปร์ ะดบั มาตรฐานท่ีมแี บบแผน
และเปน็ เอกลักษณ์ของไทย

นางสาวหทยั รตั น์ อุทธา

สารบญั หนา้

วิวฒั นาการของละครและนาฏศลิ ป์ไทย 1
สมยั น่านเจา้ 1
สมัยสโุ ขทยั 2
สมยั อยุธยา 3
สมยั ธนบุรี 5
สมยั รัตนโกสินทร์ 6
- รัชกาลท่ี 1 6
- รชั กาลท่ี 2 7
- รชั กาลที่ 3 8
- รัชกาลที่ 4 9
- รชั กาลท่ี 5 10
- รชั กาลที่ 6 11
- รัชกาลที่ 7 12
- รัชกาลท่ี 8 13
- รัชกาลท่ี 9 14

สารบญั (ตอ่ ) หนา้

ละครไทย 15
ละครราแบบดั้งเดมิ 16
16
- ละครชาตรี 17
- ละครนอก 17
- ละครใน 18
- การแสดงโขน 19
ละครที่ปรับปรุงข้ึนใหม่ 19
- ละครดกึ ดาบรรพ์ 20
- ละครพันทาง 21
- ละครเสภา 22
ละครท่ไี มใ่ ช้ท่ารา 22
- ละครร้อง 23
- ละครพดู
บรรณานุกรม

วิวัฒนาการของละครและนาฏศิลปไ์ ทย

นาฏศิลปไ์ ทย เป็นศิลปะประจาชาตอิ นั เปน็ ศิลปะมรดกดา้ นวัฒนธรรม แสดงถึงความเปน็
เอกลักษณ์ ไทยมีประวัตคิ วามเปน็ มายาวนานและมีวิวัฒนาการมาต้งั แตส่ มัยน่านเจา้ จนถึง
ปัจจบุ ัน

สมยั นา่ นเจา้

จากหลกั ฐานการค้นคว้าพบว่า ในสมัยนา่ นเจ้ามีละครเรอ่ื งมโนห์รา ซง่ึ ในปจั จุบนั ก็ยังมีอยู่และ
ยงั มี นยิ ายของพวกไตซึง่ เป็นชนกลุ่มนอ้ ยอย่ทู างใต้ของประเทศจีน เรอื่ งนามาโนหร์ าซึ่งเพ้ียนไป
เปน็ นางมโนห์รา กร็ ู้จักกันดนี น่ั เอง นอกจากน้ันยังมีการแสดงระบาเปน็ การละเลน่ ของพวกไต ไดแ้ ก่
ระบาหมวก ระบา นกยูง อกี ด้วย

สมัยสุโขทัย

สนั นิษฐานได้จากหลกั ศลิ าจารกึ ของพอ่ ขุนรามคาแหงหลักท่ี 1 กล่าวถงึ การละเลน่ ในเทศกาลกฐิน
เกย่ี วกับการดนตรแี ละนาฏศลิ ป์วา่ “เมอื่ จกั เข้าเวยี งเรียงกันแตอ่ รญั ญิกพู้นทว่ มหวั ลาน ตบงคกลอย ด้วย เสียง
พาทย์ เสยี งพณิ เสียงเอื้อน เสียงขบั ใครจักมันเหล้น เหลน้ ใครจกั มกั หัว หัว ใครจักมกั เลื้อน เล้ือน" การแสดง
ประเภท ระบา รา ฟ้อน ววิ ฒั นาการมาจากการละเลน่ ของชาวบ้านเพือ่ เป็นการพกั ผอ่ น หย่อนใจหลงั จากเสร็จงาน
หรอื แสดงในงานบญุ งานรื่นเรงิ ประจาปี ดังปรากฏข้อความในหนงั สอื ไตรภมู ิพระ ร่วงของพระมหาธรรมราชาที่
1 (ลไิ ทย) กลา่ ววา่ “ บา้ งเต้น บา้ งรา บ้างฟอ้ น ระบาบรรลือ” สมัยนีไ้ ม่มหี ลกั ฐานเก่ียวกบั ละครนกั เป็นสมยั
ท่เี ริม่ มีความสมั พันธก์ บั ชาตทิ นี่ ิยมอารยธรรมของ อินเดยี เช่น พมา่ มอญ ขอม และละว้า เมอื่ ไทยได้รับ
วัฒนธรรมด้านการละครของอนิ เดียเขา้ ศลิ ปะแห่ง การละเลน่ พืน้ เมืองของไทย คือ รา และระบา ก็ได้วิวฒั นาการ
ขึน้ มีการกาหนดแบบแผนแห่ง ศลิ ปะการแสดง ทง้ั 3 ชนิดไวเ้ ปน็ ทแ่ี น่นอน และบัญญัติคาเรยี กศิลปะแหง่ การ
แสดงดงั กล่าวข้างต้นวา่ “โขน ละคร ฟอ้ นรา”

การแสดงโขน การแสดงระบาฉ่ิง

สมยั อยธุ ยา

ได้พฒั นาการแสดงในรปู แบบของละครรา นับเปน็ ตน้ แบบของละครราแบบอื่นๆตอ่ มา คอื
ละคร โนราชาตรี ละครนอก และละครใน สาหรบั ละครในเปน็ ละครผู้หญงิ แสดงเฉพาะในราชสานกั
ในรัชสมัย พระเจ้าอย่หู ัวบรมโกศนยิ มแสดงเร่ือง “อิเหนา” ซึ่งเจา้ พินทวดไี ด้สืบทอดทา่ ราต่อมา

ละครชาตรี ละครใน

ละครนอก

ละครราสมัยน้มี ีตน้ กาเนิดมาจากการเลน่ มโนหร์ าและละครชาตรี ละครทเี่ ล่นกันสมยั น้เี ลน่ กัน 3
ประเภท คอื ละครชาตซี ึง่ เป็นละครแบบเดมิ ละครนอกปรบั ปรุงมาจากละครชาตรแี ละละครในซึง่ ใช้
ผู้หญงิ แสดง บทละครนอกท่ใี ช้แสดงในสมัยอยธุ ยา คือ การะเกด คาวี ไชยทัต พิกุลทอง ไกรทอง
มโนหร์ า โคบุตร พมิ พส์ วรรค์ โสวตั พณิ สุริยวงศ์ ไชยเชษฐ์ มณีพชิ ัย โม่งปา่ สงั ข์ทอง ศิลปส์ รุ ิวงศ์
สงั ขศ์ ิลป์ชัย สวุ รรณศลิ ป์ สุวรรณหงส์ และพระรถเสน บทละครใน นอกจากเรอ่ื ง รามเกยี รต์ิ อณุ รุท
ดาหลังหรืออเิ หนาใหญ่ อิเหนาหรืออเิ หนาเล็ก ซง่ึ ทัง้ สองเรอื่ งนีเ้ ปน็ เรื่องของวรี บรุ ุษคนเดยี วกัน

นางละครรา ในสมยั อยธุ ยาถงึ กรุงรตั นโกสินทร

สมัยธนบรุ ี

มลี ะครราของหลวงทม่ี ที ั้งผู้หญิงและผู้ชายแสดง และมลี ะครผูห้ ญิงของเจา้
นครศรธี รรมราช สมยั นี้ เป็นช่วงตอ่ เนื่องจากทกี่ รงุ ศรอี ยุธยาเสียแกพ่ มา่ เม่ือปี พ.ศ. 2310
เหล่าศิลปนิ ไดก้ ระจดั กระจายไปในท่ีต่างๆ เพราะผลจากสงคราม บางส่วนก็เสียชวี ติ บางส่วนก็
ถกู กวาดต้อนไปอยู่พม่า คร้ังพระเจ้ากรุงธนบรุ ีได้ปราบ ได้ ภเิ ษกไปในพ.ศ. 2311 ทรงได้พ้ืน
ฟูการละครขึ้นใหมแ่ ละรวมศลิ ปินตลอดทงั้ บทละครเก่าๆท่ีกระจดั กระจาย ไป ให้เข้ามาอยู่
รวมกันตลอดจนพระองคไ์ ดท้ รงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่อง รามเกียรติ์ ขึน้ อีก 5 ตอน คือ
1. ตอนหนุมานเกี้ยวนางวานริน 2. ตอนท้าวมาลีราชว่าความ 3. ตอนทศกัณฑ์ตงั้ พิธีทราย
กลด (เผารปู เทวดา) 4. ตอนพระลกั ษณ์ถูกหอกกบิลพัท 5. ตอนปลอ่ ยม้าอุปการ มคี ณะ
ละครหลวง และเอกชนเกิดขน้ึ หลายโรง เชน่ ละคร หลวงวิชิตณรงค์ ละครไทยหมนื่ เสนาะ
ภบู าล หม่นื โวหารภิรมย์ นอกจากละครไทยแลว้ ยงั มลี ะครเขมรของ หลวงวาทีอกี ดว้ ย

โขน ตอนพระลกั ษณถ์ ูกหอกกบิลพัท

สมยั รตั นโกสนิ ทร์ รชั สมยั พระบาททสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช
(รัชกาลที่ 1)

ไดม้ กี ารรวบรวมตาราการฟอ้ นราและเขียนภาพท่าราแม่บทบนั ทึกไว้เป็นหลักฐาน มีการ
พฒั นาโขน เปน็ รูปแบบละครใน มีการปรับปรุงระบาส่บี ท ซึ่งเป็นระบามาตรฐาน สมยั น้ไี ดเ้ กดิ
นาฏศลิ ปข์ ้นึ หลายชดุ เช่น “ระบาเมขลา – รามสรู ” ในพระราชนพิ นธเ์ ร่อื ง รามเกียรต์ิ “ระบายอ่ ง
หงิด” ในพระราชนพิ นธ์เรอ่ื ง อณุ รุท การแสดงชุด “แม่บทนางนารายณ”์ ในบทพระราชนพิ นธ์
รามเกยี รติ์ การแสดง “ชดุ ราโคม” จาก การเล่นโคม ญวนของพวกญวน บทพระราชนิพนธท์ เี่ กดิ ข้ึน
โดยพระราชดาริในฐานะพระประมุขของกวี มี 4 เรือ่ ง คอื รามเกยี รติ์ อุณรทุ อเิ หนา ดาหลัง ทรง
พัฒนาโขนโดยนาละครในเข้ามาผสมผสานในการดาเนนิ เรื่อง ได้เพม่ิ บทร้อง ปรับปรงุ เครื่อง แตง่ ตัว
และศริ าภรณ์ โดยใหผ้ แู้ สดงเปิดหนา้ และสวมมงกฎุ หรือชฎาเหมอื นละครใน ในตอนปลายรชั กาลท่ี
1 พระเจ้ากรงุ กัมพชู าได้ใหค้ รลู ะครไทยไปฝกึ หดั ละครหลวงในราชสานกั กมั พชู า ซึง่ นบั วา่ เป็นเกียรติ
ประวตั ขิ อง ละครไทยที่ประชาชนคนไทยควรภาคภมู ใิ จ

ละครใน เร่ืองอุณรุท ละครใน เรอ่ื งอิเหนา

รชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หล้านภาลยั (รชั กาลท่ี 2)

เปน็ สมยั ทีว่ รรณคดีรุง่ เรอื งมาก พระองคท์ รงสนพระทยั ในการละครเปน็ อย่างยิ่ง เม่อื พระ
ราชนิพนธ์ บทละครเรอื่ งใดกโ็ ปรดเกลา้ ฯให้เจา้ ฟ้ากรมหลวงพิทกั ษ์มนตรี ซึง่ เปน็ ผู้รอบรู้ใน
กระบวนราไปลองราดูก่อน ถา้ ตอนใดราแลว้ ขดั ไมง่ ดงาม ก็ทรงแกไ้ ขบทใหม่จนกวา่ จะกลมกลืน
งดงาม พระองคท์ รงพระราชนพิ นธ์บทละคร ไว้ท้ังบทละครในและบทละครนอก พระองคท์ รง
พฒั นาละครนอกโดยใหล้ ะครผูห้ ญิงของหลวงฝึกทา่ ราให้ ประณีตงดงามข้นึ และเปลี่ยนแปลง
การแตง่ กายเป็นแบบยืนเร่อื งแบบละครใน พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ บทละครเรอ่ื ง อเิ หนา ซึง่
เป็นบทละครท่ีได้รับการยกยอ่ งจากวรรณคดสี โมสรวา่ เปน็ ยอดของบทละครรา คือ การแสดง
ครบองคห์ า้ ของละครดี ไดแ้ ก่ ตัวละครงาม รางาม พร้องเพราะ พณิ พาทยเ์ พราะ กลอน เพราะ
นับว่าเป็นยุคทองแห่งวรรณคดี องค์การศกึ ษาวทิ ยาศาสตรแ์ ละวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
(ยเู นสโก) ถวาย พระเกียรตคิ ณุ แด่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หล้านภาลัยในฐานะบุคคล
สาคัญทม่ี ีผลงาน ดเี ดน่ ทาง วัฒนธรรมโลก นาฏศิลป์ไทยในสมัยนท้ี ่ารางดงามประณีตตามแบบ
ราชสานกั มีการฝกึ หัดทัง้ โขน ละครใน ละครนอก นอกจากนี้นาฏศลิ ป์ไทยยงั ได้รบั อทิ ธิพลจาก
นาฏศลิ ป์เอเชีย ไดม้ ีการนาลีลาท่าราท่าเต้นของแขก ฝรงั่ และจีน มาใช้ในการแสดง ชดุ ฝรง่ั ราเทา้
และยงั เกิดระบาดาวดงึ ส์ ลงสรงโทน บุษบาชมศาล รจนาเสี่ยง พวงมาลัย เป็นตน้

รจนาเสย่ี งพวงมาลัย

รัชสมยั พระบาทสมเด็จพระนั่งเกลา้ เจ้าอยู่หวั (รชั กาลท่ี 3 )

โปรดให้ยกเลิกละครหลวง ทาใหน้ าฏศิลปไ์ ทยเป็นที่นิยมแพรห่ ลายในหมู่ประชาชน และ
เกดิ การ แสดงออกเอกชนขน้ึ หลายคณะ ศิลปนิ ท่มี ีความสามารถได้สบื ทอดการแสดงนาฏศิลป์
ไทยท่เี ป็นแบบแผนกัน ต่อมา ได้แก่ 1. ละครของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองคเ์ จ้าลักขณาคุณ
2. ละครของพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ พนมวัน กรมพระพพิ ธิ โภคภเู บนทร์ 3. ละคร
ของพระเจา้ บรมวงศ์เธอ พระองคเ์ จา้ ไกรสร กรมหลวงรกั ษ์รณเรศ 4. ละครของพระเจ้าบรม
วงศเ์ ธอ พระองค์เจ้ากุญชร กรมพระพทิ ักษเ์ ทเวศร์ 5. ละครของพระเข้าบรมวงศ์เธอ พระองค์
เจ้าทรนกร กรมหลวงภูวเนตรนรนิ ทรฤทธ์ิ 6. ละครของเจา้ พระยาบดินทรเดชา 7. ละครของ
เจา้ จอมมารดาอัมพา 8. ละครเจา้ กรบั

เจา้ จอม หมอ่ มละคร ในกรุงรัตนโกสินทร์

รชั สมัยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัว ( รัชกาลท่ี 4 )

โปรดเกล้าใหม้ ีละครหลวงขึน้ ใหม่ ให้ตั้งภาษีมหรสพขนึ้ เป็นคร้ังแรก เรียกวา่ ภาษโี ขนละคร ซึ่งแต่
เดิมละครในจะแสดงไดแ้ กเ่ ฉพาะในวังเท่านั้น โปรดให้มีละครราผูห้ ญิงในราชสานกั ตามเดิมและให้
เอกชนมกี ารแสดงละครผูห้ ญงิ และผ้ชู ายได้ ดว้ ยเหตทุ ่ีละครแพร่หลายไปสูป่ ระชาชนจงึ มีการบัญญัติ
ข้อห้ามใน การแสดงละครที่มใิ ชล่ ะครหลวงคือ 1. หา้ มฉดุ บตุ รชาย-หญงิ ผู้อืน่ มาฝกึ หัดละคร
2. ห้ามใช้รดั เกลา้ ยอดเป็นเครอื่ งประดับศรี ษะ 3. หา้ มใชเ้ ครอ่ื งประดับลงยา 4. ห้ามใชเ้ ครอ่ื ง
ประกอบการแสดงที่เปน็ พานทอง หบี ทอง 5. หา้ มเปา่ แตรสงั ข์ 6. หัวชา้ งทเี่ ป็นอปุ กรณใ์ นการ
แสดงห้ามใชส้ ีเผอื ก ยกเวน้ ชา้ งเอราวัณ ในสมัยนีม้ ีบรมครทู างนาฏศลิ ป์ไดช้ าระพธิ ีไหว้ครู โขนละคร
ทูลเกลา้ ฯ ถวายตราไว้เป็นฉบบั หลวง และมกี ารดดั แปลงการราเบิกโรงชุดประเลงมาเป็น “ราดอกไม้
เงินทอง”

รากิ่งไมเ้ งินทอง (ราดอกไมเ้ งนิ ทอง)

รชั สมัยพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลที่ 5)

การละครในสมัยนีพ้ ัฒนาขนึ้ อยา่ งมาก มกี ารรับเอาวฒั นธรรมของตะวันตกเข้า
มาผสมผสานกบั นาฏศิลป์และการละครของไทยเกิดเป็นละครชนิดใหม่ขึน้ เชน่ ละคร
พันทาง ละครดกึ ดาบรรพ์ ละครรอ้ ง ละครพูด ลเิ ก เปน็ ตน้ อกี ท้ังพระองค์ยงั ทรง
ยกเลกิ การเก็บภาษี โขนละคร ละครรอ้ งซงึ่ เป็นละครท่ีใช้ ศลิ ปะ ในการรอ้ งดาเนิน
เรอื่ ง เรียกวา่ ละครปรดี าลยั เป็นตน้ แบบของละครร้องในสมยั ต่อมา ในสมัยนม้ี ที ้งั
อนุรกั ษ์ และพัฒนานาฏศิลป์ไทยเพ่อื ให้ทันสมยั เชน่ มีการพฒั นาละครในมาเป็น
ละคร ดึกดาบรรพ์ พัฒนาละครรา ที่มอี ยเู่ ดิมมาเปน็ ละครพันทางและละครเสภา และ
ไดก้ าเนดิ นาฏศิลป์ทเ่ี ปน็ บท ระบาแทรกอยใู่ นละครเรือ่ ง ตา่ งๆ เช่น ระบาเทวดา-
นางฟ้า ในเร่อื งกรงุ พานชมทีป ระบาบุษบาชมศาล ใน เร่ืองอเิ หนา ระบาไกใ่ นเร่อื ง
พระลอ ระบานางกอย ในบทพระราชนิพนธ์เรอ่ื ง เงาะปา่ เปน็ ตน้

ละครเรื่องสังข์ทอง ละครเรอ่ื งพระลอ
ละครพันทาง เรอ่ื งราชาธิราช ละครโอเปร่า

รัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจา้ อยหู่ ัว (รชั กาลที่ 6)

เป็นสมัยทโ่ี ขน ละคร ป่ีพาทยเ์ จริญรุ่งเรืองถึงขีดสดุ พระองค์ทรงเปน็ ราชาแหง่ ศลิ ปนิ สมัยนี้เกิด คา
เรยี กโขนหลวงวา่ “โขนบรรดาศกั ด์ิ” และโขนเอกชนว่า “โขนเชลยศกั ด์ิ” นอกจากนีย้ ังต้ังโรงเรยี นฝกึ หัด
ศลิ ปะในกรมมหรสพ เรียกวา่ “โรงเรยี นทหารกระบ่หี ลวง” ตอ่ มาเปลี่ยนเป็น “โรงเรยี นพรานหลวง “ ทรง
ต้ัง กองเสอื ป่าในกรมมหรสพเป็นเสือปา่ กองพเิ ศษ เรียกวา่ “ทหารกระบ”่ี โปรดเกลา้ ฯให้จัดพิมพต์ าราฟอ้ น
รา ซึ่งนับว่าเป็นตาราฟ้อนราเล่มแรกที่สมบูรณ์ และได้พระราชนิพนธ์ละครนอก ได้แก่ พระรว่ ง ท้าวแสนปม
ศกนุ ตลา เปน็ สมยั ที่ศิลปะทางดา้ นนาฏศิลป์เจริญรุง่ เรอื งมาก พระองค์ทรงพระกรณุ าโปรดให้ต้ังกรมมหรสพ
ขนึ้ มกี ารทานบุ ารุงศิลปะโขน ละคร และดนตรปี พ่ี าทย์ ทาให้ศลิ ปินได้รับการฝึกหดั อย่างมรี ะเบยี บแบบ แผน
และโปรดเกล้าฯให้ตั้งโรงเรยี นฝกึ หดั นาฏศฺ ิลป์ในกรมมหรสพ นอกจากนี้ยังได้มกี ารปรบั ปรงุ วธิ กี ารแสดง โขน
เปน็ ละครดกึ ดาบรรพ์ เรื่อง รามเกียรต์ิ และไดเ้ กดิ โขนบรรดาศักด์ทิ ่พี วกมหาดเลก็ แสดงคกู่ ับโขนเชลย ศกั ด์ิท่ี
เอกชนแสดง

โขนบรรดาศักด์ิหรอื โขนเชลยศกั ด์ิ

รชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจ้าอย่หู ัว (รัชกาลท่ี 7)

ในตอนต้นรัชกาลท่ี 7 เกดิ ปัญหาดา้ นเศรษฐกจิ จึงได้มกี ารยกเลิกกรมมหรสพ ไดร้ วบรวมกรม
มหาดเล็กและกรมมหรสพเขา้ อยใู่ นกระทรวงวัง โอนไปสังกดั กรมศิลปากร จึงเป็น “โขนกอง
ศิลปากร” เกดิ ละครแบบใหมข่ ้นึ คอื ละครเพลง หรอื ท่รี จู้ ักกันในช่ือ “ละครจนั ทโรภาส” และ
“ละครหลวงวิจิตรวาท การ” ทรงพระกรุณาโปรดให้มีการจดั ต้ังกรมศลิ ปากรข้นึ แทนกรมมหรสพที่
ถูกยบุ ไป ทาใหศ้ ิลปะโขน ละคร ระบา รา ฟอ้ น ยงั คงปรากฏอยู่ เพอ่ื เป็นแนวทางในการอนุรกั ษ์
และพัฒนาสืบต่อไป

ละครหลวงวจิ ิตรวาทการ เรื่อง อานุภาพพ่อขนุ รามคาแหง

รัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู ัวอานนั ทมหดิ ล ( รัชกาลท่ี 8 )

ทรงข้ึนครองราชย์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์และไปศึกษาตา่ งประเทศจงึ มีผู้สาเรจ็ ราชการแทนอยู่
ในการ กากบั ของกรมศลิ ปากร หลวงวจิ ติ รวาทการ อธิบดคี นแรกของกรมศลิ ปากร ในสมัยนี้ได้
เกิดละครทีเ่ รียกกนั ว่า “ละครหลวงวิจติ รวาทการ” ไดก้ อ่ ต้งั โรงเรียนดรุ ยิ างคศาสตรข์ ้นึ เพื่อ
ปอ้ งกนั มใิ หศ้ ิลปะทางดา้ นนาฏศิลป์ สญู หาย ยังเกดิ ราวงมาตรฐาน ซึ่งประชาชนนยิ มเลน่
เรยี กวา่ “ราโทน” ในรัฐบาล สมัยจอมพล. ป. พบิ ลู สงคราม และยังเป็นการยกฐานะของ
ศลิ ปนิ เพือ่ ให้พน้ จากคาว่า “เต้นกิน รากิน”เพราะนักเรยี นได้เรียนวชิ า สามัญด้วย ราวง
มาตรฐาน ในสมัยน้ีเกิดละครหลวงวจิ ิตร ซ่งึ เปน็ ละครปลกุ ใจใหร้ กั ชาติ และเปน็ สรา้ งแรงจูงใจ
ให้คนไทยหนั มา สนใจนาฏศิลป์ไทย โดยปรบั ปรงุ เปล่ยี นแปลงใหถ้ ูกกับรสนยิ มของคนไทย และ
ไดม้ ีการตงั้ โรงเรียนนาฏศิลป์แทนโรงเรยี นดรุ ิยางคศาสตร์ ซ่งึ ถกู ทาลายตอนสงครามโลกครัง้ ท่ี
2 เพ่ือเปน็ สถานศกึ ษา นาฏศิลปแ์ ละดุริยางคศิลป์ของทางราชการ และเพ่ือเป็นการทานบุ ารงุ
เผยแพร่นาฏศิลป์ไทยให้เปน็ ทีย่ กย่อง ของนานาประเทศ

ราวงมาตรฐาน

รัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู ัวภูมพิ ลอดุลยเดช (รชั กาลท่ี 9)

โปรดเกล้าฯใหบ้ ันทึกภาพยนตรส์ สี ว่ นพระองค์ บันทึกทา่ ราหน้าพาทย์องคพ์ ระพริ าพ ท่า
ราเพลง หนา้ พาทยข์ อง พระ นาง ยกั ษ์ ลงิ โปรดเกล้าฯใหจ้ ดั พิธีไหวค้ รู ไดท้ รงพระราช
นิพนธเ์ พลงไวจ้ านวนมาก เช่น เพลงพระราชนิพนธใ์ กล้รงุ่ เพลงพระราชนิพนธแ์ สงเทยี น
และทรงพระราชนพิ นธเ์ พลงทีใ่ ชใ้ นการ แสดงบัลเลต์ เรื่องมโนหร์ า พระองค์ทรงพระราชทาน
นามเพลงวา่ “กินรสี วีท” นาฏศิลป์ การละคร ฟอ้ นรา ได้อยูใ่ นความ รับผดิ ชอบของรฐั บาล
ได้มกี ารสง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เชย่ี วชาญ นาฏศิลป์ไทยคิดประดษิ ฐ์ท่ารา ระบาชุดใหม่ ไดแ้ ก่ ระบา พมา่
ไทยอธิษฐาน ต่อมาเกดิ ระบาชุดพิเศษทม่ี ี ความหมายในการเจรญิ สมั พันธไมตรีกบั
ตา่ งประเทศ เชน่ ระบา จีน-ไทยไมตรี ระบามติ รไมตรญี ่ปี ุน่ -ไทย ปัจจบุ นั ได้มีการนา
นาฏศลิ ป์นานาชาตมิ าประยกุ ตใ์ ช้ในการประดิษฐ์ ทา่ รา รปู แบบของการแสดงมี การนาเทคนิค
แสง สี เสียง เขา้ มาเป็นองคป์ ระกอบในการแสดงชดุ ต่างๆ ด้าน วชิ าการมีการพฒั นามากมาย
สถาบันการศึกษาท้งั ของเอกชนและของรัฐ และเผยแพร่ศิลปวฒั นธรรมสาขา นาฏศิลป์ เปิด
สอน นาฏศลิ ปไ์ ทยในระดับปริญญาเอกอีกหลายแหง่ การแสดงบัลเลต์ การแสดงกินรีสที การ
แสดงกนิ รสี วีท

การแสดงกนิ รีสวีท

ละครไทย

ละคร หมายถงึ การแสดงที่ผูกเป็นเร่อื ง แม้จะใช้ท่าราก็ตอ้ งดาเนนิ เปน็ เรอ่ื ง จงึ แยกการ
ละคร ไทย ออกเป็น ละครรา และละครที่ไมใ่ ช้ท่ารา องคป์ ระกอบสาคัญของละครไทย
ประกอบดงั นี้
(1) ตอ้ งมีเรอื่ ง ตวั ละครจะเจรจาไปตามเนื้อเรอื่ งของบทละคร
(2) มเี นอ้ื หาสรุป หรอื แนวคดิ ของเรอื่ ง เชน่ บ่งบอกความรัก ความเสียสละ หรอื มุง่ สอน
คตธิ รรม
(3) บุคลิกลักษณะของตัวละคร กริ ิยาทา่ ทางของตวั ละคร ตอ้ งสอดรับกับเนอ้ื หา
(4) บรรยากาศ สรา้ งบรรยากาศใหก้ ลมกลนื กับการแสดง พระบทสมเดจ็ พระ
จุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้มกี ารบัญญตั คิ าขึน้ เพ่ือใชแ้ บ่งประเภท ละครไทย
โดยยึดหลกั ในการแสดงเป็นสาคญั แบง่ ออกเปน็ ประเภทใหญๆ่ ได้ ละครรา ละครรอ้ ง
ละครพูด ละครรา หมายถงึ ละครทใี่ ช้ศลิ ปะการร่ายราดาเนินเรื่อง มี 2 ประเภท คือละคร
ราแบบดง้ั เดิม และ ละครทป่ี รบั ปรุงขนึ้ มาใหม่
ละครราแบบดั้งเดมิ ไดแ้ ก่ ละครชาตรี ละครนอก ละครใน ละครที่ปรบั ปรงุ ขึน้ ใหม่ ได้แก่
ละครดกึ ดาบรรพ์ ละครพนั ทาง ละครเสภา

ละครราแบบด้งั เดมิ

ละครชาตรี เปน็ ละครราแบบแรกของละครไทย กาเนิดขน้ึ ในสมยั อยุธยาโดยไดร้ ับอทิ ธิพล
จากอินเดีย มผี แู้ สดง เปน็ หลกั 3 ตัว คอื ตัวนายโรง ตวั นาง และตัวตลก นิยมแสดงเรื่อง
พระสุธนและนางมโนห์รา (มโนราห)์ จงึ เรียกละครประเภทน้ีวา่ “โนราห์ชาตรี” ทางภาคใต้
เรียกว่า “โนรา”ส่วนภาคกลางเรยี กว่า “ชาตรี” ละครชาตรีมลี ักษณะ 2 รูปแบบ คือ แบบที่
ได้รับการปรบั ปรุง (แบบละครปนลเิ ก กรมศิลปากร) คอื เรอ่ื ง มโนราห์ และ รถเสน และ
แบบพน้ื บ้าน เร่ืองทนี่ ามาแสดงละครชาตรีแบบพ้นื บ้าน เป็นเรื่องจกั รๆวงศ์ๆ เช่น ไชยเชษฐ์
โม่งปา่ โกมนิ ทร์ พิกลุ ทอง จาปาสตี่ ้น แกว้ หนา้ ม้า การแสดงทกุ รัง้ ตอ้ งราซัดไหวค้ รู โดยตัว
พระ หรอื ตวั พระ-นางคู่หนง่ึ จะขนึ้ นัง่ เตยี งราซัดไหวค้ รู ผแู้ สดงรอ้ งเอง ใชท้ า่ ราซดั ชาตรี
จากนน้ั ดาเนนิ เรอ่ื ง ตวั ละคร ทส่ี าคญั มีเพยี ง 3 คือ นางมโนราห์ พระสธุ น และม้าเป็นตวั
ตลก สาหรบั ตัวตลกในละคร ชาตรีจะแสดงเปน็ ตวั เบ็ดเตล็ดอื่นๆดว้ ย เชน่ ยักษ์ ฤาษี ยาย
ตา สัตวเ์ ปน็ ต้น

ละครชาตรเี รือ่ งพระสธุ น-มโนราห์ตอนพระสธุ นเลอื กคู่

ละครนอก มาจากการเลน่ พน้ื เมอื งของชาบา้ นท่ีรอ้ งแกก้ ัน จบั เปน็ เรื่องข้ึนเหมอื นละครชาตรี
การแสดง ละครนอก มุ่งดาเนินเนอ้ื เรอื่ งให้รวดเรว็ ไมเ่ ครง่ ครดั ต่อขนบธรรมเนียมประเพณี ตัว
พระยามหากษัตริย์และ มเหสี เลน่ ตลกกบั ขา้ ราชบรพิ ารได้ ใชถ้ ้อยคาตลาด อิรยิ าบถของคน
ธรรมดาสามญั เป็นละครทีช่ าวบา้ นเรียก กันว่า “ละครตลาด”

ละครนอก เรอื่ งสวุ รรณหงสต์ อนสวุ รรณหงสช์ มถา้

ละครใน มีท่ีมาจากคาวา่ “ละครนางใน” ผ้แู สดงเปน็ ผู้หญงิ ล้วนที่ไดร้ ับการฝกึ หดั เพือ่ แสดงใน
ราชสานัก เป็น ละครราที่มงุ่ ให้เห็นความประณตี งดงามของศลิ ปะการรามากกว่าเนือ้ เรือ่ ง เกิดขน้ึ
ในสมยั อยุธยา แผน่ ดิน พระเจา้ อยูห่ ัวบรมโกศ เจา้ ฟ้าพนิ ทวดพี ระราชธดิ า เปน็ ผูส้ บื ทอดแบบ
แผนการแสดงไว้ พระบาทสมเด็จ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ทรงเปน็ ผ้สู ร้างสรรคก์ ารแสดงละคร
ใน มกี ารแสดงเพียง 3 เรอ่ื ง คอื รามเกยี รติ์ อิเหนา อุณรทุ ละครในนบั วา่ เป็นตน้ แบบของศิลปะ
การรา่ ยราของไทย แสดงถงึ ความเครง่ ครดั ในเรอื่ ง ขนบธรรมเนยี มประเพณที ่ารา ละครชาตรี
เครื่องใหญ่ (มโนหร์ า) ละครใน เรื่อง อิเหนา ละครนอก เร่อื งไกรทอง

ละครใน เร่ือง อเิ หนา ตอน อิเหนาสง่ั ถา้

การแสดงโขน
โขน คือ การแสดงทา่ ราเต้าเข้ากบั จังหวะ ประกอบดว้ ย ตัวละครท่เี ปน็ ยกั ษ์ ลงิ มนษุ ย์

และ เทวดา ผู้ แสดงสวมหวั โขนไม่ร้องและเจรจา แตป่ จั จบุ นั ผแู้ สดงเปน็ มนษุ ยแ์ ละเทวดาไม่สวม
หวั โขน โขน พฒั นามาจากการละเล่นชักนาคดึกดาบรรพ์ การแสดงหนังใหญ่ และการแสดงกระบ่ี
กระบอง การแสดงโขนเปน็ การแสดงทค่ี ลา้ ยละคร แต่สวมศีรษะทเ่ี รียกว่า “หัวโขน” โขนแต่เดิมมี
เฉพาะโขนหลวง ประจาราชสานกั พระมหากษัตรยิ ์ทรงถือวา่ โขนเปน็ ราชูปโภคสว่ นพระองค์ สมยั
รชั กาลที่ 6 ทรงปรบั ปรงุ และ ทานุบารุงศลิ ปะทางโขน ทรงสนบั สนนุ ศลิ ปนิ โขน พระราชทาน
บรรดาศักดใ์ิ ห้จนมคี าเรยี นโขนหลวงว่า “โขนบรรดาศกั ด์ิ” คกู่ บั โขนเอกชน เรียกว่า “โขนเชลย
ศกั ด์ิ” และโปรดเกล้าฯต้งั โรงเรยี นฝกึ หัดทางโขน ในกรมมหรสพคร้ังแรก เรียกว่า “โรงเรียนทหาร
กระบ่ีหลวง” ต่อมาเปลย่ี นชอ่ื เปน็ “โรงเรยี นพรานหลวง”
รูปแบบการแสดงโขนแบง่ ออกเปน็ 5 ชนดิ
1) โขนกลางแปลง คอื การแสดงโขนบนพ้ืนสนาม ไม่มเี วทใี ช้ธรรมชาติเปน็ ฉาก เนือ้ เรอื่ งที่
นยิ ม นามาแสดง คอื เรอ่ื ง รามเกยี รต์ิ ตอนยกทพั จับศึก การแสดงโขนกลางแปลงมรี ูปแบบใน
การแสดง เหมอื นกบั โขนโรงในเพยี งแต่ผิดกันท่สี ถานท่ใี นการจัดการแสดงเทา่ นนั้ เพราะโขนโรงใน
แสดงบนเวที ส่วนโขน กลางแปลงแสดงทสี่ นามหญา้
2) โขนน่ังราวหรอื โขนโรงนอก คือ การยกโขนกลางแปลงมาไว้บนเวที มหี ลงั คาตรงหนา้ ฉาก มี
ช่อง สาหรับใหต้ วั ละครออก ไม่มเี ตียงสาหรับตวั โขนนั่ง แต่มีราวพาดไว้ตามสว่ นยาวของโรง
ตรงหน้าฉาก(ม่าน) มีช่องให้ตวั ละครเดินไดร้ อบราวแทนเตียง เมือ่ ตวั ละครแสดงบทบาทเสร็จจะ
กลับมานัง่ บนราว
3) โขนโรงใน คือ การแสดงโขนปนกับละครใน มีบทพากยเ์ จรจาอยา่ งโขน โขนโรงในสบื ทอดมา
ต้ังแต่สมยั อยธุ ยาตอนปลาย ฉากตกแตง่ เหมือนละครใน มีเตยี งเป็นทน่ี ัง่ ของตวั ละคร

4) โขนหนา้ จอ คอื การแสดงโขนทเ่ี ปลีย่ นลกั ษณะโรงแสดงโขนไปเปน็ โรงแสดงหนังใหญ่ เปน็
การ แสดงบนเวทีหนา้ จอผ้าขาว ซ่ึงแตเ่ ดิมเป็นจอสาหรับการแสดงหนงั ใหญ่ เพียงแตเ่ จาะชอ่ ง
ทงั้ สองข้างทาเป็น ประตสู าหรับตัวโขนเข้า-ออก ทางด้านขวามอื ของเวที จากขอบประตูเขยี น
ภาพเป็นพลบั พลาพระราม ทางดา้ น ซ้ายมือของเวทีเขยี นภาพปราสาท สมมติเปน็ กรุงลงกา
5) โขนฉาก คือ การววิ ัฒนาการมาจากโขนฉาก คล้ายกับละครดึกดาบรรพ์ เปน็ การแสดงโขนที่
สรา้ ง ฉากประกอบเรื่องเกดิ ขึ้นในสมัยรชั กาลท่ี 5 ผู้ดารทิ าโขนฉากคอื สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์
เธอ เจา้ ฟ้ากรมพระยา นรศิ รานวุ ดั ติวงศ์ วิธีแสดงเป็นแบบเดยี วกับโขนโรงใน มีบทรอ้ ง มี
กระบวนการา ท่าเต้น ดนตรบี รรเลงหนา้ พาทย์ตามแบบละครใน

ละครทปี่ รับปรงุ ขึน้ ใหม่

ละครดกึ ดาบรรพ์
แสดงเป็นฉากแบบตะวนั ตกที่สมจริงเป็นละครท่ีปรบั ปรงุ ขน้ึ จากแบบแผนละครใน และ
ผสมผสานกบั อิทธิพลทางตะวันตก เกิดขน้ึ ในสมัย รชั กาลท่ี 5 โดยเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์
ทูลขอให้เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศท์ รงปรับปรงุ ให้ ละครราแบบละครโอเปร่าของ
ตะวนั ตก ละครดกึ ดาบรรพ์แสดงครง้ั แรกเมอ่ื วันที่ 27 ธนั วาคม 2442 ที่ โรงละครดกึ ดาบรรพ์
จงึ เรียกละครแบบน้วี ่า ละครดกึ ดาบรรพ์ ตามช่ือโรงละคร เรื่องที่แสดงคอื เร่ือง รามเกยี รติ์ ตอน
นารายณ์ปราบนนทุก มีการปรับปรุงการ

ละครดกึ ดาบรรพ์ เรอ่ื ง คาวี

ละครพนั ทาง ไดม้ กี ารปรับปรุงแนวทางละครราในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 กรมพระนราธิปประพนั ธพ์ งศ์
ทรงเป็นผใู้ ห้ ดาเนินโดยปรบั ปรุงจากละครของเจ้าพระยามหินทร์ศกั ด์ธิ ารง (เพญ็ เพ็ญกุล )ได้นา
พงศาวดารของชาติตา่ งๆ มาผกู เปน็ เร่อื ง และจัดแสดงมีความแปลการขบั ร้อง และดนตรี มีลกั ษณะ
ตามสญั ชาตินั้นๆ เร่อื งท่ีนามาแสดงเชน่ สามกใหมท่ ง้ั กระบวนทา่ รา การแตง่ กาย กก๊ ราชาธิราช
พระลอ เป็นตน้ การแตง่ กาย แต่งกายตามเช้ือชาติ แสดงครงั้ แรกทโ่ี รงละคร ชอ่ื ปรินซ์เรียเตอร์ มี
ฉากประกอบ ตามท้องเรื่อง การแสดลคลา้ ยละครนอก มกี าร รา่ ยราแบบละครในผสมผสานกนั

ละครพันทางเรอื่ ง สามก๊ก

ละครพนั ทาง เร่ือง ราชาธริ าช

ละครเสภา มีต้นกาเนิดจากการเลา่ นิทาน เมอ่ื มีผู้นิยมเล่ามากขน้ึ จึงมกี ารปรับปรุงให้เกิดการแข่งขนั บางคน
จึงใสท่ านอง มีเครื่องประกอบจังหวะ หรือแต่งนิทานเปน็ กลอนส่งประกวด เครอื่ งดนตรปี ระกอบ จงั หวะที่
นยิ ม คอื กรับ จงึ กลายเป็นการขับเสภาข้ึน เสภามมี าต้งั แต่สมัยอยธุ ยา โดยอยู่ในพระราชานุกลู ของ พระ
เจ้าแผ่นดินดังจะเห็นได้จากข้อความกล่าววา่ “หกทมุ่ เบกิ เสภา ดนตรี” ซงึ่ คามหมายวา่ มกี ารนิยม ขดั เสภา
ในเขตพระราชฐานน่นั เอง แสดงบนเวที มีการเปลยี่ นฉากตามท้องเรื่อง แตง่ กายตามลักษณะเชื้อชาติ แสดง
เรื่องมอญกแ็ ตง่ แบบมอญ แสดงเรื่องจนี ก็แต่งแบบจนี แตเ่ รอื่ งที่นยิ มคือเรอื่ ง ขนุ ช้าง –ขนุ แผน
กระบวนการแสดงมีคนขบั เสภาและเคร่อื งปพ่ี าทยม์ ีตวั ละครออกแสดงบทตามคาขบั เสภา ตามเนื้อร้อง
เรียกวา่ “เสภารา” เสภารามีทง้ั แบบสุภาพและแบบตลก ผู้รเิ ริมคือ “ขนุ รามเดชะ” เรอ่ื งขนุ ช้าง-ขนุ แผน
ตอน เขา้ ห้องนางแก้กริ ยิ า เสภาตลก เร่อื งรถเสน ตอนฤาษีแปลงสาร

ละครเสภา ขนุ ชา้ งขนุ แผน

ละครทไ่ี มใ่ ชท้ ่ารา

ละครรอ้ ง เกดิ ขนึ้ ในสมัยรชั กาลท่ี 5 กรมพระนราธปิ ประพนั ธพ์ งศผ์ ทู้ รงรเิ ริม่ ข้นึ เรยี กวา่
“ละครหลวง นฤมติ ร” มฉี ากประกอบตามท้องเรอ่ื ง และจัดแสดงทโ่ี รงละครปรีดาลัย
ภายหลงั จงึ เรยี กว่า ละครปรีดาลยั เป็นละคร ทไ่ี ด้รับอิทธพิ ลจากตะวนั ตก แบ่งออกเป็นละคร
ร้องล้วนๆ และละครรอ้ งสลบั พดู ได้เลียนแบบมา จากอุปรากร ท่เี รียกว่า “โอเปอร์เรตกิ ลเิ บรต
โต” แต่งกายแบบละครพันทาง นยิ มแสดงเรอ่ื ง สาวเครือฟ้า

ละครรอ้ ง เร่ือง สาวเครือฟ้า

ละครพูด ในชว่ งแรกนิยมให้ผูช้ ายแสดงจนกระทัง่ ในสมยั รัชกาลท่ี 6 โปรดใหม้ กี ารแสดงละคร
พูดจากบท พระราชนิพนธ์เรอ่ื ง กลแตก จึงเปล่ยี นจากผ้ชู ายลว้ นเป็นชายจรงิ หญิงแท้ เป็นละคร
สมัยใหม่ที่ได้รบั อิทธิพลมา จากการแสดงละครตะวันตก การแสดงดาเนนิ เรอ่ื งด้วยการพดู เรยี กวา่
“ละครพดู ล้วนๆ” เรือ่ งท่ีนามาจาก ละครรา เช่น เรอื่ งสงั ขศ์ ลิ ป์ชยั และถา้ มีร้องเพลงสลับ เรยี กว่า
“ละครพูดสลบั ลา” ละครพดู ที่มีคา ประพันธ์ มีเพียงเร่ืองเดยี ว คอื เร่ืองมทั นะพาธา

ละครพูด เรือ่ ง มทั นะพาธา

บรรณานุกรม

ดุษฎี มีปอ้ ม . นิลวรรณ ถมงั รกั ษ์สัตว์ คมู่ อื การสอน เพ่ือครูผสู้ อน ดนตรี-
นาฏศิลป์ ม.5 :วฒั นาพาณชิ ย์
ธดิ ารตั น์ ภักดีรักษ์ หนังสอื รายวชิ าพนื้ ฐาน นาฏศิลป์ 4-6 : สานักพิมพ์เอมพนั ธ์
จากดั สมุ นมาลย์ น่มิ เนติพนั ธ์ , สุมนรตี นม่ิ เนตพิ ันธ์ หนังสือรายวิชาพน้ื ฐาน
นาฏศิลป์ ม.4 : อกั ษรเจริญทัศน์
สมุ นมาลย์ นิม่ เนตพิ นั ธ์ , สมุ นรตี น่ิมเนติพนั ธ์ หนังสอื รายวิชาพ้นื ฐาน นาฏศิลป์
ม.5 : อักษรเจริญทัศน์
สมุ นมาลย์ น่มิ เนตพิ ันธ์ , สมุ นรตี นิม่ เนติพันธ์ หนังสือรายวชิ าพนื้ ฐาน นาฏศิลป์
ม.6 : อักษรเจริญทศั น์
อรวรรณ ขมวัฒนา , วีร์สดุ า บุนนาค หนังสือเรยี น รายวชิ าพื้นฐาน นาฏศลิ ป์ ม.4-
6 : สถาบันพัฒนาคณุ ภาพวชิ าการ (พว.) จากัด


Click to View FlipBook Version