คำนำ ตามแผนพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาคุณภาพ การศึกษาโดยมุ่งหวังให้คนไทยมีคุณธรรม จริยธรรม และได้รับการพัฒนาเพื่อเสริมสร้างศักยภาพสู่การ แข่งขันของประเทศในระดับสากล โรงเรียนในเครือเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ เป็นเครือข่ายความร่วมมือ ทางการศึกษาที่มุ่งส่งเสริมในการพัฒนาความเป็นเลิศทางวิชาการและคุณธรรม ตลอดจนกิจกรรม สร้างสรรค์อันเป็นประโยชน์ต่อสังคม ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการส่งเสริมทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ และการคิดสร้างสรรค์ และมีเวทีในการนำเสนอผลงานที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า การทำ การทดลอง หรือการวิจัยเพื่อเตรียมความพร้อมสู่การแข่งขันในระดับที่สูงขึ้น โรงเรียนในเครือเตรียม อุดมศึกษาพัฒนาการ จึงได้จัดทำโครงการนิทรรศการหนึ่งห้องเรียนหนึ่งโครงงาน (One Classroom One Project : OCOP) และหนึ่งโรงเรียนหนึ่งโครงงาน (One School One Project: OSOP) เพื่อส่งเสริมให้ นักเรียนเกิดความกระตือรือร้นที่จะคิดค้น แสวงหา ทดลอง จัดการข้อมูลค้นหาคำตอบด้วยความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ในการสร้างองค์ความรู้หรือสร้างผลงานขึ้นมาใหม่ด้วยตนเองเกิดเป็นนวัตกรรมหรือแนวปฏิบัติที่ ดีผ่านการทำโครงงานทางวิชาการในสาขาที่สนใจโดยใช้ทักษะกระบวนการเชิงบูรณาการทั้งทางด้าน วิทยาศาสตร์ ด้านคณิตศาสตร์ ด้านสังคมศาสตร์ ด้านศิลปศาสตร์ ตลอดจนกระบวนการแก้ปัญหาในหัวข้อ ที่มีความสนใจและเป็นประโยชน์ต่อสังคม กิจกรรม เตรียมพัฒน์ พัทลุง OCOP OSOI 2023 One Class One Project - One School One Innovation เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ พัทลุง ในการศึกษาค้นคว้าผ่านกระบวนการวิจัย เพื่อต่อยอด พัฒนา ไปสู่การแข่งขันกับโรงเรียนในเครือต่อไป
สารบัญ หน้า ไบโอพลาสติกจากเส้นใยผลตาลโตนด สิริวัฒน์ แป้นจำรัส, ฐิตินันท์ ภักดีวานิช และ ศิรภัสสร จันทร์หอม 1 คู่อันดับหรรษาพาจักสาน กานต์กวิน มีใหม่, สวรัชช์ ขาวขำ และ พิชฎา คงดำ 11 ลูกปัดโนราหลักคณิตฯ อธิธัช ลายขวะ, กนกพร เดชผล, และ จิณณภัต พูลสวัสดิ์ 20 น้ำหมักจุลินทรีย์จากจาวปลวกย่อยสลายวัสดุธรรมชาติ สืบโชติ โชติพานิช, ปวริศา วิจิตรจินดา และ เปมิกา วงศ์นิชาภัทร 29 ฆ่ายางจากน้ำหมักซาวข้าว พรีมสิริ โพธิฌานนนท์, พิยดา นวลพล, และ มณฑาทิพย์ ทองไซร้ 39 คณะผู้ดำเนินงาน 46
หน้าที่ 1 ไบโอพลาสติกจากเส้นใยผลตาลโตนด Bioplastic from palmyra fruit fibers สิริวัฒน์ แป้นจำรัส, ฐิตินันท์ ภักดีวานิช และศิรภัสสร จันทร์หอม ครูที่ปรึกษา : จิรยุทธ ขุนอักษร และ กนิษฐา เพชรย้อย Siriwat panjamrat, Titinan Pakdeevanich and Siraphatsorn Janhom. Advisor : Jirayut Khunakson and Kanittha Phetyoi. บทคัดย่อ โครงงานไบโอพลาสติกจากเส้นใยผลตาลโตนด มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาการผลิตไบโอพลาสติกจาก เส้นใยผลตาลโตนด และ 2) เพื่อหาสมบัติทางกายภาพของไบโอพลาสติกจากเส้นใยผลตาลโตนด ได้แก่ ลักษณะ ภายนอก ความหนาแน่น และการดูดซึมน้ำ จากการศึกษาพบว่า ไบโอพลาสติกจากเส้นใยผลตาลโตนดสามารถ พัฒนาขึ้นได้โดยใช้เส้นใยจากผลตาลโตนดที่ผ่านการปรับสภาพโดยสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ ไฮโดรเจนเปอร์ ออกไซด์ และอบจนแห้ง นำมาขึ้นรูปโดยใช้แป้งข้าวโพดเป็นตัวประสานในอัตราส่วนระหว่างเส้นใยผลตาลโตนดต่อ แป้งข้าวโพด เท่ากับ 0.5:1 1:1 และ 1.5:1 จะทำให้ได้แผ่นไบโอพลาสติกที่เกาะตัวดี ไม่แตก และมีความยืดหยุ่น เมื่อทดสอบสมบัติทางกายภาพของไบโอพลาสติกจากเส้นใยผลตาลโตนด พบว่า ความหนาแน่นของไบโอ พลาสติกจะลดลงตามปริมาณของเส้นใยที่เพิ่มขึ้น ร้อยละการดูดซึมน้ำของไบโอพลาสติกเพิ่มขึ้นตามปริมาณของเส้นใย ที่เพิ่มขึ้น คำสำคัญ : ไบโอพลาสติก, ตาลโตนด, เซลลูโลส Triamudomsuksapattanakarn Phatthalung School. โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ พัทลุง จังหวัด พัทลุง
หน้าที่ 2 บทนำ ความสำคัญและที่มาของปัญหา ปัจจุบันพลาสติกสังเคราะห์ซึ่งมาจากกระบวนการผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติถูกนำมาใช้งานอย่าง แพร่หลายในชีวิตประจำวันของมนุษย์การใช้งานพลาสติกเหล่านี้ทำให้เกิดขยะพลาสติกจำนวนมาก เนื่องจากพลาสติก ใช้เวลาในการย่อยสลายนานและกระบวนการกำจัดยังก่อให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ดังนั้น จึงมีการวิจัยและพัฒนา พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ (Biodegradable Plastics) มาใช้ทดแทนวัตถุดิบสำหรับผลิตพลาสติกดังกล่าวได้ จากธรรมชาติเช่น แป้งและเส้นใยเซลลูโลส ซึ่งจัดเป็นวัสดุหมุนเวียนและมีราคาถูก อย่างไรก็ตาม แป้งมีข้อเสียคือการ ดูดซับความชื้นสูงและสมบัติเชิงกลต่ำ ซึ่งปรับปรุงได้ด้วยการผสมแป้งเข้ากับวัสดุอื่น เช่น เส้นใย วัสดุ อนินทรีย์และพอ ลิเมอร์ โดยเส้นใยส่วนใหญ่ได้มาจากพืช เช่น สับปะรด ฟางข้าว ปอ นุ่น กล้วย อ้อย และมะพร้าวเป็นต้น ตาลโตนด เป็นไม้ในตระกูลเดียวกันกับปาล์ม และมะพร้าว จัดเป็นไม้ชนิดให้ผลที่พบได้ทั่วไปในทุกภาคของประเทศ ไทย โดยเฉพาะภาคใต้และภาคตะวันตก ในจังหวัดพัทลุงสามารถพบตาลโตนดได้โดยทั่วไป ผลสุกนิยมนำมาทำเป็น ขนม เช่น ขนมตาล ขนมลูกโหนด และขนมปำ ซึ่งเป็นขนมพื้นถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดพัทลุง เส้นใยจากผลของ ลูกตาลสุก (Borassus Fruit Fiber) เป็นส่วนที่เหลือทิ้งและไม่ค่อยมีการนำไปใช้ประโยชน์ภายหลังจากที่ผู้บริโภคได้นำ เนื้อจากผลตาลสุกไปใช้ประกอบอาหารแล้ว จากการวิเคราะห์ปริมาณของเส้นใยในผลตาลสุก พบว่า มีปริมาณ เซลลูโลส, เฮมิเซลลูโลส และลิกนิน เท่ากับร้อยละ 62.9, 18.4 และ 12.2 ตามลำดับ ผู้จัดทำจึงมีแนวคิดที่จะนำเส้นใยจากลูกตาลโตนดมาใช้ให้เกิดประโยชน์โดยการศึกษาการผลิตพลาสติก ชีวภาพ หรือ ไบโอพลาสติก โดยใช้แป้งข้าวโพดเป็นตัวประสาน และหาสมบัติทางกายภาพของแผ่นไบโอพลาสติก ได้แก่ ลักษณะภายนอก ความหนาแน่น และการดูดซึมน้ำ ถือเป็นการส่งเสริมให้มีการนำความรู้ กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์มาใช้ในการเพิ่มมูลค่าทรัพยากรธรรมชาติที่มีในท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาการผลิตไบโอพลาสติกจากเส้นใยผลตาลโตนด 2. เพื่อหาสมบัติทางกายภาพของไบโอพลาสติกจากเส้นใยผลตาลโตนด ได้แก่ ลักษณะภายนอก ความ หนาแน่น และการดูดซึมน้ำ การตรวจเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พลาสติกชีวภาพ พลาสติก หมายถึงสารประกอบอินทรีย์ที่สงเคราะห์ขึ้นใช้แทนวัสดุธรรมชาติ บางชนิดเมื่อเย็นก็แข็งตัว เมื่อ ถูกความร้อนก็อ่อนตัว บางชนิดแข็งตัวถาวร ปัจจุบันพลาสติกเป็นปัญหากับสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายยาก ใช้เวลานาน ทำให้ดินเสื่อมคุณภาพ ถ้าหากเผ่าทำลายจะทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ
หน้าที่ 3 พลาสติกชีวภาพ หรือ พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ หมายถึงพลาสติกที่เกิดขึ้นจากวัสดุธรรมชาติ ส่วน ใหญ่เป็นพืช สามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติ ช่วยลดปัญหาในสิ่งแวดล้อม วัตถุดิบที่มีศักยภาพในการพัฒนาสู่ อุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ ได้แก่ มันสำปะหลัง และอ้อย แต่พลาสติกชีวภาพที่ผลิตจากแป้งโดยตรงจะมีขีดจำกัด เพราะจะเกิดการพองตัวและเสียรูปร่างเมื่อได้รับความชื้น ซึ่งปรับปรุงได้ด้วยการผสมแป้งเข้ากับวัสดุอื่น เช่น เส้นใย ตาลโตนด ชื่อสามัญ: Palmyra Palm ชื่อวิทยาศาสตร์ : Borassus flabellifer Linn วงศ์ : Arecaceae ชื่อท้องถิ่น : ตาล, โหนด (ภาคใต้) ภาพที่ 1 ตาลโตนด (a) ผลตาลสุก (b) เปลือกตาล (c) ขั้วตาล (e) เนื้อตาล (f) และเมล็ดตาล (d) เส้นใยลูกตาล ที่มา : https://board.postjung.com/948472 ตาลโตนด เป็นพืชลำต้นเดี่ยว (single stem) ขึ้นจากพื้นดินเพียงต้นเดียวไม่มีการแตกหน่อ มีขนาดใหญ่เส้น รอบวงประมาณ 2-4 ฟุต ผิวดำเป็นเสี้ยนแข็งมีความสูงจากพื้นดินถึงยอดประมาณ 25-30 เมตร จากข้อมูลของผู้ที่มี อาชีพเกี่ยวกับตาลกล่าวว่า ตาลจะเริ่มตั้งสะโพกหลังจากปลูกประมาณ 3-5 ปี มีความสูงประมาณ 1 เมตร และความ สูงจะเพิ่มประมาณปีละ 30-40 เซนติเมตร ผลตาลโตนด จะเกิดกับต้นตาลที่เป็นตัวเมียเท่านั้น โดยผลจะออกเวียนรอบต้นตามกาบใบ คือ 1 กาบใบจะ ออก 1 กระโปง ในหนึ่งปีจะออก 10-15 กระโปง โดยภายใน 1 กระโปง จะมีช่อดอกประมาณ 1-3 ทะลาย และใน 1 ทะลาย ประกอบด้วยผลตาลอ่อนประมาณ 1-20 ผล และใน 1 ผล จะมี 2-4 เมล็ด (เต้า) ผลของตาลโตนดมี ส่วนประกอบของผล สามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรก คือ เปลือกชั้นนอกผิวเรียบเป็นมัน เรียกว่า Exocarp ส่วนที่สอง เป็นเส้นใยเรียก Mesocarp และส่วนที่สาม เป็นกะลาแข็งหุ้มเมล็ดเรียกว่า Endocarp เมื่อผล ตาลแก่จัด (สุก) จะมีกลิ่นหอม และผลของเนื้อตาลสุกเหลือง จะประกอบไปด้วยแป้งและน้ำตาลเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้เนื้อตาลสุกที่อยู่รวมกับเส้นใยลูกตาลยังมีส่วนผสมของแคโรทีนอยด์ซึ่งให้สีเหลือง ใช้แต่งสีขนมต่างๆ ได้
หน้าที่ 4 จากข้อมูลการวิเคราะห์สมบัติทางเคมีของเส้นใยลูกตาล พบว่าเส้นใยลูกตาลมีองค์ประกอบทางเคมี ดังนี้ ปริมาณความชื้น เท่ากับร้อยละ 8.9, ปริมาณน้ำร้อยละ 1.2, ปริมาณเถ้าร้อยละ 1.1, ปริมาณไขมันและขี้ผึ้งร้อยละ 0.8, ปริมาณลิกนินร้อยละ 12.2, ปริมาณเซลลูโลสร้อยละ 62.9, ปริมาณเฮมิเซลลูโลสร้อยละ 18.4 และปริมาณเปก ตินร้อยละ 1.6 เส้นใยลูกตาลเป็นเส้นใยธรรมชาติที่มีปริมาณเยื่อใยปริมาณที่สูง ซึ่งมีบทบาทอย่างยิ่งต่อสมบัติของเส้น ใย เป็นตัวบ่งชี้ถึงสมบัติของการเป็นตัวดึงดูดน้ำ มีผลทำให้เส้นใยลูกตาลน่าจะมีความสามารถในการดูดซึมน้ำและ ความชื้นได้ดี และยังส่งผลทำให้เส้นใยลูกตาลมีความแข็งแรง และมีความสามารถทนต่อการย่อยด้วยกรดและด่างได้สูง เนื่องจากอิทธิพลของสารเซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส และลิกนิน ขอบเขตงานวิจัย 1. เส้นใยผลตาลโตนด ได้จากต้นตาลโตนด ในพื้นที่ อำเภอเมือง และอำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง 2. สถานที่ทดลอง โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ พัทลุง 3. ระยะเวลาในการทดลอง มิถุนายน 2566 - กันยายน 2566 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ได้ไบโอพลาสติกจากเส้นใยผลตาลโตนด 2. เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น 3. ได้นำทักษะกระบวนการ และความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ อุปกรณ์และวิธีการ สมมติฐานการวิจัย 1. ไบโอพลาสติกที่ผสมเส้นใยตาลโตนดปริมาณมากมีความหนาแน่นต่ำ 2. ไบโอพลาสติกที่ผสมเส้นใยตาลโตนดปริมาณมากมีสมบัติในการดูดซึมน้ำสูง ตัวแปร ตัวแปรต้น ปริมาณเส้นใยผลตาลโตนด ตัวแปรตาม สมบัติทางกายภาพ ได้แก่ ลักษณะภายนอก ความหนาแน่น การดูดซึมน้ำ ตัวแปรควบคุม ปริมาณแป้งข้าวโพด, ปริมาณน้ำ, สภาวะแวดล้อม อุปกรณ์และสารเคมี 1. เส้นใยผลตาลโตนด 2. แป้งข้าวโพด 3. โซเดียมไฮดรอกไซด์ 4. ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 5. น้ำตู้อบลมร้อน 6. ตู้อบลมร้อน
หน้าที่ 5 7. เครื่องชั่ง 8. บีกเกอร์ 9. แท่งแก้วคน 10. ฮอตเพลท 11. จานเพาะเชื้อ 12. ตุ้มน้ำหนัก วิธีการ การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 การเตรียมเส้นใยผลตาลโตนด เก็บผลตาลโตนดที่สุกแล้ว นำมาปอกเปลือกสีดำออกให้เหลือเฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อและเส้นใยสีเหลือง คั้นเอา เนื้อตาลออกจนเหลือเฉพาะส่วนที่มีลักษณะเป็นเส้นใย ล้างด้วยน้ำ จนน้ำสีเหลืองเปลี่ยนเป็นใส บิดให้หมาด หั่นเป็น ชิ้นเล็กๆ นำเส้นใยตาลไปอบที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 4 ชั่วโมง นำไปแช่ในสารละลายโซเดียมไฮดรอก ไซด์ เข้มข้น 1 M เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ล้างเส้นใยด้วยน้ำเปล่าจนมีค่า pH เท่ากับ 7 นำไปแช่ในไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ เป็นเวลา 1 ชั่วโมง กรอง นำเส้นใยตาลไปอบที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 4 ชั่วโมง ตอนที่ 2 การผลิตไบโอพลาสติกจากเส้นใยผลตาลโตนด ชั่งเส้นใยผลตาลโตนด ชั่งแป้งข้าวโพด ตวงน้ำกลั่น ในอัตราส่วนต่างๆ ดังตาราง นำไปให้ความร้อน และคน จนกระทั่งแป้งมีลักษณะใส ขั้น นำไปเทลงบนจานเพาะเชื้อ อบที่อุณหภูมิ 120 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ทำซ้ำ ให้ได้สูตรละ 3 แผ่น ตารางที่ 1 อัตราส่วน ส่วนผสมในการทำไบโอพลาสติกสูตรต่างๆ สูตร ปริมาณแป้งข้าวโพด ปริมาณเส้นใยตาลโตนด ปริมาณน้ำ C 1 กรัม 0 20 ลูกบาศก์เซนติเมตร T1 1 กรัม 0.5 กรัม 20 ลูกบาศก์เซนติเมตร T2 1 กรัม 1.0 กรัม 20 ลูกบาศก์เซนติเมตร T3 1 กรัม 1.5 กรัม 20 ลูกบาศก์เซนติเมตร T4 1 กรัม 2.0 กรัม 20 ลูกบาศก์เซนติเมตร ตอนที่ 3 หาสมบัติทางกายภาพของไบโอพลาสติกจากเส้นใยผลตาลโตนด พิจารณา และบันทึกลักษณะภายนอกของแผ่นไอโอพลาสติก ได้แก่ ลักษณะผิว สี ความเกาะตัวเป็นแผ่น หาความหนาแน่นโดยการตัดแผ่นไบโอพลาสติกเป็นสี่เหลี่ยม วัดขนาดกว้าง ยาว สูง คำนวณหาปริมาตร นำไปชั่ง บันทึกมวล และคำนวณหาความหนาแน่น หาสมบัติการดูดซึมน้ำโดยตัดแผ่นไบโอพลาสติกให้ได้ขนาด 2.5 cm × 2.5 cm สูตรละ 3 ตัวอย่าง นำไปชั่ง น้ำหนัก จากนั้นนำไปแช่ในน้ำที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 1 นาที แล้วนำมาชั่ง คำนวณหาร้อยละการดูดซึมน้ำ
หน้าที่ 6 ผลการทดลอง ผลการทดลอง ตอนที่ 1 การเตรียมเส้นใยผลตาลโตนด เมื่อนำผลตาลโตนดที่สุกแล้วมาปอกเปลือกสีดำออก คั้นเอาเนื้อตาลออกจนเหลือเฉพาะส่วนที่มีลักษณะเป็น เส้นใย ล้างด้วยน้ำ จนน้ำสีเหลืองเปลี่ยนเป็นใส จะได้เส้นใยจากผลตาลโตนดที่มีลักษณะเป็นเส้นใยสีเหลืองอ่อน บิดให้ หมาดแล้วนำไปอบ ได้เส้นใยที่มีลักษณะแห้ง แข็ง สีเหลือง (ก) (ข) ภาพที่ 2 (ก) ผลตาลโตนด (ข) เส้นใยผลตาลโตนด ที่มา : สิริวัฒน์ แป้นจำรัส, ฐิตินันท์ ภักดีวานิช, ศิรภัสสร จันทร์หอม (2566) เมื่อนำเส้นใยตาลที่อบเสร็จแล้วไปแช่ในสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ จะได้เส้นใยที่มีความสะอาดมากขึ้น ล้างเส้นใย แล้วนำไปฟอกขาวด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ จะได้เส้นใยที่มีสีเหลืองอ่อน แล้วนำไปอบจะได้เส้นใยที่แห้ง ฟู และนุ่มขึ้น สีขาวขุ่น (ก) (ข) (ค) ภาพที่ 3 (ก) เส้นใยปรับสภาพด้วยโซเดียมไฮดรอกไซด์ (ข) เส้นใยปรับสภาพด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (ค) เส้นใยผลตาลโตนดที่ปรับสภาพแล้ว ที่มา : สิริวัฒน์ แป้นจำรัส, ฐิตินันท์ ภักดีวานิช, ศิรภัสสร จันทร์หอม (2566)
หน้าที่ 7 ตอนที่ 2 การผลิตไบโอพลาสติกจากเส้นใยผลตาลโตนด ชั่งเส้นใยผลตาลโตนด ชั่งแป้งข้าวโพด ตวงน้ำกลั่น ในอัตราส่วนต่างๆ ดังตาราง นำไปให้ความร้อน และคน จนกระทั่งแป้งมีลักษณะใส ขั้น นำไปเทลองบนจานเพาะเชื้อ อบที่อุณหภูมิ 120 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ทำซ้ำ ให้ได้สูตรละ 3 แผ่น ตารางที่ 2 ลักษณะแผ่นไบโอพลาสติกสูตรต่างๆ สูตร ภาพ ลักษณะภายนอกของแผ่นไบโอพลาสติก C ไม่เกาะตัวเป็นแผ่น ไม่สามารถขึ้นรูปเป็นไบโอพลาสติกได้ T1 เกาะตัวเป็นแผ่น ผิวเรียบ มีรอยแตกเล็กน้อย T2 เกาะตัวเป็นแผ่น ผิวขรุขระเล็กน้อย ไม่มีรอยแตก T3 เกาะตัวเป็นแผ่น ผิวขรุขระ ไม่มีรอยแตก T4 เกาะตัว ผิวขรุขระ ไม่มีรอยแตก แน่น ไม่สามารถแกะออกจากพิมพ์ให้เป็น แผ่นได้
หน้าที่ 8 ตอนที่ 3 หาสมบัติทางกายภาพของไบโอพลาสติกจากเส้นใยผลตาลโตนด ตารางที่ 3 ความหนาแน่นของแผ่นไบโอพลาสติกสูตรต่าง ๆ สูตร แผ่นที่ 1 แผ่นที่ 2 แผ่นที่ 3 ความหนาแน่น เฉลี่ย (g/cm3 m (g) V (cm ) 3 ) d (g/cm3 ) m (g) V (cm3 ) d (g/cm3 ) m (g) V (cm3 ) d (g/cm3 ) T1 1.22 5.39 0.23 1.20 5.42 0.22 1.25 5.32 0.23 0.23 T2 1.35 7.35 0.18 1.32 7.82 0.17 1.34 7.55 0.18 0.18 T3 1.35 9.80 0.14 1.58 9.72 0.16 1.47 9.56 0.15 0.15 ภาพที่ 4 แผนภูมิแสดงการเปรียบเทียบความหนาแน่นของแผ่นไบโอพลาสติกสูตรต่าง ๆ จากจากตารางที่ 3 และภาพที่ 4 พบว่า แผ่นไบโอพลาสติก สูตร T1 ซึ่งมีส่วนผสมของเส้นใยผลตาลโตนด น้อยมีความหนาแน่นสูงสุดคือ 0.23 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร เมื่อผสมเส้นใยตาลโตนดเข้าไปมากขึ้น พบว่า ความ หนาแน่นของแผ่นไบโอพลาสติกลดลงตามปริมาณของเส้นใยที่เพิ่มขึ้น โดยสูตรที่มีความหนาแน่นน้อยที่สุดคือสูตร T3 มีความหนาแน่นเท่ากับ 0.15 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร ตารางที่ 4 สมบัติการดูดซึมน้ำของแผ่นไบโอพลาสติกสูตรต่าง ๆ สูตร แผ่นที่ 1 แผ่นที่ 2 แผ่นที่ 3 ร้อยละการ ก่อน หลัง ดูดซับเฉลี่ย % การ ดูดซับ ก่อน หลัง % การ ดูดซับ ก่อน หลัง % การ ดูดซับ T1 0.15 0.20 33.33 0.16 0.22 37.50 0.14 0.20 42.86 37.90 T2 0.18 0.27 50.00 0.17 0.26 52.94 0.18 0.28 55.56 52.83 T3 0.20 0.32 60.00 0.21 0.34 61.90 0.22 0.35 59.09 60.33
หน้าที่ 9 ภาพที่ 5 แผนภูมิแสดงการเปรียบเทียบร้อยละการดูดซึมน้ำของแผ่นไบโอพลาสติกสูตรต่าง ๆ จากตารางที่ 4 และภาพที่ 5 แสดงให้เห็นว่าแผ่นไบโอพลาสติกสูตร T1 ซึ่งมีเส้นใยผลตาลโตนดน้อย ที่สุดมีร้อยละการดูดซึมน้ำต่ำที่สุด คือ ร้อยละ 37.90 โดยร้อยละการดูดซึมน้ำจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณของเส้นใย ที่เพิ่มขึ้น สูตรที่มีร้อยละการดูดซึมน้ำมากที่สุดคือสูตร T3 มีร้อยละการดูดซึมน้ำเท่ากับ ร้อยละ 60.33 สรุปผล อภิปราย และข้อเสนอแนะ สรุป ไบโอพลาสติกจากเส้นใยผลตาลโตนดสามารถพัฒนาขึ้นได้โดยใช้เส้นใยจากผลตาลโตนดที่ผ่านการปรับสภาพ โดยสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และอบจนแห้ง นำมาขึ้นรูปโดยใช้แป้งข้าวโพดเป็นตัว ประสานในอัตราส่วนระหว่างเส้นใยผลตาลโตนดต่อแป้งข้าวโพด เท่ากับ 0.5:1 1:1 และ 1.5:1 จะทำให้ได้แผ่นไบโอ พลาสติกที่เกาะตัวดี ไม่แตก และมีความยืดหยุ่น เมื่อทดสอบสมบัติทางกายภาพของไบโอพลาสติกจากเส้นใยผลตาลโตนด พบว่า ความหนาแน่นของไบโอ พลาสติกจะลดลงตามปริมาณของเส้นใยที่เพิ่มขึ้น ร้อยละการดูดซึมน้ำของไบโอพลาสติกเพิ่มขึ้นตามปริมาณของเส้นใย ที่เพิ่มขึ้น อภิปรายผล การเติมเส้นใยจากผลตาลโตนดลงในไบโอพลาสติก ส่งผลให้ได้แผ่นไบโอพลาสติกที่มีความหนาแน่นลดลง เนื่องจากในเส้นใยของผลตาลโตนดประกอบด้วยเซลลูโลสมากถึงร้อยละ 62.9 ซึ่งเซลลูโลสมีลักษณะเป็นรูพรุน จึงมีผล ทำให้ความพรุนของไบโอพลาสติกเพิ่มขึ้น ความหนาแน่นจึงลดลง สอดคล้องกับงานวิจัยของ ภูษิต เลิศวัฒนารักษ์ (2012). ที่ทำการศึกษาคุณสมบัติของวัสดุผสมเส้นใยธรรมชาติจากเส้นใยมะพร้าวและเส้นใยปาล์ม พบว่า การเติมเส้น ใยธรรมชาติส่งผลให้วัสดุมีความหนาแน่นลดลง เส้นใยเซลลูโลสที่ส่งผลให้เกิดรูพรุนภายในไบโอพลาสติกยังส่งผลต่อ การดูดซึมน้ำของไบโอพลาสติก เนื่องจากอนุภาคของน้ำจะซึมไปอยู่บริเวณรูพรุนต่างๆ แผ่นไบโอพลาสติกที่มีปริมาณ เส้นใยสูงจึงมีร้อยละการดูดซึมน้ำสูงตามไปด้วย
หน้าที่ 10 ข้อเสนอแนะ ในโอกาสถัดไปควรศึกษาสมบัติของไบโอพลาสติกจากเส้นใยผลตาลโตนด เพิ่มเติม เช่น การต้านดึงสภาพการ ยืดหยุ่น ระยะเวลาในการสลายตัวทางชีวภาพ เป็นต้น เอกสารอ้างอิง จุฑามาศ ลักษณะกิจ และนันทชัย ชูศิลป์.(2562). อิทธิพลของเส้นใยธรรมชาติจากวัสดุเหลือทิ้งต่อคุณสมบัติของแผ่น ฝ้าเพดานไฟเบอร์ซีเมนต์. วิศวกรรมสารฉบับวิจัยและพัฒนา. 30(4), 7-17. ปริย นิลแสงรัตน์.(2560). การผลิตฉนวนกันความร้อนจากเส้นใยหญ้าคาและยางพารา. มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาสารคาม, มหาสารคาม. มารคัส (2558). ตาลโตนด. สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2565 จากhttps://board. postjung.com/948472. รัตนพล มงคลรัตนาสิทธิ์.(2558). การวิจัยพัฒนาเส้นใยธรรมชาติและสีธรรมชาติสู่เชิงพาณิชย์. คณะอุตสาหกรรมสิ่ง ทอและออกแบบแฟชั่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร. โสภิดา วิศาลศักดิ์กุล.(2558). การพัฒนาบรรจุภัณฑ์พลาสติกชีวภาพจากแป้งเมล็ดขนุนสำหรับผลิตภัณฑ์ เครื่องปั้นดินเผา. วิทยานิพนธ์คหกรรมศาสตรบัณฑิต. มหาวิทยาลัยราชมงคลธัญบุรี. สุทธิษา ก้อนเรือง และคณะ.(2563). การผลิตพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพจากเส้นใยต้นสาคู. วารสาร มหาวิทยาลัยทักษิณ. 23(2), 65-73 อนุภา สกุลพาณิชย์.(2559). การพัฒนาฉนวนกันความร้อนสู่อาคารจากซังข้าวโพดและน้ำยางธรรมชาติ. วารสาร มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปะมหาวิทยาลัยศิลปากร. 9(1), 1688-1702.
หน้าที่ 11 คู่อันดับหรรษาพาจักสาน The fun order pairs making basketry กานต์กวิน มีใหม่, สวรัชช์ ขาวขำ และ พิชฎา คงดำ ครูที่ปรึกษา : หฤทัย กาแก้ว และ ณภัทร จันทร์รักษ์ Kankawin Meemai, Sowarat Khaokham and Pitchada Kongdam Advisor : Haruethai Kakaew and Napat Janrak บทคัดย่อ โครงงานคณิตศาสตร์เรื่อง คู่อันดับหรรษาพาจักสาน มีวัตถุประสงค์ของการศึกษา (1) เพื่อวิเคราะห์หลัก ความคิดทางคณิตศาสตร์ในลายจักสาน (2) เพื่อสามารถนำหลักการทางคณิตศาสตร์ไปใช้ในงานสานลายขัดได้ (3) เพื่อสร้างสรรค์ลายจักสานโดยใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ จากการศึกษาพบว่า การจักสานลายขัดลักษณะของลายเป็นการสร้างแรงยึดระหว่างกันด้วยการขัดเส้นตอก เป็นมุมฉากระหว่างเส้นตอกในแนวตั้งและเส้นตอกในแนวนอน ซึ่งในแต่ละแนวจะประกอบไปด้วยเส้นตอกจำนวน หลายเส้นสอดขัดกันตามรูปแบบของลายสานแต่ละชนิด ดังนี้ ลายหนึ่งจะสาน ข้ามทับ 1 เส้น ยกสอด 1 เส้น ไปเรื่อย ๆ ลายสองจะสาน ข้ามทับ 2 เส้น ยกสอด 2 เส้น ไปเรื่อย ๆ และลายสามจะสาน ข้ามทับ 3 เส้น ยกสอด 3 เส้น ไป เรื่อย ๆ จากการวิเคราะห์ลายทั้งสามแล้วลวดลายเหล่านั้นเกิดเป็นคู่อันดับในหลักการทางคณิตศาสตร์และสามารถ สร้างสรรค์ลายจักสานได้มากมายหลายแบบเพิ่มความสวยงามให้แก่ผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น คำสำคัญ : คู่อันดับ , ลายขัด E-mail address : [email protected] โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ พัทลุง จังหวัด พัทลุง Triamudomsuksapattanakarn Phatthalung School.
หน้าที่ 12 บทนำ ที่มาและความสำคัญของโครงงาน ปัจจุบันจังหวัดพัทลุง เป็นเมืองรองแห่งการท่องเที่ยว เเละคนที่มาท่องเที่ยวส่วนใหญ่สนใจลายจักสานรูปเเบ บต่าง ๆ ของจังหวัดพัทลุงเเละลายจักสานเหล่านั้นนิยมนำมาทำของใช้ในบ้านเรือน กระเป๋าเเละเครื่องดับที่เเตกต่าง กันออกไป หากสังเกตจะพบว่ามีหลักการทางคณิตศาสตร์ปรากฏในสิ่งของเหล่านั้น เพราะคณิตศาสตร์เป็นศาสตร์ของ การสร้างสรรค์ เเก้ปัญหาเเละการใช้เหตุผล ในงานเครื่องจักสานนั้นส่วนใหญ่จะมีลวดลายจักสานมากมายลายที่เกิดขึ้น นั้นเกิดจากคนในท้องถิ่นใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีอยู่ยาวนาน สานขึ้นเพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ใน ชีวิตประจำวันและที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ พัทลุง เปิดสอนในรายวิชาจักสานในกลุ่มสาระการเรียนรู้การ งานอาชีพ โดยสอนให้นักเรียนรู้จักใช้ภูมิปัญญาของถิ่นของเราในการจักสานลวดลายต่าง ๆ ได้อย่างประณีตงดงาม เเละเมื่อศึกษาลวดลายจักสานเเบบต่าง ๆ พบว่าลวดลายต่าง ๆ นั้นมีการขัดไปมาที่ซ้ำ ๆ กัน คณะผู้จัดทำจึงได้ศึกษา ค้นคว้าเกี่ยวกับเนื้อหาทางคณิตศาสตร์ให้สอดคล้องลายขัดโดยลายขัดแต่เดิม คนในสมัยก่อนก็เริ่มจากการสานขัดกัน ไปมา เเล้วค่อยต่อเติมความคิดมาเรื่อย ๆ เเต่ไม่ได้คิดถึงหลักการสร้างงานลวดลายในการสาน โดยใช้หลักการทาง คณิตศาสตร์ ดังนั้นคณะผู้จัดทำจึงได้ทำการศึกษาลายขัดแบบต่าง ๆ ในงานจักสานมาจับกับหลักการทางคณิตศาสตร์ เพื่อให้ทราบถึงการสร้างลายต่าง ๆ เเละรู้ถึงการใช้หลักการทางคณิตศาสตร์ได้อย่างถูกต้องเเละเหมาะสม วัตถุประสงค์ของการการศึกษา 1. เพื่อวิเคราะห์หลักความคิดทางคณิตศาสตร์ในลายจักสาน 2. เพื่อสามารถนำหลักการทางคณิตศาสตร์ไปใช้ในงานสานลายขัดได้ 3. เพื่อสร้างสรรค์ลายจักสานโดยใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เรื่อง คู่อันดับหรรษาพาจักสาน คณะผู้จัดทำได้ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้ 1. ลายขัด 2. คู่อันดับ 1. ลายขัด 1.1 ความเป็นมาของการจักสาน การจักสานการสาน เป็นกระบวนการทางความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่นำวัสดุธรรมชาติมาทำ ประโยชน์ โดยใช้ความคิดและฝีมือมนุษย์เป็นหลัก การสานลวดลายจะสานลายใดนั้นขึ้นอยู่กับความ เหมาะสมในการใช้สอย ซึ่งมี ด้วยกัน 3 วิธี คือ - การสานด้วยวิธีสอด - การสานด้วยวิธีการสอดขัดด้วยเส้นแทยง - การสานด้วยวิธีขดเป็นวง
หน้าที่ 13 จักสาน เป็นศิลปะการจักสานที่มีลวดลายสวยงาม การออกแบบ สีสันของเส้น ลวดลายต่าง ๆ ตามความ ต้องการของลูกค้า มีความละเอียดประณีต เรียบร้อย ได้มาตรฐาน คงทน สมประโยชน์ ราคาไม่แพง มีการพัฒนา รูปแบบทันสมัยอย่างต่อเนื่องและเป็นสากล แต่กระบวนการผลิตยังใช้แบบดั่งเดิม ทำให้มองเห็นคุณค่าและแสดงถึง เอกลักษณ์ความเป็นไทย ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของคนบ้านพราน เป็นผลงานจากการสร้างสรรค์ชิ้นงานที่ประสานภูมิ ปัญญาของคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ ให้เข้ากันได้อย่างลงตัวและเหมาะสม ลายขัดถือได้ว่าเป็นลายพื้นฐานของเครื่องจักสานซึ่งอาจจะเป็นลวดลายเบื้องต้นของการทำเครื่องจักสานที่ เก่าแก่ที่สุดก็ได้ลักษณะของลายขัดเป็นการสร้างแรงยึดระหว่างกันด้วยการขัดกันของตอกหรือวัสดุอื่นด้วยการขัดกัน เป็นมุมฉากระหว่างแนวตั้งหรือเส้นตั้ง (Vertical) และแนวนอนหรือเส้นนอน (Horizontal) อาจจะขัดกันให้เกิด ช่องว่างระหว่างเส้นตอกเป็นตาสี่เหลี่ยมเล็กใหญ่อย่างไรก็ได้ ลายขัดได้วิวัฒนาการจากการสารขัดกันระหว่างเส้นตอกแนวนอนอย่างล่ะเส้น มาเป็นการใช้เส้นตอกแนว ละหลายๆ เส้น ขัดสลับกันทำให้เกิดลายใหม่ๆ ขึ้นหรืออาจจะสอดทแยงเข้าไประหว่างเส้นตั้งและเส้นนอนก็ได้ จะได้ ลายใหม่ขึ้นเช่นกันหรือจะให้ลายขัดกันในลักษณะแนวทแยงมีช่องว่างระว่างเป็นรูปข้าวหลามตัดก็ได้ หรือจะเพิ่มเส้น ตอกด้วยกันยกและข่มสลับกันไป ลายสองและลายสามจะทำให้ได้ลวดลายขัดที่ละเอียดยิ่งขึ้น และมีลวดลายที่ประกฎ บนผิวแปลกออกไปด้วย 2. คู่อันดับ ความรู้เกี่ยวกับคู่อันดับกราฟของความสัมพันธ์เชิงเส้น เขียนแสดงความเกี่ยวข้องของปริมาณสองปริมาณที่ กำหนดให้ โดยความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณสองปริมาณที่พบในชีวิตประจำวัน เช่น ปริมาณของน้ำประปาที่ใช้กับค่า น้ำ ปริมาณเวลาในการใช้โทรศัพท์กับค่าโทรศัพท์ ระยะทางที่โดยสารรถประจำทางปรับอากาศกับค่าโดยสาร ปริมาณ ของกระแสไฟฟ้ากับค่าไฟฟ้า เป็นต้น คู่อันดับ เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ (a, b) อ่านว่า คู่อันดับเอบี เรียก a ว่าสมาชิกตัวที่หนึ่งหรือสมาชิกตัวหน้า ซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่มที่ 1 เรียก b ว่าสมาชิกตัวที่สองหรือสมาชิกตัวหลัง ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มที่ 2 คู่อันดับ ประกอบด้วยสมาชิก 2 ตัว คือ สมาชิกตัวหน้า และสมาชิกตัวหลัง หรือสมาชิกตัวที่หนึ่งและสมาชิก ตัวที่สอง ระยะเวลาในการดำเนินงาน ช่วงเดือน กรกฎาคม – สิงหาคม 2566 นิยามศัพท์เฉพาะ 1. ลายขัดลักษณะของลายเป็นการสร้างแรงยึดระหว่างกันด้วยการขัดเส้นตอกเป็นมุมฉากระหว่างเส้นตอกใน แนวตั้งและเส้นตอกในแนวนอน ซึ่งในแต่ละแนวจะประกอบไปด้วยเส้นตอกจำนวนหลายเส้นสอดขัดกันตามรูปแบบ ของลายสานแต่ละชนิด
หน้าที่ 14 2. ลายสามหน่วยหรือลายสามขัดบีเข้า เป็นลายสานที่มีรูปแบบของลายสานซับซ้อน การสานจะใช้ตอกที่มี ขนาดเท่ากันนำมาสานขัดกันในลักษณะยกหนึ่งข่มหนึ่งและยกห้าข่มห้า การสานต้องจัดเส้นตอกตั้งหลาย ๆ เส้นให้ชิด กัน แล้วนำตอกสานมาสานขัดทีละเส้น โดยต้องเริ่มสานขัดจุดกึ่งกลางของเส้นตอกตั้งที่ถูกกำหนดให้เบ็นจุดกึ่งกลาง ของแนวเส้นตอกตั้งเพียงหนึ่งเส้น แล้วจึงสานขัดแยกออกไปจากจุดกึ่งกลางทั้งสองข้างโดยยกและข่มสลับกันไป โดยใน โครงงานนี้จะกำหนดให้ ยกเป็น X ข่มเป็น Y ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1. ได้ทราบถึงลายขัดรูปเรขาคณิตแบบต่าง ๆ 2. ได้ใช้หลักการทางคณิตศาสตร์เพื่อทำให้งานจักสานง่ายขึ้น ประโยชน์ที่ได้รับ 1. ได้ทราบถึงลายขัดรูปเรขาคณิตแบบต่าง ๆ 2. ได้ใช้หลักการทางคณิตศาสตร์เพื่อทำให้งานสานง่ายขึ้น 3. ได้ศึกษาเรียนรู้ เรื่อง รูปทรงเรขาคณิตจากลายสาน 4. ได้ฝึกทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นและส่งเสริมทักษะการทำงานเป็นทีม 5. ได้พัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์โดยการศึกษาสิ่งรอบตัวที่พบในชีวิตประจำวันและนำหลักการ คณิตศาสตร์มาประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม อุปกรณ์และวิธีการ สมมติฐานการศึกษา 1. ลายจักสานทำให้เกิดหลักการทางคณิตศาสตร์ในรูปคู่อันดับ 2. ลายจักสานแบบต่าง ๆ เกิดเป็นรูปเรขาคณิต วิธีการดำเนินการจัดทำโครงงานคณิตศาสตร์เรื่อง คู่อันดับหรรษาพาจักสาน คณะผู้จัดทำได้ดำเนินการตาม แผนงานรายละเอียดดังนี้ 1. วัสดุอุปกรณ์ 2. ขั้นตอนการดำเนินงาน 3. ปฏิทินการดำเนินงาน วัสดุอุปกรณ์ ในการจัดทำโครงงานคณิตศาสตร์ เรื่อง คู่อันดับหรรษาพาจักสาน มีวัสดุอุปกรณ์ ดังนี้ 1) ตอกไม้ไผ่ (hammered bamboo) ขนาด 0.4x50 cm. 100 เส้น 2) เทปแลคซีน ขนาดแกนเทป 3 นิ้ว ขนาดหน้าเทปกว้าง 1 1/2 นิ้ว (36 มม.) ความยาว 8 หลา (7 เมตร) 1 ม้วน
หน้าที่ 15 3) กรรไกรตัดกระดาษขนาดใหญ่ (scissors) 9 นิ้ว 1 เล่ม ขั้นตอนการดำเนินงาน โครงงานคณิตศาสตร์ เรื่อง คู่อันดับหรรษาพาจักสาน คณะผู้จัดทำได้ดำเนินการโดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1) รวมกลุ่มสมาชิก จำนวน 3 คน และร่วมกันศึกษารูปแบบวิธีการทำโครงงาน 2) ร่วมประชุมวางแผนเลือกหัวข้อโครงงานที่สนใจและอยากศึกษาเรียนรู้ 3) จัดทำโครงร่างโครงงานเพื่อนำเสนอต่อครูที่ปรึกษาโครงงาน 4) ศึกษาและค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับการจักสานลายขัดแบบต่าง ๆ 5) จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ในการจักสาน 6) เริ่มเรียนรู้วิธีการสานและใช้หลักการทางคณิตศาสตร์ 7) สรุปผลจากการศึกษาลายขัดกับคู่อันดับ 8) จัดทำรายงานโครงงานคณิตศาสตร์ 9) นำเสนอโครงงานคณิตศาสตร์ ปฏิทินการดำเนินงาน ที่ ขั้นตอนการดำเนินงาน ระยะเวลาการดำเนินงาน กรกฎาคม สิงหาคม 1 รวมกลุ่มสมาชิก จำนวน 3 คน และร่วมกันศึกษารูปแบบวิธีการทำโครงงาน 2 ร่วมประชุมวางแผนเลือกหัวข้อโครงงานที่สนใจและอยากศึกษาเรียนรู้ 3 จัดทำโครงร่างโครงงานเพื่อนำเสนอต่อครูที่ปรึกษาโครงงาน 4 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับลายจักสานและคู่อันดับ 5 จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ในการสร้างลายจักสาน 6 สร้างผลงานการจักสานลายสามหน่วยหรือลายสามขัดบีเข้า 7 ใช้หลักการคู่อันดับอธิบายลวดลาย 8 สรุปลายขัดโดยใช้คู่อันดับ 9 จัดทำรายงานโครงงานคณิตศาสตร์ 10 นำเสนอโครงงานคณิตศาสตร์ ตารางที่ 1 ปฏิทินการดำเนินงาน
หน้าที่ 16 ผลการดำเนินงาน ผลการดำเนินงานจากการจัดทำโครงงานคณิตศาสตร์ เรื่อง คู่อันดับหรรษาพาจักสาน คณะผู้จัดทำได้ ดำเนินการสานลายสามหน่วยหรือลายสามขัดบีเข้า เสนอผลการดำเนินการเป็นลายไทยรูปเรขาคณิต ดังนี้ ตารางคู่อันดับจักสานไม้ไผ่ ลายไทยรูปเรขาคณิต R = แถว X = การยกดอกไม้ไผ่ Y = การข่มดอกไม้ไผ่ แถวที่ ชุดที่ 1 ชุดที่ 2 ชุดที่ 3 ชุดที่ 4 ชุดที่ 5 ชุดที่ 6 ชุดที่ 7 ชุดที่ 8 ชุดที่ 9 ชุดที่ 10 ชุดที่ 11 R1 X3 Y1 X3 Y1 X3 Y1 X3 Y1 X3 Y1 X3 R2 X2 Y3 X5 Y3 X5 Y3 X5 Y3 X5 Y3 X5 R3 X1 Y2 X1 Y2 X3 Y2 X1 Y2 X3 Y2 X1 R4 X2 Y3 X5 Y3 X5 Y3 X5 Y3 X5 Y3 X5 R5 X3 Y1 X3 Y1 X3 Y1 X3 Y1 X3 Y1 X3 R6 Y1 X5 Y3 X5 Y3 X5 Y3 X5 Y3 X5 Y3 R7 Y2 X3 Y2 X1 Y2 X3 Y2 X1 Y2 X3 Y2 R8 Y1 X5 Y3 X5 Y3 X5 Y3 X5 Y3 X5 Y3 R9 X3 Y1 X3 Y1 X3 Y1 X3 Y1 X3 Y1 X3 R10 X2 Y3 X5 Y3 X5 Y3 X5 Y3 X5 Y3 X5 ตารางที่ 2 ตารางคู่อันดับจักสานไม้ไผ่ ลายไทยรูปเรขาคณิต จากตารางที่ 2 จะตารางคู่อันดับเป็นลายสานที่มีรูปแบบของลายสานซับซ้อน การสานจะใช้ตอกที่มีขนาด เท่ากันนำมาสานขัดกันในลักษณะยกหนึ่งข่มหนึ่งและยกห้าข่มห้า การสานต้องจัดเส้นตอกตั้งหลาย ๆ เส้นให้ชิดกัน แล้วนำตอกสานมาสานขัดทีละเส้น โดยต้องเริ่มสานขัดจุดกึ่งกลางของเส้นตอกตั้งที่ถูกกำหนดให้เบ็นจุดกึ่งกลางของ แนวเส้นตอกตั้งเพียงหนึ่งเส้น แล้วจึงสานขัดแยกออกไปจากจุดกึ่งกลางทั้งสองข้างโดยยกและข่มสลับกันไป กล่าวคือ ตอกสานเส้นที่หนึ่งจะสานขัดเส้นตอกตั้งที่ถูกกำหนดให้เป็นจุดกึ่งกลางโดยยกหนึ่งแล้วจึงสานชัดข่มและยกเส้นตอกตั้ง อย่างละสามเส้นแยกจากจุดกึ่งกลางออกไปทั้งสองข้างสลับกันไปโดยตลอด นำตอกสานเส้นที่สองมาสานข่มทำเส้นโดย ให้เส้นตอกตั้งที่เป็นจุดกึ่งกลางถูกคร่อมอยู่ตรงกลางพอดี แล้วจึงยกและข่มเส้นตอกตั้งอย่างละสามเส้นแยกออกทั้งสอง ข้าง นำตอกสานเส้นที่สามมาสานข่มสามเส้นและให้เส้นตอกตั้งที่เป็นจุดกึ่งกลางถูกคร่อมทับอยู่ตรงกลาง แล้วจึงยก และข่มอย่างละสามเส้นแยกออกไปทั้งสองข้าง นำตอกสานเส้นที่สี่มาสานข่มเส้นตอกตั้งที่เป็นจุดกึ่งกลางหนึ่งเส้น แล้ว จึงยกและข่มอย่างละสามเส้นแยกออกทั้งสองข้าง ส่วนตอกสานเส้นต่อไปก็จะสานเหมือนกันกับตอกสานเส้นที่ผ่านมา ซึ่งจะเริ่มสานแบบเดียวกันกับตอกสานเส้นที่ 1, 2, 3 และ 4 ตามลำดับ หลังจากนั้นจึงนำเส้นตอกสานมาสานขัดเส้น ตอกตั้งอีกซีกหนึ่งซึ่งอยู่ทิศทางตรงกันข้าม โดยเริ่มนับตอกสานเส้นที่หนึ่งร่วมกับตอกสานเส้นที่หนึ่งที่สานผ่านมาแล้ว จึงจัดเส้นตอกแต่ละเส้นทั้งสองแนวให้ชิดกันก็จะทำให้เกิดลายสานที่มีลักษณะเป็นแผ่นเรียบทึบ
หน้าที่ 17 ภาพที่ 2 รูปลายสามหน่วยหรือลายสามขัดบีเข้า การสร้างสรรค์ลายขัดแบบประยุกต์ จากการศึกษาลายขัดแบบต่าง ๆ ทำให้คณะผู้จัดทำได้สร้างคู่อันดับความสัมพันธ์ระหว่างตอกตั้งและตอกสาน ลายหัวใจแห่งรัก ดังนี้ R = แถว X = การยกดอกไม้ไผ่ Y = การข่มดอกไม้ไผ่ ภาพที่ 3 คู่อันดับลายหัวใจแห่งรัก สามารถเขียนเป็นคู่อันดับได้ ดังนี้ แถวที่ 1 (R1,Y1), (R1,X5), (R1,Y1), (R1,X5), (R1,Y1) แถวที่ 2 (R2,X1), (R2,Y1), (R2,X3), (R2,Y3), (R2,X3), (R2,Y1), (R2,X1) แถวที่ 3 (R3,Y1), (R3,X3), (R3,Y5), (R3,X3), (R3,Y1) แถวที่ 4 (R4,X3), (R4,Y3), (R4,X1), (R4,Y3), (R4,X3) แถวที่ 5 (R5,X2), (R5,Y3), (R5,X3), (R5,Y3), (R5,X2) แถวที่ 6 (R6,X1), (R6,Y3), (R6,X5), (R6,Y3), (R6,X1) แถวที่ 7 (R7,Y3), (R7,X3), (R7,Y1), (R7,X3), (R7,Y3)
หน้าที่ 18 แถวที่ 8 (R8,Y2), (R8,X3), (R8,Y3), (R8,X3), (R8,Y2) แถวที่ 9 (R9,Y3), (R9,X1), (R9,Y5), (R9,X1), (R19,Y3) แถวที่ 10 (R10,X1), (R10,Y5), (R10,X1), (R10,Y5), (R10,X1) ภาพที่ 4 ลายหัวใจแห่งรัก ผลการทดลองและวิจารณ์ การดำเนินโครงงานคณิตศาสตร์เรื่อง คู่อันดับหรรษาพาจักสาน มีวัตถุประสงค์ของการศึกษา (1) เพื่อ วิเคราะห์หลักความคิดทางคณิตศาสตร์ในลายจักสาน (2) เพื่อสามารถนำหลักการทางคณิตศาสตร์ไปใช้ในงานสานลาย ขัดได้ (3) เพื่อสร้างสรรค์ลายจักสานโดยใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ โดยผู้จัดทำได้สรุป อภิปรายผล ปัญหา และ ข้อเสนอแนะ ดังนี้ สรุปผลการศึกษาค้นคว้า จากการศึกษาลายขัดแบบลายสามหน่วยหรือลายสามขัดบีเข้า จะได้คู่อันดับดังนี้ แถวที่ 1 (R1,X3), (R1,Y1), (R1,X3), (R1,Y1), (R1,X3), (R1,Y1), (R1,X3) แถวที่ 2 (R2,X2), (R2,Y3), (R1,X5), (R2,Y3), (R1,X5), (R2,Y3), (R1,X5) แถวที่ 3 (R3,X1), (R3,Y2), (R3,X1), (R3,Y2), (R3,X3), (R3,Y2), (R3,X3), (R3,Y2), (R3,X1) แถวที่ 4 (R4,X2), (R4,Y3), (R4,X5), (R4,Y3), (R4,X5), (R5,Y3), (R4,X5), (R4,Y3), (R4,X5), (R4,Y3) แถวที่ 5 (R5,X3), (R5,Y1), (R5,X3), (R5,Y1), (R5,X3), (R5,Y1), (R5,X3), (R5,X3), (R5,Y1), (R5,X3)
หน้าที่ 19 แถวที่ 6 (R6,Y1), (R6,X5), (R6,Y3), (R6,X5), (R6,Y3), (R6,X5), (R6,Y3), (R6,X5), (R6,Y3) แถวที่ 7 (R7,Y2), (R7,X3), (R7,Y2), (R7,X1), (R7,Y2), (R7,X3), (R7,Y2), (R7,X1), (R7,Y2), (R7,X3) แถวที่ 8 (R8,Y1), (R8,X5), (R8,Y3), (R8,X5), (R8,Y3), (R8,X5), (R8,Y3), (R8,X5), (R8,Y3), (R8,X5), (R8,Y3) แถวที่ 9 (R9,X3), (R9,Y1), (R9,X3), (R9,Y1), (R9,X3), (R9,Y1), (R9,X3), (R9,Y1), (R9,X3), (R9,Y1), (R9,X3) แถวที่ 10 (R10,X2), (R10,Y3), (R10,X5), (R10,Y3), (R10,X5), (R10,Y3), (R10,X5), (R10,Y3), (R10,X5), (R10,Y3), (R10,X5), (R10,Y3) สรุปผลและเสนอแนะ อภิปรายผลการศึกษาค้นคว้า สรุปผลการศึกษาค้นคว้าสามารถอภิปรายได้ดังนี้ จากการศึกษาพบว่าลายสามหน่วยหรือลายสามขัดบีเข้า สามารถอธิบายวิธีการสานได้ด้วยคู่อันดับใน หลักการทางคณิตศาสตร์ และจากการศึกษาลายขัดแบบต่าง ๆ สามารถเขียนวิธีการสานได้ด้วยคู่อันดับเหมือนเป็นโค้ด ในการสานลายต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ข้อเสนอแนะ ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ผู้จัดทำมีข้อเสนอแนะดังนี้ 1. ควรศึกษาวัสดุ/อุปกรณ์ และวิธีการจักสานลายสามหน่วยอย่างรอบคอบและครบถ้วน 2. ควรเลือกใช้สถานที่ที่เหมาะสมในการจักสาน 3. ควรระมัดระวังและรอบคอบในการประดิษฐ์ชิ้นงาน เอกสารอ้างอิง ประทักษ์ คูณทอง (2559); การศึกษาลวดลายหัตถกรรมเครื่องจักสานพื้นบานท้องถิ่น เพื่อเป็นแนวทางในการ ออกแบบและพัฒนาลวดลายบนเครื่องเรือน : กรณีศึกษา กลุ่มเครื่องจักสานสานบ้านหนองขอน อําเภอ เมือง จังหวัดอุบลราชธานี วิกิพีเดีย.(2565).คู่อันดับ สืบค้นเมื่อ 3 สิงหาคม 2566,จาก https://th.m.wikipedia.org การเขียนรายงานโครงงาน[ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.gotoknow.org/posts/432715 สืบค้นเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2566
หน้าที่ 20 ลูกปัดโนราหลักคณิตฯ Math Nora Beads อธิธัช ลายขวะ, กนกพร เดชผล, และ จิณณภัต พูลสวัสดิ์ ครูที่ปรึกษา : หฤทัย กาแก้ว และ นฤพันธ์ ปานภัคดี Athithat Laikhwa, Kanokphon Detphon and Jinnapat Poonsawat Advisor : Haruethai Kakaew and Naruphan Panpakdee บทคัดย่อ โครงงานคณิตศาสตร์ เรื่อง ลูกปัดโนราหลักคณิตฯมีจุดมุ่งหมายเพื่อวิเคราะห์หลักความคิดทางคณิตศาสตร์ ไปใช้ในลายลูกปัดมโนราห์และนำสมการเชิงเส้นมาใช้แก้ปัญหา โดยการดำเนินการแรกจะทำการร้อยลูกปัดมโนราห์ ลายบัวคว่ำจากนั้นก็วิเคราะห์ลายบัวคว่ำแล้วนำวิธีการทางกำหนดการเชิงเส้นมาใช้ในการหากำไรในการร้อยลูกปัด มโนราห์ในแต่ละวันโดยกำหนดโจทย์ปัญหาขึ้นมา ผลการศึกษาพบว่าการร้อยลูกปัดมโนราห์ลายบัวคว่ำ สามารถเขียนให้อยู่ในรูปลำดับเลขคณิต ได้ดังนี้ คือ 1,3,5,7,9,.., 2n-1 และจากการใช้การคำนวณค่าใช้จ่ายหลักสมการเชิงเส้นพบว่าอัตราความคุ้มทุนระหว่างราคาขาย และกำไร ร้อยละ 48 ของกระเป๋าใบใหญ่ และ ร้อยละ 53 ของกระเป๋าใบใหญ่ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ พัทลุง จังหวัด พัทลุง Triamudomsuksapattanakarn Phatthalung School
หน้าที่ 21 บทนำ 1. ที่มาและความสำคัญของโครงงาน จังหวัดพัทลุงเป็นเมืองรองแห่งการท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่สนใจลูกปัดมโนราห์ของจังหวัดพัทลุง หากสังเกตจะพบว่ามีหลักการทางคณิตศาสตร์ปรากฎในสิ่งของเหล่านั้นเพราะคณิตศาสตร์เป็นศาสตร์ของการ สร้างสรรค์ แก้ปัญหา และการใช้เหตุผล ในงานร้อยลูกปัดมโนราห์นั้นส่วนใหญ่จะเกิดจากคนในท้องถิ่นที่ใช้ภูมิปัญญา ท้องถิ่นที่มีอยู่ยาวนานและที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ พัทลุงโดยสอนให้นักเรียนรู้จักใช้ภูมิปัญญาของถิ่น ของเราในการร้อยลูกปัดมโนราห์ต่างๆ ได้อย่างประณีตงดงาม และเมื่อศึกษาลวดลายลูกปัดมโนราห์แบบต่างๆ พบว่า ลวดลายต่างๆนั้นมีการร้อยไปมาที่ซ้ำกันคณะผู้จัดทำจึงได้ศึกษาคันคว้าเกี่ยวกับเนื้อหาทางคณิตศาสตร์ให้สอดคล้อง ลายลูกปัดโดยลายลูกปัดแต่เดิมคนในสมัยก่อนก็เริ่มจากการร้อยกันไปมาแล้วค่อยต่อเดิมความคิดมาเรื่อยๆแต่ไม่ได้ คิดถึงหลักการสร้างงานลวดลายในการร้อยโดยใช้หลักการทางคณิตศาสตร์ดังนั้นคณะผู้จัดทำจึงได้ทำการศึกษาลาย ลูกปัดแบบต่างในงานร้อยลูกปัดมาจับกับหลักการทางคณิตศาสตร์เพื่อให้ทราบถึงการสร้างลายต่างๆและรู้ถึงการใช้ หลักการทางคณิตศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม ผู้จัดทำเห็นว่าเมื่อร้อยลูกปัดมโนราห์ไว้ใช้แล้วยังสามารถนำไปขายต่อเพื่อสร้างรายได้นั่นคือต้องมีการคิด กำไรของการร้อยลูกปัดมโนราห์ ดั้งนั้นจึงต้องการทราบกำไรในการร้อยลูกปัดในแต่ละวัน 2. จุดมุ่งหมายของการศึกษา 1. เพื่อวิเคราะห์หลักความคิดทางคณิตศาสตร์ในลายลูกปัดมโนราห์ 2. เพื่อนำหลักการทางคณิตศาสตร์ไปใช้ในงานร้อยลายลูกปัดมโนราห์ 3. เพื่อนำความรู้กำหนดการสมการเชิงเส้นมาใช้แก้ปัญหาเพื่อหากำไรสูงสุด 3. สมมติฐานของการศึกษา 1. ลายลูกปัดมโนราห์ทำให้เกิดหลักการทางคณิตศาสตร์ในรูปลำดับเลขคณิต 2. ลายไทยใช้หลักการทางคณิตศาสตร์ในรูปแบบลำดับเลขคณิต 3. สามารถคำนวณรายได้จากกำไรในการร้อยลูกปัดมโนราห์ในแต่ละวันโดยใช้หลักกำหนดการเชิงเส้น 4. ขอบเขตของการศึกษา 1. ศึกษาลายบัวคว่ำหรือบัวหงาย 2. ศึกษาลำดับการครบรอบของสร้อยลูกปัดมโนราห์ลายบัวคว่ำหรือบัวหงาย 3. ศึกษาการลงทุนและผลกำไรสูงสุดโดยวิธีการของกำหนดสมการเชิงเส้น
หน้าที่ 22 5. ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรต้น คือ กระเป๋าลูกปัดมโนราห์ลายบัวคว่ำ ตัวแปรตาม คือ 1. ลายบัวคว่ำและลายบัวหงายบนกระเป๋า 2. ต้นทุนและกำไร ตัวแปรควบคุม คือ 1. ขนาดของกระเป๋า 2. เวลาในการร้อยลูกปัดมโนราห์ 6. นิยามศัพท์เฉพาะ 1. ลำดับเลขคณิต คือ ลำดับที่มีผลต่างที่ได้จากการนำพจน์ n+1 ลบด้วยพจน์ n แล้วมีค่าคงที่เสมอ และเรียก ผลต่างคงที่ว่า ผลต่างรวม (Common difference) 2. กำหนดการเชิงเส้น (Linear programming) เป็นวิธีการทางคณิตศาสตร์ประยุกต์เพื่อช่วยในการตัดสินใจ เกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด คำว่า ทรัพยากรในที่นี้หมายถึง เครื่องจักร กำลังคน วัตถุดิบ เวลา หรือเงินลงทุน วิธีการกำหนดการสมการเชิงเส้นทำให้เราทราบว่าควรตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนอย่างไร จึงจะได้ผลกำไรสูงสุดภายใต้ข้อจำกัดและเงื่อนไขที่มี อุปกรณ์และวิธีการ วิธีการดำเนินการจัดทำโครงงานคณิตศาสตร์เรื่อง ลูกปัดโนราหลักคณิตฯ คณะผู้จัดทำได้ดำเนินการตาม แผนงานรายละเอียดดังนี้ 3.1 การศึกษาลาย วัสดุ / อุปกรณ์ 1. ด้ายไนล่อน เบอร์ 9 2. คัตเตอร์ที่ไม่คม 3. ขี้ผึ้ง 4. กรรไกร 5. ลูกปัดมโนราห์ วิธีการดำเนินการ 1. ขั้นเตรียม 1.1 วัดด้ายไนล่อน 60 เซนติเมตร 1.2 ตัดตามที่วัดไว้
หน้าที่ 23 2. ขั้นตอนการร้อย 2.1 จับเชือกหลักที่ 6 ขาขวาใส่ลูกปัดสีขาว 1 เม็ด และจับเชือกหลักที่ 5 ขาซ้ายใส่ลูกปัดสีขาว 2 เม็ดนำเชือกหลักที่ 6 ขาซ้าย สอดสวนผ่านลูกปัดเม็ดที่สองหลักที่ 5 ขาขวา แล้วดึงเชือกให้ตึง (ชั้นที่ 1)แล้วปฏิบัติเช่น เติมอีก 1 ชั้น จะได้ 1 ดอก 2.2 จับเชือกหลักที่ 5 ขาขวาใส่ลูกปัดสีแดง 1 เม็ด และจับเชือกหลักที่ 4 ขาช้ายใส่ลูกปัดสีแดง 2 เม็ดนำเชือกหลักที่ 5 ขาขวา สอดสวนผ่านลูกปัดเม็ดที่สองหลักที่ 4 ขาซ้าย แล้วดึงเชือกให้ตึง (ชั้นที่ 1) แล้วปฏิบัติเช่น เติมอีก 1 ชั้น จะได้ 1 ดอก 2.3 จับเชือกหลักที่ 4 ขาขวาใส่ลูกปัดสีส้ม 1 เม็ด และจับเชือกหลักที่ 3 ขาซ้ายใส่ลูกปัดสีส้ม 2 เม็ด นำเชือกหลักที่ 4 ขาขวา สอดสวนผ่านลูกปัดเม็ดที่สองหลักที่ 3 ขาซ้าย แล้วดึงเชือกให้ตึง (ชั้นที่ 1) แล้วปฏิบัติเช่นเดิม อีก 1 ชั้น จะได้ 1 ดอก 2.4 จับเชือกหลักที่ 3 ขาขวาใส่ลูกปัดสีเหลือง 1 เม็ด และจับเชือกหลักที่ 2 ขาซ้ายใส่ลูกปัดสีเหลือง 2เม็ด นำเชือกหลักที่ 3 ขายวา สอดสวนผ่านลูกปัดเม็ดที่สองหลักที่ 3 ขาซ้าย แล้วดึงเชือกให้ตึง (ชั้นที่1) แล้วปฏิบัติ เช่นเดิมอีก 1 ขั้น จะได้ 1 ดอก 2.5 จับเชือกหลักที่ 2 ขาขวาใส่ลูกปัดสีขาว 1 เม็ด และจับเชือกหลักที่ 1 ขาซ้ายใส่ลูกปัดสีขาว 2 เม็ดนำเชือกหลักที่ 2 ขาขวา สอดสวนผ่านลูกปิดเม็ดที่สองหลักที่ 1 ขาซ้าย แล้วดึงเชือกให้ตึง (ชั้นที่ 1)แล้วปฏิบัติ เช่นเดิมอีก 1 ขั้น จะได้ 1 ดอก 2.6 จับเชือกหลักที่ 7 ขาขวาใส่ลูกปัดสีแดง 1 เม็ด และจับเชือกหลักที่ 6 ขาซ้ายใส่ลูกปัดสีแดง 2 เม็ดนำเชือกหลักที่ 7 ขาขวา สอดสวนผ่านลูกปิดเม็ดที่สองหลักที่ 6 ซาซ้าย แล้วดึงเชือกให้ตึง (ชั้นที่ 1) แล้วปฏิบัติ เช่นเดิมอีก 1 ขั้น จะได้ 1 ดอก 2.7 จับเชือกหลักที่ 8 ขาขวาใส่ลูกปัดสีส้ม 1 เม็ด และจับเชือกหลักที่ 7 ขาซ้ายใส่ลูกปัดสีส้ม 2 เม็ด นำเชือกหลักที่ 8 ขาชวา สอดสวนผ่านลูกปัดเม็ดที่สองหลักที่ 7 ขาซ้าย แล้วตึงเชือกให้ตึง (ชั้นที่ 1) แล้วปฏิบัติเช่นเดิม อีก 1 ชั้น จะได้ 1 ดอก 2.8 จับเชือกหลักที่ 9 ขาขวาใส่ลูกปัดสีเหลือง 1 เม็ด และจับเชือกหลักที่ 8 ขาซ้ายใส่ลูกปัดสีส้ม 2 เม็ดนำเชือกหลักที่ 9 ขาขวา สอดสวนผ่านลูกปัดเม็ดที่สองหลักที่ 8 ขาซ้าย แล้วดึงเชือกให้ตึง (ชั้นที่ 1)แล้วปฏิบัติเช่น เติมอีก 1 ชั้น จะได้ 1 ดอก 2.9 จับเชือกหลักที่ 10 ขาขวาใส่ลูกปัดสีขาว 1 เม็ด และจับเชือกหลักที่ 9 ขาซ้ายใส่ลูกปัดสีขาว 2 เม็ดนำเชือกหลักที่ 10 ขาขวา สอดสวนผ่านลูกปัดเม็ดที่สองหลักที่ 9 ขาซ้าย แล้วตึงเชือกให้ตึง (ชั้นที่ 1)แล้วปฏิบัติ เช่นเดิมอีก 1 ชั้น จะได้ 1 ดอก 2.10 จับเชือกหลักที่ 10 ขาขวาใส่ลูกปัดสีขาว 1 เม็ด และจับเชือกหลักที่ 9 ขาซ้ายใส่ลูกปัดสีขาว 2 เม็ด นำเชือกหลักที่ 10 ขาขวา สอดสวนผ่านลูกปัดเม็ดที่สองหลักที่ 9 ขาซ้าย แล้วตึงเชือกให้ตึง (ชั้นที่1)แล้วปฏิบัติ เช่นเดิมอีก 1 ขั้น จะได้ 1 ดอก
หน้าที่ 24 ผลการทดลองและวิจารณ์ จากการจัดทำโครงงานคณิตศาสตร์ เรื่อง ลูกปัดโนราห์หลักคณิตฯ คณะผู้จัดทำได้ดำเนินการร้อยลูกปัด มโนราห์ เสนอผลการดำเนินการเป็นลายไทยรูปเรขาคณิต ดังนี้ ลายลูกปัดมโนราห์ จากการศึกษาพบว่า การร้อยลูกปัดลายบัวคว่ำสามารถเขียนให้อยู่ในรูปแบบลำดับเลขคณิตได้ดังนี้ การครบรอบของลาย คือ 1,3,5,7,…, แนวคิด 1 , 3 , 5 , 7 , …. 2 2 2 จะได้ ค่า d = 2 a1 = 1 จากสูตร an = a1 + ( n – 1 )d = 1 + ( n – 1 )(2) = 1 + 2n – 2 ดังนั้น an = 2n – 1 นั้นคือ 1,3,5,7,…,2n-1
หน้าที่ 25 การนำดับเลขคณิตไปวิเคราะห์ลายลูกปัดมโนราห์จากการที่วิเคราะห์ลายบัวคว่ำนั้นจะได้ ดังตารางนี้ ตัวอย่าง 1. ถ้าต้องการสร้างกระเป๋าลายลูกปัดมโนราห์ที่มีฐาน กว้าง 9 เซนติเมตร ความยาว 15 เซนติเมตร และความสูง 10 เซนติเมตร จำได้ลายครบรอบกี่รอบ วิธีคิด การหาการครบรอบของลายจากที่โจทย์กำหนด จะได้ว่า สูตร an = 2n-1 ฐาน ความกว้าง มี an = 9 จะได้ 9 = 2n-1 n = 10 2 = 5 ดั้งนั้นการครบรอบของลาย 5 รอบ ความยาว มี an = 15 จะได้ 15 = 2n-1 n = 16 2 = 8 ดั้งนั้นจะได้การครบรอบของลาย 8 รอบ ความสูง มี an = 10 จะได้ 10 = 2n-1 n = 11 2 = 5.5 ดั้งนั้นจะได้การครบรอบของลาย 6 รอบ การครบรอบของลาย จำนวนลูกปัดมโนราห์ที่ใช้ในการ ร้อย 1 2 3 4 5 6 . . . N 1 3 5 7 9 11 . . . 2n-1
หน้าที่ 26 การนำกำหนดการสมการเชิงเส้นไปใช้ในการแก้ปัญหาการผลิตกระเป๋าลายลูกปัดมโนราห์ 1. ต้นทุน คือ กระเป๋าสานขนาดใหญ่สำหรับการทำลายลูกปัดมโนราห์ 500 บาท ลูกปัดมโนราห์สำหรับทำลวดลายบนกระเป๋าขนาดใหญ่ 800 บาท กระเป๋าสานขนาเล็กสำหรับการทำลายลูกปัดมโนราห์ 200 บาท ลูกปัดมโนราห์สำหรับทำลวดลายบนกระเป๋าขนาดเล็ก 500 บาท 2. กระเป๋าสานลายลูกปัดมโนราห์ขนาดใหญ่ราคา 2500 บาท กระเป๋าสานลายลูกปัดมโนราห์ขนาดเล็กราคา 1500 บาท 3. ระยะเวลาในการทำลวดลายลูกปัดมโนราห์บนกระเป๋าขนาดใหญ่ 5 ชั่วโมง กระเป๋าขนาดเล็ก 3 ชั่วโมง การนำสมการเชิงเส้นไปใช้แก้ปัญหา 1. นักเรียนร้อยลูกปัดมโนราห์บนกระเป๋า ซึ่งมี 2 ขนาด คือขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ โดยขนาดเล็กใช้เวลา 3ชั่วโมง ขายได้กำไร 800 บาท สำหรับร้อยลูกปัดมโนราห์บนกระเป๋าขนาดใหญ่ใช้เวลา 5 ชั่วโมง ขายได้กำไร 1200 บาท ถ้า วันหนึ่งต้องการร้อยลูกปัดมโนราห์โดยใช้เวลาไม่เกิน 6 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 5 วัน ต้องการทราบว่าจะทำกระเป๋าลาย มโนราห์แต่ละขนาดเป็นจำนวนเท่าไหร่เพื่อให้ได้กำไรสูงสุด วิธีทำ กำหนดให้ P แทนกำไรทั้งหมด X แทนจำนวนการทำกระเป๋าลายลูกปัดมโนราห์ขนาดเล็กที่ผลิต 5 วัน Y แทนจำนวนการทำกระเป๋าลายลูกปัดมโนราห์ขนาดใหญ่ที่ผลิต 5 วัน อ่านข้อมูลจากโจทย์แล้วสรุปเป็นข้อมูลง่ายๆ ได้ดั้งนี้ ขนาดกระเป๋า เวลาที่ร้อยลูกปัด (กระเป๋า/ชั่วโมง) กำไร (บาท/ใบ) จำนวนที่ร้อย แต่ละวัน ขนาดเล็ก 3 800 X ≥ 0 ขนาดใหญ่ 5 1200 Y ≥ 0 เราสามารถเขียนฟังก์ชันจุดประสงค์ได้ คือ P = 800x + 1200y และ อสมการข้อจำกัด คือ 3x + 5y = 30 x ≥ 0 y ≥ 0 โดยที่ x และ y เป็นจำนวนเต็ม เขียนกราฟสมการ x และ y เป็นจำนวนจริง ดังรูป แสดงฟังชัน 3x + 5y =30 จุดมุมที่ได้จากอสมการ คือ (0,0) , (0,6),(5,3) ,(8,0) เมื่อแทนค่าพิกัดของจุดมุม ข้างต้นในฟังก์ชัน จะได้ P
หน้าที่ 27 ตารางที่ 4 แสดงข้อมูลการแทนค่าพิกัดของจุดมุมในฟังก์ชัน (x,y) 800x 1200y P = 800x + 1200 (0,0) 0 0 0 (0,6) 0 7200 7200 (5,3) 4000 3600 7600 (10,0) 8000 0 8000 มุม(10,0) ให้ค่า P มากที่สุดดั้งนั้น จะให้ได้กำไรมากที่สุด ต้องร้อยกระเป๋าลายลูกปัดมโนราห์ขนาดเล็ก 10 ใบ และ ร้อยกระป๋าลายลูกปัดมโนราห์ขนาดใหญ่ 0 ตัว จะได้กำไร 8000 บาท สรุปผลและเสนอแนะ จากการศึกษาพบว่า การร้อยลูกปัดมโนราห์ ลายบัวคว่ำ สามารถเขียนให้อยู่ในรูปแบบดังนี้ 1,3,5,7,9,…,2n-1 จากลายเมื่อนำมาศึกษาจะได้ว่า ลาย มีตำแหน่งการครบรอบของลายเป็นจำนวนที่ แต่มีผลต่างร่วม การครบรอบของลาย(ค่า d) จะเป็นจำนวนคู่ลายของลูกปัด นั่นคือการกำหนดการครบรอบของลายตามต้องการเราก็ จะได้ทำไปแทนในสูตรของลายที่ต้องการและการนำวิธีการทางกำหนดการเชิงเส้นมาใช้ในการหากำไรในการร้อยลูกปัด ในแต่ละวันพบว่าถ้ากำหนดเวลาในการร้อยที่เท่ากัน จะต้องร้อยกระเป๋าลายลูกปัดมโนราห์ขนาดเล็ก 10 ใบ และร้อย กระป๋าลายลูกปัดมโนราห์ขนาดใหญ่ 0 ตัว จะได้กำไร 8000 บาท ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. นักเรียนเกิดทักษะ กระบวนการ และใช้หลักการคณิตศาสตร์ในร้อยลูกปัดมโนราห์อย่างดี ถูกต้องและ เหมาะสม 2. นักเรียนสามารถนำหลักการทางคณิตศาสตร์เรื่องลำดับเลขคณิตาต่อยอดคิดลายลูกปัดมโนราห์ได้ 3. กำหนดขนาดและวัดสุในการร้อยลูกปัดมโนราห์ในแต่ละวันได้ล่วงหน้า 4. คำนวณปริมาณการร้อยลูกปัดมโนราห์แต่ละขนาดในแต่ละวันให้ได้ผลกำไรสูงสุด ข้อเสนอแนะ 1. ควรศึกษาลายรูปแบบต่างๆ เพิ่มเติม 2. ต่อยอดความคิดทางหลักการคณิตศาสตร์ให้มีมากกว่านี้ 3. ควรกำหนดโจทย์ปัญหาวิธีการกำหนดการเชิงเส้นที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะสามารถเลือกวิธีที่ได้ กำไรสูงสุด
หน้าที่ 28 เอกสารอ้างอิง ลำดับเลขคณิต [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.athometh.com/math/sequence-arithmetic/สืบค้นเมื่อ วันที่ 15 สิงหาคม พ. ศ.2566 การเขียนรายงานโครงงาน[ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.gotoknow.org/posts/432715 สืบค้นเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2566 ลายลูกปัดมโนราห์[ออนไลน์] เช้าถึงได้จาก https://www.facebook.com/K0973457899/ สืบค้นเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ.2566 วิธีร้อยลูกปัดมโนราห์จากคุณพิศทิยา ขวัญขำ สืบค้นเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2566 การร้อยลูกปัดมโนรา [ออนไลน์https://www.youtube.com/watch?v=Ijm2jkfm6ok&list=LL&index=1&t=18s สืบค้นเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2566 กราฟสมการเชิงเส้น [ออนไลน์] https://www.desmos.com/calculator?lang=th สืบค้นเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2566
หน้าที่ 29 น้ำหมักจุลินทรีย์จากจาวปลวกย่อยสลายวัสดุธรรมชาติ Microorganisms from termite hosts decompose natural materials. สืบโชติ โชติพานิช, ปวริศา วิจิตรจินดา และ เปมิกา วงศ์นิชาภัทร ครูที่ปรึกษา : ณัฐยา โชคพระสมบัติ และ พิรศักดิ์ อุปวิโรจน์ บทคัดย่อ โครงงานฉบับนี้ทำการศึกษาและหมักน้ำหมักชีวภาพจุลินทรีย์จากจาวปลวกโดยจัดทำน้ำหมักสองสูตรคือ สูตรที่1สูตรข้าวจ้าวและสูตรที่ 2 สูตรข้าวเหนียวพบว่าสามารถผลิตน้ำหมักจุลินทรีย์จากเจ้าปลวกได้ทั้งสองสูตรเมื่อ ศึกษาลักษณะทั่วไปของน้ำหมักทั้งสองสุดมีค่า pH เฉลี่ยเป็น 3.2 และ 3.5 ตามลำดับซึ่งมีค่าเป็นกรดทั้งคู่สีขาวขุ่นกลิ่น ฉุน เมื่อนำน้ำหมักจุลินทรีย์จากจอมปลวกมาศึกษาคุณภาพการย่อยสลายวัสดุธรรมชาติได้แก่เศษใบไม้ฟ้าข้าว และเปลือกมังคุดเปรียบเทียบเมื่อไม่หมัก หมักด้วยน้ำหมักทั้งสองสูตรที่มีความเข้มข้น 50% และความเข้มข้น 100% โดยสังเกตลักษณะเส้นใหญ่ของเศษวัสดุธรรมชาติด้วยการส่องผ่านกล้องจุลทรรศน์พบว่าผลการส่องดูลักษณะเส้นใย เศษวัสดุธรรมชาติ ทั้งสามชนิด มีผลไปแนวเดียวกันคือ เส้นใยมีการเปื่อยยุ่ยมากที่สุดในการหมักด้วยน้ำหมักเข้มข้น 100% E-mail address : [email protected] [email protected] [email protected] Triamudomsuksapattanakarn Phatthalung School. โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ พัทลุง จังหวัด พัทลุง
หน้าที่ 30 บทนำ ที่มาและความสำคัญ ในปัจจุบันสังคมในชุมชนท้องถิ่นจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นสังคมวัตถุนิยมประชากรส่วนมากเลือกประกอบอาชีพ อิสระหรือเข้าสู่ชุมชนเมืองมากขึ้นแต่งานด้านกิจเกษตรกรรมและอาชีพทางเกษตรกรรมก็ยังคงอยู่ในสังคมไทยซึ่งเป็น การดีด้วยซ้ำไปที่ได้มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้งานด้านการเกษตรทั้งการประหยัดเวลาเพิ่มผลผลิตและ คุณภาพของเกษตร แต่อย่างไรก็ตามการทำเกษตรแบบเกษตรอินทรีย์ที่เน้นไข้วัตถุทางธรรมชาติมาเป็นปัจจัยในการผลิตก็ยังคง เป็นสิ่งที่ดีทั้งต่อมนุษย์เราเองและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการหาแนวทางในการเพิ่มผลผลิตหรือลดระยะเวลาในการ เพาะปลูกหรือหาวิธีการให้ผลผลิตที่เจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว จากการศึกษาข้อมูลทางการเกษตรพบว่าการผลิตน้ำ หมักชีวภาพโดยวิธีการต่างๆ และใช้วัตถุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หาได้ในท้องถิ่นเพื่อมาใช้ในงานเกษตรอย่าง หลากหลาย ทั้งเป็นปุ๋ยโดยตรง เป็นตัวช่วยในการย่อยสลายซากพืชเพื่อผลิตปุ๋ยหรือสารอาหารที่จำเป็นในการปลูกพืช ทางการเกษตร แปรสภาพวัตถุในดินเป็นปุ๋ยสำหรับต้นไม้ รักษาหรือแก้ปัญหาสภาพของดินในการเพาะปลูก กลุ่ม จัดทำโครงงานทำการศึกษาค้นคว้าถึงคุณสมบัติของจาวปลวกที่นำมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร ได้พบว่า จาวปลวก คือ รังเลี้ยงตัวอ่อนหรือคอมบ์ป(comb) โครงสร้างเป็นรูพรุนคล้ายฟองน้ำ รูปร่างหยักไปมาคล้ายมันสมองหรือคล้าย ปะการัง บางชนิดคล้ายรังผึ้ง ลวดลายที่แตกต่างกันนี้ บางครั้งสามารถบอกสกุลของปลวกได้ขนาดของรังเลี้ยงตัวอ่อน ไม่แน่นอน ขนาดเล็กประมาณ 8x6 เซนติเมตรขนาดใหญ่มักมีรูปร่างยาวตามโพรงหรือห้องที่อยู่ใต้ดิน หรือภายในจอม ปลวกมีจุลินทรีย์จาวปลวก เป็นจุลินทรีย์อีกชนิดที่สามารถนำมาใช้ในการทำเกษตรอินทรีย์ ช่วยในการเจริญเติบโตของ พืชพร้อมทั้งยังเป็นจุลินทรีย์ในท้องถิ่นที่สามารถทำได้ง่ายใช้เวลาไม่นาน เมื่อนั้นเราก็จะได้จุลินทรีย์ที่ดีและมีประโยชน์ เนื่องจากในจาวปลวกนั้นมีแบคทีเรียที่มีชื่อเรียกว่า Bacillus sereus SPt245 ที่มีส่วนช่วยเร่งการเจริญเติบโตของราก และช่วยลดความรุนแรงของโรคที่ระบบราก ไม่ว่าจะเป็นโรครากเน่า,รากขาว,รากปม ซึ่งทำให้ต้นไม้ออกดอกออกผลดี โดยการนำจาวปลวกมาเป็นส่วนผสมหลักในการทำน้ำหมักชีวภาพเพื่อช่วยย่อยต้นตอพืช หรือเป็นตัวช่วยในการผลิต ปุ๋ยชีวภาพนั้น จากการศึกษาข้อมูลดังกล่าวทำให้ทางกลุ่มผู้จัดทำโครงงานมีความสนใจจะศึกษาและผลิตน้ำหมักจุลินทรีย์ จากจาวปลวก เพื่อนำมาทดลองใช้ในการย่อยสลายเศษใบไม้ เศษผัก ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีจำนวนมากในโรงเรียนเตรียม อุดมศึกษาพัฒนาการ พัทลุง และในชุมชนนี้ โดยสนใจศึกษาส่วนผสมที่แตกต่างกันโดยใช้ข้าวจ้าวสุก และข้าวเหนียว สุก เพื่อเป็นการเป็นข้อมูลและส่วนผสมที่นำไปต่อยอดสู่การแปรรูปเศษใบไม้มาใช้ประโยชน์ในรูปปุ๋ยใบไม้ และการน้ำ ส่วนที่ได้จากการหมักเศษผัก เปลือกผลไม้มาประยุกต์ใช้งานต่อไป วัตถุประสงค์การวิจัย 1.เพื่อศึกษาและผลิตน้ำหมักชีวภาพจากจาวปลวก สูตรข้าวเหนียว สูตรข้าวจ้าว 2.เพื่อศึกษาผลของน้ำหมักชีวภาพจากจาวปลวกที่มีผลต่อการย่อยสลายเศษซากพืช (ใบไม้,ฟางข้าว ,เปลือกมังคุด)
หน้าที่ 31 การตรวจเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จาวปลวก 1. ความหมายของจาวปลวก จาวปลวกเป็นสิ่งที่ปลวกสร้างขึ้นมาจากมูลของมันเอง ซึ่งมูลของปลวกมี 2 ชนิด ชนิดแรกเป็นมูลที่ถูกย่อย ภายในลำไส้เพียงเล็กน้อยและอยู่ในสภาพเป็นของแข็ง และชนิดที่สองเป็นมูลที่ถูกย่อยภายในลำไส้อย่างดีแล้วและอยู่ ในสภาพเป็นของเหลว 1)มูลชนิดแรกประกอบด้วยเศษพืช (เศษไม้) ชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ปลวกกัดกินเข้าไปและผ่าน กระเพาะของปลวกออกมาอย่างรวดเร็ว มูลที่ถ่ายออกมาจึงมีรูปร่างเป็นท่อนกลมสั้นๆ ซึ่งต่อมาจะถูกกรวม (mandibles) ของปลวกกัดจนเป็นเม็ดเล็กๆ แล้วนำไปสร้างเป็นรังเลี้ยงตัวอ่อน ในขณะที่ปลวกสร้างรังเลี้ยงตัวอ่อนนี้ เองจะมีราเกิดขึ้น โดยเส้นใยของราจะเกาะกันเป็นก้อนกลมสีขาวขนาดเล็ก เรียกว่า Fumgus nodule หรือ Fungal ball 2)เส้นใยนี้จะเป็นอาหารของปลวก และเมื่อปลวกกินเส้นใยของราเข้าไป จะถ่ายมูลชนิดที่สองออกมา ซึ่งปลวกจะ นำมูลที่เป็นของเหลวนี้ไปใช้เคลือบผนังด้านในของห้องเห็ด ข้าวเหนียว (Glutinous Rice) เป็นข้าวชนิดหนึ่ง เป็นพืชตระกูลหญ้า มีอายุสั้นเพียงฤดูเดียว เจริญเติบโตได้ ง่ายๆ เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก ลำต้นตั้งตรง ลำต้นมีลักษณะกลมเล็กๆ มีข้อและปล้องกลวง ช่วงโคนต้นมีข้อและปล้อง สั้นกว่า และยาวขึ้นเรื่อย ๆ มีเปลือกหนา มีขนหยาบๆปกคลุม ต้นมีสีเหลืองนวล สีเขียว ผลเป็นเมล็ด อยู่เป็นช่อ มี ลักษณะทรงรีเล็กๆ มีเปลือกแข็งแห้งหุ้มเมล็ด เปลือกเมล็ดอ่อนมีสีเขียว เปลือกเมล็ดแก่มีสีเหลืองทอง สีม่วงแดง ตาม สายพันธุ์ ข้างในมีเมล็ดแข็งมาก มีสีขาวขุ่น สีดำ ตามสายพันธุ์ ข้าวเหนียวหุงสุกแล้ว เมล็ดจะเหนียวติดกันเหมือนกาว มีกลิ่นหอม มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปเอเชีย มีปลูกกันในเขตร้อนหลายประเทศทั่วโลก ในประเทศไทยมีปลูกหลายสาย พันธุ์ มีประโยชน์และสรรพคุณ ทางยาหลายอย่าง นำมารับประทาน นำมาประกอบอาหารต่างๆ หลายเมนูข้าวเจ้า เป็นพันธุ์ที่เมล็ดข้าวขาว มีลักษณะใส อาจมีหรือไม่มีจุดขุ่นขาวของท้องไข่ปรากฏอยู่ ประเทศไทยเพาะปลูกข้าวเจ้า เพื่อบริโภคเป็นอาหารหลักหุงเป็นอาหาร เมื่อหุงแล้วเมล็ดมักร่วนและสวย มีชื่อต่างๆ กัน เช่น ข้าวปิ่นแก้ว ข้าว น้ำซาวข้าว คือ น้ำที่ใช้ล้างข้าวสารให้สะอาดก่อนจะหุง เนื่องจากในข้าวสารอาจจะมีฝุ่นละออง หรือมอด มากัดกิน จึงจำเป็นต้องล้างให้สะอาดก่อน เมื่อซาวข้าวแล้วเรามักนำน้ำซาวข้าวไปใช้ประโยชน์อื่น เช่น ดองผักรดน้ำ ต้นไม้ ผู้ใหญ่จึงมักสอนลูกหลานว่า น้ำซาวข้าวอย่าทิ้งนะ เอาไว้ใช้ประโยชน์ได้
หน้าที่ 32 คุณสมบัติของน้ำซาวข้าว น้ำซาวข้าวมีสารประกอบที่มีคุณสมบัติเป็นแว็กซ์ตามธรรมชาติซึ่งช่วยเคลือบพื้นไม้ให้เงางามและป้องกันรอยขีด ข่วนได้ดี วิธีการใช้ก็เพียงแค่ฉีดพ่นน้ำซาวข้าวลงบนพื้นไม้และใช้ผ้าเช็ดให้ทั่ว และในน้ำซาวข้าวมีสารต่าง ๆ ดังนี้ - แคลเซียมที่สามารถลดรสขมและเมือกของผักต่าง ๆ เช่น หน่อไม้ หัวไชเท้า แครอท และเผือกได้ดี ทั้งนี้ผักที่ต้มด้วยน้ำซาวข้าวจะคงรสหวานอร่อยกว่าการต้มด้วยน้ำธรรมดา - สารลดแรงตึงผิวตามธรรมชาติซึ่งสามารถนำมาใช้ล้างจานและภาชนะต่าง ๆ ในครัวได้โดยไม่ต้องใช้น้ำยา ล้างจาน ทั้งนี้หากมีคราบน้ำมันติดแน่นภาชนะ การล้างด้วยน้ำซาวข้าวก่อนจะช่วยลดการใช้น้ำยาล้างจาน ซึ่งนอกจาก จะช่วยประหยัดน้ำยาล้างจานแล้วก็ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย คุณสมบัติน้ำหมักชีวิภาพ - มีค่า pH (ความเป็นกรดเป็นด่าง) อยู่ในช่วง 3.5 - 5.6 ปฏิกิริยาเป็นกรดถึงกรดจัด ซึ่ง pH ที่เหมาะสมกับ พืชควรอยู่ในช่วง 6-7 - ความเข้มข้นของสารละลายสูง โดยค่าของการนำไฟฟ้า (Electrical conductivity , E.C) อยู่ระหว่าง 2 – 12 desicemen/meter(ds/m) ซึ่งค่า E.C ที่เหมาะสมกับพืชควรจะอยู่ต่ำกว่า 4ds/m - ความสมบูรณ์ของการหมัก พิจารณาจากค่า C / N ration มีค่าระหว่าง 1 / 2 - 70 / 1 ซึ่งถ้า C / N ratio สูง เมื่อนำไปฉีดพ่นบนต้นพืชอาจแสดงอาการใบเหลืองเนื่องจากขาดธาตุไนโตรเจนได้ - ไนโตรเจน (% Total N) ถ้าใช้พืชหมัก พบไนโตรเจน 0.03 - 1.66 % แต่ถ้าใช้ปลาหมักจะพบ ประมาณ 1.06 - 1.70 % - ฟอสฟอรัส ( % Total P2 O5 ) ในน้ำหมักจากพืชจะมีตั้งแต่ไม่พบเลยจนถึง 0.4 % แต่ในน้ำหมักจากปลา พบ 0.18 1.14% - โพแทสเซียมที่ละลายน้ำได้ (% Water Soluble K2 O) ในน้ำหมักพืชพบ 0.05 - 3.53 % และในน้ำหมัก จากปลาพบ 1.0 - 2.39 % ธาตุอาหารรอง (Ca, Mg,S) - แคลเซียม ในน้ำหมักจากพืชพบ 0.05 - 0.49 % และน้ำหมักจากปลาพบ 0.29 - 1.0% - แมกนีเซียมและซัลเฟอร์ ในน้ำหมักจากพืชและปลาพบในปริมาณที่ใกล้เคียงกัน คือ 0.1- 0.37 % ธาตุอาหารเสริม - เหล็ก ในน้ำหมักจากพืชพบ 30 - 350 ppm. และน้ำหมักจากปลาพบ 500 - 1,700 ppm. - คลอไรด์ น้ำหมักจากพืชและปลามีปริมาณเกลือคลอไรด์สูง 2,000 - 11,000 ppm. - ธาตุอาหารเสริมอื่นๆ ได้แก่ แมงกานีส ทองแดง สังกะสี โบรอน และโมลิบดินัม น้ำหมักทั้งจากพืชและ ปลาพบในปริมาณน้อย มีค่าตั้งแต่ตรวจไม่พบเลย ถึง 130 ppm.
หน้าที่ 33 คุณสมบัติของน้ำสกัดชีวภาพในด้านการป้องกันกำจัดศัตรูพืช การหมักพืช หรือสัตว์ในกระบวนการหมักจะมีก๊าซมีเทน (CH3) เกิดขึ้นซึ่งจุลินทรีย์หรือแบคทีเรียจะเปลี่ยน ก๊าซมีเทน (CH3) ให้กลายเป็นแอลกอฮอล์ และ แอลกอฮอล์เมื่อถูกออกซิเจนในอากาศทำให้กลายเป็นเอสเตอร์ของ แอลกอฮอล์จะมีกลิ่นหอมหรือเหม็นเฉพาะตัวถ้ามีกลิ่นหอมก็เป็นสารดึงดูดแมลงถ้ามีกลิ่นเหม็นก็จะเป็นสารไล่เแมลง ขอบเขตงานวิจัย ผลิตน้ำหมักชีวภาพจากเจ้าปลวกสูตรที่ 1 สูตรเข้าเจ้าสูตรที่ 2 สูตรข้าวเหนียว ศึกษาการย่อยสลายเศษพืชได้แก่ใบไม้แห้งฟางข้าวและเปลือกผลไม้ นิยามศัพท์เฉพาะ ผลการย่อยสลาย :ผลจาการส่องภาพเส้นใยโดยใช้กล้องจุลทรรศน์และการสังเกตสภาพทางกายภาพ ของวัสดุที่นำมาทดลอง ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้เพิ่มคุณภาพผลผลิตหรือเป็นตัวช่วยในการผลิตปุ๋ยชีวภาพสำหรับการเกษตรได้ 2. ช่วยลดและแปรรูปเศษพืชเหลือทิ้งให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น สมมติฐาน นำหมักชีวภาพจากจาวปลวกสู้ตรข้าวเหนียวย่อยสลายได้ดีกว่าสูตรข้าวจ้าว ตัวแปรต้น: ชนิดของพันธุ์ข้าว (ข้าวเหนียว,ข้าวจ้าว) ตัวแปรตาม: ความสามารถในการย่อยสลาย ตัวแปรควบคุม: จาวปลวก ปริมาณน้ำ ปริมาณน้ำซาวข้าว สถานที่ ปริมาณเศษพืช อุปกรณ์และวิธีการ วัสดุอุปกรณ์ -จาวปลวก 500 กรัม -ถังหมัก 2 ถัง -ข้าวจ้าว 2 กิโลกรัม -ข้าวเหนียว 2 กิโลกรัม - น้ำซาวข้าว 2.5 ลิตร -น้ำซาวข้าวเหนียว 2.5 ลิตร -กล้องจุลทรรศน์ -เครื่องวัดค่า pH
หน้าที่ 34 ขั้นตอนการดำเนินงาน 1. เตรียมจาวปลวกที่บดละเอียด 250 กรัมและเตรียมข้าวจ้าวสุก 1 กิโลกรัม 2. นำจาวปลวกที่บดละเอียดและนำข้าวจ้าวสุกมาผสมให้เข้ากันในถังหมัก 3. เติมน้ำซาวข้าว 1.5 ลิตรใส่ลงไปในถังหมัก และคนให้เข้ากันและปิดฝาถังหมักตั้งทิ้งไว้เป็นเวลา 4 วัน 4.ทำการเตรียมน้ำหมักสูตรข้าวเหนียวตามขั้นตอนเดียวกันกับข้าวจ้าว 5.เมื่อครบการหมักทิ้งไว้ 4วัน เติมน้ำซาวข้าวแต่ละชนิดลงไปในถังน้ำหมักโดยใช้ข้าวสำหรับซาวน้ำ ปริมาณ 1 กิโลกรัมเท่ากัน เติมน้ำ 5 ลิตร และคนน้ำหมักให้เข้ากัน 6. นำถังน้ำหมักทั้งสองสูตรตั้งในบริเวณที่แสงแดดส่องถึง โดยต้องเปิดฝาคนน้ำหมักทุกวันเป็นเวลา 4 วัน 7. เมื่อหมักครบ 4 วัน นำน้ำหมักที่ได้ไปทดลองหมักวัสดุธรรมชาติ
หน้าที่ 35 ผลการศึกษาและทดลอง จากการทดลองเตรียมน้ำหมักชีวภาพจากจาวปลวก ทั้งสองสูตรคือ สูตรข้าวจ้าว และสูตรข้าวเหนียวเพื่อ นำมาทดลองการย่อยสลายเศษวัสดุธรรมชาติ ได้ผลการศึกษาและทดลองดังนี้ ผลการสังเกตลักษณะทางกายภาพทั่วไปของน้ำหมักสูตรข้าวจ้าวและข้าวเหนียว ตารางที่ 1 คุณสมบัติทางกายภาพของน้ำหมัก สูตรน้ำหมัก สูตรข้าวจ้าว สูตรข้าวเหนียว ค่า PH ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 3.2 3.4 3.4 3.5 3.5 3.5 สี สีโอ๊ต สีทราย (สีข้าวเหนียวเข้มกว่าข้าวจ้าว) กลิ่น เปรี้ยว ฉุน (กลิ่นเหม็นกว่าข้าวสี) เปรี้ยว ภาพถ่าย ทดสอบการย่อยสลายเศษวัสดุธรรมชาติ โดยการน้ำหมักจุลินทรีย์จากจาวปลวกใช้หมักเศษใบไม้ สูตรน้ำหมัก อัตราส่วนน้ำหมัก ภาพก่อนทำการหมัก ภาพหลังทำการหมัก ผลการสังเกต ข้าวเหนียว ไม่เติมน้ำหมัก - ไม่มีความเปลี่ยนแปลง ความเข้มข้นน้ำ หมัก 50% เส้นใยยุ่ยและขาดออกจาก กัน
หน้าที่ 36 สูตรน้ำหมัก อัตราส่วนน้ำหมัก ภาพก่อนทำการหมัก ภาพหลังทำการหมัก ผลการสังเกต ความเข้มข้นน้ำ หมัก 100% เส้นใยยุ่ยมากกว่าสูตรผสม น้ำ 50 %เห็นได้ชัดเจน ทดสอบการย่อยสลายเศษวัสดุธรรมชาติ โดยการน้ำหมักจุลินทรีย์จากจาวปลวกใช้หมักฟางข้าว สูตรน้ำหมัก อัตราส่วนน้ำหมัก ภาพก่อนทำการหมัก ภาพหลังทำการหมัก ผลการสังเกต ข้าวเหนียว ไม่เติมน้ำหมัก - ไม่มีความเปลี่ยนแปลง ความเข้มข้นน้ำ หมัก 50% เส้นใยยุ่ยและบางลง ความเข้มข้นน้ำ หมัก 100% เส้นใยยุ่ยและย่อยสลาย หายไป ทดสอบการย่อยสลายเศษวัสดุธรรมชาติ โดยการน้ำหมักจุลินทรีย์จากจาวปลวกใช้หมักเปลือกผลไม้(มังคุด) สูตรน้ำหมัก อัตราส่วนน้ำหมัก ภาพก่อนทำการหมัก ภาพหลังทำการหมัก ผลการสังเกต ข้าวเหนียว ไม่เติมน้ำหมัก - ไม่มีความเปลี่ยนแปลง ความเข้มข้นน้ำ หมัก 50% สีของเส้นใยมีความคล้ำขึ้น และยุ่ยเห็นได้ชัดเจน
หน้าที่ 37 สูตรน้ำหมัก อัตราส่วนน้ำหมัก ภาพก่อนทำการหมัก ภาพหลังทำการหมัก ผลการสังเกต ความเข้มข้นน้ำ หมัก 100% เส้นใยยุ่ยมากกว่าสูตรผสม น้ำ 50 %เห็นได้ชัดเจน และเส้นใยขาดออกจาก กัน สรุปผล และข้อเสนอแนะ โครงงานน้ำหมักจุลินทรีย์จากจ้าวปลวกย่อยสลายวัสดุธรรมชาติ สูตรข้าวจ้าว และสูตรข้าวเหนียว เพื่อศึกษาการย่อยสลายวัสดุธรรมชาติ สรุปผลการศึกษาและทดลอง ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมน้ำหมักจาวปลวก 1. สามารถผลิตน้ำหมักจุลินทรีย์จากจาวปลวกได้ทั้งการใช้ ข้าวจ้าว และข้าวเหนียวเป็นส่วนผสม ซึ่งน้ำหมัก ที่ได้สูตรข้าวจ้าว และข้าวเหนียว วัดค่า pH ได้ 3.2 และ 3.5 ตามลำดับ มีสภาพเป็นกรดใกล้เคียงกัน มีสภาพสีขาวขุน กลิ่นฉุน ขั้นตอนที่ 2 การทดสอบประสิทธิภาพการย่อยสลาย 2.1 การศึกษาการย่อยสลายวัสดุธรรมชาติโดยใช้น้ำหมักทั้งสองสูตร เปรียบเทียบกับการย่อยสลายในสภาพที่ ไม่ใช้น้ำหมัก หมักด้วยน้ำหมักที่ความเข้มข้น 50% และใช้น้ำหมักความเข้มข้น 100 % โดยดูลักษณะเส้นใยของวัสดุ ธรรมชาติ คือ เศษใบไม้ ฟางข้าว และเปลือกมังคุด ส่องผ่านกล้องจุลทรรศน์ พบว่า การย่อยสลายโดยใช้น้ำหมักที่ ความเข้มข้น 100% เส้นใยวัสดุธรรมชาติทั้งสามชนิดมีการยุ่ยมากที่สุดทั้งสองสูตรน้ำหมัก แต่ก็ยังเห็นความแตกต่างไม่ ชัดเจนมาก 2.2 เปรียบเทียบการย่อยสลายเศษวัสดุธรรมชาติที่ใช้น้ำหมักสูตรข้าวจ้าวและสูตรข้าวเหนียวมีผลใกล้เคียง กัน แสดงให้เห็นว่าสามารถใช้ข้าวเหนียวและข้าวจ้าวเป็นส่วนผสมในการผลิตน้ำหมักจุลินทรีย์จากจาวปลวกได้ทั้งสอง ชนิด ข้อเสนอแนะ 1. ในการศึกษาครั้งนี้อาจยังใช้เวลาในการหมักวัสดุธรรมชาติระยะสั้น จึงเห็นการย่อยสลายที่ไม่ชัดเจนมาก 2. ในการวัดความสามารถในการย่อยสลายทางผู้จัดทำยังขนาดเครื่อง อุปกรณ์ที่สามรถวัดค่าการย่อยสลายที่ มีความชัดเจน ต้องศึกษาค้นคว้าต่อไป
หน้าที่ 38 เอกสารอ้างอิง https://www.thai-thaifood.com/th/ข้าวเหนียว/:ค้นหาเมื่อ 5 สิงหาคม 2566 https://dict.longdo.com/search/*ข้าวเจ้า*:ค้นหาเมื่อ 10 สิงหาคม 2566 http://legacy.orst.go.th/?knowledges=น้ำข้าว-กับ-น้ำซาวข้าว-๒:ค้นหาเมื่อ 14 สิงหาคม 2566 https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/480510:ค้นหาเมื่อ 15 สิงหาคม 2566 https://www.gotoknow.org/posts/330362:ค้นหาเมื่อ 15 สิงหาคม 2566 www. file:///C:/Users/ACER%20TravelMate/Downloads/Documents/Chapter2_2.pdf :ค้นหาเมื่อ 15 สิงหาคม 2566
หน้าที่ 39 ฆ่ายางจากน้ำหมักซาวข้าว Latex acid from rice washing water พรีมสิริ โพธิฌานนนท์, พิยดา นวลพล และ มณฑาทิพย์ ทองไซร้ ครูที่ปรึกษา : จิรยุทธ ขุนอักษร และ ณัฐยา โชคพระสมบัติ Preemsiri Phothichannon, Phiyada Nualpon and Monthathip Thongsai Advisor : Jirayut Khunakson and Natthaya Chokprasombat บทคัดย่อ โครงงานฉบับนี้ทำการศึกษาน้ำฆ่ายางจากน้ำหมักของน้ำซาวข้าวโดยจัดทำขึ้น มีวัตถุประสงค์คือ เพื่อใช้กรด ธรรมชาติจากน้ำซาวข้าวที่เหลือทิ้งนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์โดยการหมักเพื่อให้น้ำหมักมีค่าเป็นกรดในการทำให้ยางจับ ตัวเป็นก้อน ซึ่งน้ำซาวข้าวแบ่งออกเป็นข้าว2ชนิดคือ 1 ข้าวหอมมะลิ มีสีขาวขุ่น 2 ข้าวสังหยด มีสีน้ำตาลขุ่น เมื่อทดลองหมักพบว่าสามารถนำน้ำฆ่ายางจากน้ำซาวข้าวสามารถใช้ได้จริงทั้ง2ชนิดเพราะเมื่อศึกษาค่า pH น้ำหมักน้ำซาวข้าวทั้ง2ชนิดจากระยะเวลาการทดลองครั้งแรก รวมเป็นระยะเวลา6วัน ซึ่งข้าวหอมมะลิมีค่าเฉลี่ย 4.3 และข้าวสังข์หยดมีค่า pH เฉลี่ย 5.1ซึ่งถือว่ามีค่าเป็นกรดทั้งคู่ และจากนั้นนำน้ำหมักที่ได้จากน้ำซาวข้าวมาทดสอบ ประสิทธิภาพกับน้ำยางพบว่า น้ำหมักจากน้ำซาวข้าวทั้ง 2 ชนิด สามารถทำให้น้ำยางจับตัวกันเป็นก้อนกลมสวยได้ เหมือนน้ำฆ่ายางตามท้องตลาด โดยมีระยะเวลาการจับตัวที่แตกต่างกันออกไป คำสำคัญ : น้ำฆ่ายาง,น้ำซาวข้าว,กรดธรรมชาติ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ จังหวัด พัทลุง Triamudomsuksapattanakran Phatthalung school
หน้าที่ 40 บทนำ ความสำคัญและที่มาของปัญหา เนื่องจากปัจจุบันคนใต้ส่วนใหญ่มักประกอบอาชีพปลูกต้นยางพาราและได้นำเอาผลผลิตที่ได้จากต้น ยางพารานำไปจำหน่ายหลากหลายรูปแบบเช่นน้ำยาง ขี้ยาง ยางแผ่น หรือยังก้อน ฯลฯ ซึ่งในหมู่บ้านของพวกเรานิยม ทำในรูปแบบยางก้อนยางแผ่นซึ่งจะผลิตในรูปแบบนี้จะต้องใช้ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสารเคมีจากน้ำฆ่ายางซึ่งพวกเรา มองเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้นำฆ่ายางซึ่งโทษและอันตรายเกิดขึ้นได้ทั้งผู้ผลิตและต้นยางพาร ตัวอย่างเช่นใน น้ำฆ่ายางมีกรดซัลฟิวริกหากสูดดมจะส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจและในส่วนของต้นยางพาราจะทำให้หน้า ยางเสียหายพวกเราจึงแก้ไขปัญหาโดยการนำกรดที่ได้จากธรรมชาติจากน้ำซาวข้าวที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์มาใช้ในการ แก้ปัญหานี้ วัตถุประสงค์การวิจัย 1 นำน้ำซาวข้าวที่เหลือทิ้งมาใช้ให้เกิดประโยชน์ 2 เพื่อผลิตกรดธรรมชาติแทนกรดซัลฟิวริกซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย 3 ลดปัญหาทำให้หน้าอย่างเสียหาย 4 เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของน้ำฆ่ายางจากกรดธรรมชาติกับน้ำฆ่ายางตามท้องตลาด 5 ลดต้นทุนในการผลิตของผู้ประกอบการ เอกสารที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาโครงงานเรื่อง น้ำฆ่ายางจากน้ำซาวข้าว คณะผู้ศึกษา ได้ค้นคว้า รวบรวมข้อมูลจาก เอกสาร ที่เกี่ยวข้องและจากเว็บไซด์บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยขอเสนอตามลำดับ ดังนี้ น้ำซาวข้าว คือ น้ำที่ใช้ล้างข้าวสารให้สะอาดก่อนจะหุง เนื่องจากในข้าวสารอาจจะมีฝุ่นละออง หรือ มอดมากัดกิน จึงจำเป็นนต้องล้างให้สะอาดก่อน สารที่อยู่ในน้ำซาวข้าวคือวิตามิน B1, C , E แร่ธาตุต่าง ๆ และแลคติกแอซิดแบคทีเรีย ประโยชน์ของน้ำซาวข้าว สามารถนำไปหมักเป็นน้ำยาทำความสะอาดสิ่งของต่างๆ สามารถนำมา หมักใช้ในการรดน้ำผักผลไม้ ขอบเขตงานวิจัย ขอบเขตด้านเนื้อหา ข้าวพันธุ์หอมมะลิและข้าวสังหยด พัทลุง ระยะเวลาในการศึกษา 26 สิงหาคม – 10 กันยายน พ.ศ.2566 สถานที่ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ พัทลุง
หน้าที่ 41 นิยามศัพท์ น้ำซาวข้าว หมายถึง น้ำที่เราใช้ล้างเมล็ดข้าวสาร น้ำฆ่ายาง หมายถึง น้ำกรดที่ใช้ในการทำให้น้ำยางจับตัวกันเป็นก้อน ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1) นำ น้ำ ซาวข้าวที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ 2) ประหยัดต้นทุนในการผลิตยางแผ่นและยางก้อน 3) เป็นกรดธรรมชาติที่ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ประกอบการไม่ส่งผลเสียต่อหน้ายาง อุปกรณ์และวิธีการ สมมติฐานการวิจัย น้ำหมักน้ำซาวข้าวมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับน้ำค่ายางตามท้องตลาด ตัวแปร ตัวแปรต้น : ข้าวหอมมะลิ ข้างสังหยด ตัวแปรตาม : ความสามารถในการจับตัวเป็นก้อนของยาง ตัวแปรควบคุม : ปริมาณน้ำ ปริมาณน้ำซาวข้าว สถานที่ ปริมาณข้าว ระยะเวลา อุปกรณ์และวิธีการ 1.เครื่อง ph มิเตอร์ [pH Meter ] 2.บีกเกอร์ [Beaker] ปริมาณ 500 ml และ150 ml 3.ถังสีทึบพร้อมฝาปิด [Bucket with lid] 4.โหลเเก้วพร้อมฝาปิด[Glass jar with lid] 5.แท่งแก้วคนสารปากแบน [Glass chemical stirrer] 6.ไซริ้ง [Syringe] 7.ข้าวสังข์หยด [Sangyod Rice] 5กิโลกรัม 8.ข้าวหอมมะลิ [Jasmine rice] 5กิโลกรัม 9.น้ำสะอาด [water] 18ลิตร 10.น้ำยางสด[ latex ]300มิลลิลิตร-1ลิตร 11.น้ำฆ่ายาง [Latex acid] ประมาณ1ขวด ปริมาณ550cc
หน้าที่ 42 วิธีการ นำข้าวหอมมะลิและข้าวสังหยดมาหมักให้เกิดกรดแลคติก จากนั้นนำน้ำหมักที่ได้จากข้าวหอมมะลิ และข้าวสังหยดมาผสมกับน้ำยาง 150 : 150 ml ดูการเปลี่ยนแปลงและบันทึกผล 1 เตรียมข้าวหอมมะลิและข้าวสังข์หยดอย่างละ 5 กิโลกรัม 2 นำข้าวหอมมะลิและข้าวสังข์หยดซาวกับน้ำเปล่าอัตราส่วน 5 กิโล : 9 ลิตร ผสมกันในถังสีทึบมีฝาปิด 3 นำข้าวหอมมะลิและข้าวสังข์หยดที่ผสมไว้แช่ทิ้งไว้ 20 - 30 นาที 4 เมื่อแช่ทิ้งไว้ตามที่กำหนดเรียบร้อยแล้วทำการปิดฝาและพักด้วยเทปจากนั้นนำถังน้ำหมักที่เก็บไว้ในที่ ปลอดแสง 5 ทิ้งไว้6 วันจากนั้นทำการสังเกตเปรียบเทียบ สี กลิ่นความเข้มข้น 6 นำน้ำยาง 150 ml ผสมกับน้ำหมักของข้าวแต่ละชนิดผสมกันและทดลองการจับตัวและเนื้อสัมผัสและ ค่า pH
หน้าที่ 43 ผลการทดลองและวิจารณ์ คณะผู้จัดทำได้ทำการทดลอง โดยแบ่งการทดลองเป็น3ครั้ง ระยะเวลาที่แตกต่างกัน และใช้อัตราส่วน ในการทดลองปริมาณเท่ากันทุกครั้ง โดย ครั้งแรกทดลองระยะการหมัก6วัน ครั้งที่2 ระยะเวลาการหมัก 9วัน ครั้งที่3 ระยะเวลาการหมัก 15วัน ทั้งนี้ การทดลองทั้ง 3 ครั้ง และใช้ประมาณ น้ำยาง150 มิลลิลิตร ต่อน้ำหมัก150มิลลิตร และทำการ บันทึกเวลาการจับตัวของยางพารา ซึ่งมีการจับตัวของน้ำยางที่แตกต่างกันออกไป ตลอดจนเวลาในการจับตัว ของน้ำยาง ได้ผลการทดลองดังนี้ การทดลองครั้งที่ 1 ระยะเวลาการหมัก6วัน ข้าวหอมมะลิ มีค่า pH 4.3 ผสมกับน้ำยางไม่แข็งตัว น้ำหมักมีกลิ่น สีขาวขุ่น ข้างสังหยด มีค่า pH 5.1 ผสมกับน้ำยางแข็งตัวเล็กน้อยใช้เวลาจับ 2 ชั่วโมง การทดลองครั้งที่ 2 ระยะเวลาการหมัก9วัน ข้าวหอมมะลิ มีค่า pH 4.7 ผสมกับน้ำยางแข็งตัว น้ำหมักมีกลิ่น สีขาวขุ่น ข้างสังหยด มีค่า pH 5.4 ผสมกับน้ำยางแข็งตัว น้ำหมักมีกลิ่น สีน้ำตาลขุ่น มีตะกอน การทดลองครั้งที่ 3 ระยะเวลาการหมัก15วัน ข้างหอมมะลิ มีค่า pH 5 ผสมกับน้ำยาง ใช้เวลาจับตัว 10 นาที น้ำหมักมีกลิ่น สีขาวขุ่น ข้างสังหยด มีค่า pH 5.6 ผสมกับน้ำยางแข็งตัว ใช้เวลาจับตัว 3นาที น้ำหทักทีกลิ่น สีน้ำตาล มีตะกอน
หน้าที่ 44 จากกราฟที่แสดงเปรียบเทียบค่า pH ข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ยิ่งระยะเวลาการหมักนานมากขึ้น ทำให้ค่าph ของข้าวทั้งสองชนิดเพิ่มมาดขึ้นด้วยเช่นกัน จากกราฟที่แสดงเปรียบเทียบระยะเวลาการจับตัวของน้ำยางข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ระยะเวลาการ หมักที่เหมาะสม ทำให้น้ำยางจับตัวเร็วคือระยะเวลา 9-13 วันโดยประมาณ
หน้าที่ 45 สรุปผลและเสนอแนะ จากการทดลองโครงงาน วิทยาศาสตร์เรื่องน้ำฆ่ายางจากน้ำซาวข้าวในครั้งนี้คณะผู้จัดทำสรุปได้ว่า ระยะการ ทดลอง6วัน พบว่าน้ำหมักจากน้ำซาวข้าวหอมมะลิมีค่า pH ที่มีความใกล้เคียงน้ำฆ่ายางจากท้องตลาดมากกว่าน้ำซาว ข้าวจากข้าวสังข์หยด แต่ในทางกลับกันการจับตัวของน้ำยาง ที่ใช้น้ำหมักจากน้ำข้าวสังข์หยดกลับจับตัวและใช้ ระยะเวลาการจับตัวได้ดีกว่าน้ำหมักจากน้ำซาวข้าวหอมมะลิจากการศึกษาข้างต้น อาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่างทั้ง จุลินทรีย์ แบคทีเรีย จุลินทรีย์และการย่อยของน้ำซาวข้าวจากข้าวสองชนิดที่แตกต่างกัน ซึ่งการจับตัวของน้ำยางใน การทดลองข้างต้นพบว่าการจัดตัวของน้ำยางไม่จำเป็นต้องใช้กรดแก่ในการทำให้น้ำยางจับตัวเป็นก้อนเสมอไปเพราะ จากการทดลองของน้ำซาวข้าวมีค่าเป็นกรดอ่อนจับตัวได้ดีตอนน้ำซาวข้าวมีค่าเป็นกรดแก่ การจับตัวของน้ำยางอาจ เกิดจากจุลินทรีย์ในน้ำหมักของข้าวทั้งสองชนิด แบคทีเรีย ที่ไม่พึงประสงค์ทำให้เกิดกรดแลคติกจากน้ำหมัก ตลอดจน ปัจจัยอื่นๆ เอกสารอ้างอิง organic way , น้ำซาวข้าวมีกรดชนิดหนึ่งชื่อว่ากรดแลคติก , ค้นวันที่ 26 สิงหาคม 2566 จาก https://www.facebook.com/organicwaypage/photos ยาง&ปาล์ม , กรดจากน้ำฆ่ายางมีกรดอันตราย , ค้นหาวันที่30 สิงหาคม 2566 จาก https://www.yangpalm.com/2016/10/blog-post.html สวทช nSTDA , ค่า pH เป็นค่าที่แสดงความเป็นกรด-เบส , ค้นหาวันที่1 กันยายน 2566 จาก https://www.nstda.or.th/home/knowledge_post/ph/
หน้า 46 คำสั่งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ พัทลุง ที่ ๑๑๐/๒๕๖๖ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานกิจกรรม เตรียมพัฒน์ พัทลุง OCOP-OSOI 2023 ********************************* ด้วยกลุ่มบริหารงานวิชาการ กำหนดจัดกิจกรรม เตรียมพัฒน์พัทลุง OCOP-OSOI 2023 : One class one project one school one innovation โดยกำหนดดำเนินการในระหว่างวันที่ 6 มิถุนายน 2566 ถึง 30 กันยายน 2566 เพื่อให้การดำเนินการกิจกรรมดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ศึกษา พ.ศ.๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๕๑ และ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.๒๕๕๓ และคำสั่งสำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ ๙/๒๕๔๖ สั่ง ณ วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๔๖ เรื่องการมอบอำนาจบังคับบัญชา ลูกจ้างประจำ จึงแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานกิจกรรม เตรียมพัฒน์พัทลุง OCOP-OSOI 2023 ดังต่อไปนี้ ๑. คณะกรรมการฝ่ายอำนวยการ ประกอบด้วย ๑. นางสาวกาญจนา เดชสม ตำแหน่ง ผู้อำนวยการ ประธานกรรมการ ๒. นางสาวสุมาลี สุขสวัสดิ์ ตำแหน่ง รองผู้อำนวยการ รองประธานกรรมการ ๓. นายวิสุทธิ์ ทองช่วย ตำแหน่ง รองผู้อำนวยการ กรรมการ ๔. นางสาววัจราพร ไชยตรี ตำแหน่ง รองผู้อำนวยการ กรรมการ ๕. นายธีรยุทธ อินเรน ตำแหน่ง ครู กรรมการ ๖. นางปวีณา ทรงเดชะ ตำแหน่ง ครู กรรมการ ๗. นายเอิบ อักษรทอง ตำแหน่ง ครู กรรมการ ๘. นางณัฐยา โชคพระสมบัติ ตำแหน่ง ครู กรรมการ ๙. นางวิภารัตน์ ลักษโณสุรางค์ตำแหน่ง ครู กรรมการ ๑๐.นายสุวิทย์ จันทร์ใหม่ ตำแหน่ง ครู กรรมการ ๑๑.นายจิรยุทธ ขุนอักษร ตำแหน่ง ครู กรรมการและเลขานุการ ๑๒.นางสาวพัศยา สันสน ตำแหน่ง ครู กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ มีหน้าที่ ๑) กำหนดแนวทาง นโยบายในการดำเนินงาน ๒) อำนวยการ ประสานงาน ให้คำแนะนำ ปรึกษากับกรรมการฝ่ายต่างๆ ๓) ให้การนิเทศ สนับสนุน และร่วมแก้ปัญหาต่างๆ อันอาจจะเกิดขึ้นในระหว่างดำเนินงาน
หน้า 47 ๒. คณะกรรมการดำเนินการประชาสัมพันธ์ และรับสมัครนักเรียนเข้าร่วมโครงการ มีหน้าที่ ประชาสัมพันธ์ กิจกรรม รับสมัครนักเรียนเข้าร่วมกิจกรรม ณ ห้องสำนักงานกลุ่มบริหารงานวิชาการ ประกอบด้วย ๑. นางศรีอรุณ หงส์ษา ตำแหน่ง ครู ประธานกรรมการ ๒. นางสาวขนิษฐา อักษรเนียม ตำแหน่ง ครู รองประธานกรรมการ ๓. นางสาวนิศาชล สูบผอม ตำแหน่ง ครู กรรมการ ๔. นางประณีต หมวดจันทร์ ตำแหน่ง ครู กรรมการ ๕. นางมณฑา ฤทธิสุนทร ตำแหน่ง ครู กรรมการ ๖. นางสาวสุดฤทัย อ่อนประเสริฐ ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย กรรมการ ๗. นางสาววิลาวัลย์ ขุนศรี ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย กรรมการ ๘. นายพิชาภพ หวังนุรักษ์ ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย กรรมการ ๙. นางสาวจุฑาทิพย์ ศรีสุบัติ ตำแหน่ง ครูอัตราจ้าง กรรมการ ๑๐.นางณาตยา มโนทัศน์ ตำแหน่ง ครู กรรมการและเลขานุการ ๓. คณะกรรมการคัดกรองโครงงานขั้นต้น มีหน้าที่วางแผนดำเนินงาน และคัดกรองโครงงานขั้นต้น ให้ได้โครงงาน ผ่านเข้ารอบที่ ๒ ไม่เกิน ๑๖ โครงงาน โดยพิจารณาจากใบสมัคร ประกอบด้วย ๑. นายจิรยุทธ ขุนอักษร ตําแหน่ง ครู ประธานกรรมการ ๒. นายชำนาญ รอดเรืองฤทธิ์ ตําแหน่ง ครู รองประธานกรรมการ ๓. นางพรทิพย์ ฤทธิสุนทร ตําแหน่ง ครู กรรมการ ๔. นายพิชาภพ หวังนุรักษ์ ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย กรรมการ ๕. นางสาววิลาวัลย์ ขุนศรี ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย กรรมการ ๖. หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ (ตามขอบเขตของโครงงานที่เข้าประกวด) กรรมการ ๗. นางสาวพัศยา สันสน ตําแหน่ง ครู กรรมการและเลขานุการ ๔. คณะกรรมการตัดสินโครงงาน มีหน้าที่แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา ๒ คณะ ดังนี้ - คณะกรรมการสอบเค้าโครงโครงงาน ตั้งเป็นคณะอย่างน้อย ๕ คน ให้ครอบคลุมสาระที่เกี่ยวข้องกับ โครงงานที่นักเรียนส่งเข้าประกวด ดำเนินการสอบคัดเลือกเพื่อให้ได้ ๘ ทีมสุดท้าย - คณะกรรมการติดสินรอบชิงชนะเลิศ ตั้งเป็นคณะอย่างน้อย ๕ คน ให้ครอบคลุมสาระที่เกี่ยวข้องกับ โครงงานที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ และดำเนินการติดสินโครงงานรอบชิงชนะเลิศ ประกอบด้วย ๑. นายธีรยุทธ อินเรน ตําแหน่ง ครู ประธานกรรมการ ๒. นางสาวพัศยา สันสน ตําแหน่ง ครู รองประธานกรรมการ ๓. นางณัฐยา โชคพระสมบัติ ตําแหน่ง ครู กรรมการ ๔. นางหฤทัย กาแก้ว ตําแหน่ง ครู กรรมการ ๕. นายชำนาญ รอดเรืองฤทธิ์ ตําแหน่ง ครู กรรมการ ๖. นางกนิษฐา เพชรย้อย ตําแหน่ง ครู กรรมการ ๗. นายสุวิทย์ จันทร์ใหม่ ตําแหน่ง ครู กรรมการ ๘. หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ กรรมการ