รายวิชาชวี วิทยา ม.5
BY BIOLOGY FANWHAN
Plant Tissue : เน้อื เยื่อพชื
Kingdom Plantae
พชื มดี อก (Angiosperm) เป็นพืชช้ันสูง
Kingdom : Plantae
Phylum : Anthophyta
Flower (ดอก)
Leaf / Leaves (ใบ)
Axillary bud (ตาตามซอก)
Stem (ลาต้น)
Tap root/Primary root
(รากแกว้ )
Lateral Root (รากแขนง)
PLANT CELL
- Cell wall
- Chloroplast
เซลล์พืช เปน็ เซลล์ยูคาริโอต (Eukaryotic cell)
มีความแข็งแรงเน่ืองจากมีผนังเซลล์ (Cell wall) เป็นสารจาพวก Chloroplast
เซลลูโลส (Cellulose) ทาให้เซลล์มีลักษณะเป็นเหล่ียม นอกจากน้ันเซลล์
พืชยังมี คลอโรพลาสต์ (Chloroplast) เป็นออร์แกเนลล์ที่ทาให้พืชมีการ Central vacuole
ดารงชีวิตแบบ Photoautotroph คือสามารถสรา้ งอาหารไดด้ ้วยตนเอง
Cell membrane
Cell wall
Plasmodesmata
ผนังเซลลพ์ ชื
เซลล์พืช (Plant cell)
ผนงั เซลล์ปฐมภมู ิและผนงั เซลล์ทตุ ิยภมู ขิ องพชื
ผนังเซลลพ์ ืช
เซลล์พืชทุกชนดิ มีผนงั เซลลท์ เ่ี รียกว่า ผนังเชลลป์ ฐมภมู ิ (primary cell wall)
เป็นผนังเซลล์ชั้นแรกท่อี ย่ดู า้ นนอกสดุ ของเซลล์ มเี ซลลโู ลสเป็นองค์ประกอบส่วน Primary cell wall
ใหญซ่ ึ่งถูกยดึ ไวด้ ว้ ย มดิ เดิลลาเมลลา (middle lamella) เซลลบ์ างชนิดของพืชจะมี Secondary cell wall
ผนังเซลล์ทติยภูมิ (secondary cell wall) เปน็ ผนังชั้นในสุดทมี่ ีลกิ นิน (Lignin) Plasmodesmata
เป็นองค์ประกอบสาคญั
นอกจากนผี้ นังเซลล์ของพืชจะมีช่องว่างเรียกวา่ พลาสโมเดสมาตา Cytoplasm
(plasmodesmata)เช่ือมต่อกันระหว่างเซลลท์ าใหส้ ามารถส่งสารเคมี นา้ และธาตุ Plasma membrane
อาหารระหว่างกันได้
โครงสร้างของพชื (Plant structure)
พืช (plant)
ระบบอวัยวะ/โครงสรา้ ง
(organ/structure system)
อวัยวะ/โครงสรา้ ง
(organ/structure)
ระบบเนื้ อเยอื่
(tissue system)
เนื้อเยอ่ื พชื (plant tissue)
เซลลพ์ ืช (plant cell)
เนือ้ เย่อื พืช (Plant tissue) แบง่ เป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ เน้อื เย่อื เจริญ เนอื้ เยอ่ื ถาวร
1. เน้ือเย่ือเจริญ (Meristematic tissue) ประกอบด้วย (Meristematic tissue) (Permanent tissue)
กลุ่มเซลล์ที่สามารถแบ่งตัว โดยการแบ่งเซลล์แบบ
ไมโทซสิ เพือ่ เพ่ิมจานวนเซลล์ จาแนกตามตาแหน่งท่ีอยู่ใน
ส่วนตา่ ง ๆ
เนื้อเยือ่ เจรญิ ส่วนปลาย เนือ้ เยื่อเจรญิ ปลายยอด
(Apical meristem) เนอื้ เยือ่ เจรญิ ปลายราก
เนอื้ เยอื่ เจรญิ เนือ้ เยอ่ื เจรญิ ด้านข้าง
(Meristematic tissue) (Lateral meristem)
เนอ้ื เย่อื เจริญเหนือข้อ
(Intercalary meristem)
ภาพตัดตามยาวบริเวณปลายยอด ภาพตัดตามขวางบรเิ วณลาต้น
: พชื ใบเลย้ี งคู่
ภาพตดั ตามยาวบรเิ วณปลายราก ภาพตดั ตามขวางบริเวณราก
: พชื ใบเล้ยี งคู่
เน้ือเยือ่ เจริญส่วนปลาย (Apical meristem)
1. เนอ้ื เยื่อเจริญปลายราก (Apical root meristem)
อยู่บริเวณปลายรากทาใหร้ ากยดื ยาวขึน้
2. เน้ือเยอ่ื เจริญปลายยอด (Apical shoot meristem)
อยู่บรเิ วณปลายยอด ทาใหล้ าต้นพืชยาวขึ้น และสร้างกิง่ และใบพชื
เนื้อเย่ือเจริญด้านข้าง (Lateral meristem) หรือ เน้ือเย่ือเจริญขั้นทุติยภูมิ
(Secondary meristem) เป็นเน้ือเยื่อเจริญท่ีเกิดภายหลังในโครงสร้างที่มีการเจริญขั้น
ท่ีสอง เช่น รากและลาต้น เซลล์ของเน้ือเย่ือเจริญส่วนนี้มีลักษณะเป็นรูป
ส่ีเหล่ียมผืนผ้า มีผนังเซลล์บาง และจัดเรียงเซลล์อย่างเป็นระเบียบ เนื้อเย่ือเจริญชนิด
นเี้ รยี กอีกอย่างว่า “Cambium” สามารถแบง่ ได้เปน็ 2 ชนิด
1. วาสควิ ลาร์แคมเบยี ม (Vascular
cambium) พบอยู่ระหว่างเน้ือเยอื่ ท่อ
ลาเลยี ง เมอ่ื แบง่ เซลลจ์ ะทาให้เกิด
เนือ้ เย่อื ท่อลาเลียง (vascular tissue)
2. คอร์กแคมเบียม (Cork cambium)
พบอยูใ่ นเน้อื เยือ่ ผวิ เม่ือแบ่งเซลล์จะทา
ให้เกิด Cork
เนื้อเย่ือเจริญด้านข้าง (Lateral
meristem) เป็นเนื้อเยื่อเจริญที่อยู่ใน
แนวขนานกับเส้นรอบวง ส่วนใหญ่พบใน
พืชใบเลย้ี งคู่ เช่น ตน้ มะมว่ ง ถั่ว พรกิ
***พบในพืชใบเล้ียงเดี่ยวบางชนิด
เ ช่ น ห ม า ก ผู้ ห ม า ก เ มี ย เ ข็ ม กุ ดั่ น
ศรนารายณ์
เนื้อเย่ือชนิดนี้จะแบ่งเซลล์เพิ่มจานวน
ออกทางด้านข้าง เรียกว่า แคมเบียม
(cambium) ทาให้ลาต้นและรากมีขนาด
ใหญ่ข้ึนหากพบเน้ือเยื่อนี้อยู่ระหว่างเน้ือเยื่อ
ท่อลาเลียงน้าและเน้ือเย่ือท่อลาเลียงอาหาร
จ ะ เ รี ย ก ว่ า ว า ส คิ ว ล า ร์ แ ค ม เ บี ย ม
(Vascular cambium).ซึ่งจะแบ่งเซลล์ทาให้
เกดิ เนื้อเยื่อท่อลาเลียง (vascular tissue)
เพมิ่ ขน้ึ
ภาพตดั ตามขวางลาหมอนอ้ ย (เสน้ ประ คอื แนวของ Vascular cambium)
(ก) บรเิ วณใกลป้ ลายยอด (Primary growth) (ข) บรเิ วณข้อท่ี 4 จากปลายยอด
(Secondary growth) (ค) บรเิ วณข้อที่ 7 จากบริเวณปลายยอด
เน้อื เย่ือเจริญเหนือข้อ (Intercalary meristem)
เป็นเนอ้ื เยื่อเจรญิ ทรงกระบอกทพ่ี บอยูบ่ รเิ วณเหนอื ขอ้ ของ พชื ใบเล้ยี งเดี่ยว
เชน่ หญา้ ขา้ วโพด อ้อย และไผ่ โดยเนอ้ื เยื่อเจรญิ บริเวณนี้จะทาใหป้ ล้องยืดยาวออกไป
NOTE................................................
.........................................................
Intercalary meristem
ภาพแสดงบรเิ วณขอ้ และปลอ้ งของลาต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
1.2 เน้ือเย่อื ถาวร (permanent tissue)
เน้ือเย่ือถาวรเป็นเนื้อเย่ือท่ีประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ท่ีเจริญเต็มที่แล้วไม่มีการแบ่งเซลล์ต่อไปอีก
ประกอบด้วยเซลล์ท่ีมีรูปร่าง ขนาด และหน้าท่ีต่างกนั เนื้อเยื่อถาวรมีหลายชนิด แต่ละชนิดพัฒนาและ
เปล่ียนสภาพมาจากเนื้อเยื่อเจรญิ โดยเน้อื เย่ือถาวรแบง่ ได้เปน็ 3 ระบบ ไดแ้ ก่
1) ระบบเนื้อเยื่อผิว (dermal tissue system) ประกอบด้วย เอพิเดอร์มิส (Epidermis)
ทาหน้าท่ีป้องกันเน้ือเยื่อด้านในของพืช และเพริเดิร์ม (periderm) เจริญขึ้นมาแทนเอพิเดอร์มิส
ของท้ังรากและลาตน้
2) ระบบเน้ือเย่ือพื้น (ground tissue system หรือ fundamental tissue system)
ประกอบด้วยเน้ือเย่ืออื่นท่ีไม่ใช่เนื้อเยื่อผิวและเน้ือเยื่อท่อลาเลียง ได้แก่ พาเรงคิมา
(Parenchyma) คอลเลงคมิ า (Collenchyma) สเกลอเรงคมิ า (Sclerenchyma)
3) ระบบเนื้อเยื่อท่อลาเลียง (vascular tissue system) ประกอบด้วย ไซเล็ม (Xylem)
ทาหน้าทลี่ าเลียง นา้ ธาตุอาหาร และ โฟลเอม็ (Phloem) ทาหน้าท่ีลาเลยี งอาหาร
NOTE ............................................. ........................................................
........................................................ .........................................................
........................................................ .........................................................
........................................................ .........................................................
ระบบเน้อื เยอื่ ลาเลียง
ระบบเน้ือเยอ่ื ผิว
ระบบเนือ้ เยื่อพนื้
เนอ้ื เยื่อพืช (Plant tissue)
1. เน้อื เยอ่ื ถาวร (Permanent tissue)
เปน็ เนอ้ื เยือ่ ซึง่ เจรญิ เตบิ โตเตม็ ท่ีแล้ว ประกอบดว้ ยกลมุ่ เซลลท์ ่ีเปลี่ยนแปลงมาจากเนอ้ื เย่ือเจรญิ
มีรปู รา่ งคงที่ ไม่มีการแบง่ ตวั เพิม่ ขึ้นอีก และมหี นา้ ท่เี ฉพาะอย่าง แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท
เนอ้ื เย่อื ถาวร เนือ้ เยอ่ื ถาวรเชงิ เดีย่ ว
(Permanent tissue) (Simple permanent tissue)
เนอื้ เย่อื ถาวรเชิงซอ้ น
(Complex permanent tissue)
เน้อื เย่อื พชื (Plant tissue)
1. เนอ้ื เย่อื ถาวรเชิงเด่ยี ว
ประกอบด้วยกลมุ่ เซลล์ชนิดเดยี วกนั ทาหนา้ ที่อยา่ งเดยี วกนั แบ่งได้หลายชนดิ ตาม
หนา้ ทีแ่ ละส่วนประกอบภายในเซลล์ ดงั น้ี
- Epidermis
- Parenchyma
- Collenchyma
- Sclerenchyma เนือ้ เยื่อพ้ืน : Parenchyma เนื้อเยือ่ ผิวบริเวณใบ
- Endodermis
- Cork
เนอ้ื เยือ่ พน้ื : Collenchyma เน้อื เยือ่ พน้ื : Sclerenchyma
Epidermis
เป็นเน้ือเยื่อท่ีอยู่รอบนอกสุดของส่วนต่างๆของพืช มักจะมีเพียงช้ันเดียว
ประกอบด้วยเซลล์ท่ีมรี ูปร่างแบน แวคิวโอลใหญ่ เช่น เซลล์ผิว (Epidermal cell)
เซลล์ขน (Hair cell) และ เซลล์คุม (Guard cell) เซลล์แต่ละเซลล์เรียงตัวกัน
แนน่ ไมม่ ชี อ่ งว่างระหว่างเซลล์ ผนังเซลล์ด้านนอกมักหนากว่าด้านในและมสี ารคิวทิน
(Cutin) มาเคลอื บ
ในบริเวณรากเน้ือเยื่อส่วน Epidermis ไม่พบเซลล์คุม พบเฉพาะเซลล์ผิว
และเซลลข์ นราก (Root hair cell)
เซลลผ์ วิ บริเวณรากพืช เซลล์บริเวณผิวใบแสดงเซลล์ผวิ เนอ้ื เยื่อบริเวณผวิ ใบแสดงเซลลผ์ วิ
และเซลล์ขนราก (Root hair cell) ท่เี ปลย่ี นเปน็ เซลล์คมุ ทาให้เกิดรูปากใบ ทีเ่ ปลย่ี นเปน็ ขนและเซลล์คุม
Parenchyma
เป็นเน้ือเยื่อท่ีพบท่ัวๆไปในพืช เซลล์มีรูปร่างหลายแบบ เช่น ค่อนข้างกลม รี
หรือทรงกระบอกเมื่อเรียงตัวติดกันทาให้เกิด ช่องว่างระหว่างเซลล์ (intercellular
space) ผนงั เซลลบ์ าง แวคิวโอลใหญเ่ กือบเต็มเซลล์ และเซลลข์ องเน้อื เย่อื ชนดิ นี้บางชนิดจะ
มีคลอโรพลาสตอ์ ยดู่ ว้ ยเรยี กparenchyma ชนดิ นี้วา่ Chlorenchyma
Intercellular space
Nucleus
ภาพตัดตามขวางเซลล์พาเรงคิมา
เซลล์มีรูปร่างแตกต่างกันไป เช่น ค่อนข้างกลม ทรงกระบอก
ภาพตัดตามยาวเซลล์พาเรงคมิ า หรือรี แต่ส่วนใหญ่มีรูปร่างค่อนข้างกลมการเรียงตัวของเซลล์จึงทา
ให้เกิดชอ่ งวา่ งระหว่างเซลล์ (Intercellular space)
เซลลพ์ าเรงคมิ าทพ่ี บในบริเวณแตกต่างกันอาจมีส่วนประกอบแตกต่างกัน และมีหน้าที่
ได้หลากหลาย เช่น การสังเคราะห์ด้วยแสง สะสมอาหาร หรือสารต่าง ๆ ท่ีจาเป็นต่อ
การดารงชีวติ ของพืช
Collenchyma
เป็นเนื้อเย่ือท่ีมีกลุ่มเซลล์คล้ายพาเรงไคมา แต่มีผนังเซลล์ค่อนข้างจะหนาไม่เท่ากัน ส่วนที่หนามักจะอยู่
ตามมุมเซลล์ พบมากตาม กา้ นใบ เส้นกลางใบ และในช้ัน cortex ของลาต้นพวกไม้ล้มลกุ มีหน้าท่ี
ช่วยใหส้ ่วนของพชื แขง็ แรงทรงตัวอยไู่ ด้
Nucleus
Cell wall
ผนังเซลล์มีสารพอก
หนาตามมุมเซลล*์ ภาพตดั ตามขวางของเซลลค์ อลเลงคมิ า
ภาพตัดตามขวางของเซลลค์ อลเลงคมิ า ภาพตัดตามยาว เป็นเซลล์ที่มีชีวิต เซลล์คอลเลงคิมา มีลักษณะ
ของเซลล์คอลเลงคมิ า คล้ายกับเซลล์พาเรงคิมา แต่มีผนังเซลล์ปฐมภูมิค่อนข้าง
หนาและมีความหนาบางไม่สม่าเสมอกนั ส่วนท่ีหนามักอยู่
ตามมุมของเซลล์ ผนังเซลล์ประกอบด้วยเซลลูโลส
(cellulose) กบั เพกทิน (pectin)
นอกจากน้ียังพบในส่วนของพืชท่ียังอ่อน จึงยืดตัว
และทาให้พชื มีการเจรญิ เตบิ โต
Sclerenchyma
sclerenchyma เป็นเนอื้ เยื่อทช่ี ่วยพยงุ และใหค้ วามแข็งแรงแก่ลาต้น มีผนงั
เซลล์หนามาก มสี ารพวก lignin ประกอบอยู่ดว้ ย แบง่ ออกเป็น 2 ชนดิ
คือ fiber และ sclereid
fiber เปน็ เซลล์ทีม่ ีลักษณะเรียวและยาวมาก ผนังเซลล์หนามากเพราะมี
ลกิ นนิ และเซลลูโลส พบอยตู่ ามชั้นตา่ งๆของส่วนภายในพืช เชน่ ใน cortex ใน
xylem และ phloem เนื่องจาก fiber มีผนงั หนาและเหนียว
จึงมีหนา้ ทีใ่ หค้ วามแข็งแรงแกพ่ ชื fiber มปี ระโยชน์มากโดยนาไปทาเชือก
กระดาษ เสื่อ ทอเป็นเสอื้ ผ้าและกระสอบเป็นต้น .
sclereid คล้าย fiber แต่เซลลไ์ มย่ าว
มักอยู่ตามส่วนทีแ่ ข็งๆของเปลือกต้นไมแ้ ละเปลอื กหุม้ เมลด็ หรือ เนือ้ ผลไม้ท่ีสาก
เชน่ กะลามะพร้าว
สเกลอเรงคมิ า (sclerenchyma) เป็นเนื้อเยื่อทีท่ าหนา้ ที่ชว่ ยพยงุ และให้ความแขง็ แรงแกส่ ว่ นตา่ ง ๆ
ของพชื ประกอบด้วยเซลล์ทเี่ รยี กวา่ เซลล์สเกลอเรงคิมา (sclerenchyma cell)
เปน็ เซลลท์ ่ี ไม่มชี ีวิต มที ้ังผนังเซลล์ปฐมภมู ิและผนงั เซลล์ทุติยภูมิที่คอ่ นข้างหนา ซึง่ ประกอบด้วย
เซลลูโลส (cellulose) ลกิ นิน (lignin) เพกทนิ (pectin) และซเู บอรนิ (suberin)
เซลล์สเกลอเรงคิมาจาแนกออกเป็น ภาพตดั ตามยาวของเซลล์สเกลอเลงคมิ า
2 ชนิด ตามลักษณะรูปร่างของเซลล์ ภาพตดั ตามขวางของเซลล์สเกลอเลงคมิ า
ได้แก่ เซลล์เส้นใยหรือไฟเบอร์ (fiber)
และ สเกลอรีด (sclereid)
เซลล์ท้ัง 2 ชนิด มักพบใน ลเู มน (Lumen)* ไม่ใชน่ วิ เคลียสนะ
บ ริ เ ว ณ ห รื อ อ วั ย ว ะ ข อ ง พื ช ท่ี ไ ม่ มี ก า ร ผนงั เซลล์ (Cell wall) พอกดว้ ยสารชนิดตา่ ง ๆ
เจริญเติบโตแล้ว เน่ืองจากเซลล์ไม่
สามารถยืดตัวได้ เช่น ส่วนที่แข็งของ
เปลอื กไม้ เปลอื กเมล็ดเปน็ ตน้
Sclerenchyma
• เป็นเซลล์ทมี่ รี ูปร่างเฉพาะและทาหน้าท่ี
• เปน็ โครงสร้างให้พชื แขง็ แรง
• มีผลงั เซลล์หนาขน้ึ เปน็ สารพวก lignin
• อาจเปน็ เซลลท์ ี่ตายแล้ว
• ตัวอย่าง เช่น fiber cells เปน็ เซลลท์ ่มี ี
รูปร่างยาว
• Sclereids (stone cell) มีรูปรา่ งไม่
แนน่ อน ผนงั เซลล์หนามาก
Endodermis
เป็นเนอ้ื เยอื่ ท่ีอยดู่ า้ นนอกของเนือ้ เย่อื ลาเลียงของราก เซลลม์ ีรปู ร่าง
คลา้ ยเซลล์พาเรงไคมา ทีผ่ นงั เซลล์มีสารลิกนิน และซูเบอรนิ มาพอกหนา
เซลลเ์ รียงตัวกันแน่นทาใหไ้ มม่ ชี ่องว่างระหว่างเซลล์
Casparian strip Suberin, Lignin
Endodermis
Cortex Stele
Epidermis
Root hair
Cork
เป็นเนื้อเยื่อชั้นนอกสุดของลาต้นและรากของพืชที่มีเน้ือไม้ท่ีมีอายุมากๆ รูปร่างของ
เซลล์ทางหน้าตัดจะมีรูปร่างเป็นส่ีเหล่ียมผืนผ้าซ่ึงเบียดกันแน่น เซลล์ของ cork เกิดขึ้นได้ไม่
นานก็จะตาย แต่ก่อนท่ีจะตายโปรโตพลาสซึมจะสร้าง suberin มาพอกบนผนัง
เซ ลล์ suberin เป็ น สา รขี้ ผึ้ง สี น้า ตา ล ดั งน้ั น เป ลือก ไม้ ท่ีเ รา เ ห็น จึง เป็ น สี
นา้ ตาล เนื่องจาก suberin เป็นสารข้ผี ึ้ง จึงมีหน้าท่ีป้องกนั การระเหยของนา้ จากภายในพืช
II Xylem
Vascular cambium
II Phloem
Cork cambium
Cork
ภาพตัดตามขวางบรเิ วณลาต้นพชื ใบเลยี้ งคู่ : แสดงการ
เจรญิ ของ Cork cambium เปน็ Cork
Pith
II Xylem
Vascular cambium
II Phloem
Cork cambium
Cork
เนอ้ื เย่อื พชื (Plant tissue)
1. เนือ้ เยอ่ื ถาวรเชิงซอ้ น
ประกอบดว้ ยกล่มุ เซลลห์ ลายชนดิ มาอยู่รวมกันและทางานรว่ มกนั ไดแ้ ก่ เน้อื เยื่อลาเลยี ง
( Vascular tissue ) ซึ่งแบ่งเปน็ 2 ประเภทคอื
- xylem
- phloem
ลักษณะของเทรคีดและเวสเซลเมมเบอร์ Perforation plate
แตกต่างกันโดยเทรคีดเป็นชลที่มีรูปร่างยาวเรียว Pits
รปู กระสวย ไม่พบชอ่ งทะลทุ ่หี วั ท้ายของเซลล์
เซลลเ์ ทรคดี เวสเซลเมมเบอร์
(tracheid) (Vessel member)
พาเรงคมิ า ไฟเบอร์
(Parenchyma) (Fiber)
สว่ นเวสเซลเมมเบอร์มีรูปร่างอ้วนสั้นกว่าเทรดีดรูปกระบอกและมักมีขนาดใหญ่กว่า บริเวณด้านหัว
และทา้ ยของเซลลม์ ีช่องทะลุถงึ กัน ซึง่ มีลกั ษณะเป็นรอยปรหุ รือรพู รุน (perforation plate)
เม่ือเวสเซลเมมเบอร์หลาย ๆ เซลล์เรียงต่อกันจะมีลักษณะคล้ายท่อน้าเรียกว่าเวสเซล (vessel)
ทาให้ลาเลียงนา้ ได้อยา่ งต่อเน่ือง
ประกอบดว้ ย Tracheid
Xylem Vessel member
Parenchyma
Fiber
Phloem
เป็นเน้ือเย่ือที่ทาหน้าท่ีเป็นท่อลาเลียงอาหารพวกอินทรียสาร ซ่ึงได้มาจาก
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงในใบและส่วนของพืชที่มีคลอโรฟิลล์ไปยังส่วนต่างๆของพืช
การลาเลียงอาหารของพชื ประกอบ ด้วยกลุม่ เซลล์ 4 ชนดิ
เซลลท์ ที่ าหน้าที่ลาเลียงอาหาร คือ เซลล์ท่อลาเลียง Sieve plate Sieve tube
อาหารหรือซีฟทวิ บเ์ มมเบอร์ (sieve tube member) Sieve tube member
เปน็ เซลล์ท่ีมชี ีวิต มีรปู ร่างของเซลล์เป็นทรงกระบอก
เมื่อเจริญเต็มท่ีจะไม่มีนิวเคลียสแต่ยังคงมีชีวิตอยู่ Companion cell
มีแวคิวโอลขนาดใหญ่ทม่ี อี าหารอยภู่ ายใน Nucleus
1. sieve tube member Sieve tube member และ
2. companion cell Companion cell
3. Phloem parenchyma
4. Phloem fiber
ผ นั ง เ ซ ล ล์ ป ฐ ม ภู มิ ข อ ง ซี ฟ ทิ ว เ ม ม เ บ อ ร์
จะบาง พบรูเล็ก ๆ อยู่เป็นกลุ่มบริเวณผนังด้านหัวท้าย
ของเซลล์ ทาใหห้ วั ทา้ ยของเซลลม์ ีลกั ษณะเป็นแผ่นตะแกรง
หรือซีฟเพลต (sieve plate) หากซีฟทิวบเมมเบอร์หลายๆ
เซลล์เรียงต่อกันเรียกว่าท่อลาเลียงอาหารหรือซีฟทิวบ์
(sieve tube)
ส่วนเซลล์ประกบหรือเซลล์คอมพาเนียน
(companion cell) ท่ีประกบติดกับซีฟทิวป์เมม
เบอร์เสมอเน่ืองจากเซลล์ทั้งสองกาเนิดมาจาก
เซลล์เจริญเซลล์เดียวกัน ทาหน้าท่ีควบคุมการ
ทางานของซีฟทวิ บเมมเบอร์
และอาจพบเซลล์พาเรงคิมาและเซลล์ไฟ
เบอร์แทรกตัวอยู่ในเน้ือเย่ือลาเลียงอาหารได้
เชน่ เดียวกับเนอื้ เย่อื ลาเลียงนา้
Sieve plate Sieve tube sieve tube member
Sieve tube member
Companion cell
Nucleus
Sieve tube member และ companion cell
Companion cell Phloem parenchyma
Phloem ประกอบด้วย
Phloem fiber