วรรณคดสี ำคญั
ในสมยั อยธุ ยาตอนตน้
สมาชิก
ภานุพงศ์ นองวตั ร เลขที่ 3 4/6
ศริ ศาสตร์ รอดอำพนั ธ์ุ เลขท่ี 13 4/6
ธีรพล นพรตั น์ เลขท่ี 17 4/6
ณฐั ฐินันท์ เที่ยงสูงเนนิ เลขท่ี 18 4/6
จกั รียพรรดิ แสงฉาย เลขท่ี 24 4/6
วรรณคดีสำคัญ ในสมัยอยุธยาตอนตน้ มีดงั น้ี
๑. ลิลิตโองการแชง่ น้ำ
๒. ลิลติ ยวนพา่ ย
๓. มหาชาตคิ ำหลวง
๔. ลิลติ พระลอ
ความหมายของวรรณคดี
วรรณคดี หมายถึง หนงั สอื ท่แี ต่งข้นึ อยา่ งมศี ลิ ปะ อาจเป็นร้อยแกว้ หรอื รอ้ ยกรอง มีความงดงามทางภาษา ถ่ายทอดความ
สะเทอื นใจ ความนึกคดิ และจนิ ตนาการของผู้แต่งออกมาได้อยา่ งครบถว้ น ทำใหผ้ ู้อา่ นเกิดจินตนาการ มีอารมณร์ ว่ มไปกบั ผู้
แต่งด้วย นอกจากน้นั วรรณคดยี งั ตอ้ งเปน็ เรอื่ งทด่ี ี ไม่ชกั จงู จติ ใจไปในทางตำ่ ทั้งยงั แสดงความรู้ ความคดิ และสะท้อนความ
เป็นไปของสังคมในแต่ละสมัยดว้ ย
ลกั ษณะของวรรณคดี
วรรณคดีสโมสร ซ่ึงจัดต้งั ขน้ึ ในสมัยรชั กาลพระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยหู่ วั ไดก้ ำหนดลกั ษณะของวรรณคดไี ว้ว่า
๑.เป็นหนังสอื ดี มีประโยชน์ มีสุภาษิตคติสอนใจ ไมช่ ักจูงไปในทางท่ผี ดิ หรอื ไปในทางท่ไี มเ่ ปน็ แก่นสาร
๒.เป็นหนงั สอื แต่งดี ใชว้ ิธกี ารเรยี บเรยี งทด่ี ี ถูกตอ้ งตามแบบอยา่ งภาษาไทย ใช้สำนวนภาษาที่ดี และเป็นแบบอยา่ งทดี่ ีได้
ความหมายของวรรณกรรม
วรรณกรรม หมายถึง งานทว่ั ไปท้งั หมดทกุ ประเภท ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นรอ้ ยแก้วหรอื รอ้ ยกรอง รวมถงึ ข้อเขยี นตา่ งๆ ซึ่งมี
เนอ้ื หา มีจุดมุ่งหมาย สอ่ื ความให้ผอู้ า่ นเข้าใจได้ ไม่เน้นเรื่องศลิ ปะในการแตง่
วรรณกรรมปจั จบุ นั หมายถงึ งานเขยี นท่มี ีลกั ษณะเปลี่ยนแปลงไปจากเดมิ ท้งั ในดา้ นรปู แบบ เน้อื หา กลวธิ ีการแต่ง แนวคิด
คา่ นิยม และความเชอ่ื ซงึ่ ไดร้ ับอทิ ธพิ ลของวรรณกรรมตะวันตก วรรณกรรมของไทยเรม่ิ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมตงั้ แตส่ มยั
รชั กาลท่ี ๔ เนอ่ื งจากได้รับอิทธิพลของวรรณกรรมตะวันตกเข้ามา ท้งั น้ีเพราะรชั กาลท่ี ๔ ทรงรบั วทิ ยาการแผนใหม่เขา้ มา
ขณะเดียวกนั ชาวตะวนั ตกท่เี ขา้ มาอยู่ในประเทศไทยเร่ิมมีการออกหนังสอื พิมพ์ เขยี นบทความ ทำใหเ้ กดิ การเปลีย่ นแปลงรปู
แบบและกลวธิ กี ารเขยี นขึ้น ตอ่ มาในรชั กาลท่ี ๕ พระราชโอรส ขุนนาง หรือนักเรยี นไทยที่ไปศึกษาต่างประเทศเร่มิ กลบั มา ได้
นำความรู้และวทิ ยาการใหม่ ๆ จากชาติตะวนั ตกเข้ามาใช้ และไดน้ ำแนวคดิ รูปแบบการเขยี นมาเผยแพร่ ทำใหว้ รรณกรรมของ
ไทยเปลีย่ นแปลงเร่อื ยมาจนถงึ สมยั รชั กาลท่ี ๗ และหลงั การเปล่ยี นแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ วรรณกรรมไทยมีการ
เปล่ยี นแปลงอยา่ งชดั เจน ท้งั รูปแบบ แนวคดิ และเนือ้ หา เป็นวรรณกรรมปจั จบุ นั และมีวิวฒั นาการเร่อื ยมาจนถึงปัจจบุ นั
สภาพบา้ นเมืองสมัยกรุงศรีอยธุ ยาตอนตน้ (พ.ศ. ๑๘๙๓ – ๒๐๗๒)
กรงุ ศรอี ยุธยาเปน็ เมอื งหลวงของไทย กอ่ ตัง้ ขนึ้ โดยสมเดจ็ พระรามาธบิ ดีที่ ๑
(พระเจา้ อทู่ อง) ใน พ.ศ. ๑๘๙๓ เปน็ อาณาจกั รท่ีเข้มแขง็ มั่งคงั่ และบรบิ รู ณด์ ้วยนกั ปราชญร์ าชบณั ฑิต เจริญรงุ่ เรอื งยาวนาน
ถึง ๔๑๗ ปี จนกระท่งั เสยี แก่พมา่ ใน พ.ศ. ๒๓๑๐ สมยั สมเด็จพระเจา้ เอกทศั
เนื่องจากกรุงศรอี ยธุ ยามีอายุยาวนาน ในการศกึ ษาวรรณคดีจึงได้แบง่ ช่วงเวลาออกเป็น ๓ ช่วง เพื่อให้ง่ายต่อการศกึ ษาข้อมลู
คอื
สมัยอยธุ ยาตอนต้น เริ่มต้งั แตส่ มเดจ็ พระรามาธบิ ดีที่ ๑ ข้นึ ครองราชย์ พ.ศ. ๑๘๙๓ ถึงสมัยสมเดจ็ พระรามาธบิ ดีท่ี ๒ พ.ศ.
๒๐๗๒
สมยั อยธุ ยาตอนกลาง ตั้งแต่รชั กาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พ.ศ. ๒๑๕๔ ถึงสมัยสมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช พ.ศ. ๒๒๓๑
สมยั อยุธยาตอนปลาย ตงั้ แต่รชั กาลสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั บรมโกศ พ.ศ. ๒๒๗๕ ถึงสมยั สมเดจ็ พระเจ้าเอกทัศ พ.ศ. ๒๓๑๐
ตามหลักฐานในพงศาวดารกลา่ วว่า พระเจ้าอทู่ อง เดิมเปน็ เจา้ เมอื งอ่ทู อง ตอ่ มาได้อพยพมาตง้ั เมืองใหม่ทต่ี ำบลหนองโสน หรอื
บึงพระราม ฝง่ั ทศิ ตะวนั ตกของแมน่ ้ำเจา้ พระยา และไดส้ ถาปนาตนเองขน้ึ เปน็ กษตั ริย์ ทรงพระนามวา่ สมเด็จพระรามาธบิ ดีท่ี
๑ ทรงขนานนามเมอื งทีต่ ้งั ขึ้นใหม่ว่า กรุงเทพทวารวดศี รีอยุธยา เมอ่ื พ.ศ. ๑๘๙๓ และไดพ้ ัฒนาบ้านเมอื งให้เปน็ ปึกแผ่นมั่นคง
และมอี ำนาจทางการเมืองเหนืออาณาจักรอนื่ บรเิ วณลมุ่ แม่นำ้ เจา้ พระยา
ในสมยั กรุงศรอี ยุธยาตอนตน้ มีเหตุการณ์สำคญั ซ่งึ มผี ลกระทบตอ่ ความเปลย่ี นแปลงบ้านเมือง ดงั นี้
พ.ศ. ๑๘๙๓ พระเจา้ อู่ทองทรงสถาปนากรุงศรอี ยุธยา
พ.ศ. ๑๙๒๑ สโุ ขทยั ตกเปน็ ประเทศราชของอยุธยา
พ.ศ. ๑๙๙๑ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถข้นึ ครองราชย์
พ.ศ. ๒๐๑๗ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถยกทัพไปตีเมืองเชยี งช่ืน
พ.ศ. ๒๐๕๘ สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๒ ยกทพั ไปตเี มืองเชยี งใหม่
พ.ศ. ๒๐๙๑ พระเจ้าหงสาวดตี ะเบงชะเวตยี้ กทัพมาตีกรุงศรอี ยุธยา สมเดจ็ พระสรุ ิโยทัยขาดคอช้าง
พ.ศ. ๒๑๑๑–๒๑๑๒ พระเจ้าบเุ รงนองยกทัพมาตอี ยุธยา เสยี กรงุ ครั้งท่ี ๑
พ.ศ. ๒๑๒๗ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชประกาศอสิ รภาพจากพม่าทีเ่ มืองแครง
พ.ศ. ๒๑๓๕ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชกระทำยุทธหตั ถี พระมหาอุปราชาขาดคอชา้ ง
พ.ศ. ๒๑๔๔ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชยกทพั ไปตีหงสาวดสี ำเรจ็
พ.ศ. ๒๑๖๓–๒๑๗๓ พระศรศี ิลป์ พระราชโอรสของสมเด็จพระเอกาทศรถ ขนึ้ ครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าทรงธรรม
ความเจรญิ ดา้ นวรรณคดสี มคั รอยุธยาตอนต้น
สมยั อยุธยาตอนตน้ ห่างจากสมยั สุโขทยั ไม่กี่ปี จึงมคี วามคล้ายคลึงกันในดา้ นวรรณกรรมเป็นอยา่ งมาก ซึง่ นกั เรียนสามารถหา
ขอ้ มลู เก่ียวกับ วรรณคดใี นสมัยสโุ ขทัย ไดท้ เ่ี ว็บติวฟรนี ี้ค่ะ
สมัยอยุธยาตอนตน้ บ้านเมอื งมีความเจริญรุ่งเรืองในหลาย ๆ ดา้ น เชน่ การปกครองการทหาร การศาสนา การค้าขาย และ
ศิลปกรรม แตใ่ นดา้ นวรรณคดีนั้นไมค่ ่อยเจริญรงุ่ เรอื งนกั อาจจะเป็นเพราะบา้ นเมืองเกิดศึกสงครามบ่อย ๆ และวรรณกรรมถูก
เผาทำลายไป หรอื สญู หายไปกอ่ นทจ่ี ะตกทอดมาถึงรุน่ ปจั จุบนั เราจงึ ไม่มหี ลกั ฐานทางวรรณกรรมใหไ้ ดศ้ ึกษามากนกั
จากหลกั ฐานเท่าทพ่ี บทราบว่า วรรณคดสี ำคญั ในสมัยอยธุ ยาตอนต้น สว่ นใหญเ่ ป็นเร่อื งเกี่ยวกบั ศาสนา พธิ กี รรม และพระมหา
กษัตรยิ ์ คล้ายคลงึ กับสมยั สุโขทัยแต่แต่งด้วยรอ้ ยกรองโดยมีคำประพนั ธ์ท้ังโคลง ฉนั ท์ กาพย์ รา่ ย และลิลติ ยกเว้นกลอนไม่พบ
หลักฐานวา่ มี
วรรณคดีท่สี ำคญั มีดังน้ี
ลิลติ โองการแช่งน้ำ
ผู้แตง่
สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานวา่ อาจแตง่ ในสมยั สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๑ (พระเจา้ อทู่ อง) ผู้แตง่ คงจะเป็นผรู้ พู้ ธิ ี
พราหมณแ์ ละรูว้ ิธีการประพันธ์ของไทยเป็นอย่างดี
ประวัติ
ต้นฉบับที่เหลืออยู่เขยี นดว้ ยอักษรขอม นับเปน็ วรรณคดีเรอ่ื งแรกของไทยท่แี ต่งเปน็ ร้อยกรองอยา่ งสมบูรณ์แบบ เรียกวา่ โองการแชง่ น้ำ บ้าง ประกาศแชง่ นำ้ โคลง
หา้ บา้ ง ตน้ ฉบับทีถ่ อดเป็นอกั ษรไทยจัดวรรคตอนการประพนั ธค์ ่อนข้างสบั สน พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยหู่ ัวทรงสอบทานและทรงพระราชวนิ จิ ฉยั
เรียบเรยี งวรรคตอนขึน้ ใหม่
ทำนองแตง่
แต่งด้วยลิลติ คือ มรี ่ายกบั โคลงสลับกัน รา่ ยเป็นรา่ ยด้ันโบราณ โคลงเป็นโคลงแบบโคลงหา้ หรือมณฑกคติ ภาษาทใี่ ช้เป็นคำไทยโบราณ คำเขมร และคำบาลี
สันสกฤตปะปนอยดู่ ้วย
ความมงุ่ หมาย ใชอ้ ่านในพระราชพิธีถือนำ้ พระพิพัฒนส์ ตั ยาหรอื พระราชพิธศี รีสัจจปานกาลเพื่อแสดงความจงรักภกั ดี
เรอ่ื งยอ่
เร่มิ ต้นด้วยการสรรเสรญิ พระนารายณพ์ ระอศิ วร และพระพรหม ตอ่ จากน้ันกล่าวถึงไฟไหม้โลก แล้วพระพรหมสร้างโลกใหม่ เกดิ มนษุ ย์ พระอาทติ ย์ พระจนั ทร์
การกำหนดวนั เดือน ปี และการเรม่ิ มีพระราชาธิบดีในหมู่คน กล่าวอ้อนวอนในสิ่งศักดิส์ ิทธ์เิ รอื งอำนาจ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพยดา อสูร ภูตผีปศี าจ
มาลงโทษตอ่ ผคู้ ดิ คดกบฏต่อพระเจ้าแผ่นดิน สว่ นผ้ทู ีซ่ ่อื สตั ย์จงรกั ภักดี ขอใหม้ ีความสขุ มลี าภยศ ตอนจบเป็นรา่ ยเชิดชูพระเกยี รติพระเจ้าแผน่ ดนิ
คณุ ค่าของวรรณคดี
๑) วัฒนธรรมประเพณี พระราชพธิ ถี อื น้ำพระพพิ ัฒนส์ ตั ยา เป็นพิธีกรรมสำคัญที่สืบเน่ืองมาตง้ั แต่สมยั สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) โดยได้รับอิทธพิ ล
มาจากขอม คอื เป็นพธิ ศี กั ดสิ์ ิทธิ์ท่ีสบื ทอดกันมาจนกระท่งั ยกเลกิ ไปหลังเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕
๒) ดา้ นความเช่อื เปน็ การแสดงความเชือ่ ตามคติของพราหมณท์ ีเ่ ชื่อว่าพระพรหมเป็นผู้สรา้ งโลก ให้กำเนิดมนษุ ย์และสรรพส่ิงวรรณคดีสำคัญ
วรรณคดเี ร่ืองนกี้ ำเนิดจากพระราชพธิ ใี นระบอบสมบูรณาญาสทิ ธิราชย์ แสดงถงึ อิทธพิ ลของวฒั นธรรมเขมรและพราหมณ์อย่างชัดเจน สมเด็จพระเจา้ อู่ทองทรง
รับการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธริ าชย์ และพระราชพธิ ีศรสี จั จปานกาลจากเขมรมาใช้ เพ่อื ใหเ้ หมาะสมกบั ภาวการณ์ของบ้านเมอื งทต่ี อ้ งการสรา้ งอำนาจ
ปกครองของพระเจา้ แผน่ ดนิ และความมงั่ คั่งม่ันคงของบา้ นเมอื งในระยะทเ่ี พิ่งกอ่ ตั้งอาณาจักร
มหาชาตคิ ำหลวง
ผแู้ ตง่
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถรบั สงั่ ใหน้ ักปราชญ์ราชบณั ฑติ ช่วยกนั แตง่ เม่ือจุลศกั ราช ๘๔๔ หรอื พุทธศกั ราช ๒๐๒๕
ประวัติ
มหาชาติคำหลวงนี้ถอื เปน็ หนังสือเร่อื งมหาชาตฉิ บบั ภาษาไทย และหนังสอื คำหลวงเร่อื งแรกของไทย ในสมยั รตั นโกสินทรต์ อนตน้ พบวา่ ฉบบั เดิมสูญหายไป ๖
กณั ฑ์ คือ กณั ฑ์หมิ พานต์ ทานกณั ฑ์ จุลพน มทั รี สกั กบรรพ และฉกษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หล้านภาลยั จงึ มพี ระบรมราชโองการ ให้พระราชาคณะ
และนักปราชญ์ราชบัณฑิต แต่งซอ่ มให้ครบ ๑๓ กัณฑ์ เมือ่ พ.ศ. ๒๓๕๗
ทำนองแตง่
เปน็ หนงั สอื ประเภทคำหลวง มีคำประพันธห์ ลายอยา่ ง คือ โคลง ร่าย กาพย์ และฉนั ท์ มภี าษาบาลแี ทรกตลอดเรอื่ ง
ความมุ่งหมาย
เพื่อใชอ้ ่านหรือสวดในวนั สำคญั ทางศาสนา
เรือ่ งยอ่
เป็นเร่ืองราวของพระเวสสันดร ซ่งึ เป็นนทิ านชาดกเก่ียวกบั การบำเพ็ญทานบารมขี องพระพทุ ธเจา้ ในพระชาตสิ ุดทา้ ยก่อนไดต้ รสั รู้ เน้ือเรือ่ งแบ่งเปน็ ๑๓ กณั ฑ์ คอื
กัณฑท์ ศพร กัณฑห์ มิ พานต์ กัณฑ์ทานกณั ฑ์ กัณฑว์ นปเวสน์ กณั ฑช์ ชู ก กณั ฑ์จลุ พน กัณฑ์มหาพน กณั ฑก์ มุ าร กัณฑ์มัทรี กณั ฑ์สักกบรรพ กณั ฑม์ หาราช กัณฑ์
ฉกษตั ริย์ และกัณฑน์ ครกณั ฑ์
คณุ ค่าของวรรณคดี
มหาชาตคิ ำหลวงเปน็ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาโดยตรง แต่งโดยแทรกภาษาบาลลี งไปทำใหค้ อ่ นขา้ งอา่ นยาก แตก่ เ็ ป็นวรรณกรรมที่ทรงคณุ คา่ ทัง้ ด้าน
ภาษาศาสตร์ มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรม ประเพณี ความเช่อื และค่านิยมของคนไทยมาจนทกุ วนั น้ี อน่งึ มหาชาตคิ ำหลวงยงั เปน็ ตน้ แบบให้กวหี รือนักปราชญ์
ราชบณั ฑติ สมยั หลัง ใช้เปน็ แนวทางในการนิพนธ์เรอื่ งมหาชาตขิ ึ้นอกี หลายสำนวน เช่น กาพย์มหาชาติในรชั กาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมมหาชาติคำฉันท์สมยั
รตั นโกสินทร์ และภาพจติ รกรรมเรอื่ งมหาชาติตามผนงั โบสถว์ ิหารต่าง ๆ ดว้ ย
ลิลิตยวนพา่ ย
ผูแ้ ตง่
ไมป่ รากฏผแู้ ต่ง
ประวตั ิ
สนั นษิ ฐานว่าแต่งในรัชกาลสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ ราว พ.ศ. ๒๐๑๗ แต่กม็ ีความเห็นอกี ฝ่ายหนง่ึ ทส่ี นั นิษฐานวา่ แต่งในรัชสมัยสมเดจ็ พระรามาธบิ ดีท่ี ๒ พ.
ศ. ๒๐๓๒–๒๐๗๒ คำว่า “ยวน” ในลลิ ติ เรือ่ งนี้หมายถึง โยนกหรือชาวล้านนา คำว่า “ยวนพ่าย” จึงหมายถงึ “ชาวลา้ นนาแพ”้ เน้อื เรื่องของลิลิตยวนพา่ ยจงึ
กลา่ วถงึ ชาวลา้ นนาในสมยั พระเจา้ ตโิ ลกราช ซ่งึ พ่ายแพแ้ ก่กรุงศรอี ยธุ ยาในรชั กาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
ทำนองแตง่
แต่งเป็นลลิ ิตดั้น ประกอบด้วยร่ายดั้น ๒ บทกบั โคลงด้นั บาทกุญชร และโคลงด้ันววิ ธิ มาลี ๒๙๖ บท รวมทัง้ หมด ๒๙๘ บท (ฉบับองคก์ ารคา้ ของครุ ุสภา ๒๕๒๔)
ความมุ่งหมาย
เพ่อื ยอพระเกียรตขิ องสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ และสดดุ ีชยั ชนะทม่ี ีตอ่ เชยี งใหมใ่ นรัชกาลนนั้
เรือ่ งยอ่
เนอื้ เรอื่ งเปน็ การบรรยายภาพการทำสงครามระหว่างไทยกบั ลา้ นนา โดยฝ่ายไทยมีสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเปน็ จอมทพั ฝ่ายล้านนามพี ระเจา้ ตโิ ลกราชเปน็
จอมทัพ จบลงด้วยชัยชนะของสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ
คณุ คา่ ของวรรณคดี
ลิลิตยวนพา่ ยมคี ณุ ค่าทางประวัติศาสตร์ ภมู ิศาสตร์ การรบทัพจับศกึ คา้ นยิ มทางสงั คม และหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนาสมัยกรงุ ศรีอยธุ ยาตอนต้นอย่างยิ่ง
นอกจากน้ีลลิ ิตยวนพา่ ยท่ีตกทอดมาถงึ ปจั จบุ ัน ซึง่ เป็นวรรณกรรมเกา่ ท่ีสมบรู ณ์ไม่ชำรดุ หรอื ถกู แต่งเตมิ ยงั มีคณุ คา่ ด้านภาษาศาสตร์ทำใหไ้ ดเ้ หน็ ถึงวิธกี ารใช้
ภาษา คำสำนวน โวหาร ของกวสี มยั โบราณ และเป็นแบบอยา่ งของวรรณคดปี ระเภทสดุดี
ลิลิตพระลอ
ผู้แต่ง
กวีทีแ่ ตง่ เปน็ ใคร มีตำแหนง่ ทางราชการอย่างไร ไมท่ ราบแน่ชัด
ประวตั ิ
ไม่ปรากฏหลักฐานวา่ แต่งในสมยั ใด แตพ่ ิจารณาจากคำที่ใช้ บางคำใชภ้ าษาเกา่ กวา่ ภาษาในสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราชและแต่งดว้ ยลิลติ ซึง่ เปน็ รูปแบบ
วรรณกรรมทแ่ี ตง่ ในสมัยอยธุ ยาตอนต้น นอกจากนี้ข้อความบางตอนในลิลิต เช่น คำวา่ “จบเสร็จเยาวราชเจ้าบรรจง” คำวา่ “เยาวราช” น่าจะหมายถึง พระมหา
อุปราชในรชั กาลใดรัชกาลหนึ่งเปน็ ผู้แต่ง
ทำนองแต่ง
แต่งเป็นคำประพนั ธป์ ระเภทลิลิตสภุ าพ ประกอบด้วยรา่ ยสภุ าพและโคลงสุภาพเปน็ ส่วนใหญ่ บางโคลงคล้ายโคลงดัน้ และโคลงโบราณ ร่ายบางบทเป็นร่ายโบราณ
และรา่ ยดั้น
ความม่งุ หมาย
แต่งถวายพระเจ้าแผน่ ดิน เพ่ือให้เป็นทีส่ ำราญพระราชหฤทัย
เรอื่ งย่อ
เมืองสรวงและเมอื งสรองเป็นศัตรูกนั พระลอกษตั รยิ ์แหง่ เมืองสรวงทรงพระสิริโฉมยงิ่ นกั จนเปน็ ทีต่ ้องพระทัยของพระเพ่ือนพระแพงราชธดิ าของทา้ วพชิ ัย
พษิ ณกุ รกษตั รยิ แ์ หง่ เมอื งสรอง นางรืน่ นางโรยพระพเี่ ลี้ยงไดข้ อให้ปเู่ จ้าสมงิ พรายทำเสน่หใ์ ห้ พระลอเสดจ็ มาเมอื งสรอง เมอื่ พระลอต้องเสนห่ ไ์ ดต้ รัสลาพระนาง
บญุ เหลือพระราชมารดาและพระนางลกั ษณวดีพระมเหสี เสดจ็ ไปเมืองสรองพร้อมนายแก้วนายขวัญพระพเ่ี ล้ียง
พระลอทรงเส่ียงน้ำ ที่แม่น้ำกาหลง ถงึ แมจ้ ะปรากฏลางรา้ ยก็ทรงฝืนพระทยั เสด็จตอ่ ไป ไกผ่ ีของปเู่ จ้าสมงิ พรายล่อพระลอกับนายแกว้ และนายขวญั ไปจนถึง
สวนหลวง นางร่ืนนางโรยออกอุบายลอบนำพระลอกบั นายแกว้ นายขวญั ไปไวใ้ นตำหนักของพระเพื่อนพระแพง
ท้าวพชิ ัยพษิ ณกุ รทรงทราบเร่ืองกท็ รงพระเมตตา รับส่ังจะจัดการอภเิ ษกพระลอกับพระเพ่อื นพระแพงให้ แตพ่ ระเจ้ายา่ เล้ยี งของพระเพอ่ื นพระแพงทรง
พยาบาทพระลอ อ้างรับส่ังท้าวพชิ ัยพษิ ณกุ รตรสั ใช้ให้ทหารไปรมุ จับพระลอ พระเพอื่ นพระแพง และพระพีเ่ ลยี้ งท้ัง ๔ คน ชว่ ยกันตอ่ สู้จนสิ้นชีวติ หมด ทา้ วพิชยั
พิษณกุ รทรงพระพโิ รธพระเจ้ายา่ และทหาร รับส่งั ให้ประหารชวี ติ ทกุ คน พระนางบญุ เหลือทรงสัง่ ทูตมาร่วมงานพระศพกษตั รยิ ์ทัง้ สาม ในที่สดุ เมืองสรวงและเมือง
สรองกลับเป็นไมตรีตอ่ กัน
คุณคา่ ของวรรณคดี
ลิลิตพระลอได้รบั การตัดสนิ จากวรรณคดีสโมสรในสมัยรชั กาลท่ี ๖ ให้เปน็ ยอดแหง่ วรรณคดีประเภทลลิ ติ เพราะมีความโดดเด่น คือ ให้แงค่ ิดดา้ นความรัก ความ
กล้าหาญ ความสะเทอื นใจ ใช้ภาษาได้ไพเราะคมคาย เป็นแบบอย่างของการแตง่ โคลงและวรรณคดีประเภทลลิ ติ
โคลงกำสรวล
ผ้แู ตง่
เคยเช่ือกันมาแตเ่ ดิมวา่ ศปี ราชญผ์ ้แู ต่งโคลงกำสรวลถกู เนรเทศไปนครศรธี รรมราช ในรชั กาลสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช และหญงิ ทศี่ รีปราชญค์ รำ่ ครวญอาลยั
คือ พระสนมศรจี ฬุ าลกั ษณ์ แต่มผี ้อู อกความเหน็ ค้านความเชือ่ ดงั กล่าววา่ เรอื่ งโคลงกำสรวล ไมไ่ ดเ้ กีย่ วข้องกับเมืองนครศรีธรรมราช กล่าวถึงเส้นทางการเดนิ ทาง
จากกรุงศรีอยธุ ยาไปสดุ แคจ่ ังหวัดประจวบคิรีขันธ์ ทั้งไมไ่ ดก้ ล่าวถงึ ความทกุ ข์รอ้ นและมูลท่ีต้องเนรเทศเมอ่ื พจิ ารณาถงึ ลกั ษณะคำประพนั ธ์และถ้อยคำสำนวน
ภาษาทีใ่ ช้โคลงกำสรวลน่าจะแตง่ ในสมัยกรุงศรอี ยุธยาตอนต้น
ทำนองแต่ง
แต่งด้วยโคลงต้งั บาทกุญชร บทแรกเป็นร่ายดัน้ มีรา่ ย ๑ บท โคลงด้นั ๑๒๙ บท
ความมุ่งหมาย
เพื่อแสดงความอาลัยคนรัก ซ่งึ ผแู้ ตง่ ต้องจากไป
เรอื่ งย่อ
เร่มิ ด้วยร่ายสดุดกี รงุ ศรีอยุธยาวา่ รุ่งเรืองงดงาม เปน็ ศนู ยก์ ลางแหง่ พุทธศาสนา ราษฎร์สมบูรณ์พนู สขุ ต่อจากนั้นกลา่ วถึงการท่ตี ้องจากนาง แสดงความหว่ งใย ไม่
แนใ่ จวา่ ควรจะฝากนางไว้กับผู้ใดเดินทางผ่านตำบลหนง่ึ ๆ ก็รำพนั เปรยี บเทยี บชอื่ ตำบลเขา้ กับความอาลัยทีม่ ีตอ่ นาง ตำลบท่ีผา่ น เช่น บางกะจะ เกาะเรยี น ด่าน
ขนอน บางทรนาง บางขดาน ย่านขวาง ราชคราม ทงุ่ พญาเมือง ละเท เชิงราก นอกจากนไ้ี ดน้ ำบุคคลในวรรณคดมี าเปรียบเทียบกับเหตกุ ารณใ์ นชวี ติ ของตน
เกดิ ความทุกข์ระทมที่ยังไม่พบได้นางอีกอยา่ งบคุ คลในวรรณคดีเหลา่ นัน้ โดยกล่าวถึง พระรามกบั นางสดี า พระสูตรธน(ู สุธนู)กบั นางจิราประภา และพระสมทุ ร
โฆษกกบั นางพษิ ทมุ ดีว่าต่างไดอ้ ยู่รว่ มกนั อกี ภายหลงั ทตี่ ้องจากกนั ช่วั เวลาหน่งึ การพรรณนาสถานท่ีสนิ้ สุดลงโดยท่ไี มถ่ ึงนครศรธี รรมราช
โคลงทวาทศมาส
ผู้แต่ง
พระเยาวราช ขนุ พรมมนตรี ขนุ กวรี าช ขนุ สารประเสริฐ
ประวตั ิ
หนังสอื นม้ี กี ารสนั นิษฐานผแู้ ตง่ ตา่ งกนั ไป เชน่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนษิ ฐานวา่ ผู้แต่ง คือ ขุนศรีกวีราช ขุนพรหมมนตรี
และขุนสารประเสรฐิ บางทา่ นวา่ พระเยาวราช ทรงนพิ นธ์ ท่ีเหลอื ชว่ ยแก้ไข สว่ นพระยาตรงั คภมู ิบาล และนายนรนิ ทรธิเบศร กลา่ วแตเ่ พยี งสามคนรว่ มกนั แต่ง
ทำนองแต่ง
โคลงดน้ั วิริธมาลี
ความมุ่งหมาย
มีผ้สู ันนษิ ฐานวา่ คงแต่งข้นึ เพ่อื เฉลิมพระเกียรติพระเจ้าแผน่ ดนิ มิได้จากนางจรงิ โดยสมมตเิ หตกุ ารณข์ นึ้
เรือ่ งยอ่
โคลงเรื่องนไี้ ดช้ ่ือวา่ ทวาทศมาส เพราะพรรณนาถงึ ความรักความอาลัยรัก และพิธกี รรมต่าง ๆ ในรอบสิบเดือน ทวาทศมาสแปลวา่ สิบสองเดอื น ตอนตน้ สรรเสริญ
เทพเจา้ และพระเจา้ แผ่นดิน ชมความงามของนางทีต่ ้องจากมา กลา่ วถึงบุคคลในวรรณคดี เช่น พระอนริ ทุ ธ์ พระสมุทรโฆษ พระสุธนู พระสตู รธนู แล้วแสดง
ความน้อยใจทตี่ นไม่อาจไปอยรู่ ว่ มกับนางอกี อย่างบุคคลเหลา่ นน้ั ตอนต่อไปนำเหตุการณ์ต่าง ๆ และลมฟ้าอากาศในรอบปหี นึ่งๆ ตงั้ แต่เดอื น ๕ ถึง เดอื น ๔ มา
พรรณนา เดือนใดมพี ธิ ีอะไรกน็ ำมากลา่ วไวล้ ะเอยี ดละออ เชน่ เดือนสิบเอด็ มพี ิธอี าศวยุช เดอื นสบิ สองมีพธิ จี องเปรียงลอยพระประทีป เดือนยปี่ ระกอบพิธี
ตรยี มั ปวาย และเดือนส่กี ระทำพธิ ตี รุษ เปน็ ต้น ต่อจากนน้ั ถามขา่ วคราวของนางจาก ปี เดือน วนั และยาม ขอพระเทพเจ้าให้ได้พบนาง ตอนสดุ ท้ายกล่าว
สรรเสริญพระบารมพี ระเจ้าแผ่นดิน
โคลงหริภุญชัย
ผแู้ ตง่ สันนิษฐานทีผู้แต่งคนหนึง่ อาจช่ือทพิ แต่งไวเ้ ปน็ ภาษาไทยเหนือ ต่อมามผี ู้ถอดออกมาเปน็ ภาษาไทยกลางอีกตอนหน่ึง
ประวัติ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนษิ ฐานไวว้ า่ อาจเปน็ ประมาน พ.ศ.๒๑๘๐ หรอื ก่อนหนา้ นัน้ ขนึ้ ไป ซึง่ เปน็ ระยะทพ่ี ระพทุ ธสิ
หิงค์ยงั ประดิษฐานอยทู่ เ่ี ชียงใหมร่ าวศกั ราชสมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททอง และกวที างใต้คงนำมาดัดแปลงราวศกั ราชสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช ศาสตราจารย์
ประเสริฐ ณ นคร ไดศ้ กึ ษาโคลงเร่ืองนี้โดยเทยี บกับต้นฉบับภาษาไทยเหนือทเี่ ชียงใหมแ่ ละลงความวา่ จะแตง่ ข้ึนในสมัย พ.ศ.๒๐๖๐ ตรงกบั รชั กาลสมเด็จพระ
รามาธิปดที ี่ ๒ ซง่ึ เปน็ เวลาท่ีพระแก้วมรกตยงั อยู่ที่เจดียเ์ ชยี งใหม่ เนอ่ื งจากนริ าศเร่อื งน้ี กล่าวถึงพระแกว้ มรกตไว้ด้วย
ทำนองแต่ง
เดิมแต่งไว้เป็นโคลงไทยเหนือ ตอ่ มามีผู้ถอดเปน็ โคลงสภุ าพ
ความม่งุ หมาย
ผู้แต่งมคี วามมุ่งหมายเพอ่ื บรรยายความร้สู กึ ท่ีตอ้ งจากหญิงรกั ไปนมัสการพระธาตุหริภญชยั ทีเ่ มอื งหริภุญชยั (ลำพูน)กอ่ นออกเดนิ ทางไปนมัสการลาพระพทุ ธสิ
หิงค์ขอพระพระมังราชหรือ พระมังรายซงึ่ สถติ ณ ศาลาเทพารกั ษ์ นมสั การลาพระแกว้ มรกต เมือ่ เดนิ ทางพบสิ่งใดหรือตำบลใดกพ็ รรณนาคร่ำครวญรำพันรกั ไป
ตลอดจนถึงเมืองหริภญุ ชัยได้นมัสการพระธาตุ สมความตั้งใจ บรรยายพระธาตุ งานสมโภชพระธาตุ ตอนสดุ ทา้ ยลาพระธาตุกลับเชียงใหม่นอกจากน้วี รรณคดี
เรื่องน้ยี ังเปน็ หลักฐานยนื ยันถงึ ทตี่ ั้งปูชนียสถาน และโบราณวัตถทุ ่เี ชยี งใหม่และลำพูน กลา่ วถึงการเล่นมหรสพตา่ งๆ ในสมัยโบราณ และวรรณคดเี รอื่ งอืน่ ๆ เช่น
สุธนู สมทุ รโฆษ พระรถเมรี เป็นตน้ สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ไดท้ รงอธิบายเก่ียวกบั ความสำคญั ขอ งโคลงหรภิ ญุ ชัย ไว้ในฉบับพมิ พ์
พ.ศ.๒๔๖๗ วา่ "อาจเปน็ ต้นแบบอยา่ งของนริ าศท่ีแต่งเปน็ โคลงและกลอนกันในกรุงศรอี ยุธยาตลอดมาจนกรุงรัตนโกสินทร์ ถ้ามิไดเ้ ปน็ แบบอยา่ งกเ็ ป็นนริ าศช้นั
เก่าทส่ี ุด"