แบบทดสอบปลายภาค
ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564 โรงเรียนขุนไกรพิทยาคม
รหสั วชิ า ว 32101 รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์พืน้ ฐาน ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 5
คำอธบิ าย
1. ข้อสอบมี 1 ตอน (5 หน้า) รวม 40 คะแนน
แบบเลือก 1 คำตอบ : จำนวน 45 ข้อ รวม 45 คะแนน
2. กอ่ นตอบคำถามให้เขยี นชอ่ื – นามสกุล เลขท่ี ชน้ั รหสั วชิ า และรายวิชา
บนกระดาษคำตอบให้ชดั เจน
3. ในการตอบแบบเลือก 1 คำตอบให้ใช้ดินสอเบอร์ 2B ระบายวงกลมตัวเลือกคำตอบให้เต็มวง
(ห้ามระบายนอกวง) ถ้าต้องการเปลี่ยนตัวเลือกใหม่ ต้องลบให้สะอาดจนหมดรอยดำ แลว้ จึง
ระบายวงกลมตัวเลือกใหม่
4. หากมขี ้อสงสัยให้สอบถามกบั ผ้คู ุมสอบเท่านน้ั
5. หากพบการทจุ ริตในการทำแบบทดสอบ กรรมการคมุ เขา้ สอบจะปรบั ตกในรายวิชานั้นทันที
6. หา้ มนำข้อสอบและกระดาษคำตอบออกจากห้องสอบโดยเด็ดขาด
ข้อสอบผา่ นการตรวจแล้ว
...............................................................ผ้อู อกข้อสอบ
...............................................................หวั หน้ากลุ่มสาระการเรยี นรู้
...............................................................คณะกรรมการวชิ าการ
...............................................................ผบู้ รหิ าร
แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิวชิ าวิทยาศาสตรพ์ ื้นฐาน ปลายภาคเรยี นที่ 1 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 หน้า 2
ตอนท่ี 1 ให้นักเรยี นใช้ดนิ สอระบายลง ในกระดาษคำตอบขอ้ ทีถ่ กู ทสี่ ุดเพียงข้อเดียว
1. ขอ้ ใดเปน็ กรดไขมันอ่ิมตวั 4. สารอนิ ทรียท์ พ่ี บในสงิ่ มีชวี ิตทวั่ ๆ ไป เช่น โปรตนี
1. โอเลอกิ 2. ลโิ นลอี กิ
3. ลโิ นลีนกิ 4. บวิ ทาริก คารโ์ บไฮเดรต ไขมนั และ กรดนวิ คลอี ิกรวมเรียกว่า
2. ลพิ ดิ เตรยี มได้จาก สารชีวโมเลกุล
1. กรดไขมนั และกลเี ซอรอล
2. แอลกอฮอล์ และกลเี ซอรอล 8. ข้อใด คือคาร์โบไฮเดรตประเภท มอนอแซ็กคาไรด์
3. กรดไขมัน และแอลกอฮอล์
4. กลเี ซอรอล และนำ้ 1. แป้ง 2. กลโู คส
3. ขอ้ ใดกล่าวได้ถูกตอ้ งเกีย่ วกบั ลิพดิ 3. ซโู ครส 4. แลกโทส
1. ของแขง็ ที่อณุ หภูมธิ รรมดาเรยี กว่าน้ำมัน
2. ไขววั และเนยส่วนใหญ่เป็นกรดไม่อม่ิ ตัว 9. ข้อใด ไมถ่ กู ต้อง เก่ยี วกบั ไดแซ็กคาไรด์ หรือนำ้ ตาล
3. นำ้ มนั ทไี่ ดจ้ ากถ่ัวเหลืองเป็นกรดไม่อิ่มตวั
4. กรดโอลิอกิ ได้มาจากน้ำมันมะพรา้ ว โมเลกุลคู่
4. ในไขมนั 1 กรัม จะให้พลังงานแกร่ า่ งกายของเรา 1. แลกโทส = กลโู คส + กาแลกโทส
ประมาณกี่กิโลแคลอรี
2. มอลโทส = กลโู คส + กลโู คส
1. 9 กโิ ลแคลอรี 2. 6 กโิ ลแคลอรี
3. 3 กโิ ลแคลอรี 4. 1 กิโลแคลอรี 3. ซโู ครส = กลูโคส + กลูโคส
5. ขอ้ ใดคือสมบัติของไขมันและน้ำมนั
1. มคี วามหนาแนน่ น้อยกว่าน้ำ ไมล่ ะลายน้ำ 4. ซโู ครส = กลโู คส + ฟรกั โทส
2. ละลายน้ำได้ เกดิ ปฏิกิริยาสะปอนนิฟเิ คชัน
3. ละลายนำ้ และเกิดการเหม็นหนื ได้ 10. คาร์โบไฮเดรตในข้อใด มีทง้ั มอนอแซก็ คาไรดแ์ ละ
4. ไมล่ ะลายนำ้ และมจี ุดเดือดจดุ หลอมเหลวตำ่ กวา่
ไดแซ็กคาไรด์
นำ้ มนั
6. การป้องกันการเหม็นหืนของไขมนั และน้ำมนั คือข้อใด 1. ฟรกั โทส มอลโทส 2. กลูโคส กาแลกโทส
1. เติมสารกนั หืนหรือสารยบั ยง้ั เช่น วิตามินบี และซี 3. แป้ง ซูโครส 4. ฟรกั โทส กลโู คส
2. เติมสารกนั หนื หรอื สารยับยัง้ เช่น วิตามนิ อี และซี
3. เติมสารกนั หืน เชน่ วติ ามนิ เอ ดี อี เค 11. พนั ธะทเี่ ชอ่ื มตอ่ ระหวา่ งมอนอแซ็กคาไรด์แต่ละ
4. เตมิ สารยบั ย้งั เชน่ วติ ามนิ เอ ดี อี เค
7. ขอ้ ใด กล่าวผดิ โมเลกลุ คอื พนั ธะในข้อใด
1. อาหาร คอื สารทเ่ี ขา้ สู่ร่างกายไปแลว้ จะทำให้
สิ่งมีชีวิตเจรญิ เตบิ โต 1. พนั ธะซัลไฟด์ 2. พันธะเพปไทด์
2. สารอาหาร ไดแ้ ก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน
3. พนั ธะไฮโดรเจน 4. พันธะไกลโคซิดิก
วิตามนิ เกลือแร่ และน้ำ
3. อาหารพวกผักมเี ซลลโู ลส เมื่อรับเข้าสรู่ า่ งกายแล้ว 12. ขอ้ ใด ไมใ่ ช่ คาร์โบไฮเดรตประเภทพอลิแซ็กคาไรด์
จะถูกยอ่ ยแล้วดดู ซมึ ไปใชไ้ ด้ 1. แป้ง 2. กาแลกโทส
3. ไกลโคเจน 4. เซลลูโลส
13. หนว่ ยยอ่ ยของเซลลูโลส คือสารใด
1. กลูโคส 2. ฟรักโทส
3. กาแลกโทส 4. ไรโบส
( ต่อหน้า 3 )
โรงเรยี นขนุ ไกรพทิ ยาคม สำนักงานเขตพน้ื ทีก่ ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 38
แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิว์ ิชาวิทยาศาสตร์พนื้ ฐาน ปลายภาคเรยี นที่ 1 ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 5 หน้า 3
15. ขอ้ ใด ไมถ่ กู ต้อง เกีย่ วกับคาร์โบไฮเดรต 23. โครงสรา้ งโปรตีนที่แสดงการจดั เรยี งลำดบั ของกรดอะ
1. เม่ือนำมอนอแซ็กคาไรด์หลายๆ หน่วย มาทำพอลิ- มโิ นในสายโพลเี ปปไทด์คือโครงสรา้ งประเภทใด
เมอรไ์ รเซชันได้พอลแิ ซ็กคาไรด์ด้วยการสรา้ งพนั ธะ 1. โครงสร้างปฐมภมู ิ 2. โครงสรา้ งททุตยิ ภูมิ
ไกลโคซิดกิ 3. โครงสรา้ งตตยิ ภมู ิ 4. โครงสร้างจตรุ ภูมิ
2. ไกลโคเจนมสี ตู รโครงสรา้ งเหมอื นแป้งแต่อยใู่ นตบั 24. กรดอะมโิ นทกุ ชนดิ ในธรรมชาติประกอบด้วยหมู่
สัตว์ ฟงั กช์ นั ชนิดใด
3. เซลลโู ลสเปน็ สารประเภทพอลิแซ็กคาไรด์ มหี นา้ ที่ 1. หมู่เอมนี และเอไมด์
เปน็ โครงสรา้ งของพชื 2. หมู่คาร์บอกซิล และอะมโิ น
4. นำ้ ตาลมีสมบัติเป็นผลกึ สีขาว ซง่ึ กาแล็กโทสเป็น 3. หมู่ไฮดรอกซลิ และอะมโิ น
มอนอแซ็กคาไรด์ที่มีความหวาน มากท่ีสุด 4. หม่อู ลั คิลและคาร์บอกซลิ
16. พนั ธะชนดิ ใดทเ่ี ช่ือมระหวา่ งกรดอะมิโน ไกลซีน 25. นำ้ ย่อยทีก่ ระเพาะอาหารขับออกมาเพื่อยอ่ ยอาหารมี
และอะลานนี เอนไซมช์ นดิ นงึ่ ที่ใชใ้ นการยอ่ ยโปรตนี เอนไซม์น้ีคือ
1. พนั ธะไฮโดรเจน 2. พันธะไดซลั ไฟด์ 1. อะไมเลส 2. ไลเปส
3. พันธะไอออนกิ 4. พนั ธะเพปไทด์ 3. ทริปซิน 4. เปปซิน
17. ข้อใดไม่ใชโ่ ปรตนี 26. วติ ามนิ ท่บี ำรงุ สายตาคือขอ้ ใด
1. ฮโี มโกลบลิ 2. ปาเปน 1. A 2. D
3. ลินิน 4. กรดอะมิโน 3. B 4. E
18. พนั ธะท่เี กิดขน้ึ ในสายโซ่ของโปรตีนคือ 27. วติ ามินในข้อใดละลายในนำ้
1. พนั ธะเพปไทด์ 2. พันธะไกลโคไซด์ 1. A B 2. B C
3. พนั ธะไกลโคเจน 4. พันธะโคเวเลนต์ 3. A D 4. C D
19. ขอ้ ใดเปน็ โปรตนี ขนส่ง 28. ไคโตซาน เราสกดั ไดจ้ ากสารประเภทใด
1. อินซูลิน 2. แอกทิน 1. ก้างปลา
3. ไมโอโกลบิน 4. ไลเปส 2. โครงสรา้ งแข็งในแมลง กุ้ง ปู
20. สารในขอ้ ใดให้สมี ว่ งหรือชมพทู ้งั หมด เม่อื นำมาทำ 3. ปลาร้า
ปฏกิ ิริยากับสารละลายคอปเปอร(์ II) ซลั เฟตในสภาพ 4. กระดองเต่า
ทเี่ ปน็ เบส 29. ขอ้ ใดไมจ่ ดั เปน็ พอลิเมอร์
1. ขา้ วสวย กลูโคส มนั ฝรง่ั 1. แปง้ 2. โปรตนี
2. น้ำมนั พชื ไขด่ าว ขนมปัง 3. สบู่ 4. ซลิ โิ คน
3. ไขด่ าว เนื้อหมู นมถวั่ เหลือง 30. พลาสตกิ ชนิดใดจดั เป็นเทอร์โมเซต
4. ขนมปงั นมถวั่ เหลอื ง ปลา 1. ตวั ถงั รถ 2. ถุงพลาสตกิ
21. ในโปรตนี 1 กรมั จะให้พลังงานแกร่ า่ งกายของเรา 3. ถงุ น่อง 3. ท่อน้ำ
ประมาณกก่ี โิ ลแคลอรี่ 31. สารในขอ้ ใดไม่ใช่ผลติ ภัณฑจ์ ากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
1. 1 กโิ ลแคลอร่ี 2. 2 กิโลแคลอร่ี ข้นั ต้น
3. 4 กิโลแคลอร่ี 4. 9 กิโลแคลอร่ี 1. อเี ทน 2. น้ำมันกา๊ ด 3. เอทลิ นี 4. พอลเิ อทิลีน
22. หนว่ ยยอ่ ยทโ่ี มเลกุลเลก็ ทส่ี ุดของโปรตนี คอื 5. สไตรนี
1. กรดคาร์บอกซิลกิ 2. กรดอะมโิ น 1. ข้อ 1 และ 4 2. ข้อ 2 และ 4
3. เอมีน 4. เปปไทด์ 3. ขอ้ 1 , 2 ,และ 4 4. ข้อ 2 , 3 และ 5
( ต่อหนา้ 4 )
โรงเรยี นขุนไกรพทิ ยาคม สำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 38
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิว์ ิชาวทิ ยาศาสตร์พน้ื ฐาน ปลายภาคเรยี นท่ี 1 ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5 หนา้ 4
32. ข้อใดไมใ่ ชส่ มบัติของพลาสตกิ เทอร์มอเซต 4. เสน้ ใยธรรมชาตมิ คี ุณสมบตั ิทนต่อเชือ้ รา รีดงา่ ย
1. สามารถรักษาสภาพความเป็นของแข็งได้อยา่ งถาวร
2. เป็นพอลิเมอร์ทีม่ โี ครงสรา้ งเป็นรา่ งแห และทนตอ่ ตัวทำละลาย
3. ถ้าอุณหภมู ิสงู จะแตกและไหม้กลายเป็นขเี้ ถา้
4. นำกลับไปหลอมละลายใหมไ่ ด้ 38. เชือ้ เพลิงชนิดใดที่ไม่ไดเ้ กิดจากซากพืชซากสตั วด์ กึ
33. ข้อความเก่ยี วกบั พอลเิ มอรใ์ นข้อใด ไม่ถูก ต้อง ดำบรรพ์
1. หนว่ ยย่อยของพอลเิ มอรเ์ ปน็ หนว่ ยซ้ำๆ ท่ีเรียกว่า
มอนอเมอร์ เช่น ไวนิลคลอไรดเ์ ป็นมอนอเมอร์ของ 1. ถ่านหนิ ลิกไนต์ 2. แกส๊ ปิโตรเลยี มเหลว
พอลไิ วนลิ คลอไรด์ เป็นต้น
2. พนั ธะทเ่ี ช่อื มตอ่ ระหว่างมอนอเมอร์ในสายโซพ่ อลิ- 3. ฟืน 4. นำ้ มนั เตา
เมอร์ เรียกวา่ พนั ธะโคออรด์ ิเนชัน
3. แรงดึงดูดระหว่างสายโซพ่ อลิเมอร์ เช่น พนั ธะ 39. เชื้อเพลิงประเภทถ่านหิน และหินนำ้ มัน เรียกชอื่ อีก
ไฮโดรเจน แรงดึงดดู ระหวา่ งขวั้ แรงแวนเดอร์วาลส์
เป็นต้น ลว้ นแต่มีผลทำให้สมบัติของพอลเิ มอร์ อยา่ งว่าอะไร
แตกต่างกนั
4. พอลเิ มอรท์ ่ีมีโครงสร้างแบบเส้นจะมีความหนาแน่น 1. เชอื้ เพลิงซากพชื 2. เชื้อเพลิงฟอสซิล
สงู กว่าพอลเิ มอร์ชนดิ เดยี วกันท่ีมโี ครงสรา้ งแบบกง่ิ
3. เช้ือเพลิงทับถม 4. เชื้อเพลิงทดแทน
34. ขอ้ ใดผิด
1. ฝา้ ย นุ่น และใยมะพร้าวจดั เปน็ เส้นใยทหี่ ุ้มเมล็ด 40. ปิโตรเลยี ม ส่วนใหญ่เป็น
2. ลนิ นิ ปอ และกัญชาจัดเปน็ เสน้ ใยจากเปลือกไม้
3. สบั ปะรด และศรนารายณ์จดั เปน็ เส้นใยจากลำตน้ 1. สารประกอบไฮโดรคาร์บอน
4. เซลลโู ลสแอซเี ตตใชท้ ำเสน้ ใย แผ่นพลาสติก แผง
สวติ ซ์ และหมุ้ สายไฟฟ้า 2. สารประกอบไฮโดรคาร์บอนผสมกันหลายชนิด
35. ขอ้ ใดไม่จัดเปน็ เทอร์มอพลาสตกิ 3. ของผสมระหวา่ งไขมนั และน้ำมัน
1. พอลโิ พรพลิ ีน 2. พอลิยูรีเทน
3. พอลิสไตรนี 4. พอลิเอทลิ นี 4. ของผสมระหวา่ งแอลกอฮอลแ์ ละกรดอินทรยี ์
36. มอนอเมอร์ทรี่ วมตัวเปน็ พอลิเมอร์ ตอ้ งใชป้ ฏิกิรยิ าใด 41. ผลิตภณั ฑ์ในข้อใดที่ไดจ้ ากการกลนั่ นำ้ มันดบิ ซงึ่ มี
1. ปฏิกริ ยิ าไฮโดรจเิ นชนั
2. ปฏกิ ิรยิ าพอลิเมอไรเซชัน จำนวน C อะตอมน้อยทีส่ ดุ
3. ปฏิกิรยิ าออกซิเดชนั
4. ปฏกิ ิริยาสะปอนิฟเิ คชัน 1. ไข 2. น้ำมันเตา
37. ข้อความเกี่ยวกับเสน้ ใยในข้อใดผดิ 3. นำ้ มันกา๊ ด 4. แกส๊ ปโิ ตรเลียม
1. เส้นใยสังเคราะห์จะมีสมบตั ทิ นต่อความร้อน ไมย่ ับ
ง่ายและมีความต้านทานตอ่ จลุ ินทรีย์ได้ดี 42. การปรับปรงุ โครงสร้างของโมเลกุลให้ไดเ้ ช้อื เพลิงทีม่ ี
2. ลนิ นิ เป็นเส้นใยธรรมชาตทิ ่ไี ดจ้ ากเปลือกไม้
3. เซลลโู ลสแอซีเตตเป็นเสน้ ใยกึง่ สงั เคราะห์ เกิดจาก คุณภาพดีข้ึน โดยปฏกิ ริ ิยาการรวมโมเลกุลของไฮโดร-
เซลลูโลสกบั กรดแอซตี ิก
คารบ์ อนไม่อม่ิ ตวั โมเลกุลเล็กๆ ใหม้ โี มเลกุลใหญข่ น้ึ เรียกว่า
อะไร
1. สะปอนนฟิ เิ คชนั 2. เอสเทอริฟิเคชัน
3. แอลคิเลชัน 4. โอลโิ กเมอไรเซชัน
43. การปรบั ปรงุ โครงสร้างของโมเลกุลให้ไดเ้ ชอ้ื เพลิงที่มี
คุณภาพดีขนึ้ โดยปฏิกิริยาการรวมโมเลกุลของแอลเคน
กับแอลคนี เรยี กวา่ อะไร
1. สะปอนนิฟิเคชัน 2. เอสเทอริฟิเคชัน
3. แอลคิเลชนั 4. โอลิโกเมอไรเซชนั
44. พลาสตกิ ทีใ่ ชแ้ ลว้ สามารถนำมาหลอมเพื่อนำกลบั มา
ใช้ใหมไ่ ด้มีโครงสรา้ งแบบใด
1. แบบรา่ งแห และแบบกิ่ง
2. แบบรา่ งแห และแบบเส้น
3. แบบเสน้ และแบบก่งิ
4. แบบเส้น
( ต่อหนา้ 5 )
โรงเรยี นขนุ ไกรพทิ ยาคม สำนักงานเขตพนื้ ทกี่ ารศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 38
แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธวิ์ ิชาวทิ ยาศาสตร์พื้นฐาน ปลายภาคเรียนท่ี 1 ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 5 หนา้ 5
45. เหตใุ ดจงึ ต้องมีการสรา้ งเสน้ ใยสงั เคราะห์ข้ึนมาแทนเส้นใยธรรมชาติ
1. เพราะเสน้ ใยธรรมชาตหิ ายาก
2. เพราะเสน้ ใยธรรมชาตไิ ม่อาจนำมาทอเปน็ ผ้าได้
3. เพราะเส้นใยธรรมชาตเิ ม่อื นำมาทอเป็นผ้า จะไดค้ ุณภาพไม่ดีพอ
4. เนือ่ งจากเสน้ ใยธรรมชาตบิ างชนิดมคี ุณภาพไม่ดี เช่น อาจเปน็ ราได้ง่าย หรอื หดตัวเมื่อไดร้ ับความรอ้ น
#############################
“บคุ คลที่เจริญแลว้ ยอ่ มรตู้ วั เสมอว่ากาลงั กระทาส่ิงใด”
โรงเรยี นขนุ ไกรพทิ ยาคม สำนกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 38