SUN YAT-SEN
ซุน ยัตเซ็น
บิ ด า แ ห่ ง ก า ร ป ฎิ วั ติ ช า ว จี น
"ถ้าเราเชื่ อว่าทำได้ ต่อให้ต้องย้ายภูเขาถมทะเล
สุดท้ายก็ย่อมทำได้ แต่ถ้าใจเราคิดว่าทำไม่ได้
แม้จะง่ายเพียงพลิกฝ่ามือ ก็ไม่มีวันทำสำเร็จ"
คำนำ
ดร.ซุน ยัดเซ็น ชื่อนี้เป็นที่ยกย่องมานานในประวัติศาสตร์จีนและของโลกได้ชื่อ
ว่าเป็น "นายแพทย์นักปฏิวัติ" และเป็น" บิดาผู้สถาปนาสาธารณรัฐจีน" ซึ่งทุกวันนี้ก็
ยังได้รับการยกย่องอย่างสูงสุด
เรื่องราวของซุนยัดเซ็นมีสีสันและน่าสนใจมากเขาเป็นนายแพทย์ที่มีความ
สามารถในการรักษาผู้ป่วยจนได้ฉายาว่าเป็นหมอเทวดาและเลือกเดินในเส้นทางนัก
ปฏิวัติมากกว่าการเป็นนายแพทย์ เพราะเห็นว่าการรักษาผู้ป่วยทำได้ไม่กี่คนแต่การ
จะเยียวยารักษาประเทศชาติต้องเดินในเส้นทางการเมืองและการปฏิบัติเท่านั้นอีก
ทั้งสถานการณ์บ้านเมืองของจีนในเวลานั้นอยู่ในสภาพฟอนเฟะทำให้ซุนยัดเซ็นต้อง
ลุกขึ้นมาทำงานปฏิวัติประเทศแต่เขาก็ล้มเหลวและพ่ายแพ้ติดต่อกันแต่เขาก็ล้ม
เหลวและพ่ายแพ้ติดต่อกันต้องถูกเนรเทศลี้ภัยออกจากบ้านเกิดต้องออกมาใช้ชีวิต
อยู่ต่างแดนนาน 10 กว่าปี พบความลำบากมากมายแต่เขาก็ไม่ย่อท้อแม้ใครๆจะพูด
ว่าความฝันของเขาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แต่เขาก็ยังคงทำ การปฏิวัติจนกระทั่ง
ประสบความสำเร็จ
E-book เล่มนี้ จะกล่าวถึงอัตชีวประวัติความเป็นมาและอุดมการณ์ในการต่อสู้กับ
เรื่องราวๆต่างๆ จนประสบความสำเร็จของ ซุน ยัตเซ็น ผู้ที่ได้ชื่อว่าบิดาแห่งการ
ปฏิวัติจีนผู้ยิ่งใหญ่
ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณ อาจารย์วรรณพร บุญญาสถิตย์ ที่ได้ให้โอกาสผู้จัดทำได้
ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวที่ตนเองสนใจทำให้ผู้จัดทำได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องราว ของ ซุน
ยัตเซ็น แล้วนำมาจัดทำหวังว่าเรื่องราวใน E-book เล่มนี้จะเป็นแรงบันดาลใจและให้
ความรู้ทุกท่านไม่มากก็น้อยผู้มีอุปการะคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนเสมอมา
ขอขอบคุณ
อาริสา ธัญญะภู
สารบัญ 2
ใครคือ ดร. ซุนยัตเซ็น 4
กำเนิด ซุน ยัตเซ็น 6
เส้นทางสู่การเป็นแพทย์ 7
การศึกษา 8
จากปฏิรูปมุ่งสู่การปฏิวัติ 9
10
4 โจรกบฎและกลุ่มมิตรสหาย
เขียนฎีกาขอร้องการปฎิรูปประเทศ 10
ร่วมก่อตั้งสมาคมฟื้ นฟูจีน 11
การปฎิวัติที่กวางโจว
13
การปฏิวัติที่ซิ่นไฮ่ 18
บรรณานุกรรม
1
"โค่นล้มรัฐบาลแมนจู
สร้างเสถียรภาพและแสวงหาความสงบสุข
ให้ประชาชนจีน
ผดุงความยุติธรรม
รักษาคำปฏิญาณ
ซื่อสัตย์ต่อประเทศชาติ
ทำงานรับใช้ประชาชน
และเมื่อใดที่รัฐบาลแมนยูล่มสลายบ้านเมือง
ไม่บังเกิดความวุ่นวายสาธารณรัฐจีนได้เป็น
ที่ยอมรับ
จากนานาประเทศแล้ว
ก็ถึงแก่การที่ข้าพเจ้าจะพ้นจากตำแหน่ง
ประธานาธิบดีเฉพาะกาล
ขอปฏิญาณต่อประชาชนทั้งปวง"
คําปฏิญาณตนของ ดร. ซุน ยัดเซ็น
ระหว่างทำพิธีรับตำแหน่ง
ประธานาธิบดีเฉพาะการคนแรกของสาธารณรัฐ
2
ใครคือ
ดร.
ซุน
ยัตเซ็น
3
4
กำเนิด ซุน ยัตเซ็น
ในประวัติศาสตร์จีนและของโลก ชื่อของ “ดร.ซุน ยัตเซ็น” อยู่ในสถานะของบิดาผู้ก่อตั้งประเทศในสมัย
ใหม่ (Founder) เทียบเท่ากับเราผู้สร้างรัฐชาติอื่นๆในประวัติศาสตร์ เช่น จอร์จ วอชิงตันของสหรัฐอเมริกา คานธี
ของอินเดีย บิสมาร์คของเยอรมัน เลนิลของสาภาพโซเวียต ฯลฯ
เรื่องราวของซุน ยัตเซ็น มักได้รับการนำเสนอจากสื่อจีนในแง่บวกมากไม่ใช่แค่เพราะว่าเขาเป็นผู้นำการ
ปฏิวัติ ที่สำคัญที่สุดของจีนยุคใหม่ นั่นคือการปฏิวัติซินไฮ่เท่านั้น แต่เพราะตลอดทั้งชีวิต เค้าได้แสดงให้เห็นถึง
ปณิธานอันยิ่งใหญ่ มุ่งมั่นทำงานเพื่อกอบกู้บ้านเมืองโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน แม่เค้าจะมีโอกาสครอง
อำนาจ แต่กลับยอมละทิ้งอำนาจและตำแหน่งทางการเมืองได้ ที่สำคัญคือ เป็นแบบอย่างของนักปฏิวัติที่พยายาม
ชูแนวทางการปฏิวัติโดยไม่ต้องหลั่งเลือดมากเกินกว่าเหตุ แม้จะเป็นคนของขั้วอำนาจเก่า แต่หากเพื่อประโยชน์
ของชาติในภาพรวม เขาก็มีความคิดประนีประนอมที่จะให้คนเหล่านั้นได้เข้ามาร่วมกันทำงานเพื่อพัฒนาจีนต่อไป
ด้วย ในช่วงบ้านปลายชีวิตเค้าก็ยังคงมุ่งมั่นทำงานเพื่อหวังจะกู้วิกฤติของจีนจนกระทั่งสิ้นลมไป ซึ่งคำสั่งเสียของ
เค้าก็ยังเป็นการบอกให้คนจีนต่อสู้เพื่อการปฏิวัติต่อไปด้วย
ด้วยสาเหตุเหล่านี้ ทำให้เรื่องราวของซุน ยัตเซ็น เป็นที่ยกย่องเชิดชูอย่างสูงสุดเสมอมา ต่อมาเมื่อพรรค
คอมมิวนิสต์จีนนำโดยเหมาเจ๋อตุง ได้เอาชนะพรรคก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ก แล้วเข้าปกครองจีนด้วยระบบ
คอมมิวนิสต์ ชื่อของซุน ยัตเซ็น ก็ยังคงได้รับการเชิดชูให้เป็นบิดาของสาธารณรัฐประชาชนจีน และถือว่าเป็น
วีรบุรุษนักปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของจีนและของโลก
“ซุน ยัตเซ็น”(Sun Yat-sen) ชื่อรอง “เต๋อหมิง” เกิดวันที่ 12 พฤศจิกายนค.ศ. 1866 ที่หมู่บ้านชุ่ยเหิง อำเภอ
เสี่ยงซาน หรือเมืองจงซานในปัจจุบันมณฑลกวางตุ้ง
ซุน ยัตเซ็น เป็นชื่อเรียกในสำเนียงจีนกวางตุ้ง ส่วนจีนกลางเรียกว่า “ซุนอี้เซียน” แต่ก็มีอีกชื่อหนึ่งที่คนจีน
นิยมเรียกคือ “ซุนจงซาน”
ซึ่งเป็นชื่อที่มาจากภาษาญี่ปุ่น เนื่องจากช่วงที่อยู่ในญี่ปุ่นนั้นเคยใช้ชื่อว่า “ นากายามะ โชว” หากอ่านเป็นภาษาจีน
ก็จะเป็น “ จงซาน“ แล้วยังมีอีกชื่อคือ “ซุนเหวิน” ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้ในวัยหนุ่ม แล้วต่อมามักใช้เวลาที่ต้องมีการลง
นามในเอกสารสำคัญ
ส่วนในภาษาจีน ซุน ยัตเซ็น มีชื่อทางการว่า “เต๋อหมิง” ชื่อเล่นว่า
“ตี้เซี่ยง” ชื่อนี้มีความหมายที่ดี เนื่องจากเมื่อวัยเด็ก ย่าของซุน ยัตเซ็น ได้ขอให้ซินแสมาช่วยทำนายโชคชะตา
ให้หลานชายซินแสบอกว่าเด็กคนนี้มีดวงชะตาระดับฮ่องเต้โอรสสวรรค์ จึงได้ตั้งชื่อว่า ตี้เซี่ยง (นรลักษณ์ฮ่องเต้)
อย่างไรก็ตาม มีเค้าเป็นเหมือนกับเรื่องเล่าอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับผู้นำที่ยิ่งใหญ่ในโลกที่มักมีการทำนายทายทักไว้
ตั้งแต่เด็ก ซึ่งตัวซุน ยัต เซ็นเอง ก็ใช้ชื่อเล่นตี้เซี่ยงแค่ในวัยเด็ก เมื่อเข้าวัยหนุ่มก็ตั้งชื่อตัวเองว่า “ซุนเหวิน” ภาย
หลังเมื่อต้องปฏิบัติการเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิวัติอย่างรับรับก็ต้องเปลี่ยนชื่อไปเรื่อยตามแต่สภาพการณ์
ซุน ยัตเซ็น นับว่าเป็นลูกหลานของชาวจีนฮากกา (จีนแคะ) ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์
บิดาของเขาคือซุนต๋าเฉิง ส่วนมารดาคือหยางไห่ ทั้งครอบครัวมีฐานะยากจนมาก แต่ในรุ่นปู่คือซุนจิ้งเสียนนั้น
เดิมมาจากชนชั้นค่าบดีที่มีฐานะ แต่เมื่อมาถึงรุ่นปู่ของเขาแล้ว กลับไม่ได้มีมรดกหรือทรัพย์สมบัติจากบรรพบุรุษ
ตกทอดมาเท่าไรนัก เมื่อถึงรุ่นของซุนต๋าเฉิง จึงต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก
ในค.ศ. 1829 เมื่อซุนต๋าเฉิง อายุได้ 16 ปีก็ตัดสินใจเดินทางไปมาเก๊าเพื่อทำงานแสวงโชค โดยทำงานเป็นช่าง
ทำรองเท้าในร้านของชาวโปรตุเกส ใช้เวลา 16 ปีทำงานสะสมเงินทอง จนอายุได้ 33 ปีจึงเดินทางกลับบ้านแล้วสู่
ขอหญิงเเซ่หยาง มาเป็นภรรยา เวลานั้นเธออายุ 18 ปีต่อมาในค.ศ. 1854 จึงให้กำเนิดซุนเหมย บุตรชายคนโต
ส่วนซุนเหวิน ซื้อต่อมาคือซุน ยัตเซ็น เป็นบุตรชายคนที่ 3
5
ภาพถ่ายครอบครัวใน ค.ศ. 1901 ตรงกลางคืนนางหยางผู้เป็นมารดา
ส่วนผู้หญิงที่ยืนข้างซุนยัดเซ็นคือหลูมู่เจิน ภรรยาคนแรก
ที่มาภาพ https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Sun_Yat_Sen%27s_family_1901.png
ซ่งชิงหลิงกับดร.ซุนยัดเซน
ซ่งชิงหลิงเป็นภรรยาคนที่สามของ ซุน ยัตเซ็น หนึ่งในผู้นำของ การปฏิวัติ
ปี ค.ศ. 1911 ที่ได้ก่อตั้งสาธารณรัฐจีน เธอมักจะถูกเรียกกันว่า
มาดามซุน ยัตเซ็น
ที่มาภาพ http://freedom-thing.blogspot.com/2012/02/blog-post_1833.html
6
เส้นทางสู่
การ
เป็นแพทย์
7
การศึกษา
ซุน ยัตเซ็น เดินทางมาถึงเกาะฮ่องกงในค.ศ. 1883 แล้วได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยมดิโอเซซาน ซึ่งอยู่ใน
คริสตจักรของอังกฤษเลือกเรียนวิชาเอกภาษาอังกฤษ แต่เนื่องจากพื้นฐานภาษาอังกฤษดีอยู่แล้วตั้งแต่สมัยเรียนที่
โฮโนลูลูถึงได้ลาออกอีกครั้งในปลายปีและวางแผนที่จะเข้าศึกษาต่อในวิทยาลัยเซ็นทรัลในฮ่องกงในช่วงเมษายน
ของปีถัดมาและเข้าศึกษาต่อตามที่วางแผนไว้ เนื่องจากเป็นโรงเรียนมัธยมทาง การแห่งแรกของรัฐบาลอังกฤษที่
โรงเรียนนี้ ซุน ยัตเซ็น ได้ศึกษาหาความรู้อย่างเต็มที่ ด้วยอยู่ในสภาพแวดล้อมทางการศึกษาที่ยอดเยี่ยม เปิดโลก
ทัศน์ของเขาอย่างมาก อีกทั้งการต้องมาอยู่ในต่างแดนก็ทำให้เขาไม่อาจเกียจคร้าน มุ่งมั่นตั้งจัยศึกษาเล่าเรียนและ
หาความรู้เพิ่มเติม รวมถึงภาษาจีนและภาษาอังกฤษ ซุน ยัตเซ็น ยังชื่นชอบในวิทยาศาสตร์ประวัติศาสตร์ สังคม
รัฐศาสตร์
เมื่อได้ศึกษาในต่างประเทศ เปิดโลกทัศน์ได้ซุน ยัดเซ็นเห็นถึงการคัดค้านต่อสู้ทางการเมืองในหลายรูปแบบ
จึงทำให้เกิดความคิดและแรงบันดาลใจที่จะกอบกู้ประเทศชาติ ในระหว่างที่อยู่ที่ฮาวายนี้ศึกษาซุน ยัตเซ็นได้ศึกษา
วิทยาศาสตร์ และศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างลึกซึ้ง ทำให้ซุนเกิดความคิดที่จะเปลี่ยนศาสนาขึ้นมา ความใกล้ชิดต่อ
คริสต์ศาสนา และห่างไกลจาก ลัทธิขงจื๊อ ซึ่งครอบครัวท่านยึดถือ ทำให้พี่ชายกังวลจนถึงขั้นแจ้งข่าวให้ทางบ้าน
ทราบ และส่งตัวน้องชายกลับบ้าน
ซุนกลับประเทศจีนเมื่อปี ค.ศ. 1883 การที่ได้พำนักและศึกษาในต่างประเทศเป็นเวลา 5 ปี ทำให้ซุนได้เห็น
ความเจริญต่าง ๆ ทำให้เขามีความรู้สึกว่า ความไม่เป็นธรรมต่าง ๆ ในสังคมจีนจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง และทำให้
ซุนเกิดความปรารถนาที่จะพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนของตน เมื่อกลับสู่มาตุภูมิแล้ว ซุนพยายามปลุกระดมชาวบ้าน
ให้เกิดความสำนึกที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมโดยการโจมตีความเน่าเฟะของบ้านเมือง และขนบธรรมเนียมประเพณี
อันล้าหลังของประเทศจีน อีกด้านหนึ่งเขาได้เริ่มลงมือพัฒนาการบริหารส่วนท้องถิ่น เช่น ติดตั้งไฟส่องถนนหนทาง
การวางเวรยามป้องกันโจรผู้ร้าย จากบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับการปฏิบัติการเปลี่ยนแปลงในระยะแรกของเขาก็คือ
เขาเห็นว่าความเชื่อโบราณของจีนเป็นเรื่องงมงาย ถึงขั้นทำลายเทวรูปในหมู่บ้าน และกล่าวว่าเป็นเพียงวัตถุไร้สาระ
ที่ชาวบ้านงมงายอย่างไม่ลืมหูลืมตา เมื่อเกิดเป็นเรื่องวุ่นวาย เนื่องจากชาวบ้านโกรธแค้นอย่างมาก บิดาของซุนยัด
เซ็นจึงต้องแก้ปัญหาด้วยการส่งตัวลูกชายไปศึกษาต่อที่ฮ่องกงขณะที่ท่านศึกษาที่ฮ่องกงขณะนั้นฮ่องกงเป็นอาณา
นิคมของอังกฤษ ท่านได้จบการศึกษาจากวิทยาลัยการแพทย์ตะวันตกในฮ่องกง ด้วยคะแนนจากการสอบไล่เป็น
อันดับหนึ่ง ทำให้ท่านถูกขนานนามว่า ดร.ซุนยัตเซ็น
ซุน ยัตเซ็น มีความสามารถทางการแพทย์หลายด้านโดยเฉพาะด้านการผ่าตัดและการวิเคราะห์สันนิษฐาน
อาการของโรคและการใช้ยา แต่ซุน ยัตเซ็น ทราบดีว่าการแพทย์ตะวันตกเป็นของใหม่สำหรับชาวจีน โดยเฉพาะ
ชาวจีนหัวเก่าที่มีความนับถือศรัทธาในการรักษาแผนจีนหรือกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เวลานั้นเมืองจีนมีพวกนักต้มตุ๋น
ที่อ้างตัวเป็นผู้วิเศษจำนวนมาก ซุน ยัตเซ็น ชิงช่างคนเหล่านี้ จึงพยายามเปิดรักสาให้คนยากไร้โดยไม่คิดเงิน เพื่อ
หนึ่งพวกเขาออกจากความงมงาย นอกจากนี้ยังมีปัญหาในการรักษาด้วยการผ่าตัด หากเป็นการผ่าตัดเล็กน้อยก็
ไม่มีปัญหามากนักแต่ถ้าเป็นการผ่าตัดใหญ่ใหญ่ ซุน ยัตเซ็น ซึ่งอายุยังน้อยจึงไม่ได้รับความเชื่อถือเค้าแก้ปัญหา
ด้วยกันเชิญ ดร.แคนต์ลี ให้มาช่วยประกันความปลอดภัยให้ด้วย ซึ่งในตำราประวัติศาสตร์อ้างว่าซุน ยัตเซ็นผ่าตัด
ไม่เคยผิดพลาดเลยสักครั้ง ซึ่งการผ่าตัดในสมัยนั้นส่วนใหญ่จะเป็นการผ่านิ่ว หรือผ่าเอาสิ่งแปลกปลอมออกมาจาก
ร่างกาย
ชื่อเสียงของซุน ยัตเซ็นโด่งดังมากในเวลาสั้นๆ แต่ปรากฏว่าเค้าเปิดกิจการได้ราวครึ่งปี สุดท้ายก็จำเป็นต้อง
ปิดตัวลง เนื่องจากปัญหาหลายอย่างที่ประดังเข้ามา โดยเฉพาะบรรดาหมอชอบโปรตุเกสที่เห็นว่าซุน ยัตเซ็นเข้ามา
แย่งกิจการของพวกตน ถึงพากันโจมตีว่าซุน ยัตเซ็นไม่มีใบอนุญาตให้ทำงานจากรัฐบาลโปรตุเกส เค้าจึงไม่
สามารถรักษาชาติโปรตุเกสที่มีจำนวนมากในมาเก๊าได้ แล้วก็ทำให้ใบสั่งยาของซุน ยัตเซ็นไม่สามารถใช้ซื้อยาใน
มาเก๊าได้เลย เค้าพยายามวิ่งเต้นหลายทางเพื่อกูเอาสิทธิในการทำงานกลับมา แต่ก็ไม่เป็นผล จึงตัดสินใจปิดโรง
พยาบาล แล้วโยกย้ายไปที่กว่างโจวเพื่อหาโอกาสครั้งใหม่
เมื่อออกจากมาเก๊า ซุน ยัตเซ็น กนักถึงความสำคัญของการร่วมทุนและการสนับสนุนของผู้คน เขาจึงเปิดร้าน
ขายยาที่ประตูซีเหมิน เมืองกว่างโจว โดยขายทั้งอยากกินและยาฝรั่ง ปรากฏว่ากิจการที่นี่เจริญเติบโตก้าวหน้ามาก
อย่างที่ตัวเขาเองก็คงไม่ได้คาดคิดไว้และต่อมายังมีเหตุการณ์รักษาผู้ป่วยที่ทำให้ชื่อเสียงของเค้าโด่งดังขึ้นมาอีก
ชื่อเสียงของซุน ยัตเซ็นดังไปทั่วกว่างโจวและเซียงซาน มีผู้เจ็บป่วยแทบทุหรืดับตั้งแต่คนยากไร้ไปจนถึงระดับ
ข้าหลวงมณฑล พากันมาต่อคิวให้รักษาและแจกจ่ายยา บ้างก็เชิญซุน ยัตเซ็นไปรักสาถึงจวนข้าหลวง ได้รับเชิญจาก
นายทหารผู้ใหญ่ให้รักสาคนในครอบครัว กล่าวกันว่าเพียงปีเดียวเขามีรายได้มากกว่า 10,000 หยวน ซึ่งหากเขาไป
รับราชการตั้งแต่แรก ก็จะไม่มีอะไรได้มากถึงขนาดนี้แน่ แล้วเนื่องจากมีรายได้มากพอสมควร ซุน ยัตเซ็น จึงไม่คิด
ค่ารักษากับผู้ป่วยที่
8
จากปฏิรูป
มุ่งสู่
การปฏิวัติ
9
4 โจรกบฏ และกลุ่มมิตรสหาย
ช่วงชีวิตวัยหนุ่มของซุน ยัตเซ็นที่วิทยาลัยการแพทย์ตะวันตกน่าจะเป็นช่วงที่มีสีสันคึกคักในด้านความคิดและการ
แสดงออก เพื่อวิพากษ์วิจารณ์สำหรับเจ้าตัวมากที่สุดช่วงหนึ่งซุน ยัตเซ็น ถึงกับถือตัวเองว่าเป็นเสมือน “หงซิ่วเฉวียนคน
ที่สอง” แสดงถึงความคิดที่เป็นปฏิปักษ์ต่อราชวงศ์ชิงอย่างชัดเจน ที่วิทยาลัย ซุน ยัตเซ็น ยังได้รับฉายาว่าเป็นบัณฑิตขี้
โม้อีกด้วย
ในระหว่างที่ ซุน ยัดเซ็น พำนักอยู่ในฮ่องกงก็ได้พบปะกับเหล่านักศึกษาที่มีแนวความคิดเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่
ประชาธิปไตย ซึ่งซุนได้เริ่มตั้งกลุ่มขึ้นโดยใช้ ชื่อเล่นว่า " สี่สหาย " ที่วิทยาลัยการแพทย์ฮ่องกง การตั้งกลุ่มสี่สหายได้มี
การแลกเปลี่ยนความคิดกันและโต้เถียงปัญหาการเมืองซึ่งทำให้ซุนเริ่มมีแนวความคิดต่อต้านการปกครองของ ราชวงศ์
ชิง ขึ้นซุน ยัตเซ็น และเหล่าสหายยังมีความคิดเห็นตรงกันว่า ควรป่าวประกาศความคิดให้ออกไปในวงกว้าง โดยเริ่มจาก
มิตรสหายคนใกล้ชิด โดยข้อเสนอแรกๆคือ ให้เลิกเคารพต่อราชสำนักชิง
แน่นอนว่าพฤติกรรมและการแสดงออกของพวกเขาเข้าข่ายผิดกฎหมาย ผู้ใหญ่หลายคนก็ไม่เห็นด้วย แต่ที่จริงแล้ว
กลุ่มนักศึกษาวัยรุ่นแค่4 คน ในเกาะฮ่องกงก็ไม่ได้เป็นเป้าสำหรับเจ้าหน้าที่ทางการเท่าไรนัก เพราะเวลานั้นในประเทศ
จีนยังมีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นอีกมาก
ภาพของซุน ยัตเซ็น (นั่งคนที่สองจากซ้าย) และสมาชิกปฏิวัติสี่สหาย ได้แก่ ยึงฮกลิง (ซ้าย), ชานซิว
บาก (นั่งคนที่สองจากขวา), เยาลิต (ขวา) และ กวน จิงเลี่ยง (ยืน) ที่วิทยาลัยการแพทย์ในฮ่องกง
ที่มาภาพ https://1th.me/gtBwh
10
เขียนฎีกาขอร้องการปฏิรูปประเทศ
ซุน ยัดเซ็น เวลานั้นมีความคิดอ่านปฏิวัติบ้างแล้ว ยังไม่ถึงขั้นเป็นนักปฏิวัติประชาธิปไตย เขาได้รับแรงดลใจจาก
แนวความคิดลัทธิปฏิรูปที่แพร่หลายอยู่ในประเทศจีนชั่วขณะหนึ่งโดยฝากความหวังไว้กับขุนนางผู้ใหญ่บางคนของชน
ชั้นปกครองก้าวไปตามวิถีทางของลัทธิปฏิรูปด้วยคิดว่าความคิดอ่านของตนอาจได้รับความเห็นขอบจากขุนนางผู้ใหญ่
บางคน
ครั้นแล้วฤดูร้อนปี ค.ศ. 1894 ซุน ยัดเซ็น ขอเข้าพบขุนนางผู้ใหญ่ หลี่ หงจาง ขุนนางคนสำคัญของราชสำนักชิงผู้
ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งกุมอำนาจทางการทหาร การบริหารและการทูตของราชสำนักชิงอยู่ในเวลานั้น โดยการ
เสนอให้ปฏิรูปการปกครอง แต่ซุนก็ไม่เคยมีแม้กระทั่งโอกาสที่จะได้เข้าพบหลี่หงจาง ซ้ำความคิดเห็นของเขาก็มิได้รับ
ความสนใจเอาเลย ขุนนางผู้ใหญ่ศักดินาที่เป็นขี้ข้าและนายหน้าค้าต่างของจักรวรรดินิยมหรือ จะสามารถรับข้อเสนอที่มี
ลักษณะก้าวหน้าในยุคนั้นได้
เมื่อถูกปฏิเสธครั้งแรก ซุนได้ร่างฎีกาเป็นหนังสือเรียกร้องขอให้มีการปฏิรูปประเทศ หนังสือที่เขาเขียนถึงหลี่นั้น มี
ความยาวถึงแปดพันคำ กล่าวโดยสรุปสาระสำคัญของบันทึกฉบับนี้คือ ฝากความหวังไว้กับคนชั้นสูงของชนชั้นปกครอง
ให้ดำเนินมาตรการปฏิรูปของชนชั้นนายทุนบางประการและเรียกร้องให้มีการนำหลักประชาธิปไตยมาใช้ และในปี
เดียวกันซุนได้พยายามถือฎีกาเดินทางขึ้นไปยังปักกิ่งเมืองหลวงเพื่อส่งจดหมายถึง หลี่ หงจาง โดยซุน ยัดเซ็น ต้องการ
เสนอแนวทางการพัฒนาจีนให้กับเขา แต่กลับถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย หลี่ หงจางได้ฉีกฎีกาจดหมายนั้นลงถังขยะ พร้อม
ทั้งกล่าวเหยียดหยันซุน ยัดเซ็น ว่าเป็นคนไม่มีสัมมาคารวะ
ร่วมก่อตั้งสมาคมฟื้ นฟูจีน(สมาคมซิงจงฮุ่ย)
เมื่อถูกปฏิเสธ ซุน ยั
ตเซ็น จึงตระหนักดีว่า การเปลี่ยนแปลงจีนให้หลุดจากการปกครองของราชวงศ์ชิง นั้นไม่
สามารถทำได้ด้วยวิธีอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่จำเป็นต้องกระทำการแบบ "พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน" อันหมายถึง "การใช้
กำลังปฏิวัติ" ดังนั้น ในฤดูหนาวปีเดียวกัน ซุน ยัตเซ็น จึงเดินทางกลับไปยังฮาวาย โดยมีแนวความคิดที่จะรวบรวมชาวจีน
โพ้นทะเลผู้รักชาติขึ้น ดังนั้นในปีเดียวกันท่านและลู่ เฮาตง สหายของท่านได้ก่อตั้งองค์การจัดตั้งการปฏิรูปขึ้นมาหรือที่
เรียกว่า "สมาคมซิงจงฮุ่ย" ที่มีความหมายว่า "ฟื้ นฟูประเทศจีน" ขึ้น ทั้งนี้เงินทุนสนับสนุนสมาคมดังกล่าวก็มาจาก ซุนเหม
ย พี่ชายของท่าน และตั้งแต่นั้นมาซุนยัตเซ็นก็ได้เริ่มชีวิตที่เปลี่ยนไป ท่านได้ทำการต่อสู้กับราชสำนักชิง โดยหวังว่า
ประเทศจีนจะสามารถกลายเป็นประเทศที่เป็นอิสระ เสมอภาค และมั่นคง เขาค่อย ๆ รู้สึกว่า วิถีทางปฏิรูปโดยสันตินั้นจะมี
ประโยชน์อันใด จำเป็นต้องใช้วิธีการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานแทนวิธีการปฏิรูปเพียงส่วนหนึ่ง
ในปีเดียวกันสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง ได้ระเบิดขึ้น สงครามครั้งนี้เหล่าทหารหาญจีนได้ต่อสู้อย่างทรหดและ
ห้าวหาญ แต่รัฐบาลราชวงศ์ชิงที่เหลวแหลก และไร้สมรรถภาพมิกล้าทำสงครามอย่างเด็ดเดี่ยวทำให้ฝ่ายจีนต้องได้รับ
ความเสียหายอย่างหนัก สร้างความสะเทือนใจ และเคียดแค้นให้แก่มวลชนทั่วประเทศ บัดนั้นเอง ซุนยัดเซ็นรู้สึกอีกครั้ง
หนึ่งว่า ประเทศจีนกำลังเผชิญกับวิกฤตของประชาชาติอย่างหนัก ยิ่งกว่านั้นเขาได้สำนึกว่า สันติวิธีนั้นใช้การไม่ได้เลยจึง
จำเป็นต้องใช้วิธีการรุนแรงโดยการปฏิวัติเท่านั้น ที่เป็นวิถีทางเดียวที่จะแก้วิกฤติของประเทศจีนได้ ซุน ยัดเซ็นได้เดิน
ทางไป อเมริกาด้วยอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เขาได้ติดต่อและปลุกระดมชาวจีน ในตอนแรกคนที่สนับสนุน
ความคิดอ่านของเขานั้นมีอยู่เพียงไม่กี่คนจัดตั้ง สมาคมเพื่อการปฏิวัติครั้งแรกจึงเป็นชนชั้นที่เป็นกลุ่มของชนชั้น
นายทุนที่มีความรู้
ด้วยความมานะในการเคลื่อนไหวซึ่งในที่สุดเขาก็ได้รับการสนับสนุนจากคนจำนวนหนึ่งทำการก่อตั้งสมาคมซิงจงฮุ่ย
(ฟื้ นฟูจีน) ซึ่งเป็นสมาคมปฏิวัติขนาดเล็กของชนชั้นนายทุนช่วงแรก ๆ ของจีน และเปิดการประชุมที่ฮอนโนลูลู ที่ประชุม
ได้มีมติผ่านร่างระเบียบการของสมาคมที่ซุนเป็นผู้ร่าง ในระเบียบการระบุว่า
"ประเทศจีนตกอยู่ภาวะคับขัน ปัจจุบันมีศัตรูล้อมรอบคอยจ้องตะครุบทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ของจีน โดย
เหล่าศัตรูพากันรุมเข้ามารุกรานและยึดครองจีน แล้วดำเนินการแบ่งสันปันส่วนอันเป็นสิ่งน่าวิตกอย่างยิ่ง พร้อมกันนั้นก็
ประนามชนชั้นปกครองราชวงศ์ชิงที่โง่เขลาและไร้สมรรถภาพว่า ฝ่ายราชสำนักก็โอนอ่อนผ่อนตาม ส่วนขุนนางหรือก็โง่
เขลาเบาปัญญา ไม่สามารถมองการณ์ไกล ทำให้ประเทศชาติต้องเสียทหาร ได้รับความอัปยศอดสูพวกขี้ข้าพาให้บ้าน
เมืองสู่ความหายนะ มวลชนต้องได้รับเคราะห์กรรมทนทุกข์ทรมานไม่มีวันโงหัว การก่อตั้งสมาคมนี้ขึ้นก็เพื่อกอบกู้ชาติ
บ้านเมือง ผดุงไว้ซึ่งศักดิ์ศรี เพื่อรวบรวมประชาชนจีนทั้งใน และนอกประเทศ เผยแพร่อุดมการณ์กู้ชาติ"
ในคำปฏิญาณของผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิกนั้น ยังได้ย้ำอีกว่า จะต้องขับไล่พวกแมนจู ที่ป่าเถื่อนออกไป ฟื้ นฟูประเทศจีน
จัดตั้งสาธารณรัฐอันเป็นความคิดที่มีลักษณะปฏิวัติได้เสนออุดมการณ์ให้โค่นล้มราชวงศ์ชิงซึ่งเป็นทาสรับใช้ของ
จักรวรรดินิยม และสถาปนาสาธารณรัฐ ปกครองโดยประชาธิปไตย มีชนชั้นนายทุนสนับสนุนแบบตะวันตกต่อประชาชน
จีนเป็นครั้งแรก ซึ่งได้กลายเป็นหลักนโยบายอันแรกของการปฏิวัติของชนชั้นนายทุนประเทศจีน
11
การปฏิวัติที่กว่างโจว
ด้วยความรวดเร็ว สมาคมซิงจงฮุ่ย วางแผนการปฏิวัติในทันที และกำหนดเอาวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ.1895 เป็นวัน
ลงมือ โดยแผนการดังกล่าวนั้น ใช้กำลังคน 3,000 คน เพื่อยึดเมือง กว่างโจว เมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง เพื่อใช้เป็น
ฐานในการขยายการปฏิวัติต่อไป โดยในการปฏิวัติดังกล่าว ลู่เฮ่าตง เพื่อนสนิทตั้งแต่ยังเด็กผู้เชื่อมั่นในอุดมการณ์ปฏิวัติ
ของซุน ได้ออกแบบ " ธงฟ้าสีน้ำเงินกับดวงตะวันสีขาว" ไว้ใช้ด้วย (ในเวลาต่อมาธงดังกล่าวได้กลายเป็นธงชาติของ
สาธารณรัฐจีน ) อย่างไรก็ตาม การลงมือปฏิวัติครั้งแรกของซุน กลับล้มเหลวลงอย่างไม่เป็นท่า เนื่องจากมีคนทรยศ นำ
ข่าวไปบอกกับเจ้าหน้าที่ของราชสำนักชิงก่อน ซึ่งก็ทำให้ผู้ร่วมปฏิวัติถูกประหารชีวิตตัดหัวไป 47 คน รวมถึง ลู่เฮ่าตง ส่วน
ดร.ซุนซึ่งไหวตัวทันก่อนจึงได้รอดชีวิตและหลบหนีได้สำเร็จ หลังจากการปฏิวัติในกว่างโจวประสบความล้มเหลว ซุนได้
สลายผู้ที่มาร่วมก่อการอย่างสุขุม จากนั้นเขาก็เดินทางโดยทางเรือออกจากกว่างโจว ผ่านฮ่องกงไปลี้ภัยที่ประเทศญี่ปุ่น
แล้วก็ก่อตั้งสาขาสมาคมซิงจงฮุ่ยขึ้นที่โยโกฮามา ซุนก็ตัดผมหางเปียแบบแมนจูทิ้ง เปลี่ยนเครื่องแต่งกายมาใส่สูทแบบ
ชาวตะวันตกเพื่อแสดงถึงความเด็ดเดี่ยวในการปฏิวัติ และเดินทางไปประเทศต่าง ๆ เพื่อปลุกระดมชาวจีนให้เข้าร่วมการ
ปฏิวัติ
หลังจากตั้ง สาขาซิงจงฮุ่ย ขึ้นที่ญี่ปุ่น เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1896 ซุนก็เดินทางต่อไปยังสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ
เพื่อศึกษาแนวคิดทางการเมืองของประเทศต่าง ๆ ในสหรัฐฯ และ ยุโรป โดยได้รับความช่วยเหลือจาก ดร.เจมส์ แคนต์ลี
(Dr. James Cantlie) อาจารย์ชาวอังกฤษที่เคยสอนเขา ณ วิทยาลัยการแพทย์ในฮ่องกง และได้รับการสนับสนุนทางการ
เงินจากพี่ชายคนเดิม
"ธงท้องฟ้าสีคราม ตะวันสาดส่อง" ซึ่งใช้เป็นธงของสมาคมซิงจงฮุ่ยในการปฏิวัติที่กว่างโจว
สมาคมถงเหมิงฮุ่ย ที่มาภาพ https://1th.me/alJMa
ระหว่างที่ซุนเคลื่อนไหวเพื่อสร้างกระแสการปฏิวัติจีนนั้น ในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศจีนก็มีความเคลื่อนไหวจากคน
กลุ่มต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน เพียงแต่กลุ่มอื่นนั้นเป็นเป็นเพียงกลุ่มที่กระจุกแต่เพียงในพื้นที่นั้น ๆ มิได้มีการคิดการใหญ่ซึ่ง
ครอบคลุมไปทั่วประเทศ และที่สำคัญไม่มีหลักการพื้นฐานของการปฏิวัติที่แน่ชัด ดังเช่น ลัทธิไตรราษฎร์ของ ซุน ยัตเซ็น
จนในเดือน สิงหาคม ปี ค.ศ. 1905 ก็มีการประกาศรวมกลุ่มผู้สนับสนุนการปฏิวัติจีนที่ชื่อ สมาคมพันธมิตรปฏิวัติ
จีน ขึ้นอย่างเป็นทางการ โดย "ถงเหมิงฮุ่ย" นี้มีจุดมุ่งหมายในการปฏิวัติล้มราชวงศ์ชิง โดยยึดหลักการของลัทธิไตร
ราษฎร์ โดยศูนย์กลางของถงเหมิงฮุ่ยนั้น อยู่ที่เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
จากกระแสความไม่พอใจของประชาชนต่อราชสำนักชิงที่พุ่งขึ้นสูง ส่งผลให้ภายในระยะเวลาแค่หนึ่งปี ถงเหมิงฮุ่ย
รวบรวมสมาชิกได้มากกว่าหมื่นคน มีการเปิดหนังสือพิมพ์เพื่อ ปลุกระดม และเผยแพร่ ลัทธิไตรราษฎร์ และที่สำคัญ
พยายามลงมือกระทำการปฏิวัติต่อเนื่อง
12
จดหมายลายมือพร้อมตราประทับของซุน ยัตเซ็น ในการก่อตั้งสมาคมถงเหมิงฮุ่ยในฮ่องกง
ที่มาภาพ https://1th.me/koPhJ
ภาพวาด ดร.ซุน ยัตเซ็น ขณะกล่าวปราศรัยท่ามกลางบรรดาเหล่านักปฏิวัติ
หลังจากที่ประชุมมีฉันทามติลงความเห็นให้จัดตั้งขบวนการถงเหมิงฮุย
ที่มาภาพ https://1th.me/AOsvB
13
การ
ปฏิวัติ
ซินไฮ่
14
เหตุการณ์ปฏิวัติซินไฮ่ (Xinhai Revolution) ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในเดือนตุลาคม ค.ศ.1911 อันเป็นการปฏิวัติเพื่อโค่น
ล้มราชวงศ์ชิง และระบอบฮ่องเต้ของจีน
ดร.ซุนยัตเซน และคณะปฏิวัติถงเหมิงฮุ่ย
รวมตัวกันที่หน้าสุสานของจักรพรรดิราชวงศ์หมิง
ที่มาภาพ https://1th.me/bKM4K
โดยในเดือนธันวาคม ค.ศ.1911 ดร. ซุนยัตเซ็นได้รับการแต่งตั้งจากคณะปฏิวัติ ให้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี
เฉพาะกาลคนแรกของจีน
ปฏิทินของสาธารณรัฐจีน มีรูปของ ดร.ซุนยัตเซน
ในฐานะประธานาธิบดีเฉพาะกาล และธงชาติของสาธารณรัฐจีน
ที่มาภาพ https://1th.me/bKM4K
15
ในที่สุดเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1912 การปฏิวัติซินไฮ่ประสบความสำเร็จ ระบอบฮ่องเต้ของจีนที่ยาวนานกว่า
3,000 ปี ถึงกาลล่มสลาย พร้อมกับการสถาปนาสาธารณรัฐจีน (Republic of China) ปกครองแผ่นดินนับแต่นั้น
หลังจาก ซุน ยัตเซ็น ได้รับการตั้งแต่งให้นั่งเป็นประธานาธิบดีชั่วคราว ซึ่งต่อมาต้องพบปัญหาหลายด้านรุมเร้า เช่น
ภาวะการคลังของจีนที่ขาดดุลเรื้อรังมาตั้งแต่สมัยปกครองโดยราชวงศ์ชิง โดยเฉพาะการต้องเสียค่าปฏิกรรมสงคราม
ให้กับต่างชาติตามสนธิสัญญาที่เรียกว่า Boxer Protocol, โครงสร้างในการปกครองที่ยังไม่ลงตัว, ฮ่องเต้จีนองค์
สุดท้ายที่คงใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังต้องห้าม และที่เป็นจุดอ่อนที่สำคัญมากสำหรับรัฐบาลยุคที่ ดร.ซุน เป็น
ประธานาธิบดีคือ การขาดกำลังทหารซึ่งหมายถึงด่านหน้าของความมั่นคงของรัฐบาล
จนกระทั่งหลังสิ้นยุคของซูสีไทเฮา หยวนซื่อไข่ หรือ หยวนซื่อข่าย ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น "บิดาแห่งลัทธิขุนศึก" ก็ขึ้น
มากุมกองกำลังทหารทั้งหมดของภาคเหนือ และในเวลาต่อมาได้กดดันให้ ดร.ซุน ต้องยอมยกตำแหน่งประธานาธิบดี
ให้ โดยหลังจากลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีชั่วคราว ดร.ซุน หันไปทุ่มเทให้กับการศึกษาเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจจีน
แทน ในยุค หยวนซื่อไข่ อำนาจการการปกครองกลับอยู่ในมือคนเพียงคนเดียว แทนที่จะเป็นของประชาชนจีนทั้งมวล
หยวน ไม่ยอมละทิ้งระบอบกษัตริย์โดยพยายามตั้งตัวเป็น "ฮ่องเต้" แต่แล้วก็ไปไม่รอด จนในปี 1916 หยวนซื่อไข่ เสีย
ชีวิตลงด้วยโลหิตเป็นพิษ ประเทศจีนก็ย่างเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายที่เรียกว่า "ยุคขุนศึกภาคเหนือ" อย่างเต็มตัว
หยวนซื่อข่าย ประธานาธิบดีคนแรกของจีน
ที่มาภาพ https://1th.me/bKM4K
ต่อมาในปี ค.ศ.1917 รัฐบาลเป่ยหยาง (รัฐบาลของสาธารณรัฐจีนในกรุงปักกิ่ง) เกิดความแตกแยกและแย่งชิง
อำนาจกัน ก่อให้เกิดเป็นยุคสมัยขุนศึก (Warlord Era) ยุคสมัยที่แผ่นดินจีนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
แผนที่ของจีนในยุคสมัยขุนศึก โดยศูนย์กลางอำนาจของ ดร.ซุนยัตเซน
และก๊กมินตั๋ง อยู่ทางใต้ของจีน (สีน้ำเงิน)
ที่มาภาพ https://1th.me/bKM4K
16
หลังความล้มเหลวดังกล่าวทำให้ ดร. ซุน ผู้ซึ่งต่อสู้เพื่อการปฏิวัติมา 20 ปี หมดกำลังใจ จนครั้งหนึ่งถึงกับรำพึง
กับคนสนิทว่า "บางทียุคสาธารณรัฐ อาจจะย่ำแย่กว่ายุคที่จีนปกครองด้วยระบอบกษัตริย์เสียด้วยซ้ำ"
อย่างไรก็ตามด้วยความมุ่งมั่นในการประกอบภารกิจที่ยังไม่สำเร็จ ดร.ซุน ยังพยายามโค่นเหล่าขุนศึกภาคเหนือ
ต่อไป ในปี 1919 ดร.ซุนได้ร่วมก่อตั้ง "พรรคก๊กมินตั๋ง" ขึ้น (Kuomintang : พัฒนามาจากขบวนการถงเหมิงฮุ่ยเดิม)
โดยมีอำนาจอยู่ทางตอนใต้ของจีนซึ่งต่อมามีความร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน (ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ.1921)
ดร.ซุนยัตเซน และทหารของรัฐบาลก๊กมินตั๋ง
ที่มาภาพ https://1th.me/bKM4K
ท้ายที่สุดในปี ค.ศ.1925 ดร. ซุนยัตเซ็นได้เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งตับ โดยไม่ได้เห็นผลจากความพยายามมา
ชั่วชีวิตของเขา ผู้สืบทอดอำนาจต่อจากเขาก็คือ เจียงไคเช็ค (Chiang Kai-shek) ซึ่งต่อมาเขาจะเป็นผู้ที่รวบรวมแผ่น
ดินจีนที่แตกแยกจากยุคขุนศึกให้เป็นปึกแผ่นอีกครั้ง
เจียงไคเช็ค ผู้สืบทอดอำนาจต่อจาก ดร.ซุนยัตเซน
ที่มาภาพ https://zhort.link/gLZ
17
ก่อนเสียชีวิต ดร.ซุนได้ทิ้งคำสั่งเสียไว้โดยมีใจความสำคัญว่า " จีนต้องการอิสระและความเท่าเทียมกันจาก
นานาชาติ ประสบการณ์ 40 ปีที่ผ่านมาของข้าพเจ้า สอนข้าพเจ้าว่า ในการบรรลุเป้าหมายในการปฏิวัติ เราจะต้อง
ปลุกประชาชนให้ตื่นขึ้นมา การปฏิวัติยังไม่เสร็จสิ้นขอให้สหายทั้งหลายของเราดำเนินการตามแผนการของข้าพเจ้า
ต่อไปเพื่อฟื้ นฟูบูรณะชาติของเราขึ้นมา" (หมายเหตุ : คำสั่งเสียดังกล่าวบันทึกโดย วังจิงเว่ย คนสนิทของ ดร.ซุน ที่
ต่อมาขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำของพรรคก๊กมินตั๋ง
หลังจากเสียชีวิต ศพของ ดร.ซุนยัดเซ็น ถูกนำไปตั้งไว้ชั่วคราวที่ วัดเมฆหยก (ปี้ หยุนซื่อ) ตีนเขา เซียงซาน
บริเวณเทือกเขาด้านตะวันตก ชานกรุงปักกิ่ง เพื่อรอเวลาในการสร้าง สุสานซุนจงซาน ที่หนานจิงให้เสร็จสิ้น (ทั้งนี้
"ซีซาน" อันเป็นสถานที่ตั้งศพชั่วคราวของ ดร.ซุน ยัดเซ็น นี้ในเวลาต่อมาระหว่างการแย่งอำนาจในพรรคก๊กมินตั๋ง
สมาชิกก๊กมินตั๋งกลุ่มขวาเก่า ได้นำมาตั้งเป็นชื่อกลุ่มว่า "กลุ่มซีซาน" เพื่อแสดงความใกล้ชิด และแสดงว่าตนเป็น
ทายาทของ ดร.ซุนที่แท้จริง)
ดร. ซุนยัตเซ็นกลายเป็นบุคคลสำคัญ ที่ชาวจีนทั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน (จีนแผ่นดินใหญ่) และสาธารณรัฐ
จีน (ไต้หวัน) ล้วนให้ความเคารพในฐานะบิดาผู้สร้างชาติจีน มาจนถึงปัจจุบัน
中山陵สุสานซุนจงซาน ()
สถานที่ฝังศพของ ดร. ซุน ยัดเซ็น
ที่มาภาพ https://zhort.link/gLX
ปัจจุบัน สุสานซุนจงซาน มีขนาดใหญ่โตกว่า สุสานหมิง ที่อยู่ข้างๆอย่างเห็นได้ชัด โดยมีขนาดพื้นที่กว้างขวาง
ถึง 8 หมื่นตารางเมตร โดยสุสานถูกออกแบบและสร้างให้เป็นทางเดินหินลาดขึ้นไปตามเนินเขาที่ยาวกว่า 323
เมตรกว้าง 70 เมตรซึ่งยังมีอยู่จนถึงปัจจุบัน
บรรณานุกรม 18
China Xinhua News. (20 กันยายน 2564). รำลึก "ซุนยัดเซ็น" วีรบุรุษผู้พลิกแผ่นดินจีน. เข้าถึงได้จาก facebook.com:
https://web.facebook.com/XinhuaNewsAgency.th/posts/1885626471653366/
Histofun Deluxe. (20 กัยยายน 2564). ซุนยัตเซ็น : บิดาแห่งการปฏิวัติและชนชาติจีน. เข้าถึงได้จาก blockdit.com:
https://1th.me/bKM4K
wikipedia. (21 กันยายน 2564). ซุน ยัตเซ็น. เข้าถึงได้จาก wikipedia: https://bit.ly/3tY227s
มัณฑิรา. (2558). ซุน ยัตเซ็น. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์แสงดาว.
ยศไกร ส.ตันสกุล. (2562). SUN YAT-SEN. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แสงดาว.
เสถียร จันทิมาธร. (2562). วิถีแห่งอำนาจ ซุนยัตเซ็น. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน.
19
จัดทำโดย
นางสาว อาริสา ธัญญะภู
6210121228006
นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาสังคมศึกษา
วิทยาลัยการฝึกหัดครู
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
อาจารย์ที่ปรึกษา
ผศ.ดร. วรรณพร บุญญาสถิตย์
E-book เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ประวัติศาสตาร์สากล
รหัสวิชา 1642314
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564