9
ประเพณีและ
พิธีกรรมของชน
เผ่าอาข่า
คำนำ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (อาร์ตบุ๊ค) เรื่อง 9
ประเพณีและพิธีกรรมของชนเผ่าอาข่า จัดทำขึ้น
มาเพื่อการเรียนรู้ ศึกษาหาข้อมูล และช่วยส่ง
เสริมประเพณีและวัฒนธรรม ของชนเผ่าอาข่า
และข้อมูลบางประการอาจจะเป็นการสร้างขึ้น
ใหม่ตามความเข้าใจของผู้จัดทำ ถ้ามีความผิด
พลาดประการใด ขออภัยมานะที่นี้ด้วย
สารบัญ
ประเพณีชนไข่ 1
4
พิธีสร้างประตูบ้าน 4
พิธีถวายทานให้ผีเปรต 5
พิธีบูชาศาล
พระภูมิเจ้าที่ 5
6
7
พิธีปลูกข้าวเริ่มแรก 9
9
พิธีการทำบุญในไร่ข้าว 10
ประเพณีโล้
ชิงช้า
ประเพณีเชิดชูตำแหน่งรองผู้นำศาสนา
ประเพณีไล่ผีน้ำ
ข้อมูลอ้างอิง
ประเพณีชนไข่ 1
มีขึ้น ภายหลังจากที่มีการอยู่กรรมจากการเผาไฟในไร่ช่วง
กลางเดือน เมษายน ตรงกับเดือนอาข่า “ขึ่มสึบาลา”อาข่าจะ
ประกอบพิธี “ขึ่มสึขึ่มมี้อาเผ่ว” ขึ่มสึแปลว่า ปีใหม่ขึ่มมี่ แปล
ว่า คืนของปีเก่าอาเผ่วแปลว่า บรรพบุรุษผู้ล้วงลับไปแล้ว เมื่อ
รวมกันแล้ว จึงมีความหมายว่า ประเพณีการ ส่งท้ายปีเก่า
ต้อนรับปีใหม่ หรือเรียกอีกอย่างว่า ประเพณีปีใหม่ชนไข่
เนื่องจากประเพณีนี้มีการนําไข่มาใช่ประกอบพิธีและเด็ก ๆ ก็จะมี
การเล่นชนไข่โดยการย้อมเปลือกไข่ ให้เป็นสีแดง และใส่ตะกร้า
ห้อยไปมา
ประเพณีชนไข่ของชาวอาข่าเป็นประเพณีที่มีมาช้านาน ไม่สามารถกําหนด ว่ามีมาตั้งแต่เมื่อใด มีเพียงประวัติที่เล่าต่อกันมาว่า มีผู้นํา
ทางวัฒนธรรม และการปกครอง”และหมอสวดพิธีกรรมที่เรียกว่า “พี้มา” ซึ่งมีบทบาทการปกครองชุมชนได้มีการจัดประชุม ปรึกษา
หารือ ด้านการปกครองชุมชน โดยใช้เนื้อหากฎจารีตตามที่ชนเผ่าอาข่านับถืออยู่ ด้วยเหตุนี้ที่ประชุมจึงมีการเชิญผู้นําทางวัฒนธรรม
และการปกครอง และเชิญหัวหน้าหมอสวดทางพิธีกรรม เพื่อมาหาเรื่องราว เกี่ยวกับพิธีกรรมประเพณีของชนเผ่า โดยเริ่มมี การ
ประชุมตั้งแต่วันที่เริ่มข้างแรม 1 ค่ำจนถึง 14 ค่ำา หรืออาข่า จะเรียกว่า “ลาแจ๊ถี่ หยะ” ช่วงนี้จะมีการหยุด งานทั้งหมด เพราะต้องมี
การประชุมของผู้นําต่างๆ อาข่าจึงเริ่มมีการประกอบ พิธิที่เรียกว่า “ขึ่มเอ้วอาเผ่ว”
วันแรก พิธีช่วงเช่าตรู่ ครอบครัวแต่ละหลังจะไป
ตักน้ำเพื่อใช่ในพิธีกรรม ซึ่งชุมชนได้กำหนดแหล่งน้ำ
บริสุทธิ์ไว้การไปตักน้ำจะ เป็นหญิง หรือชายก็ได้ แต่นิยม
คือ หญิงมากกว่า น้ำที่ตักนั้นเรียกว่า น้ำบริสุทธิ์ “โดยก่อน
ที่มีการตักน้ำต้องมีการล้างหน้าล้างตา ชําระขาให้สะอาด
และทำจิตใจให้บริสุทธิ์และจะเข้าคิวไปการตักเมื่อตักน้ำเสร็จก็
กลับ บ้าน พร้อมทั้งให้แช่ข้าวเหนียวที่จะหุงประกอบพิธีอีก
ทั้งให้ทำความสะอาด สถานที่หน้าบ้าน ภายในบ้านมีการจัด
เก็บของใช้ต่าง ๆ ให้เรียบร่อย เพื่อ ต้อนรับวิญญาณ
บรรพบุรุษที่ล่วงลับ โดยเชื่อว่า วิญญาณบรรพบุรุษที่ล่วง
ลับ จะมารับประทานอาหารที่เซ่นไหว้และเกิดความโชคดี
ดังนั้นผู้ประกอบพิธี ต้องใจเย็น และทำจิตผ่องใส เพื่อให้เกิดบุญกุศล และไม่ให้ผิดขั้นตอน ประกอบพิธีซึ่งผู้ประกอบพิธีนั้นต้องเป็น
ผู้ชายเท่านั้น ห้ามผู้หญิงเป็นผู้ ประกอบพิธีเนื่องจากผู้หญิงไม่เป็นผู้สืบสายวงค์ตระกูล แต่สามารถเป็นผู้เตรียมของใช้ในการทำ
พิธีกรรมได้ยกเว้น ผู้หญิงที่ยกตำแหน่งเท่าผู้ชาย สามารถทำพิธีได้ โดยจะทำพิธีกรรม บริเวณฝั่งงที่นอนของผู้หญิง เพราะเป็นที่เก็บ
อุปกรณ์เซ่นไหว้
2
และเมื่อถึง เวลาเที่ยงวันก็จะมีการเริ่มประกอบพิธี
ซึ่งวันแรกของการทำพิธีจะไม่ใช้ไก่ ตอนหัวค่ำมีการสร้าง
ระเบียงขนาด เล็กประมาณ 12 x 12 นิ้ว จะเป็นพิธีแกะ
เปลือกไข่ของวันที่สองของช่วงเช้า โดยชานระเบียงจะมี
บันได 9 ขั้น จำนวน 4 เสา ใช้อุปกรณ์ไม้ไผ่ เมื่อสร้าง
เสร็จก็จะนําเอาก่อนดินมาวางไว้ 1 ก้อน กลางคืนประมาณ
19.00 น. จะมีการทำพิธี เป็นการล้างอุปกรณ์ล้างเครื่อง
เซ่นไหว้ นั่นเอง เมื่อทำการล้างเสร็จให้นําอุปกรณ์เครื่อง
เซ่นไหว้ไว้ในตู้เก็บเป็นอันเสร็จพิธีวันแรก
และในค่ำคืนของวันนี้ จะมีพิธีกรรม คือหนุ่มสาวจะมีการรอตําข้าวเหนียวที่แช่ไว้ เพื่อห่อเป็นขนมต้ม เพื่อแจกจ่ายให้แขกผู้มาเยี่ยม
โดยตําข้าวเหนียวจากครกกระเดื่อง ซึ่งหนุ่มสาวทุกคน จะรอตํา โดยไม้นอน เมื่อตอนไก่ขันเป็นตัวแรกเชื่อว่าหากผู้ใด เป็นผู้ตําข้าว
เหนียวที่ แช่ไว้เป็นคนแรกก็จะมีบุญ หรือเป็นวันตอนรับ ทักทายของวันปีใหม่นั่นเอง
วันที่ 2 การประกอบพิธีจะเริ่มตั้งแต่เช่าตรู ตอนไก่
ขัน ขั้นตอนการทำพิธีคือ เอากระบอกเหล่าพิธี และ เสียบ
ไม้ขนาดไม้จิ้มฟัน ใส่กระบอกไปมัดติดกับตู้เครื่องเซ่นไหว้
และเทน้ำใส่ถ้วย พร้อมขันเล็กตักน้ำ ใส่หลอดดูดที่ทำด้วย
ไม้ไผ่ชนิดหนึ่ง ปัจจุบัน ใช่ไม้ไผ่อื่นๆ แทนได้ และจะตักน้ำใส่
กระบอกไม้ไผ่เอาไว้นําข้าวสารที่ทำ ตอนเช่าตรู่มาปั้นเป็นลูก
กลมๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว หลายลูกแล้ว ต้มให้
สุก พร้อมกับต้มไข่ 1ใบ ต้มรวมกับข้าวสารเหนียว เพื่อใช้
เป็นข้าว บริสุทธิ์เมื่อสุกแล้วให้คลุกงาดำ ทั้งสองส่วนนี้ใช้
ประกอบพิธีกรรม
โดยจับไก่เพศเมียขนสีดำ 1 ตัว ตักน้ำจากถ้วยที่เตรียม ไว้ล้างไก่ให้บริสุทธิ์ ไก่ต้องใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา จึงต้อง
ทำการชําระล้างไก่ให้บริสุทธิ์โดยรดน้ำที่ขา ลําตัว หัวจุดละ 3 ครั้งถือเป็น การล้างไก่ ให้สะอาด บริสุทธิ์จากนั้นก็ใช้ไม้ที่ทำไว้ตีที่หัวไก่
และบีบคอให้ ตายสนิท การเผาไก่ห้ามใช่น้ำร้อนลวก เมื่อเผาเสร็จแล้วล้างให้สะอาด แล้วชําแหละไก่ สิ่งแรกที่จะเอากระเพาะอาหารที่
ลำคอไก่ออกก่อน แล้วหัก ขาแบออกสองข้างโดยให้ติดลําตัวอยู่ แล้วงัดอกไก่ออกมาโดยให้เครื่องใน ไก่ติดกับโครงไก่ไว้ แล้วล้าง
ทำความสะอาดสับชิ้นส่วนต่างๆ ของไก่เพื่อ บูชา คือ ตับ น้องไก่ เนื้ออกไก่ แล้วใช้ถ้วยรองรับที่เตรียม ใส่เกลือ ขิง ข้าวสารเหนียว
เตรียมไว้แล้วแกงให้สุก
3
วันที่ 3 อยู่กรรม (หยุด)
คือการอยู่กรรมต้อนรับฟ้าใหม่ที่
จะมีฝนตกลงมาเป็นครั้งแรกใน
ประเพณีนี้โดยจะมีการปักตาแหลว
เพื่อแสดงให้บุคคลภายนอกรู้ว่า
ทางชุมชนจะมีการ ทำพิธีหากไม่มี
ความจําเป็นก็อย่าเข้ามาในชุมชน
แต่ถ้าเข้ามาแล้วต้องอยู่ให้ครบ
งานพิธีจึงจะออกได้ทั้งนี้เพื่อ
ถือว่าเป็นการอยู่กรรมให้เกิดการ
คุ้มครองสูงสุด
วันที่ 4 ในวันนี้จะไม่ใช้ไข่
ไก่ ในการประกอบพิธีกรรม
วันนี้จะทำเหมือนกับวันแรก
ทุกประการ แต่ในค่ำคืนนี้เจ้า
ภาพจะมีการกระทุ้งกระบอก
ไม้ไผ่ตลอดทั้งคืน และจะมี
การเลี้ยงอาหาร สุราตลอด
ทั้งคืนให้กับแขกที่มาเยี่ยม
พิธีสร้างประตูหมู่บ้าน 4
ประตูหมู่บ้าน เป็นศาสนสถานที่สร้างไว้ก่อนเข้าสู่
ชุมชนของชาวอ่าข่า ทางทิศเหนือและทิศใต้ของชุมชน ประตู
หมู่บ้านนี้อ่าข่า ซึ่งบางคนก็นิยมเรียกประตู หมู่บ้านนี้ว่า ประตูผี
พิธีปลูกสร้างประตูหมู่บ้านของอ่าข่าจะนิยมทำกันในเดือน
เมษายน ของทุกปีโดยชุมชนจะกำหนดวันฤกษ์ดีขึ้น แล้วทำการ
ปลูกสร้างอ่าข่า มีความเชื่อต้อการปลูกสร้างประตูหมู่บ้าน าทำ
เพื่อป้องกันสิ่งไม่ดีหรือสิ่งเลวร้ายที่อาจมาเยือนในชุมชน รวม
ไปถึงถูตผีปีศาจ และโรคภัยไข้ เจ็บต่างๆ ถือเป็นรั้วในการป้องกัน
และคุ้มครองคนในชุมชน ตลอดจนการปลูกสร้างประตูหมู่บ้าน
ยังเป็นตัวที่บอกถึงอายุการก่อตั้งของหมู่บ้านอ่าข่าอีกด้วย
ส่วนในการประกอบพิธีกรรม ก็จะใช้เวลาเพียง 1 วัน ข้างๆประตูหมู่บ้านจะมีตุ๊กตาคน เพศชาย และเพศหญิง จัดวางอยู่ ซึ่งเป็นการ
แสดงถึงต้นกําเนิดของ ชาวอ่าข่า ในการสร่างประตูหมู่บ้านจะมีการแกะสลัก รูปร่างต่างๆ แล้วติดไว้บนคานไม้ข้างบน อาจเป็นลูกข้าง ปืน ดาบ
นกเป็นต้น การแกะสลักรูปต่างๆ นี้บอกถึงวิถีชิวิตและพิธีกรรมของอ่าข่าโดยรวม เช่น ลูกข้างบ่งบอกถึง พิธีกรรมประเพณีของอ่าข่า ปืนและ
ดาบก็เป็นของใช้ในชีวิตประจําวันของอาข่า ส่วนนกนั้นอ่าข่าเชื่อว่าเป็นนกที่ คอยมาบอกถึงภัย ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในชุมชน นี่เป็นความเชื่อของ
อ่าข่าในการแกะสลักรูปเหล่านี้มาติดไว้บนคาน ประตูหมู่บ้าน แต่หลังๆ เริ่มมีการนํารูปเครื่องบินมาประดับด้วย เชื่อว่าเป็นผลมาจากการพัฒนา
ทางเทคโนโลยี ของสังคมเมือง จึงทําให้อ่าข่าเองตื่นตัว และเริ่มปฏิบัติเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน หลังจากปลูกสร้าง ประตูหมู่บ้าน
เสร็จก็จะมีการสานไม้ไผ้แล้วนํามาประดับรอบๆ ประตูหมู่บ้าน และจะติด ตาแหลว ไว้ตามต้นไม้ที่ ขึ้นอยู่รอบๆประตูหมู่บ้าน เพื่อห้ามไม่ให้ใคร
มาตัดหรือทําลายเด็ดขาด
อาข่า เป็นชนเผ่าที่มีความเชื่อในเรื่องวิญญาณ พิธีถวายทานผีเปรต
ภูตผีปีศาจ ไสยศาตร์สิ่งเร้นลับพิธีกรรม คําสอนที่ ได้รับ
การปลูกฝังมาจากบรรพบุรุษ และสืบทอดปฏิบัติตามอย่าง
เคร่งครัด เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องทำพิธีเพราะ อ่าข่ามีความ
เชื่อว่า คนที่เป็นไข้หรือไม่สบายนั้น เกิดจากผีเข้าสิงในร่าง
ของมนุษย์จึงต้องทำพิธีเลี้ยงผีดังเช่นพิธี ถวายทานให้ผี
เปรตนี้พิธีถวายทานให้ผีเปรต เป็นพิธีกรรมที่ชาวอ่าข่าได้
ปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ไม่มีการระบุว่า เกิดขึ้น
เมื่อใด ซึ่งการประกอบพิธีกรรมนทำเพื่อเชื้อเชิญวิญญาณ
เจ้าเมือง ทาส ผีเปรต ของเผ่าต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในชุมชน
ออกจากชุมชนไป รวมทั้งสิ่ง เลวร้าย หรือโรคภัยไข้เจ็บ
ต่างๆ
ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์และสัตว์ไม่ให้มารังครวญในชุมชนอีกต่อไป และที่สําคัญ พิธีกรรมนี้จะทําก็ต่อเมื่อมีโรคระบาดในชุมชน
ไม่ว่าโรคที่เกิดขึ้นกับมนุษย์หรือสัตวเลี้ยง ซึ่งถ้าหากมีโรคมาระบาดในชุมชน ชุมชนนั้นๆก็จะประกอบพิธีถวายทานให้ผีเปรต โดยใช้
เวลาในการประกอบพิธีเพียง 1 วัน ดังนั้นเมื่อถึงวันกําหนดจะประกอบพิธีถวายทานให้ผีเปรต “ค๊าด่าฉี่ เออ”ชุมชนจะเลือกวันฤกษ์ดี
ขึ้นมาจากนั้นก็จะทําการประกอบพิธีซึ่งในการ ประกอบพิธีจะแบ่งได้ 3 รอบดังนี้คือรอบแรกอ่าข่าเรียกว่า “ถี่ข่า” คือการ ประกอบ
พิธีกรรมครั้งที่ 1 จะเริ่มประกอบพิธีหลังจากปลูกสร้างประตูหมู่บ้านแล้ว ประมาณเดือน เมษายน – ตุลาคม รอบที่ 2 อาข่าเรียกว่า
“หยี่ข่า” ประกอบพิธีหลังจากประเพณีไล่ผี “ค้องแย๊ะแย๊ะเออ” หรือออกพรรษาอาข่า ช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม รอบที่
3 อาข่าเรียกว่า “ซึ้มข่า” ประกอบพิธีหลังประเพณีปีใหม่ลูกข่าง “ค๊าท๊องพ๊าเออ” ช่วงระหว่างเดือน มกราคม – มีนาคม
พิธีบูชาศาลพระภูมิเจ้าที่ 5
ศาลพระภูมิเจ้าที่ เป็นศาสนสถานที่สำคัญของ
ชุมชนอาข่าเป็นที่กราบไหว้บูชาของชุมชนอาข่า ศาลพระ
ภูมิเจ้าที่จะมีการสร้างประมาณเดือนเมษายนของทุกปีหลัง
จากปลูกสร้างประตูหมู่บ้านแล้ว และจะมีการบูชา ทุกปี ปี
ละครั้ง หรือถ้าปีไหนมีโรคระบาดเยอะ หรือมีเหตุการณ์ที่
ไม่คาดฝันมาเยือนชุมชนบ่อยๆก็อาจประกอบ พิธี 2 ครั้ง
ใน 1 การประกอบพิธีกรรมที่ศาลพระภูมิเจ้าที่จะใช้เวลา
เพียง 1 วันโดยก่อนที่จะมีการทำพิธีหัวหน้าครัวเรือนทุก
ครัวเรือนจะต้องไปรวมตัวกันที่บ้านของผู้นําศาสนามี
การเตรียมเครื่องหรืออุปกรณ์ในการเซ่นไหว้ต่างๆให้พร้อม
จากนั้นก็จะเดินทางไปบริเวณที่ก่อตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่ ในการประกอบพิธีกรรมในศาลพระภูมิเจ้าที่ ผู้หญิงหรือแม่บ้าน
จะไม่เข้าร่วมเพราะว่าตามประเพณีของอาข่าผู้หญิง จะไม่ขึ้นในการ ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา นอกจากผู้หญิงที่ได้ผ่านการยก
ตำแหน่ง เทียบเท่าผู้ชายแล้วเท่านั้น จึงสามารถที่จะประกอบพิธีได้แต่เด็กตัว เล็กๆ สามารถไปร่วมรับประทานอาหารได้เมื่อไปถึง
บริเวณศาลทุกคน ก็จะช่วยกันทำความสะอาดบริเวณศาล แล้วเลือกต้นไม้ต้นหนึ่งที่ไม่โต หรือไม่เล็กเกินไปเพื่อจะทำเป็นที่บูชา เมื่อ
เลือกต้นไม้ได้แล้วก็จะมีการ แบ่งงานกัน มีกลุ่มที่ต้องไปตัดไม้ไผ่ เพื่อจะนํามาตบแต่งบริเวณศาล โดยทำเป็นเครื่องประดับ ทุกคนก็
จะช่วยกันสร้างศาลขึ้นมา เมื่อสร้างศาลเสร็จก็จะมี การบูชาเซ่นไหว้ ขอพรเจ้าที่เจ้าป่าให้ดูแลพื้นที่ทำกิน ให้ได้ผลผลิตที่ งอกงาม
ปลอดแมลงต่างๆ ที่จะมารบกวนในพื้นที่ทำกิน หลังจากทำ พิธีและขอพรเสร็จ ทุกคนก็จะร่วมรับประทานอาหารในบริเวณศาล หลัง
จากรับประทานอาหารแล้วก็จะช่วยกันทำความสะอาด แล้วทุกคน ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ถือว่าเสร็จสิ้นพิธีกรรม
พิธีปลูกข้าวเริ่มแรก เป็นพิธีกรรมที่ประกอบการ พิธีปลูกข้าวเริ่มแรก
มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ พิธีนี้จะทำการประมาณเดือน
พฤษภาคมก่อนปลูกข้าวไร่ของทุกปี ประเพณีให้ความหมาย
โดยรวมว่า พิธีปลูกข้าวเริ่มแรก มีนานเล่าถึงความเป็นมา
ของพิธีกรรมนี้ว่าสมัยก่อนคนอาข่าไม่ได้มีข้าวกินและไม่มี
การปลูกข้าวเหมือนปัจจุบัน เนื่องจากขาดพันธุ์ข้าวสำหรับ
การเพาะปลูก แต่คนอาข่าก็มีความฉลาดถ้าเทียบกับสัตว์อื่น
จึงมีการวางอุบายหลอกให้นกกระจอกมากินน้ำ
เพื่อจะนําพันธุ์ข้าวที่ได้จากอึนกมาทําการเพาะปลูกในไร่ พันธุ์ข้าวที่คนอาข่าให้นกไปขโมยมานั้น ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวของเทพเจ้า
นั่นเอง เจอพันธุ์ข้าวที่นกเขาไปขโมยมาจากเทพเจ้าอยู่ในกระเพาะนกเขา อ่าข่าเลยไปบอกให้ผู้นำศาสนาแล้วให้ผู้นำศาสนาเอาพันธุ์ข้าวดัง
กล่าวไปชำระล้างในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ก่อนที่จะทำพิธีปลูกข้าวเริ่มแรกในไร่จนเป็นเหตุทำให้เกิดพิธีปลูกข้าวเริ่มแรกขึ้น จนถึงปัจจุบัน พิธี
ปลูกข้าวเริ่มแรกจะมีการประกอบพิธีอยู่ 2 วันด้วยกัน คือ วันแรกผู้ชายก็จะไปทำความสะอาดที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ศาสนสถาน ทีสำคัญ
อีกที่หนึ่งของอ่าข่า เป็นสถานที่อ่าข่าตักน้ำเพื่อมาใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา น้ำที่ตักมาจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์อ่าข่า ในวันนี้ทุก
ครัวเรือนก็จะมีการประกอบพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ พอตกค่ำผู้นำศาสนาก็จะประกาศข่าวให้ชาวบ้านทุกคนได้รับรู้ อ่าข่าเรียกการประกาศ
ข่าวนี้ว่า เป็นการประกาศให้อยู่กรรมในวันพรุ่งนี้ ห้ามคนในชุมชนออกไปทำงานที่ไหน
6
อยู่กรรม(หยุด) คือการอยู่กรรมต้อนรับฟ้าใหม่ที่
จะมีฝนตกลงมาเป็นครั้งแรกในประเพณีนี้โดยจะมีการอยู่
กรรมในวันที่ 2 ชาวอาข่าจะไม่มีการทำพิธีในวันนี้ เพื่อหลบ
ฝนที่จะตกลงมา ชาวอาข่ามีความเชื่อเรื่องผีน้ำ จึงไม่นิยม
นำทางน้ำเข้าสู่หมู่บ้านและไม่ทำให้ตัวเปียกเพื่อไม่ให้ผีน้ำ
หรือผีร้ายติดตามตัวมาภายในบ้าน
พิธีทำบุญในไร่ข้าว
พิธีทำบุญในไร่ข้าว พิธีนี้จะทำหลังจากทำพิธีปลูก
ข้าวเริ่มแรกประมาณ 1 เดือน หรือ ประมาณ 3 อาทิตย์ของ
อาข่า พิธีนี้ทำขึ้นเพื่อให้ผลผลิตในไร่ข้าวเจริญงอกงาม
ปราศจากสิ่งรบกวน เช่น ตั๊กแตน ปลวก ฯลฯ ในการทำพิธีนี้
ต้องนับวันฤกษ์วันดีของครอบครัว การนับวันเกิดของอาข่า
จะนับตามชื่อสัตว์ 12 ตัวแล้วกำหนดวันที่จะทำพิธีขึ้นมา การ
ประกอบพิธีทำบุญในไร่ข้าวสามารถแบ่งออกได้ 2 ลักษณะคือ
การประกอบพิธีแบบธรรมดาโดยใช้ไก่ และการประกอบพิธี
ขนาดใหญ่โดยใช่หมูส่วนการประกอบพิธีโดยใช่ไก่มีวิธีการทำ
ดังนี้ลำดับแรกจะมีการเตรียมตัว
ในเรื่องสิ่งของที่ต้องใช้ในการทำาพิธีได้แก่ 1.ไข่ 2 ฟอง ต้มให้สุกพร้อมข้าวต้ม 2. ไก่ 1 ตัว ไก่ต้องไม่เป็นไก่ที่ขาด่วนหรือ
ขาดอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 3. แกลบที่ได้จากการต้มเหล้า 4.ชา 5.ขิง เมื่อไปถึงที่ไร่ก็จะไปตัดไม้แล้วปักไว้เหนือศาลที่อาข่าทำไว้ที่ไร้
จากนั้นก็นําไก่มาและเอาน้ำที่ยังไม่ได้ใช่ราดเริ่มที่ขา ปัก หัว ที่ละ 3 ครั้ง แล้วฆ่า พอฆ่าไก่เสร็จแล้วก็จะเอาเลือดไปติดตรงตะกร้า เพื่อ
ให้เจ้าป่าเจ้าเขารู้ถึงการมาทำพิธีในวันนี้และอาข่าเชื่อว่าเป็นการขอขมากรณีที่มีการฆ่างูหนูหรือ สัตว์อื่นๆจนเป็นเหตุให้ตาย ซึ่งการใช้ไก่
ตัวนี้ถือเป็นการชําระล้างให้เกิดความบริสุทธิ์จากนั้นก็ถอนขนจากปีกของไก่ออก 9 เส้นจาก 2 ข้าง แล้วนํามาเสียบรอบๆไม้ที่ปักไว้
เหนือศาล แล้วทำพิธีเซ่นไหว้ โดยถอนขนไก่ลงบริเวณเสาที่ปักไว้ 3 ครั้ง แกะไข่ แล้วเอาเปลือกไข่ลง 3 ครั้ง รวมทั้ง ชา,ขิง และ
ข้าวแกลบที่ได้จากการต้มเหล้า ก็เอาลง 3 ครั้ง เสร็จจากนั้นก็ไปที่ตรงเป็นจอมปลวกหรือใช้ก่อนดิน ถ้าหาจอมปลวกไม่ได้แล้วก็แกะ
ไข่อีก 1 ฟอง พร้อมชา ขิง และข้าวแกลบที่ได้จากการต้มเหล้า แล้วทำพิธีเซ่นไหว้เหมือนที่ทำหน้าศาลอย่าง ละ 3 ครั้ง จากนั้นก็ห่อ
ไข่ทั้ง 2 ฟอง ให้แยกจากกันเพื่อจะนํากลับไปยังบ้านของตน เมื่อห่อไข่เสร็จก็นำตะกร้าที่ใส่ไก่เสียบไว้กับไม้หน้าศาล โดยให้หันไปทาง
ทิศตะวันออกจากนั้นก็เดินทางกลับบ้าน
ประเพณีโล้ชิงช้า 7
ประเพณีโล้ชิงช้า ซึ่งจะมีการจัดขึ้นทุกๆปีประมาณ
ปลายเดือน สิงหาคม ถึงต้นเดือนกันยายนซึ่งจะตรงกับช่วง
ที่ผลผลิตกําลังงอกงาม และพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวในอีกไม่กี่วัน
ในระหว่างนี้อ่าข่าจะดายหญ้าในไร่ข้าวเป็นครั้งสุดท้าย หลังจาก
ดายหญ้าแล้วก็รอสำหรับการเก็บเกี่ยว ตรงกับเดือนของอ่าข่า
คือ“ฉ่อลาบาลา” ประเพณีโล้ชิงช้าของชาวอาข่าถือเป็น
พิธีกรรมที่มีคุณค่ามากด้วยภูมิปัญญาที่ใช้ในการส่งเสริม
ความรู้แล้ว ยังเกี่ยวพันกับการดำรงชีวิตประจำวันของอาข่า
อีกมากมาย
ประวัติความเป็นมาของประเพณีโล้ชิงช้า และหลังจากที่จัดงานประเพณีโล้ชิงช้าเสร็จแล้ว ชุมชนอาข่าก็จะไม่มีการตัดไม้ดิบเข้า
มาในชุมชนอีกไม้ดิบในที่นี้คือไม้ยืนต้น หรือไม้ทุกชนิดที่ยังไม่ได้ถูกตัด ยกเว้นกรณีที่มีคนตายแล้วเท่านั้น จึงถือว่าเป็นวันเข้าพรรษา
ของชาวอาข่าอีกเช่นกัน ในการจัดประเพณีโล้ชิงช้าแต่ละปีของอาข่า จะต้องมีฝนตกลงมา ถ้าปีไหนเกิดฝนไม่ตก อาข่าถือว่าไม้ดี
ผลผลิตที่ออกมาจะไม้งอกงาม ประเพณีโล้ชิงช้า มีระยะเวลาในการจัดรวม 4 วัน ด้วยกัน โดยแต่ละวันมีกําหนดการดังนี้
วันที่ 1 วันเริ่มแรกของพิธีกรรมผู้หญิงอาข่าอาจเป็นแม่
บ้านของครัวเรือน หรือถ้าแม่บ้านไม่อยู่ อาจเป็นลูกสาวไป
แทนก็ได้ ก็จะแต่งตัวด้วยชุดประจําเผ่าเต็มยศแล้วออกไปตัด
น้ําที่บ่อน้ําศักดิ์สิทธิ์ เพื่อจะนํามาใช้ในการประกอบพิธีกรรม
ทางศาสนาน้ําที่ตักมาจากบ่อน้ําศักดิ์สิทธิ์อาข่า การเซ่นไหว้
บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วของแต่ละครอบครัวแต่อาข่าไม่
นิยมให้ผู้ชายไปตักน้ํา เพราะถือว่า เป็นงานของผู้หญิง และ
ในวันนี้ ก็มีการตําข้าวปุ๊ก “ห่อถ่อง”
ข้าวปุ๊ก หรือห่อถ๊อง คือข้าวที่ได้จากการตําอย่างละเอียดโดยก่อนที่จะ ตําก็จะนําข้าวสาร (ข้าวเหนียว) แช่ไว้ประมาณ 1 คืน พอรุ่งเช้า
ก็นํามานึ่ง หลังจากนึ่งเสร็จ หรือได้ที่แล่วก็จะมีการโปรยด้วยน้ําอีกรอบหนึ่ง แล้วก็นึ่งต่อระหว่างที่รอข้าวสุกก็จะมีการตํางาดําผสม
เกลือไปด้วย เพื่อไม่ให้ข้าวเหนียวที่ตําติดมือเวลานํามาปั้นข้าวปุ๊กซึ่งต้องใช้ในการทําพิธีเช่นกัน
8
วันที่ 2 วันสร้างชิงช้า เป็นวันที่ทุกคนจะมา
รวมตัวกันที่บ้านของผู้นําศาสนา เพื่อจะปรึกษา และ
แบ่งงานในการจะปลูกสร้างชิงช้าใหญ่ของชุมชน ในวัน
นี้จะไม่มีการทําพิธีใดๆ ทั้งสิ้น แม้กระทั่ง สัตว์ก็จะไม่ฆ่า
หลังจากที่สร้างชิงช้าใหญ่ของชุมชนเสร็จ ก็จะมีพิธี
เปิดโล้ ชิงช้าโดยผู้นําศาสนาจะเป็นผู้เปิดโล้ก่อน จากนั้น
ทุกคนก็สามารถโล้ได้
วันที่ 3 วันนี้ถือเป็นวันพิธีใหญ่ มีการเลี้ยง
ฉลองกันทุกครัวเรือนมีการเชิญผู้ อาวุโส หรือแขกต่าง
หมู่บ้านมารรวมรับประทานอาหารในบ้านของตน ผู้
อาวุโสก็ จะมี การอวยพรให้กับเจ้าบ้านประสบแต่ความ
สําเร็จในวันข้างหน้า
วันที่ 4 “จ่าส่า” วันสุดท้ายของพิธีกรรม สําหรับ
ในวันนี้จะไม่มีการประกอบพิธีกรรมอะไรทั้งสิ้น นอกจาก
พากันมาโล้ชิงช้า เพราะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้โล้ในปีนี้แต่พอ
ตะวันตกดิน หรือประมาณ 18.00 น ผู้นําศาสนาก็จะทํา
การเก็บ เชือกของชิงช้า โดยการมามัดติดกับเสาชิงช้า
ถือว่าบรรยากาศในการโล้ชิงช้า ก็จะได้จบลงเพียงเท่านี้และ
ขนม หลังอาหารค่ําก็จะทําการเก็บ เครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ
เข้าไว้ที่เดิม หลังจากที่เก็บเครื่องเซ่นไหว้เหล่านี้แล้วถือว่า
เสร็จสิ้นพิธีกรรม ประเพณีโล้ชิงช้า
ประเพณีเชิดชูตำแหน่งรองผู้นำศาสนา 9
ในวันนี้ ผู้ชายเผ่าอาข่าจะนำสำหรับ อาหาร เหล้า เทศกาลโล้ชิงช้าผ่านไป 13 วัน หรือ 1
รอบสัปดาห์ของอ่าข่า ก็จะมีประเพณียอลาอ่าเผ่ว ประเพณี
เนื้อดิบ และเนื้อสุก ยกมาไหว้รองผู้นำศาสนา หรือผู้นำ นี้จะจัดขึ้นประมาณเดือนกันยายนของทุกปีตรงกับเดือนอา
ศาสนาคนเก่า เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ และจะมีการ ข่าคือยอลาบาลา โดยจะประกอบพิธีกรรมเป็นระยะเวลา 2
วัน มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของประเพณีนี้ว่า
เลี้ยงฉลองให้แขกผู้มาเยี่ยมเยือน
เกิดขึ้นเนื่องจากในชุมชนอ่าข่า นอกจากจะมีผู้นําศาสนา
หรือที่อาข่าเรียกว่า “โจว่มา” แล้ว ในชุมชนอ่าข่าก็ยังมีรอง
ผู้นําศาสนา อ่าข่าเรียกตําแหน่งนี้ว่า โจ่วหย่า เป็นบุคคลที่
เคยดำรงตําแหน่งเป็นผู้นําศาสนา โจ่วมา ในอดีต ดังนั้น
ประเพณียอลา อ่าเผ่วจึงจัดขึ้นมาเพื่อเชิดชูอดีตผู้นํา
ศาสนา
พิธีไล่ผีน้ำ เทศกาล ค้องแย๊อ่าเผ่ว เป็นเทศกาลที่จัดขึ้น
ประมาณ เดือนตุลาคมของทุกปีซึ่งจะตรงกับช่วงที่พืช
พันธุ์ที่ปลูกลงไปในไร่มีผลผลิต และเริ่มที่จะเก็บเกี่ยวได้
แล้วอาทิเช่น แตงโม แตงกวา พืชผักต่างๆ เทศกาลนี้จัด
ขึ้นมาเพื่อขับไล่สิ่งไม่ดีออกจากชุมชน อาทิเช่น ภูตผีปีศาจ
ที่มาอาศัยอยู่ในชุมชน รวมไปถึงโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ โดยมี
การแกะสลักไม้เนื้ออ่อนเป็นดาบ หอก ปืน เป็น
เครื่องหมายที่ใช้ในการขับไล่สิ่งไม่ดีออกจากชุมชน มีการ
ตะโกนร้องดังๆ โดยเด็กๆในหมู่บ้านจะมีการแต่งหน้า โดยใช้
สีให้ดูน่ากลัวที่สุด ส่วนในมือนั้นถือดาบหรือหอกที่ทำจาก
ไม้ที่มีลวดลายการตบแต่งอย่างละเอียด เด็กๆก็จะรวมกัน
เป็นกลุ่มหลายๆ คน
เดินเข้าไปในแต่ละบ้าน โดยจะเข้าทางประตูหน้าและตะโกนร้องเสียงดังว่า โช้โช้ลิโลๆ เพื่อให้สิ่งไม่ดีต่างๆ ที่อยู่ในบ้านหวาดกลัวและ
ออกไปจากบ้าน ขณะที่เด็กเข้าไปในบ้านเด็กสามารถที่จะค้นหาผลไม้ต่างๆ มารับประทานได้ บางครอบครัวก็จะนําแตงกวามาวางไว้ให้เด็ก
ได้ลิ้มลอง จากนั้นเด็กก็จะเดินออกทางหลังบ้าน ระหว่างที่ออกไปก็จะมีการจุดปะทัด และยิงปืน เทศกาลนี้อาจถือเป็นเทศกาลที่นําไป
สู่ฤดูกาลใหม่อีกฤดูกาลหนึ่ง คือ จะเริ่มเข้าหน้าหนาว และหลังจากเทศกาลนี้เสร็จ ก็ยังสามารถทํากิจกรรมต่างๆ ได้หลากหลาย อาทิ
การแต่งงาน การละเล่นเป่าแคน การออกไปล่าสัตว์เสมือนการออกพรรษาของไทย
อ้างอิง 10
ครรชิตมาลัยวงศ์. (2550). หนังสืออิเล็กทรอนิกส์.กรุงเทพฯ: สิทธิชาติการ
พิมพ์.
จิระพันธ์ เดมะ. (2545). หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ Electronic Book.วารสารวิทย
บริการ, 13(1), 2-7.
ไพฑูรย์ ศรีฟ้า. (2551). E-book หนังสือพูดได้. กรุงเทพฯ : ฐานการพิมพ์
วารุณี คงวิมล.(2555). การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่องการใช้โปรแกรม
PHOTOSHOP เพื่อผลิตสื่อการสอน สำหรับครูระดับประถมศึกษา(วิทยานิพนธ์
การศึกษามหาบัณฑิต).มหาวิทยาลัยบูรพา.
ศิรวัฒน์ สิงหโอภาส.(2559).การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ วิชาเทคโนโลยี
สารสนเทศเพื่อการศึกษา สำหรับนิสิตปริญญาตรี มหาวิทยาลัยทักษิณ.วารสารว
ไลยอลงกรณ์ปริทัศน์,6(2),86-89.
อภิชา แดงจำรูญ. (2563). ทักษะชีวิต: หนังสือชุดครูผู้สร้างแรงบันดาลใจ(พิมพ์
ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ : ส านักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม. (2543). ผ้าชาว
เขา.กรุงเทพฯ : บริษัท รําไทยเพรสจํากัด
กองบรรณาธิการและสํานักมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
11
อ้างอิง
กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. (2555). 9 สิ่งควรรู้กับมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม.
วารสารวัฒนธรรมฉบับที่ 51, 3 (ต.ค. – ธ.ค. 55).
ชีสแมน แน่นหนา. (2533). ผ้าปักชาวเขาเผ่าอาข่า. กรุงเทพฯ : แฮนด์เมด
เชียงใหม่.
เบญจวรรณ วงศ์คํา (2546).อาข่า พิธีกรรม ความเชื่อความจริง และความงาม
“อาข่า ” กรุงเทพฯ : ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สมศักดิ์ศรีสันติสุข. (2536). การเปลี่ยนแปลงสังคมและวัฒนธรรม : แนวทาง
ศึกษา วิเคราะห์และวางแผน. ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และ
สังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
ปกหลัง