หนังสือสวดมนต์อิติปิ โส และพุทธชัยมงคลคาถา (พาหุงฯ) จากอินเดีย โดย พระอาจารย์ ภิกษุณี ธีรวังสา สังฆมิตตาโพธิ เรียบเรียง โดย ธีรธารา เพื่อเผื่อแผ่เป็ นธรรมทาน การให้ธรรมะเป็ นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง ขอบคุณภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต
บทสวดมนต์ถวาย ดอกไม้ธ ู ป เทียน เป็ นพ ุ ทธบช ู า ฆนะสาระปะทิตเตนะ ทีเปนา ตะมะธังสินา ติโลกะ ทีปัง สัมพุทธัง ปูชะยามิตะโมนุตัง คันธะ สัมภาระยุตเตนะ ธูเปนาหัง สุคันธินา ปูชะเย ปูชะนียันตัง ปูชาภาชะนะมุตตะมัง วัณณา คันธา คุโนเปตัง เอตัง กุสุมา สันตะติง ปูชะยามิมุนินตัสสะ สิริปาทาสะโรรุเห ปูเชมิพุทธัง กุสุเมนะเนนะ ปุญเญนะ เมเตนะจะ โหตุโมกขัง ปุปผัง มิลายาติตะถาอิทัง เม กาโย ตะถา ยาติวินาสะภาวัง อิมายะ ธัมมานุธัมมะ ปะฏิปัตติยา พุทธัง ปูเชมิ อิมายะ ธัมมานุธัมมะ ปะฏิปัตติยา ธัมมา ปูเชมิ อิมายะ ธัมมานุธัมมะ ปะฏิปัตติยา สังฆัง ปูเชมิ วันทามิเจติยัง สัพพัง สัพพัฏฐาเน สุปะติฏฐิตัง สารีริกธาตุมะหาโพธิพุทธะรูปัง สะกะลัง สะทา
อิจเจวะมัจจันตะ นะมัสสะเนยยัง นะมัสสะมาโน ระตะนัตตะ ยัง ยัง ปุญญาภิสันทัง วิปุลังอะลัตถัง ตัสสานุภาเวนะ ตะหัน ตะราโย ชุมนุมเทวดา สะมันตาจักกะวาเฬสุอัตราคัจฉันตุเทวะตา สัทธัมมัง มุนิราชัสสะ สุณันตุสัคคะโมกขะทังฯ สัคเค กาเม จะ รูเป คิริสิขะระตะเฏ จันตะลิกเขวิมาเน ทีเป รัฏเฐจะ คาเม ตะรุวะนะคะหะเน เคหะวัตถุมหิเขตเต ภุมมาจายันตุเทวาชะละถะละวิสะเม ยักขะคันธัพพะนาคา ติฏฐันตา สันติเก ยัง มุนิวะระวะจะนัง สาธะโว เม สุณันตุ. ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา.
คา บช ู าพระร ั ตนตร ั ย อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา, พุทธัง ภะคะวันตังอะภิวาเท มิ(กราบ) สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ) สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สังฆัง นะมามิ (กราบ) ไตรสรณาคมน์ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (๓ จบ) พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิพุทธัง สะระนัง คัจฉามิ ทุติยัมปิธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ ทุติยัมปิสังฆัง สะระนัง คัจฉามิ ตะติยัมปิพุทธัง สะระนัง คัจฉามิ ตะติยัมปิธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ ตะติยัมปิสังฆัง สะระนัง คัจฉามิ อิติปิโส ภะคะวาอะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัม ปันโน สุคะโต โลกะวิทูอะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิสัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิ โก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติฯ* (* อ่านว่า วิญญูฮีติ)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะ โต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทังจัตตาริปุริ สะยุคานิอัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย* ปาหุเนยโย* ทักขิเณยโย* อัญชะลีกะระณีโย อะ นุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติฯ (อ่านออกเสียงอาหุ ไนยโย ปาหุไนยโย ทักขิไณยโย โดยสระเอ กึ่งสระไอ) พุทธชัยมงคลคาถา (พาหุงฯ) จาก อินเดีย พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ครีเมขะลังอุทิตะโฆระสะเสนะมารัง ทานาทิธัมมะวิธินาชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสาชัยยะสิทธิโหตุ สัพพันตะรายาจะวินาสสะเมนตุ
มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง ขันตีสุทันตะวิธินาชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสาชัยยะสิทธิโหตุ สัพพันตะรายาจะวินาสสะเมนตุ นาฬาคิริง คะชะวะรังอะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง เมตตัมพุเสกะวิธินาชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสาชัยยะสิทธิโหตุ สัพพันตะรายาจะวินาสสะเมนตุ
อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสาชัยยะสิทธิโหตุ สัพพันตะรายาจะวินาสสะเมนตุ กัตตะวานะ กัฏฐะมุทะรังอิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนังชะนะกายะมัชเฌ สันเตนะ โสมะวิธินาชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสาชัยยะสิทธิโหตุ สัพพันตะรายาจะวินาสสะเมนตุ
สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง วาทาภิโรปิ ตะมะนังอะติอันธะภูตัง ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสาชัยยะสิทธิโหตุ สัพพันตะรายาจะวินาสสะเมนตุ นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต อิทธูปะเทสะวิธินาชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสาชัยยะสิทธิโหตุ สัพพันตะรายาจะวินาสสะเมนตุ
ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรัหมัง* วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง ญาณาคะเทนะวิธินาชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสาชัยยะสิทธิโหตุ สัพพันตะรายาจะวินาสสะเมนตุ เอตาปิพุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา โย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที หิตวานะเนกะวิวิธานิจุปัททะวานิ โมกขัง สุขังอะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญฯ
มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรตวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุเม ชะยะมังคะลังฯ ชะยันโต โพธิยา มูเล สักยานัง นันทิวัฑฒะโน เอวัง ตะวัง วิชะ โย โหหิชะยัสสุชะยะมังคะเล อะปะราชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะ วิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะพุทธานังอัคคัปปัตโต ปะโมทะติฯ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัหมะ** จาริสุปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง ปะณิธีเต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัตตะวานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณฯ ภะวะตุสัพพะมังคะลัง รักขันตุสัพพะเทวะตา สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถีภะวันตุเมฯ ภะวะตุสัพพะมังคะลัง รักขันตุสัพพะเทวะตา
สัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทา โสตถีภะวันตุเมฯ ภะวะตุสัพพะมังคะลัง รักขันตุสัพพะเทวะตา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถีภะวันตุเมฯ ค าแปล พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็ นพระอรหันต์ดับเพลิงกิเลส เพลิงทุกข์ สิ ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองข้าพเจ้าอภิวาทพระผู้มี พระภาคเจ้า ผู้รู้ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน (กราบ) พระธรรม เป็ นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ดีแล้วข้าพเจ้า นมัสการพระธรรม (กราบ) พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีแล้วข้าพเจ้า นอบน้อมพระสงฆ์(กราบ) ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั ้น ซึ่งเป็ น ผู้ไกล จากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง (๓ จบ)
ข้าพเจ้าขอถือเอาพระพุทธเจ้าเป็ นที่พึ่งที่ระลึก ข้าพเจ้าขอ ถือเอาพระธรรมเป็ นที่พึ่งที่ระลึก ข้าพเจ้าขอถือเอาพระสงฆ์เป็ น ที่พึ่งที่ระลึก แม้ครั ้งที่สองข้าพเจ้าขอถือเอาพระพุทธเจ้าเป็ นที่พึ่งที่ระลึก แม้ ครั ้งที่สองข้าพเจ้าขอถือเอาพระธรรมเป็ นที่พึ่งที่ระลึก แม้ครั ้งที่ สองข้าพเจ้าขอถือเอาพระสงฆ์เป็ นที่พึ่งที่ระลึก แม้ครั ้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถือเอาพระพุทธเจ้าเป็ นที่พึ่งที่ระลึก แม้ครั ้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถือเอาพระธรรมเป็ นที่พึ่งที่ระลึก แม้ ครั ้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถือเอาพระสงฆ์เป็ นที่พึ่งที่ระลึก พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั ้น เป็ นผู้ไกลจากกิเลส เป็ นผู้ตรัสรู้ ชอบได้ด้วยพระองค์เอง เป็ นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ (ความรู้และความประพฤติ) เป็ นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็ นผู้รู้โลก อย่างแจ่มแจ้ง เป็ นผู้สามารถฝึ กบุรุษที่สมควรฝึ กได้อย่างไม่มี
ใครยิ่งไปกว่า เป็ นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั ้งหลาย เป็ น ผู้รู้ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็ นผู้มีความเจริญ จ าแนกธรรม สั่งสอนสัตว์ดังนี ้ฯ พระธรรมเป็ นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสไว้ดีแล้ว เป็ นสิ่งที่ ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง เป็ นสิ่งที่ปฏิบัติได้และ ให้ผลได้ไม่จ ากัดกาล เป็ นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่า ท่านจงมา ดูเถิด เป็ นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เป็ นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ดังนี ้ฯ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏิบัติดีแล้ว สงฆ์ สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏิบัติตรงแล้ว สงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรม เป็ นเครื่อง ออกจากทุกข์แล้ว สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏิบัติสมควรแล้ว
ได้แก่ บุคคลเหล่านี ้คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัว บุรุษได้๘ บุรุษ นั่นแหละสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็ นผู้ควรแก่สักการะที่เขาน ามาบูชา เป็ นผู้ควรแก่สักการะที่เขา จัดไว้ต้อนรับ เป็ นผู้ควรรับทักษิณาทาน เป็ นผู้ที่บุคคลทั่วไปควร ท าอัญชลีเป็ นเนื ้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี ้ฯ ค าแปลพุทธชัยมงคลคาถา ๑. พระจอมมุนีได้ทรงชนะพญามารผู้เนรมิตแขนมากตั ้งพัน ถือ อาวุธครบมือขี่คชสารชื่อครีเมขละ พร้อมด้วยเสนา มารโห่ร้อง กึกก้อง ด้วยธรรมวิธีคือ ทรงระลึกถึงพระบารมี๑๐ ประการ ที่ ทรงบ าเพ็ญแล้ว มีทานบารมีเป็ นต้น ขอชัยชนะและ ความส าเร็จจงบังเกิดกับข้าพเจ้า มีชัยชนะต่ออุปสรรคทั ้งปวง อันตรายทั ้งหลายทั ้งปวงพินาศไปด้วยเดชานุภาพแห่งพระ
รัตนตรัย อันมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมของ พระพุทธเจ้าและ พระอรหันตสาวกของพระพุทธเจ้า เป็ นต้น ๒. พระจอมมุนีได้ทรงชนะอาฬวกยักษ์ผู้มีจิตกระด้าง ดุร้าย เหี ้ยมโหด ม ี ฤทธ ิ ์ ย ิ่งกวา่พญามาร ผู้เข้ามาต่อสู้ยิ่งนัก จนตลอด รุ่ง ด้วยวิธีที่ทรงฝึ กฝนเป็ นอันดีคือขันติบารมี(คือ ความอดทน อดกลั ้น ซึ่งเป็ น ๑ ในพระบารมี๑๐ ประการ) ขอชัยชนะและ ความส าเร็จจงบังเกิดกับข้าพเจ้า มีชัยชนะต่ออุปสรรคทั ้งปวง อันตรายทั ้งหลายทั ้งปวงพินาศไปด้วยเดชานุภาพแห่งพระ รัตนตรัย อันมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมของ พระพุทธเจ้าและ พระอรหันตสาวกของพระพุทธเจ้า เป็ นต้น ๓. พระจอมมุนีได้ทรงชนะพญาช้างตัวประเสริฐชื่อ นาฬาคิรี เป็ นช้างเมามันยิ่งนัก ดุร้ายประดุจไฟป่ าและร้ายแรงดังจัก ราวุธและสายฟ้ า (ขององค์อินทร์) ด้วยวิธีรดลงด้วยน ้า คือ พระ เมตตาขอชัยชนะและความส าเร็จจงบังเกิดกับข้าพเจ้า มีชัย
ชนะต่ออุปสรรคทั ้งปวงอันตรายทั ้งหลายทั ้งปวงพินาศไปด้วย เดชานุภาพแห่งพระรัตนตรัย อันมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมของพระพุทธเจ้าและ พระอรหันตสาวกของ พระพุทธเจ้า เป็ นต้น ๔. พระจอมมน ุ ี ทรงบนัดาลอ ิ ทธ ิ ฤทธ ิ ์ ทางใจอนัยอดเย ี่ยม ชนะ โจรชื่อองคุลิมาล (ผู้มีพวงมาลัย คือ นิ ้วมือมนุษย์) แสนร้ายกาจ มีฝี มือ ถือดาบวิ่งไล่พระองค์ไปสิ ้นทาง ๓ โยชน์ขอชัยชนะและ ความส าเร็จจงบังเกิดกับข้าพเจ้า มีชัยชนะต่ออุปสรรคทั ้งปวง อันตรายทั ้งหลายทั ้งปวงพินาศไปด้วยเดชานุภาพแห่งพระ รัตนตรัย อันมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมของ พระพุทธเจ้าและ พระอรหันตสาวกของพระพุทธเจ้า เป็ นต้น ๕. พระจอมมุนีได้ทรงชนะความกล่าวร้ายของนางจิญจ มาณวิกา ผู้ท าอาการประดุจว่ามีครรภ์เพราะท าไม้สัณฐาน กลม (ผูกติดไว้) ให้เป็ นประดุจมีท้อง ด้วยวิธีสมาธิอันงาม คือ
ความสงบระงับพระหฤทัย ขอชัยชนะและความส าเร็จจงบังเกิด กับข้าพเจ้า มีชัยชนะต่ออุปสรรคทั ้งปวงอันตรายทั ้งหลายทั ้ง ปวงพินาศไปด้วยเดชานุภาพแห่งพระรัตนตรัย อันมีพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมของพระพุทธเจ้าและ พระอรหันต สาวกของพระพุทธเจ้า เป็ นต้น ๖. พระจอมมุนีทรงรุ่งเรืองแล้วด้วยประทีป คือ ปัญญา ได้ชนะ สัจจกนิครนถ์ (อ่านว่า สัจจะกะนิครนถ์, นิครนถ์คือ นักบวช ประเภทหนึ่งในสมัยพุทธกาล) ผู้มีอัชฌาสัยในที่จะสละเสียซึ่ง ความสัตย์มุ่งยกถ้อยค าของตนให้สูงล ้าดุจยกธง เป็ นผู้มืดมน ยิ่งนัก ด้วยเทศนาญาณวิธีคือรู้อัชฌาสัยแล้ว ตรัสเทศนาให้ มองเห็นความจริง ขอชัยชนะและความส าเร็จจงบังเกิดกับ ข้าพเจ้า มีชัยชนะต่ออุปสรรคทั ้งปวงอันตรายทั ้งหลายทั ้งปวง พินาศไปด้วยเดชานุภาพแห่งพระรัตนตรัย อันมีพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมของพระพุทธเจ้าและ พระอรหันต สาวกของพระพุทธเจ้า เป็ นต้น ๗. พระจอมมุนีทรงโปรดให้พระโมคคัลลานะเถระพุทธชิโนรส นิรมิตกายเป็ นนาคราชไปทรมานพญานาคราชชื่อ นันโทปนัน ทะ ผ ้ ม ู ี ความหลงผ ิ ดม ี ฤทธ ิ ์ มาก ด ้ วยวธ ิีให ้ ฤทธ ิ ์ ท ี่เหน ื อกวา่แก่ พระเถระขอชัยชนะและความส าเร็จจงบังเกิดกับข้าพเจ้า มีชัย ชนะต่ออุปสรรคทั ้งปวงอันตรายทั ้งหลายทั ้งปวงพินาศไปด้วย เดชานุภาพแห่งพระรัตนตรัย อันมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมของพระพุทธเจ้าและ พระอรหันตสาวกของ พระพุทธเจ้า เป็ นต้น ๘. พระจอมมุนีได้ทรงชนะพรหมผู้มีนามว่าพกาพรหม ผ ้ ม ู ี ฤทธ ิ ์ ส าคญัตนวา่เป็ นผ ้ ร ูุ่ งเร ื องด ้ วยคณ ุ อนับร ิ สท ุ ธ ิ ์ มีความเห็นผิด ประดุจถูกงูรัดมือไว้อย่างแน่นแฟ้ นแล้ว ด้วยวิธีวางยาอันพิเศษ คือเทศนาญาณ ขอชัยชนะและความส าเร็จจงบังเกิดกับ
ข้าพเจ้า มีชัยชนะต่ออุปสรรคทั ้งปวงอันตรายทั ้งหลายทั ้งปวง พินาศไปด้วย เดชานุภาพแห่งพระรัตนตรัย อันมีพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมของพระพุทธเจ้าและ พระอรหันต สาวกของพระพุทธเจ้า เป็ นต้น นรชนใดมีปัญญา ไม่เกียจคร้าน สวดก็ดีระลึกก็ดีซึ่งพระพุทธ ชัยมงคล ๘ บทนี ้ทุก ๆวัน นรชนนั ้นจะพึงละเสียได้ซึ่ง อุปัทวันตรายทั ้งหลายมีประการต่างๆเป็ นอเนกและถึงซึ่ง วิโมกข์(คือ ความหลุดพ้น) อันเป็ นบรมสุขแล ผู้เป็ นที่พึ่งของสัตว์ทั ้งหลาย ประกอบแล้วด้วยพระมหากรุณา ยังบารมีทั ้งหลายทั ้งปวงให้เต็ม เพื่อประโยชน์แก่สรรพ สัตว์ ทั ้งหลาย ได้บรรลุสัมโพธิญาณอันอุดมแล้ว ด้วยการกล่าวค า สัตย์นี ้ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า
ขอข้าพเจ้าจงมีชัยชนะ ดุจพระจอมมุนีที่ทรงชนะมาร ที่โคนโพธิ พฤกษ์ถึงความเป็ นผู้เลิศในสรรพพุทธาภิเษก ทรงปราโมทย์อยู่ บนอปราชิตบัลลังก์อันสูง เป็ นจอมมหาปฐพีทรงเพิ่มพูนความ ยินดีแก่ เหล่าประยูรญาติศากยวงศ์ฉะนั ้นเทอญ เวลาที่ “สัตว์” (หมายถึงสิ่งมีชีวิตทั ้งหลาย เช่น มนุษย์และสรรพ สัตว์) ประพฤติชอบ ชื่อว่า ฤกษ์ดีมงคลดีสว่างดีรุ่งดีและ ขณะดีครู่ดีบูชาดีแล้ว ในพรหมจารีบุคคลทั ้งหลาย กายกรรม เป็ นประทักษิณ วจีกรรม เป็ นประทักษิณ มโนกรรม เป็ น ประทักษิณ ความปรารถนาของข้าพเจ้าเป็ นประทักษิณ สัตว์ ทั ้งหลายท ากรรม อันเป็ นประทักษิณแล้ว ย่อมได้ประโยชน์ ทั ้งหลาย อันเป็ น ประทักษิณ* ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้าขอเหล่าเทวดาทั ้งปวงจงรักษา ข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้าขอความสวัสดีทั ้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ
ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้าขอเหล่าเทวดาทั ้งปวงจงรักษา ข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม ขอความสวัสดีทั ้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้าขอเหล่าเทวดาทั ้งปวงจงรักษา ข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ขอความสวัสดีทั ้งหลาย จง มีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ อะหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็ นผู้ถึงสุข อะหัง นิททุกโขโหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็ นผู้ไร้ทุกข์ อะหังอะเวโร โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็ นผู้ไม่มีเวร อะหังอัพยาปัชโฌ โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็ นผู้ไม่เบียดเบียน ซึ่งกันและกัน อะหังอะนีโฆ โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็ นผู้ไม่มีทุกข์
สุขีอัตตานัง ปะริหะรามิ ขอให้ข้าพเจ้าจงรักษาตนอยู่เป็ นสุข เถิด สัพเพ สัตตา สัตว์ทั ้งหลายทั ้งปวงที่เป็ นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บ ตายด้วยกันหมดทั ้งสิ ้น อะเวรา โหนตุ จงเป็ นสุขเป็ นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกัน เลย อัพยาปัชฌา โหนตุ จงเป็ นสุขเป็ นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียน ซึ่งกันและกันเลย อะนีฆา โหนตุ จงเป็ นสุขเป็ นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย สุขีอัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกายสุขใจรักษาตนให้ พ้นจากทุกข์ภัยอันตรายทั ้งสิ ้นเถิด ข้าพเจ้าขอตั ้งจิต อุทิศผล บุญกุศล นี ้แผ่ไป ให้ไพศาล
ถึงบิดา มารดา ครูอาจารย์ ทั ้งลูกหลาน ญาติมิตร สนิทกัน คนเคยร่วม เคยรัก สมัครใคร่ มีส่วนได้ในกุศล ผลของฉัน ทั ้ง เจ้ากรรม นายเวรและ เทวัน ขอให้ท่านได้กุศลผลนี ้เทอญ กรวดน ้าเปิ ดสามโลก ติโรกุฑฑกัณฑคาถา ติโรกุฑเฑสุ ติฏฐันติ สันธิสิงฆาฏะเกสุ จะ, ทะวาระพาหาสุ ติฏฐันติ อาคันตะวานะ สะกัง ฆะรัง. ปะหุเต อันนะปานัมหิ ขัชชะโภชเช อุปัฏฐิเต, นะ เตสัง โกจิสะระติ สัตตานัง กัมมะปัจจะยา. เอวัง ทะทันติญาตีนัง เย โหนติอะนุกัมปะกา. สุจิง ปะณีตัง กาเลนะ กัปปิ ยัง ปานะโภชะนัง. อิทัง โว ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย.
เต จะ ตัตถะ สะมาคันตะวา ญาติเปตา สะมาคะตา. ปะหุเต อันนะปานัมหิ สักกัจจัง อะนุโมทะเร, จิรัง ชีวันตุ โน ญาตี เยสัง เหตุ ละภามะ เส. อัมหากัญจะ กะตา ปูชา ทายะกา จะ อะนิปผะลา, นะ หิ ตัตถะ กะสิ อัตถิ โครักเขตถะ นะ วิชชะติ. วะณิชชา ตาทิสีนัตถิ หิรัญเญนะ กะยากะยัง อิโต ทินเนนะ ยาเปนติ เปตา กาละกะตา ตะหิง. อุณณะเต อุทะกัง วุฏฐัง ยะถานินนัง ปะวัตตะติ. ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติสาคะรัง. เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ. อะทาสิ เม อะกาสิเม ญาติมิตตา สะขา จะ เม. เปตานัง ทักขิณัง ทัชชา ปุพเพ กะตะมะนุสสะรัง.
นะหิ รุณณัง วา โสโก วา ยา วัญญา ปะริเทวะนา, นะตัง เปตานะมัตถายะ เอวัง ติฏฐันติ ญาตะโย. อะยัญจะ โข ทักขิณา ทินนา สังฆัมหิ สุปะติฏฐิตา, ทีฆะรัตตัง หิตายัสสะ ฐานะโส อุปะกัปปะติ. โส ญาติธัมโม จะ อะยัง นิทัสสิโต, เปตานะ ปูชา จะ กะตา อุฬารา, พะลัญจะ ภิกขุภิกขุณี นะมะนุปปะทินนัง, ตุมเหหิ ปุญญัง ปะ สุตัง อะนัปปะกันติฯ ค าแปล ติโรกุฑฑกัณฑคาถา หมู่เปรต มาสู่เรือนของตน ยืนอยู่ภายนอกฝาเรือน บ้าง ณ ทางสี่แพร่ง และทางสามแพร่งบ้างใกล้บานประตู บ้าง เมื่อคนตั ้งข้าวน ้า ของควรเคี ้ยวควรบริโภคแล้ว พวกญาติ มิตรบางคนของพวกเปรตนั ้น ระลึกไม่ได้เพราะสัตว์ทั ้งหลายมี
กรรมเป็ นปัจจัย เหล่าชนผู้มีจิตอนุเคราะห์ ย่อมให้น ้าดื่ม โภชนะอันเป็ นกัปปิ ยะ เพื่ออุทิศแก่พวกญาติ ๆ อย่างนี ้ ว่า ขอทานนี ้จงถึงแก่พวกญาติของข้าพเจ้าทั ้งหลาย ขอญาติ จงเป็ นสุข ๆเถิด อนึ่งพวกญาติที่ละโลกนี ้ไปแล้ว มาประชุม พร้อมกันในสถานที่ให้ทานนั ้น ย่อมตั ้งใจอนุโมทนา ในข้าวน ้า เป็ นอันมาก พวกเราได้สดับสมบัติเช่นนี ้เพราะญาติเหล่าใด ของ ญาติเหล่านั ้นจงมีอายุมั่นขวัญยืนเถิด บูชาที่พวกทายก ท าแก่ พวกเราแล้ว ไม่ไร้ผลบุญ ความจริงในเปรติวิสัยนั ้น ไม่มีกสิกร รม โครักขกรรม การค้าขาย และเปลี่ยนด้วยเงินทอง ผู้ตายไป แล้ว มีชีวิตอยู่ได้ในที่นั ้นด้วยทานที่พวกญาติอุทิศถวายในโลกนี ้ น ้าฝนตกลงมาที่ดอน ย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่มฉันใด ทานที่ ทายกอุทิศถวายแล้ว แด่ในมนุษย์โลกนี ้ ย่อมส าเร็จผลแก่เปรต ทั ้งหลายฉันนั ้น ห้วงน ้าที่มีน ้าเต็มเปี่ ยม ท าให้สมุทรสาครเต็ม เปี่ ยมได้ ฉันใด ทานที่ทายกอุทิศถวายแล้วแต่มนุษย์ในโลก นี ้ย่อมส าเร็จผลแก่เปรตทั ้งหลายฉันนั ้น
บุคคลหวลระลึกถึงอุปาระ ท่านเคยท าไว้ว่า ผุ้นี ้ได้ให้ สิ่งนี ้แก่เรา ได้ท าสิ่งนี ้แก่เรา ผู้นี ้เป็ นญาติ ผู้นี ้เป็ นมิตร ผู้นี ้เป็ น เพื่อนเราดังนี ้ถึงถวายทักษิณาทาน เพื่อท่านที่ละโลกนี ้ไป แล้ว การร้องให้เศร้าโศกพิไรร าพันอย่างอื่นใด ไม่ควร ท า เพราะไม่เป็ นประโยชน์แก่พวกญาติที่ตายไปแล้ว ท่านก็คง ด ารงอยู่เช่นนั ้นเหมือนเดิม ทักษิณาทานที่ถวายแล้วนี ้เป็ นทานที่ประดิษฐานไว้ดี แล้วในสงฆ์ ย่อมส าเร็จผลตามสมควรแก่ท่านผู้ล่วงลับไป แล้ว เพื่อประโยชน์เกื ้อกูล ตลอกกาลนาน ท่านแสดงญาติ ธรรมนี ้ไว้แล้ว บูชาอันยิ่งใหญ่ ท่านบูชาแก่ญาติทั ้งหลายผู้ ล่วงลับไปแล้ว อัญเชิญเทวดากลับ ทุกขัปปัตตาจะ นิททุกขา ภะยัปปัตตาจะ นิพภะยา โสกัปปัตตาจะ นิสโสกา โหนตุสัพเพปิปาณิโน เอตตา วะตาจะอัมเหหิสัมภะตัง ปุญญะ สัมปะทัง
สัพเพ เทวา นุโมทันตุสัพพะ สัมปัตติสิทธิยา ทานัง ทะทันตุสัทธายะ สีลัง รักขันตุสัพพะทา ภาวะนา ภิระตา โหนตุคัจฉันตุเทวะตา คะตา สัพเพ พุทธา พะลัป ปัตตา ปัจเจ กานัญ จะ ยัง พะลัง อะระหันตา นัญ จะ เตเชนะ รักขัง พันธามิสัพพะโส ค าแปล ขอสรรพสัตว์ทั ้งหลายที่ประสบทุกข์จงพ้นจากทุกข์ ที่ประสบภัย จงพ้นจากภัย ที่ประสบกับความโศก จงพ้นจาก ความโศกเสียเถิด และขอเหล่าเทวดาทั ้งปวง จงได้อนุโมทนาซึ่งบุญสมบัติอันข้าพเจ้าทั ้งหลายได้สร้างสมไว้ แล้วเพื่อความส าเร็จแห่งสมบัติทั ้งปวงเถิด
มนุษย์ทั ้งหลายจงให้ทานด้วยใจศรัทธาจงรักษาศีล และยินดียิ่งในการภาวนาตลอดกาลทุกเมื่อเทวดาทั ้งหลาย ที่มาชุมนุมแล้วขอเชิญกลับเถิด พระพุทธเจ้าทั ้งหลาย ล้วนทรงพระก าลังทั ้งหมด ก าลังใดแห่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าทั ้งหลาย และก าลังแห่งพระอรหันต์ทั ้งหลาย มีอยู่ ขอจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยเดชแห่งก าลังนั ้นโดยประการทั ้ง ปวงเทอญ ที่มาของบทสวดมนต์ เมื่อปลายปี ที่แล้วถึงต้นปี๒๕๖๖ พระอาจารย์ภิกษุณีธีรวังสา และข้าพเจ้า ได้เดินทางไปแสวงบุญจาริกที่ประเทศอินเดีย เป็ น ครั ้งแรก เป็ นเวลาหนึ่งเดือน ระหว่างที่อยู่ที่นั ้นได้เดินทางไป ตามเมืองต่างๆของประเทศอินเดียในสถานที่ที่พระพุทธเจ้า เคยเดินทางไปในอดีตร่วมทั ้งสถานที่ส าคัญคือสี่สังเวชนียสถาน
คือ สถานที่ประสูติตรัสรู้แสดงปฐมเทศนาและ ปรินิพาน เมื่อ ไปยังสถานที่ต่างๆได้สวดมนต์นั่งสมาธิและ ภาวนาและใน การเดินทางครั ้งนี ้ได้ประสบการณ์มากมาย ทั ้งในทางโลก และ ทางธรรม ได้พบเจอวิบากดีและวิบากไม่ดีได้พบทั ้งทุกข์สุข สลับกันไปตลอดการเดิน ได้เข้าใจธรรมะและเห็นสัจธรรมว่า ชีวิตมนุษย์ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ยังต้องเผชิญทั ้งทุกข์และสุข สลับกันไป ไม่ว่าจะอยู่แบบใหน เป็ นนักบวชก็มีทุกข์สุขแบบ นักบวชเป็ นฆารวาสก็ทุกข์สุขแบบฆารวาส ไม่ว่าจะอยู่แบบ ใหน เราต้องสร้างบุญ สร้างบารมีเพื่อความไม่ประมาทในชีวิต และหลังความตาย ทั ้งให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาและ ในการเดินทางครั ้งนี ้ได้พบธรรมะและความรู้เพิ่มเติม มีครั ้งหนึ่ง ได้เดินทางไปที่เมืองพุทคยา สถานที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใต้ต้น พระศร ี มหาโพธ ิ ์ และ ณ สถานที่แห่งนั ้น พวกเราได้สวดมนต์ และนั่งสมาธิภาวนา เป็ นสถานที่สงบและมีพลังงานที่ดีมาก มี
เสียงสวดมนต์เกือบตลอดเวลา ที่นั ้นพวกเราได้สวดมนต์อิติปิ โส ชัยมงคลคาถา หรือบทสวดพาหุงมหากา พร้อมทั ้งแผ่เมตตา จากนั ้นเราได้เดินทางต่อไปที่เมืองกุสินารา เป็ นเมืองที่ พระพุทธเจ้าได้เลือกเป็ นสถานที่ที่พระองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิ พาน ที่สถานที่แห่งนี ้พวกเราได้เดินทางไปไหว้กราบสักการะ พร้อมทั ้งสวดมนต์นั่งสมาธิภาวนา ได้มีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ ้นขณะ สวดมนต์เทวดา สง ิ่ศกัด ิ ์ สท ิ ธ ิ ์ ได ้ มาบอกกบัพระอาจารย ์ ภ ิ กษ ุ ณ ี ธีรวังสาให้สวดมนต์ชัยมงคล พาหุงตามนี ้ครั ้งนี ้เป็ นครั ้งที่สอง มาบอก มาบอกครัง ้ แรกท ี่ต ้ นพระศร ี มหาโพธ ิ ์ที่พุทคยา เพื่อเป็ น สิริมงคลและป้ องกันอันตราย ท่านพิมได้รับการบอกเล่าจาก พระอาจารย์ธีระวังสาจึงได้จดจ ามาและได้มาท าเป็ นหนังสือ ท ามือเล่มนี ้ให้กับญาติโยมที่มาใส่บาตรที่ซอยคุณพระ เพื่อเป็ น ธรรมทาน และตอบแทนบุญคุณข้าวปลาอาหาร ที่ถวาย ภัตตาหารตลอดมา หากมีอานิสงค์ใดเกิดขึ ้นขอถวายเป็ นพุทธ
บูชา ธรรมะบูชา สังฆะบูชา ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตลอดจนให ้ อาน ิ สงค ์ แดเ่ทวดาและสง ิ่ศกัด ิ ์ ท ี่ต ้ นโพธ ิ ์ พท ุ ธคยา และ เทวดาและสง ิ่ศกัด ิ ์ สท ิ ธ ิ ์ ท ี่พระพท ุ ธเจ ้ าปร ิ น ิ พานท ี่กส ุ น ิ ารา ณ ประเทศอินเดีย ที่เมตตาบอกเล่าและที่สุดขออานิสงค์ที่จะ บังเกิดขึ ้นจงมีแด่ท่าน พระอาจารย์ภิกษุณีธีระวังสา พิมลรัตน์ กิติยากร วัชระดม ผู้ซึ่งเป็ นผู้บอกเล่าแก่ข้าพเจ้า ขอให้ญาติโยม ที่ได้รับไปแล้วจงสวดอย่างสม ่าเสมอและจะมี อานิสงค์ มี ชัยชนะจงบังเกิดความส าเร็จในชีวิตและมีชัยชนะต่อุปสรรคทั ้ง ปวงอันตรายทั ้งหลายทั ้งปวงพินาศไปด้วยเดชานุภาพแห่งพระ รัตนตรัย อันมีพระอรหันตรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมของ พระพุทธเจ้าและ พระอรหันตรสาวกของพระพุทธเจ้า ดังในบท สวดมนต์ที่พระพุทธเจ้าชนะอุปสรรคต่างๆเป็ นต้น ขอ อนุโมทนาบุญทุกผู้ทุกนามที่ตักบาตรและถวายปัจจัยที่
สนับสนุนการไปอินเดีย ตลอดจนร่วมบุญทุกบุญกับท่านพิมใน ตลอดระยะเวลาหลายปี ที่ผ่านมา ขอให้มีกาย วาจา ใจท ี่บร ิ สท ุ ธ ิ ์เดินทางไปที่ใดเป็ นที่ต้อนรับของ มนุษย์และเทวาจะปฏิบัติธรรมเมื่อใด ขอให้เข้าถึงธรรม โดยสะดวกง่ายดาย มีโภคทรัพย์อริยะทรัพย์สมบูรณ์พร้อม เอาไว้ใช้สร้างบารมีขอความไม่ได้ไม่มีไม่ส าเร็จอย่าได้เกิดกับ ท่าน มีสุขภาพแข็งแรงอย่าเจ็บ อย่าจน มีปัญญาสว่างไสว รู้ แจ้งในศาสตร์ทั ้งปวงที่ท าให้พ้นทุกข์ไปทุกภพทุกชาติตราบเข้า สู่พระนิพพานเทอญ นิพพาน ปัจจะโย โหตุ ธีรธารา _____________________________________
ขอเชิญร่วมสมทบทุนก่อตั ้ง มูลนิธิ ทานบารมี (มทบ) Dana Giving Foundaation ( DGF) ตามก าลังศรัทธา อาน ิ สงค ์ ของการเป็ นผ ้ ู ร่วมทา บ ุญก่อตง ั ้ ม ู ลน ิ ธ ิ ค าว่า “มูลนิธิ” ในภาษาไทยเป็ นค าสืบเนื่องมาจาก ภาษาบาลีว่า “นิธิ” ซึ่งแปลว่า “ขุมทรัพย์” ในทาง พระพุทธศาสนา บางแห่งแบ่งนิธิหรือขุมทรัพย์นี ้ไว้ ๔ ประเภท คือ ๑. ขุมทรัพย์ติดที่ หรือถาวรนิธิ แต่เดิมหมายเอาทรัพย์ สมบัติที่ฝังดินไว้ ตลอดถึงเรือกสวนไร่นาอันเป็ น อสังหาริมทรัพย์ ในสมัยปัจจุบันคงต้องรวมเอาเงินที่ฝากไว้ใน ธนาคารเป็ นต้นเข้าในความหมายนี ้ด้วย ๒. ขุมทรัพย์เคลื่อนที่ หรือสังคมนิธิ ได้แก่ ข้าทาส บริวาร ตลอดจนสัตว์เลี ้ยงต่าง ๆ
๓. ขุมทรัพย์คู่กาย หรืออังคนิธิ ได้แก่ ศิลปวิทยา ความรู้ส าหรับหาเลี ้ยงชีวิต ๔. ขุมทรัพย์ตามตัว หรืออนุคามิกนิธิ ได้แก่ บุญคือ คุณธรรมที่ได้ฝึ กอบรมให้มีในตน แล้วฝากฝังไว้ในที่อัน ปลอดภัย กล่าวคือ ในพระศาสนา เช่น เจดีย์สถานและ พระสงฆ์ในบุพการีชน เช่น มารดา บิดา ในประโยชน์ส่วนรวม ในหมู่ญาติ ตลอดจนบุคคลที่รู้จักเกี่ยวข้องและคนทั่วไป นิธิทั ้ง ๔ นี ้ แต่ละอย่างเป็ นของส าคัญแก่ชีวิตมนุษย์และ มีประโยชน์ด้วยกันทั ้งสิ ้น แต่ประโยชน์นั ้นก็ดี ความมั่นคง ทนทานนั ้นก็ดีหาเสมอกันไม่ ขุมทรัพย์อย่างที่ ๑ นับเป็ นส่วนอุปกรณ์เครื่องเลี ้ยงชีพ เป็ นหลักประกันความปลอดภัยของอาชีพ ให้ความอบอุ่นใน
ยามปกติและสามารถน าออกใช้ในคราวจ าเป็ น นับเป็ นวิธี รักษาทรัพย์อย่างดียิ่ง แต่กระนั ้นก็อาจเกิดเหตุผิดพลาดต่างๆ ให้หลุดมือไปหรือถูก ริบถูกยึดไปได้และหากไม่น าไปใช้เพื่อตนและคนอื่นก็ส าเร็จ ประโยชน์น้อย ถึงคราวจากโลกนี ้ไปก็ต้องทิ ้งไว้ ไม่อาจน าไป กับตนได้ นับว่ามีประโยชน์จ ากัด ไม่มั่นคงแท้จริง ยิ่งน าไป ประกอบการอันชั่ว เบียดเบียนตนและผู้อื่น ก็กลับซ ้า กลายเป็ นของร้าย น ามาซึ่งโทษภัย ทางศาสนาไม่สรรเสริญ แม้ขุมทรัพย์ประเภทที่ ๒ ที่มีประโยชน์รับใช้สนองความ ประสงค์และช่วยการต่าง ๆ ให้ส าเร็จโดยง่ายก็ยังไม่เชื่อว่า มั่นคงปลอดภัยจริง เพราะมีเวลาล้มหายตายจากพรากกันไป หรือเปลี่ยนมือเปลี่ยนใจเป็ นอย่างอื่น
ประเภทที่ ๓ คือ ศิลปะวิทยาการต่าง ๆ นับว่าเป็ นของ มั่นคงและปลอดภัยกว่านิธิ ๒ อย่างแรก เพราะมีต้นทุนอันมี ติดอยู่กับตัว ใครลักหรือแย่งชิงไปไม่ได้ สามารถน ามาใช้ ประกอบอาชีพท าการงานหาทรัพย์สมบัติเลี ้ยงชีวิตได้ ใช้เท่าไร ไม่รู้จักหมด ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม เป็ นบ่อเกิดและทางมาแห่งขุมทรัพย์ สองอย่างแรกตลอดไป ทั ้งสามารถน าไปบ าเพ็ญประโยชน์ ช่วยเหลือมนุษย์ได้เป็ นอันมาก แต่ก็ยังไม่ส าเร็จประโยชน์ สมบูรณ์เพราะอาจเป็ นเหตุให้ผู้ประพฤติแต่ทางเสียหาย ไร้ คุณธรรม ไว้วางใจมิได้ วิชาความรู้นั ้นก็อาจเป็ นหมัน มี เหมือนไม่มีหรือกลับกลายเป็ นพิษให้โทษมากขึ ้น ขุมทรัพย์อย่างที่ ๔ มีชื่อเรียกสั ้น ๆ อีกอย่างหนึ่งว่า “มูลนิธิ” เป็ นขุมทรัพย์ฝ่ ายนามธรรมไม่มีรูปร่าง มองไม่เห็น มี อยู่ประจ าตน ใครลักหรือแย่งชิงไปไม่ได้ ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่มคล้ายกับ ขุมทรัพย์อย่างที่ ๓ แต่มีคุณสมบัติอื่นเป็ นพิเศษกว่าเป็ นอัน
มาก กล่าวคือติดตามให้ผลช่วยตนแม้ในชีวิตหน้า ข้อที่ส าคัญ ในชาตินี ้อยู่ที่ว่านิธินี ้ เป็ นนิธิหลักเป็ นทางมาเป็ นทางเพิ่มพูน และเสริมประโยชน์แก่นิธิ ๓ อย่างแรก ผู้ใดมีนิธิคือคุณธรรมใน ตนเอง แล้วก็มีทางหาทรัพย์สมบัติที่เป็ นนิธิอย่างที่ ๑ ได้ ถ้า เป็ นผู้มีทรัพย์ก็รู้จักรักษาทรัพย์นั ้นไว้ได้ ท าให้พอกพูนและใช้ เป็ นประโยชน์ ทั ้งแก่ตนเองและบุคคลอื่น แม้ถึงข้าทาสบริวารสัตว์เลี ้ยงและ ศิลปวิทยาอันเป็ นนิธิอย่างที่ ๒ และ ๓ ถ้าเป็ นผู้มีนิธิคือ คุณธรรมอยู่แล้วก็สามารถหามารักษาและใช้ให้เป็ นประโยชน์ โดยเต็มที่เช่นเดียวกัน บุญนิธิ คือ คุณธรรมนั ้น มีมาก เช่นที่พระพุทธเจ้าตรัส ไว้ในนิธิกัณฑสูตร แห่งขุททกนิกาย ได้แก่ ธรรม ๔ ประการ คือ ทาน (การให้ สละและบริจาค) ศีล (ความประพฤติสุจริต)
สัญญมะ (การบังคับจิตใจควบคุมอารมณ์) ทมะ (การฝึ กฝน อบรมตน) บุญก็เป็ นทรัพย์อันแพร่หลายอยู่ทั่วทุกแห่งหน และนิธิ คือที่ส าหรับท าบุญนั ้นก็มีอยู่ทั่วไป ผู้มีตาปัญญาย่อมมองเห็น สามารถแสวงหาขุมทรัพย์แล้ว ฝังไว้เป็ นบุญนิธิได้ทุกที่และทุก เวลา ผู้รู้จักมอง ย่อมเห็นขุมทรัพย์ได้ แม้แต่ในค าว่ากล่าวชี ้ โทษผู้อื่น อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในคาถาธรรมบท บัณฑิต วรรคว่า “พึงมองเห็นปราชญ์ผู้คอยชี ้โทษชอบข่มว่าเหมือนเป็ น ผู้บอกทรัพย์และควรคบคนที่เป็ นบัณฑิตเช่นนั ้น เมื่อคบคน อย่างนั ้นย่อมมีแต่ดี ไม่มีเสีย” คติอันพึงได้จากพุทธพจน์นี ้ อยู่ ที่ว่า ค าชี ้โทษนั ้นช่วยให้เรารู้และแก้ไขข้อบกพร่องของตน ปรับปรุงตนเองให้ดียิ่งขึ ้น เท่ากับได้พบและสร้างขุมทรัพย์ขึ ้น อีก
เมื่อเผื่อแผ่ บริจาคทาน ประพฤติสุจริต และบ าเพ็ญ ประโยชน์แก่สถาบันใด ๆ ก็ดี แก่กิจการส่วนรวมใด ๆ ก็ดี หรือ แม้แก่บุคคลผู้หนึ่งผู้ใดก็ดี ย่อมได้ชื่อว่า ฝังบุญนิธิไว้แล้วในที่ นั ้น ๆ ยิ่งผู้ฝังขุมทรัพย์นั ้นเป็ นคนมีปัญญา รู้จักคิด รู้จัก พิจารณา ว่าฝังในที่ใดอย่างใดจึงจะส าเร็จประโยชน์มาก ก็ยิ่ง เป็ นขุมทรัพย์ที่ดีมีคุณค่ามากขึ ้น ในทางพระพุทธศาสนาจึง สอนให้ท าการทุกอย่างด้วยปัญญา เช่น เมื่อบริจาคทาน ก็พึง ให้ด้วยตระหนักแก่ใจของตนแล้วว่า การให้นั ้น จักช่วยให้ บังเกิดประโยชน์แก่รู้รับไปมีผลดีงามแก่พระศาสนา แก่สถาบัน แก่ชุมชนนั ้น ๆ อย่างไร ตามอย่างพุทธภาษิต ในสังยุตต นิกายสคาถวรรค ที่ว่า “การให้ด้วยการพิจารณา ท าให้ส าเร็จ ประโยชน์ การพิจารณาแล้วจึงให้ เป็ นทานอันพระสุคตทรง สรรเสริญ” และการพิจารณาแล้วให้นั ้น ก็จัดเป็ น สัปปุริสทาน อย่างหนึ่งด้วย ทานที่ท่านจัดว่าเลิศ ว่าสูงสุดตามคติพุทธ
ศาสนาได้แก่ สังฆทาน คือ การให้แก่สงฆ์ การให้แก่ส่วนรวม เพราะการให้แก่ส่วนรวมย่อมตัดและป้ องกันความรู้สึกเศร้า หมอง หรือขุ่นมัวในใจ ที่อาจเกิดจากความเกี่ยวเกาะในตัว บุคคล มิให้เกิดขึ ้นได้ และการให้แก่ส่วนรวมย่อมส าเร็จประโยชน์ได้ แน่นอนกว่า กว้างขวางกว่าโดยเฉพาะในเมื่อส่วนรวมนั ้นมี ระบบการจัดการมีระเบียบวิธีด าเนินงานที่รัดกุมเรียบร้อย สังฆทานจึงเป็ นการให้ด้วยความพินิจพิจารณาเป็ น วิเจยฺย ทาน อยู่ในตัว พระพุทธองค์เคยตรัสเล่าเรื่องพราหมณ์ฤๅษีในปางก่อน ว่า ท่านเหล่านั ้น ประพฤติพรหมจรรย์มีความส ารวม ได้รักษา ขุมทรัพย์อันประเสริฐที่เรียกว่า พรหมนิธิไว้ ได้แก่ ประพฤติ มั่นในพรหมวิหารธรรมเป็ นต้น แม้จะไม่ได้แสวงหาทรัพย์ สมบัติเงินทอง ของใช้และสัตว์เลี ้ยงต่างๆ เอง แต่ก็เป็ นผู้
สมบูรณ์พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สินและพืชผล ได้รับการท านุบ ารุง และความเคารพนอบน้อมจากประชาชนเป็ นอย่างดี นี ้เป็ นบุญ นิธิอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็ นเพียงชั ้นที่ที่มิใช่สัจธรรม แต่ก็ยังมี ประโยชน์มาก ส่วนในพระพุทธศาสนา ซึ่งมีค าสอนเป็ นสัจ ธรรมสอนไว้ทุกระดับ ถ้ามีปัญญารู้จักเลือกและน ามาประพฤติ ปฏิบัติ ย่อมสามารถให้ผลประโยชน์ตามความประสงค์ตั ้งแต่ ชั ้นโลกียสมบัติ อันได้แก่ความสมบูรณ์ด้วยกามคุณ ๕ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ในโลกมนุษย์และสวรรค์ ตลอดถึงนิพพาน สมบัติและแม้พุทธภูมิ ตามที่มีรับรองไว้ในนิธิกัณฑสูตรนั ้น ทั ้ง สามารถช่วยคนอื่น ๆ ให้ได้รับผลเช่นนั ้นด้วย วิธีท าบุญในมูลนิธิ อย่างที่มีผู้ศรัทธามากขึ ้นในปัจจุบันนี ้ นับว่าเป็ นวิธีการอันสนับสนุนคติเรื่องนิธิที่กล่าวแล้ว จัดเป็ น การฝังขุมทรัพย์ ประเภทบุญนิธิอย่างส าคัญ จะขอยกลักษณะ อันดีของมูลนิธิมากล่าวไว้แต่บางประการ เช่น
๑. มูลนิธิเป็ นสถาบันส่วนรวม ตั ้งไว้เพื่อกิจอันเป็ น ประโยชน์แก่ส่วนรวมที่เรียกว่า กุศลสาธารณประโยชน์ การ ให้แก่มูลนิธิจึงจัดเข้าในทางประเภทสังฆทาน ซึ่งเป็ นทานที่มี ผลมากที่สุด เพราะท าให้ใจของผู้บร ิ จาคปลอดโปร่งบร ิ สท ุ ธ ิ ์ ให้กว้างขวาง ไม่คับแคบ ความหมายของทานที่ว่าให้หรือ เสียสละอย่างแท้จริง ยิ่งถ้าเป็ นมูลนิธิของพระสงฆ์ในศาสนา ด้วย ก็ย่อมเป็ นสังฆทานโดยสมบูรณ์ทั ้งในรูปศัพท์และ ความหมาย ๒. มูลนิธิ ย่อมมีวัตถุประสงค์อันเกี่ยวด้วย สาธารณประโยชน์ระบุไว้ชัดแจ้ง อันผู้บริจาคก าหนดได้เองว่า เป็ นประโยชน์แท้จริง สมเหตุสมผลและตรงใจตน สมควรบ ารุง เพียงใดหรือไม่และมีระบบวิธีด าเนินงานรัดกุมเป็ นระเบียบ ควรแก่ความมั่นใจว่า จักจัดการให้ส าเร็จสมตามวัตถุประสงค์
ได้ การให้อย่างนี ้จึงจัดว่าเป็ น วิเจยฺย ทาน การให้ด้วย ปัญญาอันเป็ นที่สรรเสริญในทางศาสนา ๓. การประพฤติธรรม บ าเพ็ญประโยชน์ต่าง ๆ นี ้ จัดเป็ นขุมทรัพย์ที่สูงสุด คือ บุญนิธิหรือ อนุคามิกนิธิ นิธิ ติดตามตน ให้ส าเร็จผลที่ปรารถนาทุกอย่าง ตั ้งแต่โลกิย สมบัติถึงนิพพานสมบัติ การบริจาคทานแก่มูลนิธินั ้น จึงเป็ น นิธิอยู่ในตัวเองแล้ว คือเป็ นบุญนิธิ ๔. วัตถุประสงค์ต่าง ๆ ของมูลนิธิ ซึ่งเป็ นการบ าเพ็ญกุศล สาธารณประโยชน์ เช่น บ ารุงการศึกษาเล่าเรียน สนับสนุน การฝึ กอบรมศีลธรรม รักษาวัฒนธรรม และส่งเสริมการปฏิบัติ ธรรม เป็ นต้น แต่ละอย่างยิ่งเป็ นขุมทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่งใน ขุมทรัพย์ ๔ ประเภทที่กล่าวแล้วอยู่ในตัว ฉะนั ้น ถ้าบ ารุง ส่งเสริมมูลนิธิจึงเท่ากับได้สร้างและช่วยผู้อื่นสร้างขุมทรัพย์ทั ้ง
๔ ประเภทนั ้นขึ ้นอีกต่อหนึ่ง เป็ นการสร้างขุมทรัพย์ขึ ้นทีเดียว หลายชั ้น ๕. ผลดีอันใดที่เกิดจากการบ าเพ็ญประโยชน์ของมูลนิธิ นั ้น ผู้บ ารุงมูลนิธิย่อมชื่อว่ามีส่วนด้วย ถ้ามีผู้ใดอาศัยมูลนิธิ นั ้นได้รับการศึกษามีความรู้มีคุณธรรม ประพฤติดีงามบ าเพ็ญ ประโยชน์แก่พระศาสนาและประเทศชาติ ผู้บ ารุงมูลนิธิก็ชื่อว่า ได้มีส่วนสร้างบุคคลผู้นั ้น และมีส่วนบ าเพ็ญประโยชน์แก่ ประเทศชาติด้วย เมื่อพระสงฆ์ได้รับประโยชน์จากมูลนิธินั ้น แล้ว สามารถบ าเพ็ญ สมณธรรม ปฏิบัติศาสนกิจด ารงสืบ ต่ออายุพระศาสนาไว้ ผู้บ ารุงมูลนิธินั ้นก็ชื่อว่าได้ร่วมด ารงและ สืบต่ออายุพระศาสนาด้วย ๖. เมื่อมูลนิธินั ้น ไม่ใช้เงินต้นทุน น าเอาแต่ดอกผลไป บ าเพ็ญประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ และให้ผู้บริจาคตั ้งทุน มูลนิธิมีชื่อตามที่ตนประสงค์ไว้ในมูลนิธิใหญ่นั ้นได้ด้วย มูลนิธิ
นั ้น ย่อมเป็ นการถาวรยั่งยืนนาน ทุนมูลนิธิของผู้บริจาคนั ้นจะ คงอยู่ตลอดไป ตราบเท่าที่มูลนิธินั ้นยังด ารงอยู่ ฝากชื่อและ ความดีไว้เป็ นอนุสรณ์ และเป็ นเกียรติคุณแก่วงศ์ตระกูลชั่ว กาลนาน อีกประการหนึ่ง เมื่อมูลนิธินั ้นน าดอกผลออกมา ท าบุญ บ าเพ็ญกุศลตามวัตถุประสงค์ครั ้งใด ผู้บริจาคนั ้นชื่อ ว่าได้ท าบุญบ าเพ็ญกุศลทุกคราวไปจะยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม สิ ้นชีวิตแล้วก็ตาม ย่อมมีโอกาสท าบุญกุศลเรื่อยไปไม่รู้จัก สิ ้นสุด ในประเทศชาติใด ประชาชนเป็ นผู้มีจิตใจเปี่ ยมด้วย ศรัทธา ใฝ่ ในการบ าเพ็ญกุศลสาธารณประโยชน์ และ ประกอบด้วยปัญญา รู้จักพิจารณาที่จะเป็ นประโยชน์มีสายตา กว้างไกล มองเห็นส่วนที่จะเป็ นผลดี และเกื ้อกูลกว้างขวาง คง อยู่ยาวนาน เป็ นผู้บ าเพ็ญทานและกุศล ทั ้งปวงด้วยความพินิจ พิจารณาเช่นนั ้น ประเทศชาตินั ้นย่อมมีแต่จะเจริญก้าวหน้า
แผ่ไพศาลและศาสนาก็จะรุ่งเรืองมั่นคง ทั ้งจักมีโอกาส เอื ้อเฟื ้อเผื่อแผ่ไปถึงเพื่อนมนุษย์ทั ้งหลายในถิ่นฐานอื่น ๆ ด้วย ก็แลการที่จะให้เกิดผลทั ้งนี ้ได้ ย่อมต้องให้อาศัยสังฆทาน และ วิจัยทานเป็ นต้น มูลนิธิทานบารมี (มทบ) Dana Giving Foundaation ( DGF) วัตถุประสงค์ของมูลนิธิ คือ ๑ ให้อามิสทาน คือ การให้วัตถุให้สิ่งของต่างๆ ทั ้งอุปโภคและ บริโภค ให้เงิน ให้ปัจจัยสี่ ที่พัก อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษา โรค ในการด ารงชีวิตแก่พุทธบริษัท ๔ สร้างธรรมสถาน เพื่อ ปฏิบัติธรรม และช่วยเหลือผู้ยากไร้ ขาดแคลน และประสบภัย พิบัติ
๒ ให้อภัยทาน คือ การให้อภัยให้ชีวิตสัตว์เป็ นทาน ช่วยเหลือ ชีวิตสัตว์ ช่วยเหลือแก่ประชาชนและสัตว์โลก ผู้ขาดแคลนและ ประสบภัยพิบัติต่างๆ ๓ ให้วิทยาทาน คือ ให้ความรู้เป็ นทาน ให้แรงกาย ให้ความรู้ ให้ปัญญา ให้การศึกษา ให้วิชาชีพ ให้วิชชาเอาตัวรอดทางโลก ให้การศึกษาแก่เยาวชน นักเรียน นักศึกษา ประชาชน ๔ ให้ธรรมทาน ให้ความรู้หลักธรรมของพระพุทธเจ้า ให้ธรรมะ ให้ปัญญา ให้การศึกษา เผยแผ่ธรรมะในรูปแบบต่างๆ สนับสนุนการปฏิบัติธรรม สร้างธรรมทายาท การบรรพชา การ อุปสมบท การ บวชเนขัมมะ ให้แก่พุทธบริษัท ๔ ให้วิชชาเอาตัว รอดในสังสารวัฏ ๔.๕ ส่งเสริมสนับสนุนและดูแลการด าเนินงานและกิจกรรม ต่างๆ ของ "บ้านเรือนธรรม"
๔.๖ เรื่องอื่นๆ ทั ้งปวงที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือมนุษย์ชาติและ สัตว์โลก ตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร ๔.๗ ส่งเสริม สนับสนุน หน่วยงานการกุศล หรือ ร่วมมือกับ องค์การการกุศลอื่นๆ เพื่อสาธารณประโยชน์ต่างๆ ๔.๘ ไม่ด าเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด บริจาคได้ที่ ธนาคารกสิกรไทย สาขาสรงประภา ดอนเมือง บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 422-2-28718-4 ชื่อ รัตน์รดาวรรธน์ สุภานันท์ (ธีรธารา ภูริทัตตา) ติดต่อสอบถาม 083 5999416 บริจาคจากต่างประเทศ Donation Society for World-Wide Interbank Financial Telecommunication (SWIFT)