The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sirigam111, 2021-04-07 05:39:00

ใบความรู้ปวช2

ใบความรู้ที่ ๑


ชื่อหน่วย รำมาตรฐาน ระดับประกาศนียบัตรปีที่ ๒

ชื่อแผน รำฉุยฉายเบญกาย เวลา ๓๖ คาบ

…………………………………………………………………………....................................................................


จุดประสงค์การเรียนรู้
๑. บอกประวัติความเป็นมา ของรำมาตรฐาน รำฉุยฉายเบญกาย ได้

๒. ระบุองค์ประกอบของรำมาตรฐาน รำฉุยฉายเบญกาย เครื่องแต่งกาย เครื่องดนตรี โอกาส

ที่ใช้ในการแสดงได้
๓. ร้องเพลงรำมาตรฐาน รำฉุยฉายเบญกาย ได้ถูกต้อง ตามบทร้อง ทำนองเพลงและจังหวะได้




รำฉุยฉายเบญกาย


ฉุยฉาย คือ การร่ายรำรูปแบบหนึ่งของการแสดงนาฏศิลป์ไทย ที่มีลีลาหลายลักษณะที่งดงามตลอด

ทั้งบ่งชี้ให้เห็นความสามารถของผู้แสดง ผู้ประพันธ์เนื้อหา การบรรเลงดนตรี และการ

แต่งกายที่สวยงาม เป็นเอกลักษณ์ของการแสดงฉุยฉายนั้นๆ อย่างเหมาะสม
จุดหมายของการรำฉุยฉาย

ในการรำฉุยฉายนี้จะมีจุดหมายที่มุ่งเน้นด้วยสาเหตุแตกต่างกัน ดังนี้
ื่
๑. ใช้รำสำหรับตอนที่ตัวละครต้องการแสดงอารมณ์ภาคภูมิใจในเมอเห็นว่าตนเอง แต่งกายได้อย่าง
งดงาม ในการแสดงโขนละคร

๒. ใช้รำสำหรับตอนที่ตัวละครต้องการแสดงอารมณ์ภาคภูมิใจในเมื่อเห็นว่าตนเองแปลงกายได้อย่าง
สวยงาม ในการแสดงโขนละคร

3. ใช้รำสำหรับงานเฉพาะกิจ งานมงคล หรืองานโดยทั่วไป
ประเภทของการรำฉุยฉาย

การรำฉุยฉายในปัจจุบันจะพบว่ามีมากมาย มีผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้มีการประพันธ์เพมเติมขึ้น ใช้ใน
ิ่
โอกาสที่แตกต่างกันออกไป จึงพอสรุปการแบ่งประเภทของการรำฉุยฉาย ดังนี้
๑. ฉุยฉายที่ประพันธ์ขึ้นเพอสำหรับไว้รำประกอบในการแสดงโขน
ื่
๒. ฉุยฉายที่ประพันธ์ขึ้นเพอสำหรับไว้รำประกอบในการแสดงละคร
ื่

ื่
๓. ฉุยฉายที่ประพันธ์ขึ้นเพอสำหรับไว้รำประกอบในการแสดงงานต่างๆ ตามความเหมาะสม
การบรรเลงดนตรี

ฉุยฉายเป็นเพลงในอตรา ๒ ชั้น สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในปัจจุบันนิยมบรรเลง
ด้วยวงปี่พาทย์เครื่องห้าหรือเครื่องคู่ประกอบในการแสดงและอาจมีการใช้เครื่องดนตรีบางชนิดสำหรับเป่าเลียน

เสียงบทร้องฉุยฉาย เช่น ปี่ ซอ ขลุ่ย ระนาด ในช่วงที่ทวนบทร้อง และดนตรีจะบรรเลงทั้งวงในช่วงเริ่มการแสดง
ช่วงระหว่างหมดคำร้องในบทกลอนแต่ละบท (ยกเว้นบางฉุยฉาย) และในตอนสุดท้ายของการร้องที่จบหมดแล้ว

โอกาสที่จัดแสดง
ในการรำฉุยฉายจะใช้ในโอกาสที่สำคัญ ๒ ประการ ดังนี้

๑. สำหรับใช้แสดงประกอบในการแสดงโขน ละคร

๒. สำหรับใช้แสดงประกอบในงานทั่วไป เช่น งานพระราชพิธี งานมงคล งานศพ เป็นต้น
ประวัติฉุยฉายเบญกาย

การรำฉุยฉายชุดนี้บทร้องเป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา – นริศรานุวัด
ติวงศ์ อยู่ในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ชุดนางลอย ซึ่งดำเนินเรื่องราวถึงเบญกายซึ่งเป็นลูกสาวของพิเภกและ

นางตรีชาดา และเป็นหลานของทศกัณฐ์พญายักษ์เจ้ากรุงลงกา ซึ่งขณะนั้นทศกัณฐ์ทราบข่าวศึกที่พระรามยกทัพ

มาทำศึกชิงเอานางสีดาคืน ทศกัณฐ์จึงคิดอุบายให้นางเบญกายแปลงตัวเป็นสีดา ทำเป็นตายลอยน้ำไปยัง
พลับพลาของพระราม เพื่อให้พระรามเข้าใจผิดว่านางสีดาตายแล้วจะได้ยกทัพกลับไป ฉะนั้นบทฉุยฉายเบญกาย

แปลงจึงถูกประพันธ์ขึ้นเพื่อให้นางเบญกายแปลงองค์เป็นสีดา เมื่อแปลงเสร็จแล้วก็ขึ้นไปเฝ้าทศกัณฐ์เพื่อให้สำรวจ

ว่าเหมือนนางสีดาหรือไม่
การแต่งกาย แต่งกายยืนเครื่องนาง (นางสีดา)

























ภาพ การแต่งกายการแสดงชุดฉุยฉายเบญกาย

บทร้อง

- ร้องฉุยฉาย -
ฉุยฉายเอย จะขึ้นไปเฝ้าเจ้าก็กรีดกราย

เยื้องย่างเจ้าช่างแปลงกาย ให้ละเมียดละม้านสีดานงลักษณ์

ถึงพระรามเห็นทรามวัย จะฉงนพระทัยให้เอลื่ออลัก

งามนักเอย ใครเห็นพมพพักตร์ก็จะรักจะใคร่

หลับก็จะฝันครั้นตื่นก็จะคิด อยากจะเห็นอีกสักนิดให้ชื่นใจ
งามคมดุจคมศรชัย ถูกนอกทะลุในให้เจ็บอุรา

- ร้องแม่ศรี -

แม่ศรีเอย แม่ศรีรากษสี
แม่แปลงอินทรีย์ เป็นแม่ศรีสีดา


ทศพกตร์มาลักเห็น จะตื่นเต้นในวิญญาณ์
เหมือนล้อเล่นให้เป็นบ้า ระอาเจ้าแม่ศรีเอย

อรชรเอย อรชรอ้อนแอ้น

เอวขาแขนแมน แม้นเหมือนกินรี
ระทวยนวยนาด วิลาศจรลี

ขึ้นปราสาทมณี เฝ้าพระปิตุลาเอย ฯ

- ปี่พาทย์ทำเพลงเร็ว – ลา -


********************************************************

ใบความรู้ที่ ๒


ชื่อหน่วย ระบำมาตรฐาน ระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ ๒

ชื่อแผน ระบำดาวดึงส์ เวลา ๓๖ คาบ

....................................................................
จุดประสงค์การเรียนรู้

๑. บอกประวัติความเป็นมา ของระบำมาตรฐาน ระบำดาวดึงส์ ได้
๒. ระบุองค์ประกอบของระบำมาตรฐาน ระบำดาวดึงส์ เครื่องแต่งกาย เครื่องดนตรี โอกาสที่ใช้ใน

การแสดงได้

๓. ร้องเพลงระบำมาตรฐาน ระบำดาวดึงส์ ได้ถูกต้อง ตามบทร้อง ทำนองเพลงและจังหวะได้
ระบำดาวดึงส์

ประวัติความเป็นมา
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ทรงนิพนธ์เพลงระบำชุดนี้ขึ้นใช้

ประกอบการแสดงละครดึกดำบรรพ์เรื่อง “สังข์ทอง” ตอนตีคลี ละครดึกดำบรรพ์มีกำเนิดขึ้นในรัชกาลที่ ๕

และได้รับความนิยมแสดงมาก เนื่องจากเป็นละครที่ได้ปรับปรุงรูปแบบการการแสดงขึ้นใหม่ โดยนำเอาเทคนิค
การละครตะวันตกมาใช้ ระบำชุดนี้มีลักษณะและรูปแบบที่แตกต่างจากระบำไทยมาตรฐานของเก่าซึ่งตีบทตาม

ความหมายของคำร้อง แต่ระบำดาวดึงส์หม่อมเข็ม กุญชร (หม่อมของเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์) ได้นำเอาท่า

รำ ตาเขิ่งและเจ้าเซ็น ซึ่งกรมหลวงพิทักษ์มนตรีได้ทรงคิดประดิษฐ์จากท่าเต้นทุบอกของพวกแขกเจ้าเซ็นมาเป็น
ท่ารำของระบำชุดนี้

การแต่งกาย
แต่งกายแบบยืนเครื่องพระ นาง

ภาพ การแต่งกายการแสดงชุดระบำดาวดึงส์

หน้าพาทย์และเพลงร้อง
ปี่พาทย์ทำเพลงเหาะ , รัว ,ร้องเพลงแขกตะเขิ่ง , เพลงแขกเจ้าเซ็น คลอปี่พาทย์รัว

บทร้อง


จากหนังสือชุมนุมบทละครและบทคอนเสิร์ต สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟากรมพระยานริศรานุวัดติ
วงศ์ กรมศิลปากรจัดพิมพ์ในงานฉลองครบรอบร้อยปี่แห่งวันประสูติ ๒๘ เมษายน ๒๕๐๖


- เพลงแขกตาเขิ่ง (เข้าปี่พาทย์) –

ดาวดึงส์เทวโลกมโหฬาร เป็นที่อยู่สำราญฤทัยหรรษ์

สารพัดงามจริงทุกสิ่งอัน สารพันอุดมสมใจปอง
เทพบุตรผุดพรรณโฉมยง งามทรงอาภรณ์ไม่มีหมอง

นางอัปสรงอนสงวนนวลละออง งามทรงเครื่องทองและเพชรนิล


- เพลงแขกเจ้าเซ็น (เข้าปี่พาทย์) -

สมเด็จพระอมรินทร์ปิ่นมงกุฎ ทรงวชิราวุธธนูศิลป์
รักษาเทวสีมาเป็นอาจิน อสุรินทร์อรีไม่บีฑา (ซ้ำ)

อันอินทรปราสาททั้งสาม (ซ้ำ) ทรงงามสูงเงื้อมกลางเวหา

สี่มุขหุ้มมาศสะอาดตา ใบระกาแกมแก้วประกอบกัน
ื้
ช่อฟ้าช้อยเฟอยเฉื่อยชด (ซ้ำ) บราลีที่ลดมุขกรกะสัน (ซ้ำ)
มุขเด็จทองดาดกนกพัน บุษบกสุวรรณชามพูนุท (ซ้ำ)
ราชยานเวชยันต์รถแก้ว (ซ้ำ) เพริศแพร้วกำกงอลงกต (ซ้ำ)

แอกงอนอ่อนสลวยชวยชด (ซ้ำ) เครือขดช่อตั้งบัลลังก์ลอย

รายรูปสิงห์อัดหยัดยัน สุบรรณจับนาคหิ้วเศียรห้อย (ซ้ำ)
ดุมพราววาววับประดับพลอย แปรกแก้วกาบช้อยสะบัดบัง

เทียมด้วยสินธพเทพบุตร ทั้งสี่บริสุทธิ์ดังสีสังข์
มาตลีอาจขี่ขับประดัง (ซ้ำ) ให้รีบรุดสุดกำลังดังลมพา



- รัว -
---------------------

ใบความรู้ที่ ๓


ชื่อหน่วย รำหน้าพาทย์ ระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ ๒ ชื่อแผน

โอดชั้นเดียว, โอดสองชั้น เวลา ๒๔ คาบ

....................................................................


จุดประสงค์การเรียนรู้
๑. บอกประวัติความเป็นมา ของรำหน้าพาทย์ เพลงตระบองกัน, โอดชั้นเดียว, โอดสองชั้นได้

๒. ระบุองค์ประกอบของรำหน้าพาทย์ เพลงตระบองกัน, โอดชั้นเดียว, โอดสองชั้น เครื่องแต่งกาย

เครื่องดนตรี โอกาสที่ใช้ในการแสดงได้
๓. นักเรียนสามารถอธิบายนาฏยศัพท์ที่ใช้ในการรำหน้าพาทย์เพลงตระบองกัน, โอดชั้นเดียว, โอดสอง

ชั้น ได้


เพลงหน้าพาทย์โอด

เพลงโอดใช้บรรเลงประกอบกิริยาร้องไห้ เศร้าโศกของตัวละคร โดยทั่วไปเพลงโอดนี้จะเป็นการเสียใจ
อย่างแรง ซึ่งผิดกับเพลงทยอยที่ประกอบการคร่ำครวญเศร้าสร้อย มีทั้งโอดชั้นเดียวและโอดสองชั้น

ใบความรู้ที่ ๔


ชื่อหน่วย ระบำเบ็ดเตล็ด ระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพที่ ๒ ชื่อแผน ฟ้อน

พม่าเปิงมาง เวลา ๓๖ คาบ

....................................................................
จุดประสงค์การเรียนรู้


๑. บอกประวัติความเป็นมา ของระบำเบ็ดเตล็ด ฟอนพม่าเปิงมาง ได้
๒. ระบุองค์ประกอบของระบำเบ็ดเตล็ด ฟ้อนพม่าเปิงมาง เครื่องแต่งกาย เครื่องดนตรี โอกาสที่ใช้ใน

การแสดงได้

๓. นักเรียนสามารถอธิบายนาฏยศัพท์ที่ใช้ในการรำฟ้อนพม่าเปิงมาง


ฟ้อนพม่าเปิงมาง


ฟ้อนเป็นการแสดงพื้นเมือง อันเป็นศิลปของไทยฝ่ายเหนือ เป็นการร่ายรำที่แสดงพร้อมกันเป็นชุดๆ ไม่

ดำเนินเป็นเรื่องราว ท่าทางกรีดกรายร่ายรำ บางท่าแม้จะไม่มีความหมาย นอกจากความสวยงาม แต่บางท่าม ี
ความหมายตามทีท่าและบทร้อง ในสมัยโบราณฟ้อนใช้แสดงประกอบเฉพาะในวันสำคัญในพระราชพิธีและใน

พระราชฐานเท่านั้น เช่น ในคุ้มหลวงผู้ฟ้อนโดยมากล้วนแต่เป็นเจ้านายเชื้อพระวงศ์ฝ่ายในทั้งสิ้น ศิลปะการฟอนรำ

อยู่ที่ความพร้อมเพรียงและความอ่อนช้อยของท่ารำเป็นสำคัญ จำนวนผู้แสดงมักแสดงเป็นหมู่ราว ๘ คน บางทีก็
แสดงกลางแจ้งนับเป็น ๕๐ คน หรือจำนวนร้อยคู่ขึ้นไป เครื่องแต่งกายเป็นแบบชาวเหนือสลับสีกันอย่างงดงาม

การฟ้อนที่นิยมในปัจจุบันได้แก่ ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนลาวแพน ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตาฟอนม่านมงคล


ฟ้อนบายศรี ฟ้อนดาบ เป็นต้น การฟ้อน ได้กล่าวแล้วว่าเป็นการแสดงออกถงวัฒนธรรมและขนบประเพณีของชาว
เหนือ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะทั้งการแต่งกาย จังหวะ และลีลาท่าทางการฟ้อนรำ เพลงและดนตรีที่ใช้ประกอบจึง

นับเป็นศิลปะและวัฒนธรรมของชาวภาคเหนือโดยแท้


ประวัติความเป็นมา ฟ้อนพม่าเปิงมาง
ฟ้อนพม่าเปิงมาง เป็นผลงานของคุณครูลมุล ยมะคุปต์ และคุณครูผัน โมรากุล เพื่อแสดงในงานต้อนรับผู้

มีเกียรติชาวต่างประเทศของรัฐบาล สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ณ ทำเนียบรัฐบาล


ด้านท่ารำชุดฟอนพม่าเปิงมาง คุณครูลมุล ยมะคุปต์ ไปราชการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย
ณ สหภาพพม่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๘ ท่านจึงนำท่ารำของพม่าบางท่า มาดัดแปลงให้เป็นลีลานาฏศิลป์ไทย เข้ากับ

ท่วงทำนองเพลงบางเพลงในชุดโยคีถวายไฟ และฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา เพลงฟอนพม่าเปิงมางเป็นเพลงที่มีจังหวะ



ค่อนข้างเร็วซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้น ต่อมาทางวิทยาลัยนาฏศิลป เกรงว่าการรำชุดฟอนพม่าเปิงมางจะสูญหายไป
จึงได้บรรจุไว้ในหลักสูตรนาฏศิลป์ไทย


ด้านดนตรี

คุณครูสงัด ยมะคุปต์ และคุณครูพริ้ว ดนตรีรส คุณครูผู้ใหญ่ด้านดุริยางค์ไทย ได้นำท่วงทำนองเพลงของ
พม่าคือ “รัวพม่า” และท่วงทำนองเพลงฟ้อนโยคีถวายไฟท่วงทำนองเพลงฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตาบางช่วงมาแทรกไว้

ในชุดนี้
เครื่องดนตรี

ใช้วงปี่พาทย์ แต่เพิ่มกลองเปิงมางเข้ามาประกอบจังหวะ

ผู้แสดง
ใช้ผู้แสดงหญิงล้วน

เครื่องแต่งกาย
เสื้อรัดอกสีดำด้านใน เสื้อชั้นนอกแขนยาว เอวสั้น มีลวดอ่อนงอขึ้นจากเอวด้านข้างเล็กน้อย ชายเสื้อ

ด้านข้างห้อยอุบะร้อยดอกจำปา หลายแขนเสื้อยาวถึงข้อมือ และมีผ้าคล้องคอทิ้งชายยาวลงมาถึงเข่า

ผ้านุ่ง นุ่งซิ่นกรอมเท้า ต่อเชิงเป็นผ้าบางอยู่ชายผ้า
ผม เกล้าผมมวยกลางศีรษะ ปล่อยช้องผมลงด้านข้าง ติดดอกไม้สดและห้อยอุบะยาว




























ภาพ เครื่องแต่งกายการแสดงชุดฟ้อนพม่าเปิงมาง (เฉพาะชุดเครื่องแต่งกายสีฟ้า)



ลักษณะท่ารำ
ฟ้อนพม่าเปิงมางเป็นการฟ้อนทั้งมือเปล่าและจับผ้าคล้องคอในบางช่วงของเพลง

ใบความรู้ที่ ๕


ชื่อหน่วย ระบำเบ็ดเตล็ด ระดับชั้นประกาศนียบัตร์วิชาชีพปีที่ ๒

ชื่อแผน ระบำโบราณคดี ชุด ลพบุรี เวลา ๒๔ คาบ

....................................................................
จุดประสงค์การเรียนรู้

๑. บอกประวัติความเป็นมา ของระบำเบ็ดเตล็ด ระบำโบราณคดี ชุด ระบำลพบุรี ได้
๒. ระบุองค์ประกอบของระบำเบ็ดเตล็ด ระบำโบราณคดี ชุด ระบำลพบุรี เครื่องแต่งกาย เครื่อง

ดนตรี โอกาสที่ใช้ในการแสดงได้

๓. นักเรียนสามารถอธิบายนาฏยศัพท์ที่ใช้ในการรำระบำลพบุรี


ระบำโบราณคดี ชุด ระบำลพบุรี
ประวัติความเป็นมา

ระบำโบราณคดีเกิดจากแนวความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของนายธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร ที่มี

วัตถุประสงค์จะจูงใจให้ผู้ดูผู้ชม ศึกษาหาความรู้จากโบราณวัตถุสถานให้แพร่หลายออกไป โดยอาศัยภาพปั้นหล่อ
จำหลักของศิลปะโบราณวัตถุสมัยต่างๆ ได้แก่ สมัยทวาราวดี สมัยศรีวิชัย สมัยลพบุรี สมัยเชียงแสน สมัยสุโขทัย

มาเป็นหลักในการวางแนวสร้างระบำประจำสมัยของศิลปโบราณวัตถุแต่ละชุดขึ้น ซึ่งมีทั้งหมด ๕ ชุด คือ ระบำ

ทวาราวดี ระบำศรีวิชัย ระบำลพบุรี ระบำเชียงแสน ระบำสุโขทัย ซึ่งรวมเรียกเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า “ระบำชุด
โบราณคดี” โดยมีนายธนิต อยู่โพธิ์ ประดิษฐ์สร้าง นายมนตรี ตราโมท สร้างเพลงดนตรี คุณหญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี

นางลมุล ยมะคุปต์ นางเฉลย ศุขะวณิช ให้ท่ารำและฝึกซ้อมนาฏศิลป์ นายสนิท ดิษฐพันธ์ ออกแบบเครื่องแต่ง
กาย

ระบำชุดนี้ได้จัดแสดงถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมราชินีนาถ ทอดพระเนตรเป็น

ครั้งแรกในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคารสร้างใหม่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร เมื่อวันที่ ๒๕
พฤษภาคม ๒๕๑๐

สำหรับระบำโบราณคดีชุด ลพบุรีนี้ สร้างขึ้นจากหลักฐานทางโบราณวัตถุและโบราณสถานสมัยหนึ่งซึ่ง
สร้างขึ้นตามศิลปะแบบขอม เช่น พระปรางค์สามยอดที่จังหวัดลพบุรี ปราสาทหินพิมายที่จังหวัดนครราชสีมา

ปราสาทหินพนมรุ้งที่จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น นักปราชญ์ทางโบราณคดีกำหนดเรียกว่า “ศิลปะลพบุรี” ด้วยเหตุนี้

ทำนองเพลงของระบำชุดนี้จึงมีสำเนียงเป็นเขมร
ระบำลพบุรี เกิดขึ้นโดยเลียนแบบลักษณะท่าทางต่างๆ ของเทวรูป ตลอดจนภารเขียน ภาพแกะสลัก

รูปปั้น รูปหล่อโลหะ และภาพศิลาจำหลักที่ทับหลังประตู นำมาเป็นข้อมูลในการประดิษฐ์ ผู้ประดิษฐ์ท่ารำ


คือ นางลมุล ยมะคุปต์ และนางเฉลย ศุขะวณิช เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงในระบำชุดนี้ได้แก่ ซอสามสาย พณน้ำเต้า
ปี่ใน กระจับปี่ โทน ฉิ่ง ฉาบ และกรับ
เครื่องแต่งกาย

สำหรับการแต่งกายเลียนแบบมาจากรูจำหลักทับหลังบนประตูปราสาทหินพิมาย และเทวรูปสำริดสมัย

ลพบุรี ดังนี้
๑. เสื้อ ใช้ผ้ายืดสีเนื้อ คอกลม แขนสั้นเหนือศอก ติดแถบสีทอง รอบคอ หว่างอกและ

รอบเอว ตัวเอกปักดิ้นเป็นลายดอกประจำยามหนึ่งดอกตรงระหว่างอก
๒. ผ้านุ่ง เย็บสำเร็จแบบทบซ้อนหน้า ชายล่างโค้งมน ยาวคลุมเข่า ปักดิ้นลายประจำ

ยามประปราย มีผ้าตาดสีทองทาบชายกระโปรง ตัวเอกนุ่งสีส้มแสด หมู่ระบำสีฟ้าอมม่วง

๓. ผ้ารัดสะเอว ปักดิ้น มีลวดลายเฉพาะด้านหน้า มีสายผูกคาดไปข้างหลัง
๔. ผ้าคลุมสะโพก สีม่วงออน ชายแหลมมนแยกเป็น ๒ ชิ้น หมู่ระบำ ริมผ้าทาบด้วยผ้า

ตาดสีทอง ตัวเอกทาบริมด้วยผ้าตาดสีเงิน
เครื่องประดับ

๑. ศีรษะ ประกอบด้วย

๑.๑ระบังหน้าหมู่ระบำใช้กระบังหน้าประดับดอกไม้ไหว ตัวเอกกระบังหน้ารูป
ดอกดาวกระจาย ๖ ดอก ๑.๒ เกี้ยว ๑.๓ ทัดรอบผม ๑.๔ พู่ไหมแซมเงิน

๒. รัดต้นแขน ประดับกระจกสีต่างๆ

๓. สร้อยคอ ประดับด้วยแก้ว หรือพลอย
๔. เข็มขัด

๕. กำไลข้อมือ ประดับด้วยแก้ว หรือพลอย
๖. กำไลข้อเท้า ประดับกระจกสีต่างๆ

๗. ต่างหู ประดับด้วยพลอย และกระจกสีต่างๆ

ภาพ การแต่งกายชุดการแสดงระบำลพบุรี



เครื่องดนตรี
อาจารย์มนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทย ได้ศึกษาค้นคว้าลักษณะเครื่องดนตรีตามรูปที่ปรากฏอยู่

ในภาพศิลาจำหลักทับหลังประตูระเบียง ทางทิศตะวันตกของปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา นำมา
เปรียบเทียบกับเครื่องดนตรีในปัจจบัน และยังเพิ่มเครื่องดนตรีบางอย่างสำหรับการบรรเลง ดังนี้

๑. ซอสามสาย ๒. พิณน้ำเต้า

๓. ปี่ใน ๔. กระจับปี่
๕. โทน และมีเครื่องกำหนดจังหวะ คือ ฉิ่ง ฉาบเล็ก และกรับ

นาฏยศัพท์

๑. จีบมือ แบบลพบุรี ได้รูปแบบมาจากลักษณะนิ้วของพระพทธรูปในสมัยลพบุรี ซึ่งเมื่อนำมาผสมผสาน
กับลีลาทางนาฏศิลป์ จะมีลักษณะดังนี้ ปลายนิ้วหัวแม่มือจรดเหนือข้อแรกของปลายนิ้วชี้ นิ้วที่เหลือเหยียดตึง

๒. ถองสะเอว แขนขวางอศอก ให้ข้อศอกจรดเอว หักข้อมือ ตั้งวงกดไหล่ขวา ศีรษะ
เอียงขวา มือซ้ายตั้งวงสูงระดับแง่ศีรษะ ถ้าจะถองสะเอวข้างซ้ายก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน

๓. เดี่ยวเท้า คือ การยืนยกเท้าข้างใดข้างหนึ่ง แนบฝ่าเท้ากึ่งกลางข้างเท้าที่ยืนเป็นหลัก

ใบความรู้ที่ ๖


ชื่อหน่วย การแสดงเป็นชุดเป็นตอน ระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ ๒

ชื่อแผน ตับพรหมาสตร์ เวลา ๔๘ คาบ


....................................................................

จุดประสงค์การเรียนรู้
๑. บอกประวัติความเป็นมา ของการแสดงเป็นชุดเป็นตอน เรื่องรามเกียรติ์ ชุดตับพรหมาสตร์ได้

๒. ระบุองค์ประกอบของการแสดงเป็นชุดเป็นตอน เรื่องรามเกียรติ์ ชุดตับพรหมาสตร์ ด้านเครื่อง แต่งกาย

เครื่องดนตรี โอกาสที่ใช้ในการแสดงได้
๓. ร้องเพลงของการแสดงเป็นชุดเป็นตอน เรื่องรามเกียรติ์ ชุดตับพรหมาสตร์ ได้ถูกต้องตามบทร้อง ทำนอง

เพลงและจังหวะได้


ประวัติความเป็นมา

เป็นการแสดงในโขน เรื่องรามเกียรติ์ ชุด ศึกพรหมาสตร์ ซึ่งเรียกอีกชื่อว่าระบำหน้าช้าง ตามเนื้อเรื่อง
กล่าวว่า อินทรชิตโอรสของทศกัณฐ์ใช้กลยุทธ์ลวงพระลักษณ์และกองทัพวานร โดยอินทรชิตแปลงกายเป็นพระ

อินทร์ทรงช้างเอราวัณ แล้วให้บรรดาพลยักษ์แปลงกายเป็นเทพบุตร นางฟ้า ฟ้อนรำนำขบวนไปหน้าช้างเอราวัณ

ผู้คิดประดิษฐ์ท่ารำคือ หม่อมเข็ม กุญชร
การแต่งกาย

แต่งกายยืนเครื่องพระ – นาง
























ภาพ การแต่งกายการแสดงชุดตับพรหมมาสตร์

บทร้อง

- ร้องเพลงกราวนอก -
ขึ้นทรงคอคชาเอราวัณ ทหารแห่โห่สนั่นหวั่นไหว

ขยายยกโยธาคลาไคล ลอยคว้างมาในโพยมมาน

- ร้องเพลงทะแยกลองโยน -
ช้างนิมิต เหมือนไม่ผิดช้างมัฆวาน

เริงแรงกำแหงหาญ ชาญศึกสู้รู้ท่วงที
ผูกเครื่องเรืองทองทอ กระวินทองหล่อทอแสงสี

ห้อยหูพู่จามรี ป กตระพองทองพรรณราย

เครื่องสูงเรียงสามแถว ลายกาบแก้วแสงแพรวพราย
อภิรุมสับชุมสาย บังแทรกอยู่เป็นคู่เคียง

กลองชนะประโคมคึก มโหระทึกกึกก้องเสียง
แตรสังข์ส่งสำเนียง นางจำเรียงเคียงช้างทรง

สาวสุรางค์นางรำฟ้อน ดังกินนรแน่งนวลระหงส์

นักสิทธิ์ฤทธิรงค์ ถือทวนธงลิ่วลอยมา ฯ
- ปี่พาทย์รับ ทำเพลงเชิด -

- ร้องเพลงกระบอก -

ครั้นถึงที่ประจัญบานราญรอน เห็นวานรนับแสนแน่นหนา
กับทั้งองค์พระลักษณ์ทรงศักดา ยืนรถรัตนาอยู่กลางพล

จึงให้หยุดช้างทรงองอาจ ลอยเลื่อนเกลื่อนกลาดกลางเวหน
ให้กุมภัณฑ์บรรดาจำแลงตน ใส่กลขับลำระบำบรรพ์

- ร้องเพลงแขกอาหวัง -

บัดนั้น รูปนิมิตฤทธิแรงแข็งขัน
สาวสุรางค์นางฟ้าเทวัญ บังคมคัลคำนับรับบัญชา

- ร้องเพลงสร้อยสน -

ต่างจับระบำรำฟอน ทอดกรกรีดกรายซ้ายขวา
ร่ายเรียงเคียงคมประสมตา เลี้ยวไล่ไขว่คว้าเป็นท่าทาง

ซ้อนจังหวะประเท้าเคล่าคล่อง เลี้ยวลอดสอดคล้องไปตามหว่าง
วนเวียนเหียนหันกั้นกาง เป็นคู่คู่อยู่กลางอัมพร

- ปี่พาทย์ทำเพลงเร็ว -

- ร้องเพลงเห่เชิดฉิ่ง -

เมื่อนั้น พระลักษณ์ผู้ทรงศักดิ์และทรงศร
ทั้งพวกพลากร ดูรำฟ้อนบนเมฆา

หมายว่าพระอินทร สุรอัปสรเธอหรรษา

พิศเพลินจำเริญตา ทั้งพลสวาวานรไพร
พาดสายหมายเขม่นเข่นเขี้ยว น้าวเหนี่ยวด้วยกำลังอังสา


สังเกตลงตรงพระลักษณอนุชา อสุราก็ลั่นไปทันใด
- ปี่พาทย์ทำเพลงเร็ว -

- ร้องเพลงร่ายรุด -

ลูกศรกระจายดังสายฝน ต้องพวกลิงพลไม่ทนได้
ต้องพระอนุชาเสนาใน สลบไปไม่เป็นสมประดี

- ร้องเพลงกราวรำพม่า -
มีชัยไพรีพินาศสิ้น อสุรินทร์สรวลสันต์หรรษา

โยธีสมคะเนเฮฮา คืนเข้าลงกาธานี

- ปี่พาทย์ทำเพลงเชิด -

ใบความรู้ที่ ๗


ชื่อหน่วย การแสดงสร้างสรรค์ ระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ ๒

ชื่อแผน สไนเกี้ยวสาว เวลา ๓๖ คาบ

....................................................................
๑. เรื่อง การจัดทำโครงงาน

ความหมายของโครงงาน
โครงงานหมายถึง กิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาหาความรู้และลงมือปฏิบัติด้วยตนเองตาม

ความสามารถ ความถนัด และความสนใจ โดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หรือกระบวนการอื่นๆไปใช้ใน

การศึกษาหาคำตอบ ภายใต้การดูแล และให้คำปรึกษาของที่ผู้สอนอย่างใกล้ชิดในเรื่องการเลือกหัวข้อที่จะ
ศึกษา ค้นคว้า ดำเนินงานตามแผน กำหนดขั้นตอนการดำเนินงานและการนำเสนอผลงาน ซึ่งอาจทำเป็นกลุ่มหรือ

รายบุคคล
หลักการที่สำคัญของกิจกรรมโครงงาน

- เน้นการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง

- ผู้เรียนเป็นผู้วางแผนในการศึกษาค้นคว้าเอง
- ลงมือปฏิบัติเอง

- นำเสนอโครงงานเอง

- ร่วมกำหนดแนวทางวัดผลและประเมินผล
จุดมุ่งหมายของการทำโครงงาน

- เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาข้อมูลจากแหล่งความรู้ต่างๆด้วยตนเอง
- เพื่อให้ผู้เรียนได้แสดงออกซงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
ึ่
- เพื่อให้ผู้เรียนเกิดคุณลักษณะที่พึงประสงค์ เช่น รู้จักการทำงานร่วมกับผู้อื่น มีความเชื่อมั่นในตนเอง มี

ความรับผิดชอบ
- เพื่อให้ผู้เรียนใช้ความรู้และประสบการณ์เลือกทำโครงงานตามความสนใจ

ขั้นตอนดำเนินการทำโครงงาน ขั้นตอนการเรียนรู้ด้วยโครงงานของ วัฒนา มัคคสมัน ซึ่งกำหนด
ไว้ ๓ ขั้นตอน (วัฒนา มัคคสมัน.๒๕๕๔ : ๖๓)

๑. ระยะเริ่มต้นโครงงาน

- กำหนดหัวข้อโครงการ
๒. ระยะการทำโครงงาน

- การกำหนดจุดมุ่งหมาย

- การเลือกวิธีการ

- การลงมือปฏิบัติ
๓. ระยะรวบรวมสรุปและนำเสนอผลการศึกษา

- การนำเสนอผลงาน

- การเผยแพร่


๒. หลักการและแนวคิดการประดิษฐ์สร้างสรรค์ผลงานทางการแสดง

การสร้างสรรค์การแสดงชุด สะไนเกี้ยวสาวเป็นผลงานนาฏยประดิษฐ์ที่มีความแปลกใหม่และแตกต่าง

จากนาฏศิลป์พื้นบ้านที่เคยมีอยู่แต่เดิมโดยยังคงรักษาความสำคัญของวัฒนธรรมไม่ให้เกิดความคลาดเคลื่อนไป

จากของเดิม เช่น ท่าร่ายรำ และการแต่งกาย มีกระบวนการออกแบบและคิดการแสดงดังนี้

แนวคิดทางด้านการประดิษฐ์ท่ารำ

วัตถุประสงค์ของผู้สร้างสรรค์ผลงาน ได้สร้างสรรค์ผลงานจากขอมูลเบื้องต้น การเก็บขอมูล


ภาคสนาม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอเอกลักษณ์วัฒนธรรมประจำท้องถิ่นของชนชาวเยอ อำเภอราษีไศล
จังหวัดศรีสะเกษ ที่ไม่ซ้ำกับของเดิมที่มีอยู่แล้ว จัดทำขึ้นเพอใช้ในงานส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ประจำอำเภอราษี
ื่
ไศล จังหวัดศรีสะเกษ หลักการและแนวคิดการประดิษฐ์สร้างสรรค์ผลงานทางการแสดงของคณะวิจัยได้นำท่ารำ

แม่บทอีสานและการเซิ้งของการแสดงพื้นบ้านอีสานมาผสมผสาน และกำหนดให้มีความเรียบง่ายตามต้นแบบการ

แสดงของชาวบ้านในชุมชนชาติพันธุ์เยอ และถูกต้องตามประเพณีไหว้ศาลบรรพบุรุษและประเพณีแข่งเรือ ที่ใช้สะ
ไนตามบทบาทของสังคมที่สืบทอดต่อกันมาประยุกต์ประกอบการแสดงในการสร้างสรรค์ให้มีจุดที่น่าสนใจชัดเจน

จากของเดิมที่มีอยู่นำมาขยายสร้างสรรค์ให้เกิดผลงานชิ้นใหม่แล้วนำมาประยุกต์และพัฒนาขึ้นเป็นนาฏยศิลป์ที่มี

ระเบียบแบบแผนมีความซับซ้อนและละเอียดกว่าท่ารำที่มีอยู่แต่เดิมตามหลักนาฏยประดิษฐ์เน้นจุดเด่นอุปกรณ์ท ี่

ใช้ของนักแสดงฝ่ายชายที่ถือ สะไน เครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าที่สืบทอดต่อกันมาจากบรรพบุรุษ จุดประกาย

ความคิดในลักษณะการเกี้ยวพาราสีระหว่างชายและหญิงสาว โดยผู้ชายเป่าสะไนเกี้ยวสาว มุ่งเน้นความสวยงาม
ของการแสดงโดยเฉพาะท่าเป่าสะไนที่มีลีลา ทะมัดมะแมงสมชายชาตรี แข็งแกร่งเป็นที่ต้องตาของหญิงสาว ส่วน

ท่ารำของหญิงสาวจะอ่อนช้อน สวยงาม มีความเขินอายและรักนวลสงวนตัว การสร้างสรรค์สื่อถึงความสง่างาม

ความสวยงาม ความสุภาพเรียบร้อยของชายและหญิงให้สอดคล้องกับยุคสมัคของสังคมปัจจุบัน ใช้เวลาในการแสดง 6

นาที

วงดนตรีและเครื่องดนตรีประกอบการแสดง

















ลักษณะการแต่งกาย

การแต่งกายการแสดงชุดสะไนเกี้ยวสาวชายและหญิง


Click to View FlipBook Version