The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sirigam111, 2021-03-20 11:02:04

ใบความรู้ ม.3 เทอม1

ใบความรู้



ี่
แผนการเรียนรู้ที่ 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีท 3 วิชา นาฏศิลป์ไทยละคร 6 รหัสวิชา ศ 23208
ชื่อหน่วยการเรียนรู้ ระบำมาตรฐาน เรื่อง ระบำพรหมาสตร์ จำนวน 36 ชั่วโมง





ประวัติความเป็นมาระบำพรหมาสตร์


ระบำพรหมาสตร์ หรือ ระบำหน้าช้าง เป็นชุดที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศ

รานุวัดติวงศ์ ทรงนิพนธ์และปรับปรุงขึ้นสอดแทรกไว้ในการแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์ ตอนศึกพรหมาสตร์

กล่าวถึงเทพบุตรนางฟ้าจำแลง มาเริงระบำรำฟอนอยู่หน้าช้างทรงอินทรชิตแปลง เพื่อล่อให้พลวานร
หลงใหล เพลิดเพลินในระบำ มิทันระวังตัว แล้วอินทรชิตแปลงจะได้แผลงศรมาเพื่อให้ต้องพระลักษมณ์
ระบำชุดนี้ประกอบไปด้วย เพลงกลองโยนแล้วเชิด ร้องเพลงสร้อยสน แต่สร้อยสนที่ขับร้องบรรเลง

ในชุดนี้ ปรมาจารย์ทางดนตรีไทย ได้แต่งท่วงทำนองใหม่สำหรับบรรเลงลำลองไปกับร้อง สอดคล้องกันได้

อย่างสนิทสนมน่าฟังมาก จากนั้นก็ต่อด้วยเพลงรัว เพื่อแสดงถึงเทวดา นางฟ้า มาร่ายรำกันอย่างสนุกสนาน

ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง
ใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้า เครื่องคู่ หรือเครื่องใหญ่ ได้ตามโอกาส ประกอบด้วย ระนาดเอก ระนาดทุ้ม

ฆ้องวงใหญ่ ปี่ใน กลองทัด ฉิ่ง

การแต่งกาย แต่งกายแบบยืนเครื่องพระ – นาง

เครื่องแต่งกายพระ-นาง




เครื่องแตงกายตัวพระ

(แขนขวา แสดงเสื้อแขนสั้น ไม่ต้องมีอินทรธนู แขนซ้าย แสดงเสื้อแขนยาว มีอินทรธนู)


1. กำไลเท้า 2. สนับเพลา 3. ผ้านุ่ง 4. ห้อยข้าง, เจียระบาด, ชายแคลง


5. ฉลององค์ 6. รัดสะเอว 7. ห้อยหน้า, ชายไหว 8.ทับกระถอบ 9. ปนเหน่ง
ั้
10. กรองคอ, กรองศอ 11. ตาบหน้า, ตาบทับ, ทับทรวง 12. อินทรธนู


13. พาหุรัด 14. สังวาล 15. ตาบทิศ 16. ชฏา 17. ดอกไม้เพชร (ขวา)

18. จอนห, กรรเจียก, กรรเจียกจร 19. ดอกไม้ทัด (ขวา) 20. อุบะ, พวงดอกไม้


21. ธำมรงค์ 22. แหวนรอบ 23. ปะวะหล่ำ 24. กำไลแผง, ทองกร








เครื่องแต่งกายตวนาง

1. กำไลเท้า 2. เสื้อในนาง 3. ผ้านุ่ง 4. เข็มขัด

5. สะอิ้ง 6. ผ้าห่มนาง 7. นวมนาง, กรองศอ, สร้อยนวม


8.จี้นาง, ตาบทับ, ทับทรวง

9. พาหุรัด 10. แหวนรอบ 11. ปะวะหร่ำ 12. กำไลตะขาบ


13. กำไลสวม, ทองกร 14. ธำมรงค์ 15. มงกุฎ

16. จอนห, กรรเจียก, กรรเจียกจร


17. ดอกไม้ทัด (ซ้าย) 18. อุบะ, พวงดอกไม้ (ซ้าย)

บทร้องเพลงระบำพรหมาสตร์




ดนตรีทำเพลงกลองโยน


ร้องเพลงสร้อยสน



ต่างจับระบำรำฟอน ทอดกรกรีดกรายซ้ายขวา
ร่ายเรียงเคียงคมประสมตา เลี้ยวไล่ไขว่คว้าเป็นท่าทาง
ซ้อนจังหวะประเท้าเคล่าคล่อง เลี้ยวลอดสอดคล้องไปตามหว่าง

วนเวียนเหียนหันกั้นกาง เป็นคู่คู่อยู่กลางอัมพร



ปี่พาทยทำเพลงเร็ว – ลา








โอกาสที่ใช้แสดง ใช้แสดงเป็นระบำเบ็ดเตล็ด แสดงในงานรื่นเริงต่างๆ หรือเป็นระบำประกอบการแสดง
โชน เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน ศึกพรหมาสตร์

นาฏยศัพท์ที่สำคัญ






 ตั้งวง เป็นอาการของมือที่เหยียดตึงทั้ง 5 นิ้ว แต่นิ้วหัวแม่มอหักเขาหาฝ่ามือเล็กน้อย การตั้ง
วงที่สวยหรือถูกต้องนั้น จะต้องหักข้อมือเข้าหาลำแขนให้มาก และทอดลำแขนให้โค้งพองาม การตั้งวงมัก
เรียกตามตำแหน่งที่มีอยู่ ซึ่งแบ่งเป็น

❖ วงบน เป็นวงโค้ง โดยลำแขนส่วนบนลาดไหล่เล็กน้อย ช้อนลำแขนส่วนล่างขึ้น กันวง


ออกไปข้าง ๆ แยกเป็นวงสูงและวงต่ำ สำหรับพระ ให้ยกสูงระดับแงศีรษะ ส่วนวงนางอยู่ระดับหางคิ้ว
❖ วงบัวบาน ยกแขนคล้ายวงโค้ง แต่หงายท้องแขนขึ้น หงายฝ่ามือ จะเป็นข้างใดข้าง


หนึ่ง หรือ 2 ข้างกได้
❖ วงกลาง คือ ส่วนโค้งของลำแขนที่มได้อยู่ระดับวงบน หรือวงล่าง แต่อยู่ระดับกลาง

ลักษณะวงกลางนี้ คือ ยกแขนให้ส่วนโค้งอยู่ข้างคล้ายวงสูง แต่ลดระดับลงให้แขนส่วนบนลาดลงล่างมาก ๆ

ึ้
นิ้วอยู่ระดับศอกให้ตรงกับเกลียวข้าง ช้อนลำแขนส่วนล่างขนบนเล็กน้อย
❖ วงล่าง คือ ส่วนโค้งของลำแขนที่ทอดโค้งลงมาเบื้องล่าง ลำแขนส่วนล่างจะพลิก

หงายหรือคว่ำสุดแต่กิริยา คือ ท่าตั้งวงมือแบคว่ำ แขนส่วนล่างก็พลิกคว่ำ ท่าตั้งวงล่างนี้ ให้ทำวงแขนเป็น

ช่องระหว่างขอลำแขนกับเกลียวข้าง ลำแขนส่วนล่างโค้งเข้าหาตัว ปลายมืออยู่ระดับหน้าท้อง

❖ วงหน้า คือ วงที่ทอดลำแขนให้โค้งอยู่ข้างหน้า เช่น มือซ้าย ท่าเฉิดฉิน วงหน้าของ

พระต้องผายลำแขนไปข้าง ๆ เล็กน้อย ส่วนนางปลายนิ้วตรงกับระดับปาก วงนี้อาจสูงหรือต่ำบ้างเป็นบาง
ท่า สุดแต่ลีลาท่ารำนั้น ๆ


 จีบ เป็นอาการของมือโดยใช้นิ้วหัวแม่มือมาจรดกับขอที่หนึ่งของนิ้วชี้ ส่วนนิ้วที่เหลือทั้งสาม

เหยียดตึง และกรีดออกไปเหมือนรูปพัด และต้องหักขอมือเข้าหาลำแขนเสมอ จีบมี 2 ลักษณะ คือ

❖ จีบหงาย คือ หงายข้อมือให้ปลายนิ้วชี้ขึ้นบน

❖ จีบคว่ำ คือ คว่ำข้อมือลงให้ปลายนิ้วชี้ลงล่าง


นอกจากนี้ ลักษณะจีบที่นำไปใช้ในแบบต่าง ๆ ยังแบ่งออกเป็น

❖ จีบปรกหน้า ส่วนของมือจีบนั้นคล้ายจีบหงาย เพราะลำแขนส่วนล่างเปิดหงายขึ้น
หันเข้าหาลำตัวทั้งแขนและมืออยู่ข้างหน้า หันจีบเข้าตรงหน้า

❖ จีบหลัง การตั้งจีบคว่ำไปข้างหน้า แล้วค่อย ๆ ลดจีบส่งแขนไปข้างหลัง ลักษณะจีบ

กลับหงายขึ้น

❖ จีบปรกข้าง คล้ายจีบปรกหน้า แต่ลำแขนอยู่ข้าง

 กราย เป็นกิริยาเคลื่อนไหวของมือจีบที่หงาย ซึ่งมีลำแขนเหยียดตรงค่อยๆ ม้วนข้อมือให้จีบ

คว่ำลงช้า ๆ แล้วคลายจีบจนมือแบ แล้วตั้งวงเฉียงค่อนไปข้างหน้า

 ล่อแก้ว เป็นอาการของมือที่มีลักษณะคล้ายจีบ แต่ใช้นิ้วกลางมากดที่ขอที่หนึ่งของ

นิ้วหัวแม่มือ ให้เป็นรูปวงกลม นิ้วที่เหลือกรีดตึง

 ประเท้า เป็นกิริยาของเท้าที่วางอยู่เบื้องหน้า ใช้ในท่ารำก่อนจะยกเท้า คือ อาการเผยอจมูก
ึ้
เท้าขนเพียงนิดเดียว โดยที่ส้นเท้ายังติดพื้นอยู่ครึ่งหนึ่ง แตะลงเบา ๆ แล้วยกขึ้น วิธีประนี้ต้องห่มเข่ากอน

ทุกครั้ง

 กระทุ้ง เป็นอาการของเท้าที่วางอยู่เบื้องหลัง กระทุ้งก่อนยกขึ้นเช่นเดียวกับประ หากแต่อยู่

ข้างหลัง ซึ่งส่วนของจมูกเท้าที่วางอยู่กับพื้นส่วนส้นนั้นเปิดอยู่ การกระทุ้ง คือ การกระแทกจมูกเท้ากับพื้น

เบา ๆ แล้วจึงยกขึ้น

 ขยั่น เป็นอาการเคลื่อนไหวเท้าทั้งสอง เพื่อพาตัวเคลื่อนไป โดยเท้าหนึ่งวางอยู่ข้างหลังด้วย
จมูกเท้า อีกเท้าหนึ่งยืนเต็มเท้าอยู่ข้างหน้า ใช้จมูกเทาหลังยืนพื้น เพื่อช่วยให้เท้าหน้าเขยิบออก เมื่อเท้า


หน้ากระเถิบได้แล้ว เท้าหลังกตามมา ขยั่นนี้ต้องทำเร็ว ๆ ให้ส่วนของเท้าเรียบไปกับพื้น และชิด ๆ กันไป
ให้ตัวเคลื่อนเหมือนลอยไป

 ถัดเท้า กิริยาถัดเท้ามี 2 ชนิด คือ ถัดเท้าอยู่กับที่ และถัดเท้าเคลื่อนตัวไป


❖ ถัดเท้าอยู่กับที่ แบ่งเป็นถัดเท้าไขว้ กับถดเท้ายืนเสมอกัน สำหรับถัดเท้าไขว้นั้น เท้า
หนึ่งยืนอยู่ข้างหน้า และอีกเท้าหนึ่งอยู่ข้างหลัง เปิดส้นเท้า วิธีการถัด คือ วางเท้าหลังราบลงให้น้ำหนักอยู่

ข้างหลัง แล้วใช้จมูกเท้าหน้าถัดออกไป การถัดจมูกเท้าก็คอ การเสือกจมูกเท้าไปกับพื้นเบา ๆ แล้ววางเท้าท ี่
ถัดราบลงให้น้ำหนักอยู่หน้า ยกเท้าหลังเหนือพื้นเล็กน้อย แล้วงวางจมูกเท้าหลังลงอีกเพื่อให้จมูกเท้าหน้าได้


ถัดอก ทำเช่นนี้ตามจังหวะ ส่วนถัดเท้ายืนเสมอกันนั้น คือ อาการยืนอยู่กับที่ ซึ่งเท้าทั้งสองวางอยู่คู่กัน การ
ปฏิบัติก็ทำเช่นเดียวกัน


❖ ถัดเท้าเคลื่อนตัว ได้แก การถัดเท้าเดิน โดยใช้เท้าขวาเป็นฝ่ายถัด

 จรด คือ การใช้จมูกเท้าข้างหนึ่งแตะลงพื้น โดยยกส้นขึ้นมิให้ถูกกับพื้น จะจรดข้างไหนก็มิได้

ื่
จำกัด แต่อาศัยอีกเท้าหนึ่งเป็นฝ่ายยืนรับน้ำหนัก เพอให้อกเท้าหนึ่งก้าวมาจรด

 สะดุด คือ อาการของเท้าที่ใช้เคลื่อนไหวประกอบท่ารำ โดยใช้เท้าข้างหนึ่งวางอยู่ข้างหน้า


และอกข้างหนึ่งวางอยู่ข้างหลัง วิธีสะดุด ใช้เท้าหลังยืนด้วยจมูกเท้ารับน้ำหนัก เผยอเท้าหน้าขึ้นเล็กน้อย

ื้
พอให้ส่วนฐานเท้ายืนไปกับพนได้ การเสือกฐานเท้าหน้าต้องกระทำแรง ๆ และชะงักไว้เหมือนอาการสะดุด
จริง ๆ เมื่อสะดุดเท้าหน้าแล้ว ให้ยืนเท้าหน้านั้นเต็มเท้า เพื่อรับน้ำหนักให้เท้าหลังก้าวมายืนเต็มเท้าขางหน้า

บ้าง

 สะบัดมือ คือ อาการกิริยาของมือที่เนื่องมาจากท่าจีบจากจีบหงาย หรือจีบปรกข้าง วิธีสะบัด

ให้คลายจีบออกพร้อมกับสลัดข้อมือออกจากลำแขน พร้อมกับหงายฝ่ามือ ทำจังหวะข้อมือแผ่มือออกเป็น

ท่ารำ แบมือคว่ำ

 คลายมือ คือ กิริยามือเนื่องมาจากจีบคว่ำ ค่อย ๆ ปล่อยจีบให้คลายออกให้ข้อมือหงายขึ้น

ปล่อยจีบออกช้า ๆจนมือแบหงาย แล้วจะกลับฝ่ามือตั้งขึ้น

 ม้วนมือ คือ กิริยาเนื่องมาจากจีบหงาย กระทำเพอเปลี่ยนจากมือจีบเป็นมือแบ วิธีม้วนค่อย ๆ
ื่


ปักจีบหงายอยู่ส่งล่างด้วยการม้วนข้อมอลง แล้วคลายจีบออกให้มือแบ ทำจังหวะที่ขอมือ แล้วตั้งวง

 รวมมือ คือ กิริยาที่นำมือทั้งสองมารวมไว้ใกล้ ๆ กัน จะเป็นมือหนึ่งจีบ มือหนึ่งแบก็ได้ เช่น



ท่าภมรเคล้า การรวมมอรวมสูงหรือต่ำกได้

 ฉายมือ คือ กิริยาแบมือที่ตะแคงอยู่ในระดับต่ำ เสมออก ศอกงออยู่ก่อน วิธีฉาย เอียงศีรษะ

ตรงกันข้ามกับมือที่ฉาย ค่อย ๆ แทงปลายนิ้วออกไปข้างหน้า ฝ่ามือยังตะแคงอยู่ แล้วค่อย ๆ เหยียดออกตึง


 แตะเท้า คือ อาการเล่นเท้าชนิดหนึ่ง ที่ใช้จมูกเท้าแตะลงบนพื้นเบา ๆ

 ยกเท้า แบ่งเป็นยกหน้า ยกข้าง กระดกหลัง กระดกเสี้ยว กระดกเท้านี้เนื่องมาจากกริยาประ


อย่างหนึ่ง กระทุ้งหลังอย่างหนึ่ง และยกโดยปราศจากการประ หรือกระทุ้งอกอย่างหนึ่ง


❖ การยกเท้าหน้า สำหรับพระให้กันเข่าออกไปทางเท้าที่ยก ส่วนนางไมต้องกันเข่า

❖ กระดกหลัง คือ อาการยกเท้าออกไปข้างหลัง หักข้อเท้าเข้าหาลำเท้า กระดกนี้เป็นท่า


สืบเนื่องมาจากการกระทุ้ง แล้วยกเท้าขึ้นข้างหลังนั่นเอง และต้องถีบเข่าไปข้างหลังมาก ๆ จึงจะงาม

❖ กระดกเสี้ยว คล้ายกระดกหลัง แต่ผายลำขามาไว้ข้างๆ ตรงระดับไหล่ กระดกส้น

เท้าให้ฝ่าเท้าหงายอยู่ข้างตัว คือ ต่ำกว่าสะโพกเล็กน้อย กันเข่าห่างออกไปจากเข่าที่ยืน ระดับต่ำกว่าเข่า ตึง


ปลายเท้าขึ้น

 โบก เป็นกิริยามือที่เนื่องมาจากท่าจีบ แบ่งเป็นโบกพักเพลง และโบกท่ารำทั่วไป วิธีการโบก

คือ เมื่อตัวหันไปทางขวา มือขวาเป็นฝ่ายตั้งวงล่าง มือซ้ายเป็นฝ่ายจีบหงาย ตลบเข้าหาตัวทั้งสองมือ

รวมกันอยู่ใกล้กับระดับชายพก ประกอบด้วยกิริยาเท้า ซึ่งเท้าขวาเป็นฝ่ายรับน้ำหนัก เท้าซ้ายข้างเดียวกับ

มือจีบเป็นฝ่ายประ เมื่อห่มเขาประเท้าแล้ว ให้สาวจีบออกห่างตัว ศีรษะตัวเอียงอยู่ข้างซ้ายขณะสาวจีบออก

ชายพก แขนที่มีมอจีบยกสูงขึ้นทุกๆ ที คลายจีบออกให้อยู่ในท่าตั้งวง ตั้งวงสูงค่อนมาหน้านิดหนึ่ง มือขวา
ส่งจีบหลัง เมื่อแขนทั้งสองอยู่ที่แล้วจะห่มเข่าลง วางเท้าที่ประด้วยส้นเท้า


 ลักคอ คือ การปฏิบัติให้ศีรษะที่เอียงตรงข้ามกับไหล่ที่กด









ใบความรู้


ี่
แผนการเรียนรู้ที่ 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีท 3 วิชา นาฏศิลป์ไทยละคร 6 รหัสวิชา ศ 23208
ชื่อหน่วยการเรียนรู้ รำหน้าพาทย์ เรื่อง เพลงหน้าพาทย์พญาเดิน



ประวัติความเป็นมาเพลงหน้าพาทย์พญาเดิน



ี่
เพลงพญาเดินเป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูง ใช้ประกอบกิริยาอาการไปมาทไม่ซับซ้อนของตัวละครผู้สูง
ศักดิ์ ซึ่งเดิมเป็นเพลงที่ใช้ในการสัญจรไปมาระหว่างยักษ์ที่สูงศักดิ์เท่านั้น นับตั้งแต่ยักษ์ต่างเมืองไปจนถึง



ยักษ์อปราช และส่วนมากมกจะใช้เฉพาะการเข้าไปเฝ้าผู้ใหญ่เท่านั้น เช่น อินทรชิต กุมภกรรณ ขึ้นเฝ้า
ทศกัณฐ์
เพลงหน้าพาทย์ คือเพลงที่มีทำนองและจังหวะหน้าทับกำหนดเป็นแบบแผน รวมทั้งกำหนดโอกาส

ที่ใช้ไว้อย่างแน่นอน โดยทั่วไปเพลงหน้าพาทย์มักจะไม่มบทร้อง ใช้บรรเลงแต่ทำนองเพลงอย่างเดียว เพลง

หน้าพาทย์ส่วนมากจะมีท่ารำกำหนดไว้เฉพาะในแต่ละเพลง และเพลงหน้าพาทย์เพลงเดียวกัน การใช้ท่ารำ

ของตัวละคร คือ พระ นาง ยักษ์ ลิง ก็ย่อมจะแตกต่างกันไปด้วย

เพลงหน้าพาทย์ แบ่งออกเป็น เพลงหน้าพาทย์ชั้นสูง และเพลงหน้าพาทย์ธรรมดา


หน้าพาทย์ชั้นสูง เรียกอกอย่างหนึ่งว่า “เพลงครู” ซึ่งถอว่าเป็นเพลงที่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่ผ่านพิธีครอบ

และไหว้ครูทางดุริยางคศิลป์และนาฏศิลป์แล้ว เมื่อได้ยินเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูงจะยกมือขึ้นไหว้ ระลึกถึงครู
อาจารย์ที่ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ เพลงหน้าพาทย์ชั้นสูงมีความหมายและความยิ่งใหญ่เฉพาะเพลง เช่น

เพลงสาธุการ ตระนิมิต บาทสกุณี ชำนาญ ตระบองกัน คุกพาทย์


รัวสามลา เป็นต้น

ั่
หน้าพาทย์ธรรมดา หมายถึง เพลงหน้าพาทย์ที่ใช้ประกอบกิริยาอารมณ์โดยปกติทวไปของตัว
ละคร เช่น เพลงช้า เพลงเร็ว เชิด เสมอ รัว โอด เป็นต้น

การแต่งกาย แต่งกายแบบยืนเครื่อง























บทร้องและทำนองเพลง เพลงหน้าพาทย์พญาเดินเป็นเพลงที่ไม่มีบทร้อง มีแต่ทำนอง

เครื่องดนตรี ใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้า เครื่องคู่ หรือเครื่องใหญ่



















โอกาสที่นำไปใช้ ใช้ในการแสดงโขน - ละคร




นาฏยศัพท์ที่สำคัญ





 ใช้ตัวหน้าหนัง หมายถึง การปฏิบัติลีลาประกอบท่ารำ เน้นที่ร่างกายทอนบน ตั้งแต่เอวจรด

ศีรษะ เริ่มด้วยเบือนหน้ามองด้านข้าง พร้อมกับกดไหล่ กดเกลียวข้าง แล้วคืนตัวตามจังหวะ หรือปฏิบัติกด

ไหล่ทางด้านซ้าย แล้วตักไหล่ซ้ายขึ้น กลับมากดไหล่ขวา กดเกลียวข้างทางด้านขวา แล้วเปิดปลายคางและ
หน้าขึ้น ปฏิบัติเช่นนี้สลับกันไป ใช้ตัวหน้าหนังปฏิบัติได้ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา






ใบความรู้


ี่
แผนการเรียนรู้ที่ 3 ชั้นมัธยมศึกษาปีท 3 วิชา นาฏศิลป์ไทยละคร 6 รหัสวิชา ศ 23208
ชื่อหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ระบำเบ็ดเตล็ด เรื่องฟ้อนเล็บ เวลา 36 ชั่วโมง




ประวัติความเป็นมาเพลงฟ้อนเล็บ


ฟ้อนเล็บเป็นการฟอนชนิดหนึ่งของชาวไทยภาคเหนือ เหตุที่เรียกฟอนเล็บเพราะเรียกตามลักษณะ




ของผู้ฟ้อน ผู้ฟ้อนจะต้องใส่เล็บทั้ง 4 นิ้ว ยกเว้นนิ้วหัวแม่มอ คล้ายกับฟอนเทียน ซึ่งผู้ฟ้อนจะถือเทียนอยู่ใน
มือ แบบฉบับของการฟอนที่ดีได้รักษาไว้เป็นแบบแผนในคุ้มเจ้าหลวง เป็นศิลปะที่นิยมรำกันในราชสำนัก ไม่

ค่อยแพร่หลายในหมู่ประชาชน มาแพร่หลายต่อเมื่อคราวที่ช่างฟ้อนมาฟ้อนในงานสมโภชพระเศวตคชเดช


ดิลกช้างเผือก ในรัชกาลที่ 7 โดยผู้ฟ้อนเป็นช่างฟอนของพระราชชายา เจ้าดารารัศมีส่งมาฟ้อน (ช่างฟ้อน ใช้


เรียกหญิงสาวที่ได้รับการฝึกหัดการฟอน เด็กสาวคนใดหน้าตาสวยงาม ทั้งมีฝีมือในการฟอนดี จะได้รับเลือก

เป็นช่างฟ้อน) ท่ารำมีลีลาออนช้อย สวยงาม ถือเป็นศิลปะประจำภาคเหนือ และปัจจุบันการฟอนเล็บยังมีอยู่

เพราะเป็นวัฒนธรรมประจำท้องถิ่นควรอนุรักษ์ไว้

เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง ประกอบด้วยเครื่องดนตรีของภาคเหนือ คือ ปี่แน โหม่ง ฉาบ

ใหญ่ กลองแอ่วหรือกลองยาวใหญ่ กลองตะโล๊ดโป๊ด และฆองหุ่ย เมื่อนำมาแสดงในภาคกลาง อาจใช้ระนาด

บรรเลงประกอบการแสดงด้วย

การแต่งกาย นุ่งผ้าถุงลายขวางยาวกรอมเท้า เชิงผ้าปักสวยงาม สวมเสื้อแขนยาว คอตั้ง ห่อสไบ

สวมเครื่องประดับ ได้แก่ สร้อยคอ สร้อยข้อมือ ต่างหู สร้อยตัว ผมด้านหน้าเกล้าตั้งสูงเล็กน้อยคล้ายกระบัง

ด้านหลังเกล้าเป็นมวยสูง ติดดอกไม้ด้านซ้าย ห้อยอุบะยาวลงมาระดับไหล่ หรือติดดอกไม้ทองไหวเสียบติด
อยู่กลางศีรษะ สวมเล็บทองเหลือง 8 นิ้ว ยกเว้นนิ้วหัวแม่มือ


บทร้องและทำนองเพลง ใช้เพลงฟ้อนเล็บและเพลงผีมด เนื้อร้องเป็นภาษาพื้นเมืองของชาวไทย


ภาคเหนือ


โอกาสที่ใช้ในการแสดง ฟอนเล็บใช้แสดงได้ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน ซึ่งต่างจากฟอนเทียน


ที่ใช้แสดงในเวลากลางคืนได้เพียงอย่างเดียว ฟอนเล็บใช้แสดงในโอกาสต้อนรับแขกบ้าน แขกเมือง หรือ
แสดงในงานรื่นเริงต่าง ๆ

บทร้องเพลงฟ้อนเล็บ


ตี้ปาโม่ปาลา ซังไซยาโอมอง ฮือ โล๊ะ

แลเปี้ยวมะรันโซ มโหลา รำมะแจ้ ตีปา ตะแน

ป้าน ป่าน โต้เว เฮ เต้ เต โล่ ลา ฮ้า ฮา ฮา ฮา ฮา เว เต โล่ ลา
กิตแต่โซ โปลั่นเปียว เอโส เอ ส่า โล่ ลา



ปี่พาทยทำเพลงผีมด







นาฏยศัพท์ที่สำคัญ (ชื่อเฉพาะ)


❖ ท่าบิดบัวบาน คือ ลักษณะการม้วนมือจีบพร้อมกันทั้ง 2 มือ ตั้งข้อมือขวาทับข้อมือซ้าย ตั้งวง

สูงระดับตา ม้วนจีบขวาออกด้านนอก พร้อมกับม้วนจีบซ้ายเข้าด้านใน หมุนข้อมือจีบทั้งสองเป็นวงกลม

จนกระทั่งมือจีบซ้ายหมุนมาอยู่ข้างบน จึงค่อยคลายจีบออกเป็นตั้งวง มือจีบขวาหมุนลงมาอยู่ข้างล่าง ก็

ค่อย ๆ คลายจีบออกเป็นตั้งวง ปฏิบัติเช่นนี้สลับกันไป



ใบความรู้


ี่
แผนการเรียนรู้ที่ 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีท 3 วิชา นาฏศิลป์ไทยละคร 6 รหัสวิชา ศ 23208
ชื่อหน่วยการเรียนรู้ ระบำเบ็ดเตล็ด เรื่อง ฟ้อนเทียน เวลา 36 ชั่วโมง





ประวัติความเป็นมาเพลงฟ้อนเทียน




ฟ้อนเทียนเป็นศิลปะพื้นเมืองแบบหนึ่งของชาวไทยภาคเหนือ ผู้แสดงเป็นหญิง แสดงเป็นหมู่
ทำนองเพลงและท่ารำได้เข้ามาแพร่หลายในกรุงเทพฯ เมื่อคราวงานฉลองสมโภชขึ้นระวางพระเศวตเดช

ดิลก พระคชาธารในรัชกาลที่ 7 เมื่อ พ.ศ. 2470 ผู้ฟ้อนในมือจะถือเทียนจุดไฟทั้งสองมือ ตามปกติจะนิยม
ฟ้อนที่กลางแจ้งในเวลากลางคืน ฟ้อนเทียนนี้เข้าใจว่า แต่เดิมคงจะใช้ฟ้อนสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรืองาน

พระราชพิธีในพระราชฐาน แต่ต่อมานำมาฟ้อนประกอบเฉพาะงานสำคัญ เช่น ในคุ้มเจ้าหลวง ผู้ฟ้อน

ส่วนมากเป็นเจ้านายเชื้อพระวงศ์ฝ่ายใน ความงามของการฟ้อนนี้อยู่ที่แสงเทียนถือส่องหน้าช่างฟ้อน และ
การบิดข้อมือที่ถอเทียนอย่างมีศิลปะ โดยอาการเคลื่อนไหวไปมาอย่างช้าๆ เพอมิให้ดวงเทียนดับ นับเป็น
ื่

ศิลปะที่งดงามน่าดูน่าชมยิ่ง

ผู้ที่นำเอารำฟ้อนเทียนมาสอนที่วิทยาลัยนาฏศิลป คือ อาจารย์ลมุล ยมะคุปต์ ผู้เชี่ยวชาญการสอน

นาฏศิลป์ไทย
สำหรับบทร้องที่เป็นของเดิม เป็นพระนิพนธ์ของพระราชชายา เจ้าดารารัศมี แต่บทร้องที่ใช้ใน

บทเรียนเป็นบทที่แต่งขึ้นโดยอาจารย์มนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญการสอนดนตรีไทย

เพลงที่ใช้บรรเลงและขับร้องประกอบการแสดง ดนตรีบรรเลงเพลงฟ้อนเมือง เพลงร้องใช้ทำนองเพลง

ซอยิ้น และตอนท้ายบรรเลงเพลงลาวจ้อย

ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง นำเครื่องดนตรีพื้นเมืองเหนือมาผสมกับเครื่องดนตรีวงปี่พาทย์เครื่องห้า

เครื่องดนตรีพื้นเมืองเหนือ ประกอบด้วย กลองแอว กลองตะโล๊ดโป๊ด ปี่แน โหม่ง ฆ้องหุ่ย ฉาบใหญ่
วงปี่พาทย์เครื่องห้า ประกอบด้วย ปี่ใน ระนาด ฆ้องวงใหญ่ กลองทัด ตะโพน ฉิ่ง


การแต่งกาย นุ่งผ้าซิ่นยาวกรอมเท้า สวมเสื้อคอตั้งเข้ารูปแขนยาว ตัวยาวจรดสะโพก ห่มสไบ เครื่องประดับ

ประกอบด้วย สร้อยคอ สร้อยข้อมือ สร้อยตัว ต่างหู ผมเกล้าทรงสูง มุ่นมวยด้านหลัง และห้อยอุบะด้านซ้าย
ผู้รำจะถือเทียนขี้ผึ้งแท่งกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ซม. ยาว 19 ซม. จำนวน 2 เล่ม

บทร้องเพลงฟ้อนเทียน




ปวงข้าเจ้า ยินดีที่เนา ในถิ่นไทยสถาน

ระเริงระรื่น ชุมชื่นใจบาน ทุกถิ่นเทิดศาน ติสุขนานา
เบิ่งดอกไม้ ช่างงามวิไล ลออพอตา

หลายสีเลอสรร หลากพันธุ์ผกา ชุ่มชื่นนาสา พาใจใฝ่ชม

ปวงประชา ยลพักตร์ลักขณา ช่างงามขำคม
หน้าตาชื่นบาน สำราญอารมณ์ จิตน้อมนิยม โอบอ้อมอารี

มั่นรักษา พุทธศาสนา แนบดวงฤดี

ส่งเสริมศิลปะ บ่ละประเพณี ผูกมิตรไมตรี ตรึงชาติชนปวง



- ดนตรีทำเพลงลาวจ้อย -









นาฏยศัพท์ที่ใช้ประกอบท่ารำ




❖ จีบมือล่อแก้ว - การหงายมือ ให้นิ้วหัวแม่มอ จรดกับปลายนิ้วกลางเป็นวงกลม ส่วนนิ้วที่เหลือกรีด
ออกไป หักข้อมือเข้าหาลำแขน

❖ สอดจีบมือ - จีบมือในลักษณะจีบคว่ำ งอแขนให้เป็นวง ค่อย ๆ สอดจีบขึ้นไปช้า ๆ แล้วปล่อยจีบหงาย


มือสูงระดับศีรษะ


❖ ป้องหน้า - ยกมอขึ้นตั้งวงข้างหน้าระดับตา งอแขนคว่ำฝ่ามือให้ปลายนิ้วหันออกด้านนอก พร้อมทั้งหัก
ข้อมือ

❖ ลักคอ - ถ้าจะลักคอข้างซ้าย ต้องกดไหล่ข้างขวา เอียงศีรษะไปข้างซ้าย ถ้าจะลักคอข้างขวา ต้องกด

ไหล่ข้างซ้าย เอียงศีรษะไปข้างขวา

❖ วิ่งซอยเท้า - คือ การย่ำเท้าทั้งสองลงบนพื้นด้วยจมูกเท้า นิ้วทั้งห้าต้องตึง ส่วนส้นเท้าสูงจากพื้น


เล็กน้อย ย่อเข่าลง ย่ำให้มีจังหวะสม่ำเสมอ

❖ ก้าวเท้าเรียง - คือ การก้าวเท้าเดินไปข้าง ๆ โดยหันตัวไปด้านข้างซ้ายหรือขวา จะก้าวเดินขึ้นหรือเดิน
ลงในลักษณะก้าวเท้าหนึ่งไปด้านข้าง ในลักษณะไขว้ไปข้างหน้า



วิธีถือเทียน




1. ถือในลักษณะตั้งมอ โดยตั้งมือขึ้น กรีดนิ้วมือทั้งสี่ให้ตึง ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางคีบเทียนอยู่ใน
ระหว่างนิ้วทั้งสอง ใช้สันนิ้วหัวแม่มือที่เหยียดตึงยึดปลายลำเทียนด้านล่างให้ตั้งตรง



2. ถือในลักษณะหงายมือ หงายมือให้นิ้วหัวแม่มอ นิ้วชี้ นิ้วกลาง จับแนบให้ลำเทียนอยู่ตรงกลาง
ของนิ้วทั้งสาม ใช้อุ้งมือยึดปลายลำเทียนด้านล่างให้ตั้งตรง ส่วนนิ้วที่เหลือกรีดให้ตึง หักข้อมือ
เข้าหาลำแขน


3. ถือในลักษณะบิดข้อมอ สองมือถือเทียนในลักษณะตั้งมือ โดยหันหลังมือให้ข้อมือชิดกัน แล้ว

บิดข้อมือทงสองเคลื่อนไปจนข้อมือด้านในมาชนกัน แล้วบิดข้อมือทั้งสองเคลื่อนหลังให้กลับมือ
ั้
ชนกันดังเดิม

ใบความรู้



ี่
แผนการเรียนรู้ที่ 5 ชั้นมัธยมศึกษาปีท 3 วิชา นาฏศิลป์ไทยละคร 6 รหัสวิชา ศ 23208
ชื่อหน่วยการเรียนรู้ ระบำเบ็ดเตล็ด เรื่อง รำวงมาตรฐาน4เพลง เวลา 36 ชั่วโมง




ประวัติความเป็นมารำวงมาตรฐาน



รำวงมีกำเนิดมาจากรำโทน แต่เดิมรำโทนเป็นการละเล่นพื้นเมืองอย่างหนึ่ง ที่นิยมเล่นกันในฤดู
เทศกาลของท้องถิ่นบางจังหวัด คำว่า “รำโทน” สันนิษฐานว่าเรียกชื่อจากการเลียนเสียงตามเครื่องดนตรี

ประกอบจังหวะที่เป็นหลัก คือ “โทน” ซึ่งตีเป็นลำนำเสียง

“ป๊ะ โทน ป๊ะ โทน ป๊ะ โทน โทน”
เครื่องดนตรีที่ใช้ในการรำโทน ได้แก่ ฉิ่ง กรับ และโทน ลักษณะการรำโทนนั้นเป็นการรำระหว่าง

ชายกับหญิง ให้เข้ากับจังหวะโทน โดยไม่มีท่ารำกำหนดเป็นแบบแผนตายตัว
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 รำโทนได้นิยมอย่างแพร่หลาย จึงมีผู้ประพันธ์ลำนำเพลงและบทร้อง

ประกอบการรำขึ้น นิยมนำไปเล่นกันอย่างแพร่หลาย ตามจังหวัดอื่น ๆ บทร้องมีหลายลักษณะ เริ่มตั้งแต่บท

ชมโฉม บทเกี้ยวพาราสี บทสัพยอกหยอกเย้า และบทพร่ำพรอดร่ำลาจากกัน เป็นต้น
ต่อมา เมื่อ พ.ศ.2487 กรมศิลปากร ได้แต่งบทร้องและทำนองเพลงขึ้นใหม่ 4 เพลง และต่อมาท่าน

ผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ได้แต่งเนื้อร้องใหม่อีก 6 เพลง โดยให้กรมศิลปากรและกรมประชาสัมพันธ์ แต่ง
ทำนองให้ ผู้แต่งบทร้อง เพลงงามแสงเดือน ชาวไทย รำซิมารำ และคืนเดือนหงาย คือ นายเฉลิม เศวตนันท์

ผู้แต่งทำนองเพลง คือ อาจารย์มนตรี ตราโมท ผู้คิดประดิษฐ์ท่ารำ คือ หม่อมครูต่วน (ศุภลักษณ์) ภัทรนาวิก

อาจารย์ลมุล ยมะคุปต์ และคุณครูมัลลี คงประภัสร์


ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง

ใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้า เครื่องคู่ หรือเครื่องใหญ่ ได้ตามโอกาส


การแต่งกาย

แต่งได้หลายลักษณะทั้งชุดไทย ชุดพื้นบ้าน และชุดสากล ตามแต่ยุคสมัย

บทร้องเพลงรำวงมาตรฐาน 4 เพลง


เพลงหญงไทยใจงาม



เดือนพราวดาวแวววาวระยับ แสงดาวประดับส่องให้เดือนงามเด่น
ดวงหน้าโสภาเพียงเดือนเพ็ญ คุณความดีที่เห็นเสริมให้เด่นเลิศงาม

ขวัญใจหญิงไทยส่งศรีชาติ รูปงามพิลาศใจกล้ากาจเรืองนาม
เกียรติยศกองปรากฏทั่วคาม หญิงไทยใจงามยิ่งเดือนดาวพราวแพรว


เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า


ดวงจันทร์ขวัญฟ้า ชื่นชีวาขวัญพี่

จันทร์ประจำราตรี แต่ขวัญพี่ประจำใจ

ที่เทิดทูนคือชาติ เอกราชอธิปไตย
ถนอมแนบสนิทใน คือขวัญใจพี่เอย



เพลงยอดชายใจหาญ

โอ้ยอดชายใจหาญ ขอสมานไมตรี
น้องขอร่วมชีวี กอบกรณีย์กิจชาติ

แม้นสุดยากลำเค็ญ ไม่ขอเว้นเดินตาม
น้องจะสู้พยายาม ทำเต็มความสามารถ



เพลงบูชานักรบ

น้องรักรักบูชาพี่ ที่มั่นคงที่มั่นคงกล้าหาญ

เป็นนักสู้เชี่ยวชาญ สมศักดิ์ชาตินักรบ

น้องรักรักบูชาพี่ ที่มานะที่มานะอดทน
หนักแสนหนักพี่ผจญ เกียรติพขจรจบ
ี่
น้องรักรักบูชาพี่ ที่ขยันที่ขยันกิจการ

บากบั่นสร้างหลักฐาน ทำทุกด้านทำทุกด้านครันครบ
น้องรักรักบูชาพี่ ที่รักชาติที่รักชาติยิ่งชีวิต

เลือดเนื้อพี่พลีอุทิศ ชาติยงอยู่ยงอยู่คู่พิภพ

นาฏยศัพท์ที่สำคัญ






 ตั้งวง เป็นอาการของมือที่เหยียดตึงทั้ง 5 นิ้ว แต่นิ้วหัวแม่มอหักเขาหาฝ่ามือเล็กน้อย การตั้ง
วงที่สวยหรือถูกต้องนั้น จะต้องหักข้อมือเข้าหาลำแขนให้มาก และทอดลำแขนให้โค้งพองาม การตั้งวงมัก
เรียกตามตำแหน่งที่มีอยู่ ซึ่งแบ่งเป็น

❖ วงบน เป็นวงโค้ง โดยลำแขนส่วนบนลาดไหล่เล็กน้อย ช้อนลำแขนส่วนล่างขึ้น กันวง


ออกไปข้าง ๆ แยกเป็นวงสูงและวงต่ำ สำหรับพระ ให้ยกสูงระดับแงศีรษะ ส่วนวงนางอยู่ระดับหางคิ้ว
❖ วงบัวบาน ยกแขนคล้ายวงโค้ง แต่หงายท้องแขนขึ้น หงายฝ่ามือ จะเป็นข้างใดข้าง


หนึ่ง หรือ 2 ข้างกได้
❖ วงกลาง คือ ส่วนโค้งของลำแขนที่มได้อยู่ระดับวงบน หรือวงล่าง แต่อยู่ระดับกลาง

ลักษณะวงกลางนี้ คือ ยกแขนให้ส่วนโค้งอยู่ข้างคล้ายวงสูง แต่ลดระดับลงให้แขนส่วนบนลาดลงล่างมาก ๆ

ึ้
นิ้วอยู่ระดับศอกให้ตรงกับเกลียวข้าง ช้อนลำแขนส่วนล่างขนบนเล็กน้อย
❖ วงล่าง คือ ส่วนโค้งของลำแขนที่ทอดโค้งลงมาเบื้องล่าง ลำแขนส่วนล่างจะพลิก

หงายหรือคว่ำสุดแต่กิริยา คือ ท่าตั้งวงมือแบคว่ำ แขนส่วนล่างก็พลิกคว่ำ ท่าตั้งวงล่างนี้ ให้ทำวงแขนเป็น

ช่องระหว่างขอลำแขนกับเกลียวข้าง ลำแขนส่วนล่างโค้งเข้าหาตัว ปลายมืออยู่ระดับหน้าท้อง

❖ วงหน้า คือ วงที่ทอดลำแขนให้โค้งอยู่ข้างหน้า เช่น มือซ้าย ท่าเฉิดฉิน วงหน้าของ

พระต้องผายลำแขนไปข้าง ๆ เล็กน้อย ส่วนนางปลายนิ้วตรงกับระดับปาก วงนี้อาจสูงหรือต่ำบ้างเป็นบาง
ท่า สุดแต่ลีลาท่ารำนั้น ๆ


 จีบ เป็นอาการของมือโดยใช้นิ้วหัวแม่มือมาจรดกับขอที่หนึ่งของนิ้วชี้ ส่วนนิ้วที่เหลือทั้งสาม

เหยียดตึง และกรีดออกไปเหมือนรูปพัด และต้องหักขอมือเข้าหาลำแขนเสมอ จีบมี 2 ลักษณะ คือ

❖ จีบหงาย คือ หงายข้อมือให้ปลายนิ้วชี้ขึ้นบน

❖ จีบคว่ำ คือ คว่ำข้อมือลงให้ปลายนิ้วชี้ลงล่าง


นอกจากนี้ ลักษณะจีบที่นำไปใช้ในแบบต่าง ๆ ยังแบ่งออกเป็น

❖ จีบปรกหน้า ส่วนของมือจีบนั้นคล้ายจีบหงาย เพราะลำแขนส่วนล่างเปิดหงายขึ้น
หันเข้าหาลำตัวทั้งแขนและมืออยู่ข้างหน้า หันจีบเข้าตรงหน้า

❖ จีบหลัง การตั้งจีบคว่ำไปข้างหน้า แล้วค่อย ๆ ลดจีบส่งแขนไปข้างหลัง ลักษณะจีบ

กลับหงายขึ้น

❖ จีบปรกข้าง คล้ายจีบปรกหน้า แต่ลำแขนอยู่ข้าง

 กราย เป็นกิริยาเคลื่อนไหวของมือจีบที่หงาย ซึ่งมีลำแขนเหยียดตรงค่อยๆ ม้วนข้อมือให้จีบ

คว่ำลงช้า ๆ แล้วคลายจีบจนมือแบ แล้วตั้งวงเฉียงค่อนไปข้างหน้า

 ล่อแก้ว เป็นอาการของมือที่มีลักษณะคล้ายจีบ แต่ใช้นิ้วกลางมากดที่ขอที่หนึ่งของ

นิ้วหัวแม่มือ ให้เป็นรูปวงกลม นิ้วที่เหลือกรีดตึง

 ประเท้า เป็นกิริยาของเท้าที่วางอยู่เบื้องหน้า ใช้ในท่ารำก่อนจะยกเท้า คือ อาการเผยอจมูก
เท้าขึ้นเพียงนิดเดียว โดยที่ส้นเท้ายังติดพื้นอยู่ครึ่งหนึ่ง แตะลงเบา ๆ แล้วยกขึ้น วิธีประนี้ต้องห่มเข่ากอน


ทุกครั้ง

 กระทุ้ง เป็นอาการของเท้าที่วางอยู่เบื้องหลัง กระทุ้งก่อนยกขึ้นเช่นเดียวกับประ หากแต่อยู่

ข้างหลัง ซึ่งส่วนของจมูกเท้าที่วางอยู่กับพื้นส่วนส้นนั้นเปิดอยู่ การกระทุ้ง คือ การกระแทกจมูกเท้ากับพื้น

เบา ๆ แล้วจึงยกขึ้น

 ขยั่น เป็นอาการเคลื่อนไหวเท้าทั้งสอง เพื่อพาตัวเคลื่อนไป โดยเท้าหนึ่งวางอยู่ข้างหลังด้วย
จมูกเท้า อีกเท้าหนึ่งยืนเต็มเท้าอยู่ข้างหน้า ใช้จมูกเทาหลังยืนพื้น เพื่อช่วยให้เท้าหน้าเขยิบออก เมื่อเท้า


หน้ากระเถิบได้แล้ว เท้าหลังกตามมา ขยั่นนี้ต้องทำเร็ว ๆ ให้ส่วนของเท้าเรียบไปกับพื้น และชิด ๆ กันไป
ให้ตัวเคลื่อนเหมือนลอยไป

 ถัดเท้า กิริยาถัดเท้ามี 2 ชนิด คือ ถัดเท้าอยู่กับที่ และถัดเท้าเคลื่อนตัวไป


❖ ถัดเท้าอยู่กับที่ แบ่งเป็นถัดเท้าไขว้ กับถดเท้ายืนเสมอกัน สำหรับถัดเท้าไขว้นั้น เท้า
หนึ่งยืนอยู่ข้างหน้า และอีกเท้าหนึ่งอยู่ข้างหลัง เปิดส้นเท้า วิธีการถัด คือ วางเท้าหลังราบลงให้น้ำหนักอยู่

ข้างหลัง แล้วใช้จมูกเท้าหน้าถัดออกไป การถัดจมูกเท้าก็คอ การเสือกจมูกเท้าไปกับพื้นเบา ๆ แล้ววางเท้าท ี่
ถัดราบลงให้น้ำหนักอยู่หน้า ยกเท้าหลังเหนือพื้นเล็กน้อย แล้วงวางจมูกเท้าหลังลงอีกเพื่อให้จมูกเท้าหน้าได้


ถัดอก ทำเช่นนี้ตามจังหวะ ส่วนถัดเท้ายืนเสมอกันนั้น คือ อาการยืนอยู่กับที่ ซึ่งเท้าทั้งสองวางอยู่คู่กัน การ
ปฏิบัติก็ทำเช่นเดียวกัน


❖ ถัดเท้าเคลื่อนตัว ได้แก การถัดเท้าเดิน โดยใช้เท้าขวาเป็นฝ่ายถัด

 จรด คือ การใช้จมูกเท้าข้างหนึ่งแตะลงพื้น โดยยกส้นขึ้นมิให้ถูกกับพื้น จะจรดข้างไหนก็มิได้

ื่
จำกัด แต่อาศัยอีกเท้าหนึ่งเป็นฝ่ายยืนรับน้ำหนัก เพอให้อกเท้าหนึ่งก้าวมาจรด

 สะดุด คือ อาการของเท้าที่ใช้เคลื่อนไหวประกอบท่ารำ โดยใช้เท้าข้างหนึ่งวางอยู่ข้างหน้า


และอกข้างหนึ่งวางอยู่ข้างหลัง วิธีสะดุด ใช้เท้าหลังยืนด้วยจมูกเท้ารับน้ำหนัก เผยอเท้าหน้าขึ้นเล็กน้อย

ื้
พอให้ส่วนฐานเท้ายืนไปกับพนได้ การเสือกฐานเท้าหน้าต้องกระทำแรง ๆ และชะงักไว้เหมือนอาการสะดุด
จริง ๆ เมื่อสะดุดเท้าหน้าแล้ว ให้ยืนเท้าหน้านั้นเต็มเท้า เพื่อรับน้ำหนักให้เท้าหลังก้าวมายืนเต็มเท้าขางหน้า

บ้าง

 สะบัดมือ คือ อาการกิริยาของมือที่เนื่องมาจากท่าจีบจากจีบหงาย หรือจีบปรกข้าง วิธีสะบัด

ให้คลายจีบออกพร้อมกับสลัดข้อมือออกจากลำแขน พร้อมกับหงายฝ่ามือ ทำจังหวะข้อมือแผ่มือออกเป็น

ท่ารำ แบมือคว่ำ

 คลายมือ คือ กิริยามือเนื่องมาจากจีบคว่ำ ค่อย ๆ ปล่อยจีบให้คลายออกให้ข้อมือหงายขึ้น

ปล่อยจีบออกช้า ๆจนมือแบหงาย แล้วจะกลับฝ่ามือตั้งขึ้น

 ม้วนมือ คือ กิริยาเนื่องมาจากจีบหงาย กระทำเพอเปลี่ยนจากมือจีบเป็นมือแบ วิธีม้วนค่อย ๆ
ื่


ปักจีบหงายอยู่ส่งล่างด้วยการม้วนข้อมอลง แล้วคลายจีบออกให้มือแบ ทำจังหวะที่ขอมือ แล้วตั้งวง

 รวมมือ คือ กิริยาที่นำมือทั้งสองมารวมไว้ใกล้ ๆ กัน จะเป็นมือหนึ่งจีบ มือหนึ่งแบก็ได้ เช่น



ท่าภมรเคล้า การรวมมอรวมสูงหรือต่ำกได้

 ฉายมือ คือ กิริยาแบมือที่ตะแคงอยู่ในระดับต่ำ เสมออก ศอกงออยู่ก่อน วิธีฉาย เอียงศีรษะ

ตรงกันข้ามกับมือที่ฉาย ค่อย ๆ แทงปลายนิ้วออกไปข้างหน้า ฝ่ามือยังตะแคงอยู่ แล้วค่อย ๆ เหยียดออกตึง


 แตะเท้า คือ อาการเล่นเท้าชนิดหนึ่ง ที่ใช้จมูกเท้าแตะลงบนพื้นเบา ๆ

 ยกเท้า แบ่งเป็นยกหน้า ยกข้าง กระดกหลัง กระดกเสี้ยว กระดกเท้านี้เนื่องมาจากกริยาประ


อย่างหนึ่ง กระทุ้งหลังอย่างหนึ่ง และยกโดยปราศจากการประ หรือกระทุ้งอกอย่างหนึ่ง


❖ การยกเท้าหน้า สำหรับพระให้กันเข่าออกไปทางเท้าที่ยก ส่วนนางไมต้องกันเข่า

❖ กระดกหลัง คือ อาการยกเท้าออกไปข้างหลัง หักข้อเท้าเข้าหาลำเท้า กระดกนี้เป็น


ท่าสืบเนื่องมาจากการกระทุ้ง แล้วยกเท้าขึ้นข้างหลังนั่นเอง และต้องถีบเข่าไปข้างหลังมาก ๆ จึงจะงาม

❖ กระดกเสี้ยว คล้ายกระดกหลัง แต่ผายลำขามาไว้ข้างๆ ตรงระดับไหล่ กระดกส้น

เท้าให้ฝ่าเท้าหงายอยู่ข้างตัว คือ ต่ำกว่าสะโพกเล็กน้อย กันเข่าห่างออกไปจากเข่าที่ยืน ระดับต่ำกว่าเข่า ตึง


ปลายเท้าขึ้น

 โบก เป็นกิริยามือที่เนื่องมาจากท่าจีบ แบ่งเป็นโบกพักเพลง และโบกท่ารำทั่วไป วิธีการโบก

คือ เมื่อตัวหันไปทางขวา มือขวาเป็นฝ่ายตั้งวงล่าง มือซ้ายเป็นฝ่ายจีบหงาย ตลบเข้าหาตัวทั้งสองมือ

รวมกันอยู่ใกล้กับระดับชายพก ประกอบด้วยกิริยาเท้า ซึ่งเท้าขวาเป็นฝ่ายรับน้ำหนัก เท้าซ้ายข้างเดียวกับ

มือจีบเป็นฝ่ายประ เมื่อห่มเขาประเท้าแล้ว ให้สาวจีบออกห่างตัว ศีรษะตัวเอียงอยู่ข้างซ้ายขณะสาวจีบออก

ชายพก แขนที่มีมอจีบยกสูงขึ้นทุกๆ ที คลายจีบออกให้อยู่ในท่าตั้งวง ตั้งวงสูงค่อนมาหน้านิดหนึ่ง มือขวา
ส่งจีบหลัง เมื่อแขนทั้งสองอยู่ที่แล้วจะห่มเข่าลง วางเท้าที่ประด้วยส้นเท้า


 ลักคอ คือ การปฏิบัติให้ศีรษะที่เอียงตรงข้ามกับไหล่ที่กด









ใบความรู้


ี่
แผนการเรียนรู้ที่ 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีท 3 วิชา นาฏศิลป์ไทยละคร 6 รหัสวิชา ศ 23208
ชื่อหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง เพลงปลุกใจบางระจัน เวลา 36 ชั่วโมง




ประวัติความเป็นมาเพลงปลุกใจบางระจัน


เพลงปลุกใจ คือ เพลงที่มีทำนองหนักแน่นเร้าใจ ก่อให้เกิดความสามัคคี ความรักชาติ

ศาสนา พระมหากษัตริย์ และร่วมมือกันในการป้องกันชาติ

เพลงศึกบางระจัน เป็นเพลงปลุกใจ แต่งคำร้องและทำนองโดย นายสุรินทร์ ปิยะนันทร์
เป็นเพลงนำเรื่องและเพลงประกอบภาพยนตร์ เรื่อง ศึกบางระจัน

ต่อมา พ.ศ. 2525 วิทยาลัยนาฏศิลป ได้ประดิษฐ์ท่ารำขึ้น เพื่อบันทึกเทปโทรทัศน์ ณ
สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 เนื่องในงานวันกองทัพไทย


ผู้ประดิษฐ์ท่ารำ คือ คุณครูกรี วรศะริน

การแต่งกาย ชาย ใส่เสื้อแขนสั้นลงยันต์ ใส่ตะกรุด ใส่เชือกถักและผ้ายันต์

หญิง ใส่เสื้อคอกลม แขนสามส่วนหรือแขนยาว นุ่งผ้าโจงกระเบน

ห่มผ้าตะเบงมาน ใส่ตะกรุด

อุปกรณ์ประกอบการแสดง ถือดาบ 2 เล่ม

ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง ใช้วงดนตรีสากล

บทร้องเพลงศึกบางระจัน


ศึกบางระจันจำให้มั่นพี่น้องชาติไทย

เกียรติประวัติสร้างไว้แต่ชนชาติไทยรุ่นหลัง

แม้ชีวิตยอมอุทิศคราชาติอับปาง
เลือดไทยต้องมาไหลหลั่งทาทั่วพื้นแผ่นดินทอง

ไทยคงเป็นไทยมิใช่ชาติเป็นเชลย
ไทยมิเคยถอยร่นชนชาติศัตรู

บางระจันแม้สิ้นอาวุธจักสู้
สองดาบฟาดฟันศัตรูสู้จนชีพตนมลาย

ตัวตายดีกว่าชาติตาย

เพียงเลือดหยาดสุดท้ายขอให้ไทยคงอยู่
แดนทองของไทยมิใช่ศัตรู

แม้ใครรุกรานเราสู้เพอกู้แหลมถิ่นไทยงาม
ื่









Click to View FlipBook Version