รายงาน เรื่อง การศึกษาความรู้ที่ได้จากเรื่องการศึกษาและวิเคราะห์ศิลปะการแสดงโขน จัดทำโดย นางสาว สิริรัตน์ เมืองอินทร์ เลขที่ 6 นางสาว สุภัชชา สงกา เลขที่ 7 นางสาว วรรณนิษา ม่วงเรือง เลขที่ 8 นางสาว ณัฏฐ์ชญา เมืองรอด เลขที่ 17 นางสาว ณัฐวรา บุญหลง เลขที่ 19 นางสาว มนัสนันท์ สำรวมรัมย์ เลขที่ 20 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิชาภาษาไทย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนมารีย์อุปถัมภ์ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
คำนำ รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทยโดยมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาความรู้ที่ได้จากเรื่อ การศึกษาและวิเคราะห์ศิลปะการแสดงโขน ทั้งนี้ยังประกอบไปด้วย ความเป็นมาของการแสดงโขน ประเภทของโขนในการแสดงองค์ประกอบในการแสดงโขนและวรรณคดีที่ใช้ในการแสดงโขนโดยศึกษา ผ่านแหล่งความรู้ไม่ว่าจะเป็น ตำรา หนังสือและเว็บไซต์ต่างๆ การจัดทำรายงานฉบับนี้สำเร็จลุล่วงตามจุดประสงค์ไปได้ด้วยดีข้าพเจ้าขอขอบคุณคุณครูสายฝน โหจันทร์ที่เป็นที่ปรึกษาในการเขียนรายงานจนทำให้รายงานฉบับนี้สมบูรณ์ ข้าพเจ้าหวังว่ารายงานฉบับนี้ จะเป็นแหล่งให้ความรู้และเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจในศิลปะการแสดงโขน ผู้จัดทำ วันที่ 2 ธันวาคม 2566
สารบัญ คำนำ..............................................................................................................................ก บทที่1 ประวัติความเป็นมาของโขน..............................................................................1-2 บทที่2 ประเภทของโขน ...............................................................................................3-5 บทที่3 องค์ประกอบของการแสดงโขน .........................................................................6-7 บทที่4 วรรณคดีที่ใช้ในการแสดงโขน ...........................................................................8-9 บรรณานุกรม ..................................................................................................................๑
บทที่ 1 ประวัติความเป็นมาของโขน 1.ต้นกำเนิดของโขน โขนถือเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมร่วมกันในอาเซียนที่ปรากฏในหลายประเทศแถบเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ คือ เมียนมา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชาและไทย โดยรับเอาวัฒนธรรมมาจาก ประเทศอินเดีย ซึ่งดัดแปลงจากวรรณกรรมเรื่องรามายณะและมีการพัฒนารูปแบบของการแสดงโขนใน แบบฉบับของตนเองจนเป็นเอกลักษณ์ 2.ยุครุ่งเรืองของโขน สมัยที่โขนรุ่งเรืองในไทยคือรัตนโกสิน สมัยร.1-4 2.1 ร.1 (กรุงรัตนโกสินทร์)รุ่งเรืองในวัง สร้างสรรค์เรื่องรามเกียรติ์ และ ให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตรวบรวมเรื่องรามเกียรติ์ แต่งขึ้นใหม่ใน รูปบทละครที่ครบสมบูรณ์ และยังฟื้นฟูการแสดงละครใน(ผู้หญิงแสดง)อย่างจริงจัง มีละครผู้หญิงทั้งวัง หลวงและวังหน้า (โขน เป็นนาฏกรรมในวัง ถือเป็นประเพณีตั้งแต่กรุงเก่า เลยไม่อนุญาตให้คนธรรมดาฝึก คนที่จะเรียน/ฝึกได้ต้องเป็นคนชั้นสูง เช่น มหาดเล็ก คนที่มาจากตระกูลผู้ดี ฉลาด) ต่อมาเห็นว่าผู้ชายเเสดงได้ดีกว่าตามความเชื่อ (ผู้ชายมีความแข็งแรง คล่องแคล่ว ว่องไว และ สามารถใช้อาวุธต่างๆได้อย่างเชี่ยวชาญทำให้ เหมาะการฝึกฝนเล่นโขน ) และยังให้จัดการแสดงโขนให้ได้ ชมกันอีกด้วย เลยมีการจัดตั้งสำนักฝึกโขนขึ้นหลายสำนัก 2.2 ร.2(ราชสมัยสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) เป็นอีกช่วงที่ศิลปะหลายแขนงเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด เพราะทรงชอบกาละคร ท่ารำและยังทรง พระราชนิพนธ์บทพากย์รามเกียรติ์หลายตอน มีการฝึกหัดทั้งโขน ละครใน ละครนอกโดยได้ฝึกผู้หญิงให้แสดงละครนอกของหลวงและมีการ ปรับปรุงเครื่องแต่งกายยืนเครื่องแบบละครใน
2.3 ร.3(เเพร่ในประชาชาน) ยกเลิกละครหลวง ทำให้นาฏศิลป์ไทยเป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่ประชาชน และเกิดการแสดง ของปชชขึ้นหลายคณะ ศิลปินที่มีความสามารถได้สืบทอดการแสดงนาฏศิลป์ 2.4 ร.4 มีการให้ผู้หญิงฝึกโขน ทำให้เเพร่หลายในประชาชนมากขึ้น 3.วิวัฒนาการของโขนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โขนมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา มีหลักฐานอิงตามจดหมายเหตุของลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัย อยุธยา ซึ่งได้กล่าวว่า โขน เป็นการเต้นออกท่าทางกับเสียงซอและเครื่องดนตรีอื่นๆ โดยผู้แสดงสวม หน้ากากและถืออาวุธ โขน ในภาษาเบงคาลี(โขล หรือ โขละ)คือเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งของฮินดู คล้าย ตะโพนของไทย ใช้สำหรับประกอบการละเล่นยาตรา หรือที่เรียกว่าละครชาตรีในประเทศไทย โดยโขน มี วิวัฒนาการมาดังนี้ 3.1.การเล่นหนังใหญ่ มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาราว ๆปีพ.ศ.2294-2301 มีการนำแผ่นหนังวัว มาฉลุสลุกเป็นตัวยักษ์และตัวลิง นอกจากจะมีตัวหนังแล้วยังต้องมีคนเชิดหนังคนเชิดหนังคือคนที่นำตัว หนังออกมาเชิด และยกขาเต้นเป็นจังหวะ นอกจากนี้ยังต้องมีผู้พากย์ - เจรจาทำหน้าที่พูดแทนตัวหนัง และมีวงปี่พาทย์ ประกอบการแสดงด้วยสำหรับสถานที่แสดงหนังใหญ่นิยมแสดงบนสนามหญ้าหรือบน พื้นดิน 3.2.การชักนาคดึกดำบรรพ์สมัยกรุงศรีอยุธยาการทำพิธีอินทราภิเษกโดยการนำการกวนน้ำ อมฤตมีแสดงเรียกว่า การชักนาคดึกดำบรรพ์ โดยการแสดงมีการสร้างภูเขาในสนามแล้วนำพญานาคมา พันภูเขาโดยให้คนแต่งตัวเป็นเทวดา อศูร พารีสุครีพ สมัยก่อนไม่มีการสวดหัวโขนแต่จะมีการแต่งหน้า หรือสวมหน้ากากแค่ครึ่งเดียวต่อยอดแหลมที่ใช้เป็นเทวดาหรือวานร พิธีอินทราภิเษก ตั้งแต่สมัยอยุธยามี การแสดงแค่สองครั้ง โดยโขนมีวิวัฒนาการจากการชักนาคดึกดำบรรพ์ในเรื่องของเครื่องแต่งกาย 3.3.กระบี่กระบอง สมัยโบราณมีการรบต่อมาเว้นจากการรบจะมีการประลองเพลงจะมี กระบวนการต่อสู้มีการซ้อมเพลงดาบ เพลงทวน ต่อมามีการพัฒนาเป็นการเล่นของกระบี่กระบองโดย โขนมีวิวัฒนาการจากกระบี่กระบองในเรื่องของกระบวนการต่อสู้
บทที่2 ประเภทของโขน 1.โขนกลางแปลง โขนกลางแปลง เป็นการเล่นโขนกลางแจ้ง ไม่มีการสร้างโรงแสดง ใช้ภูมิประเทศและธรรมชาติ เป็นฉาก ในการแสดงผู้ที่แสดงทั้งหมดรวมทั้งตัวพระต้องสวมหัวโขน โขนกลางเเปลงนี้ปรากฎเมื่อ พ.ศ. 2339 ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 มีการเล่นโขนในงานฉลอง อัฐิสมเด็จพระปฐมบรมชนกาธิราช โดยโขนวังหน้าเป็นทัพทศกัณฐ์ และ โขนวังหลังเป็นทัพพระราม แล้ว ยกทัพมาเล่นรบกันในท้องสนามหน้าพลับพลา โขนกลางเเปลงวิวัฒนาการมาจากการเล่น ชักนาคดึกด่าบรรพ์เรื่องกวนน้ำอมฤตที่ใช้เล่นในพิธี อินทราภิเษก ปรากฏในกฎมณเฑียรบาลสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยนำวิธีการแสดงคือการจัดกระบวนทัพและ การเต้นประกอบหน้าพาทย์มาใช้ แต่เปลี่ยนมาเล่นเรื่อง รามเกียรติ์แทน และส่วนใหญ่นิยมแสดงตอน “ยกรบ” คือตอนยกทัพมารบกันระหว่างกองทัพของ พระรามกับกองทัพของทศกัณฐ์ มีการเต้นประกอบหน้าพาทย์และอาจมีบทพาทย์และเจรจาบ้าง แต่ไม่มีบทร้อง โดยเครื่องดนตรีที่ใช้ก็มี เพียงวงปี่พาทย์ ซึ่งต้องใช้อย่างน้อย 2 วง ในการบรรเลง 2.โขนนั่งราว โขนนั่งราวหรือเรียกอีกอย่างว่าโขนโรงนอก เป็นโขนที่แสดงบนโรง ที่ปลูกสร้างขึ้นสำหรับแสดง ตัวโรงมักมีหลังคาคุ้มกันแสงแดดและสายฝน ไม่มีเตียงสำหรับผู้แสดง มีเพียงราวทำจากไม้ไผ่วางพาดตาม ส่วนยาวของโรงเท่านั้น สมมติว่าเป็นเตียงหรือที่นั่งประจำตำเเหน่ง มีช่องให้ผู้แสดงในบทของตัวพระหรือ ตัวยักษ์ ที่มีตำแหน่ง และยศถาบรรดาศักดิ์ สามารถเดินวนได้รอบราวซึ่งสมมติให้เป็นเตียง ในส่วนผู้แสดง ที่รับบทเป็นเสนายักษ์ เชนยักษ์ เสนาลิงหรือเขนลิง คงนั่งพื้นแสดงตามปกติ มีการพากย์และเจรจา ไม่มีบทขับร้อง วงปี่พาทย์บรรเลงเพลงหน้าพาทย์เช่น กราวใน กราวนอก ฯลฯ ในการแสดงใช้ปี่พาทย์สำหรับบรรเลงเพลงถึงสองวง เนื่องจากต้องบรรเลงเป็นจำนวนมาก โดย ตำแหน่งของปี พาทย์ตัวแรกจะตั้งอยู่บริเวณหัวโรง ตำแหน่งของปี่พาทย์ตัวที่สองจะตั้งอยู่บริเวณท้ายโรง และกลายเป็นที่มา ของการเรียกว่า วงหัวและวงท้ายหรือวงซ้ายและวงขวา
การแสดงโขนโรงนอกนี้ ยังมีอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า “โขนนอนโรง” คือเวลาบ่ายก่อนถึงวันแสดงวัน หนึ่ง ปี่พาทย์จะบรรเลงเพลงโหมโรง บรรดาผู้แสดงจะออกมากระทุ้งเส้าตามจังหวะเพลงที่กลางโรง เมื่อ จบการโหม โรงแล้วก็จะแสดงโขนตอนพระพิราพออกเที่ยวป่า พบพระรามซึ่งหลงเข้ามายังสวนพวาทอง ของพระพิราพจึงเกิดการสู้รบกัน เสร็จการแสดงตอนนี้ก็จะหยุดพัก แล้วนอนเฝ้าโรงคืนหนึ่ง วันรุ่งขึ้น จึง แสดงตามเรื่องที่จัดไว้ต่อไป 3.โขนหน้าจอ โขนหน้าจอเป็นโขนที่แสดงหน้าจอหนังใหญ่ ซึ่งใช้สำหรับแสดงหนังใหญ่หรือหนังตะลุง โดยผู้ แสดง โขนออกมาแสดง สลับกับการเชิดตัวหนัง ที่ฉลุแกะสลักเป็นตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์อย่าง สวยงามวิจิตร บรรจง เรียกว่า "หนังติดตัวโขน" ซึ่งในการเล่นหนังใหญ่ จะมีการเชิดหนังใหญ่อยู่หน้าจอผ้า ขาวแบบจอหนัง ใหญ่ ยาว 7 วา 2 ศอก ริมขอบจอใช้ผ้าสีแดงและสีน้ำเงินเย็บติดกัน ใช้เสาจำนวน 4 ต้น ปลาย เสาแต่ละด้านประดับด้วยหางนกยูงหรือธงแดง แล้วเจาะผ้าดิบทั้งสองข้างของจอ ทำเป็นช่องประตู เข้าออก แล้วทำเป็นซุ้มประตู ด้านหนึ่งเป็นปราสาทราชวัง สมมติเป็นกรุงลงกา อีกด้านหนึ่งเป็นค่าย พลับพลา พระราม แล้วโขนก็ขึ้นไปแสดงบนโรง ซึ่งข้างหลังเป็นจะหนังใหญ่ จึงเรียกว่า โขนหน้าจอ ซึ่ง การเเสดงหนังใหญ่มีศิลปะสำคัญ คือการพากย์และเจรจา ใช้ เครื่องดนตรีปี่พาทย์ประกอบการแสดง ผู้ เชิดตัวหนังจะต้องเต้นตามจังหวะดนตรีและลีลาท่าทางของตัวหนัง 4.โขนโรงใน โขนโรงในเป็นโขนที่นำศิลปะการแสดงของละครใน เข้ามาผสมผสานระหว่างโขนกับละครใน ซึ่ง ในการแสดงโขนโรงใน เริ่มในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 และ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 รวมทั้งมีราชกวีภายในราชสำนัก ช่วยปรับปรุงขัด เกลาและประพันธ์บทพากย์ บทเจรจาให้ มีความคล้องจอง ไพเราะสละสลวยมากยิ่งขึ้น โดยนำท่ารำท่า เต้น และบทพากย์เจรจาตามแบบโขนมาผสมกับการขับร้องประกอบอากัปกิริยาอาการของตัวละคร มี ระบำรำฟ้อนเข้าผสมด้วย ในส่วนของผู้เเสดงผู้ที่แสดงเป็นตัวพระ ตัวนางและเทวดา เริ่มที่จะไม่ต้องสวม หัวโขนในการแสดง
ในส่วนของการเเสดงเปลี่ยนมาแสดงภายในโรงแบบละครในจึงเรียกว่าโขนโรงใน ส่วนดนตรีจะมี ปี่พาทย์บรรเลงสองวง ปัจจุบันโขนที่กรม ศิลปากรนำออกแสดงนั้น ใช้ในโรงละครแห่งชาติปัจจุบันนี้มัก เป็นลักษณะโขนโรงใน หรือที่นำออก แสดงกลางแจ้งก็เป็นการแสดงแบบโขนโรงในทั้งสิ้น 5.โขนฉาก โขนฉากเป็นการแสดงโขนที่ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรก ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดให้มีการจัดฉากในการแสดงแบบละครดึกดำบรรพ์ประกอบตามท้องเรื่อง แต่ วิธีแสดงเป็นแบบโขนโรงใน มีการขับร้อง มีท่าเต้นและมีเพลงหน้าพาทย์ การประดิษฐ์ฉากขึ้นประกอบให้ เข้ากับเหตุการณ์และสถานที่ที่สมมติไว้ในท้องเรื่องจึงเรียกว่า โขนฉาก ปัจจุบันการแสดงโขนของกรม ศิลปากรนอกจากจะจัดแสดงโขนโรงใน แล้วยังจัดแสดงโขนฉากควบคู่กันอีกด้วย เช่น ชุดปราบกากนาสูร ชุดมัยราพณ์สะกดทัพ ชุดนางลอย ชุดนาคบาศ ชุดพรหมาสตร์ ชุดศึกวิรุณจำบัง ในปัจจุบันก็ยังมีอยู่โดย ให้มีความสมจริงมากขึ้นกับการเเสดงโขนและมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาผสมผสาน
บทที่ 3 องค์ประกอบของการแสดงโขน 1.ลักษณะที่โดดเด่นของการเเสดงโขนคือบทละครเเสดงโขน เรื่องที่นำมาเเสดงเป็นวรรณคดีที่สำคัญของไทยซึ่งพระมหากษัตริย์ของไทยหลายพระองค์ได้ท ระงพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์เป็นวรรณคดีที่เรียบเรียงจากเค้าโคลงและเนื้อหาของมหากาพย์รา มายณะของอินเดีย ซึ่งกล่าวถึงพระนารายณ์ เทพเจ้าสำคัญในศาสนาฮินดูที่อวตารมาเป็นพระราม เพื่อ ปราบปรามทศกัณฐ์ในกลียุค และบทในการแสดงโขนที่มีใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ บทแสดงโขนของรัชกาลที่ 1 บทแสดงโขนของรัชกาลที่ 2 ซึ่งบทที่ใช้ในการแสดงโขนในแต่ละรัชกาลจะมีลักษณะแตกต่างกันไป แต่บท แสดงโขนที่นิยมนำมาใช้ในการแสดงโขนมากที่สุดคือบทแสดงโขนของรัชกาลที่ 2 จากการสัมภาษณ์ ประสาททองอร่ามจตุพรรัตนวราหะและรัจนาพวงประยงค์ ในบทการเเสดงโขน สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของการเเสดงคือลักษณะของโขน ในการแสดงโขน เมื่อเริ่มแสดงวงปี่พาทย์จะบรรเลงเพลงโหมโรงเป็นเพลงเปิด เมื่อจบเพลงจึงจะเริ่มการแสดง ดำเนินเรื่อง โดยใช้คำพากย์และคำเจรจาเป็นหลัก การเล่นโขนแต่เดิมไม่มีบทร้องของผู้แสดงเหมือนละครใน ผู้แสดง ทุกคนในสมัยโบราณต้องสวมหัวโขน ยกเว้นตัวตลกที่ใช้ใบหน้าจริงในการแสดง ทำให้ต้องมีผู้ทำหน้าที่ สำหรับพากย์และเจรจาถ้อยคำต่าง ๆ แทนตัวผู้แสดง ผู้พากย์เสียงนั้นมีความสำคัญในการแสดงโขนเป็น อย่างมาก ต้องเรียนรู้และศึกษาทำความเข้าใจเรื่องราวและวิธีการแสดงจดจำคำพากย์และใช้ปฏิภาณไหว พริบในเชิงกาพย์กลอน เพื่อสามารถเจรจาให้สอดคล้องถูกต้อง มีสัมผัสนอก สัมผัสใน ลักษณะบทโขน ประกอบด้วยบทร้อง ซึ่งบรรจุเพลงไว้ตามอารมณ์ของเรื่อง บทร้องแต่งเป็นกลอนบทละครเป็นส่วนใหญ่ อาจมีคำประพันธ์ชนิดอื่นบ้างแต่ไม่นิยม บทร้องนี้จะมีเฉพาะโขนโรงในและโขนฉากเท่านั้น บทพากย์ การ แสดงโขนโดยทั่วไปจะเดินเรื่องด้วยบทพากย์ ซึ่งแต่งเป็นคำประพันธ์ชนิดกาพย์ฉบัง 16 หรือกาพย์ยานี 11 บทมีชื่อเรียกต่างๆและสิ่งที่ให้การเเสดงโขนสมบูรณ์เเบบเลยคือวงดนตรีประกอบการเเสดงโขน วงดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดงโขน คือ วงปี่พาทย์ซึ่งจัดเป็นวงดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ ประจำชาติของเรานอกจากนี้ นักดนตรีจะต้องเป็นผู้มีความสามารถและประสบการณ์สูง เพราะในการ แสดงโขนนั้นจะต้องบรรเลงเพลงประกอบการขับร้อง บรรเลงเพลงหน้าพาทย์ประกอบอากัปกิริยาของตัว โขน ในตอนที่สำคัญ ในการแสดงก็อาจจะมีการขยายวงปี่พาทย์เป็นวงปี่พาทย์เครื่องตู่หรือวงปี่พาทย์ เครื่องใหญ่ก็ได้ แต่ในบางยุคสมัยก็อาจจะมีการจัดเป็นวงปี่พาทย์เครื่องห้าตามแต่ฐานะของผู้จัดงาน
เอกลักษณ์ในการเเสดงโขนที่เห็นได้ชัดเลยคือเครื่องแต่งกายมีการสร้างเครื่องแต่งกายละครโดย การเลียนแบบจากเครื่องต้นอันเป็นเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์ซึ่งเรียกว่า “ยืนเครื่อง” กล่าวคือมีชื่อ เรียกชิ้นส่วนของเครื่องแต่งกายที่ตรงกันมีรูปร่างลักษณะที่ใกล้เคียงกันมีการนำไปใช้ในแบบอย่างเดียวกัน จึงนับได้ว่าเครื่องแต่งกายโขนเป็นศิลปะสร้างสรรค์ประเภทหนึ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นด้วยความประณีตวิจิตร งดงาม ซึ่งคล้ายกับการแต่งกายของละครในแต่แตกต่างที่ผู้แต่งกายตัวโขนมีหัวโขนเข้ามาประกอบในการ สวมใส่ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของการแสดงโขนอย่างหนึ่งโดยมีรูปแบบการแต่งกายยืนเครื่องแตกต่างไปตาม ประเภทของตัวโขน ซึ่งองค์ประกอบของยืนเครื่อง ที่สำคัญ มี 3 ส่วนคือ - ศิราภรณ์ หมายถึง หัวโขน และเครื่องประดับศีรษะของตัวโขน - ถนิมพิมพาภรณ์ หมายถึง เครื่องประดับกาย - พัสตราภรณ์ หมายถึง เครื่องนุ่งห่มที่เป็นผ้า ซึ่งรวมถึงการกำหนดรูปแบบ ลักษณะลวดลาย สี และขนาดของเครื่องแต่งกายด้วย นอกจากเครื่องแต่งกายเเล้ว โขนก็ยังมีความโดดเด่นทางด้านการแต่งหน้า การแต่งหน้าแต่ละยุคมีวิวัฒนาการและเกิดความแตกต่างกัน โดยที่ส่วนหนึ่งมาจากความก้าวหน้าของวัสดุ อุปกรณ์ มีส่วนทำให้การแต่งหน้าเปลี่ยนรูปแบบไปอย่างมาก มีการค้นพบวิธีการใหม่ๆ ที่ผสมผสานศาสตร์ และศิลป์ เช่น นำภาพวาดจากจิตรกรรมฝาผนัง นำลายเส้น การแรเงา การกำหนดสีจากศีรษะโขนมาเป็น ต้นแบบสำหรับการเขียนหน้าและการแต่งหน้าในนาฏกรรมไทย นอกจากนี้ยังนำทฤษฎีพื้นฐานทางศิลปะ มาเป็นส่วนหนึ่งสำหรับสร้างสรรค์แนวคิดการเขียนหน้าและการแต่งหน้า ทำให้มีมิติสมจริงและเป็นไป ตามจินตนาการอย่างสมบูรณ์แบบ การเขียนหน้าและแต่งหน้าโขนในปัจจุบันเป็นแนวคิดการแต่งหน้าที่คิด สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับตัวละครที่ยังใส่หัวโขนในการแสดงมีรากฐานความคิดและดัดแปลงมา จากหัวโขนที่มีมาแต่เดิมนั่นเอง แต่สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือความสวยงามอย่างประณีตวิจิตรนั้นส่วนหนึ่ง นำมาจากงานจิตรกรรมไทยเช่นลักษณะเส้นลายกนกการเลือกใช้โทนสีการแรเงารวมถึงเทคนิคการลงครีม รองพื้นเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องบนใบหน้าการเขียนหน้าและการแต่งหน้าทุกส่วนของใบหน้าจากฝีมือและ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของช่างแต่งหน้าและยังมีเครื่องสำอางวัสดุอุปกรณ์ที่พัฒนาไปมากกว่าในสมัย โบราณหลายร้อยเท่าการจัดทำตำรับตาราทั้งในและต่างประเทศระบบการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ทำให้ นักเรียนนักศึกษาช่างแต่งหน้าที่ต้องการค้นคว้าและศึกษาหาความรู้ง่ายขึ้นทำให้การเขียนหน้าและการ แต่งหน้าที่ถอดออกมาจากจินตนาการไม่มีขีดจํากัด
บทที่ 4 วรรณคดีที่ใช้ในการแสดงโขน วรรณคดีที่ใช้ในการแสดงโขนมีประวัติตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจากหลักฐานจดหมายเหตุลาลูแบร์ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้มีการกล่าวถึงการแสดงโขนว่าเป็นการเต้น ออกท่าทางประกอบกับเสียงซอและเครื่องดนตรีประเภทต่างๆ ผู้แสดงจะสวมหน้ากากปิดบังใบหน้า ตนเองและถืออาวุธส่วนใหญ่เรื่องที่นิยมนำมาเล่นคือเรื่องรามเกียรติ์ อุณรุทเคยนำมาเล่นแล้วแต่ไม่เป็นที่ นิยม - ตอนหนุมานถวายแหวน - ตอนเผาลงกา เป็นตอนต่อจากหนุมานถวายแหวน กลับไปเฝ้าพระราม - ตอนขับพิเภก ทศกัณฐ์ฝันร้าย ทำนายฝัน พิเภกถูกขับมาอยู่กับพระราม - ตอนนางลอย นางเบญกายแปลงเป็นนางสีดาตายลอยทวนน้ำมาบริเวณที่ประทับของพระราม หนุมานได้นางเบญกาย - ตอนจองถนน หนุมานได้นางสุพรรณมัจฉา - ตอนองคตสื่อสาร จนกระทั่งองคตกลับไปเฝ้าพระราม - ตอนสุครีพหักฉัตร ทศกัณฐ์ยกฉัตรแก้ว จนกระทั่งสุครีพกลับมาเฝ้าพระราม - ตอนไมยราพสะกดทัพ หนุมานปราบไมยราพ - ตอนศึกกุมภกรรณ ครั้งที่ 1 สุครีพถอนต้นรัง - ตอนศึกกุมภกรรณ ครั้งที่ 2 พระลักษณ์ต้องหอกโมกขศักดิ์ - ตอนศึกกุมภกรรณ ครั้งที่ 3 กุมภกรรณทดน้ำ จนกระทั่งกุมภกรรณล้ม - ตอนศึกอินทรชิต อินทรชิตรบพระอินทร์จนได้ศรพรหมาสตร์ - ตอนศึกมังกรกัณฐ์ มังกรกัณฐ์เนรมิตรูปทางอากาศไว้มากมาย จนกระทั่งมังกรกัณฐ์ล้ม - ตอนศึกแสงอาทิตย์ องคตลวงเอาแว่นแก้วของแสงอาทิตย์มาได้ จนกระทั่งแสงอาทิตย์ล้ม - ตอนศึกพรหมาสตร์ พระลักษมณ์ต้องศรพรหมาสตร์ - ตอนพิธีอุมงค์ หนุมานทำลายพิธี - ตอนศึกวิรุณจำบัง หนุมานเข้าห้องนางวานริน - ตอนท้าวมาลีวราชว่าความ ตั้งแต่ทศกัณฐ์เชิญท้าวมาลีวราชมาจนกระทั่งพิพากษาเสร็จ
- ตอนศึกทศกัณฐ์ หนุมานผูกผมทศกัณฐ์กับนางมณโฑ - ตอนหนุมานอาสา หรือที่เรียกว่า ตอนถวายลิงชูกล่องดวงใจ - ตอนศึกทศกัณฐ์ครั้งสุดท้าย ทศกัณฐ์ล้ม - ตอนอภิเษกพระราม - ตอนสีดาวาดรูป นางอดูลปิศาจเข้าสิงรูป พระรามคลั่งฆ่าสีดา จนกระทั่งพระลักษณ์ - ปล่อยสีดาไป - ตอนปล่อยม้าอุปการ หรือบางทีเรียกว่า ตอนพระรามครองเมือง หรือตอนบุตรลบ - ตอนศึกไมยราพ
บรรณานุกรม กองบรรณาธิการศิลปะวัฒนธรรม. (6 พฤษภาคม 2566). เจาะลึกโขนยุครัตนโกสินทร์ ผ่าห้วงปริศนาสู้ มรดกวัฒนธรรมล้ำค่าเฟื่องฟูในสมัยใหม่. SILPA-MAG.โขน ในกรุงรัตนโกสินทร์ ปริศนาสมัยร.3 สู่การคืน ชีพ-จุดเปลี่ยนหลังยุคร.6 (silpa-mag.com) มองซิเอร์ เดอ ลาลูแบร์. (2548) แปลโดย : สันต์ ท. โกมลบุตร. สำนักพิมพ์ศรีปัญญา. มนตรี ตราโมท1 และสุมน อมรวิวัฒน์2 . (ม.ป.ป.). โขน. saranukromthai.โขน - สารานุกรมไทยสำหรับ เยาวชนฯ (saranukromthai.or.th) สำนักการสังคีต. (ม.ป.ป.). ความรู้ทั่วไปโขน. ท่ากรมศิลปากร.finearts.go.th/performing/view/6989- ความรู้ทั่วไปโขน โขน. (14 มีนาคม 2549) วิกิพีเดีย.โขน - วิกิพีเดีย (wikipedia.org) ประเภทของโขน(ม.ป.ป.). archive. สืบค้นเมื่อ 17 กรกฎาคม 2554 จาก https://web.archive.org/web/20110829113527/http://student.swu.ac.th/sc501010561/pag e.html Alex A Renner. (6 ธันวาคม 2556). ประเภทของโขน. gotoknow.ประเภทของโขน - GotoKnow Ningnong_tor. (ม.ป.ป.). วิวัฒนาการของโขน. OK NATION.วิวัฒนาการของโขน | OK NATION KHONSITE. (17 เมษายน 2559). อนุรักษ์สืบสานศิลปวัฒนธรรมไทย. KONKHON.KONKHON (wordpress.com)