The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รูปเล่มรวม มณีวรรณ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by มณีวรรณ ณ., 2023-06-30 04:45:52

รูปเล่มรวม มณีวรรณ

รูปเล่มรวม มณีวรรณ

โครงงานวิจัยประเภทสิ่งประดิษฐ์ เพื่อพัฒนาต่อยอดวัตกรรมใหม่และเทคโนโลยี สื่อการเรียนการสอน เรื่อง สมองกลฝังตัว นางสาวมณีวรรณ โพธิ์ทอง รายงสนการวิจัยเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษารายวิชาโครงการ ตามหลักสูตรประกาศนีตบัตรวิชาชีพ สาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ สาขางานอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยการอาชีพแกลง ปีการศึกษา 2566


ก กิจกรรมประกาศ งานวิจัยนี้ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย งบประมาณแผ่นดินประจ าปี 2551 เป็นงานวิจัยพื้นฐานเพื่อก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ในการประเมิน ความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ ตลอดจนผลการวิจัยสามารถใช้เป็นแนวทาง ส่งเสริมให้มีการน น าไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ อาหาร เครื่องส าอาง และอุตสาหกรรม ขอขอบคุณมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยที่ได้ให้การสนับสนุนทุนในการท าวิจัยนี้ ขอขอบคุณผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ได้ให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ทั้งความสะดวกในการใช้อุปกรณ์ และเครื่องมือวิเคราะห์ ตลอดจนสถานที่ในการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่าง ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ ห้องปฏิบัติการที่ให้การช่วยเหลืออ านวยความสะดวกด้วยดีตลอดมา ขอขอบคุณผู้ร่วมวิจัยที่อุทิศก าลัง กายและกายลังใจช่วยในการวิจัยครั้งนี้ลุล่วงได้ด้วยดี ตลอดจนครอบครัวและผองเพื่อนที่ให้ความ ห่วงใย เป็นก าลังใจให้เสมอมา ประโยชน์อันใดที่เกิดจากงานวิจัยนี้ย่อมเป็นผลมาจากความกรุณาของ ท่านและหน่วยงาน ผู้วิจัยจึงใคร่ขอขอบพระคุณมา ณ โอกาส นี้ นุชนาถ วงศ์สุวรรณ ประภัสสร เหล่าพงศ์พันธ์ สิงหาคม 2551


ข ผลของการแปรรูปต่อองค์ประกอบทางเคมีและคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ของสาหร่ายเกลียวทอง นุชนาถ วงศ์สุวรรณ1 และประภัสสร เหล่าพงศ์พันธ์2 บทคัดย่อ การทดลองครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาผลของการแปรรูปต่อองค์ประกอบทางเคมีและ คุณสมบัติ ในการต้านอนุมูลอิสระของสาหร่ายเกลียวทอง โดยศึกษาปริมาณของไฟโคไซยานิน เบต้าแคโรทีน คลอโรฟิลล์และปริมาณโปรตีน รวมทั้งคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากสาหร่าย เกลียวทอง โดยศึกษาคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ 2,2-Dipheny1-1-picrylhydrazyl (DPPH) และอนุมูลอิสระ 2,2’-azobis(3-ethylbenzthiazoline-6-sulfonic acid) diammonium salt (ABTS) ผลการทดลองพบว่ากรรมวิธีการทาแห้งมีผลต่อองค์ประกอบทางเคมี และสมบัติการต้าน ออกซิเดชันของสาหร่ายเกลียวทองแห้ง โดยปริมาณไฟโคไซยานิน เบต้าแคโรทีน คลอโรฟิลล์ และ ปริมาณโปรตีนของสาหร่ายเกลียวทองที่ผ่านการท าแห้งแบบพ่นฝอยมีค่าสูงสุด และพบว่าปริมาณ ของไฟโคไซยานินมีความสัมพันธ์กับคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ(r= 0.90) ดังนั้นในกระบวนการ ผลิตสาหร่ายเกลียวทองผง ควรใช้การอบแห้งแบบพ่นฝอยเพื่อช่วยรักษาคุณสมบัติในการต้านอนุมูล อิสระของสาหร่าย ความส าคัญ: สาหร่ายเกลียวทอง องค์ประกอบทางเคมี คุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ


ค สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค สารบัญรูปภาพ จ สารบัญตาราง ฉ บทที่ 1 บทน า 1 1.1 ความเป็นมาของโครงการ 1 1.2 วัตถุประสงค์ของโครงการ 1 1.3 ขอบเขตของโครงการ 2 1.4 ประโยชน์ที่ได้รับของโครงการ 3 1.5 วิธีการด าเนินการ 3 1.6 นิยามศัพท์ 3 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4 2.1 ความหมายโปรแกรม Adobe Flash Professional CS6 4 2.2 การสร้างสื่อการเรียนการสอนด้วย Flash 4 2.3 พัฒนาการของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 7 2.4 ทฤษฎีความพึงพอใจ 8 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 9 2.6 แนวคิดเกี่ยวกับการพึงพอใจ 11 บทที่3 วิธีด าเนินงานโครงการ 14 3.1 ศึกษาเก็บรวบรวมข้อมูล 14 3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 14 3.3 การออกแบบการจัดสร้างโครงงาน 15 3.4 กิจกรรม/แผนการด าเนินงาน 18 3.5 ระยะเวลาแผนการด าเนินงาน 26 3.6 วิธีด าเนินพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 26 3.7 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 27 3.8 การวิเคราะห์ข้อมูล 28


ง สารบัญ (ต่อ) บทที่ 4 ผลการด าเนินงาน 29 4.1 ความสามารถของสื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ 29 4.2 ผลการสร้างสื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ 30 4.3 สรุปผลการประเมินแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เข้าเยี่ยมชม สื่อการเรียนการสอนเรื่องการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ 39 บทที่ 5 สรุปผลและข้อเสนอแนะ 41 5.1 สรุปผล 41 5.2 อภิปรายผล 42 5.3 ข้อเสนอแนะ 42 บรรณานุกรม ภาคผนวก ภาคผนวก ก หนังสืออนุมัติโครงการ ภาคผนวก ข บันทึกปฏิบัติโครงการ ภาคผนวก ค ตัวอย่างแบบสอบถาม ภาคผนวก ง ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย SPSS ภาคผนวก จ ประวัดผู้จัดท าโครงการ


บทที่1 บทน ำ 1. ควำมเป็นมำของโครงกำร การจัดการศึกษาในปัจจุบัน ครูคือผู้อ านวยให้เกิดการเรียนรู้และเป็นผู้ท างานร่วมกับนักเรียน ในการแสวงหา และป้อนข้อมูลที่ถูกต้องให้กับนักเรียน สื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ ที่ครูน ามาใช้ในการเรียนรู้หากมีความหลากหลายทั้ง สื่อธรรมชาติ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อเทคโนโลยี และสื่อ อื่น ๆ จะช่วยส่งเสริมให้การจัดการเรียนการสอนเป็นไปอย่างมีคุณค่า น่าสนใจ ชวนคิด ชวนติดตาม เข้าใจง่ายและรวดเร็วขึ้น รวมทั้งจะช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักวิธีแสวงหาความรู้ และเกิดการเรียนรู้ อย่างกว้างขวาง ลึกซึ้งและต่อเนื่องตลอดเวลา ปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้าไปไกลมากขึ้นคนส่วนใหญ่ได้น าเอาเทคโนโลยีมาใช้ใน ชีวิตประจ าวันการศึกษาเป็นกระบวนการในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ส าคัญอย่างยิ่งในการพัฒนา คนให้มีความรู้ ในการพัฒนาคนที่ถูกวิธีนั้นจะต้องพัฒนาให้สามารถเลือกใช้หรือสร้างเทคโนโลยีที่ เหมาะสมส าหรับในด้านการศึกษา ดังนั้นคณะผู้จัดท าจึงจัดท าสื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อ สิ่งพิมพ์ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ครูคิดค้น สร้างสรรค์สื่อการเรียนการสอนแลนวัตกรรมต่าง ๆ ได้อย่าง หลากหลาย จากเหตุผลข้างต้นผู้พัฒนาจึงได้จัดท าสื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ เพื่อช่วย ให้ผู้เรียนได้มีความรู้ มีความเข้าใจในเนื้อหามากขึ้นและจะช่วยให้ผู้สอนแก้ไขปัญหาในการเรียนการ สอนในการเรียนการสอนให้มีความเข้าใจมากขึ้น เพื่อเป็นช่องทางในการศึกษาเพิ่มเติมหรือทบทวน บทเรียนได้ด้วยตนเอง สื่อการเรียนการสอนสามารถที่จะจูงใจผู้เรียนให้เกิดความกระตือรือร้น สนุกสนานไปกับการเรียนการสอนให้มีประโยชน์ 2. วัตถุประสงค์ของโครงกำร 2.1 เพื่อสร้างสื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ 2.2 เพื่อน าสื่อเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เป็นสื่อการเรียนให้นักเรียน/นักศึกษา 2.3 เพื่อทดลองสื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ด้วยตนเอง 2.4 เพื่อศึกษาความคิดเห็น/ความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อสื่อการเรียนการสอน เรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์


2 3. ขอบเขตของโครงกำร 3.1 ด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย 3.1.1 ประชากรที่ศึกษา ได้แก่ นักเรียน/นักศึกษา แผนกวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ จ านวน 211 คน 3.1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษา ได้แก่ นักเรียน/นักศึกษา แผนกวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ จ านวน 136 คน 3.2 ด้านเนื้อหาสื่อการเรียนการสอน เรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ ประกอบด้วย ความรู้ เกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์ การออกแบบและกระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ การจัดรูปแบบ และจัดหน้าสื่อสิ่งพิมพ์ สีในสื่อสิ่งพิมพ์ ภาพในสื่อสิ่งพิมพ์ 3.3 โปรแกรมที่ใช้ในการด าเนินงานได้แก่ 3.3.1 โปรแกรม Adobe Flash Professional CS6 3.3.2 โปรแกรม Adobe Photoshop CS6 4. ประโยชน์ที่ได้รับจำกโครงกำร 4.1 ช่วยพัฒนาบทเรียนช่วยสอนสื่อการเรียนการสอน เรื่องการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ 4.2 ได้ศึกษาการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์จากบทเรียนการช่วยสอนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ 4.3 ได้รับบทเรียนช่วยสอนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ เป็นแหล่งการศึกษาค้นคว้าข้อมูลให้กับผู้ที่มีความ สนใจ 4.4 ผู้เรียนมีความพึงพอใจในการเรียนโดยใช้สื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ 5. วิธีกำรด ำเนินกำร 5.1 ศึกษาข้อมูล 5.2 เสนอโครงการต่อคณะกรรมการและผู้บริหาร 5.3 วางแผนโครงการและเก็บรวบรวมข้อมูล 5.4 ออกแบบและสร้างสื่อการเรียนการสอน CAI ด้วย Flash Professional CS6 เรื่องการผลิตสื่อ สิ่งพิมพ์ 5.5 ทดลองใช้งานและเก็บข้อมูล 5.6 จัดท าโครงการ 5.7 สรุปผลการด าเนินงานตามโครงการ 5.8 น าเสนอโครงการ


3 6. นิยำมศัพท์เฉพำะ 6.1 คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction: CAI) หมายถึงซอฟต์แวร์ทาง การศึกษาชนิดหนึ่ง ซึ่งโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นส่วนส าคัญในกระบวนการสอน มีลักษณะเด่นสาม ประการคือ ประหยัด ได้ผล และฉลาด 6.2 สื่อเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา หมายถึง เครื่องมือที่ใช้ช่วยสอนในรูปแบบของ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ สื่อประสม (Multimedia) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) วีดีทัศน์ (VOD) อินเทอร์เน็ต (Internet) และบทเรียนออนไลน์ (e - Learning) 6.3 การเรียนรู้ด้วยตนเอง หมายถึง การศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองของนักศึกษา โดย ใช้สื่อเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาประเภทต่างๆที่ครูผู้สอนจัดสรรหรือแนะนาให้ โดยไม่ต้อง เข้าชั้นเรียน 6.4 เจตคติ หมายถึง ความรู้สึกความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อการใช้สื่อเทคโนโลยี สารสนเทศทางการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง 6.5 พฤติกรรม หมายถึง การกระทาหรือวิธีการปฏิบัติของนักศึกษาในการใช้สื่อเทคโนโลยี สารสนเทศทางการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ ด้วยตนเอง


บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การสร้างสื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ จัดท าขึ้นตามทฤษฎีการจัดการเรียน การสอน ส าหรับคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและทฤษฎีการจัดการเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ของ เนื้อหาการสร้างสื่อการเรียนสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ โดยวิจัยได้รวบรวมทฤษฎีต่าง ๆ ผลงานวิจัย หรืหางานเขียนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท าวิจัยในครั้งนี้ ดังต่อไปนี้ 2.1 ความหมายโปรแกรม Adobe Flash Professional CS6 2.2 การสร้างสื่อการเรียนการสอนด้วย Flash 2.3 พัฒนาการของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 2.4 ทฤษฎีความพึงพอใจ 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 ความหมายโปรแกรม Adobe Flash Professional CS6 Adobe Flash Professional CS6 เป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนามาเพื่อสนับสนุนการสสร้างกราฟิก ทั้งภาพนิ่ง และภาพที่เคลื่อนไหว ส าหรับการน าเสนอผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต Flash มีฟังก์ชันช่วย อ านวยความสะดวก ในการสร้างผลงานหลากหลายรูปแบบ ตลอดจนชุดค าสั่งโปรแกรมมิ่งที่เรียกว่า Flash Action Script ที่เพิ่มประสิทธิภาพในการท างาน และสามารถคอมไพล์ (Compile) เป็น โปรแกรมใช้งาน (Application Program) เช่น การท าเป็น E-Card เพื่อแนบไปพร้อมกับ E-Mail ใน โอกาสต่าง ๆ Flash เดิมเป็นของ Macromedia ปัจจุบันได้เปลี่ยนมาเป็นของ Adobe ซึ่งพัฒนาให้มี ลักษณะการท างานที่สอดคล้องต่อโปรแกรมต่าง ๆ ในชุด Adobe มากยิ่งขึ้น ซึ่งในการอบรมในครั้งนี้ ได้ใช้ Adobe Flash Professional CS6 2.2 การสร้างสื่อการเรียนการสอนด้วย Flash CAI เป็นกระบวนการเรียนการสอนโดยใช้สื่อคอมพิวเตอร์ในการน าเสนอเนื้อหา เรื่องราวต่าง ๆ มีลักษณะเป็นการเรียนโดยตรงและเป็นแบบมีปฏิสัมพันธ์ สื่อการเรียนการสอนทางคอมพิวเตอร์ รูปแบบหนึ่ง ซึ่งใช้ความสามารถของคอมพิวเตอร์ในการน าเสนอสื่อประสมอันได้แก่ ข้อความ ภาพนิ่ง กราฟิก แผนภูมิ กราฟ วิดีทัศน์ ภาพเคลื่อนไหว และเสียง เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาบทเรียน หรือองค์ ความรู้ในลักษณะใกล้เคียงกับการสอนจริงในห้องเรียนมากที่สุด โดยมีเป้าหมายที่ส าคัญก็คือ สามารถดึงดูดความสนใจของผู้เรียน และกระตุ้นให้เกิดความต้องการที่ จะเรียนรู้ คอมพิวเตอร์ช่วย


สอนเป็นตัวอย่างที่ดีของสื่อการศึกษาในลักษณะตัวต่อตัว ซึ่งผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการมี ปฏิสัมพันธ์ หรือการโต้ตอบพร้อมทั้งการได้รับผลป้อนกลับ (FEEDBACK) นอกจาก นี้ยังเป็นสื่อ ที่ สามารถตอบสนองความแตกต่างระหว่างผู้เรียนได้เป็นอย่างดี รวมทั้งสามารถที่จะประเมิน และ ตรวจสอบความเข้าใจของผู้เรียนได้ตลอดเวลา การเรียกใช้โปรแกรม มีหลักการคล้ายๆ กับการเรียกโปรแกรมทั่วๆ ไปของระบบปฏิบัติการ วินโดวส์ โดยเริ่มจากการคลิกปุ่ม จากนั้นเลื่อนไปคลิกที่รายการ Program, Adobe Flash CS6 Professional รอสักครู่จะปรากฏหน้าต่างการทางาน ซึ่งมีโหมดการทางานให้เลือกได้หลายลักษณะ ได้แก่ การเปิดไฟล์จากคาสั่ง Open a Recent Item การสร้างงานผลงานจากรายการ Create New การสร้างผลงานแม่แบบ Create from Template หน้าจอภาพของโปรแกรม Flash รูปที่ 2.2.1 หน้าจอภาพของโปรแกรม Flash


รูปที่ 2.2.2 ส่วนประกอบของโปรแกรม Flash 2.2.2 Menu Bar (เมนูบาร์) ซึ่งประกอบด้วยเมนูหลายอย่างที่จาเป็นในการสั่งงาน เช่น เมนู Window มีส าหรับแสดง และ ซ่อนเครื่องมือทุกชนิด หน้าต่างเครื่องมือที่หายไปเราสามารถมาสั่ง เรียกเปิดที่นี่ 2.2.3 Time Line (ไทม์ไลน์) มีไว้สาหรับควบคุมและก าหนดการนาเสนอผลงาน การ เคลื่อนไหวต่างๆ โดยจะประกอบ ด้วยเฟรม (frame) ซึ่งจะสามารถบรรจุสิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็น ภาพ เสียง และอื่นๆ ลงไปเพื่อให้ในช่วง เวลานั้นประกอบด้วยอะไรบ้างที่ต้องการแสดงผล เวลาสร้างงาน เราจะทาการ 2.2.4 Layer (เลเยอร์) คือชั้นๆต่างๆที่จะทาให้เราทางานเป็นระบบมากขึ้น เราสามารถแยก วัตถุต่างๆ ออกจากกันให้เป็นอิสระในการแสดงผลได้ ซึ่งทาให้สะดวกและง่ายต่อการทางาน โดยที่เล เยอร์วัตถุที่อยู่ ด้านบนนั้นจะทับวัตถุเลเยอร์ด้านล่าง หากต้องการสลับบน-ล่าง ก็เพียงให้เราคลิกค้าง ไว้ที่แถบเลเยอร์ แล้วลากขึ้นหรือลง นอกจากนั้นแล้วในการทางานกับเลเยอร์ที่ดีควรจะทาการตั้งชื่อ ของเลเยอร์นั้นๆไว้เพื่อให้เราสามารถกลับมาแก้ไขสิ่งต่างๆในเลเยอร์นั้นได้ง่ายและสะดวก ไม่เช่นนั้น แล้วหากทางานที่ต้องมีเลเยอร์มากๆ เราจะต้องหาจนปวดหัว และการตั้งชื่อเลเยอร์ก็ควรจะสื่อกับ วัตถุหรืองานต่างๆที่อยู่ในเลเยอร์นั้น เช่น เลเยอร์นั้นเป็นส่วนของพื้นหลัง เราก็ควรจะตั้งชื่อว่า background หรือ bg เป็นต้น


2.2.5 Tool Bar (ทูลบาร์) เป็นแถบเครื่องมือที่รวมเอากลุ่มของเครื่องมือสร้างงานและจัดการ วัตถุ ประกอบด้วยปุ่มเครื่องมือย่อยต่างๆ โดยแบ่งเครื่องมือเป็นหมวดๆ ได้5 กลุ่ม เครื่องมือเลือก วัตถุ (Selection) เครื่องมือวาดภาพ (Drawing) เครื่องมือจัดแต่งวัตถุ (Modify) เครื่องมือควบคุม มุมมอง (View) เครื่องมือควบคุมสี(Color) 2.2.6 Panel (พาเนล) หน้าต่างที่ทาหน้าที่แสดง พาเนลย่อย ของโปรแกรม โดยในแต่ละ พาเนลย่อย ก็จะประกอบด้วยรายละเอียดของการควบคุมการแสดงการปรับแต่งไว้ในตัว เช่น swatches ก็จะมีสีต่างๆ มากมายให้เลือกใช้ในการปรับแต่งสี 2.2.7 Stage (สเตจ) คือพื้นที่ที่เราใช้ในการก าหนดขอบเขตขนาดของการทางาน ซึ่งเรา สามารถตั้งค่าหรือปรับได้ที่ Properties โดยที่เราสามารถกดที่ปุ่มที่มีค่า 550x400 จะได้หน้าต่าง ขึ้นมา หน้าต่างนี้เราสามารถตั้งชื่อของงาน ระบุเนื้อหารายละเอียด ความกว้างและสูง สีพื้นหลัง frame rate ได้ตามความเหมาะสมกับงาน โดยก่อนเริ่มทางานควรจะวางแผนในการก าหนดขนาดไว้ ก่อนจะดี เพราะหากมาแก้ไขขนาดภายหลังจะทาให้ยุ่งยากในการปรับต าแหน่งของวัตถุต่าง 2.2.8 Properties ไว้สาหรับก าหนดคุณสมบัติให้กับพื้นที่การทางานและสิ่งต่างๆที่เราจะใช้ งาน หากว่าเราต้องการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไขวัตถุไหนก็นาเมาส์ไปคลิกที่วัตถุนั้น ค่าที่ส่วน Propertiesก็ จะเปลี่ยนแปลงไป ตามวัตถุนั้น เช่น คลิกที่ตัวอักษร ก็จะสามารถเปลี่ยนเรื่องฟ้อนต์, สี, ขนาด และอื่นๆ 2.3 พัฒนาการของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน บทเรียนคอมพิวเตอร์ เริ่มมีใช้ครั้งแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1958 โดย มหาวิทยาลัย ฟลอริดา ได้น าคอมพิวเตอร์มาใช้ในการเรียนการสอน และทบทวนบทเรียนวิชาฟิสิกส์ และสถิติในปีเดียวกันนั้น มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดได้น าคอมพิวเตอร์มาช่วยในการสอนวิชา ภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์พื้นฐานในระดับมัธยมศึกษา ปี ค.ศ. 1960 มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ จัดท าบทเรียนคอมพิวเตอร์แบบเทอร์มินัล (Terminal) ที่สามารถโต้ตอบกับผู้เรียนได้ชื่อโครงการเพล โต ปี ค.ศ. 1963 มีการสัมมนาให้บุคคลทั่วไปได้รับรู้เกี่ยวกับบทเรียนคอมพิวเตอร์และเริ่มขยายวง กว้างขึ้น ปี ค.ศ. 1971 มหาวิทยาลัยริกคัมยังรัฐเท็กซัสได้มีการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ใช้กับ มินิคอมพิวเตอร์ ใช้ชื่อโปรแกรมว่า TSICIT (Time Shared Interactive Controlled Information Television) ญี่ปุ่นได้พัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์จนสามารถใช้กับคอมพิวเตอร์ได้ และมีการเผยแพร่ ทั่วไปใช้เป็นบทเรียนช่วยสอนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาขึ้นไป ประเทศแคนาดา ได้มีการพัฒนาระบบ คอมพิวเตอร์เพื่อใช้ส าหรับการเรียนการสอนและการฝึกอบรม ที่มหาวิทยาลัยกูแอลฟ์มีชื่อเรียกว่า VITAL (Videotex Integrated Teaching and Learning) เป็นการน าสื่อคอมพิวเตอร์เสนอเนื้อหา บทเรียน ส าหรับบริการนักศึกษาและประชาชนที่สนใจ ทั่วไป โดยสัญญาณคอมพิวเตอร์ส่งผ่านระบบ


โทรศัพท์ ในประเทศออสเตรเลีย องค์กรภายใต้การบริหารของมหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งเมืองกราซ Technical University of Graz) ผลิตบทเรียนคอมพิวเตอร์เน้นเนื้อหาเพื่อใช้สอนทางคอมพิวเตอร์ และการค านวณเป็นหลัก เรียกชื่อโครงการนี้ว่า COSTOC ประเทศเยอรมนี ที่มหาวิทยาลัยเฟิร์น (Fern University) น าระบบการตรวจการบ้านและแจ้งผลการตรวจด้วยคอมพิวเตอร์มาใช้เรียกว่า ระบบ COURSY และนักศึกษาสามารถรับบริการบทเรียนคอมพิวเตอร์ได้ที่ศูนย์บริการการศึกษา ซึ่ง กระจายอยู่ 45 ศูนย์ทั่วประเทศ มหาวิทยาลัยเปิด (The Open University) ในประเทศอังกฤษใช้ คอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยด้วยการใช้เครื่องมือในการประชุมอภิปรายผ่าน สื่อคอมพิวเตอร์ รวมทั้งการให้บริการบทเรียน คอมพิวเตอร์ โดยผู้เรียนใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัว อยู่ที่บ้านหรือที่ท างานเชื่อมต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ ขนาดใหญ่ (Computer Mainframe) ของ มหาวิทยาลัยโดยผ่านสายโทรศัพท์ ประเทศไทยได้น าโปรแกรมส าเร็จมาพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ ในระบบการศึกษาทางไกลที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เรียกโปรแกรมชุดนี้ว่า ไวทัลไทย (VITAL/Thai) ผลิตบทเรียนคอมพิวเตอร์ เป็นสื่อเสริมเพื่อให้นักศึกษาได้ศึกษาเนื้อหาแบ่งตอนที่มี ความยากง่าย การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ได้ขยายวงกว้างมากขึ้น ประเทศต่างๆ เริ่มให้ความ สนใจจะน า คอมพิวเตอร์มาช่วยในการเรียนการสอน ในรูปแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ประกอบกับได้มี การพัฒนาเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ให้มีขีดความสามารถเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ราคาลดลง จึงเป็น เรื่องที่ครูให้ความสนใจ ความส าคัญของบทเรียนคอมพิวเตอร์มาก จนกลายเป็นสื่อการสอนที่มี ประสิทธิภาพและมีบทบาทในการจัด การเรียนการสอน ปัจจุบันได้มีการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ โดยใช้เว็บเทคโนโลยี และน าบทเรียนต่างๆเหล่านั้นขึ้นไว้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตการเรียนการสอน บนเครือข่ายหรือที่เรียกว่า Web-Based Instruction ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นในลักษณะที่เรียกชื่ออีก อย่างหนึ่งขึ้นมาว่า E-Learning ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของบทเรียนคอมพิวเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technology: ICT) (ไชยยศ เรือง สุวรรณ. 2545: 5-6) 2.4 ทฤษฎีความพึงพอใจ 2.4.1 ความหมายของความพึงพอใจ ความพึงพอใจ (Satisfaction) ได้มีผู้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้หลาย ความหมายดังนี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน (2542) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า พึง พอใจ หมายถึง รัก ชอบใจ และพึงใจ หมายถึง พอใจ ชอบใจ ดิเรก (2528) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ทัศนคติทางบวกของบุคคล ที่มีต่อสิ่งใดสิ่ง หนึ่ง เป็นความรู้สึก หรือทัศนคติที่ดีต่องาน ที่ท าของบุคคล ที่มีต่องานในทางบวก ความสุขของบุคคล


อันเกิดจาก การปฏิบัติงาน และได้รับผลเป็นที่พึงพอใจ ท าให้บุคคลเกิดความกระตือรือร้น มีความสุข ความมุ่งมั่นที่จะท างาน มีขวัญและมีก าลังใจ มีความผูกพันกับหน่วยงาน มีความภาคภูมิใจใน ความส าเร็จของงานที่ท า และสิ่งเหล่านี้ จะส่งผลต่อประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการท างาน ส่งผลต่อถึงความก้าวหน้าและความส าเร็จ ขององค์การอีกด้วย วิรุฬ (2542) กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกภายในจิตใจของมนุษย์ที่ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่าจะมีความคาดหมายกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างไร ถ้าคาดหวังหรือมีความตั้งใจมาก และได้รับการตอบสนองด้วยดีจะมีความพึงพอใจมากแต่ในทางตรงกันข้ามอาจผิดหวังหรือไม่พึงพอใจ เป็นอย่างยิ่ง เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองตามที่คาดหวังไว้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตั้งใจไว้ว่าจะมีมากหรือ น้อยสอดคล้องกับ ฉัตรชัย (2535) กล่าวว่า ความพึงพอใจหมายถึงความรู้สึกหรือทัศนคติของบุคคลที่ มีต่อสิ่งหนึ่งหรือปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้อง ความรู้สึกพอใจจะเกิดขึ้นเมื่อความต้องการของบุคคลได้รับ การตอบสนองหรือบรรลุจุดมุ่งหมายในระดับหนึ่ง ความรู้สึกดังกล่าวจะลดลงหรือไม่เกิดขึ้น หากความ ต้องการหรือจุดมุ่งหมายนั้นไม่ได้รับการตอบสนอง กิตติมา (2529) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกชอบหรือพอใจที่มีต่อ องค์ประกอบและสิ่งจูงใจในด้านต่างๆเมื่อได้รับการตอบสนอง กาญจนา (2546) กล่าวว่า ความพึงพอใจของมนุษย์เป็นการแสดงออกทางพฤติกรรมที่เป็นนามธรรม ไม่สามารถมองเห็นเป็นรูปร่างได้ การที่เราจะทราบว่าบุคคลมีความพึงพอใจหรือไม่ สามารถสังเกต โดยการแสดงออกที่ค่อนข้างสลับซับซ้อนและต้องมีสิ่งเร้าที่ตรงต่อความต้องการของบุคคล จึงจะท า ให้บุคคลเกิดความพึงพอใจ ดังนั้นการสิ่งเร้าจึงเป็นแรงจูงใจของบุคคลนั้นให้เกิดความพึงพอใจในงาน นั้น นภารัตน์ (2544) กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกทางบวกความรู้สึกทางลบและ ความสุขที่มีความสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อน โดยความพึงพอใจ จะเกิดขึ้นเมื่อความรู้สึกทางบวก มากกว่าทางลบ เทพพนม และสวิง (2540) กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นภาวะของความพึงใจหรือภาวะที่มี อารมณ์ในทางบวกที่เกิดขึ้น เนื่องจากการประเมินประสบการณ์ของ คนๆหนึ่ง สิ่งที่ขาดหายไป ระหว่างการเสนอให้กับสิ่งที่ได้รับจะเป็นรากฐานของการพอใจและไม่พอใจได้ สง่า (2540) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับผลส าเร็จตาม ความมุ่งหมาย หรือเป็นความรู้สึกขั้นสุดท้ายที่ได้รับ ผลส าเร็จตามวัตถุประสงค์ จากการตรวจเอกสารข้างต้นสรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกที่ดีหรือทัศนคติที่ดี ของบุคคล ซึ่งมักเกิดจากการได้รับการตอบสนอง ตามที่ตนต้องการ ก็จะเกิดความรู้สึกที่ดีต่อสิ่งนั้น ตรงกันข้ามหากความต้องการของตนไม่ได้รับการตอบสนองความไม่พึงพอใจก็จะเกิดขึ้น


2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.5.1 ทฤษฎีการเรียนรูและจิตวิทยาเกี่ยวกับการออกแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ถนอม เลาจรัสแสง (2541: 53–67) ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้และจิตวิทยาเกี่ยวกับการออกแบบ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนไว้ดังนี้ 2.5.1.1 ทฤษฎีการเรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ทฤษฎีหลักๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของมนุษย์และส่งผลกระทบต่อแนวคิดในการออกแบบ โครงสร้างคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ได้แก่ ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ทฤษฎีปัญญานิยม (Cognitive) ทฤษฎีโครงสร้างความรู้ (Schema Theory) และทฤษฎีความยืดหยุ่นทางปัญญา (Cognitive Flexibility) 2.5.1.2 ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) เป็นทฤษฎีซึ่งเชื่อว่าจิตวิทยาเปรียบ เป็นเสมือนการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ของพฤติกรรมมนุษย์ (Scientific study of human behavior) และการเรียนรู้ของมนุษย์เป็นสิ่งที่สามารถสังเกตได้จากพฤติกรรมภายนอก นอกจากนี้ยัง มีแนวคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง (Stimuli and Response) ซึ่งเชื่อว่า การตอบสนองกับสิ่งเร้าของมนุษย์จะเกิดขึ้นควบคู่กันในช่วงเวลาที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการ เรียนรู้ของมนุษย์เป็นพฤติกรรมแบบแสดงอาการกระท า (Operant Conditioning) ซึ่งมีการเสริมแรง (Reinforcement) คอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ออกแบบตามแนวคิดของทฤษฎีพฤติกรรมนิยมนี้จะมี โครงสร้างของบทเรียนในลักษณะเชิงเส้นตรง (Linear) โดยผู้เรียนทุกคนจะได้รับการเสนอเนื้อหาใน ล าดับที่เหมือนกันตายตัว ซึ่งเป็นล าดับที่ผู้สอนได้พิจารณาแล้วว่า เป็นล าดับการสอนที่ดี และผู้เรียน จะสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด นอกจากนั้นจะมีการตั้งค าถาม เพื่อถามผู้เรียนอย่าง สม่ าเสมอ ถ้าผู้เรียนตอบถูกก็จะได้รับการตอบสนองในรูปผลป้อนกลับทางบวกหรือรางวัล (Reward) ในทางตรงกันข้ามหากผู้เรียนตอบผิดก็จะได้รับการตอบสนองในรูปของผลป้อนกลับทางลบและ ค าอธิบายหรือการลงโทษ (Punishment) ซึ่งผลป้อนกลับนี้ถือว่าเป็นการเสริมแรงเพื่อให้เกิด พฤติกรรมที่ต้องการคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ออกแบบตามแนวคิดของทฤษฎีพฤติกรรมนิยมจะบังคับ ให้ผู้เรียนผ่านการประเมินตามเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ตามวัตถุประสงค์เสียก่อนจึงจะสามารถผ่านไปศึกษา ต่อยังเนื้อหาของวัตถุประสงค์ต่อไปได้หากไม่ผ่านตามเกณฑ์ที่ได้ก าหนดไว้ ผู้เรียนจะต้องกลับไปศึกษา ในเนื้อหาเดิมอีกครั้งจนกว่าจะผ่านการประเมิน 2.5.1.3 ทฤษฎีปัญญานิยม (Cognitive) เกิดขึ้นจากแนวความคิดของชอมสกี้ ซึ่งเชื่อ ว่า พฤติกรรมมนุษย์นั้นเป็นเรื่องของภายในจิตใจมนุษย์มีความนึกคิด มีอารมณ์ จิตใจและความรู้สึก ภายในที่ แตกต่างกันออกไป ดังนั้นการออกแบบการเรียนการสอนก็ควรจะค านึงถึงความแตกต่าง ภายในของมนุษย์ด้วย คอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ออกแบบตามแนวคิดทฤษฎีนี้ก็จะมีโครงสร้างของ


บทเรียนในลักษณะสาขาผู้เรียนทุก คนจะได้รับการเสนอเนื้อหาในล าดับที่ไม่เหมือนกัน โดยเนื้อหาที่ จะได้รับการน าเสนอต่อไปนั้นจะขึ้นอยู่กับ ความสามารถ ความถนัด และความสนใจของผู้เรียน 2.5.1.4 ทฤษฎีโครงสร้างความรู้ (Schema Theory) อยู่ภายใต้ของทฤษฎีปัญญา นิยม (Cognitive) ยังได้เกิดทฤษฎีโครงสร้างความรู้ (Schema Theory) ขึ้น ซึ่งเป็นแนวคิดที่เชื่อว่า โครงสร้างภายใน ของความรู้ที่มนุษย์มีอยู่นั้นจะมีลักษณะเป็นโหมดหรือกลุ่มที่มีการเชื่อมโยงกันอยู่ การที่มนุษย์เรียนรู้อะไรใหม่ๆนั้นมนุษย์จะน าความรู้ใหม่ๆที่เพิ่งได้รับนั้นไปเชื่อมโยงกับกลุ่มความรู้ที่มี อยู่เดิม โครงสร้างความรู้นี้ก็คือ การน าไปสู่การรับรู้ข้อมูล (Perception) ซึ่งจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากขาดโครงสร้างความรู้ (Schema) ทั้งนี้ ก็เพราะการรับรู้ข้อมูลนั้นเป็นการสร้างความหมายโดย การถ่ายโอนความรู้ใหม่เข้ากับความรู้เดิม ภายในกรอบ ความรู้เดิมที่มีอยู่และจากการกระตุ้นโดย เหตุการณ์หนึ่งๆ ที่ช่วยให้เกิดการเชื่อมโยงความรู้นั้นๆ เข้าด้วยกัน 2.5.1.5 ทฤษฎีความยืดหยุ่นทางปัญญา (Cognitive Flexibility Theory) เป็น แนวคิดที่เชื่อว่า ความรู้แต่ละอย่างมีโครงสร้างที่แน่ชัดและสลับซับซ้อนมากน้อยแตกต่างกันไป ส่งผล ให้เกิดแนวคิดในการออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเพื่อตอบสนองต่อโครงสร้างขององค์ ความรู้ที่แตกต่างกัน ได้แก่ แนวคิดในเรื่องการออกแบบบทเรียนแบบสื่อหลายมิติ (Hypermedia) นั่นเอง การจัดระเบียบโครงสร้างการ น าเสนอเนื้อหาคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในลักษณะสื่อหลายมิติ เพราะมีงานวิจัยหลายชิ้นที่สนับสนุนว่า การจัดระเบียบโครงสร้างการน าเสนอเนื้อหาบทเรียนใน ลักษณะสื่อหลายมิติจะตอบสนองต่อวิธีการเรียนรู้ของมนุษย์ ในความพยายามที่จะเชื่อมโยงความรู้ที่มี อยู่เดิมเป็นอย่างดี ซึ่งตรงกับทฤษฎีโครงสร้างความรู้ นอกจากนี้การน าเสนอเนื้อหาบทเรียนใน ลักษณะสื่อหลายมิติยังสามารถที่จะตอบสนองความแตกต่างของโครงสร้างขององค์ความรู้ที่ไม่ชัดเจน หรือมีความสลับซับซ้อนจึงเป็นแนวคิดของทฤษฎีความยืดหยุ่นทางปัญญาได้อีกด้วยซึ่ง ผู้เรียนทุกคน สามารถที่จะมีอิสระในการควบคุมการเรียนของตน (Learner Control) ตามความสามารถ ความ สนใจ ความถนัด และพื้นฐานความรู้ของตนได้อย่างเต็มที่ 2.5.2 จิตวิทยาเกี่ยวกับการออกแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 2.5.2.1 ความสนใจและการรับรู้อย่างถูกต้อง (Attention and Perception) การ เรียนรู้ของ มนุษย์นั้นเกิดจากการที่มนุษย์ให้ความสนใจกับสิ่งเร้า(Stimuli) และรับรู้ (Perception) สิ่ง เร้าต่างๆนั้นอย่าง ถูกต้อง แต่ถ้ามีสิ่งเร้าเข้ามาพร้อมกันหลายตัวและมนุษย์ไม่ได้ให้ความสนใจกับ ตัวกระตุ้นที่ถูกต้องอย่างเต็มที่ การรับรู้ที่ต้องการก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ การใช้สื่อประสมและการใช้ เทคนิคพิเศษทางภาพ (Visual Effects) ต่างๆเข้ามาเสริมบทเรียนเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เสียง ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว นอกจากนี้ผู้สร้างยังต้องพิจารณาถึงการออกแบบ หน้าจอ การวางต าแหน่งของสื่อต่างๆบนหน้าจอรวมทั้งการเลือกชนิดและขนาดของตัวอักษรหรือการ เลือกใช้สีที่ใช้ในบทเรียนอีกด้วย


2.5.2.2 การจดจ า (Memory) สิ่งที่มนุษย์เรารับรู้นั้นจะถูกเก็บเอาไว้และเรียก กลับมาใช้ในภายหลัง แม้ว่ามนุษย์จะสามารถจ าเรื่องต่างๆได้มากแต่การที่จะแน่ใจว่าสิ่งต่างๆที่เรา รับรู้นั้นได้ถูกจัดเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบและพร้อมที่จะน ามาใช้ในภายหลังนั้นเป็นสิ่งที่ยากจะควบคุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสิ่งที่รับรู้นั้นมีอยู่เป็นจ านวนมาก เช่น การเรียนศัพท์ใหม่ๆในภาษาอื่นๆ เป็นต้น ดังนั้น เทคนิคการเรียนเพื่อที่จะช่วยในการจัดเก็บหรือจดจ าสิ่งต่างๆนั้น จึงเป็นสิ่งจ าเป็นผู้สร้างต้อง ออกแบบบทเรียนโดยค านึงถึงหลักเกณฑ์ส าคัญที่จะช่วยในการจดจ าได้ดี 2 ประการคือ หลักในการ จัดระเบียบหรือโครงสร้างเนื้อหา (Organization) และหลัก ในการท าซ้ า (Repetition) เมื่อ เปรียบเทียบทั้ง 2 วิธีแล้ว วิธีการจัดโครงสร้างเนื้อหาให้เป็นระเบียบและแสดง ให้ผู้เรียนดูนั้นเป็นสิ่งที่ ง่ายและมีประสิทธิภาพมากกว่าวิธีการให้ผู้เรียนนั้นท าซ้ า เพราะการจัดโครงสร้างเนื้อหา ให้เป็น ระเบียบจะช่วยในการดึงข้อมูลความรู้นั้นกลับมาใช้ภายหลังหรือที่เรียกว่าการระลึกได้ จากงานวิจัย ต่างๆ เราสามารถแบ่งการวางระเบียบหรือการจัดระบบเนื้อหาออกเป็น 3 ลักษณะคือ ลักษณะเชิง เส้นตรง ลักษณะสาขา และลักษณะสื่อหลายมิติ 2.5.2.3 ความเข้าใจ (Comprehension) การที่มนุษย์จะสามารถน าความรู้ไปใช้ใน ชีวิตประจ าวันได้นั้นจะต้องผ่านขั้นตอนในการน าสิ่งที่รับรู้นั้นมาตีความและบูรณาการให้เข้ากับ ประสบการณ์ และความรู้ในโลกปัจจุบันของมนุษย์เอง โดยการเรียนรู้ที่ถูกต้องนั้นใช่แต่เพียงการจ า และการเรียกสิ่งที่เราจ านั้นกลับคืนมาหากแต่รวมไปถึงความสามารถที่จะอธิบายเปรียบเทียบ แยกแยะ และประยุกต์ใช้ความรู้นั้นใน สถานการณ์ที่เหมาะสมด้วยหลักการที่มีอิทธิพลมากต่อการ ออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนคือ หลักการเกี่ยวกับการได้มาซึ่งแนวคิด ( Concept Acquisition) และการประยุกต์ใช้กฎต่างๆ (Rule Application) ซึ่งหลักการทั้งสองนี้เกี่ยวข้อง โดยตรงกับแนวคิดในการออกแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเกี่ยวกับการประเมินความรู้ก่อนใช้บทเรียน การให้ค านิยามต่างๆ การแทรกตัวอย่าง การประยุกต์กฎและการให้ผู้เรียน เขียนค าอธิบายโดยใช้ ส านวนของตนเอง โดยมีวัตถุประสงค์ของการเรียนเป็นตัวก าหนดรูปแบบการน าเสนอ บทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน และกิจกรรมต่างๆ ในบทเรียน เช่น การเลือกออกแบบแบบฝึกหัดหรือ แบบทดสอบในลักษณะปรนัยหรือค าถามสั้นๆ เป็นต้น 2.5.2.4 ความกระตือรือร้นในการเรียน (Active Learning) การเรียนรู้ของมนุษย์นั้น ใช่เพียงแต่ การสังเกตหากรวมไปถึงการปฏิบัติด้วยการมีปฏิสัมพันธ์ไม่เพียงแต่คงความสนใจได้เท่านั้น หากยังช่วยท าให้เกิดความรู้และทักษะใหม่ๆในผู้เรียน ข้อได้เปรียบส าคัญของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ มีเหนือสื่อการสอนอื่นๆ คือความสามารถในเชิงโต้ตอบกับผู้เรียน อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีการเน้น ความส าคัญในส่วนของปฏิสัมพันธ์มากแต่กลับพบว่าคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมากมายที่จะไม่มี ปฏิสัมพันธ์ภายในบทเรียนท าให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่าย การออกแบบบทเรียนที่ท าให้เกิดความ


กระตือรือร้นในการเรียนนั้นจะต้องออกแบบให้ผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับบทเรียนอย่างสม่ าเสมอและ ปฏิสัมพันธ์นั้นต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาและเอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน 2.6 แนวคิดเกี่ยวกับการพึงพอใจ มอส (Morse.1958:19) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง สภาวะจิตที่ปราศจากความเครียด ทั้งนี้เพราะธรรมชาตของมนุษย์มีความต้องการ ถ้าความต้องการได้รับการตอบสนองทั้งหมดหรือ บางส่วน ความเครียดก็จะน้อยลง ความพึงพอใจก็จะเกิดขึ้นและในทางกลับกันถ้าความต้องการนั้น ไม่ได้รับการตอบสนอง ความเครียดและความไม่พึงพอใจก็จะเกิดขึ้น วรูม (Vroom.1964:8) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึงผลที่ได้จากการที่บุคคลเข้าไปมีส่วน ร่วมในสิ่งนั้น ทัศนคติด้านบวกจะแสดงให้เป็นสภาพความพึงพอใจในสิ่งนั้น และทัศนคติด้านลบจะ แสดงให้เห็นสภาพความไม่พึงพอใจนั่นเอง เมนาร์ด ดับบริล เชลลี่ (Maynard W.Shelly.1975:9) ได้ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับความพึง พอใจ ซึ่งสรุปได้ว่าความพึงพอใจเป็นความรู้สึก แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ความรู้สึกในทางบวกและ ความรู้สึกในทางลบ ความรู้สึกในทางบวกเป็นความรู้สึกที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วท าให้เกิดความสุข ความสุขนี้ เป็นความสุขที่แตกต่างจากความรู้สึกทางบวกอื่นๆกล่าวคือเป็นความรู้สึกที่มีระบบย้อนกลับความสุข สามารถท าให้เกิดความสุขหรือความรู้สึกทางบวกอื่นๆ ความรู้สึกทางลบ ความรู้สึกทางบวกและ ความรู้สึกที่มีความสัมพันธ์กันอย่างสลับซับซ้อนและระบบความสัมพันธ์ของความรู้สึกทั้งสาม นี้เรียกว่า ระบบความพึงพอใจ ความส าคัญของความพึงพอใจ ความพึงพอใจ เป็นปัจจัยส าคัญประการหนึ่งที่ช่วยให้งานส าเร็จโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้า เป็น งานที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ นอกจากผู้บริหารจะด าเนินการให้ผู้ปฏิบัติงานให้บริการเกิดความพึง พอใจในการท างานแล้ว ยังจ าเป็นต้องด าเนินการที่จะให้ผู้มาใช้บริการเกิดความพึงพอใจด้วย เพราะ ความเจริญเติบโตของงานบริการ ปัจจัยที่เป็นตัวบ่งชี้ คือ จ านวนผู้มาใช้บริการ ดังนั้นผู้บริหารที่ชาญ ฉลาดจึงควรอย่างยิ่งที่จะศึกษาให้ลึกซึ้งถึงปัจจัยและองค์ประกอบต่างๆที่จะท าให้เกิดความพึงพอใจ ทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการ การวัดระดับความพึงพอใจ ที่กล่าวมาข้างต้น ความพึงพอใจจะเกิดขึ้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการให้บริการขององค์กรประกอบ กับระดับความรู้สึกของผู้มารับบริการในมิติต่างๆของแต่ละบุคคล ดังนั้นการวัดระดับความพึงพอใจ สามารถกระท าได้หลายวิธีต่อไปนี้


1. การใช้แบบสอบถาม ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย โยการขอความ ร่วมมือจากกลุ่มบุคคลที่ต้องการวัด แสดงความคิดเห็นลงในแบบฟอร์มที่ก าหนด 2. การสัมภาษณ์ ต้องอาศัยเทคนิคและความช านาญพิเศษของผู้สัมภาษณ์ที่จะจูงใจ ให้ผู้ตอบค าถามตอบตามข้อเท็จจริง 3. การสังเกต เป็นการสังเกตพฤติกรรมทั้งก่อนการรับบริการ ขณะรับบริการและ หลังการรับบริการ การวัดโดยวิธีนี้จะต้องกระท าอย่างจริงจังและมีแบบแผนที่แน่นอนจะเห็นได้ว่าการ วัดความพึงพอใจต่อการให้บริการนั้นสามารถกระท าได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความสะดวก เหมาะสม ตลอดจนจุดมุ่งหมายของการวัดด้วย จึงจะส่งผลให้การวัดนั้นมีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือได้ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ประเมินโครงการในครั้งนี้ เป็นแบบสอบถาม มี 3 ตอนดังนี้ ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม เป็นแบบเลือก (Check list) เกี่ยวกับ เพศ อายุ ระดับ การศึกษา และสถานภาพ ตอนที่ 2 การประเมินโครงการสื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ เป็นแบบประมาณค่า (Rating Scale) มี 5 ระดับ (บุญชู ศรีสะอาด และคณะ. 2545:103) มีเกณฑ์ประเมิน ดังนี้ ระดับ 5 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับ มากที่สุด ระดับ 4 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับ มาก ระดับ 3 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับ ปานกลาง ระดับ 2 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับ น้อย ระดับ 1 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับ น้อยมาก ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะหรืออื่น ๆ การวิเคราะห์ข้อมูล ในการประเมินโครงการในครั้งนี้ผู้วิจัยได้ด าเนินการวิเคราะห์ข้อมูล จากข้อมูลที่สร้างขึ้น และ รวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง ดังนี้ 1. น าข้อมูลตอนที่ 1 และตอนที่ 2 มาจัดระบบข้อมูลเพื่อเตรียมวิเคราะห์ผล หาค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใช้การประมวลผล จากคอมพิวเตอร์และใช้โปรแกรมส าเร็จรูปทางสถิติ (SPSS) น าค่าเฉลี่ยที่ได้จากการวิเคราะห์ มา เปรียบเทียบกับเกณฑ์ก าหนด ดังนี้ (บุญชู ศรีสะอาด และคณะ. 2545:103) ผลการประเมินเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับ มากที่สุด ผลการประเมินเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับ มาก


ผลการประเมินเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับ ปานกลาง ผลการประเมินเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับ น้อย ผลการประเมินเฉลี่ย 1.00 – 51.50 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับ น้อยที่สุด 2. ข้อมูลตอนที่ 3 วิเคราะห์จากข้อเสนอแนะของผู้ตอบแบบสอบถามสามารถซึ่งความคิดเห็น และข้อเสนอแนะแนวทางโดยอิสระ น าเสนอในรูปแบบบรรยาย


บทที่ 3 วิธีด ำเนินกำรจัดท ำโครงงำน สื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ คณะผู้จัดท าได้มีวิธีการด าเนินการ ดังนี้ 3.1 ศึกษาเก็บรวบรวมข้อมูล 3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.3 การออกแบบการจัดสร้างโครงงาน 3.4 กิจกรรม/แผนการด าเนินงาน 3.5 ระยะเวลาแผนการด าเนินงาน 3.6 วิธีด าเนินพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 3.7 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 3.8 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 ศึกษำเก็บรวบรวมข้อมูล 3.1.1 ศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ เรื่องโปรแกรมกราฟิก ที่ได้น ามา ศึกษาเพื่อทดลองใช้กับโปรแกรมที่จะท าสื่อการเรียนการสอน และการวิเคราะห์ของระบบจะต้อง ศึกษาระบบการท างานของโปรแกรม Adobe Flash CS6 Professional ความเหมาะสมของเนื้อหา และรูปภาพ เพื่อน ามาใช้เป็นสื่อการเรียนการสอน 3.1.2 ศึกษาเก็บรวบรวมข้อมูลการสร้างและวิธีออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ศึกษาเก็บรวบรวมข้อมูลของซอฟต์แวร์ในการสร้างสื่อการเรียนการสอนเว็บไซต์ต่างๆ รวมทั้งการ สอบถามข้อมูลจากบุคคลที่มีความรู้ด้านนี้และน าข้อมูลทั้งหมดมาประยุกต์ใช้ในการสร้างโปรแกรม บทเรียนช่วยสอน 3.2 ประช ำกรและกลุ่มตัวอย่ำง


17 3.2.1 ประชากรที่ศึกษา ได้แก่ นักเรียน/นักศึกษา แผนกวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ จ านวน 211 คน 3.2.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษา ได้แก่ นักเรียน/นักศึกษา แผนกวิชาคอมพิวเตอร์ ธุรกิจ จ านวน 136 คน 3.3 ก ำรออกแบบกำรจัดสร้ำงโครงงำน 3.3.1 Flowchart แสดงขั้นตอนการออกแบบการจัดสร้างโครงงาน 3.4 กิจกรรม/แผนกำรด ำเนินงำน 3.5 ระยะเวลำแผนกำรด ำเนินงำน


18 3.6 วิธีด ำเนินกำรพัฒนำบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 3.6.1 ก าหนดจุดประสงค์การเรียนรู้เพื่อก าหนดขอบเขตเนื้อหาแต่ละตอนในการเรียนจาก โปรแกรมบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมาย 3.6.2 ก าหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เพื่อก าหนดวิธีการเรียน และขั้นตอนการเรียน การ วัดผลและการประเมินผลการเรียน 3.6.3 ก าหนดโครงเรื่องและเนื้อหาวิชา เพื่อจัดเรียงลาดับก่อนหลัง โดยแยกเนื้อหาออกเป็น 5 บท 3.6.4 ในการพัฒนาบทเรียน ผู้จัดทาได้แบ่งเนื้อหาออกเป็นแต่ละบท จากนั้นนาเนื้อหาไป เรียบเรียง ในลักษณะเป็น Story Board เพื่อให้เป็นรูปแบบที่จะนาไปพัฒนาเป็นบทเรียนคอมพิวเตอร์ 3.6.5 นารูปแบบที่ออกแบบไว้ไปเสนออาจารย์ที่ปรึกษา ในด้านเนื้อหา ด้านการนาเสนอ บทเรียน เพื่อพิจารณาให้ความเห็นและข้อเสนอแนะ แล้วนามาปรับปรุงแก้ไข 3.6.6 พัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน โดยใช้โปรแกรม Authorware ในแต่ละหน้าของ แต่ละบท มีการใส่เนื้อหา ตกแต่งรูปภาพ เสียง ทาปุ่มเมนูต่างๆ ตามรูปแบบที่ได้ออกแบบไว้ใน Story Board 3.7 สถิติที่ใช้ในก ำรวิเครำะห์ข้อมูล 3.7.1 ค่าร้อยล่ะ (Percentage) โดยใช้สูตรดังนี้ เมื่อ P = ×100 เมื่อ P แทน ร้อยล่ะ F แทน ความถี่ที่ต้องแปลงเป็นร้อยล่ะ N แทน จ านวนข้อมูลทั้งหมด 3.7.2 การหาค่าเฉลี่ย (Mean) โดยใช้สูตรดังนี้ ̅ = ∑ ̅ เมื่อ ̅ แทน ค่าเฉลี่ย


19 ∑ ̅ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จ านวนในกลุ่มตัวอย่าง 3.7.3 การหาค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใช้สูตรดังนี้ S = √ ∑ ̅ 2−(∑ ̅ 2) (−1) เมื่อ S แทน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ∑ ̅ 2 แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตัวเลขยกก าลัง (∑ ̅ 2 ) แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตัวเลขยกก าลัง N แทน จ านวนในกลุ่มตัวอย่าง 3.8 ก ำรวิเครำะห์ข้อมูล 3.8.1 การวิเคราะห์ที่ได้จากแบบสอบถามน ามาวิเคราะห์ดังนี้ ตอนที่1 ข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม วิเคราะห์โดยใช้สถิติร้อยล่ะ ตอนที่ 2 ข้อมูลความพึงพอใจในการเข้าใช้สื่อการเรียนการสอน เรื่องโปรแกรมกราฟิก วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานโดยใช้หลักเกณฑ์และรายการประเมิน ตามวิถีการของ ลิเคอร์ท ดังนี้ 5 หมายถึง มีระดับความพึงพอใจ มากที่สุด 4 หมายถึง มีระดับความพึงพอใจ มาก 3 หมายถึง มีระดับความพึงพอใจ ปานกลาง 2 หมายถึง มีระดับความพึงพอใจ น้อย 1 หมายถึง มีระดับความพึงพอใจ น้อยที่สุด เกณฑ์ในการแปลความหมายความพึงพอใจในการหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใน แต่ล่ะช่วงมีดังนี้ ค่าเฉลี่ยระหว่าง 4.50-5.00 หมายถึงมีระดับความพึงพอใจ มากที่สุด


20 ค่าเฉลี่ยระหว่าง 3.50-4.59 หมายถึงมีระดับความพึงพอใจ มาก ค่าเฉลี่ยระหว่าง 2.50-3.49 หมายถึงมีระดับความพึงพอใจ ปานกลาง ค่าเฉลี่ยระหว่าง 1.50-2.49 หมายถึงมีระดับความพึงพอใจ น้อย ค่าเฉลี่ยระหว่าง 1.00-1.49 หมายถึงมีระดับความพึงพอใจ น้อยที่สุด ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะอื่นๆ วิเคราะห์โดยการบรรยาย


บทที่ 4 ผลการด าเนินงาน การน าเสนอความพึงพอใจที่มีต่อสื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อสื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ และได้มี การน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั้ง 3 ตอน ดังนี้ 4.1 ความสามารถของสื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ 4.2 ผลการสร้างสื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ 4.3 สรุปผลการประเมินแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เข้าเยี่ยมชม สื่อการเรียนการสอน เรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ 4.1 ความสามารถของสื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ จากการศึกษาในครั้งนี้ ผู้จัดท าโครงการได้สร้างสื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งอธิบายความสามารถของสื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ ดังนี้ ภาพที่ 4.1.1 หน้าลงทะเบียน ภาพที่ 4.1.2 หน้ายินดีต้อนรับ ภาพที่ 4.1.3 หน้าแบบทดสอบก่อนเรียน ภาพที่ 4.1.4 หน้าสรุปแบบทดสอบก่อนเรียน ภาพที่ 4.1.5 หน้าบทเรียนสื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ ภาพที่ 4.1.6 หน้าจุดประสงค์รายวิชา ภาพที่ 4.1.7 หน้าสมรรถนะรายวิชา ภาพที่ 4.1.8 หน้าบทที่ 1 ความรู้เกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์ ภาพที่ 4.1.9 หน้าบทที่ 2 การออกแบบและกระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ ภาพที่ 4.1.10 หน้าบทที่ 3 การจัดรูปแบบและจัดหน้าสื่อสิ่งพิมพ์ ภาพที่ 4.1.11 หน้าบทที่ 4 สีในสื่อสิ่งพิมพ์ ภาพที่ 4.1.12 หน้าบทที่ 5 ภาพในสื่อสิ่งพิมพ์ ภาพที่ 4.1.13 หน้าแบบฝึกหัดหลังเรียน ภาพที่ 4.1.14 หน้าสรุปคะแนนแบบทดสอบหลังเรียน ภาพที่ 4.1.15 หน้าประวัติผู้จัดท า


21 4.2 ผลการสร้างสื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์มีดังนี้ ภาพที่ 4.1.1 หน้าลงทะเบียน 4.3 สรุปผลการประเมินแบบสอถามความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อสื่อการเรียนการสอนเรื่อง การ ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ จากการส ารวจความพอใจการใช้สื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ โดยใช้ แบบสอบถามความพึงพอใจให้กับผู้ทดลองใช้สื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ โดยท า การประเมินจ านวน 136 ชุด ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี สามารถรวบรวมได้ครบตามจ านวนที่ แจกจ่ายไป ดังนั้นจึงขอสรุปรายละเอียดให้ทราบดังนี้


22 ตารางที่ 4.3.1 สรุปผลข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม จากตารางที่ 4.3.1 ผลวิเคราะห์พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามในการเข้าเยี่ยมชมสื่อการเรียน การสอนฃเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งผู้จัดท าโครงการได้ท าแบบทดสอบจ านวน 136 ชุด สรุปได้ดังนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามจ าแนกตามเพศ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จ านวน 120 คน คิด เป็นร้อยละ 88.2% รองลงมาเป็นเพศชาย จ านวน 16 คน คิดเป็นร้อยละ 11.8% ผู้ตอบแบบสอบถามจ าแนกตามอายุ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 15-20 ปี จ านวน 112 คน คิดเป็นร้อยละ 82.4% รองลงมาช่วงอายุ 21-25 ปี จ านวน 24 คน คิดเป็นร้อยละ 17.6% ผู้ตอบแบบสอบถามจ าแนกตามระดับการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นนักเรียน นักศึกษาระดับชั้น ปวช. จ านวน 105 คน คิดเป็นร้อยละ 77.2% รองลงมาเป็นนักเรียน/นักศึกษา ระดับชั้น ปวส. จ านวน 31 คน คิดเป็นร้อยละ 22.8%


23 ผู้ตอบแบบสอบถามจ าแนกตามสถานภาพ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นนักเรียน นักศึกษาทั้งหมด จ านวน 136 คน คิดเป็นร้อยละ 100% ตารางที่4.3.2 ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานความพึงพอใจที่มีต่อสื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ ดังนี้ จากตารางที่ 4.3.2 ผลวิเคราะห์ พบว่า ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของความพึงพอใจที่ มีต่อสื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ ดังนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีความพึงพอใจที่มีต่อสื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อ สิ่งพิมพ์ อยู่ในระดับมาก โดยมีเฉลี่ยเท่ากับ 4.13 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.745 เมื่อพิจารณาเป็น รายข้อ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีความคิดเห็นมากที่สุดในเรื่อง ความเหมาะสมของ วัตถุประสงค์ (X̅=4.13,S.D=0.745) รองลงมาได้แก่ ความสอดคล้องระหว่างแบบทดสอบกับเนื้อหา


24 (X̅=4.06,S.D=0.901) ความเหมาะสมของค าถาม (X̅=3.98,S.D=0.992) ความเหมาะสมของ จ านวน แบบทดสอบแต่ละบทเรียน (X̅=3.92,S.D=0.919) ความสอดคล้องระหว่างเนื้อหากับ วัตถุประสงค์(X̅=3.84,S.D=0.921) ความสะดวกในการใช้งาน (X̅=3.79,S.D=1.043) ความเหมาะสม ของสี และ ขนาดใช้งานตัวอักษร (X̅=3.79,S.D=1.075) ปริมาณเนื้อหาในแต่ละบทเรียน (X̅=3.71,S.D=0.952) การออกแบบส่วนประกอบบนหน้าจอภาพ (X̅=3.63,S.D=1.088) และน้อย ที่สุดคือ ความเหมาะสม ระหว่างเนื้อหากับระดับผู้เรียน (X̅=3.5,S.D=0.981)


บทที่5 สรุปผลและข้อเสนอแนะ การศึกษาเรื่อง “ สื่อสารการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ ” เพื่อศึกษาความพึงพอใจของ ผู้รับชมสื่อสารการเรียนการสอน สถิติที่ใช้คือ ร้อยละ และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 5.1 สรุปผล 5.2 อภิปรายผล 5.3 ข้อเสนอแนะ 5.1 สรุปผล ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ผู้ตอบแบบสอบถามจ าแนกตามเพศ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จ านวน 120 คน คิดเป็นร้อยละ 82.2% รองลงมาเป็นเพศชาย จ านวน 16 คน คิดเป็นร้อยละ 11.8% ผู้ตอบ แบบสอบถามจ าแนกตามอายุ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 15-20 ปี จ านวน 112 คน คิดเป็นร้อยละ 82.4% รองลงมาช่วงอายุ 21-25 ปี จ านวน 24 คน คิดเป็นร้อยละ 17.6% ผู้ตอบ แบบสอบถามจ าแนกตามระดับการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นนักเรียน/นักศึกษา ระดับชั้น ปวส. จ านวน105 คน คิดเป็นร้อยละ 22.8% ผู้ตอบแบบสอบถามจ าแนกตามสถานภาพ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นนักเรียน/นักศึกษา จ านวน 136 คน คิดเป็นร้อยละ 100% ตอนที่ 2 ความคิดเห็นต่อสื่อการเรียนการสสอนเรื่อง ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีความพึงพอใจที่มีต่อสื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อ สิ่งพิมพ์ อยู่ในระดับมาก โดยมีเฉลี่ยเท่ากับ 4.13 ค่าส่วนเบี่ยงแบนมาตรฐาน 0.745 เมื่อพิจารณาเป็น รายข้อ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีความคิดเห็นมากที่สุดในเรื่อง ความเหมาะสมของ วัตถุประสงค์ (X=4.13,S.D=0.745) รองมาได้แก่ ความสอดคล้องระหว่างแบบทดสอบกับเนื้อหา (X=4.06,S.D=0.901) ความเหมาะสมของค าถาม (X=3.98,S.D=1.043) ความเหมาะสมของจ านวน แบบทดสอบแต่ละบทเรียน (X=3.92,S.D=0.919) ความสอดคล้องระหว่างเนื้อหากับวัตถุประสงค์ (X=3.84,S.D=0.921) ความสะดวกในการใฃ้งาน (X=3.79,S.D=1.043) ความเหมาะสมของสี และ ขนาดใช้งานอังษร (X=3.79,S.D=1.075) ปริมาณเนื้อหาในแต่ละบทเรียน (X=3.17,S.D=0.952) การ


26 ออกแบบส่วนประกอบบนหน้าจอภาพ (X=3.63,S.D=1.088) และน้อยที่สุดคือ ความเหมาะสม ระหว่างเนื้อหากับระดับผู้เรียน (X=3.5,S.D=0.981) 5.2 อภิปรายผล จากการวิจัยให้ทราบผลว่า สื่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ ที่ทางคณะผู้วิจัย ได้วิจัย และพัฒนา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสื่อการเรียนการสอน เรื่อง การผลิต สื่อสิ่งพิมพ์ เพื่อ ทดลองสื่อสารการเรียนการสอนเรื่อง ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ และเพื่อศึกษาความคิดเห็น/ความพึงพอใจของ ผู้ที่มีต่อการเรียนการสอนเรื่อง การผลิตสื่อพิมพ์ จากผู้วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อยู่ ในช่วง 15-20 ปี เป็นนักเรียน/นักศึกษาระดับชั้น ปวช. จากกการส ารวจเห็นต่อสื่อสารการเรียน สอนเรื่อง การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีความคิดเห็นมากที่สุดในเรื่อง ความ เหมาะสมของวัตถุประสงค์ รองลงมาได้แก่ ความสอดคล้องระหว่างแบบทดสอบกับเนื้อหา ความ เหมาะสมของค าถาม ความเหมาะสมของจ านวนแบบทดสอบแต่ละบทเรียน ความสอดคล้องระหว่าง เนื้อหากับวัตถุประสงค์ ความสะดวกในการใฃ้งานความเหมาะสมของสี และขนาดใช้งานตังอักษร ปริมาณเนื้อหาในแต่ละบทเรียน การออกแบบส่วนประกอบบนหน้าจอภาพ และน้อยที่สุดคือ ความ เหมาะสมระหว่างเนื้อหากับระดับผู้เรียน 5.3 ข้อเสนอแนะ 5.3.1 ข้อเสนอแนะส าหรับการวิจัยในครั้งนี้ 5.3.1.1 ควรเพิ่มระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลการท าวิจัย 5.3.1.2 ควรมีการด าเนินการวางแผนที่ดี 5.3.2 ข้อเสนอแนะส าหรับการวิจัยครั้งต่อไป 5.3.2.1 ควรเปลี่ยนกลุ่มกรณีศึกษาให้กว้างขวางขึ้นกว่าเดิม 5.3.2.2 ควรค้นคว้าหาเอกสารวิจัยที่เกี่ยวข้องให้มากกว่าเดิมในการท าวิจัยครั้งต่อไป โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับสถานศึกษา เพื่อประโยชน์ต่อผู้วิจัยที่สนใจจะเก็บผลการวิจัยที่ได้ไปปรับปรุง ให้เกิดประโยชน์ต่อไป


บรรณานุกรม บรรณานุกรม จินตนา ถ ้าแก้ว. (2555). การออกแบบสิ่งพิมพ์เพื่อการศึกษา. ปทุมธานี : สกายบุ๊กส์. https://www.youtube.com/watch?v=dj79kyopVxA ธีรพงศ์ ประดิษฐ์กุล และคณะ. (2546). ความรู้เบื องต้นเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ http://www.acn.ac.th/2011/authorware/pdf/book.pdf เอกชัย วงษ์ศิริ. (2554) สร้างสื่อสิ่งพิมพ์อย่างมืออาชีพ


ภาคผนวก ก หนังสือขออนุมัติโครงการ


ภาคผนวก ข บันทึกปฏิบัติงานโครงการ


ภาคผนวก ค ตัวอย่างแบบสอบถาม


ภาคผนวก ง ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย SPSS


ประว ั ตผ ิ ู ้ จ ั ดทำ


ประวัติผู้จัดท ำ ประวัติส่วนตัว ชื่อ นางสาวมณีวรรณ โพธิ์ทอง เกิดวันที่ 17 เดือนเมษายน พ.ศ.2550 ที่อยู่ 1/7 ต าบลทาง เกวียน อ าเภอแกลง จังหวัดระยอง 2110 ประวิติกำรศึกษำ ปี 2562 จบการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนบ้านเนินสมบูรณ์ ปี2564 จบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนช านาญสามคีวิทยา ปัจุบันก าลังศึกษาอยู่ระดับประกาศนัยบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2


Click to View FlipBook Version