สารบญั
เรื่อง หน้า
ประวัตทิ างดา้ นครอบครัว 1-2
การคน้ พบธาตุเรเดยี ม 3
การรกั ษาโรคมะเรง็ ดว้ ยธาตเุ รเดยี ม 4
การใชป้ ระโยชน์ของธาตเุ รเดยี ม 5
สตรที ่ีไดร้ ับรางวลั โนเบลถึง 2 ครัง้ 6
ช่วงสุดทา้ ยของชวี ิตมารี กรู ี 7
ผลงานสาคญั ทสี่ ร้างชอ่ื เสยี ง 8
อ้างองิ 9
ประวตั ิทางดา้ นครอบครวั
มาเรีย สคลอดอฟสกา Marja Sklodowska หรือมารี กูรี (Marie Curie) เป็นชาวโปแลนด์ มารีเกิดเม่ือวันที่ 7
พฤศจิกายน ค.ศ. 1867 ท่ีเมืองวอร์ซอ เขตวิสทูลา จักวรรดิรัสเซีย ซ่ึงในปัจจุบันคือประเทศโปแลนด์ มารีเป็นบุตรสาวของ
บรอนีสวาวา (Bronislawa) กับววาดีสวอฟ (Wladyslaw) มีพ่ีน้องจานวน 5 คน บิดาของมารีเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์และ
มักพามารีมาท่ีห้องปฏิบัติการอยู่เสมอ ด้วยเหตุน้ีจึงทาให้มารีมีความสนใจด้านวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ยังเด็ก แตกต่างจากจาก
คา่ นิยมของสงั คมสว่ นใหญข่ องผูห้ ญิงในสมัยนน้ั ทีจ่ ะเนน้ การเรยี นและการเตรียมตัวเป็นแม่บ้าน เม่ือจบการศึกษาในระดับต้น
แล้ว มารกี ับพสี่ าวของมารไี ด้ทางานดว้ ยการเปน็ ครสู อนอนบุ าลใหก้ ับเดก็ ๆ ในละแวกน้ัน โดยทั้งสองมุ่งหวังท่ีจะไปเรียนที่ต่อ
ทฝ่ี รง่ั เศส แตด่ ว้ ยปญั หาทางการเงินของทางบ้านทาใหม้ ารีตดั สินใจหยดุ เรยี นและไปรับสอนหนังสือท่บี า้ นของผู้มีฐานะ โดยมา
รีเป็นผู้เสียสละส่งเสียพี่สาวชื่อ โบรเนีย (Bronia) จนเรียนจบด้านแพทยศาสตร์ท่ีกรุงปารีส ประเทศฝร่ังเศสก่อน และเม่ือ
พ่ีสาวเรยี นจบจงึ กลับมาส่งเสียมารใี ห้เรยี นตอ่ ทางด้านวิทยาศาสตร์ต่อไป ความต้ังใจของมารีก็ไม่สูญเปล่า เม่ือพ่ีสาวของมารี
เรียนจบก็ได้มาส่งเสียมารีให้ได้เข้าเรียนต่อท่ีมหาวิทยาลัยปารีส ในสาขาทางด้านวิชาฟิสิกส์ เคมี และคณิตศาสตร์ อย่างไรก็
ตาม มารีก็ยังต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างประหยัดด้วยข้อจากัดทางการเงิน และทางานพิเศษเป็นติวเตอร์เพื่อหารายได้เพ่ิมเติมจน
สามารถเรียนจบปริญญาตรีสาขาฟิสิกส์ได้สาเร็จในปี ค.ศ. 1893 และได้เริ่มทางานในห้องปฏิบัติการทางอุตสาหกรรมของ
ศาสตราจารย์ Abriel Lippmann และเรยี นตอ่ ที่มหาวิทยาลัยปารีสจนจบปรญิ ญาโทในปี ค.ศ. 1894 จนสาเร็จ
ประวตั ทิ างดา้ นครอบครวั (ตอ่ )
มารีได้เริ่มทางานในฐานะนักวิทยาศาสตร์เก่ียวกับงานด้านการตรวจหาคุณสมบัติทางแม่เหล็กของเหล็กกล้าหลายชนิด
และในปเี ดยี วกนั นน้ั เองมารีก็ได้พบรักกับปิแอร์ กูรี (Pierre Curie) เป็นนักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส ความชอบและความสนใจ
ในด้านวิทยาศาสตร์ได้ทาให้ทั้งคู่ทาความรู้จักกันจนเร่ิมสนิทสนมกันมากข้ึน ท้ังคู่ก็ได้ตัดสินใจแต่งงานกันเม่ือ
วันที่ 26 มิถนุ ายน ปี ค.ศ. 1895 โดยจดั พิธีแบบเรียบง่ายท่ีไม่ใช้แหวนหมั้น และทั้งคู่ได้เดินทางไปฮันนีมูลกันด้วยการปั่น
จกั รยานเที่ยวในฝรั่งเศส และเป็นท่รี จู้ ักในนาม มาดามมารี กรู ี (Marie Curie)
การค้นพบธาตุเรเดยี ม
ธาตเุ รเดยี ม
เรเดยี มเปน็ ธาตโุ ลหะที่ มีสขี าวแวววาว เรืองแสงได้เอง มีกัมมันตรังสีสูง และมีปริมาณน้อยโดยพบเจือปนใน
สินแร่ท่มี ียูเรเนียม เรเดียมมี 13 ไอโซโทป ท่มี เี ลขมวลระหวา่ ง 213 และ 230 โดยไอโซโทปที่มากที่สุดคือเรเดียม-226
มีครง่ึ ชีวิต 1,622 ปี มกี ารใชเ้ รเดียมในด้านรังสรี กั ษา (มะเร็ง) ใช้เป็นต้นกาเนิดนิวตรอนในงานวิจัย และเคยใช้ผสมสี
เรอื งแสง
ความหมายของช่อื เรเดยี ม
คาว่าเรเดยี มมาจากคาภาษาละตินวา่ radius หมายถงึ รงั สี (ray)
การรกั ษาโรคมะเรง็ ด้วยธาตเุ รเดียม
ในทางยานาเรเดียมในรูป Ra-223 dichloride ทาเป็นยาฉีดใช้รักษามะเร็งต่อมลูกหมาก (prostate cancer)
ทกี่ ระจายสกู่ ระดูก (bone metastasis) ซงึ่ ด้ือต่อการรักษาด้วยวิธีการลดการสร้างฮอร์โมนเพศไม่ว่าจะด้วยยาหรือการ
ผ่าตัด (castration-resistant prostate cancer) โดยให้ยาเข้าหลอดเลือดดาในขนาด 50 kBq (1.35 microcurie)
ต่อน้าหนักตัว 1 กิโลกรัม ให้ทุก 4 สัปดาห์ จานวน 6 ครั้ง สาร Ra-233 ออกฤทธิ์โดยปล่อยรังสีอัลฟา (alpha
radiation) ออกมาทาลายเซลล์ รังสีอัลฟามีอานาจทะลุทะลวงต่าเพียง 2-10 เซลล์ จึงเป็นการออกฤทธ์ิทาลายเซลล์
เฉพาะที่ นอกจากนี้การท่เี รเดยี มชอบจับกับ hydroxyapatite ของกระดูกจึงถือว่ายานี้เลือกออกฤทธ์ิต่อกระดูก ทาให้มี
ผลกระทบตอ่ เซลล์อื่นน้อย
การใช้ประโยชน์ของธาตเุ รเดียม
การใชป้ ระโยชนข์ องเรเดยี มอาศยั สมบัตกิ ัมมันตรงั สี พอสรุปไดด้ งั นี้
1. แหล่งนิวตรอน อนุภาคอัลฟาที่ปล่อยออกมาโดยเรเดียมและไอโซโตปลูกของมันมีพลังงานสูงพอที่จะ ไปริเร่ิม
ปฏกิ ิรยิ านวิ เคลยี รข์ องธาตุทเี่ บา
2. สีเรืองแสง (luminous paint) เป็น การใช้ประโยชน์ของเรเดียมท่ีสาคัญท่ีสุดในอุตสาหกรรม โดยให้ เรเดียม
(หรือไอโซโตปท่ีปล่อยอนุภาคอลั ฟาอนื่ ๆ) ผสมอย่างท่ัวถึงใน hosphor อนินทรีย์ ซ่ึงอนุภาคอัลฟาท่ีปล่อยออกมามี
พลังงานเพยี งพอในการกระตุ้นทาให้เกิดการ เรืองแสงได้ (จึงไม่ต้องใช้แหล่งพลังงานจากภายนอก) สีเรืองแสงใช้ใน
หนา้ ปัดนาฬิกา (ทาใหส้ ามารถอา่ นเวลาได้ในทม่ี ืด) และสัญญาณจราจรต่าง ๆ
3. ในวงการแพทย์ ใชร้ ักษามะเร็งโดยการฉายรังสี
4. เปน็ แหล่งหลักของธาตุเรดอน
สตรีท่ีไดร้ ับรางวลั โนเบลถงึ 2 คร้ัง
ในปี ค.ศ. 1903 มารีไดศ้ กึ ษาจบปริญญาเอก โดยที่มารีมีเบ็กเคอเรลเป็นอาจารย์ท่ีปรึกษาของมารี อีกท้ังมารี
ยังเป็นผหู้ ญงิ คนแรกในประเทศฝรั่งเศสที่ได้รับปริญญาเอก และไม่เพียงเท่านั้นในช่วงของปลายปียังมีการประกาศผล
รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ คอื การค้นพบปรากฏการณ์กัมมันตภาพรังสี โดยรางวัลน้ีได้รับร่วมกัน 3 ท่านคือ แบ็กเกอร์
แรลท่เี ปน็ ผูค้ น้ พบเปน็ คนแรก ปแิ อรแ์ ละมารที ท่ี าการทดลองคน้ คว้าหาคาอธิบายสาหรับปรากฏการณ์นี้ การรับรางวัล
โนเบลในครงั้ นี้ทาให้มารีเปน็ ผูห้ ญงิ คนแรกทไ่ี ด้รับรางวลั โนเบลอกี ดว้ ย
ต่อมาในปี ค.ศ. 1911 มารีได้รับรางวัลโนเบลอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้มารีได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีจากการ
ค้นพบธาตุพอโลเนียมและเรเดียม จากการได้รับรางวัลโนเบลถึง 2 คร้ังของมารีทาให้มารีกลายเป็นบุคคลแรกที่ได้รับ
รางวัลโนเบล 2 สาขาเพียงคนเดียวในโลก
ชว่ งสุดท้ายของชวี ติ มารี กูรี
ในปี ค.ศ. 1933 มารีได้ทาการจัดตั้งมูลนิธิ Curie Foundation เพื่อให้ทาหน้าที่ในการสนับสนุนการวิจัยด้าน
งานวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์และสนับสนุนทางการแพทย์ และในปี ค.ศ. 1953 สถาบันแห่งนี้ได้กลายเป็นต้นแบบของ
สถาบันวิจัยมะเร็งในหลายประเทศ และเริ่มใช้งานด้านวิทยาศาสตร์เข้ามามีส่วนร่วมส่งเสริมคุณภาพชีวิตของสังคมมาก
ขึน้
เม่อื มารีอายุ 58 ปี สุขภาพของมารีกเ็ รมิ่ ทรดุ โทรมหนักมากข้นึ มารเี ริม่ มอี าการหูหนวก ตาบอด และมีรอยไหม้ที่
ตามมือของมารี ผลมาจากการท่ีมารีใช้เวลาทาการทดลองรังสีต่าง ๆ ทาให้ถูกรังสีจากสารกัมมันตภาพรังสีแผดเผามารี
ในเวลาต่อมามารีจึงป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและเข้ารักษาตัวอยู่ท่ีโรงพยาบาลโอตซาวัว (Haute Savoie)
และเสยี ชีวิตในวยั 67 ปี เม่ือวนั ท่ี 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1934
ผลงานสาคญั ท่ีสรา้ งชอื่ เสยี ง
วิลเฮล์ม เรินต์เกน (Wilhelm Rontgen) ผู้ค้นพบรังสีเอกซ์ซึ่งเป็นรังสีท่ีไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
และมีอานาจสูงโดยผ่านเน้ือเยื่อคนไปยังกระดูกได้ ทาให้สามารถมองเห็นกระดูกของคนได้โดยที่ไม่ต้องใช้วิธีการผ่าตัด
และ อองตอน เบกแครล (Antoine Becquerel) ผู้เสนอรายงานว่าสารประกอบยูเรเนียมแม้อยู่ในที่มืดก็สามารถแผ่
รงั สอี อกมาจนทาให้แผ่นฟิล์มน้ันมัวหมองได้
มารศี ึกษาตอ่ ในระดับดษุ ฎบี ณั ฑติ ดา้ นฟสิ ิกส์ และจากข้อมูลของวิลเฮล์ม เรินต์เกนและอองตอน เบกแครล ทา
ให้มารีสนใจท่ีจะทาการศึกษาต่อว่ารังสีที่สารประกอบยูเรเนียมนั้นปล่อยออกมาคือรังสีอะไร สารประกอบอื่น ๆ มี
ความสามารถเชน่ เดยี วกนั หรอื ไม่ และสาเหตทุ ท่ี าให้ธาตุน้นั เปล่งรังสีออกมานัน้ คืออะไรและมีความรุนแรงเท่าใด
นอกจากนี้ ปิแอร์ผู้เป็นสามีของมารี และน้องชายของเขาได้ออกแบบอุปกรณ์วัดกระแสไฟฟ้ามีความไวสูง
เพ่ือให้มารีได้ทดลองใช้ ในการศึกษารังสีที่สารประกอบยูเรเนียมปล่อยออกมา มารีคิดว่ารังสีน้ันเกิดจากการ
เปลีย่ นแปลงของอะตอมยเู รเนียม แต่มารกี ไ็ ม่มหี ลักฐานทีป่ ระกอบความคดิ นี้ได้อยา่ งชดั เจน จนในที่สุดในปี ค.ศ. 1898
มารีได้นา Pitchblende ซึ่งเป็นรังสีสีดาแข็งมาเร่ิมทาการวิเคราะห์จบทาให้มารีได้พบธาตุใหม่ 2 ธาตุประกอบด้วย
พอโลเนยี ม (มารีตั้งชอ่ื ตามบา้ นเกดิ ของมาร)ี และเรเดียมซ่งึ มีสเี งินสามารถเรืองแสงได้ และมารียังได้พบว่าธาตุเรเดียม
น้ันปล่อยรังสีออกมาได้รุนแรงมากกว่ายูเรเนียมถึง 900 เท่า ต่อมาในปี ค.ศ. 1902 มารีก็ได้สกัดแร่เรเดียมบริสุทธิ์
ออกมาไดส้ าเร็จและพบวา่ แรม่ ีกมั มนั ตภาพรงั สรี นุ แรงมากจนผวิ ของปแิ อรถ์ กู เผาไหม้
อ้างอิง
https://www.scimath.org/article-science/item/11461-19-marie-curie
http://nkc.tint.or.th/nkc55/content55/nstkc55-063.html