The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารอบรมเรื่องนิเทศภายใน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by lanlah_me, 2022-01-20 08:24:35

เอกสารอบรมเรื่องนิเทศภายใน KPSP

เอกสารอบรมเรื่องนิเทศภายใน

1

เอกสารอบรม

เร่อื ง การนิเทศภายในโรงเรียน
(In-school Supervision)

สพม.สุพรรณบรุ ี

รองศาสตราจารย์ ดร.จไุ รรตั น์ สดุ ร่งุ
สาขาวชิ านเิ ทศการศกึ ษาและพัฒนาหลกั สูตร

คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

2

การนเิ ทศภายในโรงเรยี น

( In-school Supervision )

การจัดการศึกษาในระบบโรงเรียน จุดมุ่งหมายคือสัมฤทธิผลสูงสุดในการเรียนและคุณลักษณะที่พึง
ประสงค์ของนักเรียน กระบวนการทางานร่วมกันของครูและบุคลากรทางการศกึ ษา เพ่ือใหบ้ รรลุตามวัตถุประสงค์
ในการจัดการศึกษาต้องมีการนิเทศการศึกษา (Educational Supervision) เข้ามาเกี่ยวข้อง รูปแบบการนิเทศ
การศึกษามหี ลายวธิ ี เช่น การนิเทศทางตรง การนเิ ทศทางอ้อม การนเิ ทศทางไกล การนเิ ทศภายในโรงเรียน ความ
เหมาะสมในการใชก้ ารนิเทศด้วยรูปแบบวธิ กี ารใดข้ึนอยู่กับบริบทของสังคมและโรงเรียน ในสภาพสังคมปัจจุบัน
รปู แบบการนเิ ทศท่ีมีความสาคัญและจาเปน็ สาหรับครูมากทีส่ ุดคือ การนเิ ทศภายในโรงเรยี น

การนิเทศภายในโรงเรียน เป็นภารกิจสาคัญอย่างหน่ึงของผู้บริหารโรงเรียนท่ีจะช่วยพัฒนาครูให้มี
ความรู้ ความเขา้ ใจ และความสามารถในการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนให้ดียง่ิ ข้ึนอย่างต่อเน่ือง ตรงตามความ
ต้องการทจ่ี ะพัฒนานกั เรยี นใหส้ อดคล้องกับหลักสูตรด้วยเทคนิควิธีการท่ีมีประสิทธิภาพ มีพฤติกรรมเป็นครูมือ
อาชพี และสง่ เสริมให้เกดิ ความตระหนักถึงความจาเป็นในการพัฒนานักเรียนให้มีคุณภาพ ปฏิบัติงานด้วยความ
มน่ั ใจ ขวญั และกาลงั ใจดี มีความภาคภมู ิใจในผลงานของตน

ด้วยเหตุที่ศึกษานิเทศก์ไม่เพียงพอ การจัดการนิเทศการศึกษาภายในโรงเรียนจึงมีความสาคัญมาก
เพราะผ้ทู าหนา้ ทน่ี เิ ทศเป็นผู้ท่ีอยู่ในโรงเรียนอยู่แล้วและมีความใกล้ชิดกับครูและนักเรียนมากกว่าผู้อื่น ย่อมจะ
มองเหน็ ปญั หาและล่ทู างทีจ่ ะนเิ ทศการศกึ ษาให้ไดร้ ับผลดที สี่ ุด

จดุ กาเนิดของคาวา่ “การนิเทศภายในโรงเรียน” ไดเ้ ร่มิ ข้นึ เนอื่ งจากการพัฒนาบุคลากรในโรงเรียนต่างๆ
โดยศึกษานิเทศก์ภายนอกน้ันเป็นไปอย่างล่าช้าและไม่ได้ผลเท่าท่ีควร เนื่องจากไม่สามารถติดตามให้การนิเทศ
อย่างสม่าเสมอได้ ประกอบกับในช่วงระยะหลังบุคลากรในโรงเรียนต่างๆมีความรู้สูงข้ึน จึงเป็นเหตุสมควรให้
บคุ ลากรภายในโรงเรียนตา่ งๆ ดาเนนิ การนิเทศกันเอง ซ่งึ ถือว่าเปน็ การเปิดโอกาสให้ครสู รา้ งปฏิสัมพันธ์กันมากขนึ้
ครูสามารถแสดงศกั ยภาพของตนออกมาไดอ้ ยา่ งเต็มที่ เป็นการแบ่งเบาภาระของศึกษานิเทศกซ์ ง่ึ อยภู่ ายนอกและ
เป็นการเร่งการพัฒนาคุณภาพบุคลากรประจาการให้เป็นไปอย่างราบร่ืนย่ิงข้ึน ในช่วงเวลาต่อมาได้มีการขยาย
ขอบเขตของการนเิ ทศภายในโรงเรียนออกไปถงึ การนิเทศภายในกลมุ่ โรงเรยี นอกี ดว้ ย

3

ความจาเป็นของการนิเทศภายในโรงเรียน

การจัดการนิเทศภายในโรงเรียน เป็นงานเชิงบริหารจัดการที่มีเป้าหมายในการพัฒนาครูและบุคลากร
ทางการศึกษาในโรงเรยี นใหป้ ฏิบัติงานอย่างมปี ระสิทธภิ าพ ท้ังงานสอนซ่ึงเป็นงานหลักของการจัดการศึกษาและ
งานสนบั สนุนการสอน เพอื่ ผลลพั ธ์ปลายทางคอื ผู้เรียนไดร้ ับการพัฒนาตามวตั ถุประสงคข์ องหลกั สตู ร การพัฒนา
คุณภาพการจัดการศกึ ษาในโรงเรยี นซึง่ มีจานวนมากและมบี รบิ ทที่แตกต่างกัน ปัจจัยตา่ งๆทั้งภายในและภายนอก
โรงเรียน ทาให้โรงเรียนมคี วามจาเปน็ ต้องจัดการนิเทศภายในดงั น้ี

1. การเปลีย่ นแปลงระบบการจัดการศกึ ษา ย้อนจากอดีตจนถงึ ปัจจบุ ันการศึกษาไทยมกี ารปฏริ ปู มาอย่าง
ตอ่ เน่ืองเพ่อื ใหท้ ันกบั ยคุ สมัย สภาวะสงั คม เช่นในปัจจุบันประเทศไทยกาลังพัฒนาประเทศให้ย่ังยืนตามแนวทาง
Thailand 4.0 การจัดการศึกษาต้องให้สอดคล้องกับการเปล่ียนแปลงไปสู่การศึกษาไทยในยุค 4.0 ซึ่งเป็นการ
จัดการเรียนการสอนท่เี นน้ ให้ผเู้ รยี นสามารถนาองคค์ วามร้ทู ีม่ อี ยทู่ กุ หนทกุ แหง่ ในโลกน้ีมาบรู ณาการเชิงสร้างสรรค์
เพ่ือพัฒนานวัตกรรมต่างๆมาตอบสนองความต้องการของสังคม และต้องสร้างให้ผู้เรียนมีทักษะที่จาเป็นใน
ศตวรรษท่ี 21 ในฐานะของความเป็นพลเมอื งโลก การจดั การศึกษาจะเปลย่ี นแปลงไปตามพลวตั ของสังคม ดงั นัน้ ผู้
ทม่ี ผี ลโดยตรงตอ่ การพัฒนาเด็กใหม้ คี ณุ ลกั ษณะที่เหมาะสมกับความเปลยี่ นแปลงดงั กล่าวคือครู การนิเทศภายใน
โรงเรยี นเปน็ กระบวนการเบื้องตน้ ในการพฒั นาครูใหม้ ีความรู้ ทักษะ คณุ ลักษณะที่เหมาะสมกบั การเปลี่ยนแปลง

2. การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลักสูตร จากการเปล่ียนแปลงระบบการจัดการศึกษา หลักสูตรจึง
จาเป็นตอ้ งมกี ารปรับปรงุ หรือเปลีย่ นแปลงเช่นเดียวกนั เพราะหลกั สตู รเปรียบเสมือนเข็มทิศในการจัดการศึกษา
และหลกั สตู รตอ้ งมีการพฒั นา ปรับปรุง เปลยี่ นแปลงตามระยะเวลา เพอื่ ให้สอดคลอ้ งกับความต้องการและความ
เปลี่ยนแปลงของสงั คม เทคโนโลยี ผู้ท่ีมีบทบาทสาคัญในการนาหลักสูตรไปใช้คือครู โรงเรียนต้องมีการจัดการ
นเิ ทศอย่างเป็นระบบดว้ ยรปู แบบวิธกี ารต่างๆเพ่อื ใหค้ รมู ีความรู้ ความเข้าใจในการจัดทาหลกั สตู รสถานศึกษา การ
นาหลกั สูตรไปใช้ รวมทัง้ การประเมินหลกั สตู รด้วย

3. การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส่งผลให้
สภาพการจัดการเรยี นการสอน ส่อื อุปกรณต์ ่างๆเปลี่ยนตามไปดว้ ย ผลการวิจัยค้นคว้าใหม่ๆทางวิชาการที่มีการ
เผยแพร่ ควรมกี ารนาไปปฏิบตั เิ พอื่ พัฒนาการศกึ ษาให้เจรญิ กา้ วหน้า ครูจะตอ้ งพฒั นาตนเองด้านการใชเ้ ทคโนโลยี
ในการจดั การเรียนการสอน เรยี นร้วู ธิ ีการสอนใหม่ๆใหท้ นั การเปลี่ยนแปลง โดยไม่หวังพ่ึงหรือรอคอยการพัฒนา

4

จากผ้อู ื่น การปรบั ตวั การพัฒนาตนเอง การพง่ึ ตนเองของโรงเรยี น ควรทบี่ คุ ลากรในโรงเรยี นจะตอ้ งตน่ื ตัวและยึด
หลกั การนิเทศภายใน ใช้ศักยภาพของคนในองค์กรเป็นหลัก

4. การนิเทศภายนอกโดยศึกษานิเทศก์ไม่ทั่วถงึ เนอื่ งจากการเพ่ิมจานวนของครูและโรงเรียน แต่จานวน
ศึกษานเิ ทศก์มีน้อย จึงจาเปน็ ตอ้ งมกี ารนเิ ทศภายใน เพอื่ โรงเรียนจะได้สามารถพัฒนาการนิเทศของตนเองอย่าง
เป็นระบบต่อเน่ือง จากสภาพปัญหาและความต้องการของแต่ละโรงเรียนที่ไม่เหมือนกัน จึงเป็นการยากท่ี
ศึกษานเิ ทศกจ์ ากภายนอกจะรปู้ ญั หาและความตอ้ งการของโรงเรียนท่แี ทจ้ รงิ การสนองความต้องการจึงเป็นไปได้
ยาก ในสภาพปจั จุบนั บคุ ลากรในโรงเรียนส่วนใหญ่มีความรู้ความสามารถเพียงพอ บางคนมีความชานาญเฉพาะ
สาขาวิชาอกี ด้วย จงึ สมควรจะใชท้ รัพยากรเหลา่ น้ใี หเ้ กิดประโยชนม์ ากท่สี ุด

5. ศักยภาพของครูท่ีแตกต่างกัน ภายในโรงเรียนย่อมมีครูที่มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน และ
ประสิทธิภาพในการจดั การเรยี นการสอนทแ่ี ตกต่างกัน การท่จี ะลดชอ่ งว่างดังกล่าวผู้บรหิ ารจะต้องใช้กระบวนการ
นิเทศภายใน โดยบุคลากรในโรงเรยี นรว่ มมือกันทาการลดชอ่ งวา่ งดงั กล่าว จะช่วยแก้ปัญหาได้ตรงจุดและตรงกับ
ความตอ้ งการของโรงเรียน ทาให้การปฏบิ ัตงิ านนั้นมปี ระสิทธภิ าพยิง่ ข้ึน

บทบาทและหนา้ ทขี่ องบุคลากรทเ่ี กยี่ วข้องกับการนิเทศภายใน

1. ผู้บรหิ าร

การกาหนดบทบาทหนา้ ท่ีของผู้บริหาร ซึ่งหมายถึงผู้ท่ีอยู่ในตาแหน่งบริหาร ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียนหรือ
ผู้อานวยการโรงเรียน รองผู้อานวยการ หัวหน้างานหรือหัวหน้ากลุ่มสาระ ฯ ซึ่งบุคคลเหล่านี้เป็นผู้ท่ีมีหน้าท่ี
รับผิดชอบโดยตรงต่อการนิเทศภายในโรงเรียน มีฐานะเป็นท้ังผู้นิเทศและผู้สนับสนุนการนิเทศ บทบาทของ
ผูบ้ ริหารแต่ละระดบั ตอ่ ไปนีเ้ ป็นส่ิงที่ดาเนนิ การอยู่แลว้ ในโรงเรียน

1.1. ผู้อานวยการโรงเรยี น
1) เปน็ ผู้นิเทศภายในโรงเรียนโดยใชเ้ ทคนคิ การบริหารมาช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพการนิเทศภายใน

โรงเรยี น
2) ส่งเสรมิ ให้ครมู คี วามรู้ ความเขา้ ใจ เกยี่ วกับการนเิ ทศภายในโรงเรยี นอยา่ งแทจ้ รงิ ใหค้ าปรกึ ษา

แนะนาและเปน็ วิทยากรท่ีดแี กผ่ ู้นเิ ทศและผรู้ ับการนเิ ทศ
3) รว่ มประชุมวางแผนการนิเทศภายในโรงเรียนกบั ผู้นเิ ทศและครูในฐานะประธานกรรมการ

5

4) พิจารณาอนุมัตโิ ครงการนิเทศภายในโรงเรยี นท่ีสอดคลอ้ งกบั นโยบายและแผนงานของโรงเรียน
5) เป็นผปู้ ระสานงานระหวา่ งผูน้ เิ ทศและผรู้ บั การนเิ ทศ
6) ให้การสนบั สนุนท้ังดา้ นอปุ กรณ์ งบประมาณ ขวญั และกาลังใจในการดาเนนิ โครงการ
7) ชว่ ยเหลือและสง่ เสริมให้ครมู คี วามร้แู ละมพี ัฒนาการทางวชิ าชีพ
8) ติดตามและประเมินผลการจัดนเิ ทศภายในโรงเรียน
1.2. รองผอู้ านวยการโรงเรยี น
ในการนเิ ทศภายในโรงเรียน รองผอู้ านวยการโรงเรียนทกุ ฝา่ ยมีบทบาทเปน็ ทั้งผนู้ ิเทศและผสู้ นับสนุน
การนเิ ทศเชน่ เดียวกับผ้บู ริหารโรงเรียน โดยมีบทบาทและหน้าท่ี ดังตอ่ ไปนี้
1) เป็นผนู้ ิเทศภายในโรงเรียนตามภาระงานของแต่ละฝ่าย
2) รว่ มวางแผนและวเิ คราะห์โครงการนเิ ทศภายในโรงเรยี น
3) รวบรวมโครงการจดั ทาแผนงานและปฏิทนิ ปฏบิ ัติงานนเิ ทศภายในโรงเรียน
4) ให้คาปรกึ ษา และให้ความรคู้ วามเข้าใจแนวทางการนเิ ทศภายในโรงเรยี น
5) เปน็ ผปู้ ระสานงานกบั บุคลากรภายนอกท่ีจะมาช่วยงานนิเทศภายในโรงเรียน เช่น ศึกษานิเทศก์
ผู้เชี่ยวชาญและวทิ ยากรจากสถาบันตา่ งๆ
6) เปน็ ผปู้ ระสานงานระหว่างผู้นิเทศและผรู้ บั การนิเทศ
7) ติดตามประเมินผล รวมทั้งควบคุมคุณภาพการดาเนินงานโครงการนิเทศภายในโรงเรียนทุก
โครงการ
8) ใหบ้ ริการสนับสนนุ และอานวยความสะดวกในเรื่องอุปกรณ์ วัสดุครุภัณฑ์ รวมท้ังการบารุงขวัญ
และกาลังใจอย่างสม่าเสมอแก่ผดู้ าเนนิ งานโครงการและผ้รู ่วมโครงการ
9) รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการดาเนินงานตามโครงการและจัดทาสถิติแสดงความก้าวหน้าของ
โครงการเป็นรายเดือน รายภาคเรียน และรายปี
10) สรุปผลการดาเนินโครงการแจ้งให้บุคลากรทุกคนในโรงเรียนทราบ และรายงานต่อผู้บริหาร
โรงเรียนและหน่วยงานท่เี ก่ยี วข้อง
1.3. หัวหน้างาน

6

หวั หน้างานทกุ กลุม่ ในโรงเรียนเป็นผู้ที่รับผิดชอบโดยตรงต่องานของตน เป็นผู้ท่ีมีความสัมพันธ์อย่าง
ใกล้ชดิ กบั ครู รวมท้ังเข้าใจในปัญหาและความต้องการของครูเหล่านั้นเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นส่วนสาคัญในการท่ีจะ
ดาเนนิ โครงการนเิ ทศภายในโรงเรียนใหบ้ รรลวุ ัตถปุ ระสงคเ์ ป็นอย่างดี บทบาทและหนา้ ทข่ี องหวั หน้างานควรมีดงั นี้

1) จัดการประชุมครูในกลมุ่ งาน เพอ่ื วเิ คราะหป์ ัญหาความต้องการจาเป็นในการทางาน
2) จดั การประชุมครูเพ่ือวางแผนการดาเนินงานเกย่ี วกับภาระงานทร่ี บั ผิดชอบ
3) เป็นผู้นิเทศภายในโรงเรยี นตามกลุม่ งานรบั ผิดชอบ
4) ให้คาปรกึ ษาแนะนาแก่ครเู กี่ยวกบั การปฏบิ ัตงิ านภายใต้ความรบั ผดิ ชอบ
5) จดั ใหม้ ีกจิ กรรมการนิเทศภายในโรงเรียนตามความเหมาะสมกับสภาพความต้องการจาเป็น เช่น การ
อบรมประชมุ ปฏบิ ตั ิการ ทัศนศกึ ษา การจัดทาเอกสารเผยแพร่ความรู้แก่ครู ฯลฯ
6) ให้บริการ สนบั สนนุ และอานวยความสะดวกในเร่อื งวสั ดุ อปุ กรณ์ ครุภัณฑต์ ่างๆ รวมทง้ั การบารุง
ขวัญและกาลงั ใจอย่างสม่าเสมอแกค่ รทู รี่ ่วมในโครงการ
7) ตดิ ตามผลการปฏบิ ตั งิ านของครใู นกลมุ่
8) จัดให้มีการประชุม อภิปรายผลการปฏิบัติงานของกลุ่ม เพ่ือวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคในการ
ปฏิบตั งิ านและวางแนวทางปรับปรุงแกไ้ ขตลอดจนวางแผนการปฏิบัติงานขนั้ ตอ่ ไป
1.4. หัวหน้ากล่มุ สาระการเรยี นรู้
เปน็ ผู้บรหิ ารที่ทางานใกลช้ ดิ กับครใู นสายงานการสอนมากทส่ี ุด จึงเป็นผู้รู้ปัญหาและความต้องการของ
ครใู นกลุ่มสาระการเรียนรู้เปน็ อย่างดี หัวหนา้ กลุ่มสาระการเรยี นร้จู ึงควรมีบทบาททเ่ี น้นการนิเทศการสอน ดังนี้
1) ให้คาแนะนาในดา้ นการจดั ทาแผนการสอน โครงการสอนระยะยาวให้แกค่ รูในกลมุ่ สาระการเรียนรู้
2) เปน็ ทปี่ รกึ ษาของครูในทกุ โอกาสเม่อื ครูมปี ญั หา
3) รว่ มกบั ครูกาหนดวิธีสอน การวดั ผลและการประเมนิ ผล จดั ทาข้อสอบเพอ่ื ใชใ้ นกลุ่มสาระการเรียนรู้
4) พาครูในกลุม่ สาระการเรยี นรูไ้ ปชมกิจการหรือการดาเนินงานของโรงเรียนอ่ืนๆ ในเรื่องที่ครูมีความ
สนใจหรือพาไปดูการแสดง การจัดนิทรรศการหรือกิจกรรมท่มี ปี ระโยชน์ต่อการดาเนินงานในกล่มุ สาระการเรียนรู้
นน้ั ๆ
5) ประสานงานให้ครใู นกลมุ่ สาระการเรยี นรไู้ ดม้ าร่วมกนั ทางานเพอ่ื สว่ นรวม เช่น ให้มาช่วยกันทาคู่มือ
การสอน โดยผู้นิเทศเป็นศนู ย์กลางของความร่วมมอื นนั้

7

6) จัดใหม้ กี ารสาธิตการสอนครใู นกล่มุ วชิ า เพื่อแกป้ ญั หาดา้ นการสอน
7) แนะนาครใู หม่เกี่ยวกบั การสอนและวธิ กี ารปฏบิ ัติงาน
ในปัจจุบันน้ีบทบาทของผู้บริหารโรงเรียนน้ันถือว่าเป็นสิ่งสาคัญอย่างย่ิงในการนิเทศภายในโรงเรียน
เพราะในการทาหนา้ ทีผ่ ้นู ิเทศน้นั ผู้บรหิ ารต้องเป็นผู้มีความรู้ ความเขา้ ใจในเรื่องการนิเทศ มีการปฏิสัมพันธ์กับ
ครูภายในโรงเรยี นเปน็ อย่างดี รจู้ ักสร้างระบบการนเิ ทศภายในโรงเรียน มอบหมายงานให้ถูกต้องกับลักษณะของ
คน

2. ครู

บทบาทและหนา้ ทคี่ รู
เน่ืองจากครูเป็นผู้ท่ีทาหน้าท่ีจัดการเรียนการสอนโดยตรง จึงมีบทบาทเป็นทั้งผู้รับการนิเทศในการ
พัฒนาการจดั การเรียนการสอนของตนเอง และผใู้ ห้การนเิ ทศเพื่อช่วยเหลอื เพ่อื นร่วมงาน จึงอาจแบง่ บทบาทและ
หน้าท่ีของครูได้ดงั น้ี
2.1 ครผู ู้นเิ ทศ

ครูผู้นิเทศ คอื ครูผู้เช่ียวชาญดา้ นการสอนทีอ่ าจจะเป็นครอู าวโุ ส มีประสบการณส์ ูง มผี ลงานเป็นท่ี
ยอมรับ ได้รับมอบหมายให้ทาหน้าที่เป็นผู้นิเทศเพ่ือนครูด้วยกัน หรือเป็นครูพี่เลี้ยง บทบาทและหน้าท่ีของ
ครูผู้สอนในฐานะผ้นู ิเทศ ควรเป็นดงั น้ี

1) ร่วมวางแผนในการปฏิบัติงาน โดยมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์สภาพปัญหา และความต้องการ
รวมทง้ั วางแนวทางในการปฏิบัตงิ าน

2) เปน็ วทิ ยากรให้ความร้ใู นสงิ่ ทจ่ี ะปฏิบัติ หรือเชิญวิทยากรจากแหล่งวิชาการอื่นมาช่วยให้ความรู้
แก่ผรู้ ับการนิเทศ

3) ดาเนินการนิเทศการปฏิบัติงาน โดยการมีส่วนร่วมในการทางานให้คาแนะนาปรึกษา ให้การ
ชว่ ยเหลอื ชว่ ยแกไ้ ขจุดบกพร่อง และชแี้ นะใหผ้ ูร้ ับการนเิ ทศได้พฒั นาตนเอง

4) สร้างขวัญและกาลังใจแก่ผู้รับการนิเทศ เพ่ือกระตุ้นและสนับสนุนให้ผู้รับการนิเทศได้พัฒนา
ตนเองด้วยความมัน่ ใจ

5) ดาเนนิ การประเมินผลการจัดการนเิ ทศการศึกษาเพือ่ หาทางปรับปรุงแกไ้ ขจุดบกพร่องต่างๆ และ
เพอื่ หาทางยกระดับการปฏิบัติงานใหส้ งู ขึ้น

8

2.2 ครูผู้รับการนเิ ทศ
ครูผรู้ ับการนเิ ทศ หมายถึง ครใู นโรงเรียนทใี่ นขณะน้นั ไมไ่ ด้แสดงบทบาทเปน็ ผ้นู เิ ทศ ครูบางคนอาจ

มโี อกาสได้แสดงบทบาทเป็นผู้นิเทศในเร่ืองหนึ่ง แต่อาจจะเป็นผู้รับการนิเทศในอีกเรื่องหน่ึง ครูผู้รับการนิเทศ
อาจจะเปน็ ครบู รรจุใหม่ ครูที่มปี ัญหาในการการจัดการเรยี นการสอน ต้องแสดงบทบาทดงั น้ี

1) ร่วมกบั ผู้นิเทศวิเคราะห์ปญั หาทก่ี าลังเผชิญอยู่
2) วางแผนร่วมกบั ผู้นเิ ทศ เพ่ือหาทางแกไ้ ขปญั หาน้ันๆ รับฟังความคดิ เห็นและขอ้ เสนอแนะ แลว้ นาไป
ปฏบิ ัติทาโครงการเพื่อแก้ไขปญั หา
3) ลงมอื ปฏิบัติ หรือดาเนินการตามโครงการ ต้ังใจปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็ม
ความสามารถ
. 4) ร่วมปรกึ ษากับครูผู้นเิ ทศในการหาแนวทางแก้ปญั หาและพัฒนางานในโรงเรยี น
5) รว่ มกบั ผู้นเิ ทศประเมนิ ผลการปฏบิ ตั งิ าน
6) เปน็ ผูท้ ่ใี ฝห่ าความรู้ พยายามเสริมสร้างทกั ษะและความสามารถในการปฏิบัตงิ าน เพอ่ื ใหเ้ กิดเจตคติ
ท่ีดตี อ่ การพฒั นาวชิ าชพี

โครงสรา้ งงานนิเทศภายในโรงเรียน

การดาเนินงานนเิ ทศภายในโรงเรียนอย่างเปน็ ระบบจาเป็นตอ้ งมกี ารจดั โครงสร้างหรือสายงานที่ชัดเจน
เพอ่ื ใหผ้ ้ทู ่มี ีหน้าทร่ี บั ผดิ ชอบดูแลเก่ยี วกบั การนิเทศภายในประสานงานได้อยา่ งถูกตอ้ ง มีการกาหนดภาระหน้าที่ที่
จะต้องปฏบิ ตั ิ รวมทง้ั การวางแผนการนเิ ทศ กากบั ตดิ ตามการดาเนินงานนิเทศใหเ้ ป็นไปตามแผนและวตั ถปุ ระสงค์
ทวี่ างไว้ ในการจัดโครงสรา้ งงานนเิ ทศภายในโรงเรียนอาจจะมีความแตกต่างกัน ท้ังนี้ข้ึนอยู่กับบริบทของแต่ละ
โรงเรยี น จานวนครู ขนาดของโรงเรยี น เป็นตน้ รปู แบบการจัดโครงสรา้ งงานนเิ ทศภายใน ส่วนใหญ่จะมีการจัด 3
รูปแบบ ดังน้ี

9

รปู แบบท่ี 1

ผอู้ านวยการโรงเรียน

คณะกรรมการนเิ ทศภายใน

กลุ่มบรหิ ารงาน กล่มุ บรหิ ารงาน กลมุ่ บริหารงาน กลุม่ บริหาร
วชิ าการ ทั่วไป บคุ ลากร งบประมาณ

การจัดโครงสรา้ งในรูปแบบที่ 1 สามารถนาไปปรับใช้กับโรงเรียนทุกขนาด คณะกรรมการนิเทศภายใน

เป็นงานท่ขี ึน้ ตรงกับผู้อานวยการ ทาการนิเทศทุกกลุ่มงาน โดยคณะกรรมการจะประกอบตัวแทนบคุ ลากรจากทุก

กลุ่มงาน คณะกรรมการสถานศึกษาซ่ึงเป็นฝ่ายสนับสนุนการบริหารงานโรงเรียนควรจะมีบทบาทเป็นท่ีปรึกษา

คณะกรรมการประกอบดว้ ยบคุ ลากรต่างๆดงั นี้

คณะกรรมการสถานศกึ ษา ทป่ี รึกษา

ผอู้ านวยการโรงเรยี น ประธานกรรมการ

รองผู้อานวยการทุกกลุม่ งาน รองประธาน

หัวหนา้ กล่มุ สาระฯ กรรมการ

หัวหนา้ งานของแตล่ ะกลุ่ม กรรมการ

ครูผู้นเิ ทศที่ไดร้ บั การแต่งต้งั กรรมการ

10

รูปแบบที่ 2

ผู้อานวยการโรงเรยี น

รองผู้อานวยการ รองผู้อานวยการ รองผอู้ านวยการ รองผ้อู านวยการ
กลุ่มบริหารงาน กลุ่มบรหิ ารงานทั่วไป กลุม่ บริหารงาน กลุ่มบรหิ าร
งบประมาณ
วชิ าการ งานตา่ งๆในกลมุ่ บุคลากร
งานตา่ งๆในกลมุ่
งานต่างๆในกลมุ่ งานต่างๆในกลมุ่

งานนิเทศภายใน

โครงสรา้ งในรูปแบบท่ี 2 จะจดั ให้งานนเิ ทศภายในเป็นหนว่ ยงานที่ขึ้นตรงกับกลุ่มบริหารงานวิชาการ แต่
ภารกิจยงั ตอ้ งจัดการนิเทศทกุ ฝ่ายในโรงเรียน การจัดตัง้ คณะกรรมการนเิ ทศจะประกอบด้วย

ผู้อานวยการโรงเรียน ประธานทป่ี รกึ ษา
รองผู้อานวยการกลุ่มบรหิ ารวิชาการ ประธานคณะกรรมการ
รองผู้อานวยการกลุ่มอนื่ ๆ รองประธาน
หัวหนา้ กลุ่มสาระฯ กรรมการ
ตวั แทนหวั หน้างานจากทกุ กลุ่มงาน กรรมการ
ครูผนู้ เิ ทศท่ไี ดร้ ับการแต่งต้ัง กรรมการ

11

รูปแบบท่ี 3

ผอู้ านวยการโรงเรียน

รองผู้อานวยการ รองผู้อานวยการ รองผูอ้ านวยการ รองผอู้ านวยการ
กลมุ่ บรหิ ารงานวชิ าการ กลมุ่ บริหารงานทั่วไป กลมุ่ บริหารงานบคุ ลากร
กลมุ่ บรหิ ารงบปะมาณ

คณะกรรมการ คณะกรรมการ คณะกรรมการ คณะกรรมการ
นเิ ทศ นเิ ทศ นเิ ทศ นิเทศ

งานตา่ งๆใน งานต่างๆใน งานต่างๆใน งานตา่ งๆใน
กลุ่ม กลุ่ม กลมุ่ กลมุ่ กล่มุ

โครงสร้างในรูปแบบท่ี 3 เหมาะสาหรับโรงเรียนที่มีขนาดใหญ่หรือขนาดใหญ่พิเศษ ในแต่ละกลุ่มงานมี

หนว่ ยงานย่อยหลายงาน มีครูท่ีช่วยงานกลุ่มจานวนมาก การจัดตั้งคณะกรรมการนิเทศ แต่ละกลุ่มจะจัดต้ังเอง

กิจกรรมนิเทศอาจจะมีความหลากหลายแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะงานของแต่ละกลุ่ม การจัดโครงสร้าง

ลกั ษณะนีส้ ง่ ผลต่อประสทิ ธิภาพในการทางานสูงเพราะนิเทศเฉพาะในกลุม่ งาน การแก้ปญั หา ใหค้ าปรึกษาแนะนา

การกากับติดตาม จะทาไดร้ วดเร็ว จุดอ่อนของการจดั โครงสรา้ งลักษณะนค้ี อื กจิ กรรมนเิ ทศของแต่ละกลมุ่ อาจจะ

มีความซา้ ซ้อนกนั การแยกกนั ทาอาจจะทาให้ส้ินเปลืองงบประมาณ จะต้องมีการประสานงานแต่ละกลุ่มในการ

วางแผนการนเิ ทศเพือ่ ใหเ้ กดิ การบรู ณาการ ในส่วนนอ้ี าจจะมอบหมายให้งานแผนงานโรงเรยี นเปน็ ผูห้ ลอมกจิ กรรม

นิเทศให้เป็นภาพรวมของโรงเรยี น การจดั ตง้ั คณะอนกุ รรมการของแตล่ ะกลมุ่ อาจจะประกอบดว้ ย

รองผอู้ านวยการกลมุ่ ประธานกรรมการ

ผชู้ ว่ ยรองฯ รองประธาน

หวั หน้างาน กรรมการ

ครผู ูน้ เิ ทศทีไ่ ด้รับการแต่งตงั้ กรรมการ

จากการนาเสนอโครงสรา้ งการจัดการนเิ ทศภายในโรงเรียนทั้ง 3 รูปแบบ แต่ละรูปแบบจะมีการบริหาร

จดั การแตกตา่ งกัน สง่ิ ที่ควรจะคานงึ ถึงในการจดั รปู แบบใดก็ตามคอื การกาหนดภาระหน้าที่ มีผู้รับผิดชอบงานที่

12

ชดั เจน รปู แบบใดจะเหมาะสมกบั โรงเรยี นใดขึ้นอย่กู ับบรบิ ทของแตล่ ะโรงเรียน จานวนของคณะกรรมการขึ้นอยู่
กับความเหมาะสมกบั ปรมิ าณงานและจานวนครใู นโรงเรยี น โครงสร้างการนเิ ทศภายในโรงเรยี นเปน็ องคป์ ระกอบที่
สาคญั อยา่ งหนง่ึ ท่ีจะทาใหก้ ารจดั การนเิ ทศภายในเป็นรูปธรรม ชัดเจนทาให้เกิดประสทิ ธภิ าพในการปฏิบตั ิงาน

กระบวนการนิเทศภายใน

1. การศกึ ษาสภาพความต้องการการนเิ ทศภายในโรงเรียน
การศกึ ษาสภาพปจั จุบัน ปัญหาและความต้องการจาเป็น เป็นการค้นหาข้อมูลซึ่งเป็นปัญหาหรือส่ิงที่ยัง

บกพร่องทีท่ าใหง้ านไม่บรรลตุ ามเปา้ หมายทีต่ ้องการ ซงึ่ จะต้องหาออกมาให้ไดว้ า่ ปัญหาหรอื ขอ้ บกพรอ่ งใด มคี วาม
จาเป็นทีต่ ้องหาทางแก้ไขปรบั ปรงุ และการศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการจาเป็นของโรงเรียนใช้
เปน็ องคป์ ระกอบในการจัดทาโครงการปฏบิ ัตงิ าน รวมถึงโครงการการจดั การนเิ ทศภายในโรงเรยี น

วิธกี ารศกึ ษาสภาพปัจจบุ นั และหาความตอ้ งการจาเปน็ อาจใช้วธิ ีการตา่ ง ๆ ดังน้ี
1) ศกึ ษาโดยวธิ ีการวจิ ัย
2) ศกึ ษาโดยวธิ กี ารประเมินหรือสอบถามความตอ้ งการการนเิ ทศของครู
3) ศึกษาโดยวธิ ปี ระชมุ สัมมนาเพ่อื คน้ หาปัญหาตา่ ง ๆ

การใชว้ ิธกี ารต่าง ๆ อาจเลอื กใช้วธิ ใี ดวธิ ีหนงึ่ หรอื หลายวิธีรว่ มกนั กไ็ ด้ สง่ิ ทค่ี วรคานึงในข้ันตอนน้ีคือ การ
จดั ทาขอ้ มลู ใหเ้ ป็นรปู ธรรมชัดเจนเพ่อื โรงเรยี นหรอื ครเู กดิ ความตระหนกั ถึงความตอ้ งการจาเป็นนั้น โรงเรียนควร
จัดนโยบาย ทศิ ทางการจดั การศึกษาและความคาดหวงั ของหนว่ ยงานต้นสงั กัดที่ต้องการให้โรงเรียนได้ปฏิบัติเป็น
สิ่งที่สาคญั ยงิ่

2. การวางแผนการนิเทศ
2.1. ขน้ั กอ่ นการวางแผน จดั ประชมุ คณะครูและคณะกรรมการสถานศกึ ษาของโรงเรยี น ผู้เกยี่ วขอ้ งตามที่

โรงเรียนเหน็ สมควร เพอ่ื เสนอผลการจัดการศกึ ษาของโรงเรยี นในรอบปีท่ีผ่านมา สรุปความคิดเห็นของผู้เข้าร่วม
ประชุมเกี่ยวกับแนวทางการศึกษาของโรงเรียนในปีการศึกษาต่อไป แต่งต้ังคณะทางานจัดทาแผนปฏิบัติการ
ประจาปีของโรงเรียน ซึ่งควรประกอบด้วยรองผู้อานวยการแต่ละฝ่าย หัวหน้างาน หัวหน้ากลุ่มสาระการเ รียนรู้
และผทู้ ม่ี คี วามรใู้ นงานแตล่ ะอยา่ งของโรงเรียนเปน็ อย่างดี

2.2. ขน้ั การวางแผนงาน คณะทางานตอ้ งมีการเตรียมการวางแผนโดย

13

2.2.1 ศึกษาวิเคราะห์นโยบายและมาตรฐาน ตัวบ่งช้ีของกระทรวงศึกษาธิการ สานักงาน
คณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน เขตพนื้ ที่การศกึ ษา เป็นตวั ตงั้

2.2.2 ศึกษาวิเคราะห์สภาพปจั จบุ นั ผลการจัดการศกึ ษา สารสนเทศของโรงเรียน
2.2.3 นาข้อ 2.2.1 กับข้อ 2.2.2 มาเปรียบเทียบกัน ถ้าตรงกันก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่ตรงกันก็ควร
ได้รับการแก้ปัญหา ซึ่งต้องวางแผนและจัดให้มีโครงการเพื่อแก้ปัญหาหรือปรับปรุง เม่ือพบปัญหาก็ต้องตั้ง
วตั ถุประสงค์ท่ตี ้องการ แล้วพจิ ารณาทางเลอื กท่จี ะใชแ้ กป้ ัญหา ตง้ั เปา้ หมายว่าจะเอาด้านปริมาณเท่าไร และด้าน
คุณภาพจะต้องการอย่างไร แล้วกาหนดนโยบายท่ีจะใช้แก้ปัญหาพร้อมมาตรการกากับนโยบายด้วย แล้วจึง
พิจารณาว่าจะเขียนโครงการและกิจกรรมเพ่ือจะแก้ปัญหานั้นอย่างไร นาโครงการมาจัดพิมพ์เป็นเล่ม (คือ
แผนปฏิบัติการ) แล้วนาเสนอผู้บริหารให้พิจารณาและอนุมัติต่อไป นอกจากน้ีในการวางแผนการนิเทศภายใน
โรงเรยี นควรวางแผนในดา้ นตา่ ง ๆ ดังนี้

1) การปฏบิ ตั งิ าน
2) การจัดระบบสายงาน
3) การวางแผนเตรยี มการดาเนินงาน
4) การประเมินผลและกาหนดวธิ กี ารประเมนิ ผล
ในการวางแผนการนเิ ทศภายในโรงเรยี น ควรไดก้ าหนดขนั้ ตอนในการวางแผนไว้ ดังนี้
1) เตรียมจัดทาแผน
2) จดั ทาแผน กาหนดงาน/โครงการ
3) ปฏบิ ัติตามแผนหรอื ดาเนนิ การตามโครงการทกี่ าหนด
4) ประเมินงาน/โครงการ
เพอ่ื ให้การวางแผนการนิเทศภายในโรงเรยี นประสบความสาเร็จควรดาเนินการ ดังตอ่ ไปนี้
1) มกี ารประชุมผเู้ กี่ยวขอ้ ง เพื่อจัดทาโครงการ
2) ควรมกี ารกาหนดวธิ กี ารเป็นขน้ั ๆ หรือกิจกรรมท่ตี ้องทา
3) ควรกาหนดช่วงเวลาในการปฏิบตั ิงาน กาหนดเวลาของแตล่ ะกจิ กรรม
4) กาหนดงบประมาณ วัสดอุ ุปกรณ์ เคร่ืองมอื และสง่ิ อานวยความสะดวก
5) กาหนดแนวทางในการติดตามผล ประเมนิ ผล และรายงานผล

14

3. การสร้างสอ่ื และเคร่อื งมือเพ่ือการนเิ ทศ

การสรา้ งสือ่ เพ่อื การนเิ ทศเปน็ ปัจจัยสาคัญอยา่ งยง่ิ ท่ีผนู้ เิ ทศจาเปน็ ตอ้ งคานึงถึงควบคู่ไปกับเทคนิคหรือ
วิธีการนิเทศ การนิเทศในแต่ละรูปแบบ วิธีการจะต้องมีการใช้ส่ือหรือเคร่ืองมือต่างๆเพื่อให้การนิเทศเกิด
ประโยชน์และกระทาไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ ส่อื และเครื่องมือในการนิเทศมีความสาคัญต่อการนิเทศเช่นเดียวกับ
ส่อื การเรยี นการสอนทม่ี ีความสาคญั อย่างย่งิ ในการจดั การเรยี นการสอนของครู

การสร้างสื่อและเครื่องมือเพ่ือการนิเทศ ผู้นิเทศต้องมีความรู้ ความเข้าใจในการสร้างและการใช้ให้
เหมาะสมกับกิจกรรมนิเทศท่ีนามาใช้กับครู เพราะส่ือจะเป็นตัวกลางหรือช่องทางในการถ่ายทอดองค์ความรู้
ทักษะ ประสบการณจ์ ากแหล่งความรู้หรือจากผู้นิเทศไปสูผ่ รู้ ับการนเิ ทศ

ประเภทของสอ่ื ทใ่ี ชใ้ นการนเิ ทศ
1. สื่อประเภทสงิ่ ตีพมิ พ์ (Printed Materials) ไดแ้ ก่ สิง่ พมิ พ์ เอกสาร ตาราและคู่มือการฝกึ ปฏบิ ัติ
2. สอ่ื ประเภททัศนวสั ดุ ( Visual Materials)ได้แก่ ของจรงิ หนุ่ จาลอง รูปภาพ ภาพน่งิ แผนภมู ิ
3. สอื่ ประเภทโสตทศั นวสั ดุ ( Audio Visual Materials) วทิ ยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ YouTube
4. ส่อื ประเภทคอมพิวเตอร์ (Computer Materials) ได้แก่ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) การนาเสนอ

ดว้ ยคอมพวิ เตอร์ (Computer presentation) หนังสืออเี ลก็ ทรอนิค (E-Book) การใช้อินเตอร์เน็ต อีเมลเ์ ป็นต้น
สอ่ื การนิเทศนบั วา่ เป็นสง่ิ สาคญั ในการเรยี นร้เู นอ่ื งจากเปน็ ตวั กลางในการถา่ ยทอดเนื้อหาจากผูน้ ิเทศไป

ยงั ผรู้ ับการนเิ ทศ หรือเปน็ สิ่งใหผ้ รู้ บั การนิเทศไดเ้ รียนรูด้ ้วยตนเอง เชน่ เดียวกับสื่อการสอนที่นามาใช้ประโยชนไ์ ด้
ทัง้ กบั ผู้เรยี นและผสู้ อน

เครือ่ งมือนิเทศ
1. แบบสังเกตการสอน (Teaching Observation Form) เป็นเคร่ืองมือสาคัญที่ผู้นิเทศจาเป็นต้องมี

ความรคู้ วามเขา้ ใจในการสร้างการใช้ใหถ้ ูกต้อง ถ้าผู้นเิ ทศขาดเครือ่ งมอื สงั เกตการสอนที่ดี หรือถ้ามีแต่ขาดความรู้
ในการใชก้ ็จะทาให้กระบวนการของการสงั เกตการสอนเกดิ ความลม้ เหลวทนั ที แบบสังเกตการสอนช่วยให้ผู้นิเทศ
การสอนสามารถสังเกตและรวบรวมพฤติกรรมการสอนทีเ่ กิดข้นึ ในห้องเรยี นไดอ้ ยา่ งท่ัวถงึ และแม่นยามากข้ึน เพื่อ
จะนามาสกู่ ารวิเคราะห์พฤติกรรมเหล่านั้นได้อย่างเท่ียงตรง เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาทักษะในการสอนของ
ครผู ูส้ อนต่อไปได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ

15

ลักษณะของเครื่องมอื สังเกตการสอน
- เครื่องมือสงั เกตการสอนทค่ี รูและผู้นเิ ทศรว่ มมอื กันสร้างข้นึ มา
- เครื่องมอื มาตรฐาน (Standardize Instruments)
- เครื่องมอื ลักษณะใชว้ ิธกี ารจดบันทึก (Hand Recording)
- เครือ่ งมอื สังเกตการสอนอยา่ งเปน็ ระบบ(Systematic Observation)
- การใชเ้ ครอ่ื งบันทกึ ภาพ บนั ทกึ เสียง

2. แบบสอบถาม (Questionnaire) เปน็ เครอื่ งมือทนี่ ยิ มใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเช่น การประเมิน
การอบรม การสอบถามความตอ้ งการนิเทศ การสอบถามความคิดเห็นทางการนเิ ทศ ฯลฯ แบบสอบถามท่ีดี ต้อง
ใช้ภาษาทด่ี ี เขา้ ใจงา่ ย มรี ูปแบบทนี่ า่ สนใจ แบบสอบถามจาแนกได้ 2 ชนิดคอื

1) แบบสอบถามปลายเปิด (Open Ended Questionnaire) เป็นแบบสอบถามทก่ี าหนดคาถาม
แล้วไม่มีคาตอบใหเ้ ลอื ก ผูต้ อบสามารถเขียนตอบตามความต้องการ เช่น ข้อคิดเหน็ เพ่มิ เตมิ เป็นต้น

2) แบบสอบถามปลายปิด (Close Ended Questionnaire) เปน็ แบบสอบถามท่ีกาหนดคาถามและ
มีคาตอบให้เลอื ก โดยแบง่ เป็นแบบตรวจสอบรายการ (Checklist) และแบบประเมนิ คา่ (Rating Scale)

3. แบบสัมภาษณ์ (Interview) เป็นเคร่ืองมือท่ีใช้ในการรวบรวมข้อมูลในลักษณะท่ี ผู้นิเทศมีโอกาส
พบปะพูดคยุ กบั ครู เป็นการสนทนาแบบมจี ดุ มงุ่ หมายที่แนน่ อน อาจจะทาแบบเป็นทางการหรอื ไม่เปน็ ทางการกไ็ ด้
การสมั ภาษณ์แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทคอื

1) การสัมภาษณ์แบบไม่มโี ครงสรา้ งแน่นอน (Unstructured Interview) ใช้ในกรณีที่ต้องการข้อมูล
แนวลกึ รายละเอียดมาก ในแบบสัมภาษณ์จะมีแต่หัวข้อใหญ่ๆ การต้ังคาถามอยู่ที่ผู้สัมภาษณ์เอง ดังนั้นการตั้ง
คาถามของผสู้ มั ภาษณ์แต่ละคนอาจจะแตกตา่ งกนั ไปตามสถานการณ์หรอื ขอ้ มูลทไ่ี ดใ้ นขณะที่สมั ภาษณ์

2) การสมั ภาษณแ์ บบมโี ครงสร้าง (Structure Interview) มลี กั ษณะคล้ายแบบสอบถาม ผู้สัมภาษณ์
จะกาหนดรายละเอยี ดของคาถามทต่ี อ้ งการ ผู้สมั ภาษณ์ทกุ คนจะถามคาถามทเี่ หมือนๆกนั

4. การสงั เกต (Observation) เปน็ กระบวนการเก็บขอ้ มลู โดยการบันทึกพฤตกิ รรมของผู้เข้าร่วมกิจกรรม
เชน่ การสงั เกตการเข้าร่วมกจิ กรรมในการอบรมของครู การสังเกตพฤติกรรมในการส่ือสารของครู เป็นต้น การ
สังเกตมี 3 ประเภทคือ

1) การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant Observation)

16

2) การสงั เกตแบบไม่มสี ่วนร่วม (Non-participant Observation)
3) การสังเกตแบบก่งึ มีสว่ นร่วม (Quasi-participant Observation)
การสร้างส่ือและเครื่องมือนิเทศผู้นิเทศควรมีความรู้ในการหลักการสร้างและข้ันตอนของการสร้าง
เครอ่ื งมือ มที กั ษะในการใชห้ รือร้จู กั เลอื กใช้เคร่อื งมอื ทม่ี อี ยูแ่ ลว้ ให้เหมาะสมกบั คุณลกั ษณะของพฤตกิ รรมการสอน
การทางานของครูเพื่อประโยชนส์ ูงสดุ ในการนิเทศ

4. การปฏิบัตกิ ารนิเทศ

การดาเนินการตามแผนและโครงการ เป็นการทาโครงการนเิ ทศทไ่ี ดร้ ับการอนุมัติ ให้ดาเนินการได้แล้ว
ไปสูก่ ารปฏิบัติ เพอ่ื ใหเ้ กิดผลตามวตั ถปุ ระสงคข์ องโครงการท่ีตั้งไว้ ในการดาเนนิ การผู้รับผิดชอบควรจะแบ่งการ
ดาเนินงานออกเป็น 3 ตอนคือ

4..1 การเตรยี มการ การดาเนินงานในข้นั เตรียมการแบ่งออกเปน็ 2 ตอนคือ
ตอนท่ี 1 การจัดทารายละเอียดในการปฏบิ ตั ิงาน หมายถึง การกาหนดงานย่อยที่ต้องปฏิบัติใน

แตล่ ะขน้ั ตอนวิธกี ารดาเนินงาน เพ่ือให้ทราบว่ามีงานย่อยอะไรบ้างที่จะต้องปฏิบัติ ระยะเวลาในการดาเนินการ
และผู้รับผิดชอบ เพ่ือความสะดวกในการปฏิบัติงานแล้ว ยังสามารถทาให้การควบคุมกากับ ติดตามผลการ
ปฏิบัตงิ านเป็นไปได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพย่ิงขึน้ อกี ดว้ ย หากพบปัญหา อุปสรรคอย่างไรก็จะสามารถนาไปปรับปรุง
แกไ้ ขการปฏิบัติงานในขณะนั้นและใช้เป็นแนวจัดทารายละเอียดของโครงการอื่น ๆ อีกต่อไป ในทางปฏิบัตินั้น
พบวา่ บางงานหรือกลุ่มสาระการเรียนรู้อาจมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นรับผิดชอบในการจัดทารายละเอียดของ
โครงการหรอื จะมอบหมายให้ผรู้ ับผดิ ชอบโครงการเป็นผู้จัดทาเองได้

ตอนที่ 2 การประสานงานกับผู้เก่ียวข้องในการดาเนินงาน หลังจากได้รายละเอียดในการ
ปฏบิ ตั ิงานในแต่ละข้ันตอนมาแล้ว ผรู้ ับผดิ ชอบโครงการควรจะไดน้ ารายละเอยี ดดังกลา่ วมาสารวจอกี ครง้ั หนง่ึ เพ่ือ
แต่งตั้งบุคลากรเหล่านั้นเข้ากับกลุ่มงานท่ีระบุไว้เสร็จแล้วให้จัดทาคาสั่งแต่งต้ังคณะกรรมการดาเนินการของ
โครงการ การประสานงานกบั ผเู้ กยี่ วข้องทั้งตามท่ีระบุไว้ในคาส่ังแต่งตั้ง และท่ีระบุไว้ในการจัดทารายละเอียด
เพอื่ ให้ผเู้ กี่ยวขอ้ งเหล่านน้ั ได้เตรียมตวั และหาทีมงาน ในการดาเนินงานตามโครงการต่อไปและหากมีการประชุม
เพอื่ ปรึกษาหารอื เพอื่ เตรยี มงานกค็ วรให้กลมุ่ ผูร้ บั ผดิ ชอบแต่ละงานไดช้ ี้แจงงานให้ทกุ คนไดท้ ราบตลอดจนขอความ
รว่ มมอื ในการปฏิบัติงานตอ่ ไป

17

4.2. การลงมอื ปฏบิ ตั ิ
ในข้ันตอนการลงมอื ปฏบิ ัติตามโครงการนี้มีการดาเนนิ งานท่ีเกย่ี วข้องอยู่ 4 ลักษณะคอื
4.2.1 การปฏิบตั งิ านตามทกี่ าหนดไว้
การปฏิบัติตามรายละเอียดท่ีกาหนดไว้ โดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลท่ีได้รับมอบหมายให้

ปฏบิ ัติงานย่อยทร่ี ะบุไวใ้ นแตล่ ะขน้ั ตอน เพือ่ ใหก้ ารดาเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามวัตถุประสงค์ของ
โครงการ ในการดาเนินงานตามขั้นตอนนี้ผู้รบั ผดิ ชอบมอี สิ ระในการใช้ความร้คู วามสามารถและความคดิ สร้างสรรค์
ของตนเองและคณะในการดาเนินงานอยา่ งเตม็ ความสามารถ เน่ืองจากดาเนินการตามขั้นตอนน้ี เป็นการทางาน
ร่วมกับคนหลายฝา่ ย “การเสริมสรา้ งขวญั และกาลงั ใจ” จงึ เป็นเรอื่ งสาคญั ย่งิ

4.2.2 การติดตาม ควบคุมและกากับงาน
ในการดาเนนิ งานการปฏบิ ัติงาน การตดิ ตาม ควบคุมและกากับงาน มีจุดหมายสาคัญเพ่ือ

ตดิ ตามดแู ลและช่วยเหลือสนับสนนุ ใหก้ ารปฏบิ ตั ิงานเปน็ ไปตามแผน/โครงการทกี่ าหนดไว้ รวมทงั้ ช่วยแกไ้ ขปัญหา
อุปสรรคต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงของการปฏิบัติงาน ในขณะเดียวกันก็จะเป็นการรวบรวมข้อมูลเพ่ือการ
ประเมนิ โครงการ เพื่อทราบสถานการณ์ ประสทิ ธิภาพในการดาเนนิ งานและปัญหาอุปสรรคท่ีเกิดขึ้นและกาหนด
วิธีการแกไ้ ขปรับปรุงต่อไป

4.2.3 การประสานสมั พนั ธ์
การประสานสมั พันธ์ หมายถงึ การเก่ียวข้องระหว่างบุคคล การมองเห็นคุณค่าของบุคคล

และการเอาใจใสซ่ ึง่ กนั และกัน โดยปกติการประสานสัมพนั ธใ์ นโรงเรยี นจะมอี ยู่ 3 แบบ
1) การประสานสมั พันธร์ ะหวา่ งบุคคล หมายถึง การประสานงานกนั อย่างใกล้ชดิ มากที่สุด

ระหวา่ งเพ่ือนตอ่ เพ่อื น ระหว่างเพอ่ื นรว่ มงานตอ่ เพือ่ นรว่ มงาน เป็นการทางานกับเพื่อนที่ใกล้ชิดท่ีสุดในโรงเรียน
และจะเป็นการตอบสนองความต้องการทางความสัมพนั ธร์ ะหว่างบคุ คลไดม้ ากที่สุด

2) การประสานสัมพันธ์ระหว่างตาแหน่ง หมายถึง การประสานงานกันระหว่างผู้บริหาร
และครูอาจารย์ ภายในโรงเรียนทกุ คน การประสานสมั พนั ธ์ระหว่างตาแหนง่ มักจะมาควบคูก่ ันระหว่างงานบริหาร
กบั ความสมั พนั ธ์ทดี่ ตี อ่ กนั หรอื งานนิเทศน่ันเอง

3) การประสานสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารกับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา การประสานสัมพันธ์
ระหว่างตาแหน่ง อาจจะสาคัญมากท่ีสุดต่อประสิทธิภาพของการบริหารของโรงเรียน แต่การประสานสัมพันธ์

18

ระหว่างผู้บริหารกับผู้ใต้บังคับบัญชาก็มีความสาคัญมากเช่นกัน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับ
ผใู้ ต้บังคับบญั ชาท่มี ีความมัน่ คงจะมีความสาคัญตอ่ การดาเนนิ งานของโรงเรยี นอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ

4.2.4 การเสริมสร้างขวัญและกาลังใจแกผ่ ู้ปฏบิ ัตงิ าน
ขวัญหรือกาลังใจ หมายถึง สภาพจิตใจและอารมณ์ ซ่ึงมีผลกระทบต่อความต้ังใจในการ

ทางาน ผลกระทบน้ันอาจเกิดขึ้นกบั บคุ คลหรือองค์การ ขวัญและกาลังใจท่ีดีจะเพ่ิมพลังการทางานให้สูงข้ึนด้วย
เหตทุ ่กี ารสรา้ งขวัญและกาลงั ใจ มิใชจ่ ะกระทาขึน้ ไดใ้ นเวลาอนั รวดเรว็ ผทู้ าหน้าท่ีนิเทศจงึ ต้องถอื เป็นหนา้ ทีส่ าคญั
ประการหนง่ึ ที่จะต้องเสริมให้ผรู้ ับการนเิ ทศมขี วญั และกาลงั ใจท่ดี อี ยเู่ สมอโดยอาศัยทักษะเชิงมนุษย์ ซ่ึงเป็นเรื่อง
เก่ียวกับมนุษย์สัมพันธ์และการจูงใจสาหรับแนวทางการเสริมสร้างขวัญและกาลังใจนั้นทาได้หลายลักษณะ
ดงั ต่อไปน้ี

- ปฏบิ ตั ติ นเป็นเพ่อื นร่วมงานและท่ีปรกึ ษาทดี่ ี
- เปดิ โอกาสให้สมาชกิ ไดแ้ สดงความคดิ เหน็ เกีย่ วกับเรอ่ื งตา่ ง ๆ โดยเฉพาะเรือ่ งงานทจี่ ะตอ้ ง
ปฏิบัตริ ่วมกัน
- สร้างบรรยากาศท่ดี ีในการทางาน
- จัดบาเหนจ็ ความดีความชอบในโอกาสทเ่ี หมาะสม
- สรา้ งการยอมรบั ในความสาเรจ็ ของการปฏิบัตงิ าน
4.2.5 การรายงานผลการปฏิบัติงาน
เป็นการรายงานผลการปฏิบัติงานระหว่างการดาเนินงาน และเมื่อส้ินสุดการดาเนินงาน
แลว้ ในการรายงานผลการปฏบิ ตั ิงานนัน้ อาจจะกระทาไดใ้ น 2 ลักษณะคือ การรายงานผลการปฏิบัติงานระหว่าง
การดาเนิน งาน และเมือ่ ส้นิ สุดการดาเนินงานแลว้

5. การประเมินผลและรายงานผลการนเิ ทศ

การประเมินผลมงุ่ การประเมนิ โครงการนเิ ทศภายในโรงเรียนทัง้ ในระดับโรงเรยี น กลุ่มงานและกลุ่มสาระ
การเรยี นรู้ โดยมีความม่งุ หมาย เพื่อ

1. ตรวจสอบความกา้ วหน้าของโครงการ
2. พิจารณาผลสัมฤทธ์ขิ องโครงการว่ามมี ากน้อยเพยี งใด
3. พิจารณาวา่ โครงการที่ได้ดาเนินไปแลว้ ไดผ้ ลตามจดุ ประสงคห์ รอื ไม่

19

4. ทาให้ผบู้ รหิ ารไดท้ ราบผลการปฏิบัติงานเพ่ือจะได้ดาเนินการส่งเสริมจุดเด่นและแก้ไข ปัญหาในจุด
ดอ้ ยของโครงการได้อย่างทันท่วงที

ดังน้นั การประเมินโครงการจงึ จัดขน้ึ เพ่อื วตั ถปุ ระสงคท์ ีส่ าคัญคือ ประเมินโครงการไปปรับปรงุ การบริหาร
โครงการให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และนาผลการประเมินนั้นเสนอผู้บริหาร เพ่ือช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจเร่ืองที่
เกี่ยวข้องไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง ในการประเมนิ โครงการ ควรเลอื กใชว้ ธิ ีการดงั ต่อไปนี้

1. การตรวจสอบผลงาน
2. การตรวจสอบความสอดคล้องในการดาเนินงานตามโครงการ
3. พิจารณาประสิทธิภาพการปฏบิ ัติงานของผรู้ ับผิดชอบโครงการ
4. พจิ ารณาคณุ ภาพและปรมิ าณงานทป่ี รากฎ
5. พิจารณาเวลาทีใ่ ชใ้ นการปฏบิ ตั ิการ
6. พจิ ารณางบประมาณทีใ่ ช้ในโครงการ
การประเมินผลโครงการแบ่งออกเปน็ 3 ลักษณะคือ
1. การประเมินผลก่อนเร่ิมโครงการ หมายถึง การประเมินส่ิงท่ีเกี่ยวข้องกับนโยบายของสานักงาน
คณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน การประเมนิ ความต้องการจาเปน็ ของครู การวิเคราะห์ปญั หาที่เกดิ ขึน้ จากการ
เรียนการสอน การทางาน รวมทัง้ การประเมนิ ทรพั ยากรส่ิงนาเข้า หรือทางเลอื กในการจัดทาโครงการ
2. การประเมินผลระหวา่ งการดาเนินการ หมายถึง การประเมินผลเพ่ือการปรับปรุงงาน การจัดระบบ
ติดตามงาน หรอื การจดั ทารายงานความก้าวหนา้ เปน็ การเปรยี บเทียบผลของการปฏิบัติจริงหรือการเปรียบเทยี บ
ผลนาเข้า รวมกับวิธีการดาเนินงานกับเกณฑท์ ี่ตงั้ ไวใ้ นโครงการว่า มคี วามสอดคลอ้ งกนั หรือแตกต่างกันอยา่ งไร
3. การประเมนิ ผลหลงั การดาเนนิ การ ได้แก่ การประเมินผลสรปุ เพ่อื ดวู า่ การดาเนินงานไดผ้ ลตามความมุง่
หมายหรอื ไมแ่ ละมผี ลกระทบตอ่ ส่ิงแวดลอ้ มอย่างไร อนั อาจรวมทง้ั การติดตามผลของโครงการในระยะยาวด้วยก็
ได้โดยเปรียบเทียบผลผลิตทค่ี าดหวงั กับผลทเ่ี กดิ ข้นึ จรงิ ขอ้ มูลทไ่ี ด้จากการประเมินจะแสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสัมพันธ์
ระหว่างผลท่ีได้กบั จดุ ประสงค์ของโครงการ สว่ นประกอบแวดล้อมปจั จัยนาเข้าโดยกระบวนการโดยทว่ั ไปแล้วการ
ประเมินผลสรปุ ของโครงการจะใหข้ ้อมลู ตัดสนิ ใจในเร่ืองต่อไปนี้

- ประสิทธผิ ลของโครงการ
- คา่ ใช้จา่ ยของโครงการ

20

- ผลกระทบของโครงการ
- การเปรียบเทยี บประสิทธผิ ลของการลงทนุ กบั งานลกั ษณะทเี่ ทยี บกนั ได้
- ข้อเสนอแนะเพอื่ การยตุ ิ การดาเนินการชา้ หรอื ปรบั ปรุงโครงการ

เทคนิคการนเิ ทศภายในโรงเรียน

เทคนคิ การนเิ ทศมหี ลายวธิ ีการ แต่ละวิธมี ีการเผยแพรใ่ นแต่ละยุคสมัยท่ีแตกต่างกันข้ึนอยู่กับจุดเน้นของ
การศกึ ษาในแต่ละยคุ ปัจจุบนั แนวโน้มของการนิเทศการศกึ ษาม่งุ เนน้ ใหม้ ีการนิเทศภายในโรงเรยี นมากข้นึ เพือ่ ให้
โรงเรียนสามารถพ่งึ พาตนเองไดจ้ ากศักยภาพของครูในโรงเรียนท่ีมีความรู้ความสามารถมากขึ้น ดังน้ันการเลือก
รูปแบบ วิธีการ และกิจกรรมนิเทศให้เหมาะสมกับการนิเทศภายในโรงเรียนจึงเป็นสิ่งสาคัญ การนิเทศภ ายใน
โรงเรยี นจะมีประสิทธภิ าพมากน้อยเพยี งใดขึ้นอยู่กบั บุคลากรผูท้ จ่ี ะทาหน้าท่ีเป็นผู้นิเทศ และเทคนิควิธีการนิเทศ
ในปจั จบุ นั เทคนิคการนเิ ทศท่เี นน้ บทบาทความรว่ มมือของครใู นโรงเรียนจงึ เป็นท่สี นใจทีจ่ ะนาไปใช้คอื

1. การใหค้ าช้ีแนะ (Coaching)
2. การเป็นพี่เลย้ี ง (Mentoring)
3. เพ่ือนช่วยเพื่อน (Peer Supervision)
4. ชุมชนการเรียนรทู้ างวิชาชีพ (Professional Learning Community)
5. การตรวจเยย่ี มการสอน (Instructional Round)
6. การเดนิ เยย่ี มห้องเรยี น (Classroom Walk Through)
7. การสังเกตไม่เต็มรูปแบบ (Mini Observation)
8. การนิเทศดว้ ยแฟ้มสะสมงาน (Portfolio Supervision)

การใหค้ าชี้แนะ (Coaching)

การใหค้ าช้ีแนะหรือ Coaching เปน็ หนึ่งในเทคนคิ ที่สาคัญทจี่ ะชว่ ยส่งเสริมการเรียนรขู้ องบคุ ลากรให้เป็น
บุคลากรแห่งการเรียนรู้อันจะเป็นตัวจักรสาคัญท่ีจะนาไปสู่ความสาเร็จและเป็นประโยชน์ต่อองค์กรและตัว
บคุ ลากรในการทางานใหบ้ รรลุเปา้ หมายต่อไป ผบู้ ริหารหรอื หวั หนา้ งานใช้เพือ่ เสริมสร้างและพัฒนาบุคลากรให้มี
ความรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skills) และคุณลักษณะเฉพาะตัว(Personal Attributes) ในการทางานนั้นๆ ให้

21

ประสบผลสาเร็จตามเป้าหมายท่ีกาหนดข้นึ ซึง่ เป็นเป้าหมายหรือผลงานทผี่ บู้ ริหารต้องการหรอื คาดหวังให้เกิดข้ึน
(Result-Oriented) โดยจะตอ้ งตกลงและยอมรบั ร่วมกนั (Collaborative) ระหว่างผบู้ ริหารและครู ท้งั นี้การใหค้ า
ช้ีแนะนอกจากจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผลการปฏิบัติงานของผู้รับการนิเทศ (Individual Performance) ใน
ปัจจบุ นั แลว้ ยงั มุ่งเน้นไปท่ีการพฒั นาศักยภาพ (Potential) ของครู เพ่อื ใหค้ รมู พี ฒั นาการของความรู้ ทักษะและ
ความสามารถเฉพาะตัว และมศี ักยภาพในการทางานท่สี งู ขึ้นตอ่ ไป เพอื่ ความก้าวหนา้ ในหน้าทกี่ ารงานอันนามาซึ่ง
ตาแหน่งที่สูงขึ้นต่อไปในอนาคต

ความหมายของ Coaching
คาว่าโค้ช (Coach) เปน็ คาท่เี ป็นทร่ี ู้จกั กนั โดยทว่ั ไปโดยเฉพาะในวงการกีฬา คาว่า coach มีคาแปล

เปน็ ไทยวา่ รถมา้ รถโดยสารขนาดใหญ่ ตู้ในรถไฟ พาหนะเหล่าน้ี ล้วนพาผู้โดยสารไปสู่เป้าหมายของผู้โดยสาร
โค้ชจึงมีจดุ มุง่ หมายอยู่ในตัว คือ เพ่ือนาผู้รบั การโค้ชไปสู่เป้าหมายหรือความสาเร็จ โค้ชการสอนก็เพ่ือการพาครู
ไปสู่การจัดการเรียนรู้ท่ีประสบความสาเร็จด้วยความเป็นโค้ชการสอนมืออาชีพ Coaching ในความหมายของ
องคก์ รอื่น หมายถึง การชี้แนะสอนงานลกู น้องของตนเอง เป็นเทคนิคหน่ึงในการพัฒนาบุคลากรหรือลูกน้องของ
ตน ทั้งนี้จะเรียกผชู้ แ้ี นะหรอื ผนู้ ิเทศว่า“Coach” โดยปกติผเู้ ป็น Coach สามารถเปน็ ได้ท้ังผบู้ ริหารระดับสูง (Top
Management level) หรือผู้อานวยการระดับกลาง (Middle Management level) เช่น ผู้จัดการฝ่าย และ
ผู้บริหารระดับต้น (Low Management level) เช่น หัวหน้างาน ส่วนผู้ถูกสอนงานโดยปกติจะเป็นลูกน้องท่ีอยู่
ภายในทีม หรอื กลุ่มงานเดียวกันเรยี กว่า Coachee

การใหค้ าชี้แนะการสอน (Instructional Coaching)

หลกั การใหค้ าชแี้ นะการสอน
ในการใหค้ าช้ีแนะการสอน The University of Kansus Center for Research on Learning (2006)
ได้ใหห้ ลกั การใหค้ าชแี้ นะการสอน ไว้ 3 ประการ คอื

1. การให้ทางเลือก (Choice) การให้คาชแ้ี นะการสอนต้องใหค้ วามเคารพในความเปน็ มอื อาชีพและ
การตัดสนิ ใจของครู ผนู้ เิ ทศการสอนจะเสนอทางเลือกใหค้ รอู ย่างกว้างๆ เพ่อื ใหค้ รูนาไปพิจารณาใช้ หรือปรับใช้ได้
อย่างเหมาะสมกบั นกั เรยี นของตนเอง

22

2. การสนทนา (Dialogue) ผู้นิเทศและครูจะใช้เวลาในการพูดคุยเกี่ยวกับการเรียนรู้และการสอน
โดยใช้ความคดิ ร่วมกนั อย่างอิสระและสร้างสรรค์

3. การนาความคิดสู่การปฏิบัติ (Knowledge in action) ผู้นิเทศจะต้ังสมมติฐานไว้ว่าการเรียนรู้ท่ี
เรว็ ที่สดุ จะเกิดขน้ึ เมอ่ื มกี ารปฏิบัตงิ านจรงิ ผู้นเิ ทศและครูจงึ ร่วมกันปฏบิ ตั ิอย่างสรา้ งสรรค์

บทบาทหน้าทีข่ องผู้ใหค้ าชแี้ นะการสอน
ภายใตห้ ลักการให้คาช้แี นะการสอน และจุดมงุ่ หมายท่กี ลา่ วมาแลว้ การให้คาชี้แนะการสอน จะต้องมีทักษะ

ในหลายบทบาท รวมทงั้ มนุษย์สัมพนั ธ์ การส่ือสาร การจัดการ และความเปน็ ผเู้ ช่ียวชาญทางการศึกษา บทบาทที่
สาคัญคือ

1) สร้างความเชื่อถือตอ่ การชีแ้ นะการสอน จดั ประชมุ ครูกล่มุ ย่อยโดยใช้ระยะเวลาส้ันๆ เพ่ืออธิบาย
เป้าหมาย ปรัชญา กิจกรรมต่างๆ และการสนับสนุนที่จะนามาใช้ในฐานะผู้ให้คาชี้แนะการสอน ให้เวลาในการ
ซักถาม และใหข้ ้อมลู ทที่ าให้ครูเกดิ ความสนใจทีจ่ ะร่วมทางานด้วย

2) วิเคราะห์ความต้องการจาเป็นของครู ผู้นิเทศจะพบกับครูในเวลาท่ีครูสะดวก เพ่ือค้นหาความ
ต้องการจาเป็น และสนทนาถงึ สิง่ สอดแทรก (Intervention) เชน่ วิธกี าร กิจกรรม ส่ืออปุ กรณ์ ท่ีจะช่วยแก้ปัญหา
ความต้องการของครู ในการสนทนาผนู้ ิเทศจะใชค้ าถามปลายเปิด และเสนอทางเลือก จุดประกายความคิด แนะ
แนวทางโดยใช้คมู่ อื รายการตรวจสอบ (Checklist) และส่อื อน่ื ๆ เพือ่ ให้ครไู ด้ตดั สินใจด้วยตัวเอง

3) สร้างความร่วมมือในการหากจิ กรรมสอดแทรก ผู้นิเทศและครูจะสร้างเป้าหมายร่วมกัน ร่วมกัน
วางแผนจัดกจิ กรรมสอดแทรกที่จะช่วยครูได้ดีที่สุด เช่น ระบุว่าวิธีการสอนแบบสร้างองค์ความรู้จะสามารถช่วย
เสริมสรา้ งการคิดวิเคราะหใ์ หน้ กั เรยี นได้ ผู้นิเทศและครกู ็จะอภปิ รายกันถึงรายละเอียด จนครมู องเห็นแนวทางทจ่ี ะ
นาไปปฏบิ ตั ิได้

4) เตรยี มสื่อ อุปกรณ์ เป้าหมายของการให้คาชี้แนะการสอนก็คือการทาให้ง่าย และเป็นไปได้ท่ีจะ
ช่วยให้ครูประสบความสาเร็จในการสอน ผู้นิเทศจะพยายามลดภาระของครูให้มากท่ีสุดเท่าท่ีจะทาได้ในบาง
สถานการณ์ การเตรยี มสื่อ อุปกรณ์ เป็นสว่ นหนึง่ ทผ่ี ู้นิเทศจะช่วยครูได้

5) สังเกตการสอนของครตู ามแผนท่วี างไว้และให้ข้อมลู ยอ้ นกลับ การรว่ มกิจกรรมการเรยี นการสอน
ของครูในชน้ั เรียน หรือสงั เกตการสอนของครูเพ่ือใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลับท่ีถูกต้องด้วยความเป็นกัลยาณมิตรและครูรับ
ไปปฏบิ ัติ บทบาทสาคัญของผ้นู ิเทศในการให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั มีแนวปฏิบตั ทิ ีส่ ามารถนาไปพิจารณาใช้ ดังนี้

5.1 บอกทางออ้ ม หรอื บอกทางตรง

23

5.2 บอกโดยสรปุ พฤตกิ รรม หรอื บอกโดยบรรยายพฤตกิ รรม
5.3 บอกโดยการประเมนิ หรือบอกโดยไม่ประเมิน
5.4 บอกโดยทว่ั ๆ ไป หรอื บอกอยา่ งเจาะจง
5.5 บงั คบั ให้ทา หรอื ใหโ้ อกาสเลอื กทา
5.6 รอโอกาสหลัง หรอื ใหโ้ อกาสในทันที
5.7 อ้างบุคคลภายนอก หรอื ใชก้ ลุ่มรว่ ม
6) เป็นแบบอย่าง เมื่อครูสังเกตการสอนของผู้นิเทศ ผู้นิเทศจะสาธิตให้เห็นการใช้กิจกรรม
สอดแทรกใหมท่ ่นี ามาใชใ้ นการสอน ในบางกรณีผู้นิเทศอาจจะมอบรายการตรวจสอบ (check list) ให้ครูใช้เป็น
เครื่องมือในการสงั เกตพฤติกรรมการสอนท่ตี อ้ งการให้สงั เกต
เทคนิคในการใหค้ าชีแ้ นะ
1. สรา้ งความต้องการการเรยี นรู้ ผ้ใู หค้ าชแ้ี นะต้องสรา้ งความตระหนักใหค้ รรู ู้ว่า การได้รับคาชี้แนะ
จะเปน็ ประโยชน์กบั การเรยี นการสอนหรอื การปฏิบัตงิ านในหนา้ ท่อี ย่างไร ความต้องการในการเรียนรู้อาจจะเกิด
จากความตอ้ งการจากตวั ครูเอง (Wants) หรือเป็นความต้องการจาเป็นทีไ่ มม่ ีไม่ได้ (Needs)
2. ทาใหผ้ รู้ บั การนิเทศมีความพร้อม ในประเด็นนี้ผู้ทาหน้าท่ี Coach และครูผู้รับการนิเทศต้องทา
ความเข้าใจให้ตรงกันว่าครคู วรมีความพร้อมในเร่ืองใดบ้าง เช่น เวลา ภาระงาน ความรู้ในงานที่จะปฏิบัติ การรู้
ปัญหา ความพร้อมในบางอยา่ งครสู ามารถจดั การเองได้ บางอย่างตอ้ งรว่ มกนั ทั้งสองฝา่ ย
3. กระตนุ้ ใหเ้ กิดความสนใจ ข้อนีเ้ ปน็ บทบาทหนา้ ทีข่ องผู้ให้คาชีแ้ นะ โดยตรงท่ีต้องใช้วิธีการต่างๆ
ที่จะทาให้ครสู นใจและเห็นความสาคัญในสง่ิ ท่ีจะต้องเรยี นรู้ เช่น การให้ครดู ตู วั อยา่ งของปญั หา หรือความสาเรจ็ ที่
มคี วามเช่ือมโยงกบั ปญั หาของครู ให้ครไู ดแ้ สดงความคดิ เหน็ ในส่ิงทผ่ี ใู้ หค้ าช้แี นะนาเสนอ เป็นตน้
4. มเี ทคนิคการอธบิ าย เน้นจุดสาคัญ ผู้ให้คาช้ีแนะใช้เทคนิควิธีการที่ทาให้ผู้รับการนิเทศฟังแล้ว
เขา้ ใจเกิดความชัดเจน พยายามอธบิ ายเรือ่ งยากให้เข้าใจง่าย ผู้ให้คาชี้แนะอาจจะต้องตรวจสอบความเข้าใจเป็น
ระยะโดยเฉพาะอยา่ งยิ่งจดุ สาคญั ทตี่ อ้ งการเน้น
5. แสดงการทางานให้ดู เปน็ เทคนคิ สาคญั ของการนิเทศแบบชี้แนะท่ีผู้ทาหน้าที่ Coach จะละเลย
ไมไ่ ด้ เช่น การสาธิตการสอน การลงมือทาใหเ้ ห็นวิธกี ารขั้นตอนท่ถี ูกตอ้ งเพ่อื ครจู ะนาไปปฏบิ ตั ิตาม

24

6. ใหผ้ ู้รับการนิเทศฝกึ ปฏบิ ตั ิ เป็นเทคนคิ วธิ ีท่ี ผู้ใหค้ าชี้แนะใหค้ รูทาหลังจากท่ีดูการสาธิตการสอน
การทางานที่ผ้ใู ห้คาช้ีแนะทาให้ดูเป็นตัวอย่าง การให้ครูได้ฝึกปฏิบัติทันทีหลังการชี้แนะ เป็นการการตรวจสอบ
ทักษะ ความรู้ ความเข้าใจของครูได้ดว้ ย

7. เรา้ ให้เกดิ การเรยี นรู้ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน ผู้ให้คาช้ีแนะควรชี้แนะให้ครูเกิดการเรียนรู้
อย่างตอ่ เนื่องได้ด้วยตนเอง เช่น หลังจากการฝึกปฏิบัติอาจจะให้ครูสรุปความรู้ ทักษะที่ได้ให้ สะท้อนที่สิ่งท่ีได้
เรียนรู้ เป็นตน้

8. สรา้ งความเชื่อมัน่ ผ้ใู ห้คาช้ีแนะควรสร้างให้ครูเกิดความเชื่อมั่นว่าครูสามารถแก้ปัญหาได้จาก
การชแ้ี นะ และถา้ มกี ารนาการเรยี นรจู้ ากการช้แี นะไปปรับใช้อย่างต่อเนอื่ ง ครกู ็จะมศี ักยภาพท่จี ะพัฒนาตนเองได้
ในทส่ี ดุ หรอื ครูคนใดทีย่ งั ขาดความมั่นใจ ผู้ใหค้ าช้ีแนะกค็ วรเปิดโอกาสให้ครูได้ปรึกษาขอคาแนะนาได้ หรือการ
คอยกากบั ตดิ ตามอยา่ งต่อเนอื่ งก็เป็นการสรา้ งความมนั่ ใจใหก้ บั ครไู ดอ้ กี วิธีหนึง่

กระบวนการใหค้ าช้ีแนะการสอน
1. การเตรียมการ ครูผู้รับการนิเทศจะต้องเตรียมการประเมินการสอนของตนเองเก่ียวกับ

เปา้ หมาย พฤตกิ รรมการสอน การทางานและส่ิงอ่นื ๆท่เี ก่ียวขอ้ ง ส่วนหนา้ ทีข่ องผู้ให้คาช้แี นะจะตอ้ งเตรียมคาถาม
ท่ีถามครู

2. จัดประชุมเพอื่ รับทราบข้อมูล ผู้ให้คาช้ีแนะจะต้องบอกจุดมุ่งหมายที่ให้ครูประเมินตนเอง ครู
ผู้รับการนิเทศจะตอ้ งเล่าถึงการประเมินผลงานของตนที่ผ่านมาว่ามีผลเป็นอย่างไร ตามความคิดเห็นของตนเอง
โดยบอกท้ังผลงานทีด่ แี ละไมด่ ี โดยเปรียบเทียบกับเป้าหมาย หาสาเหตุท่ีแท้จริงท่ีทาให้ครูมีผลงานท่ีตกต่า เป็น
ปญั หา ผู้ให้คาชีแ้ นะเปิดใจรับฟังและใหค้ าช้แี นะ

3. วางแผนเพื่อแก้ปัญหา ผู้ให้คาช้ีแนะให้ครูเป็นผู้วางแผนการแก้ปัญหาเอง โดยการทบทวน
เปา้ หมายรว่ มกนั ให้คาชี้แนะเมื่อครตู ้องการ

4. ปฏิบัติการให้คาชี้แนะ ผู้นิเทศอาจจะทาการสาธิตการสอนให้ครูได้สังเกตการสอน เพื่อเป็น
แบบอยา่ งหรือใชก้ จิ กรรมนิเทศตา่ งๆทมี่ ีความเหมาะสม ใหค้ าช้ีแนะในสง่ิ ที่ครูยงั ไม่เข้าใจ

5. ตดิ ตามผล ผนู้ ิเทศอาจจะเข้าไปสังเกตการสอนของครูเพ่ือพัฒนาความก้าวหน้า จดบันทึกการ
ปฏบิ ตั ิการสอนเพื่อใหข้ ้อมูลยอ้ นกลบั ให้คาชแี้ นะเพอ่ื การพฒั นาตอ่ ไป

25

การนิเทศแบบให้คาชีแ้ นะ เป็นมิตหิ นงึ่ ของการนิเทศภายในทเี่ ปน็ การนเิ ทศเชิงลึก เป็นการนิเทศใน
ระดบั ห้องเรียนท่ีผนู้ ิเทศตอ้ งสมั ผสั กบั ครูและการเรยี นการสอนโดยตรง ซง่ึ วธิ กี ารนเิ ทศนีจ้ ะให้บทบาทกบั ผ้บู ริหาร
หรือครูผนู้ เิ ทศทม่ี คี วามเช่ียวชาญในกลมุ่ สาระต่างๆ สิ่งสาคัญคือผู้นิเทศหรือผู้ให้คาช้ีแนะจะต้องมีการสาธิตหรือ
ปฏิบตั ิให้ดูเป็นแบบอย่างให้กับครูในการสอนหรือการปฏิบัติงานและจะต้องได้รับการยอมรับ เพราะครูจะต้อง
ปฏบิ ัติตามคาชแี้ นะท่ีไดร้ ับ

การเปน็ พ่เี ลี้ยง (Mentoring)

การนเิ ทศแบบพเี่ ล้ียงนนั้ ผูน้ เิ ทศจะตอ้ งเปน็ ผู้ท่ีมีประสบการณใ์ นวิชาชีพน้ันๆมากกว่าคนที่เข้ามาขอความ
ช่วยเหลือ โดยอาจจะมบี ทบาททใี่ กล้ชดิ สนทิ สนมมากกว่าการเป็นผู้นิเทศท่ัวไป ส่วนใหญ่โรงเรียนจะกาหนดให้มี
การนิเทศระบบการเป็นพีเ่ ลยี้ งใหก้ บั ครูใหม่ท่ีเพงิ่ เขา้ มาทางาน ผู้ที่เป็นครูพี่เล้ียง จะเป็นครูท่ีปฏิบัติงานมาก่อนที่
ไม่ใช่หวั หนา้ งานโดยตรง ทงั้ น้ี คุณสมบัติหลักที่สาคัญของบุคคลท่ีจะทาหน้าท่ีครูพี่เลี้ยงให้แก่ครูใหม่น้ัน จะต้อง
เป็นบุคคลที่มีทศั นคติ หรือความคิดในเชิงบวก (Positive Thinking) มีความประพฤติดีสามารถปฏิบัติตนให้เป็น
ตัวอย่างทดี่ แี ก่ครไู ด้ บทบาทและหน้าท่ีทสี่ าคญั ของครพู เ่ี ลี้ยง ได้แกก่ ารถา่ ยทอดขอ้ มลู ตา่ งๆ ภายในโรงเรียนใหค้ รู
ใหม่รบั ทราบ รวมถึงจะต้องเปน็ ผูใ้ ห้คาปรึกษาและช้แี นะแนวทางในการปฏบิ ตั ิตนเพ่ือปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรม
องค์กร ตลอดทั้งต้องมกี ารตรวจสอบและติดตามผลความรคู้ วามเข้าใจในข้อมูลทใ่ี ห้กับครใู หม่ด้วย

คณุ สมบตั ขิ องครพู ีเ่ ลย้ี ง
การนิเทศแบบพี่เลี้ยง นอกจากใช้กับครูใหม่แล้วยังสามารถนาวิธีการนี้มาใช้กับครูที่ปฏิบัติงานใน

โรงเรียนทตี่ ้องการความชว่ ยเหลือด้านการสอนหรืองานท่ีเป็นความชานาญพิเศษจากครูท่ีสามารถเป็นพ้ีเลี้ยงได้
โดยคุณลกั ษณะของผทู้ ่เี ข้าขา่ ยของการเป็นครูพเ่ี ลี้ยง ในโรงเรยี นได้นั้น ควรมีคุณลักษณะท่สี าคญั ดงั ตอ่ ไปนี้

- เปน็ ผู้ทม่ี ปี ระวัตใิ นการทางานที่ประสบความสาเร็จ
- มคี วามเชยี่ วชาญดา้ นการสอน การผลิตส่อื การจดั กิจกรรมตา่ งๆ
- เป็นผู้ท่ีมคี วามเฉลียวฉลาดและมีความคดิ สรา้ งสรรคใ์ นการทางาน
- เปน็ ผทู้ ี่มีความผูกพันกับองค์กรและผูกพนั กับหนา้ ที่การงานทไี่ ดร้ บั มอบหมาย
- เป็นผู้ทีม่ ีความใฝฝ่ นั และความปรารถนาทีจ่ ะทางานใหบ้ รรลเุ ป้าหมาย
- เป็นผูท้ ี่ชอบความทา้ ทายและเต็มใจพร้อมที่จะทางานนอกเหนือจากงานประจาของตน
- เป็นผทู้ ีม่ คี วามปรารถนาทจ่ี ะได้รบั ความกา้ วหน้าและการเติบโตในสายอาชีพ

26

จะเหน็ ว่าคนท่ีเปน็ ผนู้ เิ ทศหรือครูพ่เี ลย้ี ง เป็นกลมุ่ คนที่ถือว่าเป็นพวกที่มีผลงานที่โดดเด่นกว่าครูคนอ่ืนๆ
เป็นดาวเด่นที่มีผลงานดีเลิศ (Top Performer) ซึ่งองค์กรจะต้องรักษาไว้ ดังนั้นผู้ท่ีเป็นครูพ่ีเลี้ยง จึงเป็นเสมือน
แมแ่ บบของผูร้ บั การนิเทศดว้ ย

คุณลกั ษณะของพี่เลยี้ งท่ีดี
- มีความสัมพนั ธ์ที่ดี (Interpersonal Skills)
- มอี ิทธพิ ล มคี วามเปน็ ผนู้ า (Influence Skills)
- มีความตระหนกั ถึงผลสาเรจ็ ในการทางานของผอู้ น่ื (Recognized other’s accomplishment)
- การมที ักษะของการให้คาปรกึ ษาท่ดี ี (Supervisory Skills)
- ความรใู้ นสายวิชาชีพหรอื สายงานของตน (Technical Knowledge)

บทบาทหนา้ ท่ขี องครูพีเ่ ลี้ยง
บทบาทของครูพี่เลีย้ งนอกจากเป็นแม่แบบด้านการสอนแล้ว ผทู้ เ่ี ป็นครพู ี่เลี้ยงยังต้องมีบทบาทในการ

สร้างความเขา้ ใจใหต้ รงกบั กบั ครผู รู้ บั การนเิ ทศในเรอื่ งของวัฒนธรรมองคก์ ร ข้อควรระวังหรอื ประเดน็ ความขดั แยง้
ที่อาจจะเกิดขึ้นในองค์กร การปฏิบัติตนเพ่ือหลีกเล่ียงหรือไม่ต้องเผชิญกับความขัดแย้งท่ีจะเกิดขึ้น (Political
Props) รวมถงึ การวิเคราะห์จุดแข็งและข้อทคี่ วรพัฒนาปรับปรุงของผู้รับการนิเทศ เพื่อที่จะได้หาวิธีการในการ
พฒั นาปรับปรงุ ความสามารถและศกั ยภาพของครตู ่อไป นอกจากนคี้ รูพี่เลี้ยงยังมีบทบาทของการเป็นผู้สนับสนุน
(Advocate) คอยใหก้ าลังใจและใหค้ วามช่วยเหลอื ให้ครูผรู้ ับการนิเทศ มโี อกาสเติบโตหรอื ได้รบั ความก้าวหน้าใน
หน้าที่การงาน โดยใหโ้ อกาสหรือเวทที จี่ ะแสดงผลงานแสดงฝีมอื และความสามารถในการทางาน

รปู แบบของการนเิ ทศแบบพเ่ี ล้ยี ง
1. การนิเทศแบบเป็นทางการ การนิเทศรูปแบบน้ีโรงเรียนอาจจะกาหนดหรือมอบหมายให้ครูที่มี

คณุ สมบัติเหมาะสมเปน็ ครพู เ่ี ลีย้ งใหก้ บั ครทู ตี่ อ้ งได้รับการนเิ ทศเปน็ การเฉพาะ มกี ารมอบหมายภารกิจท่ีชัดเจน ผู้
เปน็ ครูพี่เลีย้ งจะต้องใหค้ าแนะนา ดูแลเอาใจใส่ ตดิ ตามอย่างใกลช้ ิด ใช้ในกรณที ีม่ ีครบู รรจใุ หม่ หรือครยู ้ายมาจาก
ทอ่ี ่ืน เป็นคนใหม่สาหรับองค์กร หรือครูทม่ี ปี ญั หาทตี่ ้องได้รับการแกไ้ ขอยา่ งเร่งด่วน

2. การนิเทศแบบไม่เป็นทางการ เป็นการนิเทศท่ีผู้นิเทศทาหน้าท่ีเป็นครูพี่เลี้ยงชั่วคราว ไม่มีภาระ
ผกู พัน ครูอาจจะเขา้ มาขอความชว่ ยเหลือ ปรกึ ษาเปน็ ครัง้ คราวเป็นเรอ่ื งๆไป

27

วธิ กี ารนิเทศแบบพเี่ ล้ียง
1. การนิเทศแบบสองต่อสอง มีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนาครูให้มีความสามารถสูงและเพ่ือการพัฒนา

อยา่ งรวดเร็ว วธิ กี ารนิเทศแบบนีข้ องการเปน็ พี่เลี้ยงจะเป็นแบบคู่ คือ จบั คู่กนั ระหว่างครูพี่เล้ียง 1 คนกับครูผู้รับ
การนเิ ทศ 1 คน

2. การนิเทศเป็นกลุ่ม ปัจจุบันมีผู้เห็นว่าแบบคู่มีข้อจากัดหลายประการ เช่น หาครูพ่ีเล้ียงได้ไม่
เพยี งพอกับจานวนครูผรู้ ับการนเิ ทศ เพราะครพู ่เี ล้ยี งหายากและการที่ครผู ู้รับการนิเทศเรียนรู้จากครูพี่เล้ียงเพียง
คนเดียวนั้นไมเ่ พียงพอ เนือ่ งจากการพัฒนาบุคคลน้นั ตอ้ งอาศัยเครือขา่ ยของกลุ่มคนที่มีความรู้ประสบการณ์และ
แนวคดิ ทีแ่ ตกต่างกันออกไป ซึง่ รวมถึงเครือข่ายในกลุ่มเพ่ือนร่วมงานด้วย ปัจจุบันจึงได้มีแนวคิดการเป็นพ่ีเลี้ยง
แบบกลมุ่ คือ ครูพเ่ี ลย้ี ง 1 คน ตอ่ ครูผู้รับการนิเทศ 4 – 6 คน

วิธีการเป็นพีเ่ ลี้ยงแบบกลุ่มน้ี ครูพ่เี ลย้ี งจะเปน็ ผู้นาให้เกิดการเรียนรู้ (Learning Leader) กลุ่มจะมีการ
แลกเปลย่ี นความรู้ความคดิ กาหนดประเดน็ การพฒั นา ให้คาแนะนากันเป็นกลุ่ม วธิ ีนีจ้ ะเปน็ การพัฒนาทักษะการ
ทางานเป็นทีมดว้ ย กลมุ่ Mentoring จะกลายเปน็ กลุ่มแหง่ การเรยี นรู้ (Learning Group) ซึ่งคล้ายกับ Learning
Team ใน Learning Organization ของ Peter Senge (2014) ทก่ี ลา่ วว่า เมือ่ ทีมเกิดการเรียนรอู้ ยา่ งแท้จริงแล้ว
ผลลัพธท์ ีไ่ ดไ้ ม่เพยี งก่อใหเ้ กดิ ผลงานท่ีดีขึน้ เทา่ นนั้ แตส่ มาชกิ แต่ละคนในทมี ก็เจรญิ กา้ วหนา้ เรว็ ขนึ้ ดว้ ย ในกลมุ่ แห่ง
การเรียนรู้ ครผู ู้รับการนเิ ทศซึง่ เป็นสมาชิกของกลมุ่ จะมโี อกาสเรยี นรจู้ ากเพอื่ นสมาชิกด้วยกันและจากครูพ่ีเล้ียง
ด้วย ครูพ่ีเลี้ยงช่วยให้กลุ่มประสบความสาเร็จ โดยช่วยให้กลุ่มกาหนดประเด็นในการประชุมพบปะกัน ให้
คาแนะนาหัวข้ออภิปรายและโครงการท่ีจะช่วยให้กลุ่มเรียนรู้เพิ่มข้ึน กระตุ้นให้กลุ่มแสดงความคิดเห็นให้
คาปรึกษาเม่ือกลมุ่ ตอ้ งการ สนับสนุนกลุ่มโดยเชื่อมความสัมพันธ์ของบุคคลในกลุ่มกับบุคคลอ่ืนในองค์กร ให้
ข้อมูลย้อนกลับแกส่ มาชิกในกลุม่ เป็นรายบุคคล

การนเิ ทศแบบเพอื่ นช่วยเพอ่ื น (Peer Supervision)

การนเิ ทศแบบเพื่อนช่วยเพ่อื นเป็นวิธกี ารนิเทศหนง่ึ ในหลายๆวธิ ที ีใ่ ชใ้ นการพัฒนาวิชาชีพครู มคี วามแตกตา่ ง
จากการนเิ ทศรูปแบบดั้งเดิม ทไี่ มจ่ าเปน็ ตอ้ งมีการระบุผเู้ ชี่ยวชาญหรือผู้นิเทศ แต่เป็นการทางานร่วมกันระหว่าง
เพอ่ื นครู สองคนหรอื กลุ่มเลก็ ๆเพ่อื ประโยชนร์ ว่ มกันในเรอื่ งการพฒั นาการเรยี นการสอน ซง่ึ อาจจะเป็นเพ่อื นครูใน
กลมุ่ สาระเรยี นรู้เดยี วกัน หรอื ต่างกลมุ่ สาระก็ได้

28

หลกั การของการนเิ ทศแบบเพ่ือนช่วยเพอื่ น
การนิเทศแบบเพ่ือนช่วยเพื่อนเป็นวธิ ีการนิเทศท่ีมุ่งเน้นการช่วยเหลือระหว่างเพื่อนครูด้วยกัน ดังน้ันการ

นาเอาวิธีนี้มาใช้ ครูจะต้องเข้าใจบทบาท หน้าที่และข้อควรปฏิบัติที่เป็นหลักการสาคัญคือ (National Staff
Development Council,1991.,Blackwell,2002., Lubin,2002)

1. เป็นการส่งเสริมการร่วมมือกัน สะท้อนความคิด ให้ข้อมูลย้อนกลับในเชิงสร้างสรรค์ ไม่มีการ
วพิ ากษ์วจิ ารณห์ รือใช้บทบาทของการเปน็ ผู้นิเทศกากับดแู ลเพื่อนรว่ มนเิ ทศ ทง้ั สองฝ่ายตอ้ งผลดั กนั ทาบทบาท

2. ใหค้ วามสาคัญกับการกาหนดข้อตกลงในแต่ละข้นั ตอนของการดาเนนิ การอยา่ งชดั เจนที่ทั้งสองฝ่ายต้อง
ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครดั เพอ่ื ไมใ่ ห้เกิดความขัดแย้ง

3. การสงั เกตการสอนเปน็ การเกบ็ ขอ้ มูลเพื่อการแลกเปลีย่ นเรียนรู้ ทัง้ สองฝา่ ยควรได้รับประโยชน์จากการ
รว่ มกันวเิ คราะหแ์ ละแสดงความคดิ เหน็

4. บรรยากาศในการทางานมีความเป็นกันเอง ร่วมกันค้นหา อธิบาย และประเมินผลในสิ่งที่ปฏิบัติ ไม่ใช่
การทาเพือ่ แขง่ ขนั ว่าใครดีกวา่ ใคร หลีกเลี่ยงการตดั สนิ หรือแสดงความคดิ เหน็ ในเชงิ ลบ

5. ควรมีการเปลี่ยนเพื่อนนิเทศเม่ือเสร็จส้ินวงรอบของการนิเทศ ไม่ควรทาซ้าๆกับคนเดิม ครูควรได้รับ
ประสบการณก์ ารแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ทหี่ ลากหลายจากคนอื่นๆบา้ ง แตท่ ้ังน้ีก็ควรเป็นคนที่ครเู ลือกเอง

กระบวนการของการนเิ ทศแบบเพอ่ื นชว่ ยเพ่ือน
กระบวนการของการนเิ ทศแบบเพอ่ื นชว่ ยเพื่อนจะมคี วามหลากหลาย ขน้ึ อย่กู บั ว่าจะแจกแจงรายละเอยี ด

ของขั้นตอนการปฏิบัติอย่างไร แต่โดยสรปุ แล้วมีขั้นตอนหลกั ๆคือ
1. เพอ่ื นสังเกตการสอนเพ่ือน (Peer Watching ) ครทู ี่เป็นคูน่ ิเทศแจ้งความต้องการท่ีจะให้เพื่อนสังเกต

การสอนของตนเอง เพื่อนผนู้ เิ ทศเขา้ สงั เกตการสอนเพอื่ นตามที่ตกลงกันไว้ บันทึกข้อมูลที่เห็นทั้งหมด โดยไม่มี
การแสดงความคิดเห็นหรือการประเมินใดๆทั้งส้ิน ในขั้นตอนน้ีอาจจะสลับกันสังเกตการสอน โดยปฏิบัติ
เช่นเดียวกนั กับทเ่ี พือ่ นได้สงั เกตการสอนเรา

2. เพอ่ื นใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลับ (Peer Feedback) แต่ละคนสรุปขอ้ มลู ที่ไดจ้ ากการสงั เกตการสอน วเิ คราะห์
ข้อดี ข้อด้อย ของกันและกัน โดยทบทวนความต้องการของแต่ละคน เพื่อให้ตรงตามความต้องการของเพื่อน
ประชมุ ให้ขอ้ มูลย้อนกลับ โดยแต่ละคนเปน็ ผู้สะท้อนความคิดของตนเองก่อนและเพือ่ นผูน้ เิ ทศเปน็ ผรู้ บั ฟัง

29

3. การให้คาแนะนาซึ่งกนั และกัน (Peer Supervise) ทง้ั ครู่ ่วมกันแสดงความคิดเห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับ
รว่ มกัน นาคาแนะนาไปปรบั ปรุงแกไ้ ข หรือนาเอาส่วนดีของเพอ่ื นไปใชจ้ ัดกิจกรรมการเรียนการสอนของตนเอง
แลว้ นเิ ทศการสอนกันอกี คร้ังเพือ่ ติดตามผล

บทบาทของคู่นเิ ทศในฐานะผนู้ เิ ทศการสอน และผูร้ บั การนเิ ทศ
1. คนู่ ิเทศตอ้ งเปน็ บคุ คลท่มี สี มั พันธท์ ด่ี ี ไว้วางใจและยอมรับซ่ึงกนั และกนั ถ้ายังไม่มีความสัมพันธ์อันดีต่อ

กันตอ้ งสรา้ งพฤติกรรมน้ใี ห้เกดิ ขนึ้ ก่อน การนเิ ทศการสอนแบบเพื่อนช่วยเพอ่ื นจงึ จะไดผ้ ล
2. คู่นิเทศตอ้ งเปดิ ใจกวา้ ง ยอมรับคาวจิ ารณเ์ ก่ยี วกับจุดเดน่ จดุ ดอ้ ยของตน
3. คูน่ ิเทศต้องมีความรู้และทักษะในการวิเคราะหว์ จิ ารณ์อย่างมเี หตผุ ล โดยปราศจากอคติ
4. ค่นู เิ ทศตอ้ งหมน่ั แสวงหาความรใู้ หมๆ่ อยู่เสมอ เพื่อพัฒนาตนเองและเพอ่ื นครทู ่ีเป็นคู่นิเทศ รวมทั้งการ

นาความร้หู รือวธิ ีการใหมๆ่ (นวตั กรรม) มาพฒั นาการสอนใหบ้ รรลุจดุ ม่งุ หมายตามหลกั สูตร

ชุมชนการเรยี นรทู้ างวชิ าชพี (Professional Learning Community)

ชมุ ชนการเรียนรูท้ างวชิ าชีพ (Professional Learning Community) หรือเรียกย่อๆวา่ PLC เป็นแนวคิดมา
จากภาคธุรกิจท่ตี ้องการสร้างให้องค์กรมคี วามสามารถในการเรียนรู้ มีการนามาใช้กับวงการศึกษาในแนวคิดของ
องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) แล้วเปลย่ี นเป็นชุมชนแห่งการเรยี นรู้ (Learning Community)
ทมี่ ่งุ เน้นที่จะพัฒนาความร่วมมือและเปล่ียนแปลงวัฒนธรรมการทางานของครู คาว่าชุมชนแห่งการเรียนรู้ทาง
วิชาชีพ ได้มกี ารนามาใชอ้ ยา่ งแพร่หลายในปี คศ.1990s เม่ือนามาใชใ้ นวงการศึกษา นักวิชาการมองว่าชุมชนแห่ง
วิชาชีพท่ีชัดเจนและเข้มแข็งมากท่ีสุดคือโรงเรียน ส่งเสริมให้ครูทางานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพเพ่ือพัฒนา
ผเู้ รยี นอย่างย่ังยืน ในการพฒั นาให้เกดิ ชมุ ชนแห่งวชิ าชพี ส่ิงท่ีสาคัญมากกวา่ โครงสรา้ งคอื ทรัพยากรทางสังคมและ
ทรพั ยากรมนุษย์ (Kruse, Karen และ Bryk,1994)

ชุมชนแห่งการเรียนรู้ (Learning Community) เกิดจากสมมุติฐาน 2 ประการคือ หน่ึง สันนิษฐานว่า
ความรทู้ เี่ กิดขน้ึ ทุกวนั อยใู่ นประสบการณ์ของครู เป็นความรู้ความเข้าใจท่ีผ่านการสะท้อนคิด การวิเคราะห์ การ
แบ่งปันประสบการณ์กับคนอ่ืนๆ สอง เป็นการสันนิษฐานว่าความกระตือรือร้นของครูในการทา PLCจะเพ่ิม
ความรู้ด้านวิชาชีพที่จะส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน ดังนั้นโรงเรียนจึงควรให้ความสนใจที่จะปรับเปล่ี ยนการ

30

พัฒนาวิชาชีพของครูมาเป็นการบูรณาการให้ครูเรียนรู้จากสังคมการปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของความ
ต้องการในการจัดการศกึ ษาใหก้ บั ผูเ้ รียน (Thompson,Gregg,Niska (2004) อ้างถงึ ใน Rosemary (2006)

หลกั การของชมุ ชนการเรยี นรู้ทางวชิ าชพี
แนวคิดของชมุ ชนการเรยี นรู้ทางวชิ าชีพเปน็ การพฒั นาบุคลากรในวชิ าชีพใดก็ได้ เมือ่ นามาใช้ในวงการศึกษา

ครคู ือกลมุ่ เปา้ หมายในการพฒั นา เนน้ การเกิดการเรยี นร้ขู องผ้เู รียนไมใ่ ช่พฒั นาวธิ ีสอน ดังนัน้ เมื่อมีการนาแนวคิด
นี้ไปใชต้ อ้ งยดึ หลักการในการนาไปใชใ้ หถ้ ูกตอ้ ง

Seang (2006) ได้ระบุถึงหลักการของ PLC ดงั น้ี
1. การสรา้ งวสิ ัยทศั นร์ ว่ มกัน
2. การแบง่ ปันความคิดทหี่ ลากหลายและการประนปี ระนอม โดยมเี ปา้ หมายคือการพฒั นาองค์กร
3. เปา้ หมายท่ีขดั แยง้ กนั จะกลายเป็นแหลง่ ทีม่ าของการพฒั นาในเชิงบวก
4. ขอ้ มลู จากฝ่ายบรหิ ารและข้อมลู ท่ีมาจากผปู้ ฏบิ ตั จิ าเปน็ ต้องใชซ้ ง่ึ กนั และกัน
5. ทาให้ครมู องเหน็ เป้าหมายของความสาเร็จในการพฒั นาวิชาชีพท่ไี ม่ต้องทาเพียงลาพงั

ลักษณะของชุมชนการเรียนรูท้ างวชิ าชพี
Glickman และคณะ (2018) ได้สงั เคราะห์ลักษณะ PLC จากแนวคิดของนักวิชาการต่างๆ สรปุ ว่าการเปน็

PLC ควรจะมลี กั ษณะ 6 ประการ ดังนี้
1. มีความเชื่อ คุณค่า และบรรทดั ฐานร่วมกัน (Shared Beliefs, Values, and Norms) ครูและบุคลากรใน

โรงเรยี นตอ้ งมีความชดั เจนและเปน็ เอกฉนั ท์ในเร่ืองเป้าหมายของโรงเรียน ผู้เรียนจะเรียนรู้อย่างไร บร รทัดฐาน
ของบทบาทผบู้ ริหาร ครู นกั เรยี นและผู้ปกครองในกระบวนการเรียนรู้ มคี วามชัดเจนในคุณคา่ รว่ มกนั การร่วมกัน
สง่ เสริม ความเป็นไปได้ในความสาเร็จของครู

2. กระจายความเปน็ ผู้นาที่สนับสนุน (Distribute, Supportive Leadership) ภาวะผู้นาเป็นส่วนสาคัญใน
การเปลี่ยนแปลงและสนบั สนุนการทา PLC ต้องสรา้ งภาวะผู้นาหรอื กระจายอานาจความเปน็ ผ้นู าให้กับสมาชิกใน
กลุม่ จนสมาชิกเกิดภาวะผนู้ าในตนเองและเกิดภาวะผนู้ ารว่ ม เพือ่ การเรียนรแู้ ละการเปลย่ี นแปลงตนเองในวิชาชีพ
ผูน้ าที่สนบั สนนุ ตอ้ งทา 2 อยา่ งคือ การสนับสนนุ เชงิ โครงสร้าง เช่น การกาหนดเวลาในการประชุม สถานท่ี แหล่ง
วัสดุอุปกรณ์ และการสนับสนุนความสัมพันธ์ เช่น การเปิดกว้างทางความคิด ความไว้วางใจ การเคารพความ
คดิ เหน็ และการให้ความสนใจผอู้ นื่

31

3. การเรยี นรูร้ ว่ มกนั (Collective Learning) การที่ครูคนหนง่ึ เกดิ ทักษะความรูใ้ หม่ๆตามลาพงั ไม่สามารถ
พัฒนานักเรียนท้ังโรงเรียนได้ การให้ครูคนอ่ืนๆเกิดทักษะความรู้จากการเรียนรู้ร่วมกันเป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้นใน
โรงเรียน กระบวนการอาจจะเร่มิ ต้นจากการสนทนาเรอื่ งเกีย่ วกับนกั เรียน การสอน การเรียนรู้ แต่ละกลุ่มอาจจะ
เลอื กสิ่งท่ีจะพัฒนาแตกต่างกัน ร่วมกันตัดสินว่าอะไรคือสิ่งจาเป็นในการพัฒนาแล้วร่วมกันวางแผน ในข้ันตอน
กระบวนการเรยี นรู้มกี ารทดลองทักษะและกลยุทธ์ิใหม่ๆ แล้วร่วมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็นในผลที่เกิดจาก
การปฏบิ ตั ิ แลว้ ตดั สินรว่ มกนั ว่าทาอย่างไรให้การสอนใหมด่ ขี ้ึน

4. ทาให้การสอนไม่ใช่เรื่องส่วนตัว (Deprivatization of Teaching) บรรทัดฐานอย่างหนึ่งของการ
ปฏิบตั ิการสอนคอื การสอนเปน็ ความรบั ผดิ ชอบของครแู ตล่ ะคน หอ้ งเรียนใครห้องเรยี นมนั ไม่เคยเปดิ โอกาสใหค้ รู
คนอนื่ เขา้ ไปสงั เกตหรอื มสี ่วนรว่ ม ลักษณะเช่นนีท้ าให้ครูไม่มีการช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน โรงเรียนท่ีมีแนวคิดว่า
การสอนเปน็ เรอื่ งส่วนรวมท่ีต้องรว่ มกนั พัฒนาปรับปรุง ครูจะไปเย่ียมห้องเรียนซ่ึงกันและกัน ไปสังเกตการสอน
เก็บขอ้ มูล ให้ขอ้ มลู ย้อนกลบั เรียนรู้วธิ กี ารความคดิ ใหม่ๆซึ่งกันและกัน แบ่งปันความคิด และแสดงความคิดเห็น
อยา่ งเปิดกว้าง

5. มุ่งเน้นการเรียนรู้ของผู้เรียน (Focus on Students Learning) PLC มุ่งเน้นการพัฒนาสติปัญญาเพื่อ
การเรียนรู้ของผู้เรียน ไม่ใช่การพัฒนาเทคนิควิธีการสอนหรือกิจกรรมที่ไปจัดให้กับผู้เรียน เร่ิมแรกต้องมีการ
ประเมินส่ิงที่จาเป็นในการพัฒนาผู้เรียน ให้ข้อมูลป้อนกลับแก่ครูเพ่ื อช่วยครูปรับการสอน และติดตาม
ความกา้ วหนา้ ของผู้เรียนในชว่ งเวลาน้ันๆ

6. การร่วมมอื (Collaboration) PLC จะไม่ใชก่ ารทางานตามลาพังของครเู หมือนเช่นก่อนๆ แต่จะมีเพ่ือน
ร่วมวชิ าชีพคอยชว่ ยเหลือให้การสนับสนุน แบ่งปันข้อมูล ประสบการณ์ความเชี่ยวชาญ ร่วมกันพัฒนาหลักสูตร
สรา้ งสรรคส์ ่ือการสอน ร่วมประเมนิ ผูเ้ รียน รวมทั้งชว่ ยกนั แกป้ ัญหาของครู

32

แหลง่ ทมี่ า : Shoreline Public School (2018)
เง่อื นไขความสาเรจ็ ในการสรา้ งชมุ ชนการเรยี นรู้แหง่ วิชาชีพ

Hord (2009) ได้นาเสนอเง่ือนไขทจี่ ะทาใหก้ ารทา PLC ประสบความสาเร็จซง่ึ บางประเด็นกม็ าจากลกั ษณะ
ของการเป็น PLC ซึ่งมีรายละเอยี ดดังนี้

1. สมาชิกในชุมชน (Community Membership) สิ่งแรกทต่ี อ้ งคานึงถึงคือสร้างกลุ่มครูที่จะทางานร่วมกัน
ซง่ึ อาจจะเรมิ่ จากกลุม่ ตามระดบั ช้นั หรือกลมุ่ สาระวชิ า เปน็ กลุ่มเล็กๆประชุมอาทิตย์ละครั้งหรือเดือนละครั้งเพ่ือ
ร่วมกันพูดคุยเกี่ยวกับความต้องการของผู้เรียน หลักสูตร การสอน ที่เหมาะสม โดยเน้นการเรียนรู้ของผู้เรียน
ร่วมกันกาหนดเปา้ หมาย นาเสนอวธิ ีการท่จี ะบรรลเุ ปา้ หมาย รว่ มกันแสดงความคดิ เหน็ และตัดสินใจ

2. ภาวะผู้นา (Leadership) ภาวะผู้นาและบทบาทของผู้บริหารเป็นส่ิงสาคัญอย่างมากในการทาให้มีการ
ประชุมกลุ่ม ผูบ้ รหิ ารต้องทาความเข้าใจกับครูถึงวัตถุประสงค์ของการร่วมกันพูดคุยเก่ียวกับปัญหาต่างๆในการ
เรยี นรู้ของผ้เู รยี น ส่งเสรมิ ใหค้ รเู กิดการเรยี นรรู้ ่วมกันท่ีจะส่งผลตอ่ การพฒั นาผู้เรียน

33

3. เวลาในการเรยี นรู้ (Time for Learning) ผู้บรหิ ารตอ้ งอานวยความสะดวกให้ครไู ดจ้ ัดตารางเวลาเพ่อื การ
ประชุมพูดคุยกัน ซ่ึงอาจจะใช้เวลาหลังการสอน 15-20 นาทีของแต่ละวัน หรือตามความเหมาะสมของแต่ละ
โรงเรยี น

4. สถานที่เรียนรู้ (Space for Learning) ผู้บริหารควรอานวยความสะดวกในการใช้ห้องเรียนเพ่ือการ
ปฏิบัติการสอนและการเรียนรู้ของสมาชิกในกลุ่ม ในขณะเดียวกันผู้บริหารสามารถหมุนเวียนไปเยี่ยมเยียน ให้
กาลังใจ ให้คาปรกึ ษาตามหอ้ งตา่ งได้

5. สนับสนนุ การใช้ข้อมูล (Data Use Support) ต้องกาหนดให้สมาชิกในกลุ่มคนใดคนหนึ่งรับผิดชอบใน
การรวบรวมข้อมูลเพอื่ ให้กลุม่ นามาศึกษาวเิ คราะห์ สมาชกิ คนอืน่ ๆก็ควรจะรูว้ ธิ ีการนีด้ ว้ ย

6. การกระจายภาวะผู้นา (Distributed Leadership) แม้ว่าผู้บริหารต้องใช้ภาวะผู้นาในการขับเคล่ือน
กระบวนการ PLC แต่ควรมอบอานาจใหส้ มาชกิ ในกลมุ่ ในการตัดสินใจ ใหค้ วามเสมอภาคกับทุกคนในการสะท้อน
คดิ อภิปรายความคิดเหน็ ทาใหค้ รสู ร้างการเรียนรู้ไดด้ ว้ ยตนเองอนั จะนาไปสกู่ ารเรยี นรูอ้ ย่างต่อเนอ่ื ง

จะเหน็ ได้ว่าปจั จยั สาคญั ของการเป็น PLC คือการทางานเป็นทีมในการแกป้ ญั หาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของ
ผู้เรียน ครูในโรงเรียนคือชุมชนแห่งความรู้และชุมชนแห่งการเรียนรู้ PLC จะทาให้เห็นการทางานของทีมท่ีมี
ประสิทธิภาพ จึงต้องมีกลยุทธ์ วิธีการในการพัฒนาทีมเพ่ือพัฒนาโรงเรียน ดังนั้นกระบวนการ PLC จึงมี
วัตถปุ ระสงคใ์ นการสะทอ้ นกระบวนการพัฒนาไปสู่เป้าหมายท้ังส่วนบุคคลและกลุ่ม เชื่อมโยงกับการมีวิสัยทัศน์
เก่ยี วกับการเรียนรู้ร่วมกันของครูในโรงเรียน รูปแบบการพัฒนาวิชาชีพแบบเดิมเน้นการส่งเสริมให้ครูมีทักษะ
ความรู้ท่ีจาเป็นในการเป็นครูท่ีดี แต่ PLC มีแนวคิดว่าการพัฒนาวิชาชีพคือ การให้ครูเรียนรู้จากการปฏิบัติ
ความรู้และประสบการณ์ของครูจะเกิดจากการร่วมกันสืบสอบ เสาะหาความคิด วิธีการใหม่ๆในการสอนเพื่อ
พฒั นาการเรียนรู้ของนักเรียน ซึ่งต้องสนับสนุนให้ครูตัดสินใจบนพ้ืนฐานของบริบท เป้าหมาย ความรู้ทึ่ครูมีอยู่
ความรู้ใหมใ่ นวิชาชพี และความตอ้ งการของผู้เรียน PLC เป็นการเปลย่ี นแปลงวัฒนธรรมการทางานของโรงเรียนท่ี
สง่ ผลต่อพฒั นาการเรยี นรู้ของผู้เรียน ผลสาเรจ็ ของ PLC คอื การเปล่ียนแปลงการสอนของครูและการเรียนรู้ของ
นักเรียนท่ีดีขึน้

34

การตรวจเย่ียมการสอน (Instructional Rounds)

แนวคิดของการพัฒนาครูแบบการตรวจเย่ียมการสอนหรือ Instructional Rounds มกี าเนิดมาจากวงการ
วิชาชีพแพทย์ทีม่ กี ารสอนแพทยฝ์ กึ หดั ในโรงพยาบาล ซง่ึ ทุกข้นั ตอนในวชิ าชพี ของเขา จะเรียนรู้ด้วยกันจากปัญหา
ทเี่ กดิ ข้ึนจริงของคนไข้ คาวา่ rounds เป็นศพั ทท์ างการแพทย์ หมายถึงการที่แพทย์ออกไปตรวจเย่ียมอาการของ
คนปว่ ยตามห้องต่างๆ เมื่อนาแนวคดิ นี้มาใช้ในวงการศึกษาเกย่ี วกับการพฒั นาครู เปน็ การสร้างความน่าเชื่อถือของ
“ทฤษฎขี องการปฏบิ ัติ” ซึ่งอยู่บนฐานของของการสงั เกตโดยรวม และการร่วมกนั อภปิ รายแสดงความคดิ เหน็ ถึงสิ่ง
ท่ีเกิดขึ้นจริงในห้องเรียนและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะ วิธีการน้ีใช้ กันอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา
ออสเตรเลีย อังกฤษ ในการช่วยครู ด้วยการทางานที่ไม่ต้องเป็นไปตามขั้นตอนการนิเทศมากมาย ในบริบทที่
แตกตา่ งกนั ของโรงเรียน การนิเทศลักษณะน้ีใช้แนวคิดการสืบสอบการสอน ควบคู่กับการทาวิจัย หรือใช้ข้อมูล
ผลการวิจัยมาสนับสนนุ เพ่ือใหท้ ฤษฎีชองการปฏิบตั ิสามารถสร้างวฒั นธรรมการสอนใหมใ่ นโรงเรยี น ซ่งึ ได้ทั้งการ
สืบสอบและผลสัมฤทธิ์ การตรวจเยย่ี มการสอนเปน็ กลยทุ ธใ์ นการพัฒนาครทู ง้ั ในโรงเรยี นและโรงเรยี นเครอื ข่าย

กระบวนของการตรวจเยีย่ มการสอน (Instructional Rounds Process)
City และคณะ (2018) ได้กาหนดขัน้ ตอนในการตรวจเยย่ี มการสอนไว้ 4 ข้ันดงั น้ี
1. นาเสนอปัญหาการปฏิบัติ (Problem of Practice)โรงเรียนหรือเครือข่ายนาเสนอปัญหาของการ

ปฏบิ ัตงิ าน ซ่ึงปญั หานั้นควรจะเกี่ยวกับการเรียนการสอน สามารถสังเกตได้โดยตรง อยู่ในความรับผิดชอบของ
โรงเรยี นทตี่ ้องการในขณะนนั้ และเชือ่ มโยงกับกลยทุ ธ์การพฒั นาของโรงเรยี น ปญั หานนั้ ต้องมผี ลที่ทาใหเ้ หน็ ความ
แตกต่างในการเรียนรูข้ องนกั เรยี น

2. สงั เกตการปฏิบัตกิ ารสอน (Observation 0f Practice) ทมี นิเทศซ่ึงประกอบด้วยครู ผู้เชี่ยวชาญด้าน
การสอนและผูท้ มี่ ีส่วนเกย่ี วข้อง เข้าสังเกตการสอนในห้องเรียนอย่างมุ่งม่ันตามวัตถุประสงค์ โดยทั่วไปแล้วกลุ่ม
นิเทศอาจจะ มี 5-6 คน เขา้ ไปสงั เกตการสอน 5-6 หอ้ ง ห้องละประมาณ 20 นาที ซ่ึงจะเป็นห้องใดบ้างโรงเรียน
จะเป็นคนเลอื กห้องที่สามารถเห็นปัญหาของการเรียนการสอน ทีมนิเทศจะเรียนรู้จากการเข้าไปสังเกตและจด
บันทึก และเนน้ ทีก่ ารทางานของนกั เรยี น ข้อมูลท่ที มี นเิ ทศต้องรวบรวมจะเปน็ การอธบิ ายไมใช่การประเมนิ เป็นส่ิง
ทีเ่ ฉพาะเจาะจงเกย่ี วกบั การเรียนการสอนทีเ่ ปญ็ หา

35

3. ซักถามข้อมูลจากการสงั เกต (Observation Debrife) ทมี นิเทศจะร่วมกนั ซักถามส่งิ ทีไ่ ด้จากการสังเกต
โดยระบุส่ิงท่ีเห็นจากการสังเกต วิเคราะห์จากหลักฐานท่ีปรากฏในห้องเรียน แล้วทานายส่ิงท่ีนักเรียนเกิดการ
เรียนรู้ โดยคิดวา่ ถา้ เราเป็นนกั เรียนแลว้ ทางานทีค่ รูมอบหมายจนเสร็จ เราจะเรยี นรอู้ ะไรบ้างจากส่ิงท่ีเราสามารถ
ทาได้

4. กาหนดการทางานขั้นต่อไป (Next Level of Work) จากส่ิงที่ได้จากการสังเกตในข้ันต้น ทีมนิเทศ
จะต้องร่วมกนั ระดมสมองในการทางานขนั้ ต่อไป โดยการแบง่ ปนั ทฤษฎขี องการปฏิบตั ิกับบุคลากรที่รับผิดชอบใน
โรงเรียน เชน่ ขอ้ มลู ของเนือ้ หา แหล่งข้อมูล วิธีพัฒนาวิชาชีพท่ีหลากหลายที่จะส่งผลต่อการริเริ่มทาในปัจจุบัน
กลมุ่ นิเทศจะรวบรวมขอ้ มลู การใหค้ าแนะนาเพอ่ื พฒั นาการนาไปใช้ในระดับโรงเรียนหรอื กลุ่มอน่ื ๆ

การนิเทศแบบตรวจเย่ียมการสอน อาจจะทางานร่วมกันหลายทีม แต่ละทีมประกอบด้วย ผู้บริหาร ครู
บคุ ลากรจากหนว่ ยงานในพนื้ ที่ท่ีรับผิดชอบ ผเู้ ช่ียวชาญและคนอ่ืนๆท่ีเก่ียวข้อง ทีมเหล่าน้ีเป็นเครือข่ายโรงเรียน
คอยให้คาปรกึ ษาทางวชิ าการ เพอ่ื สรา้ งกลยทุ ธ์ วิธีการและแบ่งปันสิ่งท่ีดีท่ีสุดของการปฏิบัติวิชาชีพ เขาเหล่านั้น
จะใชเ้ วลาในหอ้ งเรียน สงั เกตการสอนอยา่ งละเอยี ด เพ่อื เป็นขอ้ มูลอธบิ ายและวเิ คราะหพ์ ืน้ ฐาน ไม่ใช่การประเมิน
วา่ ดหี รอื ไม่ดเี พ่ือตัดสินหรือวิพากษ์วิจารณ์ ทีมงานจะร่วมกันพัฒนาความคิดรวบยอดท่เี ปน็ นามธรรมเช่น การเพ่ิม
ความแม่นยาในเนือ้ หา หรอื การใหน้ ักเรียนเกิดทักษะการคดิ วิเคราะห์ ทีมงานจะพัฒนาทฤษฎีของการกระทาว่า
ครแู ละนกั เรยี นควรพูดหรือทาอะไรถ้าสอนการคิดวิเคราะห์ หรือนักเรียนควรทาอะไรที่จะแสดงให้เห็นถึงความ
แม่นยา ความเขม้ ข้นในเนอ้ื หา เป็นการแนะนาการสอนของครูอย่างมือาชีพ มีการกากับติดตามการจัดกิจกรรม
ของครู แต่ถ้าไมไ่ ดผ้ ลตามที่คาดหวัง ทมี งานกจ็ ะช่วยกันระดมความคิดแก้ปัญหาโดยใช้ความเชี่ยวชาญของแต่ละ
คน และการทาวจิ ัยสนับสนนุ ดงั นัน้ การตรวจเย่ียมการสอนจงึ มีความแตกตา่ งจากการนเิ ทศการสอนทั่วๆไปท่ีเน้น
การพัฒนาครูเป็นรายบุคคล แม้จะมีการสังเกตการสอนเหมือนกัน แต่การเย่ียมการสอน จะเน้นการพัฒนาใน
ภาพรวมและทางานเปน็ ทีม

การเดินเยีย่ มชั้นเรยี น (Classroom Walk Through)

การเดนิ เยย่ี มชน้ั เรียนหรือ Classroom Walk Through หรอื Walkthrough เปน็ วิธกี ารนิเทศอีกแบบหน่ึง
เปน็ การนเิ ทศโดยทีมบรหิ ารซ่ึงอาจจะประกอบด้วยผู้อานวยการโรงเรียน รองผู้อานวยการฝ่ายวิชาการและครูผู้

36

นิเทศ 3-4 คน เดินเย่ียมชน้ั เรยี นโดยใช้ระยะเวลาส้นั ๆในแตล่ ะห้อง ในการเดินเย่ียมแต่ละครั้งจะมีจุดมุ่งหมายใน
การสงั เกตทแ่ี ตกตา่ งกัน ซงึ่ เป็นแนวคดิ เดียวกับรปู แบบการนิเทศแบบควบคุมเชิงบรกิ าร

หลกั การของการเดินเย่ียมชนั้ เรยี น
แนวคิดของการนเิ ทศแบบเดินเย่ียมช้นั เรียน Cochran (2017) ได้เสนอหลกั การ 5 ข้อ เพอ่ื เป็นแนวปฏบิ ัติ

ดังนี้
1. การเดนิ เยยี่ มช้นั เรยี นจะต้องไมเ่ ปน็ ทางการ ซ่ึงหมายถึงขอ้ มลู ท่ไี ด้จากการสังเกตอาจจะไมม่ าก ไม่มีการ

บอกกบั ครูโดยตรงแต่จะนามาใช้ในการสะทอ้ นดว้ ยคาถาม
2. ตอ้ งใชเ้ วลาสั้นๆ ไมค่ วรเกิน 15 นาที ซ่ึงเพยี งพอในการท่ีจะได้ขอั มูลเก่ยี วหลกั สูตรและการสอนมกี ารใช้

อย่างไร
3. ต้องไมม่ กี ารประเมนิ หรอื การตัดสนิ ใดๆ หมายถงึ ไมม่ กี ารตรวจสอบการรายละเอยี ดของการสอน จะไม่

มุ่งตดั สนิ การสอนของครู แต่จะเกบ็ ขอ้ มลู ของครูเพือ่ ท่ีผู้นิเทศจะทาหน้าท่ีสอนงานครไู ด้
4. ควรจะเปน็ การนเิ ทศแบบเพอ่ื นร่วมงาน ไม่ใช่การนิเทศแบบเดมิ ๆท่ีเคยปฏบิ ตั กิ นั มา การนเิ ทศแบบเดมิ ๆ

จะดูผลตามมาตรฐาน ความพึงพอใจในงาน แต่การเดินเยี่ยมชั้นเรียนแม้ว่าจะเป็นการนิเทศโดยทีมบริหารจะ
มุ่งเน้นการพัฒนาครูมากกว่าทจี่ ะให้ครตู อ้ งมาคล้อยตาม การนิเทศแบบเดินเยี่ยมชั้นเรียนจะกระตุ้นให้เกิดความ
ร่วมมอื ของเพือ่ นรว่ มงานท่ีใชก้ ารสะทอ้ นแบบสืบสอบ

5. ควรใช้กระบวนการสะท้อนคิดด้วยการสนทนาพูดคุย วัตถุประสงค์ของการเยี่ยมช้ันเรียนคือการ
สรา้ งสรรค์คาถามท่ีทาใหเ้ กดิ การสะทอ้ นคดิ ในการนาบทสนทนาและสะทอ้ นกลบั กบั ครู เพ่อื ให้ครเู กดิ การตระหนกั
ในตนเอง และการสะทอ้ นตนเองในการสอน อย่างไรกต็ ามการสนทนากับครอู าจจะไม่จาเป็นอีกหลังจากเสร็จสิ้น
การเยี่ยมชั้นเรยี น

องคป์ ระกอบสาคัญ
Nancy (2009) ได้กาหนดองค์ประกอบสาคญั ของการนิเทศแบบการเดินเย่ียมช้นั เรียน ไวด้ ังน้ี
1. การทาเป็นกจิ วัตร ควรทาทกุ วันวนั ละ 5 นาที ไม่ควรเกนิ 15 นาที
2. การระบุจดุ เน้นในการสังเกต การเยี่ยมช้ันเรียนในระยะเวลาส้ันๆให้มีประสิทธิภาพต้องมีการกาหนด

เปา้ หมายในการเยย่ี มช้นั เรียน ควรจะมีเป้าหมายและกาหนดตารางที่ชัดเจนว่าจะสังเกตอะไร เช่น อาทิตย์นี้จะ
สังเกตดูวา่ นักเรียนเขา้ ใจวัตถุประสงค์ของบทเรียนหรอื ไม่ อาทิตยถ์ ดั ไปจะสังเกตการจัดกจิ กรรมของครู เป็นตน้

37

3. การเย่ียมชนั้ เรยี น สง่ิ ทีท่ มี นิเทศควรสงั เกต เช่น การทางานของนักเรียน การทบทวนจุดประสงคห์ ลกั สตู ร
ก่อนการสอนของครู พฤติกรรมมการสอน อาจจะเดินดูรอบๆเพี่อดูว่าครูสอนอะไรไปแล้วบ้างหรือจะสอนอะไร
ตอ่ ไป และบนั ทึกส่ิงท่ีได้จากการสงั เกต

4. การสะท้อนความคิดเหน็ หลงั จากเดินเยยี่ มชนั้ เรยี น เป็นช่วงเวลาที่กาหนดให้ผู้ท่ีมีส่วนรว่ มในการสังเกต
การสอนท้งั ผบู้ ริหาร ครู หรอื ผ้เู ชีย่ วชาญ ได้ร่วมกนั อภิปรายถึงสงิ่ ที่แต่ละคนได้สังเกตเห็นในการจัดการเรียนการ
สอนและการเรยี นรู้ของนักเรยี น ส่ิงที่สาคัญคือการรว่ มกันสะท้อนความคิดเห็น ให้ข้อมูลป้อนกลับในสถาณการที่
เกิดข้นึ ในขณะนน้ั กับครู ซงึ่ อาจจะเป็นการสะท้อนเกยี่ วกับพฤตกิ รรมการสอนของครู ระดับของการปฏิบัติ เปน็ ตน้

ในการเดินเยี่ยมช้ันเรียนแบบ walkthroughs นั้น ผู้บริหารควรมีการวางแผนในขั้นต้นเป็นการเริ่มเก็บ
ขอ้ มลู การจดั การเรยี นการสอนโดยทั่วๆไปกอ่ น ก่อนการเย่ียมชนั้ เรียนผ้บู ริหารควรมกี ารประชุมทาความเขา้ ใจกับ
ครูถงึ วิธกี ารน้ี เพอื่ ความชดั เจนในวตั ถุประสงค์ ความคาดหวัง และกระบวนการทีจ่ ะทา มุ่งเน้นการสงั เกตระยะสั้น
โดยการเดินเยี่ยมของทมี ควรมองหาองคป์ ระกอบเฉพาะของการเรียนการสอนท่ีมีประสิทธิภาพ หรือแนวทางใน
การเรยี นรทู้ ่ตี อ้ งการกาหนดเป้าหมายในการปฏบิ ตั ิ การมองหาต้องเชอ่ื มโยงกบั มาตรฐานทก่ี าหนด ซึ่งเปน็ ขน้ั ตอน
ทส่ี าคัญท่จี ะตอ้ งสรา้ งความเข้าใจในการส่ือสารเพอ่ื สร้างการยอมรบั

การสงั เกตอย่างไมเ่ ต็มรูปแบบ (Mini Observation)

การสังเกตแบบไม่เต็มรูปแบบหรือ Mini observation เป็นแนวคิดที่ตรงกันข้ามกับการสังเกตการสอน
โดยท่ัวๆไปท่เี ปน็ ลกั ษณะเตม็ รปู แบบหรือ Full Observation ผูร้ ิ่เริมแนวคิดนี้คือ Kim Marshall อดีตผู้บริหาร
โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในเมือง Boston สหรัฐอเมริกา ได้คิดวิธีการนิเทศการสอนครูในขณะที่ปฏิบัติหน้าท่ี
ผู้บริหาร เพือ่ เหน็ สภาพจรงิ ในหอ้ งเรียน ใชเ้ วลาไมน่ านและทั่วถงึ ทุกคน เขาไดท้ าการวิจัยและเผยแพร่วิธีการน้ีจน
เปน็ ทนี่ ิยมอยา่ งแพร่หลายในสหรัฐอเมรกิ า การเปน็ ผบู้ รหิ ารทม่ี ีภาระงานมากไมส่ ามารถสังเกตการสอนได้ทั้งคาบ
และการสงั เกตการสอนทเ่ี ปน็ ทางการแบบเดิมๆ เป็นการยงุ่ ยากสาหรับผบู้ ริหารท่ตี อ้ งมีการประชมุ ก่อนการสังเกต
การสอน และหลงั จากการสงั เกตการสอนต้องประชุมครอู ีกคร้ังเพ่อื ใหข้ อ้ มูลย้อนกลับ การสังเกตการสอนแบบเดิม
สามารถทาได้เพี่ยงคนละหนื่งคร้ังต่อเทอม ซึ่งหมายถึงในหนึ่งปีครูจะได้รับการสังเกตเพียงสองครั้งเท่านั้น ซ่ึง
เป็นไปได้ยากที่จะทาใหค้ รูเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมการสอน ดังนั้นเขาจงึ คดิ ปรบั วิธกี ารนิเทศการสอนทีเ่ หมาะสมกบั
ผู้บริหาร ทตี่ ้องใหค้ วามสาคัญกบั การพฒั นาการจดั การเรยี นการสอนของครแู ละการเรยี นร้ขู องนกั เรียน การสังเกต

38

อย่างไม่เต็มรูปแบบเน้นของการสังเกตระยะส้ันๆ แต่บ่อยคร้ัง ไม่มีการแจ้งล่วงหน้า จะใช้เวลาประมาณ 5-15
นาทตี ่อหอ้ งเรยี น ในหนึง่ วนั ผู้บรหิ ารสามารถสังเกตได้หลายห้อง และกจิ กรรมท่ตี ้องทาหลังการสังเกตการสอนใน
แตล่ ะวันคือ การสนทนาใหข้ ้อมลู ป้อนกลบั กับครูแบบตัวต่อตัวในวนั เดยี วกนั (Marshall,2013)

หลักการของการสังเกตอย่างไมเ่ ตม็ รปู แบบ
1. ระยะเวลาและความถี่ ควรใชเ้ วลาในการสังเกตประมาณ 10-15 นาที ผู้บริหารควรจะจัดระบบของใน

การเย่ียมชั้นเรียนให้มีความแตกต่างกันในแต่ละครั้ง เช่น เข้าไปสังเกตตอนเร่ิมคาบเรียน หรือกลางคาบ หรือ
ตอนท้าย ส่วนความถีค่ วรจะเปน็ เดือนละครง้ั ซึ่งจะดสี าหรับครทู จ่ี ะไดร้ ับข้อมูลย้อนกลับของการสอนในภาพรวม
ทง้ั หมดและบ่อยครัง้ ผบู้ รหิ ารหรือผนู้ ิเทศก็สามารถนิเทศครูทุกคนได้อย่างสม่าเสมอ การสังเกตบ่อยๆจะทาให้
ผู้บรหิ ารกาหนดสิ่งทจ่ี ะสังเกตไดค้ รอบคลมุ

2. การมองหา การเย่ียมห้องเรียนระยะส้ัน ข้อมูลมาก ถ้าผู้บริหารมัวแต่จะบันทึกรายละเอียดต่างๆ
อาจจะทาใหพ้ ลาดการกระทาที่เกิดข้ึนจริงในห้องเรียน ควรใช้เคร่ิองมือท่ีเก็บข้อมูลแบบ Checklist หรือท่ีเป็น
Rubric แตค่ วรตั้งคาถามสาคัญไว้ 3 ข้อ คือ นักเรียนควรจะเรียนรู้อะไร น้ันคอื วธิ สี อนท่ีดีทส่ี ุดหรือไม่ นกั เรียนได้
เรยี นรูท้ กุ คนหรือไม่ หรอื กาหนดส่ิงทีจ่ ะสงั เกตเรม่ิ ต้นจากง่ายๆจนไปถึงเรื่องยาก เชน่ สังเกตเรื่องความปลอดภัยใน
ห้องเรียน วัตถปุ ระสงคข์ องบทเรียน วธิ สี อน การกระตุ้นใหน้ กั เรียนมีสว่ นรว่ ม การเรยี นรขู้ องนักเรยี น เปน็ ตน้

3. การช้ีแนะดว้ ยตนเอง เพ่อื เป็นการสร้างความไว้วางใจ สะท้อนความรู้สึก รับรู้ส่ิงท่ีครูภูมิใจหรือกังวล
ผู้บรหิ ารควรพดู คยุ กบั ครทู นั ที ม่งุ เฉพาะประเด็นสาคัญๆที่ครูต้องปรับปรุง แล้วสรุปข้อมูลส่งให้ครูภายหลัง การ
พูดคยุ ในแต่ละครั้งหลงั การสงั เกตการสอน ครคู วรบอกข้อมูลเบ้ืองหลงั เกี่ยวกบั หลกั สตู รการสอน เพ่อื ทีผ่ ู้บริหารจะ
ได้ชี้แนะได้อยา่ งถูกตอ้ ง

4. การจดั เวลา การสงั เกตอยา่ งไม่เต็มรูปแบบท้ังวงจรอาจจะใช้เวลา 30 นาที โดยแบ่งเป็น 10 นาทีใน
หอ้ งเรียน 10 นาที่ในการพดู คยุ ซักถาม และ 10 นาทีใ่ นการบนั ทึกขอ้ มลู ตา่ งๆ

5. การประเมินสรปุ ผล การสงั เกตอยา่ งไม่เตม็ รปู แบบมกี ารใช้เครื่องมือประเมินการปฏิบัติการสอนของ
ครู ซึ่งอาจจะเป็น เคร่อื งมือท่ใี ช้เกณฑ์ rubric หรือการบันทึก การตรวจสอบรายการ ผลการประเมินแต่ละครั้ง
สามารถนามาหาคา่ เฉลย่ี ระดับคุณภาพเมอื่ สน้ิ ปีการศกึ ษา

ลกั ษณะของการสงั เกตอยา่ งไมเ่ ตม็ รูปแบบ
การนเิ ทศการสอนดว้ ยการสงั เกตอยา่ งไมเ่ ตม็ รปู แบบมีลกั ษณะเฉพาะ 12 ประเดน็ ดงั น้ี

39

1. ไม่มกี ารแจง้ ให้ทราบล่วงหนา้ (Unannounced) เพ่ือท่ีจะเห็นสภาพจริงที่เกิดขนึ้ ในห้องเรียนตอนนน้ั
2. มีการสังเกตบ่อยครง้ั (Frequent) เพื่อให้ความยตุ ิธรรมกับครูในการประเมินผล การสังเกตเพียงคร้ัง
เดียว ระยะเวลาสั้นๆ ไมส่ ามารถสรุปผลคุณภาพหรอื ปัญหาการสอนของครไู ด้ และการได้สังเกตบ่อยคร้ังข้อมูลท่ี
ได้จะเปน็ สงิ่ ยนื ยนั ความเทย่ี งตรงในการตัดสนิ
3. เปน็ การสังเกตระยะส้นั (Short) ใชเ้ วลาไม่มาก ประมาณ 10-15 นาที เป็นการกาหนดเวลาทเี่ หมาะสม
สาหรบั ผู้บรหิ ารที่ต้องสังเกตครทู ุกคนอย่างท่ัวถึง และสงั เกตไดห้ ลายครั้งตอ่ ปีการศึกษา
4. ใหข้ อ้ มลู ป้อนกลับตัวตอ่ ตัว (Face to Face) หลังการสังเกตการสอนเมื่อครูสอนจบแล้ว ผู้บริหารต้อง
ให้ข้อมลู ป้อนกลับอยา่ งไม่เป็นทางการกบั ครูเป็นรายคนทันที (ซ่ึงระบไุ ว้วา่ ควรจะภายใน 24 ชว่ั โมง)
5. การทาความเขา้ ใจในการสอน (Perceptive) ผู้บรหิ ารเข้าไปสงั เกตการสอนในเวลาสนั้ ๆจะต้องมีทักษะ
ในการสงั เกต เขา้ ใจในสงิ่ ท่เี กิดขึ้นในหอ้ งเรยี น ซ่ึงทาได้ใน 2 ลักษณะคือ Freerange การสงั เกตแบบเปดิ ใจในส่ิง
ที่เกิดขึ้น ไม่เจาะจงสิง่ ท่ีอยากเห็น อีกลกั ษณะหนงึ่ คือ Checklist การกาหนดรายการทีจ่ ะสงั เกตแล้วตรวจสอบว่า
อะไรบ้างทีม่ ีการทาหรอื ไมท่ า
6. การอ่อนน้อมถอ่ มตน (Humble) ในการสังเกตในระยะเวลาสั้นๆ ผู้บริหารอาจจะไม่เข้าใจทุกอย่างท่ี
สังเกตเห็นหรอื เกดิ ขึน้ ในห้องเรยี น ในการซักถามข้อมลู ที่เกดิ ขึน้ ผูบ้ รหิ ารควรใช้คาพดู หรอื นา้ เสียงทใี่ ห้ความรู้สึกไม่
ใช้อานาจ ขม่ ขูห่ รือกดดนั ใหค้ รูเกดิ ความร้สู กึ เกรงกลวั
7. ความกล้า (Courageous) ในการสังเกตการสอนบางคร้ังผู้บริหารอาจจะเห็นความผิดพลาดในการ
สอน เชน่ สอนเนื้อหาผดิ นกั เรยี นไมส่ นใจทากิจกรรม ฯลฯ หลงั จบการสอนผบู้ ริหารต้องกล้าท่ีจะบอกให้ครูแก้ไข
ทนั ที โดยไมต่ อ้ งกลวั วา่ ครอู าจจะไม่พอใจ ตอ่ ตา้ น หรอื ทาใหเ้ สยี สัมพนั ธภาพ เพราะถา้ ไม่กล้าท่ีจะบอกครูก็จะคิด
วา่ ส่งิ ท่ีทาไปน้นั ถูกตอ้ งแลว้
8. เปน็ ระบบ (Systematic) ผูบ้ ริหารต้องมกี ารเตรยี มการอย่างเปน็ ระบบ เชน่ การเตรยี มขอ้ มูลเบอ้ื งตน้
ของครทู ่จี ะสังเกต การจัดตารางเวลา รายการทีจ่ ะสังเกต เป็นตน้
9. เอกสารหลกั ฐาน (Documented) ในการสังเกตผู้บริหารต้องมีการบนั ทึกหลักฐานของท่ีสิ่งท่ีเกิดขึ้น
ถ้าไมท่ าขณะท่สี ังเกตเพราะเวลานอ้ ย กอ็ าจจะบนั ทึกเมื่อเสรจ็ งานในแต่ละวันรวมท้ังเขียนสะท้อนความเห็นด้วย
เพือ่ จะได้ไมล่ มื เพราะในแตล่ ะวนั มีการสงั เกตครหู ลายคน

40

10. เช่ือมโยงการทางานเป็นทีมของครูและการพัฒนาโรงเรียนในภาพรวม (Linked to Teacher
Teamwork and Schoolwide Improvement) จากการที่ผู้บริหารได้มีโอกาสสังเกตการสอนครูทุกคน ได้เห็น
ภาพรวมของการจดั การเรยี นการสอนและศักยภาพของครแู ต่ละคน ทง้ั ท่เี ป็นจุดเดน่ และข้อควรปรับปรงุ ผู้บริหาร
ควรใช้ขอ้ มูลเหล่าสง่ เสริมต่อยอดให้ครูร่วมกันทางานเป็นทีมในการพัฒนาการเรียนการสอน เช่น จัดกลุ่มนิเทศ
แบบเพ่อื นชว่ ยเพือ่ น การเป็นพเ่ี ลย้ี ง จดั โครงการอบรมในสิ่งท่ีตอ้ งปรบั ปรงุ พฒั นา เป็นต้น

11. เช่ือมโยงกับการประเมินครูเม่ือส้ินปี ( Linked to the End-Of-Year Teacher Evaluation) การ
สงั เกตการสอนอย่างไม่เต็มรปู แบบแมจ้ ะใช้ระยะเวลาสนั้ ๆ แต่สามารถทาไดบ้ ่อยครงั้ ดงั นั้นข้อมูลของครูแต่ละคน
จะเห็นพัฒนาการที่ต่อเนื่อง เม่ือสิ้นปีการศึกษาผู้บริหารสามารถใช้ข้อมูลที่มีเป็นหลักฐานท่ีน่าเชื่อถือในการ
ประเมินได้

12. การอธิบายท่ีชดั เจน (Explained Well) ก่อนการใช้การนเิ ทศแบบสังเกตอยา่ งไมเ่ ต็มรปู แบบ ผบู้ ริหาร
ต้องอธบิ ายทาความเขา้ ใจในหลกั การและเหตผุ ลกบั ครูกอ่ น การไม่สอื่ สารให้เข้าใจจะสร้างความกังวลใจให้กับครู
และเกิดการไมย่ อมรับ จะสง่ ผลตอ่ ความราบรนื่ ในการปฏิบตั ิ

การนิเทศโดยการสังเกตอย่างไม่เต็มรูปแบบเป็นวิธีการท่ีผู้บริหารควรให้ความสนใจและนาไปใช้ไม่ยาก
เป็นการแสดงศกั ยภาพการบริหารวิชาการได้อย่างขัดเจน ท้ังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้บริหาร
เพราะการเย่ยี มชัน้ เรียนบ่อยๆอย่างไมเ่ ปน็ ทางการ ได้พูดคุยกับครู ทาให้ครูเกิดความสบายใจ ลดความกังวล ใน
ขณะเดียวกันผู้บริหารก็ได้รู้จักครูมากข้ึน ได้ใช้ความรู้แนะนาครูในสิ่งท่ีเป็นประโยชน์ในการสอน การร่วมกัน
สะทอ้ นผลจากการสงั เกตการสอนบ่อยๆ เปน็ กระบวนการทชี่ ่วยในการพัฒนาศักยภาพของครู เพราะครูต้องร่วม
พูดคุยกับผู้บริหาร อภิปรายส่ิงที่เกิดข้ึนในห้องเรียน เป็นการอภิปรายในวิชาชีพที่กระตุ้นให้ครูคิดวิเคราะห์
ใครค่ รวญในการตอบคาถาม ในขณะเดยี วกนั การสงั เกตการสอนทีเ่ กดิ ขึ้นกเ็ ปน็ การบอกใหผ้ ้บู รหิ ารตระหนักวา่ ควร
จะมีการอบรมใหค้ วามรคู้ รตู อ่ ไปอยา่ งไร สิง่ สาคัญสาหรับการพัฒนาการนิเทศภายในโรงเรียนคือ ทาให้ผู้บริหาร
เหน็ ศกั ยถาพของครบู างคนทสี่ ามารถเปน็ พเ่ี ล้ียงครูคนอ่ืนๆได้ สนับสนุนให้ครูเหล่าน้ันใช้จุดเด่นของตนช่วยเหลือ
ครทู อี่ ยใู่ นกลมุ่ วิชาเดียวกัน โดยใช้การนิเทศแบบชี้แนะ เพอ่ื นช่วยเพอื่ น พ่ีเลีย้ ง หรอื เปน็ ผนู้ าในการพูดคยุ อภปิ ราย
เกยี่ วกับการพฒั นาวชิ พี ทีค่ รูตอ้ งการ โดยใชก้ ระบวนการ PLC

41

การนเิ ทศดว้ ยแฟ้มสะสมงาน (Portfolio Supervision)

คาว่า Portfolio หรือแฟม้ สะสมงาน เรามกั จะนกึ ถึงการสะสมผลงาน ชิ้นงานของนักเรียนโดยเก็บไว้ใน
แฟม้ เพื่อเป็นหลกั ฐานของผลงานทโ่ี ดดเดน่ ประสบความสาเร็จ สาหรับครูแฟ้มสะสมงานจะเป็นเอกสารประวัติ
ผลงาน การเข้ารบั การอบรมเพือ่ พฒั นาวชิ าชีพ ภาพการทากจิ กรรมตา่ งๆ คาส่ังท่ีได้รับมอบหมายให้ทางานต่างๆ
ทั้งท่ีเก่ียวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือเป็นหลักฐานในการขอตาแหน่งทาง
วิชาการเพือ่ ความกา้ วหนา้ ในวิชาชพี การทาแฟม้ สะสมงานไมใ่ ชเ่ รื่องใหม่ของครู แต่การทาแฟ้มสะสมงานให้เป็น
กระบวนการหนึง่ ในการนิเทศเพื่อพัฒนาวชิ าชพี โดยมเี ป้าหมายหลกั คอื การเรยี นร้ขู องนกั เรยี นยังไม่มีการนามาใช้
อยา่ งชดั เจน เราจะมุ่งเน้นการเกบ็ ผลของงานทเ่ี สรจ็ สิน้ แล้ว แต่แนวคิดของแฟม้ สะสมงานเพ่อื การนเิ ทศ คือการใช้
แฟ้มสะสมงานเพื่อเป็นเครื่องมือในการนิเทศเพ่ือพัฒนาการสอน ให้ครูเรียนรู้จากการปฏิบัติและเป็น
กระบวนการวิจยั ในชัน้ เรยี นได้

เน้ือหาในแฟม้ สะสมงาน (The Contents of a Portfolio)
ส่ิงทร่ี วบรวมไว้เปน็ แฟม้ สะสมงานของครูควรเปน็ เอกสาร ส่อื หรือผลงานประดิษฐ์ท่ีเกี่ยวกับการเรียนการ

สอนท่ีเกดิ ข้ึนจริงของครู แฟ้มสะสมงานจะเปน็ เสมือนเรื่องเล่าเกี่ยวกับการพัฒนาการเรียนการสอนที่สะท้อนให้
เห็นกระบวนการและผลลัพธท์ ี่เกดิ ชึ้นกับผู้เรียน สง่ิ ท่รี วบรวมไวแ้ ฟม้ ควรจะเปน็ สิง่ เหลา่ นค้ี อื

1. เป้าหมายของการพฒั นา ครูจะตอ้ งกาหนดเปา้ หมายของการปฏบิ ัติงานทจี่ ะเก็บไว้ในแฟม้ สะสมงาน
ไวใ้ ห้ชดั เจน สามารถทาได้หลากหลายเข่น การพัฒนาการสอน การพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียน การแก้ปัญหา
การเรยี น เป้าหมายท่ีตง้ั ไว้จะเปน็ เสมอื นเขม็ ทศิ ใหค้ รูดาเนินการได้ตรงตามวัตุประสงค์

2. เอกสารต่างๆเช่น แผนการสอน ผลการสอบของนักเรียน โครงการสอน ผลงานนักเรียน ความ
คดิ เหน็ ของผปู้ กครอง สิ่งเหล่านจ้ี ะเปน็ สือ่ ท่แี สดงให้เห็นกระบวนการในการปฏบิ ัติงานของครู

3. รูปภาพกจิ กรรมต่างๆทเี่ กยี่ วกับการเรยี นการสอน การร่วมประชุมกับเพ่ือนครูเพ่ือการแลกเปล่ียน
เรยี นรู้

4. วดิ ิโอเทป ทบ่ี ันทึกการสอนในชน้ั เรียน ซงึ่ จะเป็นประโยชนแ์ ละเปน็ หลกั ฐานสาคัญในการตรวจสอบ
การสอนของครยู ้อนหลัง เพือ่ ใช้ในการประเมินการสอนของตนเอง หรอื เป็นเครอ่ื งมือในการใหก้ ารนเิ ทศแนะนา

42

5. บันทึกการสะทอ้ นความคิดของครูเก่ียวกับการสอน เช่น วิธีสอน การใช้สื่อ พฤติกรรมการเรียนของ
ผู้เรียนซึง่ อาจจะเขียนไว้หลังการใช้แผนการสอนเม่ือจบแต่ละหน่วยการเรียนรู้ หรือเม่ือมีสถานการณ์บางอย่าง
เกิดขึน้ ที่เป็นผลตอ่ การจดั การเรยี นการสอน การดาเนินการกับส่ิงท่เี กดิ ขนึ้

6. บันทึกการให้คาปรึกษาแนะนาของผู้นิเทศ เพ่ือนครู ผู้บริหาร และผลการปรับปรุงพัฒนาตาม
คาแนะนา

7. ผลการประเมนิ ตนเอง ผลการประเมนิ จากนกั เรยี น ผลการประเมินจากผ้บู ริหารหรอื ผูน้ เิ ทศ

แฟม้ สะสมงานเพ่ือการประเมิน
แฟ้มสะสมงานของครใู ช้ประเมินการสอนของครูได้ท้ังการประเมินระหว่างภาคเรียน หรือใช้ประเมิน

เม่ือสิ้นปีการศึกษา การทาแฟ้มสะสมงานก็จะมีความแตกต่างกันตามลักษณะของการประเมินดังนี้
(Zepeda.2017., Clickman และคณะ,2018)

1. การทาแฟ้มเพ่อื การประเมนิ ระหว่างการปฏบิ ตั ิการสอน (Formative Evaluation) ควรจะทาเปน็ 4
ส่วนคือ

1) หลักฐานการประเมินตนเองของการสอนในชว่ งสัปดาห์ต้นๆของการสอน ซึ่งอาจจะประกอบด้วย
ข้อมูลการสังเกตการสอนโดยเพ่ือนครู ผลงานนักเรียน ผลสัมฤทธืทางการเรียนของนักเรียน การประเมินจาก
นกั เรยี น เปน็ ต้น ซึง่ ครจู ะตอ้ งสะท้อนความคิดเห็นในผลตา่ งๆท่ีปรากฏ

2) แผนการปฏิบตั กิ ารในการพัฒนาทวี่ างไว้ตลอดปีการศึกษา ซ่ึงประกอบด้วย เป้าหมายและวิธีการ
พัฒนา เช่น การเขา้ รบั การอบรม การฝึกปฏิบตั ิ เปน็ ตน้ รวมทงั้ แผนการประเมิน วธิ ีการประเมนิ ครจู ะต้องสะท้อน
ให้เหตผุ ลในการเลอื กวธิ กี ารนน้ั ๆดว้ ย

3) ภาพหรือหลกั ฐานต่างๆทีเ่ ข้ารับการพฒั นาตามแผนท่วี างไว้ เช่น ขอ้ คิดเหน็ ผ้นู เิ ทศท่ีมาใหค้ าแนะนา
หลงั จากการสงั เกตการสอน ผลงานนักเรยี น และเอกสารอนื่ ท่ีแสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความกา้ วหนา้ ของการพฒั นาและการ
สะทอ้ นความคดิ เก่ียวการพฒั นา เปลีย่ นแปลง แฟ้มสะสมงานส่วนนี้เปรียบเสมือนการเล่าเร่ืองความเป็นมาของ
การพฒั นาตง้ั แตต่ น้

4) จะเป็นเอกสารหลักฐานเพมิ่ เติมจากส่วนที่ 3 นาเสนอจนจบปกี ารศกึ ษา

43

การพัฒนาแฟม้ สะสมงานในขั้นตอนนี้ครูสามารถนาเสนอปัญหาทีพ่ บ สืง่ ทีค่ าดหวงั ที่จะทา หรือการนา
วิธีสอนใหมๆ่ มาใช้ การใช้แฟ้มสะสมงานให้เป็นประโยชน์ในการพัฒนา การบันทึก การสะท้อนความคิดถึงการ
พัฒนาตนเอง และแบ่งปนั ข้อมลู แลกเปลย่ี นเรียนร้โู ดยใช้แฟ้มสะสมงานกบั เพอ่ื นครู

2. การทาแฟ้มสะสมงานเพื่อประเมินเม่ือส้ินภาคเรียนหรือปีการศึกษา (Summative Evaluation) การ
ประเมินลักษณะนีใ้ ชห้ ลักฐานเอกสารท้งั หมดทุกตอนของแฟม้ ทใ่ี ช้ประเมินระหวา่ งภาคเรยี นหรอื ระหว่างปีมาแล้ว
สงิ่ สาคัญคอื ครตู อ้ งสะท้อนให้เห็นถงึ ผลการปฏิบัติในภาพรวม สอดคลอ้ งกบั เป้าหมายของตนเองและของโรงเรียน
การประเมินในสว่ นนคี้ วรบอกระดับของความกา้ วหน้าในภาพรวมทง้ั หมด

การใช้แฟ้มสะสมงานในการนเิ ทศ

การทาแฟ้มสะสมงานของครเู ปน็ ส่ือ เครื่องมอื กระบวนการ ในการนิเทศได้หลากหลายวิธีการดังน้ี

การนเิ ทศตนเอง (Self Directed)
การทาแฟ้มสะสมงานที่มีกระบวนการท่ีเป็นระบบ มีเป้าหมายชัดเจนครูจะเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง

จากหลกั ฐานสง่ิ ทเี่ ก็บไวใ้ นแฟ้ม สามารถประเมินตนเองไดว้ า่ เป้าหมายที่ตัง้ ไวใ้ นแตล่ ะเร่ืองประสบความสาเรจ็ มาก
น้อยเพียงใด การวเิ คราะหผ์ ลท่เี กิดข้นึ การสะท้อนคิดในการปฏิบัตงิ าน การปรับปรุงแก้ไขให้บรรลุตามเป้าหมาย
ทาให้ครเู กดิ การเรียนรู้และพฒั นาตนเองจนประสบความสาเร็จ บรรลตุ ามเป้าหมาย สิง่ ที่ครูรวบรวมและคัดเลือก
ไวใ้ นแฟม้ คอื ผลงานหรือหลักฐานท่คี รมู ีความภาคภมู ิใจในความเปลยี่ นแปลงทีเ่ กิดขน้ึ แมก้ ารทาแฟ้มสะสมงานจะ
จบภาคเรียนหรือส้ินปีการศึกษา แค่ครูสามารถใชเ้ ป็นแหล่งข้อมูลเพ่ือใชพ้ ฒั นาตนเองในการจัดการเรียนการสอน
ในครัง้ ตอ่ ๆไป

การนิเทศแบบพ่ีเลีย้ ง แบบให้คาช้แี นะ (Mentoring, Coaching)
การนิเทศวธิ กี ารน้ีจะมีผู้ทาหนา้ ที่นิเทศในฐานะพี่เล้ียงหรือโค็ช ในขณะท่ีครูผู้ทาแฟ้มสะสมงานจะเป็น

ผู้รบั การนิเทศ ข้อมลู เอกสาร หลักฐานตา่ งๆในแฟ้ม จะทาให้ผ้นู ิเทศรวู้ ่าควรจะให้คาแนะนาอะไร อย่างไร เพ่ือให้
ครบู รรลุตามเป้าหมาย การส่งเสรมิ แนะนาใหค้ รูวิเคราะห์ขอ้ มูลในการทาแฟ้ม การรับฟังครูสะท้อนคิดการปฏิบัติ
จากหลักฐานในแฟ้ม การใหข้ ้อมลู ปอ้ นกลบั ของผนู้ ิเทศ การนเิ ทศเหลา่ นี้เปน็ กระบวนการท่ีอยู่ระหว่างการพัฒนา
แฟม้ หรอื ทาแฟ้มเสร็จส้ินแล้วกไ็ ด้ ผ้นู เิ ทศสามารถใชแ้ ฟม้ สะสมงานเป็นหลกั ฐานในการประเมินผลการปฏิบัติงาน
ของครู ซง่ึ เป็นกระบวนการหลังจากทาแฟ้มสมบรู ณ์แลว้

44

การนเิ ทศแบบเพื่อนช่วยเพื่อน (Peer Supervision)
แฟ้มสะสมงานจะเปน็ แหล่งข้อมูลทใ่ี ช้ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเพ่ือนครูท่ีดีท่ีสุดอย่างหนึ่ง ดังที่

กลา่ วมาแลว้ วา่ แฟม้ สะสมงานคือผลงานท่ีครูภาคภูมิใจ คือความสาเร็จ เป็นการเรียนรู้จากการปฏิบัติที่เป็นเลิศ
(Best Practice) ซง่ึ กันและกัน สามารถนาไปเป็นแนวทางไดท้ นั ท่ีเพราะผลงานในแฟ้มเป็นสิ่งท่ีท่ีพิสูจน์มาแล้วว่า
ประสบผลสาเร็จ เช่น ผลสัมฤทธ์ทางการเรียนของนักเรียน ผลงานนักเรียน ผ่านการทดลองในห้องเรียนที่
เหมือนกับการทาวิจัยในชั้นเรียน ในการพัฒนาแฟ้มสะสมงาน สามารถพัฒนาร่วมกันกับเพ่ือนครูให้คาปรึกษา
แนะนาซึ่งกันและกันได้

การนเิ ทศแบบคลนิ กิ
ในขัน้ ตอนของการนิเทศแบบคลินิกสามารถใช้แฟ้มสะสมงานเพื่อการนิเทศได้ทุกขั้นตอนคือ ในข้ันก่อน

การสังเกตการสอนครูและผู้นิเทศกาหนดเป้าหมายร่วมกัน ซ่ึงสามารถกาหนดเป้าหมายหลักให้ครอบคลุมทั้งปี
การศกึ ษา และกาหนดเปา้ หมายยอ่ ยกอ่ นการสงั เกตการสอนแต่ละครงั้ องคป์ ระกอบส่วนนตี้ ้องมไี วใ้ นแฟม้ ขั้นการ
สังเกตการสอน ผู้นเิ ทศแนะนาใหค้ รูเกบ็ รวบรวมเอกสารต่างๆทคี่ รใู ชส้ อน ผลงานนักเรียน ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น
เป็นหลักฐานของความกา้ วหน้าของเป้าหมายท่ีวางไว้ ผ่านการให้คาแนะนาจากผู้นิเทศ การทาแฟ้มขั้นหลังการ
สงั เกตการสอน จะเป็นข้อมูลท่คี รสู ะทอ้ นความคดิ จากสงิ่ ทส่ี อน ผนู้ ิเทศให้ขอ้ มูลป้อนกลับ ข้อเสนอแนะ ดังแผนภูมิ

Goal Setting Cycles of Clinical Supervision Portfolio Refinement

 Pre- observation Conference
 Classroom Observation
 Post-observation Conference

Portfolio Development

แหลง่ ที่มา : Zepeda (2017) Instructional Supervision : Applying Tools and Concept

45

การทาแฟ้มสะสมงานเพ่ือการนิเทศผู้ นิเทศจะเห็นกระบวนการพัฒนาการเรียนการสอนอย่างชัดเจน
ตอ่ เนอ่ื งตามสภาพจริง เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งทคี่ รสู ามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ได้หลายอย่างเช่น การทาวิจัยในชั้น
เรียน การพฒั นานวตั กรรมสอื่ การสอน การทาคู่มอื การสอน เปน็ ต้น ในปัจจุบันครูสามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
ทาเป็น Digital Portfolio โดยการทาผ่าน Application อยา่ งเช่น Google Docs ซ่งึ ขอ้ มูลของแฟ้มจะถูกจัดเก็บ
ไวบ้ น Cloud ซ่งึ ง่ายต่อการจัดเกบ็ เข้าถึงไดง้ ่ายและปลอดภยั ต่อการสญู หายของข้อมลู

46

รายการอา้ งองิ

City, E., Elmore, R., Fiarman, S., Teitel, L. (2018) Instructional Rounds in Education: A Network
Approach to Improving Teaching and Learning. University of Glassglow. Scotland

Cochran, Jason (2017) 5 Best Practices for Classroom Walk throughs. Retrieved from :
https://aspireapp.com/5-best-practices-for-classroom-walkthroughs/

Glickman, Carl D., Gordon, Stephen P., and Ross-Gordon. (2018) Supervision and Instructional
Leadership: A Developmental Approach. 10th ed. Boston: Allyn and Bacon, Inc.,

Hord, Shirley M. (2009) Professional Learning Community. Nation Staff Development Council.
Volum 30.No.1 (40-43)

Kruse, Shrron; Louis, Karen Seashore; Bryk, Anthony. (.1994) Building Professional Community
in School. Retrieved from
https://www.wcer.wisc.edu/archive/cors/issues_in_restructureing_schools/issues
no_6_spring_1994.pdf)

Lewis, C. (2002) Lesson Study : A Handbook of Teacher-led Instructional Improvement.
Philadelphia: Research for bBetter Schools.

Marshall, Kim.(2013) Rethinking Teacher Supervision and Evaluation : How to Work
Smart, Build Collaboration, and Close the Achievement Gap. Second edition.
Jossey- Bass, San Francisco USA.

Seang,Peter M. (2006) The Fifth Discipline: the Art and Practice of the Learning
Organization. (Revised ed.) New York : Currency/Doubleday.

Senge. Peter (2014) The Fifth Discipline Feildbook : Strategies and Tools for Building a
Learning Organization. Crown Publishing Group Bacon.

Shoreline Public School. (2018) PLC Resource Handbook for Staff. Retrieved from:
https://www.shorelineschools.org/Page/1338

Zepeda, S. J. (2017). Instructional Supervision : Applying Tools and Concepts. Fourth Edition,
New York, Routledge.


Click to View FlipBook Version