การศกึ ษาชุมชนเกษตร กระบวนวชิ า 352741
โดย อาจารย์ประจําวชิ า รศ.ดร.อาวรณ์ โอภาสพัฒนกจิ
หลักสูตรสง่ เสรมิ การเกษตรและพัฒนาชนบท ภาควชิ าพัฒนาเศรษฐกิจการเกษตร
คณะเกษตรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่
รว่ มกับ
นางสาวปิยนุช ทรวงคาํ 620832006
นายพงศ์ศริ ิ ตารินทร์ 620832007
นายวัชระ อนิ โองการ 620832008
นายอนสั มณีพฤกษ์ 620832010
นายเอกชัย สุสกุลโชคดี 620832011
นายดํารงฤทธ์ิ ศริ ขิ ่วง 620832019
นางสาวทิวากร แก้วรากมขุ 620832020
นางสาวกัณณิกา คาํ สงิ ห์ 620832022
ข
คํานํา
เอกสารฉบับนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนวิชา 352741 การศึกษาชุมชนเกษตร หลักสูตรส่งเสริม
การเกษตรและพัฒนาชนบท ภาควิชาพฒั นาเศรษฐกจิ การเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จดั ทาํ
ข้ึนโดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาแนวคิดทฤษฎีเก่ียวกับการศึกษาชุมชนการเกษตรฝึกออกแบบกระบวนการและใช้
เครื่องมือในการศึกษาชุมชนเกษตรปรบั ทัศนคตใิ นการศกึ ษาและการทาํ งานในชุมชนเกษตรรวมถึงนําส่ิงที่ได้เรียนรู้
และฝึกปฏิบัติจากการศึกษาชุมชนเกษตรไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยมุ่งหวังให้ผู้ที่ศึกษาได้เรียนรู้เก่ียวกับ
แนวคิด ทฤษฎี ด้านการศึกษาชุมชนการเกษตรสามารถออกแบบกระบวนการและใช้เคร่ืองมือในการศึกษาชุมชน
เกษตร มีทัศนคติที่ดีต่อการศึกษาและการทํางานในชุมชนเกษตร สามารถนําสิ่งท่ีได้เรียนรู้และฝึกปฏิบัติ
จากการศกึ ษาชมุ ชนเกษตรไปใช้ได้จรงิ
ทั้งน้ี การศึกษาชุมชนเกษตรคณะผู้จัดทําได้ลงพื้นท่ีศึกษาชุมชนเกษตร ณ ตําบลเมืองคอง
อําเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2563 โดยเลือกใช้เครื่องมือ ได้แก่ MIND MAP
และ TIMELINE ซ่ึงทักษะท่ีได้ฝึกฝน และนําไปใช้ได้จริงจากการศึกษาชุมชนเกษตร เช่น การทํางานตามลําดับ
ขั้นตอนการประสานงานการทํางานเป็นทีมการดําเนินการประชุมการใช้เคร่ืองมือในการศึกษาชุมชนการระดม
ความคิด แลกเปลี่ยนความคิดเห็นการจับประเด็นที่สําคัญการวิเคราะห์ข้อมูลการสรุปผลการศึกษาชุมชน
และการนาํ ไปใช้ประโยชน์ เปน็ ตน้
ขอขอบพระคุณอาจารย์ผู้สอนเป็นอย่างสูงท่ีได้กรุณาให้ข้อเสนอแนะ ปรับปรุงแก้ไขเอกสารฉบับ
น้ีให้มีความสมบูรณ์ตลอดระเวลาในการปฏิบัติงานขอขอบคุณนายกองค์การบริหารส่วนตําบลเมืองคอง
กํานัน ผู้ใหญ่บ้านเกษตรกร และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนที่ให้การต้อนรับ และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ผู้จัดทํา
หวังว่าเอกสารฉบบั นี้ จะเป็นประโยชน์ต่อองค์กร ผู้นําชุมชน เกษตรกร หรือผู้ท่ีสนใจศึกษาชุมชนเกษตร สามารถ
นําข้อมูลสว่ นนไี้ ปปรบั ใช้ในการวางแผนการศึกษาชุมชนเกษตรในพ้ืนท่ีได้อย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพต่อไป
หากมขี อ้ เสนอแนะประการใด ผจู้ ดั ทาํ ขอรับไวด้ ้วยความขอบพระคณุ ยง่ิ
คณะผู้จดั ทํา
30 กนั ยายน 2563
ค
สารบญั หนา้
คาํ นํา ข
สารบัญ ค
สารบัญตาราง จ
สารบัญรปู ภาพ ฉ
บทท่ี 1 บทนาํ 1
หลกั การและเหตุผลของการศึกษาชมุ ชนการเกษตร 1
ความคาดหวงั ของนักศกึ ษา 2
วัตถุประสงค์ 3
ผลที่คาดว่าจะไดร้ บั 3
บทท่ี 2 แนวคดิ และทฤษฎเี กีย่ วกบั การศกึ ษาชมุ ชน 5
ความหมาย “ชมุ ชน” และ “การศึกษาชมุ ชน” 5
หลกั การในการศกึ ษาชมุ ชน 7
วธิ กี ารศึกษาชุมชน 9
บทท่ี 3 การวางแผนและการดําเนนิ งาน 11
ขั้นตอนการวางแผน 11
การดาํ เนินงาน 21
บทที่ 4 ผลการดาํ เนินงานการศกึ ษาชุมชนเมืองคอง 22
ข้อมลู บริบทชมุ ชน 22
ผลการระดมความคิดเห็น 1 ตาํ บล 1 มหาวิทยาลยั 24
การสร้างเครือข่ายการทาํ งานด้านการขับเคลื่อนชมุ ชนเกษตร 27
บทท่ี 5 สรปุ ผลและประเมินผลการดําเนนิ งาน 28
สรุปความรู้ (World Café) 28
ทักษะทไ่ี ดฝ้ กึ และจะนําไปใชไ้ ด้จริง แนวคดิ /วิธคี ิดท่ีเปลยี่ นไป เครือข่ายใหม่ 32
ง
สารบญั (ต่อ) หนา้
38
เอกสารอ้างองิ 39
ภาคผนวก 39
40
การเรม่ิ ตน้ เรียนกระบวนวชิ าศกึ ษาชมุ ชนเกษตร 41
การฝกึ ปฏิบตั กิ ารใชเ้ ครอ่ื งมอื ในการศกึ ษาชุมชนเกษตร 42
การวางแผนลงพื้นทใี่ นการศกึ ษาชมุ ชนเกษตร 46
การลงพื้นทใี่ นการศกึ ษาชุมชนเกษตร ตาํ บลเมอื งคอง อําเภอเชยี งดาว จงั หวดั เชยี งใหม่
การประเมนิ ผลสิ่งทีไ่ ดร้ ับหลงั จากการลงพื้นท่ศี กึ ษาชมุ ชนเกษตร
จ
สารบญั ตาราง หน้า
งบประมาณในการดาํ เนนิ โครงการ 14
แผนการดาํ เนนิ งาน 15
Session Plan 16
กาํ หนดการโครงการศึกษาชมุ ชนเกษตร ตาํ บลเมอื งคอง อาํ เภอเชียงดาว จงั หวัดเชียงใหม่ 19
Time Line 20
การดาํ เนินงาน 21
ปฏิทินการผลติ ทสี่ าํ คญั ในพน้ื ที่ตาํ บลเมอื งคอง 23
ฉ
สารบญั รปู ภาพ หน้า
4
ภาพที่ 1 ความคาดหวังของนักศึกษา 27
ภาพที่ 2 LINE มหาวิทยาลัยเมืองคอง
1
บทท่ี 1
บทนํา
1.1 หลกั การและเหตุผลของการศกึ ษาชมุ ชนการเกษตร
การศึกษาชุมชนเกษตรเป็นกระบวนวิชาท่ีเพิ่มศักยภาพให้นักศึกษาได้เพ่ิมทักษะการเรียนรู้ทั้ง
จากการศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎีเกี่ยวกบั การศึกษาชมุ ชนการเกษตร การฝกึ ออกแบบกระบวนการและใช้เครื่องมือ
ในการศึกษาชุมชนเกษตร การปรับทัศนคติในการศึกษาและการทํางานในชุมชนเกษตร เพ่ือนําส่ิงที่ได้เรียนรู้
และฝึกปฏิบัติจากการศึกษาชุมชนเกษตรไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมีแนวทางในการลงพ้ืนที่เพื่อศึกษา
เรียนรู้ในพ้ืนท่ีตัวอย่างท่ีมีกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตรท่ีเป็นรูปธรรม รวมถึงการลง
พน้ื ท่ศี ึกษาเรียนรชู้ มุ ชนเกษตร เพื่อนําแนวคิด ทฤษฎี ด้านการศกึ ษาชุมชนเกษตร ไปปรบั ใช้โดยการฝึกปฏิบัติ
จดั การความรดู้ า้ นการศกึ ษาชุมชนเกษตร การวิเคราะห์ปัญหา การปรับใช้เทคนิค วิธีการ และเครื่องมือศึกษา
ชมุ ชนเกษตรในสถานท่จี ริง
สําหรับการฝึกฝนทักษะการออกแบบกระบวนการและใช้เครื่องมือในการศึกษาชุมชนเกษตร ใน
เทอมน้ี อาจารย์ผู้สอนและนักศึกษา ได้ใช้เง่ือนไขจริง กล่าวคือ โครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมราย
ตําบลแบบบูรณาการ (1 ตําบล 1 มหาวิทยาลัย) ตามประกาศกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยเเละ
นวัตกรรม ด้วยสํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซ่ึงเปิดโอกาสให้
นักวิชาการ เข้าไปดําเนินการในพ้ืนท่ีท่ีระดับตําบล โดยออกแบบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับสินค้า
OTOP การยกระดับการท่องเที่ยว การบริการชุมชนหรือการเพิ่มรายได้รูปแบบอื่นให้แก่ชุมชน โดยลักษณะ
ของการจ้างงานในการดําเนนิ โครงการ ไดแ้ ก่
1) จัดทําข้อมูลและฐานข้อมูลชุมชน (ทํางานร่วมกับโครงการพัฒนาตําบลแบบบูรณาการ ของ
กรมการปกครอง)
2) การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) ในการวางแผนและตัดสินใจ เพ่ือจัดทํานโยบาย
แนวทาง และงบประมาณสนับสนุน
3) การเฝ้าระวัง ประสานงานและติดตามข้อมูลสถานการณ์การระบาดของ COVID และ
โรคระบาดใหม่ การเฝ้าระวังและติดตามผู้ป่วยและ กลุ่มเส่ียง การส่งต่อการรักษา
การประชาสัมพันธ์แจ้งข้อมูลข่าวสาร การปรับสภาพแวดล้อม ระบบรายงานสถานการณ์
การระบาดของโรค (รว่ มกับ สบค.)
4) การจัดทําข้อมลู ราชการในตําบลเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Digitalizing Government Data)
(รว่ มกับ กพร.)
5) การจา้ งงานเพื่อยกระดบั สินค้า OTOP การยกระดับการท่องเท่ยี ว การบริการชุมชน หรือการ
เพ่ิมรายได้รูปแบบอื่นให้แก่ชุมชนตามรูปแบบกิจกรรมท่ีจะเข้าไปดําเนินการในพ้ืนที่ที่
รบั ผดิ ชอบ
2
6) การพัฒนาทักษะอาชีพใหม่จากความหลากหลายทางชีวภาพและความหลากหลายทาง
วัฒนธรรมของชมุ ชน และ
7) การถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อการพัฒนา
เศรษฐกิจและสงั คมในชุมชน
อาจารย์เจ้าของวิชาและนักศึกษา จึงได้ใช้โครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตําบลแบบ
บูรณาการ 1 ตําบล 1 มหาวิทยาลัย เป็นเง่ือนไขในการเลือกพ้ืนท่ี ได้แก่ตําบลเมืองคอง อําเภอเชียงดาว จังหวัด
เชียงใหม่ เปน็ พื้นท่ีปฏิบัติการจริงเพ่ือการศึกษาชุมชนเกษตร การวิเคราะห์ปัญหา การปรับใช้เทคนิค วิธีการ และ
เคร่ืองมือศึกษาชุมชนเกษตรในสถานที่จริง และพัฒนาข้อเสนอ โครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตําบล
แบบบูรณาการ (1 ตําบล 1 มหาวิทยาลัย) โดยกําหนดจัดกิจกรรมศึกษาชุมชนตําบลเมืองคอง วันอาทิตย์ที่ 23
สิงหาคม 2563 ณ ห้องประชมุ องค์การบริหารส่วนตําบลเมอื งคอง
1.2 ความคาดหวังของนกั ศกึ ษา
จากการระดมความต้องการและความคาดหวังของนักศึกษาจากการเรยี นการสอนวิชาการศึกษา
ชุมชนการเกษตรโดยใช้เครื่องมือ Card Technique การจัดหมวดหมู่และการเขียนสะท้อนคิด ซ่ึงสามารถจําแนก
ไดอ้ อกมาเปน็ 4 ประเดน็ ดังนี้
ประเด็นที่ 1 วชิ าการ ทฤษฎี
o ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
o SDGs
o แนวคิดการศกึ ษาชมุ ชนเกษตร
o ความรู้ การจัดการความรู้ด้านการศึกษาชมุ ชนเกษตร
o ความรู้ในการวิเคราะห์ปญั หา
o วธิ กี ารศกึ ษาชุมชนเกษตร
o วิธีการศึกษาชุมชนตน้ แบบ
o เครื่องมอื ในการศึกษาชุมชนเกษตร
o เทคนิควิธกี ารดงึ ขอ้ มูล การจบั ประเด็นขอ้ มลู การสรปุ ขอ้ มลู
ประเด็นที่ 2 ปฏิบตั ิ
o การวิเคราะหง์ านปัจจบุ นั
o การแก้ไขปัญหาทเี่ กดิ ขนึ้
o การฝึกปรบั ปรงุ พัฒนา
o การสร้างเครือข่ายการทํางาน (Connection)
o การฝึกใชเ้ ครอ่ื งมือ
o การศึกษาในสถานทจ่ี รงิ
o การถอดบทเรยี นชุมชนตน้ แบบ
3
ประเดน็ ที่ 3 ทศั นคติ
o การปรับตวั
o เกษตรสมยั ใหม่
o แนวคิดคนรุ่นใหม่ (ฌอน)
o การเข้าหาคนในชุมชน
o การท่องเท่ยี ว
o Coach life
ประเด็นท่ี 4 สิ่งที่ไดร้ บั
o นาํ ไปปรบั ใชก้ บั งานที่ทํา
o เกดิ Connection
o ไดเ้ ทคนคิ วิธีการเข้าถึงชมุ ชน
o เหน็ ภาพด้านการเกษตรในมมุ มองทตี่ า่ งออกไป
o เขา้ ใจชมุ ชน
o เข้าใจเพอื่ นมนษุ ย์
o ได้ใจชมุ ชน
o ประสบการณ์
o ประสบการณก์ ารศกึ ษาชุมชน
o เกิดความตอ่ เนอื่ งและยั่งยืน (ชุมชนพงึ่ พิงตนเองได)้
o การนําความร้ทู ไ่ี ด้นบั ไปปรบั ใช้
1.3 วตั ถุประสงค์
1) เพอื่ ศึกษาแนวคดิ ทฤษฎเี กี่ยวกับการศึกษาชมุ ชนการเกษตร
2) เพอื่ ฝึกออกแบบกระบวนการและใชเ้ ครอ่ื งมอื ในการศกึ ษาชุมชนเกษตร
3) เพ่ือปรับทศั นคติในการศึกษาและการทํางานในชมุ ชนเกษตร
4) เพ่ือนําสิ่งท่ีไดเ้ รยี นรแู้ ละฝึกปฏิบตั ิจากการศกึ ษาชมุ ชนเกษตรไปใช้ให้เกดิ ประโยชนส์ งู สดุ
1.4 ผลท่คี าดวา่ จะไดร้ บั
1) ไดเ้ รียนรูเ้ กยี่ วกบั แนวคดิ ทฤษฎี ดา้ นการศึกษาชมุ ชนการเกษตร
2) นกั ศกึ ษาสามารถออกแบบกระบวนการและใชเ้ ครอ่ื งมอื ในการศกึ ษาชุมชนเกษตร
3) นกั ศึกษามที ัศนคติท่ดี ตี ่อการศกึ ษาและการทาํ งานในชมุ ชนเกษตร
4) สามารถนําสิ่งท่ีไดเ้ รียนรู้และฝกึ ปฏิบัตจิ ากการศกึ ษาชมุ ชนเกษตรไปใชไ้ ด้จริง
4
ภาพท่ี 1 ความคาดหวงั ของนกั ศกึ ษา
5
บทท่ี 2
แนวคิดและทฤษฎีเก่ยี วกับการศกึ ษาชุมชน
ความหมาย “ชมุ ชน” และ “การศึกษาชมุ ชน”
พจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายของชุมชน หมายถึง หมู่ชนกลุ่มคน
ท่ีอยู่รวมกันเป็นสังคมขนาดเล็ก อาศัยอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน และมีผลประโยชน์ร่วมกัน (ชุมชน, 2552 :
ออนไลน)์
ประเวศ วะสี(2541 : 32) ได้ให้ความหมายของความเป็นชุมชนไว้ว่า การท่ีคนจํานวนหนึ่งเท่าใดก็ได้มี
วตั ถุประสงค์ร่วมกัน มีการตดิ ต่อส่ือสารหรือรวมกลุ่มกัน มีความเอื้ออาทรต่อกัน มีการเรียนรู้ร่วมกันในการกระทํา
รวมถงึ การติดตอ่ สอื่ สารกนั มกี ารจัดการเพื่อใหเ้ กิดความสําเรจ็ ตามวตั ถปุ ระสงค์ร่วมกนั นนั้
ชยันต์ วรรธนะภูติ(2536 : 23-25) ได้ให้ความหมายของชุมชน ไว้ว่า การอยู่รวมกันของกลุ่มคนจํานวน
หน่งึ ในพนื้ ทแ่ี หง่ หนง่ึ เพ่อื อาศยั ทรพั ยากรธรรมชาตใิ นบรเิ วณนนั้ ในการดาํ รงชวี ติ โดยเหตทุ ีม่ ีคนกลุ่มดังกลา่ วอาศัย
อยู่ร่วมกัน ใช้ทรัพยากรเพ่ือการผลิตจึงมีการกําหนดรูปแบบความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน มีองค์กรหรือสถาบันของ
ชมุ ชนและกฎเกณฑต์ ่าง ๆ
กาญจนา แก้วเทพ (2538 : 14) ได้ให้ความหมายของชมุ ชน ไว้ว่า กลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตบริเวณ
เดยี วกัน มีความสัมพนั ธ์ใกล้ชิด มีฐานะและอาชีพที่เหมือนหรอื คล้ายคลึงกัน (Homogeneous) มีลักษณะของการ
ใช้ชีวิตร่วมกัน มีความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน ผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชน มีความรู้สึกว่าเป็นคนชุมชนเดียวกัน
นอกจากน้ี ยังมีการดํารงรักษาคุณค่าและมรดกทางวัฒนธรรมและศาสนา ถ่ายทอดไปยังลูกหลานอีกด้วย เช่น
ชุมชน หรอื หมบู่ า้ นในชนบท เปน็ ต้น
สัญญา สัญญาวิวัฒน์(2526 : 6) ได้กล่าวถงึ ความหมายของชุมชน ไว้ว่า องค์การทางสังคมอย่างหนึ่งท่ีมี
อาณาเขตครอบคลุมท้องถ่ินหน่ึง และปวงสมาชิกสามารถบรรลุถึงความต้องการพ้ืนฐาน ส่วนใหญ่ได้และสามารถ
แกไ้ ขปัญหาสว่ นใหญใ่ นชมุ ชนของตนเองได้
จินตนา สุจจานันท์ (2549 : 44) ได้ให้ความหมายของชุมชน ไว้ว่า คนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน
มีความสมั พันธ์กันและมวี ฒั นธรรมเดยี วกนั
เพคก์ ได้ให้ความหมายของชุมชน ไว้ว่า ปัจเจกชน ซึ่งเรียนรู้ถึงสื่อสัมพันธ์ด้วยความซ่ือสัตย์และเป็นผู้มี
ความใกล้ชิดสนิทสนมกันอย่างแน่นแฟ้น และมีความสัมพันธ์ร่วมกันอย่างมีนัยสําคัญ ที่จะร่วมสุขร่วมทุกข์และ
เก้ือกูล โดยมองว่าชุมชนท่ีดีน้ัน ไม่ใช่จะเกิดข้ึนได้อย่างง่ายดาย หรือไม่ได้เกิดขึ้นและดํารงอยู่อย่างง่าย ได้ให้
ความหมายของชุมชน ไว้ว่า ๆ เพราะชมุ ชนนน้ั จะต้องมีเป้าหมาย และการท่ีจะไปสู่เป้าหมายนน้ั จะต้องหาหนทาง
ด้วยการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันด้วยความรักและสันติสุขเพ่ือชุมชนน้ันจะสร้างความเป็นชุมชนได้อย่างสําเร็จความรู้สึก
ของสมาชกิ ในชุมชนนั้นร้สู กึ วา่ อบอุ่นและปลอดภัย (เพคก์, 2552 : ออนไลน)์
6
ดันแฮม ได้ให้ความหมายของชุมชน ไว้ว่า กลุ่มมนุษย์ กลุ่มหนึ่ง ต้ังภูมิลําเนา อยู่ในอาณาเขตทาง
ภูมิศาสตร์ที่ค่อนข้างแน่นอนและติดต่อกันและกัน และมีส่วนสําคัญของชีวิตทั่ว ๆ ไปอย่างเดียวกันเช่นมารยาท
ขนบธรรมเนยี มประเพณีและแบบแห่งการพดู (ดนั แฮม, 2552 : ออนไลน)์
สมสมัย เอียดคง ได้ให้ความหมายของชุมชน หมายถึง ถิ่นฐานที่อยู่ของกลุ่มคน ถ่ินฐานน้ีมีพื้นท่ีอ้างอิงได้
และกลมุ่ คนนี้มกี ารอย่อู าศยั ร่วมกัน มีการทาํ กิจกรรม เรียนรู้ตดิ ต่อส่ือสาร ร่วมมือและพ่ึงพาอาศัยกัน มีวัฒนธรรม
และภูมิปัญญาประจําถ่ิน มีจิตวิญญาณและความผูกพันอยู่กับพื้นที่แห่งนั้น อยู่ภายใต้การปกครองเดียวกัน
(สมสมยั เอียดคง, 2552 : ออนไลน์)
กองสิ่งแวดล้อมชุมชนและพ้ืนท่ีเฉพาะ ได้นิยามศัพท์คําว่า ชุมชน หมายถึง ถ่ินฐานท่ีอยู่ของกลุ่มคนถ่ิน
ฐานน้ีมีพื้นท่ีอ้างอิงได้ และกลุ่มคนน้ีมีการอยู่อาศัยร่วมกัน มีการทํากิจกรรม เรียนรู้ ติดต่อสื่อสาร ร่วมมือและ
พ่ึงพาอาศัยกัน มีวัฒนธรรมและภูมิปัญญาประจําถิ่น มีจิตวิญญาณและความผูกพันอยู่กับพ้ืนที่แห่งนั้นอยู่ภายใต้
การปกครองเดยี วกนั (กองส่ิงแวดล้อมชุมชนและพ้นื ทเี่ ฉพาะ, 2552 : ออนไลน)์
การศกึ ษาชมุ ชนมีนักวิชาการหลายทา่ นไดใ้ หค้ วามหมายไว้ ดงั นี้
การศึกษาชุมชน หมายถึง การสํารวจและศึกษาวิเคราะห์หาความจริงในสภาวะของ สังคม เศรษฐกิจ
วฒั นธรรม ความตอ้ งการ และปัญหาในชุมชนนนั้ ๆ เพื่อที่จะก่อใหเ้ กดิ การปรบั ปรงุ เปลย่ี นแปลงใหด้ ีข้ึน อันจะเป็น
ประโยชน์ในการดาํ รงชวี ิตของประชาชนในชมุ ชนต่อไป (กระบวนการพฒั นาชมุ ชน, 2552 : ออนไลน์)
บาํ รุง บุญปัญญา (2525 อา้ งถงึ ใน ณัฐพฤทธ์แกว้ พิบูลย์และคณะ, 2547 : 12) มาจากกรอบแนวคิดในการ
ประเมินผลและต้ังคําถามว่าทําอย่างไรจึงจะเข้าใจเร่ืองการตีความและกิจกรรมให้ลงไปสู่การสร้างความเข้าใจต่อ
วถิ ชี ีวติ ของชุมชน เป็นการประเมนิ ผลและตีความข้อมูลท่ไี ดจ้ ากชาวบา้ น
ชยันต์ วรรธนะภูติ(2536 อ้างถึงใน ณัฐพฤทธ์ แก้วพิบลู ย์และคณะ, 2547 : 12-13) ได้กล่าวถึงการศึกษา
ชุมชน ว่าเป็นการศึกษาและอธิบายอย่างเป็นระบบว่าชุมชนมีสภาพโดยรวมเป็นอย่างไร มีเงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อม
รูปแบบการผลิตหรือการทาํ มาหากิน มรี ูปแบบความสมั พนั ธ์ระหว่างสมาชิกในชุมชนอย่างไรมีการจัดระเบียบสงั คม
อย่างไร โครงสร้างอํานาจในชุมชนเป็นอย่างไร องค์กรชาวบ้านมีอย่างไร มีปัจจัยหรือมีอิทธิพลจากภายนอก มา
เกี่ยวขอ้ งอย่างไร มอี งคค์ วามรู้ทีส่ ะสม มวี ิธีการ มีศักยภาพในการแก้ปัญหาอย่างไรปัจจัยอะไรที่มีบทบาทสําคัญใน
การกําหนดทิศทางและรูปแบบความสัมพันธ์ถ้าสามารถเก็บรวบรวมได้จะทําให้เข้าใจในการเปล่ียนแปลงและ
ปญั หาท่ีเกดิ จากการเปล่ียนแปลง”
อรพินท์สพโชคชัย (2537 อา้ งถงึ ใน ณัฐพฤทธ์แกว้ พิบูลยแ์ ละคณะ, 2547 : 13) การศกึ ษาชุมชน คือการที่
นักพัฒนาต้องทําความเข้าใจข้อมูล สภาพหมู่บ้าน ลักษณะภูมิประเทศ ชาวบ้านกลุ่มต่างๆ ผู้นํา ความเชื่อ
ศลิ ปวฒั นธรรม การเมอื งระดบั หมบู่ ้าน ตลอดจนสภาพปัญหาตา่ งๆ ท้งั นี้เพอ่ื เขา้ ใจชุมชนท่ีจะเป็นประโยชน์ต่อการ
ดาํ เนินงานตอ่ ไป
กาญจนา แก้วเทพ เปรยี บเทียบการศึกษาชมุ ชนว่า “เปรยี บเสมือนเป็นการรู้จักและการทําความเข้าใจกับ
ชีวิตของคน ๆหน่ึง คือ การล่วงรู้ว่าในอดีตเขาเคยผ่านร้อน ผ่านหนาวมา เท่าไร อย่างไรบ้าง มีบาดแผลอะไรบ้าง
7
จากอดตี มวี ิธีการเยียวยาอย่างไร เคยมีความชื่นชมสมหวังอะไรบ้างกับอดีต ปัจจุบันมีความทุกข์อะไร มีความหวัง
ความปรารถนาความใฝ่ฝันในอนาคตอย่างไร อะไรทําให้ทุกข์อะไรทําให้สุข การศึกษาชุมชนก็เป็นไปในทํานอง
เดียวกัน ท่ีแตกต่างก็คือ ขณะท่ีชีวิตของคนแต่ละรุ่นจะเกิดขึ้น ดํารงอยู่แล้วแตกดับแต่ชีวิตของชุมชนสามารถจะ
สบื ทอดตอ่ เน่ืองได้เพราะชวี ิตของคนรนุ่ ใหมท่ เี่ ข้ามาแบกรบั ชวี ิตของชุมชนแทนชวี ติ คนรุน่ เกา่ ” (กาญจนา แกว้ เทพ
, 2552 : ออนไลน์)
หลกั การในการศกึ ษาชุมชน
ณัฐพฤทธ์ แก้วพิบูลย์และคณะ (2547 : 13-16) ได้สรุปหลักในการศึกษาชุมชนท่ีมีความเป็นนัยสําคัญ ไว้
ดังนี้
1. การทําความรู้จัก การที่คนภายในหรือภายนอก ทําความรู้จักหรือทําความเข้าใจกับชุมชนไม่ว่าจะ
เป็นไปเพอ่ื วัตถปุ ระสงค์ใดกต็ าม หรือไมว่ ่ากลุ่มคนที่ต้องการทําความรู้จักจะเป็นนักวิชาการ นักพัฒนา ฯลฯซ่ึงการ
ทําความรู้จักถือว่าเป็นข้ันตอนแรก ๆ ที่สําคัญในการทํางานกับชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาชุมชนในเชิงวิชาการ
หรอื เพ่ืองานพฒั นา ซ่ึงอาจจะส่งผลทําใหง้ านการศกึ ษาชมุ ชนบรรลุวัตถปุ ระสงค์หรอื เป้าหมายในข้ันต่อไปหรือไม่
2. การยอมรบั ในสิง่ ท่ชี ุมชนเปน็ และมีความแตกต่างจากชุมชนอ่ืน ๆเม่ือผู้เข้าไปศึกษาชุมชนทําความรู้จัก
ชุมชนท่ีศึกษาแล้ว อาจต้องยอมรับว่าชุมชนแต่ละชุมชนมีความแตกต่างกันท้ังในด้านสภาพแวดล้อมสังคม
วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมือง เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจลักษณะของแต่ละชุมชนตามบริบทท่ีเป็นอยู่
3. การเรียนรู้ เมื่อผู้ที่ศึกษาชุมชนยอมรับในส่ิงท่ีชุมชนเป็นอยู่ การเรียนรู้เรื่องราวของชุมชนน้ัน ๆเพื่อให้
เกิดความเข้าใจก็ง่ายขึ้น การศึกษาชุมชนที่มีประสิทธิภาพอย่างน้อยควรนํามาซ่ึงความรู้เร่ืองพ้ืนที่สถานการณ์และ
สง่ิ แวดล้อมรวมทงั้ องค์ประกอบตา่ ง ๆ ท้งั ภายในและภายนอกชมุ ชน
4. การทําความเข้าใจ การเรียนรู้ชุมชนในด้านต่างๆ จะช่วยสร้างความเข้าใจเร่ืองของคนในชุมชนว่ามี
แบบแผนในการดํารงชีวิตและการตัดสินใจเร่ืองต่างๆอย่างไร เพ่ือทําให้สามารถระบุปัญหาและกลุ่มผู้ท่ีได้รับ
ผลกระทบจากเรอื่ งตา่ งๆซึง่ จะเป็นประโยชน์ตอ่ การทํากจิ กรรมตา่ งๆกับชมุ ชนอยา่ งสอดคลอ้ งและลงตัว
5. การอธิบายอย่างเป็นระบบ ก็คือ การศึกษาชุมชนและการอธิบายถึงสภาพโดยรวมของชุมชนว่าเป็น
อย่างไร อธิบายระบบชวี ติ ทั้งหลายของชุมชนอย่างเปน็ องคร์ วมและเปน็ บูรณาการการอธบิ ายจากองค์ประกอบของ
ชุมชน มาสู่ภาพรวมในความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น เงื่อนไขด้านส่ิงแวดล้อมท่ีมีผล
รูปแบบการผลิต หรือการทํามาหากินรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก การจัดระเบียบสังคม
โครงสร้างอํานาจในชุมชนปัจจัยหรืออิทธิพลจากภายนอกที่เกี่ยวข้องกับชุมชนท่ีกําหนดทิศทางและรูปแบบ
ความสัมพันธ์ ฯลฯ สิ่งต่าง ๆเหล่าน้ีจะช่วยทําให้มองเห็นถึงการเปลี่ยนแปลง และปัญหาของชุมชนท่ีเกิดข้ึนจาก
การเปลีย่ นแปลง
6. การตคี วามความหมายที่ซอ่ นอยู่ นอกจากการศึกษาชมุ ชนจะมองสภาพภายนอกที่เกิดขึน้ โดยท่วั ไปแล้ว
แต่สิ่งที่อยู่ภายในชุมชนไม่ใช่มีแต่เฉพาะส่ิงท่ีเป็นรูปธรรมที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พฤติกรรมหรือ
ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นในชุมชนล้วนแล้วแต่มีนัยยะท่ีแอบแฝงอยู่แทบทั้งส้ิน โดยเฉพาะในเชิงโครงสร้าง
8
ความสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติซึ่งจาก
ขอ้ มลู ท่ีไดม้ าจึงจาํ เป็นต้องมกี ารตคี วามหมายของความสมั พันธ์ที่ซอ่ นอยู่
7. การวิเคราะห์ เป็นกระบวนการหรือข้ันตอนหนึ่งของการศึกษาชุมชน เพื่อนําข้อมูลท่ีได้มา
มาวิเคราะห์อธิบายถึงความสัมพันธ์ในภาพรวมรวมท้ังบริบทต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง อธิบายถึงปัจจัยและสาเหตุต่าง ๆ
ทั้งภายในและภายนอกท่ีทําให้ชุมชน เป็นแบบน้ัน อาจจะดูการปรับตัว /ความเคลื่อนไหวของชุมชนต้ังแต่เริ่มต้น
จนถงึ ปจั จุบนั ว่ามปี ัญหาอะไรบ้าง ชมุ ชนมีกระบวนการแก้ปญั หาของตนเองอย่างไรบา้ ง
8. การประเมินผล เมื่อผ่านกระบวนการวิเคราะห์ในภาพรวม รวมถึงการมองเห็นปัญหาตลอดจน
กระบวนการใช้ภูมิปัญญาของชุมชนในการแก้ปัญหาต่าง ๆ อย่างไร และกระบวนการแก้ปัญหาต่างๆ
เหล่านนั้ ทําใหช้ มุ ชนเปน็ อย่างไร ประสบผลสาํ เร็จหรือไม่อยา่ งไร ท่ผี ่านมาชุมชนเกดิ กระบวนการเรียนรเู้ รือ่ งใดบ้าง
ณัฐพฤทธแ์ ก้วพบิ ูลยแ์ ละคณะ ยังไดส้ ะทอ้ นแนวคดิ ของสาํ นกั โครงสร้าง-หน้าท,ี่ สาํ นกั มานษุ ยวิทยา
วฒั นธรรม, สํานักวฒั นธรรมนเิ วศวิทยา ฯลฯ โดยสรุปเปน็ องค์ประกอบหลักของฐานการศกึ ษาชุมชน รวมทง้ั การ
วเิ คราะห์ม3ี ดา้ น ได้แก่
1. โครงสรา้ งสงั คม (Social Structure) สว่ นประกอบตา่ งๆ และความสมั พันธร์ ะหว่างสว่ นประกอบ เช่น
ระบบเครอื ญาติระบบอปุ ถมั ภ์ระบบชนชัน้ ฯลฯ
2. สภาพแวดลอ้ มและระบบนิเวศ (Ecology) การปรบั ตัวใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มและระบบนิเวศรวมทง้ั
การใช้ประโยชน์จากทรพั ยากรในการดาํ รงชวี ิต
3. ระบบวฒั นธรรมและอดุ มการณ์ (Culture and Ideology) การให้คณุ ค่าของส่งิ ตา่ งๆ ทงั้ ด้านจติ ใจและ
วัตถุ (นามธรรมและรูปธรรม) มอี ิทธพิ ลต่อวถิ ชี ีวติ ดา้ นต่าง ๆ (Way of Life) รวมท้งั ทําให้คนในชุมชนนั้นสามารถ
อย่รู ว่ มกันได้
ยังกล่าวถึง ประเดน็ ในการศกึ ษาชุมชนไว้ดงั นี้
1. ความเปน็ มา ประวตั ิศาสตรช์ มุ ชนและสถานการณต์ ่าง ๆ ท่เี กิดข้ึนในแต่ละชว่ ง
2. เงือ่ นไขด้านภูมิศาสตร์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ
3. รูปแบบวถิ ีการผลิตและการทาํ มาหากิน
4. ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสมาชกิ ในชมุ ชนรปู แบบตา่ งๆ เชน่ ความขัดแยง้ ความร่วมมือ
5. การจัดระเบยี บสังคม การรวมตัว การเกดิ กลมุ่ และองค์กรตา่ ง ๆ
6. โครงสร้างอาํ นาจ ทั้งภายในและภายนอก ผูน้ ําของชุมชนตามธรรมชาตแิ ละการแตง่ ตั้ง
7. ความคิดเห็น อดุ มการณม์ มุ มอง ความเช่อื ความศรัทธา และทศั นคติดา้ นตา่ ง ๆ
8. ปจั จัยและอิทธิพลภายนอกที่เกีย่ วขอ้ งเชอ่ื มโยงกับชมุ ชน
9. องค์ความรู้ทสี่ ะสมมา กระบวนการเรียนรู้และภมู ิปญั ญาของชุมชน
10. ศักยภาพดา้ นตา่ ง ๆ ที่จะเปน็ ประโยชน์ต่อการพัฒนา
11. ปญั หาต่าง ๆ ทชี่ มุ ชนประสบอย่าง เก่ียวขอ้ งและ เช่อื มโยง
9
วิธีการศึกษาชมุ ชน
สามารถกระทําได้หลายวธิ ีการ ดังน้ี
1. การสงั เกต
2. การแจงนบั จาํ นวนแบบสมบูรณ์
3. การสมุ่ ตวั อยา่ ง
4. การสมั ภาษณ์
5. การใชแ้ บบสอบถาม
6. การใชส้ ถิติต่าง ๆ
7. การศกึ ษารายกรณี
8. การสาํ รวจ
9. การศกึ ษาจากผู้ร้แู ละแหลง่ วิชาตา่ ง ๆ
10. Focus Group
ชยนั วรรธนะภูต(ิ 2536 อ้างถึงใน ณัฐพฤทธ์แก้วพิบูลย์และคณะ, 2547 : 13) ได้วางกรอบแนวคิดพื้นฐาน
ในการศกึ ษาชุมชน ดังนี้ปรากฏการณ์ทางสังคมมี2 ระดบั
1. ปรากฏการณ์ที่อยู่ในระดับผิวหน้า สามารถสังเกตเห็น อธิบาย พรรณนาหรือจําแนกปรากฏการณ์
เหล่าน้ีเป็นหมวดหมู่อย่างมีความหมายได้การพรรณนาปรากฏการณ์อย่างละเอียดจะช่วยให้เข้าใจ
สภาพการดํารงอยู่และกระบวนการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึน ตลอดจนความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์
ได้มากยิง่ ขึน้
2. ปรากฏการณ์ท่ีอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ผิวหน้า การค้นหาสาเหตุท่ีอยู่เบ้ืองหลัง ท่ีลึกลงไป ไม่ว่าจะ
ด้านสังคมและวัฒนธรรมหรอื ด้านชวี ภาพ เพ่ือหาความสัมพันธ์ของส่งิ ต่างๆ ในเชิงเหตผุ ล หรือมคี วาม
เชื่อมโยงเกย่ี วพนั ทางประวัตศิ าสตร์
ส่วนปรากฏการณ์ทางสังคมนั้นมีความสลับซับซ้อน หลากหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรมและ
การเมืองท่ีเกี่ยวข้องสัมพันธ์ซ่ึงกันและกัน ตลอดจน มองปรากฏการณ์ที่เกิดข้ึนอย่างสัมพันธ์กับปรากฏการณ์อื่น
มองอย่างเป็นองค์รวม ตลอดจนมีความเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
การศึกษาความหมายของปรากฏการณ์ในสังคมหน่ึงถูกกําหนดขึ้น และเข้าใจความหมายรู้กันในสังคมซึ่ง
อยู่ในสภาพแวดลอ้ มและวัฒนธรรมเดียวกัน ปรากฏการณ์ท่ีเกิดขนึ้ ยอ่ มแตกตา่ งกนั ระหวา่ งสายตาของผู้ทีศ่ ึกษากับ
ผู้ท่ีถูกศึกษา ดังนั้นการแสวงหาความหมายของสังคมต้องอาศัยกฎเกณฑ์หรือรหัสของคนในสังคมน้ันเป็นเครื่อง
ตดั สนิ และชว่ ยอธบิ าย เพราะผู้ศึกษามีค่านิยมและบรรทัดฐานท่ีแตกตา่ งจากสังคมน้นั
ส่วนการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชน อาจต้องมองเชิงเปรียบเทียบว่าการ
เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมหน่ึงๆ แตกต่างหรือเหมือนกันอย่างไร มิติของการเปรียบเทียบจะช่วยให้ผู้ศึกษา
สามารถหาขอ้ สรุปเชิงมหภาคเกีย่ วกับปรากฏการณ์นนั้ ๆ ได้
10
ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ (2536 : 111 อ้างถึงใน เทคนิควิธีการศึกษาชุมชน, 2552 : ออนไลน์) ได้เสนอ
ถึงวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเพ่ือเข้าใจในสภาวะและการเปล่ียนแปลงชุมชน ว่ามีการเก็บข้อมูลในประเด็นต่างๆ
โดยภาพรวมของชมุ ชน ดงั นี้
1. การเก็บขอ้ มลู พ้ืนฐานเกี่ยวกับชมุ ชน ไดแ้ ก่
1.1 สภาพภมู ปิ ระเทศและการตัง้ ถ่นิ ฐานของชุมชน
1.2 ลักษณะโครงสรา้ งของประชากร
1.3 ลักษณะโครงสร้างพน้ื ฐานทางการศึกษาและสาธารณูปโภคของชมุ ชน
1.4 ประวตั แิ ละความเปน็ มาของชมุ ชน
2. ข้อมูลเกย่ี วกบั ระบบเศรษฐกิจและการใช้ทรัพยากร: การผลิตการแลกเปลี่ยนและการบรโิ ภค
2.1 การครอบครองทรัพยากรในการผลติ
2.2 กระบวนการผลติ และผลผลติ
2.3 การแลกเปลยี่ นและการบรโิ ภค
2.4 รายได้/รายจา่ ยและหนส้ี ิน
3. ขอ้ มูลเกี่ยวกบั ระบบสงั คมและการเมอื งในชุมชน
3.1 ครอบครัวและเครอื ญาติ เชน่ รปู แบบครอบครวั ความสมั พันธเ์ ครอื ญาติ เปน็ ต้น
3.2 เพือ่ นบา้ นและเพ่ือน
3.3 กลมุ่ อนื่ ๆ เช่น กลมุ่ อุปถมั ภ์ กลุ่มผลประโยชน์ กลมุ่ อาชีพ กลุ่มการเมือง กลมุ่ อน่ื ๆ ทท่ี างการ
เขา้ มาจัดต้งั เป็นตน้
3.4 การศึกษาสถาบันสําคัญๆ ของชุมชน การศึกษาลักษณะความสัมพันธ์ของบุคคล หรือกลุ่ม
บุคคลในเชิงอาํ นาจ : ผู้นาํ และความขดั แยง้ ในชุมชน
11
บทที่ 3
การวางแผนและการดําเนนิ งาน
3.1 ขั้นตอนการวางแผน
ขอ้ เสนอโครงการ
โครงการศกึ ษาชมุ ชนเกษตร ตําบลเมอื งคอง อําเภอเชียงดาว จังหวดั เชียงใหม่
ภายใตโ้ ครงการยกระดับเศรษฐกจิ และสงั คมรายตาํ บลแบบบรู ณาการ (1 ตาํ บล 1 มหาวิทยาลยั )
……………………………………………………………….
ช่ือโครงการ การศึกษาชมุ ชนเกษตร ตําบลเมอื งคอง อาํ เภอเชียงดาว จังหวดั เชยี งใหม่
ลกั ษณะโครงการ เปน็ โครงการทที่ มี คดิ ดําเนนิ การเองเปน็ ปีแรก
สถานที่จดั โครงการ องคก์ ารบริหารส่วนตําบลเมอื งคอง อาํ เภอเชยี งดาว จังหวัดเชยี งใหม่
ระยะเวลาในการดําเนินงาน ดาํ เนินงานโครงการศึกษาชุมชนเกษตรภายใต้โครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคม
รายตําบลแบบบูรณาการ (1 ตําบล 1 มหาวิทยาลยั )วันท่ี 23 สงิ หาคม 2563
หัวหนา้ โครงการ/คณะผูด้ ําเนนิ งาน หัวหน้าโครงการ อาจารยป์ ระจาํ กระบวนวชิ า 352741
รศ.ดร.อาวรณ์ โอภาสพฒั นกจิ รหัส 620832006 นกั ศึกษา
นางสาวปิยนุชทรวงคาํ รหสั 620832007 นักศึกษา
นายพงศศ์ ริ ติ ารนิ ทร์ รหสั 620832008 นกั ศึกษา
นายวชั ระอินโองการ รหสั 620832010 นักศึกษา
นายอนัสมณีพฤกษ์ รหสั 620832011 นกั ศกึ ษา
นายเอกชยั สุสกลุ โชคดี รหสั 620832019 นักศกึ ษา
นายดํารงฤทธิศ์ ิรขิ ว่ ง รหัส 620832020 นักศกึ ษา
นางสาวทิวากรแก้วรากมขุ รหสั 620831025 นกั ศกึ ษา
นางสาวกณั ณกิ า คําสงิ ห์
หลกั การและเหตผุ ล
การศึกษาชุมชนเกษตรเป็นกระบวนวิชา ของหลักสูตรส่งเสริมการเกษตรและพัฒนาชนบท ภาควิชา
พัฒนาเศรษฐกิจการเกษตร ซ่ึงมีเป้าหมายในการเพ่ิมศักยภาพให้นักศึกษา ด้านความรู้เก่ียวกับแนวคิดทฤษฎี
การศึกษาชุมชนการเกษตร ด้านทักษะการออกแบบกระบวนการและใช้เคร่ืองมือในการศึกษาชุมชนเกษตร ด้าน
กระบวนการคิดและทัศนคติในการศึกษาและการทํางานในชุมชนเกษตร เพื่อนําสิ่งที่ได้เรียนรู้และฝึกปฏิบัติจาก
การศึกษาชมุ ชนเกษตรไปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์สูงสดุ
สําหรับการฝึกฝนทักษะการออกแบบกระบวนการและใช้เครื่องมือในการศึกษาชุมชนเกษตร ในเทอมน้ี
อาจารยผ์ ู้สอนและนกั ศกึ ษา ได้ใชเ้ งือ่ นไขจรงิ กลา่ วคือ โครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตําบลแบบบูรณา
การ (1 ตําบล 1 มหาวทิ ยาลัย)ตามประกาศกระทรวงการอุดมศึกษาวทิ ยาศาสตร์ วิจัยเเละนวตั กรรม
12
ด้วยสํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมซึ่งเปิดโอกาสให้นักวิชาการ เข้าไป
ดําเนินการในพื้นท่ีท่ีระดับตําบล โดยออกแบบกิจกรรมท่ีเกี่ยวข้องกับการยกระดับสินค้า OTOP การยกระดับการ
ท่องเที่ยวการบริการชุมชนหรือการเพิ่มรายได้รูปแบบอ่ืนให้แก่ชุมชน โดยลักษณะของการจ้างงานในการดําเนิน
โครงการ ได้แก่
1) จัดทําข้อมูลและฐานข้อมูลชุมชน (ทํางานร่วมกับโครงการพัฒนาตําบลแบบบูรณาการ ของกรมการ
ปกครอง)
2) การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) ในการวางแผนและตัดสินใจ เพื่อจัดทํานโยบาย แนวทาง และ
งบประมาณสนับสนนุ
3) การเฝ้าระวัง ประสานงานและติดตามข้อมูลสถานการณ์การระบาดของ COVID และโรคระบาดใหม่
การเฝ้าระวังและติดตามผู้ป่วยและ กลุ่มเสี่ยง การส่งต่อการรักษา การประชาสัมพันธ์แจ้งข้อมูล
ข่าวสาร การปรับสภาพแวดลอ้ ม ระบบรายงานสถานการณ์การระบาดของโรค (รว่ มกับ สบค.)
4) การจัดทําข้อมลู ราชการในตาํ บลเปน็ ข้อมูลอิเลก็ ทรอนิกส์ (Digitalizing Government Data) (ร่วมกับ
กพร.)
5) การจ้างงานเพื่อยกระดับสินค้า OTOP/การยกระดับการท่องเที่ยว การบริการชุมชน หรือการเพ่ิม
รายไดร้ ปู แบบอืน่ ใหแ้ กช่ ุมชนตามรูปแบบกจิ กรรมทจี่ ะเขา้ ไปดาํ เนินการในพ้นื ที่ที่รับผดิ ชอบ
6) การพัฒนาทักษะอาชีพใหม่จากความหลากหลายทางชีวภาพและความหลากหลายทางวัฒนธรรมของ
ชมุ ชนและ
7) การถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม และภูมิปัญญาท้องถ่ิน เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและ
สงั คมในชุมชน
อาจารย์เจ้าของวิชาและนักศกึ ษา จึงไดใ้ ช้โครงการยกระดบั เศรษฐกจิ และสังคมรายตําบลแบบบูรณาการ1
ตําบล 1 มหาวิทยาลัย เป็นเง่ือนไขในการเลือกพื้นที่ ได้แก่ตําบลเมืองคอง อําเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เป็น
พื้นทปี่ ฏิบัตกิ ารจรงิ เพื่อการศึกษาชมุ ชนเกษตร การวิเคราะหป์ ญั หา การปรบั ใช้เทคนิค วิธกี าร และเคร่ืองมอื ศกึ ษา
ชุมชนเกษตรในสถานที่จริง และพัฒนาข้อเสนอโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตําบลแบบบูรณาการ
(1 ตําบล 1 มหาวิทยาลัย) โดยกําหนดจัดกิจกรรมศึกษาชุมชนตําบลเมืองคองวันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม 2563
ณ หอ้ งประชมุ องค์การบรหิ ารสว่ นตาํ บลเมืองคอง
วัตถุประสงค์
1. เพ่ือให้นักศึกษาได้ฝึกการออกแบบกระบวนการและใช้เคร่ืองมือในการศึกษาชุมชนตําบลเมืองคอง
อําเภอเชียงดาว จังหวัดเชยี งใหม่
2. เพื่อสนับสนุนการพัฒนาข้อเสนอโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตําบลแบบบูรณาการ
(1 ตาํ บล 1 มหาวทิ ยาลัย) ของตาํ บลเมอื งคอง อาํ เภอเชยี งดาว จังหวดั เชียงใหม่
เป้าหมาย
1) คมู่ อื การศึกษาชมุ ชนเกษตร1 เล่ม
2) เอกสารสรุปบทเรยี นของนักศึกษา ในการศึกษาชุมชนเกษตร ตาํ บลเมืองคอง อาํ เภอเชยี งดาว จังหวัด
เชียงใหม1่ เล่ม
3) ร่าง ข้อเสนอโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตําบลแบบบูรณาการ ตําบลเมืองคองอําเภอ
เชียงดาว จงั หวัดเชียงใหม่ 1 เล่ม
13
สถานทดี่ ําเนนิ การ
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตําบลเมอื งคอง อาํ เภอเชยี งดาว จังหวัดเชยี งใหม่
ผู้เข้ารว่ มโครงการ
1. นายกองคก์ ารบริหารส่วนตาํ บลเมอื งคอง
2. รองนายกองค์การบรหิ ารสว่ นตําบลเมืองคอง
3. หวั หนา้ สํานักงานปลดั องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตําบลเมืองคอง
4. นักพัฒนาชมุ ชน องคก์ ารบริหารส่วนตาํ บลเมอื งคอง
5. นกั วิเคราะห์นโยบายและแผน องคก์ ารบรหิ ารส่วนตาํ บลเมอื งคอง
6. เจา้ หนา้ ทเ่ี ทคโนโลยสี ารสนเทศ องค์การบรหิ ารส่วนตาํ บลเมอื งคอง
7. กาํ นนั ตําบลเมืองคอง
8. ผู้ใหญ่บ้าน (จาํ นวน 5 หมบู่ า้ น)
9. ผอู้ าํ นวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาํ บลบา้ นใหม่
10. ประธานศนู ย์เรียนร้กู ารเพิ่มประสิทธภิ าพการผลติ สินคา้ เกษตร อ.เชยี งดาว
11. วิสาหกจิ ชุมชนตําบลเมอื งคอง (จาํ นวน 2 กลมุ่ กลมุ่ ละ 1 คน)
12. อาจารย์และนักศึกษาสาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและพัฒนาชนบท คณะเกษตรศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ (จาํ นวน 9 คน)
วิธีดําเนนิ การ
ขัน้ เตรียมการ
1. ประสานงานการลงพืน้ ท่ศี กึ ษาชุมชนเกษตร
2. ประสานผู้นาํ ชุมชน แจ้งบคุ คลเปา้ หมายเขา้ รว่ มกิจกรรม
3. ปรบั ปรงุ ข้อเสนอโครงการสง่ ให้เจ้าหน้าทมี่ หาวทิ ยาลยั
4. ดาํ เนนิ การทาํ หนงั สอื ขอความอนเุ คราะหใ์ ชส้ ถานที่ ประสานงานเรอ่ื งอาหาร และอาหารวา่ ง
5. เตรียมขอ้ มลู พืน้ ฐานชมุ ชนตาํ บลเมอื งคอง
5.1 ขอ้ มลู พ้ืนฐานชุมชน
5.2 แผนพฒั นาตําบล
5.3 ขอ้ มลู สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID 2019 ในพืน้ ท่ตี ําบลเมอื ง
คอง
5.4 ขอ้ มลู วิสาหกจิ ชมุ ชน
6. ดําเนนิ การจดั ทาํ แผนกิจกรรม (Session Plan) ในการศึกษาชุมชนเกษตร ตาํ บลเมอื งคอง
อําเภอเชยี งดาว จังหวดั เชียงใหม่
ขัน้ ดําเนนิ การ
1. เดินทางโดยรถตู้ออกจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เวลา 07.00 น. ถึงองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาํ บล
เมอื งคอง อาํ เภอเชียงดาว จงั หวัดเชียงใหม่ เวลา 10.30 น.
2. ลงทะเบียนผเู้ ขา้ ร่วมกิจกรรม
3. กล่าวต้อนรับคณะอาจารยแ์ ละนกั ศึกษา โดย กํานันตําบลเมอื งคอง
14
4. ชี้แจงนโยบาย นําเสนอข้อมูลพื้นฐาน แนวทางแผนการพัฒนาและโครงการที่จะดําเนินการ
พฒั นาในปี 2564 โดย นายกองค์การบริหารสว่ นตําบลเมอื งคอง
5. ชแี้ จงวตั ถุประสงคก์ ารลงพืน้ ทีศ่ กึ ษาชุมชนเกษตร โดย รศ.ดร.อาวรณ์ โอภาสพัฒนกจิ
6. ตัวแทนในแต่ละกลุ่มของตําบลเมืองคองนําเสนอแผนการดําเนินงานในระยะเวลา 12 เดือน
(นกั ศึกษาใชเ้ ครือ่ งมอื ในการศกึ ษาชุมชน เชน่ SWOT MIND MAP TIMELINE VENN DIAGRAM เปน็ ตน้ )
7. ร่างแผนปฏิบัตกิ าร และปฏิทนิ ดําเนินงาน
ข้ันประเมนิ ผล
1. ประเมินผลและสรุปผลการดําเนินงาน (After Action Review: AAR) เพื่อทบทวน
กระบวนการทาํ งานทีจ่ ะนาํ ไปสกู่ ารปรับปรุงพฒั นาในครั้งตอ่ ไป
2. บันทกึ ภาพนิ่ง และภาพเคล่อื นไหว
3. ดําเนินการจัดทํารายงานการลงพื้นท่ีศึกษาชุมชนเกษตร ตําบลเมืองคอง อําเภอเชียงดาว
จังหวัดเชียงใหม่
งบประมาณในการดําเนนิ โครงการ
ลาํ ดับท่ี รายการ จาํ นวนเงิน
2,000-
1 ค่าอาหารกลางวนั
1,500-
- มอื้ ละ 80 บาท/คน (25 คน คนละ 1 มอ้ื )
2 คา่ อาหารว่างและเครอื่ งดื่ม
- ม้ือละ 30 บาท/คน (25 คน คนละ 2 ม้ือ)
3 คา่ น้าํ มันเชอื้ เพลงิ 1,000-
1,200-
4 คา่ ตอบแทนวทิ ยากรถ่ายทอดความรู้
- จาํ นวน 2 ชัว่ โมง ช่ัวโมงละ 600 บาท
5 อุปกรณ์การทํางานเช่น
- กระดาษปรฟู๊ กระดาษการด์ (บัตรคํา) กระดาษโนต้ ปากกาเมจิก ฯลฯ 300-
รวม 6,000-
*** เบิกจากภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและส่งเสริมเผยแพร่การเกษตรรวมเป็นเงิน 6,000 บาท
(หกพันบาทถ้วน)
*** ค่าใชจ้ า่ ยสามารถถวั เฉล่ียไดท้ กุ รายการ
15
แผนการดาํ เนนิ งาน
กิจกรรม สงิ หาคม กนั ยายน
2563 2563
ขน้ั เตรยี มการ
1. ประสานงานการลงพื้นท่ีศึกษาชุมชนเกษตร 1234 1234
2. ประสานผู้นาํ ชมุ ชน แจง้ บคุ คลเป้าหมายเขา้ ร่วมกิจกรรม
3. ปรบั ปรงุ ขอ้ เสนอโครงการสง่ ให้เจา้ หน้าทมี่ หาวิทยาลยั
4. ดาํ เนนิ การทาํ หนังสอื ขอความอนุเคราะหใ์ ชส้ ถานที่ ประสานงานเรอ่ื งอาหาร และ
อาหารวา่ ง
5. เตรียมขอ้ มลู พน้ื ฐานชมุ ชนตําบลเมอื งคอง
6. ดาํ เนนิ การจดั ทาํ SESSION PLAN ศึกษาชมุ ชนเกษตร
ขัน้ ดําเนนิ การ
1. เดนิ ทางโดยรถตอู้ อกจากมหาวิทยาลยั เชยี งใหม่
2. ลงทะเบยี น/กล่าวตอ้ นรบั /ชแี้ จงนโยบาย/ชแี้ จงวัตถปุ ระสงค์
3. นาํ เสนอแผนการดาํ เนินงาน (นักศกึ ษาใชเ้ ครอ่ื งมอื ในการศึกษาชุมชน)
4. รา่ งแผนปฏบิ ัติการ และปฏทิ นิ ดําเนินงาน
ขัน้ ประเมนิ ผล
1. บนั ทึกภาพนิง่ และภาพเคล่อื นไหว
2. ประเมินผลและสรปุ ผลการดําเนนิ งาน (After Action Review: AAR)
3. จดั ทํารายงานการลงพืน้ ท่ศี ึกษาชมุ ชนเกษตร
16
ผรู้ บั ผดิ ชอบ กระบวนการ อปุ กรณ์
ทกุ คน
Session Plan ระดมความคดิ เห็น ประเด็นสง่ิ ทตี่ อ้ งเตรียม โปรเจก
เวลา กจิ กรรม ล่วงหนา้ เตอร/์
ทบทวน
session plan
สง่ โครงการไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 สงิ หาคม คอมพวิ เต
2563 อร์
o เสนอและติดตามความคบื หนา้ (วัชระ) - กระดาษ
ร่างหนงั สือขอความอนเุ คราะห์ใชส้ ถานท+่ี เอกสาร ,ปากกา,
ประชาสมั พันธ์โครงการ
มารค์ เกอร์
o ถงึ ท่านนายก (อนสั )
o ถงึ กาํ นนั อาํ เภอเมอื งคอง (นอ้ งบี) ,กระดาษ
o ถึงพ่ีแหม่ม (นอ้ งตี๋) กาว,
o ถงึ ผอ.รพสต.+อสม. (พโ่ี นต๊ ) โทรศพั ทม์ ื
o ถึงหนว่ ยงานระดบั อาํ เภอ (ขงเบ้ง) อถอื ,ขาตัง้
เตรียม Back drop (ตยุ๋ ) กลอ้ ง
ตากลอ้ งถ่ายภาพนง่ิ และภาพเคลอ่ื นไหว + live
สดผา่ นface book (นอ้ งต๋ี)
ใบลงทะเบียน (พี่เบน)
ใบสาํ คัญรบั เงนิ (พี่เบน)
พธิ ี 2 คู่ได้แก่ (ขงเบง้ กับบี, ตก๋ี บั ตยุ๋ )
จบั ประเด็นขึ้นจอโปรเจคเตอร์ (พ่ีเบน) และเขยี น
บนproof (โดง่ +โนต๊ )
06.30- เดินทางจาก
08.30 น. คณะ
เกษตรศาสตร์
มหาวิทยาลยั เชี
ยงใหมไ่ ป
องคก์ ารบรกิ าร
ส่วนตําบลเมอื ง
อําเภอเชียงดาว
จังหวัด
เชียงใหม่
กจิ กรรม ผรู้ ับผดิ ชอบ กระบวนการ 17
ลงทะเบียน พิธีกร (บ+ี เบง้ )
เวลา เปิดคลิปวดี โี อ (พ่โี ดง่ ) อุปกรณ์
08.30- ไมโครโฟน
09.20 น. พิธีกรเชิญกาํ นนั วเิ ชยี ร บญุ เรอื งกล่าวตอนรบั ,เครอื่ ง
(1นาท)ี
เสยี ง,
กํานันกล่าวต้อนรบั (5 นาท)ี คอมพิวเต
อร,์ ปา้ ย
อาจารย์อาวรณ์กล่าวชแี้ จงวตั ถปุ ระสงคโ์ ครงการ ชอื่ ตดิ เสอื้
(7 นาท)ี
09.20- พิธีกรเชิญ
09.21 น. กํานัน นายยกธีรเดช พิสยั นายกอบต.เมอื งคองนําเสนอ
แผน3 ปี และแผน ปี 64 (15 นาท)ี
09.21- กล่าวต้อนรับ
9.26 น. ตวั แทนกลมุ่ ผกั อนิ ทรยี ์นาํ เสนอทนุ เดมิ และ
แนวทางการพฒั นาในปี 2564 (7 นาท)ี
9.27-9.32 กลา่ วชแ้ี จง
น. ตวั แทนกลุ่มวสช.กลมุ่ ประกอบการโฮมสเตยเ์ มือง
คองนําเสนอทนุ เดิม และแนวทางการพัฒนาในปี
09.33- เล่าแผน3 ปี 2564 (7 นาท)ี
09.50 น. และแผน ปี 64
ตัวแทนวิสาหกจิ ชุมชนกลุม่ สรุ าพืน้ บา้ นนําเสนอ
09.51- ตัวแทนกลมุ่ ผกั ทนุ เดมิ และแนวทางการพฒั นาในปี 2564 (7
09.58 น. อินทรีย์ นาท)ี
09.59- ตัวแทนวสช.
10.06 น. กลุ่ม
ประกอบการ
โฮมสเตย์เมอื ง
คอง
10.07- หมูท่ ่ี 1 และหมู่
10.14 น. ท่ี4 วสิ าหกจิ
ชุมชนกลมุ่ สุรา
พน้ื บา้ น
10.15- หมทู่ ี่ ...
10.22 น.
10.23- หมทู่ ่ี ...
10.30 น.
10.31- หมทู่ ี่ ...
10.38 น.
10.39- หมทู่ ี่ ...
10.45 น.
กิจกรรม ผ้รู ับผดิ ชอบ กระบวนการ 18
การนาํ เสนอ
เวลา ประเด็นจาก การนําเสนอประเดน็ จาก Mind Map โดยโน๊ต กบั อปุ กรณ์
10.50- Mind Map โดง่ (15 นาที) กระดาษ,
11.05 น. ใชเ้ ครอื่ งมอื ปากกา,
11.06- SWOT พธิ ีกร (ต๋ี ตยุ๋ ) เทปกาว
11.30 น. ใช้เครอ่ื งมอื SWOT เพอ่ื หาแนวทางการพฒั นาใน
แต่ลมนําเสนอ
11.31- ผล SWOT ปี 2564 วา่ จะทาํ อะไร (โนต้ บี เบ้ง เบน ต๋ี อนสั )
12.00 น. พิธีกร (ต๋ี ตุ๋ย)
ขอ้ 3 คุยภาพรวมโควดิ (โด่ง)
ข้อ 1,2,4 คยุ เรือ่ งการเก็บรวบรวมขอ้ มลู และการ
วเิ คราะหข์ อ้ มลู (ตุย๋ กับอาจารยห์ ลา้ )
ข้อ 5 สรุ า (เบ้ง) ท่องเทย่ี ว (เบน) ผกั อินทรยี ์
(โน้ต) อ่นื ๆ (บี ต๋ี อนสั )
แตล่ ะกลุ่มนําเสนอผล SWOT (กลมุ่ ละ 3นาที)
สะท้อนความรสู้ ึกในการประชมุ คร้งั น้ี
Next step (อาจารยห์ ล้า)
กลา่ วขอบคณุ (โดง่ +อาจารย์หล้า)
ถ่ายภาพหมู่
พักรับประทานอาหารกลางวนั
19
20
Time Line
วันท่ี กจิ กรรม
17 ก.ค. 2563 กําหนดวัตถุประสงคว์ ชิ าการศกึ ษาชุมชนเกษตร
ทบทวนแนวคดิ ทฤษฎตี า่ ง ๆ ทใ่ี ชใ้ นการศึกษาชมุ ชน
2 ส.ค. 2563 ศกึ ษาเครื่องมอื ทใ่ี ช้ศกึ ษาชมุ ชนเกษตร
9 ส.ค. 2563 ทําความเข้าใจ แนวคดิ /ทฤษฎีตา่ ง ๆ ที่ไดท้ าํ การสบื ค้น
16 ส.ค. 2563 ร่วมกนั ปรบั ร่างโครงการการจัดเวทีชมุ ชน และมอบหมายบทบาทหน้าท่ตี า่ ง ๆ ในการดําเนนิ การ
24 ส.ค. 2563 จัดเวทฯี
30 ส.ค. 2563
13 ก.ย. 2563 จดั ทํา Session plan เพอื่ ดาํ เนินการจัดเวทีในวนั ท่ี 23 ส.ค. 2563
20 ก.ย. 2563 จดั เวทฯี ณ อบต.เมอื งคอง
สรปุ บทเรียน และสรปุ การจดั การจดั เวทชี มุ ชน
สรปุ การดาํ เนนิ งาน และวางแผนการจดั ทํา E-book
จดั ทําคลปิ วีดโี อ สรุปและทบทวนหลักการกจิ กรรม&เรยี น
21
3.2 การดาํ เนนิ งาน
เวลา กิจกรรม ผูด้ าํ เนนิ กจิ กรรม
06.30 น. คณะเดนิ ทางออกจากคณะเกษตรศาสตร์
มหาวิทยาลยั เชียงใหม่
09.15 น. คณะฯ เดนิ ทางถงึ อบต.เมอื งคอง
09.30 น. กลา่ วตอ้ นรับและเปดิ เวทีฯ พธิ กี รดาํ เนนิ รายการ
โดย กาํ นนั ตําบลเมืองเมอื ง ขงเบ้ง,บี
ผู้บันทึกการประชมุ อนัส
09.45 น. ช้ีแจงวตั ถปุ ระสงค์ ของโครงการ รศ.ดร.อาวรณ์ โอภาสพัฒนกจิ
10.00– 11.00 น. ดาํ เนินการแลกเปลยี่ นข้อคดิ เห็น และประโยชนท์ จ่ี ะ ผ้เู ขา้ ร่วมเวทีฯ ทกุ ท่าน
ได้รบั จากการดาํ เนินโครงการฯ บันทกึ เรยี บเรยี ง ข้อมลู
โดยพี่เบน
11.00 น. นาํ เสนอประวัติ และแผนพฒั นา ของ ต.เมอื งคอง พธิ กี รดําเนินรายการ
โดย นายก อบต.เมอื งคอง ต,๋ี ตุย๋
12.00 –13.00 น. พักรับประทานอาหารกลางวนั
13.00 – 14.00 น. นาํ เสนอขอ้ มลู ทีไ่ ด้การดําเนินการจดั เวที โดยใชเ้ ครอื่ งมอื พโี่ น้ต พี่โด่ง
Timeline, Mind mapping, บัตรคาํ , ปฏิทนิ การ
เพาะปลูก
14.00 – 15.00 น. สรปุ ผลการจัดเวทฯี และ ทาํ การทบทวนหลังกจิ กรรม ผู้เข้ารว่ มเวที และผดู้ าํ เนินการจัด
(AAR) เวทีทกุ ท่าน
15.30 น. คณะฯเดนิ ทางออกจาก อบต.เมืองคอง
17.30 น. คณะฯเดนิ ทางถงึ คณะเกษตรศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่
22
บทที่ 4
ผลการดําเนนิ งานการศกึ ษาชมุ ชนเมอื งคอง
4.1 ข้อมูลบรบิ ทชมุ ชนเมืองคอง
ข้อมูลทวั่ ไป
ตําบลเมืองคอง เป็นตําบลท่ีต้ังอยู่ในเขตการปกครองของอําเภอเชียงดาว มีจํานวนหมู่บ้านทั้งสิ้น 6
หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ 1 บ้านใหม่, หมู่ 2 บ้านวังมะริว, หมู่ 3 บ้านหนองบัว, หมู่ 4 บ้าหลวง, หมู่ 5 บ้านนํ้ารู และหมู่
6 บ้านแม่แพลมซ่ึงมีระบบการเกษตรแบบผสมผสาน มีการพัฒนาด้านการพาณิชยกรรม หัตถกรรม วัฒนธรรม
พืน้ บ้านมีการท่องเทยี่ ว และการส่ือสารบนพืน้ ฐานของเศรษฐกิจชมชนท่ีเหมาะสมกับสภาพท้องถ่ินและชุมชน โดย
ใช้ภูมิปัญญาท้องถิน่ เปน็ พนื้ ฐาน
พ้นื ที่
สภาพพ้ืนท่ีส่วนใหญ่เป็นภูเขา และที่ราบระหว่างหุบเขาซ่ึงมีจํานวน 4 หมู่บ้านท่ีอยู่บริเวณหุบเขา
ประชากรประกอบด้วยชนหลายเผ่า ไดแ้ ก่ ไทยใหญ่ ลีซอ มูเซอ กะเหร่ยี ง และคนพื้นเมอื ง
ตําบลเมืองคองมีป่าไม้ท่ีคอ่ นข้างสมบูรณ์ มีนํ้าแม่เมินและห้วยแม่แพลมไหลตลอดแนวยาวของตําบลเมือง
คอง นอกจากน้ียังมีนํ้าแม่คอง นํ้าแม่แตง ห้วยป่าเส้า เป็นทางนํ้าหลัก นอกน้ันมีลําห้วยสาขาของน้ําแม่เมินและ
หว้ ยแมแ่ พลม รวมทงั้ ทางนาํ้ สาขาขนาดเลก็ ที่อย่รู ะหว่างที่ราบหุบเขาดว้ ย
สําหรับการใช้ประโยชน์ท่ีดินในตําบลเมืองคอง ส่วนใหญ่เป็นพ้ืนที่ป่าไม้ และมีการทําไร่หมุนเวียนแทรก
สลับในพื้นที่ด้านฝั่งตะวันตกของตําบล สําหรับในบริเวณพื้นท่ีส่วนกลางของตําบลมีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มริมน้ํา มี
การใช้ประโยชน์เปน็ ทอ่ี ยูอ่ าศยั บา้ นพักสาํ หรบั นกั ทอ่ งเที่ยว และพน้ื ทเี่ กษตรกรรมในลักษณะของนาขา้ วและพชื ไร่
เขตพน้ื ทตี่ ดิ ตอ่
ทศิ เหนอื ตดิ กบั อ.เวยี งแหง จ.เชียงใหม่
ทศิ ใต้ ตดิ กับ อ.แมแ่ ตง จ.เชยี งใหม่
ทิศตะวนั ออก ตดิ กบั ต.เมอื งงาย อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
ทศิ ตะวันตก ตดิ กับ อ.ปาย จ.แมฮ่ อ่ งสอน
อาชีพ
อาชีพหลกั ทํานา ทําสวน
อาชพี เสรมิ การท่องเที่ยว
สาธารณูปโภค
จํานวนครวั เรอื นท่มี ีไฟฟ้าใชใ้ นเขต อบต. 1,000 ครัวเรอื น
23
การเดินทาง
สามารถเดินทางโดยเส้นทางจากอําเภอเชียงดาว ผ่านถ้ําเชียงดาวและดอยหลวงเชียงดาว ขึ้นภูเขาและ
ลงสบู่ รเิ วณทล่ี มุ่ ลอ้ มรอบด้วยภูเขาและธรรมชาตขิ องปา่ ไม้ ระยะทางประมาณ 43 กิโลเมตร
ผลติ ภัณฑ์
- กลุ่มการทอ่ งเทีย่ วเชงิ เกษตร
- กลุม่ จักสาน
- กล่มุ สรุ าพน้ื บ้าน
- กลุม่ แปรรปู ผลติ ภณั ฑ์ พรกิ ลาบ พรกิ แห้ง พรกิ ป่น ขิงสด ขงิ ผง ถ่วั ลายเสอื
- การซอ้ื -ขาย โค กระบือ สุกร
- ผา้ ทอมือ (กะเหรยี่ ง)
ปฏิทนิ การผลติ ที่สาํ คญั ในพนื้ ท่ีตาํ บลเมอื งคอง
เดอื น กิจกรรม หมายเหต/ุ วันสําคญั
ตานก๋วยสลาก
กนั ยายน สิ้นสดุ ฤดฝู น เรมิ่ ฤดกู าลท่องเที่ยว
ตุลาคม หยดุ การเพาะปลกู พืน้ ทีไ่ มม่ แี หล่งน้ํา
ใสป่ ุ๋ยบํารุงพืชผัก ผลไม้ ขา้ ว
เริม่ เกบ็ เกยี่ วข้าวไร,่ ถ่วั แดง และฟกั ทอง
พฤศจกิ ายน เริ่มเกบ็ เกยี่ วผลผลติ ขา้ วนาป,ี กาแฟอินทรีย์
ธนั วาคม และข้าวโพดถอดดอก
มกราคม
บรเิ วณใกลแ้ หลง่ นา้ํ สามารถเพาะปลูกฟกั ทองได้
เร่มิ ฤดกู าลทอ่ งเทย่ี วเชงิ เกษตร( โฮมสเตย์ )
เริม่ เพาะปลกู มนั ฝรั่ง
เกบ็ เกย่ี วผลผลิตกาแฟอินทรีย์ ขา้ วโพดถอดดอก,
ข้าวโพดเล้ียงสตั ว์
ทอ่ งเที่ยวเชิงเกษตร
เรมิ่ เพาะปลูกขา้ วและกระเทยี มอินทรยี ์
เก็บเกีย่ วผลผลติ ขา้ วโพดถอดดอก, ข้าวโพดเล้ยี งสตั ว์
กุมภาพนั ธ์ เกบ็ เกยี่ วผลผลิตข้าวโพดเล้ยี งสัตว์ เก็บของป่า ตรุษจีน(ปีใหมล่ ีซู)
มนี าคม และดแู ลปศสุ ตั ว์
เก็บเกี่ยวผลผลิตขา้ วโพดเล้ยี งสตั ว์และกระเทยี ม เกบ็ ของป่า
และดแู ลปศสุ ตั ว์
กจิ กรรม 24
เดอื น การเตรยี มดนิ เพอ่ื เพาะปลกู กาํ จดั วัชพชื ในแปลงปลกู หมายเหตุ/วันสาํ คัญ
เมษายน เกบ็ เกย่ี วผลผลติ กระเทียมและมันฝร่งั
เริม่ เพาะปลูกขงิ
พฤษภาคม
มถิ ุนายน เรมิ่ เก็บเก่ียวผลผลติ มะมว่ งนาํ้ ดอกไม้, มะมว่ งเขยี วใหญ่
กรกฎาคม และพริก
สิงหาคม
ไถนาเตรียมปลกู ขา้ ว
เก็บเกี่ยวผลผลิตมะมว่ งนํา้ ดอกไมแ้ ละมะมว่ งเขยี วใหญ่
เพาะปลูกขา้ วพนั ธ์ุพืน้ เมอื ง, ข้าวพันธสุ์ นั ปา่ ตอง, ข้าวโพด
เล้ียงสัตว์, ข้าวโพดถอดดอก, กาแฟ และผลไม้
เร่ิมเพาะปลกู กล้วยนํ้าวา้ , ข้าว และกาํ จัดวชั พชื ในแปลง
เก็บเก่ียวผลผลิต
4.2 ผลการระดมความคิดเหน็ 1 ตาํ บล 1 มหาวิทยาลยั
ข้อมลู พ้ืนฐานแนวทางการพัฒนาและโครงการท่จี ะดําเนินการพัฒนาในปี 2564
จากนายธีรเดช พสิ ยั นายกเทศมนตรตี ําบลเมอื งคอง
- พนื้ ที่ส่วนใหญเ่ ป็นป่าไม้ ป่าสงวน จํานวน 3 ประเภทปา่ เตรียมขึน้ ทะเบยี นเป็นปา่ สงวนชีวมณฑล และป่า
อนุรักษ์
- ฝ่ังตะวนั ออกมี “น้าํ คอง” หลอ่ เลย้ี งวถิ ชี วี ิตคนในพืน้ ที่ ไหลลง “นา้ํ แตง” และไหลรวมเปน็ “นํ้าปิง”
- ปลามอญ เป็นปลาธรรมชาติท่ีเป็นสัญลักษณ์ของธรรมชาติท่ีบริสุทธิ์ มีความอ่อนไหวกับสารเคมี มีการ
กาํ หนดเขตอนุรกั ษพ์ นั ธป์ุ ลา/สตั ว์นา้ํ
- ฝั่งตะวันตก ตดิ ต่ออําเภอปาย จังหวดั แมฮ่ ่องสอน แมน่ าํ้ สาขาไหลรวมเปน็ “นํ้าปาย”
- การท่องเที่ยวในพื้นท่ี ได้แก่ โฮมสเตย์ ถ้ําเกร็ดมังกร (ข้ีหมี) ล่องแพเมืองคอง น้ําตกถ้ําเอ๊าะ ทะเลหมอก
เดน่ ทีวี ดูนกหายาก วถิ ชี วี ติ ชนบทและชนเผ่า วัดวาอารม
- โปรแกรมเท่ยี ว ลอ่ งแพเมืองคอง กระบอกปลามอญ
- โครงขา่ ยทอ่ งเทยี่ ว ได้แก่ อช.หว้ ยนํ้าดงั ก้ดึ ชา้ งแมต่ ะมาน (แม่แตง)
- ประชาการ 5,000 คน เร่ิมมีประชากรแฝงจากนักท่องเท่ียวในบางฤดูกาล แต่ในช่วงหลังลดน้อยลงจาก
นโยบายการปิดป่าและปญั หาไฟป่าหมอกควัน
- กลมุ่ ชาติพันธ์ุ 4 กลมุ่ คอื ปะกาเกอญอ ลซี อ ลาหู่ และคนพืน้ เมือง
- สภาพเศรษฐกิจ/อาชีพ เรม่ิ มีการส่งเสรมิ การปลกู มะมว่ ง ได้ราคาดีกว่าพื้นท่อี ่ืนเพราะใหผ้ ลผลติ หลังจากที่
ในพ้ืนทีร่ าบ อโวคาโด้ ฟกั ทอง ข้าวเหนียวสนั ปา่ ตอง
- (ตอ่ ยอดเหล้าขาวคณุ ภาพดี) เลี้ยงวัวควายพันธ์พุ นื้ เมือง
- สตั ว์ข้นึ ช่อื ประจาํ ตําบลเมืองคอง นกกระเต็นขาวดําใหญ่ (นกหายาก)
25
- ประวัติศาสตร์ชุมชน เส้นทางเดินทับโดยใช้ลํานํ้าแตง ดอยถ้วย ดอยขุนน้ําปาย เส้นทางรบไทย-พม่า
มีดา่ นผอ่ นปรนเวยี งหลวง ไทย-พมา่ ก่อนปี 2545 มีการคา้ ขายวัวควาย
- แนวทางพัฒนา เช่ือมโยงแผนงานการพัฒนาท่องเท่ียวโดยชุมชนในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน
เพอ่ื กระตุ้นเศรษฐกิจ สง่ เสรมิ ภาพลกั ษณ์ ตลาดทอ่ งเที่ยวและบรกิ าร
- นําบทเรียนเรื่องความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวที่มากเกินไปจากอําเภอปายและ อช.ห้วยนํ้าดัง
มาเปน็ บทเรยี นเพื่อวางแผนการจํากัดนักท่องเทยี่ วทจ่ี ะเขา้ มาทอ่ งเท่ยี วในพืน้ ท่ี
- นกั ท่องเท่ียวกลุม่ เปา้ หมาย คือ รอ้ ยละ 10 จากนักท่องเทีย่ วทมี่ าดอยหลวงเชียงดาว ถํ้าเชยี งดาว
- มกี ารปรับปรงุ เส้นทางเชียงดาว เข้าสู่หมบู่ ้าน จาก 4 เมตร ขยายเป็น 6 เมตร
- ปรบั ปรุงเส้นทางไปหว้ ยนา้ํ ดงั -เมอื งคอง ในปี 2564-2565 เพ่อื ดึงดูดนกั ทอ่ งเทีย่ วจากปาย
ผลผลติ โดดเด่นในพ้นื ท่ตี ําบลเมอื งคอง
จากการะดมความคิดจากผนู้ าํ ทง้ั 6 หมู่บ้าน
- หมู่ที่ 1 บ้านแม่คลองซ้าย: มีการผลิตกาแฟ ผลิตในบางครัวเรือน มีการจ้างคั่ว ส่งลงไปขายในเมือง
กล้วยน้ําว้า ราคากิโลกรัมละ 3-5 บาท ยังไม่มีการแปรรูป ข้าวไรท์เบอร์ร่ี ข้าวกล้อง มีการปลูกบ้าง รอ
พอ่ คา้ คนกลางขึน้ มารบั ซือ้ เริ่มปลูก และเริ่มใหผ้ ลผลติ
- หมู่ท่ี 3 บ้านหนองบัว: มี 5 หย่อมบ้าน ได้แก่ หนองบัว วังพระ (โดดเด่นผ้ากะเหรี่ยงทอมือ ข้าวไร่) แม่
แพม ล้องกุ่ม ห้วยดินดํา จํานวน 250 ครัวเรือน 2 ชนเผ่า กะเหรี่ยง ลีซอ ผลผลิตอื่นๆ ได้แก่ ข้าวโพด
เลี้ยงสัตว์ มะม่วง ส้มเขียวหวาน (สายน้ําผ้ึง) กล้วยน้ําว้า รูปแบบปลูกกันเองในสวน/พ้ืนท่ีทํากิน ยังไม่มี
การเข้ามาส่งเสรมิ ของหนว่ ยงานใดๆ
- หมู่ที่ 4 บา้ นหลวง: มีการปลูกข้าวสันป่าตอง ข้าวโพดถอดยอด (ทําพันธ์ุ) ข้าวโพดเล้ียงสัตว์ สุราพ้ืนบ้าน
จกั รสาน พรกิ ลาบ (ส่งร้านค้าในและนอกหมูบ่ ้าน มแี บรนด์แลว้ )
- หมู่ที 5 บ้านนา้ํ รู :มี 70 หยอ่ มบ้าน มีการปลูกอโวคาโด้ ลกู พลับ เชอรร่ี ลูกไหน ทอ้
- หมู่ท่ี 6 บ้านแม่แพม: มี 80 ครัวเรือน ปลูกมะม่วง เงาะ ข้าวโพด ข้าว กาแฟ ขิง เหล้าต้มข้าวโพด (เน้น
บริโภค) มี 2 หย่อมบ้าน คือ บ้านแม่แพม บ้านบวกควาย อีกทั้งยังมีการเลี้ยงวัวควายเกือบทุนครัวเรือน
โดยมีพอ่ คา้ จากข้างลา่ งมารบั ซอ้ื
มุมองจากหนว่ ยงานในพื้นที่ตอ่ พืน้ ทตี่ าํ บลเมอื งคอง
จากหนว่ ยงานทหาร
- ชุมชนวิถีชุมชนที่พึงพิงธรรมชาติ ป่าไม้ มีการเอ้ือเฟ้ือเผื่อแผ่ ผู้คนน่ารัก รักษาขนบธรรมเนียมประเพณี
วัฒนาธรรมไว้เป็นอยา่ งดี
- ประโยชนจ์ ากโครงการ 1 ตาํ บล 1 มหาวิทยาลยั นา่ จะเป็นการส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชน
โดยให้ทุกหมู่บ้าน (6 หมู่บ้าน) ดําเนินการไปพร้อมกันและสามารถกระจายรายได้อย่างครอบคลุมและ
ท่ัวถงึ
- ท้ังน้ี กังวลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินจากความเจริญท่ีจะเข้ามา ยิ่งเม่ือมีการเดินทางท่ี
สะดวกสบายและเข้าถงึ หลากหลายเสน้ ทาง โดยเฉพาะปัญหาอาชญากรรมและยาเสพตดิ
26
- การเกษตร มี 2 รูปแบบ คือ พ้ืนที่สูงส่งเสริมโดยโครงการหลวง และพ้ืนราบ โดยการส่งเสริมของเกษตร
อาํ เภอ ซึ่งยังไม่มีการบรู ณาการกนั
แนวทางการส่งเสรมิ เกษตรอินทรีย์ในอําเภอเชียงดาว
จากนางสาวศรัณยา กิตติคุณไพศาล ศพก.อําเภอเชียงดาว ซึ่งได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเก่ียวกับผลการ
ดําเนินการสง่ เสริมการทําเกษตรอนิ ทรยี ์ในพื้นที่ ดังนี้
- แนวทางการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ในพื้นท่ีบ้านแม่คลองซ้าย ซ่ึงเป็นชนเผ่าปะกาเกอญอ โดยการปลูกไม้
ผลแทนพืชหมุนเวียน ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว คือ บ้านนาเลา และบ้านเมืองคอง เพ่ือลดปัญหา
หมอกควนั และลดการปนเปอ้ื นสารเคมีในพืน้ ท่ปี ่าตน้ นา้ํ
- ปญั หาที่พบ: ในช่วงแรกทส่ี ่งเสริมให้ปลกู เกษตรอินทรยี ์ เชน่ ข้าวดอย (ข้าวหาง) พริกกะเหร่ียง ขิง โดยใน
ปี 2562 มี 6 ครัวเรือนที่เข้าร่วม และเพิ่มเป็น 15 ครัวเรือนในปีนี้ (ยังขาดอีก 5 ครัวเรือน) สําหรับปี
2563 เรมิ่ เขา้ มาทาํ บา้ นแมป่ ่าเสา้
- วิธีการคือ เปล่ียนรูปแบบการเพาะปลูกชนิดพืชเดิมท่ีเหมาะสมกับบริบทของพ้ืนท่ีเมืองคอง มาเป็นระบบ
อนิ ทรีย์ โดยอาจจะนําร่องแค่บางส่วนในแปลงกอ่ น โดยตลาดจะมีรองรบั ผลผลติ
- การส่งเสริมการท่องเท่ียวดอยหลวงเชียงดาว จากท่ีกําหนดการรองรับ 150 คนต่อปี จะปรับลดลงเหลือ
100 คน ในปี 2564 โดยมีกฎกติกาที่นักท่องเที่ยวต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ อาจจะเสริม
โปรแกรมโครงข่ายท่องเที่ยวให้มาพักค้างเมืองคอง โดยผลักดันให้ผลผลิตอินทรีย์ท่ีจะสร้างรายได้ให้แก่
พ้ืนที่
กรอบแนวทางการดําเนินงานโครงการ ๑ ตําบล ๑ มหาวทิ ยาลัย
ในพนื้ ท่ีนําร่องตวั อยา่ ง ตาํ บลแม่นะ โดยนางสาวศรัณยา กติ ตคิ ณุ ไพศาล ศพก.อําเภอเชยี งดาว
1. มีการชี้แจงรายละเอยี ดวัตถปุ ระสงคโ์ ครงการ แนวทางดาํ เนินโครงการใหแ้ กท่ ้องถ่นิ ทอ้ งที่
แกนนําเกษตรกร ผู้แทนชุมชน และภาคส่วนท่เี กยี่ วข้องในตาํ บลแมน่ ะ
2. ให้พ้ืนท่ีกําหนดกรอบแนวทางการดําเนินงาน ประเด็นงานที่อยากจะร่วมกันพัฒนาในแต่ละกลุ่ม แต่ละ
พ้นื ที่
3. มกี ารตกลงในที่ประชมุ “ตอ้ งไปทุกพนื้ ที่ถงึ แมจ้ ะเปน็ พ้นื ทีท่ ีเ่ ข้าถงึ ยากลาํ บาก”
4. มีการเก็บรวบรวมข้อมูลทุกหมู่บา้ น
5. ข้ันตอนในการพัฒนาสินค้าชุมชน สินค้าโอท็อป การท่องเท่ียวชุมชน โดยมีการเสริมศักยภาพให้แก่กลุ่ม
ต่างๆ ในชุมชน
6. การจัดอบรมให้แต่ละกลมุ่ ตามแผนงานทไ่ี ด้ร่วมกนั จัดทําในเบ้อื งต้น
27
4.3 การสร้างเครอื ข่ายการทํางานด้านการขับเคล่อื นชุมชนเกษตร
จากกระบวนการศึกษาชุมชนเกษตรโดยการลงพ้ืนที่เพื่อศึกษาบริบทของพื้นที่ตําบลเมืองคอง อําเภอเชียง
ดาว จังหวัดเชียงใหม่ ส่ิงสําคัญคือการได้เครือข่ายการทํางานในพ้ืนท่ีในประเด็นด้านการเกษตร สังคม เศรษฐกิจ
การท่องเที่ยว และประเด็นต่างๆ ในพื้นท่ี โดยได้มีการสร้างช่องทางการติดต่อส่ือสารผ่านแอพพลิเคชั่น LINE
ภายใต้ช่ือ “มหาลัยเมืองคอง” ซ่ึงเป็นการตั้งช่ือโดยการร่วมกันคิดในเวทีการประชุมจากชาวบ้านเมืองคองและ
ทีมงานจากคณะเกษตรศาสตร์ อีกท้ังยังสามารถสร้างเครือข่ายที่เป็นแกนนําในพ้ืนที่ อาทิเช่น นายกองค์การ
บริหารส่วนตําบลเมืองคอง กํานันตําบลเมืองคอง ผู้ใหญ่บ้านในตําบลเมืองคอง และนางสาวศรัณยา กิตติคุณ
ไพศาล ดา้ นการส่งเสรมิ การทําเกษตรอนิ ทรีย์
ภาพที่ 2 LINE มหาวทิ ยาลัยเมอื งคอง
28
บทที่ 5
สรุปผลและประเมนิ ผลการดําเนนิ งาน
5.1 สรุปความรู้ (World Café)
1. การวางแผนงาน
1) ไดเ้ รียนรู้วธิ ีการเขยี นโครงการเพอื่ ของบประมาณ
2) ไดเ้ รยี นร้กู ารวางแผนการดําเนนิ งาน
3) ไดเ้ รยี นรู้การแบง่ งานหนา้ ท่คี วามรบั ผิดชอบของแตล่ ะคน
4) มีการเขียนแผนงานและมีเวลากาํ กบั
5) การวางแผนทําให้งานเป็นไปตามระบบ
6) การวางแผนทําใหง้ านงา่ ยขน้ึ
7) การกาํ หนดกรอบในการทาํ งาน เพ่อื ใหส้ ามารถบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ได้
8) ทาํ ใหท้ กุ คนในทีม มจี ุดม่งุ หมายเดยี วกนั
9) ทําให้มกี ารทาํ งานได้ตามขัน้ ตอน และ งา่ ยตอ่ การดาํ เนนิ งาน
10) ทําใหง้ านออกมามปี ระสิทธิภาพมากท่ีสดุ
11) นําไปใช้กบั การทํางานจรงิ ในปจั จุบนั
2. การประสานงาน
1) วางแผนประสานงานในประเดน็ ทีเ่ กยี่ วขอ้ งกับบคุ คลเปา้ หมาย
2) แจ้งรายละเอียดเกยี่ วกับประเดน็ ท่ีประสานงานใหช้ ดั เจน ครบถ้วน(เวลา สถานที่ อื่นๆ)
3) การทวนสอบกบั บคุ คลเปา้ หมาย เขา้ ใจถูกตอ้ งตรงกนั หรอื ไม่
4) การติดตาม/ประสานงาน เพอ่ื ให้เป็นไปตามแผนทว่ี างไว้ (update ขอ้ มลู )
5) เป็นการบริหารจัดการกระบวนการทาํ งาน ใหเ้ ป็นไปตามแผนท่ีกาํ หนด
6) สรา้ งความสําพนั ธใ์ นเบ้อื งตน้ กบั แกนนาํ กลุม่ เป้าหมาย
7) เป็นการชีแ้ จงความเป็นใส/แนะนาํ โครงการในเบือ้ งตน้ ให้เกิดความคลอ่ งตวั ในการเข้าพ้นื ที่ช่วงตอ่ ไป
8) ศึกษาบริบทพื้นที่ และความสําพันธ์ในกลุ่ม แบบเบอ้ื งต้นของคนในพื้นท่ี
9) การประสานงานในพน้ื ทตี่ อ้ งเข้าใจสภาพภูมสิ งั คมของงชมุ ชนน้ันๆ
10) การประสานงานตอ้ งเขา้ ถงึ เนื่องจากเกษตรกรมงี านประจํา ทําใหเ้ กษตรกรเหน็ ประโยชน์ทีจ่ ะร่วมงาน
11) ได้ประสบการณ์ใหมๆ่ จากการได้รับผดิ ชอบในสิง่ ท่ีไมเ่ คยทาํ
12) เปน็ การสรา้ งความไว้วางใจ เพอื่ ให้งา่ ยในการทาํ งานคร้ังต่อไป
13) ฝึกความเปน็ ผนู้ ําในชมุ ชน
29
3. การแลกเปลยี่ นองคค์ วามรู้
1) การใชบ้ ตั รดํา
2) การถามตอบกบั บคุ คลในพนื้ ที่
3) การเลา่ ประวตั ขิ องพนื้ ที่ของบคุ คลภายในชมุ ชน
4) การใช้ Mind map
5) การแชรป์ ระสบการณ์กบั บคุ ลท่มี ีความเกยี่ วขอ้ งกบั เพอ่ื นๆทตี่ ้องการศกึ ษาหลากหลายกลุม่
6) การใช้ปฏทิ นิ เวลาในการเข้าถงึ ชุมชนในรอบปี
7) การสรุปประเด็นทจ่ี ับได้จากการเปลย่ี นคนื ใหก้ บั ผู้เลา่ /ผใู้ ห้ข้อมลู
8) เปิดโอกาสใหเ้ ล่าในสง่ิ ท่ีทาํ อยากทาํ จุดดี จดุ ด้อย ปญั หา อุปสรรค (SWOT)
9) เป็นการแลกเปลย่ี นความสาํ เร็จของงาน เผอื่ จะเป็นแนวทางของคนอืน่ ๆทมี่ บี ริบทพื้นทค่ี ล้ายคลึงกนั
10) ใช้ Timeline ในการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ชุมชนและปัญหา
4. การกระต้นุ ให้แสดงความคดิ เหน็
1) เปิดโอกาสให้ทกุ คนไดพ้ ดู
2) ใช้การเชญิ ใหแ้ สดงความคดิ เห็น
3) วิทยากรโยนคาํ ถามและใหต้ อบ
4) มีการเข้าไปประกบตวั ตอ่ ตัว
5) การทําใหเ้ กษตรกรไว้วางใจพรอ้ มทจี่ ะเปดิ ใจพูดคยุ เสนอปญั หา
6) ใชเ้ ทคนิคการเขียนเพราะบางคนพูดไมเ่ ก่ง
7) ใชเ้ ทคนิคการเปน็ วทิ ยากรกระบวนการเพอื่ ให้ทุกคนได้มโี อกาสแสดงความคิดเห็นและแลกเปลี่ยน
ในประเด็นทสี่ าํ คญั
8) สรา้ งบรรยากาศใหเ้ กดิ การผอ่ นคลายไม่ตงึ เครยี ดเกนิ ไป ทําให้เกดิ การกล้าแสดงความคดิ เห็นมากขึน้
5. การจับประเดน็ และสรุปประเด็นสําคญั
1) ระหวา่ งท่ีมีการให/้ เลา่ ขอ้ มลู มีการบนั ทกึ และจบั ขอ้ ความสําคญั ไปพรอ้ มกนั
2) ใช้เครอ่ื งมอื เชน่ Mind Map และ Time line ในการจบั ประเด็น
3) การสรปุ ประเดน็ จากคําพดู ของเกษตรกร
4) จบั ประเดน็ ความตอ้ งการทีแ่ ทจ้ ริงของเกษตรกร
5) สรุปประเดน็ ตามหัวขอ้ ทว่ี างไว้
6) จบั ประเด็นใหก้ ระชบั /ถูกต้อง
7) เลอื กใช้เครอื่ งมอื ท่งี า่ ยและผเู้ ข้าร่วมประชมุ สามารถเข้าใจไดง้ า่ ย
8) สรุปประเดน็ สาํ คัญที่ได้และคนื ขอ้ มลู ใหผ้ ูเ้ ขา้ ร่วมประชมุ รบั รู้
9) ได้ประเดน็ ทเี่ ปน็ จุดสาํ คญั ของเปา้ หมาย/ข้อมูลทีต่ อ้ งการอย่างครบถว้ นตามแผนที่วางไว้
30
6. การวเิ คราะหข์ ้อมลู
1) การจดั กลมุ่ ของขอ้ มลู /จดั เรยี งขอ้ มูล ใหอ้ ยใู่ นหมวดหม่เู ดยี วกนั
2) จดั รูปแบบขอ้ มลู ใหม่ เพอื่ ใหง้ า่ ตอ่ การทาํ ความเข้าใจและนาํ ไปใชป้ ระโยชน์ตอ่ ได้
3) การนําขอ้ มลู ทไ่ี ด้มาใช้ในการตดั สนิ ใจ/พยากรณ์
4) นาํ ข้อมลู ทว่ี ิเคราะห์ได้มาสังเคราะหอ์ อกเปน็ แนวทางท่จี ะนําไปสู่การปฏิบัติ
5) วิเคราะห์ปัญหา สาเหตุ เพอ่ื กาํ หนดลําดบั ความสาํ คญั ของกิจกรรมทจ่ี ะดาํ เนนิ การป้องกันแก้ไขและ
พฒั นา
6) นาํ ไปสู่การจดั ทําโครงการสาํ คัญในพื้นท่ี Flagship Project
7. การจัดเก็บรวบรวมข้อมลู
1) การวางแผนเก่ยี วกับประเดน็ /เน้ือหา ทต่ี อ้ งการศกึ ษา
2) เครอ่ื งมอื ทใี่ ชเ้ ก็บรวบรวมข้อมูล/ดงึ ขอ้ มลู ออกมา
3) แนวทางขอ้ คาํ ถามท่ีนํามาใช้
4) การจดั กลมุ่ /แบง่ กลุ่มขอ้ มูล
5) การระดมขอ้ คดิ เหน็ /การระดมความคิด
6) การเรียบเรียงขอ้ มลู
7) การใชเ้ ครอ่ื งมอื เพอื่ ประกอบการพิจารณา
8) การสอบถาม เขา้ ไปพดู คยุ เพอื่ ขอขอ้ มลู
9) ใช้บตั รคาํ ในกรณที ี่ผ้รู ่วมเวทไี ม่กล้าพดู เพอ่ื ดึงข้อมลู
10) ประเด็นข้อมลู ท่จี ัดเก็บ รวบรวมตอ้ งชดั เจน
11) จดั เปน็ หมวดหมู่
12) การใช้เครอื่ งมอื ทง่ี ่าย ประหยดั เวลา เหมาะสมกบั ชนุ ทีเ่ ขา้ ไปศึกษา
13) ใชภ้ าษาพ้นื ถ่ิน หรือภาษาทเ่ี ข้าใจงา่ ย แปลงวิชาการออกมาเป็นภาษาชาวบ้าน
14) เทคนิคการต้ังคําถามทีเ่ ขา้ ใจงา่ ย
15) การใชเ้ ทคนคิ ในการดงึ ส่ิงทีเ่ ราอยากทราบจากเกษตรกร (เปดิ ใจ)
16) การใช้ Mind map เพื่อรวบรวมบรบิ ทพืน้ ท่ีได้งา่ ยขนึ้
8.การแกไ้ ขปญั หาเฉพาะหน้า
1) การปรับเปล่ียนวธิ กี ารเก็บข้อมลู ตามความเหมาะสมของสถานการณ์
2) การพูดคยุ เป็นกลมุ่ แทนการทาํ เดย่ี วเพอ่ื ประหยดั เวลา
3) การเตรียมอุปกรณ์ เครอื่ งเสยี งไป เผือ่ ไฟดบั
4) ผู้ดําเนินรายการ จัดเปล่ียนชว่ งเวลาใหเ้ หมาะสมกับสถานการณ์
5) ผู้ร่วมเวทีในประเด็นนัน้ ยังไมพ่ รอ้ ม เปลยี่ นประเดน็ ท่ใี กลเ้ คยี งเขา้ มาแทรกใหก้ ารดําเนนิ การต่อไปได้
31
6) การเตรียมแผนสาํ รองกรณีไมเ่ ป็นไปตามแผนหลกั ทว่ี างไว้ ในแต่ละด้าน เชน่ วัสดอุ ุปกรณ์ เนอื้ หา
ข้อมลู ตา่ งๆ เปน็ ต้น
7) ผู้จัดประชุมตอ้ งมีการศึกษาข้อมลู /รายละเอยี ดโครงการอยา่ งละเอยี ดและเข้าใจอยา่ งลึกซ้ึง
8) ศึกษาเทคนคิ วธิ กี ารใช้เครอื่ งมือทหี่ ลากหลาย เผ่อื จะเลอื กมาใชใ้ นกรณที ไี่ มส่ ามารถดาํ เนนิ การตาม
แผนท่วี างไว้
9) ในสถานการณจ์ ริงยอ่ มมเี รอื่ งท่ีไม่คาดคดิ ฝกึ การแกป้ ญั หาเฉพาะหน้า
10) ตอนพกั เทยี่ งเวลาไม่พอจึงมกี ารพูดคยุ การทํางานในระหวา่ งเวลารบั ประทานอาหาร
9. การดําเนนิ รายการประชุม
1) รู้วิธกี ารดาํ เนินการในการจัดเวที
2) การใชส้ ื่อใหผ้ รู้ ่วมเวทีสนใจดู
3) การให้ผเู้ ข้ารว่ มเวทไี ดร้ ่วมแสดงความคดิ เหน็
4) การเรียงลําดับเรอื่ งในเวที
5) เรียนรูใ้ นการเป็นวทิ ยากรดําเนนิ รายการ/พิธีกร
6) การเป็นวทิ ยากรกระบวนการ
7) การสร้างบรรยากาศใหผ้ ู้เข้ารว่ มประชมุ กล้าแสดงความคดิ เหน็ /แลกเปลย่ี น
8) การControl เวลาให้เปน็ ไปตามแผนที่วางไว้
9) ปรบั ใชเ้ ทคนคิ วธิ ีการส่อื สาร เพอ่ื กลัน่ กรองประเด็นการประชุมทสี่ าํ คัญ ตามเวลาท่เี หมาะสม
10) การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ในการดาํ เนนิ รายการ
11) ไดเ้ ข้าใจบรบิ ทของการจัดเวทชี ุมชน
12) เรยี นร้กู ารถงึ ปัญหาในการทํางานและนาํ ไปแก้ไข
10. การทาํ งานเปน็ ทีม
1) เปน็ การทบทวนกระบวนงานแตล่ ะขั้นตอน
2) กําหนดผรู้ บั ผดิ ชอบตามความถนัด
3) เปน็ การดึงศักยภาพในตัวบุคคล ออกมาใชเ้ พอื่ ให้บรรลตุ ามวตั ถุประสงคข์ องงาน
4) มีการใชเ้ ครอ่ื งมือ เชน่ session plan เพื่อให้เกิดความชดั เจนและเข้าใจรงกัน
5) เป็นการชว่ ยเหลือซ่งึ กันและกนั ไดเ้ รยี นรซู้ ึง่ กันและกัน สรา้ งความรักสามคั คี
6) เป็นโอกาสทจ่ี ะสรา้ งบรรยากาศแหง่ การแลกเปล่ยี นความคดิ เหน็ ออกแบบเสนอความคิด/แนว
ทางการทํางานรว่ มกัน
7) มกี ารแบง่ งานที่ไมถ่ นัดเพื่อให้เกดิ การเรียนรู้
8) ในทมี สามารถช่วยเหลอื กันได้ เมอ่ื เห็นวา่ ตดิ ขดั
9) เป็นการทาํ ใหท้ ํางานไดอ้ ย่างตอ่ เนือ่ งและเป็นระบบ
32
10) ทาํ ใหท้ กุ คนมสี ว่ นรว่ มกบั งาน
11) ทาํ ใหท้ กุ คนมเี ป้าหมายเดียวกัน ทาํ ใหง้ านท่ีออกมามปี ระสิทธิภาพมากข้นึ
12) มองตาก็ร้วู า่ จะทําอะไรตอ่ เพราะจะได้มกี ารพดู คยุ กันแลว้
13) ได้ผดิ ชอบรว่ มกัน
14) ทาํ ใหท้ ุกคนไดต้ ระหนัก/รบั ทราบว่ามีเปา้ หมายเดยี วกนั
15) ได้รบั ทราบปัญหาท่ีเกิดขน้ึ และนําไปปรบั ปรุงแกไ้ ขในโอกาสตอ่ ไป
11. ประโยชนจ์ ากการศกึ ษาชุมชน การเขา้ ใจบริบทพนื้ ทจี่ รงิ
1) รู้ถึงปญั หาในชมุ ชน จากพืน้ ทจี่ ริง
2) ได้นาํ จุดเดน่ ของชมุ ชนนาํ มาตอ่ ยอดพฒั นา
3) ได้แนวทางการพฒั นาชมุ ชนในแตล่ ะด้าน
4) ชมุ ชนไดป้ ระโยชนจ์ ากโครงการท่ีจะเขา้ ไปทาํ
5) ไดพ้ ฒั นาของศกั ยภาพของผู้นาํ ชุมชน+ไดเ้ หน็ ถงึ ศักยภาพของชุมชนทเ่ี ข้าไปศกึ ษา
6) ได้ใช้เครอ่ื งมอื ตา่ งๆ จากการเรยี นรูใ้ นหอ้ งเรียนไปใชใ้ นพ้ืนทีช่ มุ ชนจรงิ ๆ
7) ไดเ้ รยี นร้กู ระบวนการทาํ งานจรงิ
5.2 ทกั ษะทไ่ี ด้ฝกึ และจะนาํ ไปใช้ได้จริง แนวคิด/วิธีคดิ ทเี่ ปล่ียนไป เครือข่ายใหม่ (เขยี นใสส่ มุด ส่ง
ใหพ้ โ่ี น้ต)
นางสาวปยิ นชุ ทรวงคาํ รหสั นกั ศกึ ษา 620832006
1. ทกั ษะท่ไี ดฝ้ ึกและนาํ ไปใช้ได้จรงิ
1) การฝึกใชเ้ ครอ่ื งมือ เชน่ World Cafe เพ่อื ระดมความคดิ เหน็ จากทกุ คนออกมาอย่างครอบคลมุ ทกุ
ประเดน็
2) การใช้เครอื่ งมอื Session Plan ท่ีเปน็ การวางแผนการทํางานอย่างมีขนั้ ตอน แบง่ หน้าทีง่ าน กาํ หนด
ผรู้ ับผดิ ชอบใหช้ ดั เจน จะทาํ ใหส้ ามารถเขา้ ใจภาพรวมของงานไปในทศิ ทางเดยี วกนั อกี ทง้ั ยังสามารถ
ช่วยกันแก้ปญั หาการทํางานเมือ่ บางหน้าที่เกิดอปุ สรรคในการทาํ งาน
3) การประสานงานก่อนทจ่ี ะลงพ้ืนทเ่ี ขา้ ไปศึกษาเรียนรู้ เเลกเปลย่ี น จดั เวที เพื่อเป็นการวางแผนการ
อาํ นวยความสะดวกลว่ งหน้า ซ่งึ จะเปน็ การทําความรจู้ กั แกนนาํ ในพ้ืนที่ บริบทของพนื้ ทไ่ี ดใ้ นเบอื้ งตน้
2. แนวคิด/วิธคี ดิ ทเี่ ปลยี่ นไป
1) การทํางานท่ีต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ ตัวอยา่ งทจี่ ะนําไปปรบั ใชท้ ข่ี ดั เจน คอื Session Plan
2) การเรยี นรู้และปรับใช้เครอ่ื งมอื ท่ีหลากหลายตามความเหมาะสมของเนอื้ งาน ระยะเวลา และ
กลุม่ เปา้ หมาย เพื่อให้ไดม้ าซงึ่ ประเดน็ งานทส่ี ําคญั และครอบคลมุ
33
3. เครอื ข่ายใหม่
1) เครอื ขา่ ยชมุ ชนจากตาํ บลเมอื งคอง ทมี่ กี ารบรหิ ารจดั การทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละมีความโดดเด่นใน
ดา้ นการทอ่ งเที่ยวโดยชมุ ชน การผลติ ดา้ นการเกษตรท่ีหลากหลายจากการมีต้นทุนทรพั ยากรที่ดี
2) เครอื ข่ายดา้ นเกษตรอินทรีย์ จาก ศพก.อาํ เภอเชยี งดาว
3) เครอื ข่ายท่ีจะเกิดขนึ้ จากการดําเนนิ โครงการ 1 ตําบล 1 มหาวทิ ยาลัย
นายพงศศ์ ริ ิ ตารนิ ทร์ รหัสนักศึกษา 620832007
1. ทกั ษะท่ไี ดฝ้ ึกและจะนําไปใชไ้ ดจ้ รงิ
1) การทํา Session Plan
2) การประเมินผลหลงั การปฏิบตั ิหรือการเรยี น โดย AAR ( After Action Review)
3) การประสานงาน และการวางแผนงานทาํ เวทชี มุ ชน
4) การสรุปประเด็น การใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพ่ือดึงข้อมูลออกมาจากผู้เข้าร่วมเวทีศึกษาชุมชน
เชน่ การใช้ Time line การใชบ้ ตั รคํา การใช้ Mind map
5) ได้เรียนรู้ในสถานการณ์จริงของการจัดเวทีชุมชน การดําเนินงานให้ลุล่วงตามวัตถุประสงค์ และการ
แกป้ ญั หาเฉพาะหนา้ ต่าง ๆ ในระหว่างการดําเนนิ งาน
2. วธิ คี ดิ ทเ่ี ปลี่ยนไป
1) การวางแผนงานโดยละเอียดโดยใช้ Session plan ทําให้ทํางานได้งา่ ยข้ึน มากกว่าเดิม ไม่เหมือนกับ
การวางกําหนดการท่ัวไป ถึงแม้จะต้องมีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอยู่ตลอดแต่ก็ม่ันใจได้ว่าผลท่ี
ออกมาจากการวาง Session plan อยา่ งละเอยี ดจะทาํ ให้ลดอปุ สรรคการทาํ งานลงไดม้ าก
2) การติดต่อประสานงาน การเชิญผู้เข้าร่วมเวที ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ถึงแม้เราม่ันใจว่าติดตามได้ดี
แลว้ แตผ่ ลสุดทา้ ยออกมา ผู้เขา้ รว่ มเวทีอาจจะติดเหตุผลบางประการท่ไี ม่สามารถเข้าร่วมได้ จะต้องมี
การคดิ แก้ปัญหาอยตู่ ลอดเวลา
3) การให้เกียรติผู้ร่วมเวที ให้ความสําคัญกับทุกคน ให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็น เป็นสิ่งสําคัญอย่าง
มาก
4) การศึกษาชุมชน การเรียนรู้จากชุมชน ความต้องการจากผู้คนภายในชุมชนจริง ๆ และการได้เขียน
โครงการจากการมคี นในชุมชนเป็นผู้ร่วมร่าง เป็นความต้องการท่ีจริงแท้ มากกว่า การที่เรามาน่ังมอง
งบประมาณ แล้วใชค้ วามคดิ ของเราวา่ ชุมชนน้ัน ๆ ควรจะไดร้ ับสงิ่ ไหนจากงบประมาณทเี่ รามี
3. การไดเ้ ครอื ข่าย
1) ได้ร่วมกับเพ่ือนทําการวางแผน มอบหมายงาน ร่วมกันทํางาน ทําให้ได้รู้จักกันมากข้ึนกว่าเดิม
ไดร้ วู้ ่าเพื่อนมคี วามสามารถอืน่ ๆ มากมาย ท่สี ามารถชว่ ยเหลอื กนั ได้ในสง่ิ ท่เี พอื่ นอกี คนขาด
2) ได้เป็นส่วนหน่ึงของโครงการพัฒนาชุมชนเมืองคอง เป็นทีมงานของอาจารย์อาวรณ์ในการศึกษา
ชุมชน รจู้ ักผปู้ ระสานงานกลุ่มของเชยี งดาว และผูน้ ําชุมชนหลายๆท่านของเมอื งคอง
34
นายวชั ระ อินโองการ รหัสนักศกึ ษา 620832008
1. ทักษะท่ไี ดฝ้ ึก และนําไปใชไ้ ดจ้ ริง
1.1 ด้านการวางแผนงาน
1.1.1 การทาํ งานตามลําดบั ขนั้ ตอนตาม Session Plan
1.1.2 การประสานงาน ในการดาํ เนนิ โครงการ โดยกําหนดบุคคลผ้ทู ี่เกีย่ วขอ้ ง และดาํ เนนิ การ
ประสานงานให้ชดั เจน และตอ่ เน่ือง
1.1.3 การทาํ งานเปน็ ทมี
1.2 ด้านวธิ กี ารดาํ เนนิ งาน
1.2.1 การดําเนนิ การประชมุ เช่น ทักษะพธิ กี รกระบวนการ การแก้ไขปญั หาเฉพาะหนา้ และการ
ควบคุมเวลา เป็นตน้
1.2.2 การใชเ้ ครอื่ งมอื ในการศกึ ษาชุมชน
1.2.3 การระดมความคิด แลกเปลย่ี นความคดิ เห็น
1.2.4 การจบั ประเดน็ ท่ีสาํ คญั ตามหัวขอ้ ทว่ี างไว้
1.3 ด้านการวเิ คราะห์ขอ้ มลู
1.4 ดา้ นการสรุปผลการศกึ ษาชมุ ชน และการนาํ ไปใช้ประโยชน์
2. แนวคิด/วธิ คี ิดท่ีเปลี่ยนไป
2.1 การวางแผนงานช่วยให้การทาํ งานเปน็ ไปตามแผนทวี่ างไว้ ประสบความสําเรจ็ ตามวตั ถปุ ระสงคซ์ ึ่ง
สามารถนาํ ไปใชใ้ นการทํางานจริง โดยตอ้ งมีการวางแผนงานทุกครั้ง
2.2 ได้รับทราบบรบิ ทของพน้ื ทหี่ รือชุมชนท่ีเข้าไปศึกษาโดยเลอื กใชเ้ ครอ่ื งมอื ในการศกึ ษาชุมชน ปรบั ใช้
ตามบรบิ ทของพ้ืนที่ และสถานการณ์
2.3 เกิดมมุ มองใหม่ๆ จากอาจารย์ผสู้ อน เพอ่ื นนักศึกษา และผู้เขา้ ร่วมประชมุ ในการลงพื้นที่ศึกษาชมุ ชน
3. เครือข่ายใหม่
3.1 ได้รูจ้ กั ผ้นู าํ ชมุ ชน เกษตรกร เกดิ เครอื ข่ายใหมๆ่ ทท่ี าํ ให้การดาํ เนนิ งานบรรลุวัตถปุ ระสงค์
3.2 ได้รบั ทราบแนวคดิ หรอื องค์ความรใู้ หมๆ่ จากผเู้ ข้ารว่ มประชมุ เกดิ แนวทางการทาํ งานร่วมกัน
3.3 ไดร้ บั ความรว่ มมอื และการประสานงานที่ดี ทําให้งานสําเรจ็ ตามเปา้ หมาย
นาย อนสั มณพี ฤกษ์ รหสั นกั ศกึ ษา 620832010
1. ทกั ษะทไี่ ดฝ้ ึก และนําไปใชไ้ ด้จริง
1) ทํางานรว่ มกบั ผู้อื่นไดด้ ี (Coordinating with others)
2) ตดั สนิ ใจและประเมินไดด้ ี (Judgment and Decision Making)
3) มคี วามคิดสร้างสรรค์ (Creative)
35
2. วธิ คี ิดทเ่ี ปลย่ี นไป
หลังจากท่ีได้เรียนวิชานี้และมีส่วนร่วมในการลงพ้ืนที่ศึกษาชุมชนเกษตร ได้รับการปรับเปลี่ยนวิธีคิด
หลายๆด้าน ส่ิงที่เห็นได้ชัดคือ มุมมองความคิดในการประเมินและค้นหาจุดร่วมของความต้องการทั้งสองฝ่าย
และสร้างข้อเสนอที่ยอมรับได้จากทุกคน จะทําให้ทุกปัญหาสามารถคล่ีคลายไปได้ด้วยดีและการประสานงาน
ลว่ งหน้ากับผู้ทีเ่ กีย่ วข้องจะทาํ ใหเ้ ราไดร้ บั ทราบข้อมลู เชงิ ลึกได้รวดเร็วมากขนึ้
3. เครอื ข่าย ตําบล 1
1) เครือขา่ ยชุมชนจากตาํ บลเมอื งคองอําเภอเชยี งดาว
2) เครอื ข่ายด้านเกษตรอินทรีย์ จากอาํ เภอเชยี งดาว
3) เครือข่ายอาจารย์ นักศึกษาที่ในวิชาศึกษาชุมชนเกษตรและผู้ดําเนินโครงการ 1
มหาวทิ ยาลัย
นายเอกชยั สสุ กลุ โชคดี รหสั นกั ศกึ ษา 620832011
1. ทักษะท่ไี ดฝ้ ึก และนาํ ไปใช้ได้จรงิ
ได้ทักษะการวางแผนดําเนินงานในการทําโครงการ การทํางานเป็นทีม การประสานงานติดต่อกับผู้นํา
ชุมชนแต่ละพื้นท่ี ได้ทักษะการดําเนินงาน การเป็นพิธีกรดําเนินรายการว่าต้องทําอย่างไรบ้าง การแก้ไขปัญหา
เฉพาะหน้าในโครงการที่ต้องเจอ ได้ทักษะการเก็บรวบรวมข้อมูล การจับประเด็น การใช้เครื่องมือต่างๆให้
เหมาะสมกบั พน้ื ท่ี ไดท้ ักษะการพดู คยุ และแลกเปล่ียนความรใู้ นชุมชนและการนาํ ข้อมลู มาวิเคราะห์
2. แนวคิด/วิธีคิดทเี่ ปลยี่ นไป
มีกระบวนการคิดท่ีเปลี่ยนไปรู้จักชุมชนมากข้ึน รู้ถึงสภาพปัญหาของแต่ละชุมชนแตกต่างกันออกไป รู้ถึง
ปญั หาในการดาํ เนนิ งานของโครงการและวธิ กี ารแกไ้ ขปัญหาในการดําเนินงาน
3. เครือขา่ ยใหม่
ได้เครือข่ายใหม่ๆ ท้ังนายกองค์การบริหารส่วนตําบลเมืองคอง กํานัน และผู้ใหญ่บ้านแต่ละหมู่ ในการ
ติดต่อส่ือสารประสานงาน รู้จักชาวบ้านและเกษตรกรในชุมชนตําบลเมืองคองเวลามีเรื่องมีปัญหาสามารถท่ีจะ
ประสานงานติดต่อกนั ได้
นายดาํ รงฤทธิ์ ศริ ขิ ว่ ง รหสั นกั ศกึ ษา 620832019
1. ทกั ษะที่ไดฝ้ กึ และนาํ ไปใชไ้ ด้จรงิ
1) การฝกึ ใช้เครอ่ื งมือทใี่ ชใ้ นการทาํ กระบวนการศึกษาชมุ ชนเกษตร เชน่ Time line ,บัตรคํา ,
กระบวนการกลุ่ม ,World Cafe เพ่อื ให้ไดข้ ้อมลู และปญั หา
2) ไดเ้ รียนรกู้ ารวางแผนการจัดประชุม โดยใช้ Session Plan
3) ไดฝ้ กึ การรวบรวมขอ้ มลู จดั การขอ้ มลู และสรปุ ผลเพอื่ นําไปใช้ประโยชนห์ รือแก้ปญั หา
36
2. แนวคิด/วธิ คี ดิ ท่เี ปลีย่ นไป
1) การทํางานจะต้องมแี ผน กาํ หนดหนา้ ที่ความรับผดิ ชอบ เพอ่ื ให้เกดิ ขอ้ บกพร่องในการทาํ งานน้อยที่สดุ
โดยใช้ Session Plan
2) การนําเครอ่ื งมือต่างๆ ที่ไดเ้ รียนและทดลองปฏบิ ตั ิมาปรบั ใช้กบั งานที่ทําไดจ้ ริง
3) กระบวนการกลุ่มและเคร่ืองมือท่ีได้เรียนสามารถใช้ในการวางแผนตามบริบทภูมสิ ังคมของแต่ละท่ีได้
อยา่ งชัดเจน
4) ได้รับประสบการณ์ใหม่ในการลงพื้นที่และจัดเวทีชุมชนท่ี ตําบลเมืองคอง อําเภอเชียงดาว จังหวัด
เชยี งใหม่
3. เครอื ข่ายใหม่
1) ได้เรยี นรู้ทมี งานท่ีเรียนดว้ ยกนั มากขน้ึ
2) ได้รู้จกั เครอื ขา่ ยผนู้ ํา และเกษตรกร ตาํ บลเมอื งคอง
นางสาวทวิ ากร แกว้ รากมขุ รหัสนกั ศกึ ษา 6200832020
1. ทักษะทไี่ ดฝ้ กึ และนาํ ไปใชไ้ ด้จริง
หลังจากได้เรียนวิชา ศึกษาชุมชนเกษตร นอกจากจะได้รับทําความรู้เก่ียวกับแนวคิด/ทฤษฎี/เครื่องมือที่
ใชใ้ นการศึกษาชุมชนเกษตรแล้ว ยังได้มีโอกาสไดฝ้ ึกปฏบิ ตั จิ รงิ จากการลงพ้ืนท่เี ข้าไปศึกษาชมุ ชนทตี่ าํ บลเมอื งคอง
ทําให้ได้รับการพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ท่ีนําไปใช้ในกระบวนการทํางาน เช่น ทักษะด้านการติดต่อประสารงาน
ทักษะในการวางแผนการจัดประชุม การทํา session plan ทักษะในด้านการเลือกใช้เครื่องมือท่ีเหมาะสม ทักษะ
ในการจับประเดน็ และทักษะดา้ นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหนา้ เปน็ ตน้
2. แนวคิด/วธิ คี ดิ ทเี่ ปล่ยี นไป
1) การวางแผนทดี่ ยี อ่ มทาํ ใหง้ านสาํ เรจ็ ตามเปา้ หมาย ชว่ ยประหยัดเวลาแตไ่ ดป้ ระเดน็ ข้อมูลท่ีครอบคลุม
รวมถงึ การทาํ งานเปน็ ทีม ท่ีทําใหง้ านทไี่ ด้วางแผนนั้นดําเนนิ ตามขัน้ ตอนได้เป็นอยา่ งดี
2) ได้รับมุมมองใหม่ๆจากผู้เข้าร่วมการประชุมในด้านการแก้ไข และจัดการปัญหาหาต่าง ๆ ในการ
พฒั นาชุมชน
3. เครอื ข่ายใหม่
1) ได้เรยี นรชู้ ุมชนุ ทําให้ไดร้ จู้ ักคนใหมๆ่ มากขน้ึ รูจ้ ักหน่วยงานทขี่ อ้ งมากขนึ้
นางสาวกณั ณกิ า คําสงิ ห์ รหสั นกั ศึกษา 620832022
1. ทกั ษะท่ีไดฝ้ ึกและจะนาํ ไปใชไ้ ด้จรงิ
1) การทาํ Session Plan ซง่ึ ระเอียดมากสามารถนํามาปรบั ใชก้ ับการทาํ งานจริงได้
2) การประเมนิ ผล AAR (After Action Review)เพื่อเป็นการประเมนิ ผลหลังการปฏิบตั กิ าร
3) การใช้ Time line บตั รคาํ Mind map ในการสรปุ ประเดน็ เพอ่ื ดึงข้อมูลออกมาจากผู้เข้ารว่ มเวที
37
4) ได้เรียนรู้สถานการณ์จริงของการลงพ้ืนที่จัดเวทีชุมชนซ่ึงไม่เคยรู้มาก่อนเนื่องจากเป็นน้องใหม่ของกรม
ส่งเสริมการเกษตร ยังไม่เคยลงพื้นที่ดําเนินงานการจัดเวทีชุมชนมาก่อนทําให้ได้เรียนรู้เกิดประสบการ
ใหมๆ่ เพอ่ื นาํ ไปเป็นประโยชนใ์ นการปฏบิ ตั งิ านจริง
5) ไดเ้ รยี นรกู้ ารประสานงานกบั ชมุ ชน การวางแผนทาํ เวทชี ุมชน
2. วธิ คี ิดทเ่ี ปลย่ี นไป
1) ได้ทราบว่าการวางแผนงานโดยละเอียดโดยใช้ Session plan ทําให้ทํางานได้ละเอียดรอบครอบมาก
กว่าเดมิ ไมเ่ หมอื นการวางแผนโดยใชว้ ธิ ที วั่ ไปที่จะไมล่ ะเอียดเท่าวธิ ีน้ี
2) การติดตอ่ ประสานงานกบั ผ้ทู ่ีจะมาเข้ารว่ มการประชุมนนั้ ตอ้ งติดต่อแล้วบอกวันเวลาให้ชัดเจน หรือติดต่อ
ซํ้าอกี ทวี นั กอ่ นจัดเวที 1 วนั เพ่ือเป็นการเช็คว่าผู้เข้าร่วมประชุมสามารถมาเข้าร่วมได้จริงไหมหรือว่ามีธุระ
ไปท่ีอ่ืนแลว้ จะได้ชัดเจนเรื่องจํานวนผู้มาเขา้ รว่ มการประชมุ ท่ีชัดเจน
3) การเข้าไปศึกษาชุมชนต้องค่อยเข้าไปแบบค่อยเป็นค่อยไปเพ่ือให้คนในชุมชนไว้ใจและเปิดใจท่ีจะบอก
ข้อมูลใหก้ บั เรา
4) การศึกษาชุมชนเป็นอะไรที่แปลกใหม่สําหรับคนไม่เคยเรียนและทํางานด้านน้ีมาตอนแรกคิดว่าจะไม่
สามารถปรับตัวให้เข้ากับชุมชนได้ และคนภาในชุมชนจะไม่ให้ข้อมูลกับเรา และท่ีจริงแล้วเราสามารถใช้
เครื่องมอื ต่างๆท่อี าจารย์ได้สอนนาํ มาใชเ้ พื่อให้ผู้เข้ารว่ มเวทีชมุ ชนบอกขอ้ มลู ของพ้นื ที่ใหก้ บั เรา
3. การไดเ้ ครือขา่ ย
1) ไดเ้ รยี นร้แู ละวางแผนงานกับเพอื่ นๆและอาจารยผ์ สู้ อนทําให้ได้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ซึ่งกัน
และกัน ทําให้ได้รู้ว่าแต่ละคนมีประสบการณ์อะไรมาบ้างใครถนัดอะไร ไม่ถนัดอะไร ทําให้ได้แลกเปล่ียน
ประสบการณก์ นั
2) ได้เป็นส่วนหนึ่งของการนําโครงการเข้าไปพัฒนาชุมชนเมืองคอง ทําให้ชุมชนมีความพร้อมทางด้านต่างๆ
มากขนึ้ และได้รจู้ ักประสานงานกบั ผูน้ ําชมุ ชนหลายๆทา่ นทาํ ใหไ้ ดร้ ับประสบการณ์
38
เอกสารอา้ งองิ
ภูสิทธ์ ขันติกุล. (2552). การศึกษาวิถีชีวิตชุมชนวัดประชาระบือธรรม เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร.
งานวิจยั มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสนุ นั ทา, หนา้ 15-26.
ภูสิทธ์ ขันติกุล.(2558). แนวคิดเกี่ยวกับภูมิสังคมและวิถีชีวิต. สืบค้น 1 ตุลาคม 2563 จาก
https://www.ssru.ac.th/
กรมการพัฒนาชุมชน. (2527). การพัฒนาชุมชน. กรุงเทพฯ : กรมการพัฒนาชุมชน.เข้าถึงได้จาก
https://www.cdd.go.th/
กฤษฎา บุญชัย. (2541). แนวคิดทฤษฎีในการศึกษาชุมชนและประชาสังคม. วารสารร่มพฤกษ์. 14.
เขา้ ถึงได้จาก http://romphruekj.krirk.ac.th/
ชยาภรณ์ ชื่นรุ่งโรจน์. (2553, 30 กรกฎาคม). ชุมชนและการพัฒนาชุมชน. เข้าถึงได้จาก
http://www.human.cmu.ac.th/home/hc/ebook/006103/lesson10/01.htm
39
ภาคผนวก
การเริ่มตน้ เรยี นกระบวนวชิ าศกึ ษาชมุ ชนเกษตร
40
การฝกึ ปฏิบตั ิการใชเ้ ครอ่ื งมอื ในการศึกษาชุมชนเกษตร
41
การวางแผนลงพ้ืนทใี่ นการศึกษาชุมชนเกษตร
42
การลงพ้นื ท่ีในการศึกษาชุมชนเกษตร ตาํ บลเมืองคอง อําเภอเชียงดาว จังหวดั เชยี งใหม่
43
การลงพน้ื ทีใ่ นการศึกษาชุมชนเกษตร ตาํ บลเมืองคอง อําเภอเชยี งดาว จังหวดั เชยี งใหม่ (ตอ่ )
44
การลงพน้ื ทีใ่ นการศึกษาชุมชนเกษตร ตาํ บลเมืองคอง อําเภอเชยี งดาว จังหวดั เชยี งใหม่ (ตอ่ )